30 พ.ย. 2551

ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด

ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด มีต้นกำเนิดจาก ๒ ทาง คือ จากอาหารที่กินเข้าไปและร่างกายสร้างเอง ผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด มีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้เช่นเดียวกับภาวะคอเลสเทอรอลสูงในเลือดผู้ที่มีค่าไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเกิน ๑๕๐ มิลลิกรัม ต่อเลือด ๑๐๐ มิลลิลิตร จัดว่าเป็นผู้มีไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด

สาเหตุของไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด อาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ โรคบางชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ ผู้ที่ไม่ระวังในเรื่องการกิน (กินไขมันมากกินน้ำตาลทรายมาก หรือกินเหล้ามากเป็นประจำ) และโรคอ้วน

การป้องกันและบำบัดภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือดมีหลักอยู่ ๒ ประการ คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรู้จักกิน ของที่ควรงดคือ น้ำอัดลม ของหวาน ของมันจัด ควรใช้น้ำตาลทรายในการปรุงอาหารและเครื่องดื่มให้น้อยที่สุด ถ้าดื่มเหล้าจัดก็ต้องค่อยๆ ลดลงจนงดได้ เฉพาะผู้ที่มีสาเหตุจากกรรมพันธุ์จำเป็นต้องกินยาลดไตรกลีเซอไรด์ด้วย

ภาวะคอเลสเทอรอลสูงในเลือด

ร่างกายได้คอเลสเทอรอลจาก ๒ ทาง คือ จากอาหารที่กินเข้าไป และรางกายสร้างเองได้ด้วย อาหารที่มาจากพืชไม่มีคอเลสเทอรอล แต่อาหารที่มาจากสัตว์มีคอเลสเทอรอลมากน้อยแตกต่างกันไป อาหารที่มีคอเลสเทอรอลมาก ได้แก่ เครื่องในสัตว์ต่างๆ และไข่แดง แม้ว่าคอเลสเทอรอลมีหน้าที่สำคัญอยู่หลายประการต่อร่างกาย แต่ถ้ามีมากไปในกระแสเลือดจะมีผลทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งได้ ซึ่งมีผลร้ายต่ออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหัวใจ ทำให้ผู้นั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด

การตรวจวินิจฉัยและสาเหตุของคอเลสเทอรอลสูงในเลือด

การวินิจฉัยภาวะคอเลสเทอรอลสูงในเลือด ทำได้โดยเจาะเลือดตรวจวัดระดับคอเลสเทอรอล ถ้าผู้ใดมีค่าเกิน ๒๒๐ มิลลิกรัม ต่อเลือด ๑๐๐ มิลลิลิตร ให้ถือว่าผู้ที่มีคอเลสเทอรอลในเลือดสูงควรได้รับการตรวจต่อไปว่าเกิดจากสาเหตุใด คอเลสเทอรอลในเลือดสูง อาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ การกินอาหารไม่ถูกต้อง โดยกินอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลมาก แต่ได้กรดไลโนเลอิกน้อย นอกจากนี้โรคบางอย่าง เช่น โรคไต โรคตับ โรคต่อมไทรอยด์ทำงานได้น้อยทำให้เกิดคอเลสเทอรอลสูงในเลือดได้ ผู้ที่มีคอเลสเทอรอลในเลือดสูงบางราย โดยเฉพาะพวกที่เกิดจากกรรมพันธุ์ อาจมีอาการแสดงต่อไปนี้ คือ มีปื้นเหลือง (xanthoma) ที่ผิวหนัง เช่น ที่หนังตา ข้อศอก เข่า ฝ่ามือ เป็นต้น เอ็นร้อยหวายหนาตัวขึ้น ตรงขอบนอกของกระจกตาดำจะมีเส้นโค้งสีขาวเป็นรูปครึ่งวงกลมหรือวงกลม ความผิดปกติเหล่านี้ เกิดจากการมีคอเลสเทอรอลไปจับที่เนื้อเยื่อดังกล่าว

การบำบัดและการป้องกันคอเลสเทอรอลสูงในเลือด

ถ้าหากคอเลสเทอรอลสูงในเลือดเกิดจากโรคต่างๆ ที่กล่าวแล้ว การรักษาโรคที่เป็นอยู่ถ้าได้ผลดีจะทำให้ระดับคอเลสเทอรอลกลับสู่ปกติได้ แต่ถ้าหากเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือกินอาหารไม่ถูกต้อง การให้โภชนาการบำบัดที่ดีจะช่วยควบคุมระดับคอเลสเทอรอลในเลือด โดยต้องปฏิบัติดังนี้

๑. กินไขมันไม่เกินร้อยละ ๓๕ ของแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน

๒. กินน้ำมันพืชที่ให้กรดไลโนเลอิกเป็นประจำทุกวัน ถ้าได้ร้อยละ ๑๒ ของแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวันจะเป็นการดี

๓. กินอาหารที่ให้คอเลสเทอรอลให้น้อยลงโดยหลีกเลี่ยงการกินเครื่องในสัตว์ หนังเป็ด หนังไก่สำหรับไข่ไม่ควรงด เพราะเป็นอาหารที่ให้โปรตีนที่ดีแต่ให้กินในรูปของไข่ดาวหรือไข่เจียว โดยใช้ทอดด้วยน้ำมันพืช

นอกจากนี้การปฏิบัติตัวในสิ่งต่อไปนี้ คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน ไม่สูบบุหรี่ ตลอดจนไม่กินขนมหวานเป็นประจำล้วนมีส่วนควบคุมระดับคอเลสเทอรอลในเลือดไม่ให้สูงกว่าปกติ เฉพาะผู้ที่มีสาเหตุจากกรรมพันธุ์เท่านั้นที่จำเป็นต้องกินยาลดคอเลสเทอรอลร่วมด้วย

ฉี่บ่อย ระวัง โรคร้าย ถามหา

การปัสสาวะบ่อย ๆ นอกจากจะรบกวน การดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายบางชนิดที่ทุกคนจะต้องพึงระวัง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วสันต์ เศรษฐวงศ์ หน่วยศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลเลิดสิน อธิบายว่า อาการปัสสาวะบ่อย ในทางการแพทย์ หมายถึง ปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้งในตอนกลางวัน หรือ มากกว่า 2 ครั้งในตอนกลางคืนหลังเข้านอน

คนที่อายุมากขึ้น โอกาสพบปัสสาวะบ่อยก็มากขึ้นด้วย โดยคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีโอกาสพบ 4% ในขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปี มีโอกาสพบถึง 15% ซึ่งอาการปัสสาวะบ่อยในคนหนุ่มสาวมักจะหาสาเหตุได้ง่ายกว่าในผู้สูงอายุที่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ

ปัจจัยหรือสาเหตุของอาการปัสสาวะบ่อยมีดังนี้

กลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรค เกิดจาก การดื่มน้ำมาก ทำงานในสภาวะอากาศที่เย็น ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีภาวะเครียด หรือการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ

กลุ่มที่เป็นโรค แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ

1. ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคเบาหวาน โรคเบาจืด
2. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง เช่น

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเกิดขึ้นหลังจากกลั้นปัสสาวะนาน ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย แสบขัด ไม่สุด ปวดท้องน้อย และอาจมีเลือดปนออกมา ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอักเสบอาจลุกลามไปที่กรวยไต ผู้ป่วยอาจมีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ พบในผู้ชายมากกว่า ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะขัด ๆ ไม่พุ่ง หยุดสะดุดเป็นช่วง ๆ ระหว่างปัสสาวะ เมื่อตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดแดง เอกซเรย์จะพบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

มะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ พบบ่อยในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะเป็นเลือดเพียงอย่างเดียว โดย ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย แต่บางครั้งอาจมีปัสสาวะบ่อย แสบขัด ต้องอาศัยการตรวจรังสีวินิจฉัย หรือส่องกล้อง

กระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร หรือ โอเอบี เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อยมาก อาจถึง 30 ครั้งต่อวัน กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะแต่ละครั้งออกไม่มาก บางรายอาจปัสสาวะไม่สุด ปวดท้องน้อยร่วมด้วย อาการดังกล่าวมักเป็นมานานแล้ว เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการทำงานที่ไวผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ

นอกจากนี้อาการปัสสาวะบ่อย อาจเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะข้างเคียง ที่มีผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เช่น นิ่ว ในท่อไตส่วนล่าง ท่อปัสสาวะอักเสบจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียมท่อปัสสาวะ ฝ่อหลังวัยทองในผู้หญิง ต่อมลูกหมากโตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง และท้องผูกเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรค แพทย์จะอาศัยการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจรังสีวินิจฉัย หรือการตรวจด้วยวิธีพิเศษ

การรักษาอาการปัสสาวะบ่อยนั้น ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุ โรคบาง ชนิดทานยาก็หาย เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร แต่บางชนิดอาจจะต้องผ่าตัด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากที่เคยดื่มน้ำมาก ก่อนนอนก็ต้องงดหรือดื่มน้อยลง

ท้ายนี้ขอแนะนำ ว่า คนที่มีอาการปัสสาวะบ่อยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะรักษาแต่เนิ่น ๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคร้ายให้หายขาดอีกด้วย.

สารพัดประโยชน์จาก...พริก

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่าคุณสมบัติข

องสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ’ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง

Tips

เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน

สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว

เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับ “ตับ” ที่คุณอาจยังไม่รู้จัก

“แย่แล้ว! หมอบอกว่าอั๊วะตับแข็ง ทำไงดี? ทำไมเป็นอย่างนั้นไปได้? อายุก็ยังไม่เท่าไหร่ แค่สามสิบฝ่าๆ เท่านั้นเป็นไปได้ยังไงเนี่ย? อะไรเป็นสาเหตุ? และเราสามารถรักษาให้มันหายขาดได้มั้ย? แล้วจะตายมั้ย.....ทำไงดี?” ถ้าคุณหรือคนใกล้ชิดเป็นคนหนึ่งที่มีคำถามแบบนี้ ลองอ่านบทความข้างล่างดู อ่านพอได้ไอเดียครับ ตับเป็นอวัยวะของร่างกายชิ้นหนึ่ง ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ อยู่บริเวณใต้ชายโครงขวา ซึ่งเวลาแพทย์จะตรวจดูตับของเรา จะให้เรานอนหงาย หายใจเข้าออกลึกๆ และใช้มือคลำบริเวณใต้ชายโครงขวา ตับมีหน้าที่หลายอย่าง ทั้งในการสร้างสรรค์สารต่างๆ ที่จำเป็น เช่น โปรตีนอัลบูมิน สารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษที่ยากต่อการเข้าใจว่า coagulation factors น้ำย่อยหลายชนิด ต่างๆ เหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นจากตับ เท่านั้นยังไม่พอ ตับยังทำหน้าที่ในการทำลายสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายรับเข้าไปจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจากการกิน หรือเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีการอื่น เช่น การฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือหลอดเลือด เวลาเกิดตับแข็ง ตับมักจะเล็กลงกว่าปกติ แต่เวลาเกิดตับอักเสบ ตับมักจะมีขนาดโตขึ้น

โรคที่เกิดกับตับที่คุณรู้จักกันโดยทั่วไป คือ โรคตับแข็ง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ กระแช่ หรือแม้แต่ยาดอง หากดื่มในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ ภาวะตับแข็ง อาการที่ปรากฏโดยทั่วไป คือ การที่มีการที่มีตัวเหลือง ตาเหลือง ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ดีซ่าน” เกิดจากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยแอลกอฮอล์แล้วทำให้เกิดการอักเสบซ้ำๆ ส่วนใหญ่หากเกิดภาวะตับแข็งแล้ว ตับเสียแล้วเสียเลย จะให้หายหรือดีขึ้นคงยาก สิ่งที่ทำได้คือ พยายามให้มันทรงสภาพเดิมอยู่ให้ได้ ไม่ให้แย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตามภาวะตับแข็งอาจเกิดจากหลายสาเหตุไม่เฉพาะจากการดื่มแอลกอฮอล์เสมอไป เช่น การได้รับสารพิษ (สารเคมีบางชนิด เช่น คาร์บอนเตตราคลอไรด์) การติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ (เช่น ไวรัสตับอักเสบบี หรือซี)

ตับนั้นเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือดหลายอย่าง เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่เคยเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดมาก่อน (สมัยที่อยู่ในท้องแม่) ที่จะสร้างที่ไขกระดูกเมื่อคลอดออกมาแล้ว หรืออย่าง ภาวะดีซ่าน ที่อาจสามารถปรากฏให้เห็นได้กรณีที่มีเม็ดเลือดแดงแตก โดยที่ไม่ได้เป็นโรคตับเลย แต่เกิดจากสารบิลลิลูบินที่เกิดขึ้นมีสีเหลือง แล้วไปจับที่บริเวณตาขาวและผิวหนัง หรือกรณีที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือด หรือมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองก็สามารถทำให้ตับโตขึ้นมาได้เช่นกันโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นโรคโลหิตจาง (ซีด) ทางพันธุกรรมที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย สามารถทำให้ตับโต รวมทั้งทำให้เกิดภาวะดีซ่านได้จากการที่มีเม็ดเลือดแดงแตกมากๆ เป็นเวลานานๆ ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างหน้าตาผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถคงสภาพความเป็นเม็ดเลือดได้เท่ากับเซลล์ที่ปกติ การแตกของเม็ดเลือดนี้เองยังก่อให้เกิดปัญหาอีกหลายอย่าง เนื่องจากในเม็ดเลือดแดงมีสารหลายอย่างอยู่ภายใน เช่น สารบิลลิลูบิน การสะสมมากๆ อาจทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ มีสารโฟลิกที่จำเป็นในการสร้างสารพันธุกรรม หากมีการแตกมากๆ ร่างกายก็ต้องการโฟลิกในปริมาณที่มากขึ้น การแตกของเม็ดเลือดมีสารอีกอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหา คือ ธาตุเหล็ก เหล็กเป็นโลหะหนักที่ร่างกายต้องการ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเม็ดเลือดแดง อยู่ในส่วนประกอบที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน ซึ่งจะเป็นตัวที่จับกับออกซิเจน และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเอนไซม์และเซลล์หลายชนิด การแตกของเม็ดเลือดแดงจะทำให้ธาตุเหล็กที่อยู่ภายในออกมาในกระแสเลือด

ปัญหาที่สำคัญก็คือ ร่างกายมีขบวนการในการกำจัดธาตุเหล็กหากมีมากเกินไปได้ในปริมาณที่จำกัด และเมื่อมีการสะสมธาตุเหล็กมากๆ ร่างกายก็จะเกิดปัญหาได้หลายอย่าง อวัยวะหลักที่ธาตุเหล็กจะไปสะสม คือ ม้ามและตับ การที่เหล็กไปสะสมที่ม้ามมากๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหากับร่างกายมากนัก เนื่องจากม้ามไม่ได้มีบทบาทมากมายในร่างกายมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่หากธาตุเหล็กไปสะสมที่ตับมากๆ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ เกิดภาวะตับแข็ง ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นก็จะเหมือนกับตับแข็งที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากๆ เช่นกัน จะมีอาการดีซ่าน มีน้ำในช่องท้องและช่องปอด หากเป็นมากๆ ก็จะมีท้องโต บวมน้ำ เป็นต้น (ซึ่งแตกต่างจากโฟลิกนะครับ เนื่องจากพอเม็ดเลือดแตก ก็จะมีการสลายและกำจัดออกไปทางปัสสาวะหมด จึงต้องมีการรับประทานเพิ่มเติม)ธาตุเหล็กที่มีมากเกิดความต้องการของร่างกาย เนื่องจากไม่สามารถกำจัดได้ในปริมาณที่มากพอ การสะสมไม่ใช่ว่าจะสะสมที่ตับและม้ามเพียงเท่านั้น มันยังไปสะสมที่ตับอ่อน ที่หัวใจ และที่บริเวณผิวหนัง ได้ด้วย อยากทราบไหมครับว่ามันทำให้เกิดโรคได้หรือไม่? ไม่ต้องสงสัยเลยครับ เวลาที่เหล็กไปสะสมที่ตับอ่อน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ จะเกิดการทำลายของเซลล์ของตับอ่อนบางชนิด ทำให้เกิดโรคเบาหวาน เนื่องจากเซลล์ไม่สามารถสร้างอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด

โดยทำให้น้ำตาลสามารถถูกเซลล์นำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานภายในได้ธาตุเหล็ก หากสะสมที่หัวใจมากๆ ปัญหาที่เกิดตามมาคือ กล้ามเนื้อหัวใจจะถูกทำลาย และไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ ความยืดหยุ่นของหัวใจเสียไป ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และอาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจได้ หากสะสมที่ผิวหนังก็จะทำให้ผิวหนังมีสีดำเข้ม เป็นมัน และหากสะสมมากๆ ก็จะทำให้เกิดแผลเรื้อรังบริเวณขาและหน้าแข้ง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเลือดไปเลี้ยงน้อย สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ แผลนั้นจะไม่ยอมหายสักที รักษากันเป็นปีๆ บางครั้งยังไม่หายเลย หากเกิดการติดเชื้อที่รุนแรง อาจต้องถึงขั้นตัดขาทิ้ง หรืออาจเสียชีวิตได้หากมีการติดเชื้อในกระแสเลือดแผนการรักษาปัจจุบันคือ พยายามให้ยาเอาธาตุเหล็กออกจากร่างกายให้มากที่สุด และพยายามหลีกเลี่ยงการได้รับเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา หรือการให้เลือด ที่จะทำให้มีการสะสมของเหล็กมากเกินไป รายละเอียดในเรื่องนี้มีอยู่มากมาย เอาไว้มีโอกาสจะถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ทราบต่อไปนะครับ

เบอร์อาหารจานด่วน

ไก่ Chester Grillโทรสั่งที่ 1145บริการในเวลา 10.00 -21.00 น.
สั่งอาหารตั้งแต่ 120 บาท
ค่าจัดส่ง 30 บาท

JJ Delivery โทรสั่งที่ 02-712-3000 บริการในเวลา 09.30 -21.00 น.
Promotions
Delivery Menu

ไก่ KFCโทรสั่งที่ 1150บริการในเวลา 10.00 -24.00 น.
สั่งอาหารตั้งแต่ 120 บาท
ค่าจัดส่ง 20 บาท

McDelivery บริการ 24 ชั่วโมงโทรสั่งที่ 1711
Promotions
ค่าจัดส่ง 20 บาท
ค่าจัดส่งหลังเที่ยงคืน 30 บาท

MK Delivery โทรสั่งที่ 02-248-5555
Promotions
Menu

OISHI Delivery โทรสั่งที่ 02-712-3456
สั่งขั้นต่ำ 200บาท คิดค่าจัดส่งครั้งละ 20บาท (สั่ง300 ฟรีค่าจัดส่ง)
Delivery Menu

Pizza Hutโทรสั่งที่ 1150บริการในเวลา 10.00 -24.00 น.
Promotions
Delivery Menu

Pizzaria Delivery โทรสั่งที่ 02-678-0555 บริการในเวลา 10.00 -21.00 น.
Promotions
Delivery Menu

The Pizza Company โทรสั่งที่ 1112บริการในเวลา 10.00 -24.00 น.(ส่งฟรี)
Promotions
Menu

See Fah สีฟ้า โทรสั่งที่ 0-2800-8080 บริการในเวลา 10.00 -21.00 น.
Promotions
Delivery Menu

Skylark Delivery โทรสั่งที่ 1142 บริการในเวลา 10.00 -21.00 น.
Promotions
Delivery Menu

S&P Delivery โทรสั่งที่ 1344 บริการในเวลา 9.00 -21.00 น.
สั่งขั้นต่ำ 150 บาท ค่าจัดส่ง 20 บาท
Delivery Menu

มหันตภัยของการนอนดึก

การอดหลับอดนอนคงเป็นเรื่องธรรมดาของเหล่ามนุษย์เงินเดือนไปเสียแล้ว! ไม่ว่าจะเกิดมาจากสาเหตุใดก็ตามเถอะ แต่จงอย่าให้มันกลายเป็นความเคยชิน เพราะผลกระทบของการนอนดึกนั้นมันร้ายแรงกว่าที่คิดจริงๆ ถ้าคุณสาวๆ ยังไม่เชื่อลองมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของเหล่านักนอนเช้าตัวยงกัน ระบบการย่อยอาหาร

การอดหลับอดนอน ส่งผลให้ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ ต่างจากการนอนตรงตามเวลา นอนแต่หัวค่ำ อุจจาระที่ถ่ายออกมาก็จะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ และไม่เหนียว หรือแข็งหยาบจนเกินไป

ทั้งนี้เกิดจากการที่ร่างกายของเรานั้นย่อยอาหารได้ไม่ดีและไม่หมด เพราะระบบการย่อยมันอ่อนล้าจากการที่นอนไม่เป็นเวลา

แนวทางแก้ไข

จำเป็นต้องนอนดึกจริงๆ ให้หลีกเลี่ยงหรือลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ หรืออาหารเหนียวๆ เพื่อมิให้ลำไส้ทำงานหนัก เพราะหลังจากที่เราหลับไปแล้ว ถ้าคุณยัดอาหารหนักลงกระเพาะ ลำไส้ก็ยังคงต้องทำงานอยู่ มิได้พักผ่อน และทำให้เกิดปัญหา

แล้วถ้าหากตื่นนอนขึ้นมาแล้ว มีความรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ควรที่จะรับประทานไข่ นม หรือน้ำผลไม้แทนอาหารหนักจำพวกเนื้อสัตว์ ก็จะสามารถรอดจากอาการท้องผูกเป็นประจำได้ แต่ทางที่ดีอย่านอนดึกเลย หรือจำเป็นจริงๆ ก็ควรออกกำลังหน้าท้องเข้าไว้ เพื่อสร้างกำลังให้ท้องสามารถรีดอุจจาระออกมาได้เร็ว

ระบบปัสสาวะ

ลองสังเกตกันไหมว่า ถ้าเรานอนแต่หัวค่ำ (ประมาณ 3-4 ทุ่ม) พอรุ่งเช้าเราตื่นขึ้นมาก็จะปัสสาวะเพียงครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก กลางดึกก็จะต้องลุกเข้าห้องน้ำอยู่บ่อยๆ

เพราะร่างกายใช้งานเกินลิมิตไปแล้ว กล้ามเนื้อข้างในเลยพยายามบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือจะปัสสาวะบ่อย และนั่นเองที่ทำให้เกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย

แนวทางแก้ไข

ให้รับประทานแคลเซียมเม็ดเพื่อป้องกันเลือดจาง แต่ควรทานวันละ 1 เม็ดเท่านั้น เพราะทานมากไปจะเกิดภาวะแคลเซียมพอก หรืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท

แล้วต่อไปหากจำเป็นต้องนอนดึก ควรจะดื่มน้ำมากๆ และควรเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อช่วยระบบเลือดและความดันโลหิตด้วย ส่วนคนที่ใช้เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ ควรเลิกซะ เพราะพอเราอยู่ดึกมากๆ และกลั้นปัสสาวะ มันก็จะซึมเข้าไปในเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และจะไปประทุที่ขาหนีบ

ระบบเหงื่อ

สำหรับคนที่มีความเข้าใจว่า ถ้าไม่มีเหงื่ออกเสียเลยจะมีสุขภาพที่ดีนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด เพราะถ้าเหงื่อไม่ออก ความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ รวมไปถึงของเสียต่างๆ ที่จะถูกระบายพร้อมเหงื่อ ก็จะไม่ถูกระบาย ก็จะทำให้อึดอัด รวมไปถึงโรคผิวหนัง อาทิ สิว ฝ้า ก็จะถามหาเอาง่ายๆ

คนที่นอนดึกดังที่ทราบกันว่าจะไม่ค่อยมีเหงื่อออก จึงมักจะเผชิญกับปัญหาของเสียตกในอยู่เสมอ และแน่นอนว่าสิว ฝ้า ก็จะตามมาเป็นปัญหาต่อไป อีกทั้งถ้าเหงื่อไม่ออก การระบายน้ำก็จะตกไปเป็นภาระของไต เพื่อขับออกมาเป็นปัสสาวะ ไตเลยต้องทำงานหนัก แถมยังทำให้ปัสสาวะถี่อีกต่างหากแนวทางแก้ไข

ก็คงไม่ต่างจากระบบอื่นๆ คือการดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ และที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเรียกเหงื่อให้ออกมา

ช่วยคน “เป็นลม” ให้ถูกวิธี

เป็นลม หมายถึงภาวะที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว หรือหมดสติไปอย่างกะทันหัน ในทางการแพทย์สามารถแบ่งสาเหตุได้หลายประการ เช่น ถ้าพบในคนอายุต่ำกว่า 30 ปี มักเกิดจากสาเหตุที่ไม่ร้ายแรง แต่ถ้าพบในคนสูงอายุ อาจเกิดจากสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงการเป็นลมธรรมดา ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด

** สาเหตุ

เป็นลมธรรมดาพบได้ค่อนข้างบ่อยในคนทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยจัด อดนอน หรือหิวข้าว อยู่ในฝูงชนแออัด อากาศไม่พอหายใจ อยู่ในที่ที่อากาศร้อนอบอ้าว หรือกลางแดดร้อนจัด มีอารมณ์ตื่นเต้น ตกใจกลัว หรือเสียใจอย่างกะทันหัน

ภาวะดังกล่าวทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอชั่วขณะ ส่งผลให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน หมดสติไปชั่วครู่ ผู้ป่วยมักจะฟื้นคืนสติได้เอง โดยไม่เกิดอันตรายร้ายแรง นอกจากในรายที่มีอาการเป็นลมล้มจากที่สูง อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ

** อาการ

อาการมักจะเกิดขึ้นขณะที่กำลังยืน เริ่มด้วยรู้สึกใจหวิว วิงเวียนศีรษะ ตาพร่า หูอื้อ คลื่นไส้ หน้าซีด เหงื่อออก มือเท้าเย็น ถ้าได้นั่งหรือนอนลงทันทีจะรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้ายังยืนอยู่ แขนขาจะอ่อนแรง ทรงตัวไม่อยู่ ทรุดลงกับพื้น และหมดสติไป ผู้ป่วยจะหมดสติอยู่เพียงชั่วครู่ อาจนานเพียงไม่กี่วินาที ถึง 1-2 นาที และมักจะฟื้นคืนสติได้เอง ในบางรายอาจเกิดอาการต่างๆ โดยไม่หมดสติก็ได้

** การปฐมพยาบาล

1.ให้ผู้ป่วยนอนศีรษะต่ำ (ไม่ต้องหนุนหมอน ยกขาสูง) คลายเสื้อผ้าและเข็มขัดให้หลวม เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ
2.อย่ามุงดูผู้ป่วย เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
3.ใช้น้ำเย็นเช็ดบริเวณใบหน้า คอ แขนขา และให้ดมยาดม จะช่วยให้รู้สึกตัวเร็วขึ้น
4.อย่าให้ผู้ป่วยกินหรือดื่มอะไรขณะที่ยังไม่ฟื้น เพราะจะทำให้สำลักเป็นอันตรายได้
5.เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว ให้นอนพักต่ออีกสักครู่ อย่าเพิ่งลุกนั่งเร็วเกินไป อาจทำให้เป็นลมซ้ำอีกได้
6.เมื่อผู้ป่วยฟื้นคืนสติและเริ่มกลืนได้ อาจให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือน้ำหวาน

ผู้ป่วยที่เป็นลมธรรมดา มักจะฟื้นได้เองภายในเวลาไม่กี่นาที แต่ถ้าหมดสติไปนาน หายใจไม่สม่ำเสมอหรือหายใจช้าผิดปกติ ควรนำส่งโรงพยาบาลทันที ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ผายปอดโดยวิธีเป่าปาก แล้วส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้

1.ผู้ป่วยไม่ฟื้นภายใน 15 นาที
2.ผู้ป่วยอายุมากกว่า 30 ปี มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ เป็นต้น
3.มีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น หายใจหอบเหนื่อย ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดศีรษะ วิงเวียน เห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง
4.มีอาการตกเลือด เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ มีบาดแผลเลือดออก เป็นต้น
5.มีภาวะขาดน้ำ อาเจียนรุนแรง ท้องเดินรุนแรง มีไข้สูง

การเป็นลมธรรมดาโดยไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อนเป็นเรื่องที่ไม่น่าวิตก แต่ถ้าเป็นลมบ่อยๆ เป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อาจไม่ใช่แค่เป็นลมธรรมดา ควรปรึกษาแพทย์

“ดาร์กช็อกโกแลต” ถึงจะขม แต่ดีกว่า "ช็อกโกแลตนม"

บีบีซีนิวส์ – นักวิจัยชาวสก็อตและเมืองมักกะโรนีเผยผลงานวิจัยสวนกระแสกับบรรดาคอช็อกโกแลตที่ว่า ดาร์กช็อกโกแลตจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าช็อกโกแลตใส่นมที่มีสีอ่อนกว่า พร้อมเตือน ถึงแม้มีผลดีแต่ก็ไม่ให้กินในปริมาณมากเกินไป

นักวิจัยในสกอตแลนด์และในอิตาลีเปิดเผยผลการวิจัยที่ว่าช็อกโกแลตแท้ที่ไม่ผสมนม (ดาร์กช็อกโกแลต)จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าช็อกโกแลตที่ผสมนม เนื่องจากว่าช็อกโกแลตสีเข้มจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่า ซึ่งสารนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระที่อาจจะก่อตัวขึ้นบริเวณหัวใจและหลอดเลือด โดยนักวิจัยได้ระบุว่านมที่ผสมอยู่ในช็อกโกแลตอาจจะไประงับสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในช็อกโกแลต

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ร่วมมือกับนักวิจัยของสถาบันวิจัยทางด้านอาหาร และโภชนาการของอิตาลีได้ศึกษาประโยชน์ ที่แตกต่างกันระหว่างดาร์กช็อกโกแลตกับช็อกโกแลตผสมนม ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ โดยก่อนหน้านี้มีผลงานวิจัยที่ศึกษาเพียงแต่ว่าช็อกโกแลตจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ศึกษาความแตกต่างระหว่างดาร์กช็อกโกแลตกับช็อกโกแล็ตที่ผสมนม

นักวิจัยได้คัดเลือกอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีเป็นชาย 4 คนและหญิง 7 คน โดยให้อาสาสมัครทั้งหมดทานดาร์กช็อกโกแลตและช็อกโกแลตผสมนม โดยนักวิจัยให้อาสาสมัครที่มีอายุระหว่าง 25 – 35 ปีทานช็อกโกแลตผสมนมเป็นสองเท่าของอาสาสมัครคนอื่นๆ ซึ่งนักวิจัยพบว่าอาสาสมัครที่ทานช็อกโกแลตนมเป็นสองเท่าจะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในปริมาณที่เท่ากับคนที่ทานช็อกโกแลตทั้งสองอย่างเท่ากัน

นอกจากนี้นักวิจัยยังเฝ้าสังเกตผลที่เกิดจากการให้อาสาสมัครทานดาร์กช็อกโกแลตพร้อมกับดื่มนมในเวลาเดียวกัน ซึ่งพบว่านมจะทำให้สารอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตมีปริมาณลดลงเหลือเพียงแค่ร้อยละ 20 เท่านั้น โดยศาสตราจารย์ อลัน โครเซียร์นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์เผยว่าโปรตีนในนมจะทำให้ร่างกาย ไม่สามารถดูดซึมสารอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้รวมถึงสารอนุมูลอิสระที่อยู่ในอาหารอื่น เช่น ผลไม้ ชา หรือไวน์แดง เป็นต้น

ศาสตราจารย์โครเซียร์ได้กล่าวเตือนบรรดาคอช็อกโกแลตทั้งหลายว่า ถึงแม้อาจจะมองเห็นถึงประโยชน์ของช็อกโกแลตว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่ช็อกโกแลตนี้เองไม่ว่าใส่นมหรือไม่ใส่นมก็ยังมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณมาก ซึ่งอาจจะทำให้คลอเรสเตอรอลที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยโครเซียร์แนะนำว่า ควรกินช็อกโกแลตหนึ่งแท่งเล็กๆต่อวันก็พอ และหากต้องการสารต่อต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เท่ากับช็อกโกแลตหนึ่งแท่งก็ควรที่จะหัน ไปทานผลไม้หรือผักห้าชิ้นต่อวันแทนจะดีกว่า

BMI สำคัญอย่างไรต่อสุขภาพของคนไทย?

มาริสาและซาห์ร่า 2 สาวเพื่อนซี้ต่างเชื้อชาติ เพ่งมองตัวเลขที่ปรากฏตรงหน้าตัวเองอย่างสนใจ หลังจากชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง แล้วนำไปคำนวณตามเกณฑ์ดัชนีมวลกาย เพื่อดูว่าทั้งสองคนมีสัดส่วน อ้วน ผอม เพียงใด

18 คือตัวเลขของมาริสา ส่วน 20.5 เป็นของซาห์ร่า

จากตัวเลข 18 มาริสาได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ว่า เธอควรดูแลตัวเองให้มากขึ้นทั้งเรื่องของการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย เพราะอยู่ในเกณฑ์ผอม ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ส่วนซาห์ร่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ก็ต้องระมัดระวังมิให้ตัวเลขสูงไปกว่านี้เช่นกัน

ทั้งสองคนจากเจ้าหน้าที่คนนั้นมาโดยตั้งคำถามทิ้งท้ายไว้ว่า ตัวเลขนี้เชื่อถือได้เพียงใด และใช้ได้กับคนทุกเชื้อชาติหรือไม่

การใช้ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) หรือ BMI

เป็นวิธีหนึ่งของการประเมินปริมาณไขมันในร่างกายที่นิยมใช้กันทั่วไป เพื่อประเมินภาวะอ้วนผอมในบุคคลอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป โดยใช้สมการ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)ส่วนสูง (เมตร) แล้วเปรียบเทียบกับค่าที่กำหนดไว้

น้อยกว่า 18.5 = ผอม
ระหว่าง 18.5 –24.9 = สมส่วน
ระหว่าง 25 -29.9 = น้ำหนักเกิน
มากกว่า 30 = อ้วน
มากกว่า 40 = อ้วนอันตราย

จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า คนอ้วนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด ในขณะที่คนผอมนั้นประสิทธิภาพในการทำงานลดลง การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยมีดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18.5-24.9 จึงเป็นสิ่งที่การแพทย์แนะนำให้ทุกคนควรปฏิบัติ

ค่าไหนเหมาะสมสำหรับคนไทย?

เหตุที่ดัชนีมวลกายได้รับความนิยมมาก แม้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นและบอกได้โดยประมาณก็ตาม ผศ.ดร.วงสวาท โกศัลวัฒน์ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า เป็นเพราะดัชนีมวลกายเป็นดัชนีที่มีความสัมพันธ์กับระดับไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังในร่างกายของเราค่อนข้างดีที่สุด สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

ต่อมาได้มีการศึกษาพบถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่า BMI กับอัตราเสี่ยงของการตายด้วยโรคต่าง ๆ เป็นรูปตัว J นั่นคือคนที่มี BMI ต่ำ จะเสี่ยงจากการตายด้วยโรคติดเชื้อ เนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำ ขณะที่คนที่มี BMI สูง ก็เสี่ยงจากการตายด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน เป็นต้น และผลสรุปจากการศึกษาพบว่า คนที่มีความเสี่ยงจากการเป็นโรคต่าง ๆ น้อยที่สุดมีค่า BMI อยู่ที่ 20-24.9

อย่างไรก็ตาม ค่า BMI 20-24.9 พัฒนาขึ้นมาจากการวิจัยทางด้านองค์ประกอบร่างกายของชาวตะวันตก ซึ่งมีลักษณะและโครงสร้างร่างกายแตกต่างชาวเอเชีย จึงมีการศึกษาในคนเอเชีย ก็ค้นพบว่า BMI ที่ 20 บางครั้งยังสูงไปสำหรับคนเอเชีย จึงมีการศึกษาทางด้านภาวะการขาดพลังงาน ซึ่งมีผลต่อสมรรถภาพการทำงาน ได้ค้นพบว่า ค่า BMI น่าจะลงต่ำได้ถึง 18.5 ถ้าค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 ถือว่าอยู่ในภาวะขาดพลังงานเรื้อรัง “คนที่มีค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 ถือว่ากำลังกินทุนของตัวเอง ถ้าคนนี้ป่วยแล้วจะป่วยหนัก เนื่องจากใช้ต้นทุนของตัวเองอยู่” ดร.วงสวาทกล่าว

จากผลการศึกษาดังกล่าว องค์การอนามัยโลกจึงประกาศค่า BMI ที่เหมาะสมสำหรับคนทั่วไปเป็น 18.5-24.9

นอกจากอ้วน BMI บอกอะไรได้อีก?

มีรายงานว่า ปริมาณไขมันที่มากเกินไปมีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตและไขมันในเลือด นอกจากนี้ยังมีรายงานถึงความสัมพันธ์กันระหว่างเด็กอ้วนกับผู้ใหญ่อ้วน โดยเฉพาะเด็กที่ย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น บ่งชี้ว่า ปริมาณไขมันในเด็กและวัยหนุ่มสาวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคที่สัมพันธ์กับโรคอ้วนในวัยผู้ใหญ่ อาทิ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

จากการศึกษาปัญหาโรคอ้วนในคนเอเชีย พบว่าในคนเอเชียที่มีโครงสร้างที่เล็กกว่า มีรูปแบบของการสะสมไขมันในร่างกายแตกต่างจากคนผิวขาว นั่นคือคนเอเชียแม้มี BMI ต่ำ ๆ ก็ดูว่าอ้วนแล้ว

ประกอบกับมีการศึกษาโดยองค์การอนามัยโลก ที่รวบรวมข้อมูลของคนเอเชียทั้งหมด รวมทั้งของไทยด้วย เพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างค่า BMI กับปริมาณของไขมันในร่างกาย พบว่า คนผิวขาวและคนเอเชียที่มีค่า BMI เท่ากัน ปริมาณไขมันที่สะสมในร่างกายต่างกัน จึงมีการถอยค่า BMI มาอยู่ที่ 18-23, 23-24.9, 25-29.9, มากกว่า 30 และ มากกว่า 40

“พอดีมีประเด็นของคนไทยเราที่เป็นผลพลอยได้จากการศึกษาที่ขอนแก่นโดยทีมของคุณหมอรัชตะ ดูภาวะโภชนาการกับความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งเครื่องมือที่วัดสามารถวัดปริมาณไขมันได้ด้วย คือบอกสัดส่วนของร่างกายและปริมาณไขมัน เรามีข้อมูลของคนขอนแก่นและข้อมูลของคนกรุงเทพ แล้วเอาไปเข้าสมการดูว่า ก็พบว่าคนกรุงเทพที่มีค่า BMI เท่ากับคนผิวขาว จะมีไขมันมากกว่า ซึ่งเท่ากับว่า ค่า BMI ของคนไทยถึงจะไม่สูง ก็ถือว่าอ้วนแล้ว ทีนี้พอมาดูคนขอนแก่นเราพบว่า BMI ที่เท่ากับคนผิวขาว ปริมาณไขมันก็เท่ากันด้วย เราจึงหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็พบว่า น่าจะมาจากการออกกำลังกาย เนื่องจากบุคคลที่เราวัดเป็นเกษตรกร เพราะหากออกกำลังกายมาก การสะสมไขมันในร่างกายของก็จะน้อย จึงเป็นจุดที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่ว่า หากใช้ค่า BMI ที่เป็นตัวเลขเดียว จะไม่ได้ค่าที่แม่นยำ ควรพิจารณาค่าอย่างอื่นประกอบด้วย”

ดร.วงสวาท กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ค่า BMI จึงเป็นค่าที่บอกเกณฑ์การเฝ้าระวังโรคต่าง ๆ รวมถึงใช้ในเรื่องของการกำหนดแผนการทำงาน เช่น ถ้า BMI ของกลุ่มประชากรมาถึงระดับนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีกิจกรรมอะไรบ้างในการเฝ้าระวังหรือรักษา

ดร.วงสวาทกล่าวถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งดำเนินการร่วมกันระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของไทย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และจีน นำโดยนายแพทย์ไพบูลย์ สุริยวงศ์ไพศาล โดยนำข้อมูลของอินเตอร์เอเชียจากการสำรวจหลาย ๆ ภาค หลายจังหวัด มาพิจารณา

“เราเอาค่า BMI ของคนสุพรรณบุรีมาดู แล้วทำนายอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคโดยลองใช้ค่า BMI ใหม่ที่บอกว่าควรอยู่ระหว่าง 18.5-23 และ 23-24.9 และ 25 ขึ้นไป และก็ 30 เราพบว่าพอค่า BMI ที่ 23 ก็เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานแล้ว ขณะที่โรคไขมันในเลือดสูง ค่า BMI อยู่ที่ 25 นั่นแสดงว่า คนที่มีค่า BMI 25 มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายชนิด”

เมื่อพบว่าเบาหวานเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคความดันโลหิตและไขมันในเส้นเลือดสูง ดังนั้นเบาหวานก็คือตัวที่ต้องเฝ้าระวัง นั่นคือความสำคัญของค่า BMI ที่ใช้เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของการเกิดโรคด้วย

BMI กับการลงพุง

เพื่อเพิ่มค่าความแม่นยำและเที่ยงตรงในการพยากรณ์โรคที่เกี่ยวเนื่องกับความอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้มีการนำ การวัดเส้นรอบเอว มาใช้เป็นตัวชี้วัดประกอบอีกอันหนึ่ง ด้วยมีการค้นพบว่า คนอ้วนโดยเฉพาะบริเวณท้องหรืออ้วนลงพุง เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูงมากกว่าคนที่อ้วนปกติ ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาหาเหตุผลกันอยู่ว่า เหตุใดไขมันที่ไปอยู่บริเวณหน้าท้อง จึงส่งผลต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานเพิ่ม

BMI กับเด็กวัยรุ่น

ในกลุ่มเด็กวัยรุ่นหญิงที่กำลังนิยมความผอม ดร.วงสวาทเสนอความคิดเห็นว่า สามารถใช้ค่า BMI มาพิจารณาได้ว่า ถ้าหากต่ำกว่า 18.5 ถือว่าอยู่ในอันตราย เนื่องจากเด็กเหล่านั้นอยู่ในภาวะขาดพลังงานรุนแรงและเรื้อรัง เสี่ยงต่อการตายด้วยโรคติดเชื้อทั้งหลาย เพราะกำลังขาดภูมิต้านทาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรวางแผนงานและจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเข้าไปแก้ไขปัญหา

เมื่อใดที่ BMI จะเป็นคำตอบหลัก

แม้จะพบความสัมพันธ์ของค่า BMI กับภาวะเสี่ยงของการเกิดโรคอันเนื่องมาจากพฤติกรรมแต่ในงานวิจัยโดยทั่วไป มักใช้ค่า BMI เป็นตัวตั้งคำถามของการวิจัยรอง เมื่อต้องการหาคำตอบว่า BMI สามารถเป็นตัวชี้วัดภาวะเสี่ยงต่าง ๆ ได้หรือไม่ อย่างไร ดร.วงสวาทจึงเสนอว่า ต้องเอา BMI เป็นคำถามหลัก รวมทั้งต้องมีการศึกษาหาค่า BMI ที่เหมาะสมสำหรับคนไทยอย่างเป็นระบบและจริงจัง เพราะการศึกษาที่มีอยู่ ไม่ได้เป็นการศึกษาขนาดใหญ่ที่ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของค่า BMI ที่มีต่อคนไทยที่เห็นชัดเจนที่สุดขณะนี้ก็คือ เป็นตัวชี้วัดให้เห็นว่า ตัวเองนั้นอ้วนแล้วหรือยัง ตัวเองเสี่ยงต่อการเป็นโรคหรือเปล่า และดูแลตัวเองดีหรือยัง

29 พ.ย. 2551

ฝึกไอไว้ กันหัวใจหยุดเต้น

รอยเตอร์ - แพทย์ชาวโปแลนด์ระบุว่า การไอดัง ๆ ทันทีที่รู้สึกว่ามีอาการหัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest) อาจช่วยชีวิตคนไข้เอาไว้ได้ เพราะจะช่วยสร้างแรงดันให้เลือดสูบฉีดในร่างกาย และส่งไปถึงสมองได้ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ระหว่างที่รถพยาบาลยังมาไม่ถึง

ทาเดอุซ เปเตเลนซ์ จากมูลนิธิโรคหัวใจในโปแลนด์กล่าวในการประชุมประจำปี ของสมาคมหัวใจยุโรป (อีเอสซี) ว่า การฝึกให้คนไข้ปั๊มหัวใจตัวเองด้วยการไอแรง ๆ นั้น อาจช่วยพวกเขาให้รอดชีวิตจากอาการหัวใจหยุดเต้นได้ โดยการไอที่เหมาะสมและถูกจังหวะ จะช่วยให้คนไข้มีสติ และบางรายหัวใจอาจกลับมาเต้นดีเหมือนเดิม

ปัจจุบันชาวตะวันตกเสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้นปีละ 1,000 คน และมีเพียง 10% ของเหยื่อของอาการดังกล่าว ที่รอดชีวิตมาได้โดยที่สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน ดังนั้นคนไข้ที่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยง จึงควรฝึกไอไว้ โดยเริ่มจากการไอทีละครั้ง ทุก ๆ 1-2 วินาที เป็นช่วงสั้น 5 ครั้ง

ในการศึกษา นักวิจัยสอนให้คนไข้ 115 คนที่มีความเสี่ยงจะมีอาการหัวใจหยุดเต้น ฝึกไออย่างถูกวิธีเมื่อรู้สึกว่าจะมีอาการดังกล่าว กลุ่มคนไข้ทั้งหมดมีเกี่ยวกับหัวใจทั้งหมด 365 ครั้ง และเมื่อไอตามที่ฝึกไว้ อาการเหล่านั้นหายเองได้ถึง 292 ครั้ง มีเพียง 73 ครั้งเท่านั้นที่คนไข้ต้องตามแพทย์

ล้างพิษด้วยการสวนทวารหนักระวัง “ลำไส้ระเบิด”

สาธารณสุขเตือนการสวนทวารหนักด้วยน้ำเกลือ กาแฟ หวังล้างพิษออกจากร่างกาย มีอันตรายทำให้ลำไส้ระคายเคือง ระบม และระเบิดได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นลำไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ โรคไต ควรอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ ไม่ควรสวนทวารหนักโดยพลการ ย้ำการกินอาหารที่กากใยสูง ผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายมีระบบขับถ่ายของเสียได้เองอยู่แล้ว

นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในทางการแพทย์ใช้การสวนทวารหนัก เมื่อแพทย์ต้องการตรวจลำไส้ว่า มีความผิดปกติหรือไม่ แพทย์ต้องสวนทวารหนักเพื่อขับถ่ายสิ่งที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ออก หลังจากนั้นจึงใส่สารแบเรี่ยมซึ่งเป็นสารทึบแสง ดูว่าลำไส้มีความผิดปกติส่วนใด นอกจากนั้นยังใช้การสวนทวารหนักเพื่อรักษาภาวะลำไส้กลืนกันหรือซ้อนทับสวมกัน ค่อย ๆ ดึงลำไส้ให้อยู่ในตำแหน่งปกติรวมทั้งการสวนทวารหนักในกรณีที่ท้องผูก

นางนิตยา กล่าวว่า การสวนทวารหนักในปัจจุบันมีผู้นิยมสวนโดยใช้น้ำ น้ำเกลือ น้ำกาแฟ หวังผลเพื่อรักษาโรคและล้างพิษออกจากร่างกาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีข้อควรระวัง โดยเฉพาะคนที่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อักเสบ หากใส่น้ำหรือของเหลวที่มีความดันเข้าไปทางทวารหนักจะเกิดความระคายเคือง ผิวลำไส้ที่บางอยู่แล้ว อาจโป่งพองถึงขั้นแตกระเบิดได้ กลุ่มคนที่เป็นโรคไต กรณีใช้น้ำเกลือ กาแฟ สวนทวาร การรับน้ำหรือเกลือมากเกินไปมีผลต่ออวัยวะ ผิวสัมผัสของลำไส้ใหญ่ ทั้งนี้ ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกาย เมื่อสวนน้ำเกลือหรือกาแฟเข้าไป ร่างกาย จะได้รับทั้งเกลือ กาเฟอีน ผ่านการดูดซึมของลำไส้ใหญ่ บางคนที่ไวต่อเกลือและกาเฟอีนอาจเป็นอันตรายได้

“ต้องดูว่ามีความจำเป็นต้องสวนทวารหนักหรือไม่ ข้อห้ามเป็นอย่างไร คนที่สวนต้องมีความรู้ความชำนาญ ไม่ใช่ใครก็สวนได้ เพราะลำไส้เหมือนลูกโป่ง หากเป่าลมเข้าไปมากลูกโป่งก็แตกได้ เนื่องจากน้ำมีแรงดัน หากน้ำที่ไหลเข้ามีแรงดันสูงก็เป็นอันตรายได้ เคยมีผู้สวนทวารหนักด้วยกาแฟแต่น้ำร้อนเกินไปทำให้ลำไส้พองอักเสบ จนต้องเข้ารับการรักษา คือ ผู้สวนต้องรู้ว่าใช้ความดันเท่าใด อุณหภูมิเหมาะสม และเอาน้ำอะไรมาสวน หมออาจใช้น้ำสบู่กรณีท้องผูก ทุกคนใช้น้ำไม่เท่ากัน พวกที่เป็นลำไส้อุดตันต้องดูปริมาณน้ำด้วย ใส่เข้าไปเท่าใด จะออกมาเท่าใด”นางนิตยา กล่าวและว่า ต้องพิจารณาความถี่ในการสวนทวารหนักด้วย เช่นเด็กอ่อน หากสวนทวารหนักบ่อย ๆ ลำไส้เด็กจะไม่ทำงาน ไม่บีบตัว เด็กจะไม่ถ่ายอุจจาระเอง

นางนิตยา ย้ำว่า คนที่เป็นไส้ติ่ง ลำไส้อักเสบ ลำไส้อุดตัน พังผืดรัดลำไส้ มะเร็งลำไส้ที่มีพยาธิสภาพอยู่ ไม่ควรสวนทวารหนัก เพราะทำให้ลำไส้ระบมจากอุณหภูมิของน้ำที่ร้อนหรือเย็นเกินไป ลำไส้ระคายเพราะน้ำยาหรือสารเคมีที่ใช้สวน ไม่รู้ความเข้มข้น ไม่รู้ว่าจะสวนถี่แค่ไหน ลำไส้ระเบิด จากแรงงดันน้ำมากจนทำให้ลำไส้ขยายตัว เป็นข้อควรระวังก่อนจะสวนทวารหนัก สวนล้างลำไส้

“การทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องสวนทวารหนักล้างพิษ การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ผัก ผลไม้ ทำหน้าที่ช่วยให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายปกติ ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้ว ขอให้ดูแลอาหารการกินให้ดี ระวังอาหารไขมันสูง หมั่นออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาด ผู้ที่ออกกำลังกายประจำระบบการขับถ่ายจะทำงานปกติ ไม่ท้องผูก” โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

สูตรล้างสารพิษออกจากผมและผิว

ในต่ละวัน คิดดูสิคะว่าเราต้องเจอกับมลภาวะมากขนาดไหน ทั้งแสงแดด ควันรถ ฝุ่นผง ผิวและผมของเราต้องถูกกระทบกระเทือนจากสิ่งเหล่านี้เป็นแน่ แล้วถ้าใครยิ่งเครียด ยิ่งนอนดึก ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เรามีวิธีการชะระล้างสารพิษออกจากผิว อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ก้ไม่ยุ่งยากและไม่ต้องจ่ายแพงเข้าไปใช้บริการสปาด้วยค่ะ

มาจัดการกับผมกันก่อนดีกว่า

เราเรียกว่า Cucumber Hair Wrap ค่ะ สูตรเพื่อผมสุขภาพดีนี้
ใช้งบประมารแค่ 150 บาทค่ะ
เริ่มต้นจากการเตรียมส่วนผสมกันก่อน

- แตงกวา ? ผล ปอกเปลือกบทให้ละเอียด
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำมันมะกอกอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ

นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกัน แล้วทาให้ทั่วเส้นผม ใช้มือสางจากโคนถึงปลายผม แล้วขมวดเป็นมวยเอาไว้ 10 นาที ค่อยล้างออก จะช่วยถนอมเส้นผม ยิ่งใครไปว่ายน้ำมา สูตรนี้จะช่วยล้างคลอรีนที่ติดผมได้ด้วยค่ะ

ตามด้วยใบหน้า

Eualyptus Facial Steam & White Mud Facial
สูตรนี้ใช้งบประมาณ 155 บาทค่ะ
ส่วนผสมประกอบด้วย

- น้ำมันหอมกลิ่นยูคาลิปตัส 5 หยด
- ดินสอพอง ละลายในน้ำมะนาวให้เป็นแป้งข้น ๆ

วิธีการให้เทน้ำเดือดจัด ๆ ลงในชามอ่างปากกว้าง แล้วเติมน้ำมันหอมกลิ่นยูคาลิปตัสลงไป ก้มหน้าลงอังไอน้ำร้อน โดยใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะและปากชามไว้ สูดหายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ 10 นาที เช็ดหน้าให้แห้ง ล้วเอาดินสอพองที่ละลายไว้มาพอกหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที

ส่วนผิวกาย

Sea Salt Scrub
ใช้งบประมาณ 300 บาท
มีส่วนผสมดังนี้ค่ะ

- เกลือทะเลบริสุทธ์ เม็ดหยาบ ๆ 2 ถ้วย
- น้ำมันหอมกลิ่นขิง 3 หยด
- น้ำมันหอมกลิ่น Cedarwood 2 หยด

ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วขัดให้ทั่วตัว เวลาขัดจะใช้ใยบวบช่วยด้วยก็ได้ ศูตรนี้จะช่วยขจัดสารพิษ และฆ่าแบคทีเรียบนผิวหนัง แถมยังกระตุ้นระบบเลือดให้ไหลเวียนดีขึ้นอีกด้วย เริ่มขัดจากปลายเท้าวนไล่ขึ้นมา วนไปทั่วหลัง คอ และวนเข้าสู่หัวใจ
ด้วยวิธีการแค่นี้ เราก็จะมีสุขภาพผิวและผมที่ดี อีกทั้งยังดูสวยสดชื่นอีกด้วยนะคะ

ดื่มโกโก้วันละแก้วสุขภาพดี

บีบีซีนิวส์ - ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง

ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง

ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้ใ

นการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น

"แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"

สูตรลดหน้าท้อง พร้อมล้างพิษไปในตัว

สูตรลดหน้าท้อง พร้อมล้างพิษไปในตัว

ส่วนผสม
1. โยเกิร์ตรสจืด ครึ่งถ้วย
2. นมสดรสจืด 1 กล่อง
3. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
4. มะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ

วิธีการดื่ม
ต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล มะนาวก็ควรบีบแล้วกินทันที เพื่อรักษาคุณสมบัติวิตามินซีไว้ และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น

สรรพคุณ
ไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงไปเรื่อยควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวัน

โทษของไขมัน
ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหารตับม้ามให้ดูดซึมบกพร่องเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ดังนี้

1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย

2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศรีษะ

3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว

4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย

5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด

6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้

7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไปด้วย

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร เรามายกตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ กันดีกว่า ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป

++ไม่อยากเป็นผู้หญิงที่มีกลิ่นตัวแรง++

ใครว่าการมีกลิ่นตัวเป็นที่ไม่น่าอาย แต่จริง ๆ แล้ว การมีกลิ่นตัวทำให้เราเสียบุคลิกภาพ ขาดความมั่นใจ และอาจทำให้คนรอบข้างรังเกลียดอีกด้วย

การมีกลิ่นตัว เกิดจากการที่ต่อมเหงื่อผลิตสารสีขาวขุ่นออกมา แล้วจะถูกย่อยด้วยเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเรา จึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นที่บริเวณใต้วงแขนมากกว่าจุดอื่น ซึ่งมีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุของกลิ่น

สาเหตุของการมีกลิ่นตัว

ฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมาก ก็ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้

สภาพอากาศ ในสภาพอากาศร้อนหรือร้อนชื้น เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังจะเพิ่มจำนวนมากเป็นพิเศษ และเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่ายและรุนแรงขึ้น

เสื้อผ้า เสื้อผ้าเนื้อหนาหรือผ้าใยสังเคราะห์จะระบายเหงื่อได้ช้าและเกิดความอับชื้นได้ง่าย

อารมณ์ ความเครียด โกรธ หรือตกใจ จะกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ

อาหารที่มีสารโคลีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ตับ พืชประเภทฝักถั่ว หัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศ รวมถึงการรับประทานอาหารรสจัด ล้วนแต่เร่งให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมามากขึ้นทั้งสิ้น

ภาวะผิดปกติทางร่างกาย เช่น การทำงานที่บกพร่องของระบบเผาผลาญอาหารบางระบบ หรือระบบการย่อยของเอนไซม์ ทำให้ร่างกายสร้างสารเคมีบางอย่างที่มีกลิ่นแล้วขับออกมาทางเหงื่อ

ยา เช่น ยาทารักษาสิวทั่วไปที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide มีผลข้างเคียงทำให้เกิดกลิ่นตัว

สารพัดวิธีกำจัดกลิ่น

1. อาบน้ำให้สะอาด โดยอาจเลือกสบู่ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายควบคู่กัน

2. ปรึกษาแพทย์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรืออาจฉีดโบท็อกซ์ที่ใต้วงแขน เพื่อลดปริมาณเหงื่อให้น้อยลงหรือแห้งสนิท ซึ่งตัวยาจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน

3. โอ-เลเซอร์ (O-laser) เพื่อทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขน โดยไม่ทำลายเส้นเลือดหรือผิวหนังแต่อย่างใด

4. ใช้คลื่น RF ส่งผ่านอุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก โดยสอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณใต้วงแขนเพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ

5. ถ้ามีปัญหากลิ่นตัวมากจนเกินเยียวยา แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อตัดต่อมไขมันใต้ผิวหนังออก หรือดูดไขมันบริเวณรักแร้ออก

ทีนี้สาว ๆ ก็จะได้ไม่มีกลิ่นตัวออกมาโชยให้อายใครแล้วนะคะ.....

อย่าปล่อยให้เท้าปล่อยกลิ่น

อย่าปล่อยให้เท้า..ปล่อยกลิ่นประท้วง

คนเรามักใส่ใจหน้าตาและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย มากกว่าเท้า ทั้งๆ ที่การดูแลสุขภาพเท้าก็มีความสำคัญ และไม่ได้ยากเย็นอะไร นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แนะนำไว้ว่า

สวมรองเท้าที่มีขนาดพอเหมาะ

งานวิจัยทางการแพทย์ชี้ว่า เด็กจำนวนมากใส่รองเท้าที่เล็กเกินไป ราวครึ่งหนึ่งของเด็กหญิงวัยเรียนจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับเท้า เมื่ออายุได้เพียง 10 ปี ความผิดปกติของเท้าหลายอย่าง เช่น เล็บขบ เล็บผิดรูปร่าง ตาปลา หรือกระดูกคด ล้วนเกิดจากการใส่รองเท้าที่มีขนาดไม่เหมาะสม

นอกจากนี้ควรเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน และมีรองเท้าหลายๆ คู่ ใส่สลับกันบ้าง คู่ใดไม่ได้ใส่ก็ผึ่งให้แห้ง นอกจากนี้ควรเลือกถุงเท้า รองเท้า ที่ระบายอากาศได้ดี เช่น รองเท้าหนังหรือรองเท้ากีฬาที่มีรูระบายอากาศ หรือรองเท้าเปิดหัว เปิดส้น

ล้างเท้าทุกวัน

ยกเว้นกรณีที่ผิวหนังเท้าแห้งและแตกอยู่แล้ว หลังจากล้างเท้าไม่ควรสวมถุงเท้ารองเท้าทันที ควรรอให้เท้าแห้งสนิทก่อน อาจใช้ผ้าขนหนูซับหรือใช้พัดลมเป่าให้แห้งเร็วขึ้น เพราะเท้าที่เปียกชื้นจะติดเชื้อราที่เรียกว่า ฮ่องกงฟุต ได้ง่าย

เท้าเป็นอวัยวะที่มีต่อมเหงื่อมากมาย ทำให้เหงื่อออกมาก ถ้าไม่หมั่นทำความสะอาด เท้าและรองเท้าก็จะส่งกลิ่นเหม็นได้ง่ายๆ ขณะเดียวกัน ผิวหนังเท้ามีต่อมไขมันน้อย ฝ่าเท้าจึงแห้งและแตกง่าย ในกรณีนี้ต้องใช้ครีมหรือโลชั่นทาเพื่อให้ความชุ่มชื้น

ระวังส้นเท้าแตก

ควรดูแลเท้าเป็นพิเศษระหว่างการอาบน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เมื่อผิวหนังถูกน้ำจนนุ่มแล้ว ให้ใช้หินขัดขี้ไคลค่อยๆ ถูส่วนที่มีหนังหนาตัวขึ้นกว่าปกติ จากนั้นจึงทาครีมให้ความชุ่มชื้น นวดบริเวณส้นเท้าและฝ่าเท้า จนครีมซึมซาบเข้าไป วิธีนี้จะช่วยป้องกันส้นเท้าแตกได้

ใช้แป้งโรย

หากเหงื่อออกที่เท้ามาก ใช้แป้งฝุ่นโรยก็ช่วยได้ เลือกใช้แป้งทั่วไปหรือแป้งเฉพาะสำหรับเท้าที่เรียกว่า foot powder ก็ได้ แป้งชนิดนี้มีลักษณะคล้ายแป้งฝุ่นทาตัว แต่เนื้อแป้งอาจหนากว่าและดูดซึมน้ำได้ดีกว่า การโรยแป้งทำให้ผิวที่เท้าแห้ง ไม่เปียกชื้น ลดการระคายเคือง ช่วยให้รู้สึกเย็นสบาย

ป้องกันเล็บขบ

เล็บขบพบได้บ่อยในคนที่สวมรองเท้าคับเกินไปและตัดเล็บผิดวิธี เล็บมือนั้นตัดเป็นรูปโค้งมนตามนิ้วมือได้ แต่เล็บเท้าควรตัดเป็นเส้นตรง เพราะหากตัดโค้งมนตามนิ้วเท้า เมื่อเล็บงอกขึ้นมาใหม่ อาจงอกแทงผิวหนังข้างๆ เล็บ ทำให้เกิดการอักเสบบวมแดงได้

ผู้ที่มีโรคของระบบประสาททำให้เท้าชา เช่น โรคเบาหวาน ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังดูแลรักษาเท้าให้มากขึ้น เพราะอาจเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าได้

ตากระตุก!!

หลาย ๆ คนคงเคยตากระตุก แต่สิ่งแรกที่จะนึกถึงก็คือ "ขวาร้าย ซ้ายดี" มันเป็นคำเชื่อตังแต่โบราณมาแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วเมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ได้บอกให้ฟังว่าอาการตากระตุก แบ่ง ได้เป็น 2 กรณี คือ เปลือกตากระตุก และลูกตากระตุก

เปลือกตากระตุก อาจเกิดจากนิสัยความเคยชินในวัยเด็ก เด็กบางคนสามารถกระตุกเปลือกตาและใบหน้าเป็นครั้งคราวได้ และสามารถหยุดได้ทันทีเมื่อต้องการหยุด อาการจะหายไปได้เมื่อโตขึ้น นอกจากนั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักพบในคนสูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะมีอาการเปลือกตา ค่อยๆ บีบตัวเกร็งทีละน้อยจนกลายเป็นหลับตาแน่นมากทั้งสองตา เกิดเป็นครั้งคราว ขณะหลับจะไม่มีอาการ หากทิ้งไว้นาน ความรุนแรงและความถี่จะมากขึ้นจน กลายเป็นตาปิดตลอด ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

เปลือกตากระตุกอีกชนิดเกิดจากกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระตุก มักเกิดจากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง หรือมีเนื้องอกกดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงเปลือกตา จะมีอาการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตาและกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกอาการเกร็ง จะคงอยู่แม้ขณะหลับจะมีอันตรายต้องได้รับการผ่าตัด

ตากระตุก เป็นอาการกระตุกของลูกตาเป็นจังหวะด้วยทิศทางและความแรงแตกต่างกันออก ไปเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เกิดขึ้นภายใน 2-3 เดือนแรกหลังคลอดหากลูกตากระตุกเท่าๆ กันในตาทั้งสองข้างอาจร่วมกับการมีศีรษะสั่นด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น นอกจากนี้ยังพบได้จากการล้าของกล้ามเนื้อตาทำให้ตากระตุก กลุ่มนี้ไม่มีปัญหา อะไรหายเองได้ แต่หากอาการตากระตุกเป็นอยู่นานๆ ควรต้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุของโรคจะได้แก้ไขอย่างถูกต้องต่อไป

เป็นไงคะสำหรับบทความทีนำฝากกัน ต่อไปนี้ เมื่อตากระตุก ไม่ใช่แค่ว่า "ขวาร้าย ซ้ายดี" เท่านั้น แต่บางทีอาจจะเป็นอะไรกับตาเราก็ได้.....

ทำไม? ยาคูลท์ถึงมีแต่ขวดเล็ก

เพื่อนๆ เคยสงสัยกันบ้างไหมค่ะ ว่า ทำไมยาคูลท์ ถึงมีแต่ขวดเล็กๆ วันนี้เรามาไขข้อสงสัยนี้กันคะทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขนาด 80 cc.

เพราะยาคูลท์เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวที่ได้จากการหมัก โดยเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นแบคทีเรียชื่อ แลคโตบาซิลลัส ที่ทำให้เกิดรสชาติเปรี้ยว เนื่องจากเกิดกรดขึ้นมาหลายชนิดระหว่างกระบวนการหมัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรดแลคติก ปัจจุบันใช้เชื้อชื่อ Lactobacillus Balgaricu ร่วมกับ Stroptococcus themophilus

ในอุตสาหกรรมผลิตนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตโดยปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อย และหมักในทางเดินอาหารในส่วนที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถจะย่อยได้ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นเดียวกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 ซีซี ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยจะสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0x10 ( ยกกำลัง 9 )

ถ้าทำยาคูลท์ให้มีขนาดขวดใหญ่พอๆ กับยาคูทล์ 6 ขวดเล็กรวมกันแล้วละก็ คงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 ซีซี ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคย และถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษขึ้นได้ ทานวันล่ะขวดก็เพียงพอแล้ว

คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่บริโภคยาคูลท์ก็คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขาดและเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ใน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ได้จุลินทรีย์ที่พร้อมจะทำงานให้เราได้ทันทีที่นี้ เราก็ทราบกันแล้วว่าทำไมถึงมีแต่ขวดเล็ก วันนี้คุณดื่มแล้วหรือยังคะ

กินยายังไงให้ถูกวิธี??

กินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร? กินยังไงให้ถูกวิธี

1.ยาก่อนอาหาร : ให้รับประทานยาก่อนอาหาร (รวมทั้งนม ขนม ฯลฯ) ประมาณ 30-60 นาที

2.ยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที : ให้รับประทานอาหารครึ่งหนึ่งแล้วรับประทานยา แล้วรับประทานอาหารต่อจนอิ่ม หรือหลังจากรับประทานอาหารคำสุดท้าย แล้วตามด้วยการรับประทานยาทันที

3.ยาหลังอาหาร : ให้รับประทานยาหลังอาหาร ประมาณ 15-30 นาที

4.ยาระหว่างมื้ออาหาร : ให้รับประทานยาก่อนหรือหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง โดยถ้าเลือกรับประทานเป็นยาก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) แล้ว ครั้งต่อไปก็ต้องรับประทานก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) ทุกครั้งของการรักษาคราวนั้นๆ

5.ยาก่อนนอน : รับประทานยาก่อนเข้านอน ประมาณ 15-30 นาที 6.ยาตามอาการต่างๆ : เช่น รับประทานยา ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมงเวลาปวด หมายความว่า รับประทานครั้งละ 2 เม็ดเมื่อมีอาการปวด ถ้าต่อมามีอาการปวดอีก แต่ยังไม่ถึง 4-6 ชั่วโมง ก็ยังไม่ควรรับประทานยานั้นซ้ำอีก เพราะอาจเกิดพิษเนื่องจากรับประทานยาเกินขนาดได้ ต้องรอให้ครบอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จึงจะรับประทานยาครั้งต่อไป

หมายเหตุ : การลืมรับประทานยาครั้งหนึ่ง ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเสีย อย่าเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ในมื้อต่อไปเป็นเด็ดขาด และเพื่อให้อาการป่วยนั้นหายแบบฉับพลัน คุณควรรับประทานยาตามกำหนดเวลาที่แพทย์หรือเภสัชกรณ์สั่งอย่างเคร่งครัด... ด้วยนะคะ

ระวัง ! แคลอรี่แฝงในน้ำดื่ม

เป็นที่ทราบกันดีว่ากฎข้อหนึ่งของการควบคุมน้ำหนักคือการควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่เข้าสู่ร่างกาย เพราะเจ้าพลังงานส่วนเกินนี้เองที่จะถูกแปรสภาพเป็นไขมันสะสมไว้เป็นส่วนเกินตามจุดต่างๆของร่างกาย สาวๆและหนุ่มๆนักไดเอ็ทจึงท่องจำกฎข้อนี้จนขึ้นใจและระมัดระวังในการเลือกรับประทานอาหารชนิดที่หายใจเข้าออกเป็นตารางแคลอรี่ แต่บ่อยครั้งที่พบว่าแม้คุณจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยผักต้ม เนื้อไก่ลอกหนัง และข้าวกล้อง เจ้าน้ำหนักส่วนเกินก็ยังคงไม่ลดลงง่ายๆ

แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะคุณประมาทแคลอรี่ที่แอบแฝงอยู่ในเครื่องดื่มแก้วโปรดแสนชื่นใจก็ได้ ลองสำรวจดูสิว่าคุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่กินข้าวตามวิธีนักไดเอ็ท แต่จิบกาแฟหอมกรุ่นหวานมันพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ในยามเช้า ดื่มน้ำผลไม้ปั่นหวานชื่นใจแถมสรรพคุณว่าเพื่อสุขภาพในช่วงพัก และซดเบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าระหว่างปาร์ตี้สุดสัปดาห์

ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วคุณคงต้องหันมาระวังเรื่องเครื่องดื่มของคุณโดยด่วน ลองมาดูกันว่าในเครื่องดื่มแก้วโปรด 1 แก้วจะมีแคลอรี่ซ่อนอยู่เท่าไหร่

1. น้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีแคลอรี่ประมาณ 120-130 แคลอรี่ นอกจากนี้ยังมีกรดคาร์บอนิก สารกันบูด สารแต่งสี และ แต่งกลิ่น

2. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่แอลกอฮอล์ 1 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 7 แคลอรี่ มากกว่าคาร์โบไฮเดรตเสียอีก (คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่) และแอลกอฮอล์ยังเป็นตัวการขัดขวางการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ไม่ให้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์อีกด้วย

3. น้ำผลไม้ ถึงผลไม้จะมีประโยชน์และให้วิตามินสูง อีกทั้งยังถูกบรรจุอยู่ในเมนูลดน้ำหนัก แต่น้ำผลไม้หลายชนิดเช่นน้ำองุ่น น้ำส้ม หรือน้ำสับปะรดก็ให้น้ำตาลสูงและยังไม่มีไฟเบอร์เหมือนรับประทานผลไม้ทั้งผล ยิ่งถ้าคุณเป็นคนติดรสหวานและเติมน้ำเชื่อมเข้าไปด้วยแล้ว แคลอรี่ที่ได้จะยิ่งเพิ่มขึ้น

4. กาแฟ 1 แก้ว เติมน้ำตาล 2 ช้อนชา และ ครีม 2 ช้อนชาให้แคลอรี่ 65 แคลอรี่ แต่ถ้าเป็นกาแฟเย็นคาปูชิโน่ หรือ กาแฟปั่นแฟรบปูชิโน่หวานมันจะได้แคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

5. ชาเย็น นมเย็น โอวัลตินเย็น และ ช็อกโกแลตเย็น 1 แก้วให้พลังงาน 220 – 400 แคลอรี่ อันเนื่องมาจากนมข้นหวานและน้ำตาลซึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก
6. นมสด 1 แก้ว (240 ml) ให้พลังงาน 125 แคลอรี่

เป็นยังไงล่ะคะกับข้อมูลแคลอรี่ที่มาพร้อมกับเครื่องดื่มถ้วยโปรด ความจริงแล้ว เครื่องดื่มที่วิเศษที่สุดสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็คือน้ำเปล่านั่นเองค่ะ เพราะนอกจากยังไม่มีแคลอรี่แล้ว น้ำยังช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย และ ทำให้การเผาผลาญไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักจึงควรเลือกน้ำเปล่าเป็นตัวเลือกแรกโดยหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน และ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ส่วนเครื่องดื่มที่มีประโยชน์อย่างอื่นๆ เช่นนม หรือ น้ำผลไม้ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และทางที่ดีไม่ควรเติมน้ำตาลลงไปอีกนะคะ ลดความหวานลงสักนิด จะได้รูปร่างดีไปอีกนานๆไงคะ

มาทำความรู้จักกับ "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" กันเถอะ

*เมื่อ เร็ว ๆ นี้คนใกล้ตัวของเราเกิดอาการแน่นอหน้าอกขึ้นมา โดยเวลาเปล่งเสียงตะโกนก็รู้สึกเจ็บ ๆ ที่หน้าอก แม้แต่เวลาหายใจเข้าก็ยังรู้สึกเจ็บเลยทีเดียว เมื่อไปพบคุณหมอ ถึงได้ทราบว่า น่าจะเป็นอาการของโรค "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ"*

*วันนี้ก็เลยว่าจะพา "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" มาแนะนำให้เพื่อน ๆ ที่นี่ได้รู้จักกันค่ะ*

ซึ่งเยื่อหุ้มปอดอักเสบ (Pleurisy) นี้คือ การอักเสบของเนื้อเยื่อที่หุ้มอยู่รอบ ๆ เนื้อปอด อาการที่เด่นชัดของโรคนี้ก็คือ เจ็บแปลบที่บริเวณหน้าอก คล้ายโดนเข็มแทง โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ ไอหรือจาม ทั้งนี้เนื่องจากมีการยืดตัวของเยื่อหุ้มปอดที่กำลังอักเสบนั่นเอง

*สาเหตุของการเกิด "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" นั้นอาจจะมีหลาย ๆ สาเหตุดังต่อไปนี้*

เกิดจากการติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตต่าง ๆ ในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น กลุ่มเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ มักพบในคนหนุ่มสาวที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 3 - 5 วัน

เกิดจากเกิดจากต่อมน้ำเหลืองอุดตัน หรืออาจจะเกิดจากอุบัติเหตุที่ทรวงอก ทำให้เกิดการกระแทกที่บริเวณทรวงอกเข้าอย่างจัง
โรคก้อนเลือดอุดตันเส้นเลือดไปปอด ซึ่งมักเกิดในผู้สูงอายุ คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดบุตร หญิงที่กินยาคุมกำเนิด ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยกระดูกสะโพกหรือต้นขาหัก ผู้ป่วยที่นอนบนเตียงนานๆ และไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว

หรืออาจจะเกิดจากการการสูดดมสารเคมีที่เป็นพิษหรืออาจจะเกิดจากเพราะเป็นโรคอื่­นที่เกี่ยวข้องกันอย่างเช่น โรคลูปัส โรครูมาตอยด์ โรคมะเร็งปอด หรือมะเร็งเต้านม ภาวะหัวใจล้มเหลว

นอกจากนี้สาเหตุอื่น ๆ อย่างการรับประทานยาบางชนิด หรือการเกิดโรคในช่องท้อง ก็ล้วนแต่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบได้ทั้งสิ้น

*ซึ่ง อาการของโรนี้โดยทั่ว ๆ ไปผู้ป่วยมักจะมีอาการเจ็บแปลบเพียงชั่วไม่กี่วินาทีตรงหน้าอกซีกใดซีกหนึ่ง เป็นบางครั้งบางคราวเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ เวลาไอหรือจาม ถ้ากลั้นลมหายใจหรือหายใจค่อย ๆ จะไม่มีอาการแต่อย่างใด *

ซึ่งถ้าเกิดจากไวรัสที่มีอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการทั่วไปเป็นปกติดี สามารถทำงานได้ และมักมีอาการเพียง 2 - 3วันก็หายได้เอง

* แต่ในบางรายอาจจะมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง*

(มักเจ็บแปลบแบบเยื่อหุ้มปอดอักเสบ) หายใจหอบ ไอเป็นเลือด เป็นลม อาจมีไข้ ซึ่งถือว่าอันตรายมากเนื่องจากอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหัน แบบเดียวกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้เลยทีเดียว

หาก เพื่อน ๆ ที่นี่คนไหนมีอาการดังกล่าว หรือมีใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาต่อไป และหากใครที่มีอาการดังกล่าวก็ไม่ต้องตกใจไปเนื่องจาก *สามารถรักษาให้หายขาดได้ * เพียงแต่คุณต้องเข้ารับการตรวจรักษาที่ค่อนข้างจะละเอียด เพราะ "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" นั้นมีสาเหตุที่ต่างกัน ดังนั้นอาการและวิธีการรักษาจึงแตกต่างกันในแต่ละคนด้วย

*และ ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางครั้ง "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" ก็อาจจะรุนแรงมากจนทำให้ถึงแก่ชีวิตก็ได้ค่ะ*

ท้องอืด... อาหารไม่ย่อย

สังเกตไหมคะว่า น้อยคนนักที่จะไม่เคยมีอาการท้องอืดเลย โดยเฉพาะคนในเมืองหลวง แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่มีอาการนี้กันทุกครัวเรือน

* ผู้ที่มีอาการท้องอืด จะรู้สึกปวดท้องส่วนบน ทำให้แน่นท้อง มีลมในท้อง ต้องเรอบ่อยๆ บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็ว หรืออาจมีอาการแน่นท้อง แม้กินอาหารเพียงเล็กน้อย และแสบบริเวณหน้าอก

* สาเหตุนั้น เกิดจากหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่ *

*1. โรคในระบบทางเดินอาหารเอง *

ได้แก่ โรคแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร อาการแสบบริเวณหน้าอก ซึ่งอาจจะเป็นอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

*2. โรคที่เกิดจากสิ่งภายนอก *ได้แก่

* ยาต่างๆ ที่กิน ยาหลายชนิดจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ได้แก่ ยาแก้ปวดข้อทั้งหลาย
* ยาบางชนิด จะทำให้กระเพาะและลำไส้บีบตัวน้อยลง เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง
* เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เช่น สุรา เบียร์ หรือน้ำชา กาแฟ จะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ รวมทั้งการระคายเคืองจากบุหรี่
* ตลอดจนอาหารที่ย่อยยากหลายอย่าง รวมทั้งอาหารที่มีกากมากๆ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง

*3. โรคของทางเดินน้ำดี *เช่น นิ่วในถุงน้ำดี

*4. โรคของตับอ่อน *

*5. โรคทางร่างกายอย่างอื่น ๆ *เช่น เบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์

*6. พฤติกรรมในการกิน *ก็ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการท้องอืด โดยเฉพาะอาหารรสจัด จะทำให้เยื่อบุอาหารอักเสบ การกินอาหารรีบร้อน เคี้ยวไม่ละเอียด หรือกินครั้งละมากๆ รวมทั้งกินอาหารที่ย่อยยาก อาหารมัน

สำหรับผู้ที่ชอบกินผัก แม้จะมีเส้นใยมาก ถ้ากินมากไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดขึ้นได้ เนื่องจากร่างกายเราไม่มีน้ำย่อยเส้นใยเหล่านี้ ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นตัวช่วยย่อยสลาย อย่างไรก็ตาม อาหารประเภทผักก็มีประโยชน์ เพราะทำให้การขับถ่ายสะดวก

เช่นเดียวกับอาหารประเภทนมนั้น ในคนแถบเอเชียจะไม่มีน้ำย่อยที่ย่อยนม หรือถ้ามีก็มีปริมาณน้อย เมื่อกินนมเข้าไปมาก อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องเสีย ควรงดหรือค่อยๆ ดื่มนมทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจนดื่มนมได้ในปริมาณที่ต้องการ แต่หากดื่มนมเปรี้ยว จะไม่มีอาการ เนื่องจากในนมเปรี้ยวจะมีการย่อยนมไปเป็นบางส่วนแล้ว

* ท้องอืดบ่อยๆ ผิดปกติหรือไม่

* อาการท้องอืด ถ้านานๆ เป็นครั้งคราว จะไม่เป็นไร แต่ปัญหาที่พบบ่อยในคนที่ท้องอืด คือ โรคกระเพาะ อาจเป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารอักเสบ บางคนอาจเป็นโรคของทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี หรือจากอาหารที่เรากินเข้าไป แต่ถ้าเป็นบ่อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ มักจะเป็นสัญญาณเตือนถึงอาการนำอย่างหนึ่งของมะเร็งในช่องท้อง ร่วมด้วยอาการอื่นๆ เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด ซีด ซึ่งควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด

* แก้ไขเบื้องต้น *

การแก้ไขเบื้องต้น อาจใช้ยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ ยาขับลม หรือ ยาธาตุน้ำแดง ลองกินดูก่อน และปรับอาหารโดยกินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายแต่พอควร ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์

ส่วนการกินยาช่วยย่อย อาจช่วยลดอาการท้องอืดได้บ้าง แต่ถ้าต้องกินทุกวัน คงจะไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการท้องอืด ซึ่งอาจจะทำให้โรคเป็นมากขึ้นได้

* เมื่อใดควรไปพบแพทย์ *

ผู้ที่มีอาการดังนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และทำการรักษา

1.ในผู้สูงอายุ เช่น อายุเกิน 40 ปี เพิ่งจะเริ่มมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ
เนื่องจาก พบว่ามะเร็งของกระเพาะอาหาร หรือตับมักจะพบในคนอายุเกินกว่า 40 ปี

2.ในคนที่มีอาการท้องอืดร่วมกับมีน้ำหนักลด

3.มีอาการซีด ถ่ายอุจจาระดำ

4.มีอาเจียนติดต่อกัน หรือกลืนอาหารไม่ได้

5.ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือมีก้อนในท้อง

6.ปวดท้องมาก

7.ท้องอืดแน่นท้องมาก

8.การขับถ่ายอุจจาระเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น เช่น อาการท้องผูกมากขึ้น จนต้องกินยาระบายหรืออาการท้องผูกสลับท้องเดิน เป็นต้น

* การรักษา *

ถ้าในคนอายุน้อยไม่ได้มีข้อบ่งชี้ว่าเป็นโรคที่อันตราย แพทย์อาจให้ยามากิน และแนะนำวิธีปฏิบัติตัว ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน และนัดมาพบเพื่อดูอาการ ถ้าไม่ดีขึ้น แพทย์อาจดำเนินการสืบค้นหาสาเหตุ ที่แท้จริงต่อไป

* เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก หากละเลย สุขภาพดีเกิดขึ้นได้ถ้าคุณใส่ใจ** *

5 วิธีสังเกต "ยาหมดอายุ

การ ดูว่ายาหมดอายุหรือไม่นั้น เริ่มแรก คือดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต *ซึ่งทั่วๆ ไป เราถือว่า หากเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปีค่ะ*และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน

*นอกจากนี้ เรายังมีวิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพด้วยวิธีดังต่อไปนี้คือ*

1. *ยาเม็ด*
สังเกตว่าเม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล (เช่น วิตามินรวม) เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม

2. *ยาแคปซูล*
สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก

3. *ยาน้ำแขวนตะกอน*
เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป

4. *ยาน้ำเชื่อม*
เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

5. *ยาขี้ผึ้งและครีม*
ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป ทิ้งดีกว่าค่ะ

*เมื่อทราบกันอย่างนี้แล้ว ทางที่ดีไม่ควรเสี่ยงใช้ยาหมดอายุนะคะ เพราะอาจเกิดอันตรายกับร่างกายของคุณภายหลังใช้ยาได้....

ทำนายทายทัก : ดวงชะตาปี 2552 โดย หมอทรัพย์สวนพลู

*ราศีเมษ 13 เมษายน – 14 พฤษภาคม*

ใน ปี 2552 นี้ ท่านที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวรักความก้าวหน้าจะสร้างตนเองอย่างทะมัดทะแมงแข็ง ขัน ไม่ว่าจะมีพื้นฐานของชีวิตระดับไหน จะพบลู่ทางไปสู่อนาคตอันสดใสเพราะวันเวลาที่ผ่านมา มีคุณค่าเท่ากับท่านได้สะสมวัสดุก่อสร้างและเงินค่าจ้างไว้พร้อมที่จะจ้าง ช่างมาลงมือดำเนินการตามความมุ่งหมายได้เลย ถ้าองค์ประกอบของกิจนี้สมบูรณ์ บ้านหรืออาคารที่ท่านปรารถนาย่อมสำเร็จโดยประสงค์ใครได้มาเห็นอาจคิดว่าต้อง กับรสนิยมอุดมคติของตนเอง ไม่ยินดียินร้ายในความสำเร็จหรือล้มเหลวที่เข้ามาก่อวินาศกรรมแก่เจตนารมณ์ ของท่านและหมู่คณะ ชีวิตอันเป็นกำไรของท่านไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยต้อยต่ำเพียงไร จึงเฉิดฉันท์สง่างามตามความหมายในความรู้สึกฝ่ายสูงของมนุษย์เรา และสามารถเล่าให้ลูกหลานฟังได้อย่างวีรบุรุษกับยุวชน

ดาวพฤหัสบดีพระเคราะห์สำคัญที่สุดในระบบสุริยะ ย้ายราศีจากธนูขึ้นมังกรตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคมปีกลาย (2551) และโคจรในราศีมังกรถึง 20 เมษายน 2552 จึงย้ายขึ้นสู่ราศีกุมภ์ ส่งผลให้วงการเมืองเกิดกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาพักหนึ่ง ท่านได้รับเชิญชวนให้สมัครรับเลือกตั้งหรือมีตำแหน่งที่ปฏิเสธมาได้ แต่ท่านก็อย่างเดียวกับเจ้าป่าจะยอมอยู่ใต้กฎของป่าและธรรมชาติเท่านั้น ถ้าต้องแกร่วอยู่ในเขาดินหรือเขาเขียวคงทนไม่ได้ เพราะท่านถือว่ามนุษย์คือเสรีภาพ แต่ดาวพฤหัสบดีจะย้ายกลับลงมาในราศีมังกรอีกในวันที่ 15 สิงหาคม มีความเปลี่ยนแปลงต่างๆในสังคม พวกที่อยู่คนละฝั่งกับท่านจะข้ามมาผูกมิตร โดยอาจใช้วิธีการตามวิธีชนะมิตรและจูงใจคน

ปีใหม่นี้ดาวเสาร์ซึ่งย้ายเข้าราศีสิงห์ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2550 จะย้ายเข้าราศีกันย์วันที่ 30 กันยายน 2552 ตลอดเวลา 2 ปีเศษที่เสาร์โคจรในราศีสิงห์ท่านมีเรื่องยุ่งยากวิตกกังวลมากน้อยต่าง ๆ ที่บริวารก่อขึ้น แต่บางเรื่องก็ร้ายแรงมากแต่ที่ไม่แตกหักเพราะท่านไม่ทราบ ทั้ง ๆ ที่มีบริวารบางคนของท่านเอางูเห่ามาเลี้ยงไว้ในห้องนอนของเขา ในโลกนี้มีเรื่องเสียหายเป็นอันมากที่ไม่กระทบกระเทือนถึงชีวิตความเป็นอยู่ และอารมณ์ความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้องเพราะไม่รู้เหมือนของหายแต่เราไม่รู้ และตราบเท่าที่เราไม่รู้ก็ไม่มีอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งของนั้นเราทอดทิ้งจนลืมแล้วก็ยิ่งไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์แต่ประการใด เมื่อดาวเสาร์ย้ายไปราศีกันย์หรือภพที่ 6 (อริ) ท่านอาจมีโรคเรื้อรัง เช่นโรคกระเพาะลำไส้หรือโรคไต เงินจำนวนหนึ่งของท่านจะจ่ายเพื่อบำบัดโรคของคนมีเงิน และสามารถหายเป็นปกติได้ แต่อย่างไรก็ตามเคราะห์ร้ายที่จะมาจากดาวเสาร์เป็นอริ อาจทุเลาเบาบางได้มากในกรณีที่ท่านมีชื่อจริงตัวแรกเป็นอักษรในวรรคจันทร์ (ก ข ค ฆ ง) ซึ่งเปลี่ยนเสาร์ให้เป็น "ศรี" หรือใช้ผ้าปูที่นอนเป็นสีของวันจันทร์ (เหลืองขาวนวล) ก็คงพอฟาดเคราะห์ไปได้บ้าง หรือบูชาพระนาคปรกซึ่งผู้เป็นประธานการสร้างเป็นผู้มีบุญและบริสุทธิ์ยิ่ง ประเสริฐสำหรับบรรเทาทุกข์โทษภัยอันจะเกิดจากดาวเสาร์ ซึ่งอาจให้โทษแก่ดวงของท่านในช่วงเดือนตุลาคม 2552 เพราะเล็งฉกาจกับดาวมฤตยู ซึ่งหมายถึงอุบัติเหตุจากเครื่องยนต์กลไกและจากเรือที่แล่นเร็ว คำทำนายในเรื่องเคราะห์ร้ายต่าง ๆ นี้เป็นเพียงเตือนให้ท่านดำรงชีพโดยไม่ประมาทเท่านั้น ผู้ใดมีความรู้สึกระลึกตัวอยู่เสมอ ผู้นั้นเป็นคนมีสติ และปลอดภัยเสมอ

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 ราหูซึ่งโคจรในราศีมังกรมาปีเศษ ย้ายลงราศีธนู ท่านจะเดินทางไปต่างประเทศหรือเดินทางไกลในประเทศบ่อยขึ้น โดยมีผลประโยชน์ที่สำคัญเป็นเหตุผลที่ท่านไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ปลอดภัยทุกเส้นทางและทุกภารกิจ เว้นแต่จะทำให้เป็นการเอิกเกริกก็เกิดปัญหาที่นึกไม่ถึงขึ้นได้ และแม้ในชีวิตประจำวันก็ไม่ควรให้ปกติซ้ำซากจำเจเกินไป ควรมีการเดินทางที่ไม่กำหนดล่วงหน้านานๆ ไม่มีใครรู้ที่หมายของท่านแบบเดียวกับทหารเรือไม่รู้ว่าจะไปไหนแม้เรือเดิน อยู่ในทะเล นอกจากผู้บังคับการเรือและผู้ที่จำเป็นต้องรู้เท่านั้น

ในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2552 ท่านได้ลาภยิ่งใหญ่มโหฬาร เป็นการยากที่จะระบุให้ว่าท่านจะได้อะไร จึงปลาบปลื้มดื่มด่ำถึงเพียงนั้น แต่ขอให้ท่านมีความสุขกับความสำเร็จและโชคดีโดยไม่ต้องเบียดเบียนผู้ใด ศัตรูจงพินาศไป ด้วยอำนาจกุศล

*ราศีพฤษภ 15 พฤษภาคม – 14 มิถุนายน*

ในปี 2552 นี้ ท่านมีความสุขกว่าหลายปีที่แล้วมา ต้นไม้มีดอกหอมไกลซึ่งเพื่อนบ้านปลูกไว้ เมื่อออกดอกครั้งใดท่านจะมีอาการแพ้รุนแรงทุกครั้ง โดยไม่สามารถที่จะขอร้องอะไรจากเขาได้นั้นก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะไม้ต้นนั้นตาย หรือมีคนโรคจิตทรามมาอยู่ใกล้บ้านแล้วพูดจากหยาบโลนกันวันยังค่ำ เรื่องเหล่านี้จะจบสิ้นลงอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยเหมือนลิเกหอบเครื่องทรงและ ดนตรีหนีค่าเช่าวิก ดวงของท่านก็ดีขึ้นเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ

แต่ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม – 31 พฤษภาคม ศกนี้ ท่านจะมีโชคดีเป็นอันมาก เป็นโชคที่เกิดจากได้ลาภใหญ่โตมโหฬารโดยสุจริตจากบุญของท่านที่สร้างไว้โดย ไม่ประสงค์สิ่งตอบแทนใดๆ อนึ่งในช่วงเวลาอันดีแสนดีนั้น มีอาทิตย์พุธและมฤตยูจรย้ายเข้าราศีมีน ท่านจึงคงจะได้ลาภโดยมีการเสนอหลายทางและหลายๆข้อผูกพัน นอกจากทางหนึ่งที่ว่าท่านจะได้โดยวาสนาบารมีของตนเอง จึงไม่มีพันธะอะไร ท่านอย่ารับเงินที่ได้โดยเหตุผลทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ เงินที่ได้จากญาติของท่านไตหาย เช่น ท่านพาเขาไปผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบก่อนผ่าตัดยังมีไต 2 ก้อน หลังจากนั้นเหลือก้อนเดียว เพราะตอนดึก ๆ คืนนั้นพวกของซีอุยแอบลักตัดไปกิน เพราะถ้าท่านรับเงินก็เท่ากับท่านขายไตเพื่อนโดยทุจริต เงินที่พ่อตาแม่ยายพี่เมียน้องเมียของมหาเศรษฐีแอบนำมาฝากไว้กับท่าน จะเพื่ออะไรก็ตาม จงตัดความเกรงใจทิ้งเสีย อย่ารับฝาก เพราะกิจกรรมอย่างนี้ไม่ถูกโฉลกกับโชคชะตาของท่านไม่ว่าจะบริสุทธิ์แค่ไหน

ชาวราศีพฤษภมีดาวประจำราศีคือดาวศุกร์ เป็นดาวที่สวยงามที่สุด ท่านจึงเพศตรงข้ามคอยเอาอกเอาใจเสมอ ถูกกับพี่น้องและเพื่อนฝูงที่เป็นเพศตรงข้าม หมายถึงการขอความช่วยเหลือและหยิบยืมสตุ้งสตางค์ตามอัตภาพด้วย เช่น ท่านได้เงินเดือน 2,000 บาท แต่ท่านมีเพื่อนเป็นมหาเศรษฐี ท่านจะไปยืมเงินเขาเป็นล้านเขาคงไม่ให้ หรือเกินเงินเดือนของท่านก็อาจไม่ได้ด้วยซ้ำไป ความรักก็เหมือนกัน ควรพิจารณาท่านเป็นใคร เขาเป็นใคร บางคนกล้าที่จะกล่าวว่าถึงเขาจะยากจนเข็ญใจอย่างไร แล้วดาราฮอลีวูด อลิซาเบธ เทย์เลอร์ มาขอแต่งงานด้วย เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด ด้วยเชื่อว่าดวงไม่สมพงษ์กัน ยกเว้นผู้มีบุพเพสันนิวาสกันมาในชาติก่อน
กลางเดือนธันวาคม 2552 พฤหัสบดีย้ายไปราศีกุมภ์ ชีวิตและงานของท่านเจริญรุ่งเรือง ความดีความชอบที่ทำไว้ในทางการงานและนิสัยความประพฤติส่วนตัวของท่านยิ่งส่ง เสริมให้มีโอกาสทำงานให้สำเร็จในระดับสูงยิ่งๆ ขึ้นไป

ดาวเสาร์ย้ายไปราศีกันย์ตั้งแต่ 30 กันยายน และโคจรอยู่เป็นเวลาประมาณ 2 ปีเศษ ถ้าท่านรับอาหารเรื่อยเปื่อย ไม่ออกกำลังกายและไม่รักษาอารมณ์ให้แจ่มใสสดชื่นเสมอแล้วจะมีน้ำหนักเพิ่ม ขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว ญาติมิตรที่ไม่ได้พบท่านเพียงปีเดียวอาจจำท่านไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ไม่มีผลร้ายใดๆ ถ้าท่านซื่อตรงต่อตนเองในการรักษาพลานามัยและสุขภาพจิตให้จริง

ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ราหูย้ายลงสู่ราศีธนู ศัตรูในที่ซุ่มซ่อนและภัยมืดต่าง ๆ ที่เคยเขย่าขวัญสั่นประสาทหรือสร้างความรำคาญความอัปยศอดสูหดหู่ใจให้ท่านมา นาน ๆ จะจบสิ้นไปเอง โดยธรรมดา

*ราศีมิถุน 15 มิถุนายน – 15 กรกฎาคม*

ในปี 2552 นี้ ท่านอยู่ในวัยใดก็ตาม จะเกี่ยวข้องกับไร่นาสวนและการช่างไม้ต่าง ๆ สะสมไม้ดอกไม้ใบไม้ประดับเป็นงานอดิเรก หาความสุขความชื่นใจจากธรรมชาติและไมตรีจิตมิตรภาพที่ปราศจากเลศนัย ซึ่งนับวันมีแต่จะหายากยิ่งขึ้น เป็นหนึ่งในร้อยที่โชคดีโดยไม่ต้องต่อสู้แข่งขันหรือขวนขวาย มีลาภโดยไม่มีศัตรู
การเงินรายได้และผลประโยชน์ของท่านจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้วๆ มา หรือแม้ได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายลดลงมาก เคยซื้ออะไรก็ไม่ต้องซื้อมีผู้นำมาให้โดยเคารพ ไม่มีเงื่อนไขและข้อเรียกร้อง ต้นไม้ที่ท่านปลูกทิ้งๆ ไว้เพื่อช่วยให้ร่มรื่นก็ออกผลให้นำไปรับประทานและแบ่งปันญาติมิตรได้ เหลือก็ขาย ท่านจึงมั่งคั่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว และเงินนั้นเป็นของแปลก ใครยิ่งมีก็ยิ่งมีมากขึ้นเพราะสามารถเรียกร้องหรือดึงดูดกันมารวมกันได้มาก ๆ คนที่รู้จักเก็บออมจึงมีเงินมากเสมอ เว้นแต่เล่นการพนัน ลุ่มหลงเพศตรงข้ามแบบทาสเทวี มีเท่าไรก็หมด แต่ท่านหาเป็นเช่นนั้นไม่ จัดการกับเงินได้ดีเสมอ

ในปี 2552 ญาติมิตรที่ห่างเหินไปเพราะความจำเป็นในงานอาชีพ หรือระแวงแหนงใจกับท่านด้วยเหตุผลข้อใดๆ ก็ตาม จะเข้าใจท่านและมาคืนดีเหมือนเดิม จะมีการเดินทางไปมาหาสู่พี่น้องและเพื่อนๆ ที่อยู่ห่างไกล

แต่หลังจากวันที่ 30 กันยายน 2552 แล้ว เพื่อนฝูงพี่น้องของท่านจะอพยพมาอยู่ใกล้ ๆ กันโดยบังเอิญและชื่นชมยินดีต่อกันเป็นอย่างยิ่ง
ท่านจะไม่ยุ่งยากเดือดร้อนหรือวิตกกังวลเพราะบริวารหรือเด็กในปกครองบังคับ บัญชา พวกเขาจะอยู่ในโอวาทและปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในตัวท่าน แต่ท่านจะเจ็บไข้ไม่ได้เป็นอันขาด งานที่ท่านทำเองหรือจ้างวานใช้สอยใครก็ตาม ท่านต้องอยู่ดูแลโดยใกล้ชิดจึงเรียบร้อย ท่านที่มีบุตรหรือน้องๆ ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของผู้อื่น

ความรักของท่านเป็นสิ่งสวยงาม คนรักของท่านรูปร่างหน้าตากิริยาดี มีความรู้ในกิจการงานอาชีพของท่านพอสมควร โดยมากท่านปรึกษาหารือเขาได้ แต่ท่านไม่ค่อยมีความคิดเห็นให้เขา นอกจากความรักที่ท่านไม่มีเหลือไว้สำหรับผู้ใดในโลกนี้ คือท่านเป็นคนใจเดียวตลอดกาล คนรักของท่านก็ไม่ชอบเบ่ง ชอบอยู่เงียบๆ รักความสงบและยุติธรรม แต่กล้าหาญ แต่ความรักของท่านมักมีต้นเหตุมาจากความสงสารเห็นใจ แล้วจึงเกิดเป็นความรักและความเข้าใจต่อกัน อันเป็นรักที่ยืนยงคงทนตลอดไป

ปลายปีนี้อาจแต่งงานแบบรักแรกพบ คู่สมรสของท่านอาจเป็นหม้าย คนที่มีสถานภาพทางความรักเช่นนี้ ควรมีทัศนคติว่า "หัวเราะทีหลังดังกว่า"

*ราศีกรกฎ 16 กรกฎาคม – 16 สิงหาคม*

ในปี 2552 นี้ ท่านยังดำเนินชีวิตและทำงานด้วยการเล็งผลเลิศ วางแผนอย่างละเอียดลึกซึ้งและรอบคอบ 2 ชั้นขึ้นไป ถ้าชั้นแรกพลาดยังมีชั้นที่ 2 รองรับ เป็นเหตุให้ท่านคาดการณ์ได้แม่นยำ ไม่ค่อยมีข้อบกพร่อง และท่านก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ปลายปี 2538 คือชะตาชีวิตของท่านรุ่งโรจน์ด้วยการใช้วาทศิลป์
วันที่ 10 สิงหาคม 2550 ดาวเสาร์ย้ายจากราศีกรกฏลงราศีสิงห์ ท่านมีความคล่องตัวมากในเรื่องของงาน เงินและความรัก ท่านอาจเปิดสาขาร้านค้าขึ้นเป็นอันมาก มีแหล่งทรัพยากรที่จะตักตวงเอามาใช้จ่ายได้ไม่รู้จักหมด แต่ดาวเสาร์นี้ก็จะต้องย้ายราศีในวันที่ 30 กันยายน 2552 และเล็งกับดาวมฤตยูซึ่งย้ายเข้าราศีมีนก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2552 การที่ดาวเสาร์ย้ายราศีและเล็งมฤตยู อาจช่วยให้ท่านได้เดินทางบ่อยขึ้น อาจย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเรื่อยๆ หรือเป็นผู้จัดรายการทัศนาจรนำเที่ยวในประเทศต่างประเทศ นั่นเป็นอิทธิพลของดาวมฤตยูในภพที่ 9 ของชาวราศีกรกฎซึ่งนับเป็นอาทิตย์ลัคนา ถ้าท่านยังไม่ใช้รถยนต์เห็นจะซื้อหลังเดือนกันยายน 2552 ไปแล้ว และได้รับความสุขสบายตามอัตภาพของผู้ที่มีรถเอง

26 มกราคม 2552 เป็นวันจันทร์ดับเล็งราศีกรกฎ ท่านอาจเกิดเข้าใจผิดกับหุ้นส่วนผู้ร่วมงานหรือคู่หมั้นคู่สมรสถึงขั้นแตก ร้าวกันได้โดยไม่มีเหตุผล และวันที่ 22 กรกฎาคม 2552 จันทร์ดับในราศีกรกฎราว 4 องศาเล็งราหู อาจเกิดสุริยคราสที่มองเห็น ใน 2 ช่วงเวลาดังกล่าวท่านอย่าไปดู โปรดอยู่ในบ้าน
ชาวราศีกรกฎมีดวงจันทร์เป็นดาวประจำราศี ชีวิตความเป็นอยู่จึงเหมือนดวงจันทร์ คือ เป็นจุดสนใจของสังคม ท่านเด่นในหมู่พี่น้อง

ในปีใหม่นี้ดาวพฤหัสบดีซึ่งเล็งราศีกรกฎมาตั้งแต่ 4 ธันวาคมปีกลาย (2551) นี้ โคจรในราศีธนูถึง 19 เมษายน ระยะหนึ่ง กับถอยจากราศีกุมภ์ลงมาโคจรในราศีมังกรตั้งแต่ 15 สิงหาคม ถึง 14 ธันวาคม 2552 อีกช่วงหนึ่ง เวลาที่พฤหัสบดีเดินหน้าถอยหลังในราศีมังกรก็เล็งราศีกรกฎ ซึ่งน่าจะอำนวยโชคดีแก่ราศีนี้ตามวาสนา (ดวงเดิม) โดยมากดาวดีเดินปกติก็ให้คุณในเรื่องปกติ ถ้าเดินถอยหลังมักให้คุณในเรื่องงานอดิเรก งานนโยบาย งานแก้ไขสถานการณ์คับขันที่ผู้อื่นก่อขึ้นไว้แล้วทิ้งให้ญาติมิตรรับผิดแทน ดาวพฤหัสบดีเล็งราศีของผู้ใด ผู้นั้นมักโชคดี ชาวราศีนี้ที่รักษาความเป็นโสดมานานๆ มักสละโสดในช่วงเวลาที่ดาวพฤหัสบดีเล็ง เพราะถูกผู้ใหญ่บังคับบ้างหรือบางทีก็เกรงใจคนที่จะต้องแต่งด้วย

อนึ่งตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม ถึงสิ้นปี 2552 ดาวอังคารเข้ามาโคจรในราศีกรกฎ บางช่วงเล็งราหูและดาวพฤหัสบดี ควรระวังไฟและการเป็นคดีความ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 ราหูย้ายลงธนู ปัญหาสำคัญจะจบลง ศัตรูลึกลับต่าง ๆ ก็ลาโรงม้วนเสื่อกลับภูมิลำเนา

*ราศีสิงห์ 17 สิงหาคม – 16 กันยายน*

ท่านชาวราศีสิงห์ผู้ยิ่งใหญ่ผ่านปี 2551 มาอย่างมหัศจรรย์ ได้แก่ราศีของท่านมีดาวเสาร์มาโคจรอยู่ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2550 ให้โทษมากน้อยตามสภาพ

นับแต่ 17 สิงหาคม 2551 แม้ดาวอังคารจะย้ายไปจากราศีสิงห์แล้ว ยังมีอาทิตย์ยกลงมาร่วม เป็นอาทิตย์ พุธ ศุกร์ เสาร์ และพระเกตุรวม 5 องค์ ทั้งนี้โดยมีดาวมฤตยูและพระราหูเล็งจากราศีกุมภ์ เสาร์เล็งราหูกามเทพคงส่งแฟนให้อย่างลึกลับหรือเป็นเรื่องที่ต้องปิดๆ บังๆ ด้วยถ้าท่านอายุเยาว์มักได้แฟนเป็นผู้อาวุโสสูง ถ้าท่านชราแล้วคงได้แฟนละอ่อน บางทีก็ได้ไร่นาสวน อาคารบ้านเรือนที่เหมาะแก่ฐานะที่แท้จริงของท่าน 17 กันยายน 2551 ราศีสิงห์เหลือเสาร์ดวงเดียว โดยมีมฤตยูเล็ง 2 มีนาคม 2552 ดาวมฤตยูย้ายขึ้นราศีมีน ไม่เล็งเสาร์ในราศีสิงห์อีก ชีวิตและงานของท่านมั่นคงแน่นอนยิ่งขึ้น 30 กันยายน 2552 เสาร์ย้ายลงราศีกันย์ ท่านเหมือนจันทร์เพ็ญบนเวหาซึ่งไม่มีเมฆบดบัง

ต้นปี 2552 การเงินของท่านอ่อนแอ เพราะมีรายจ่ายพิเศษจำนวนมาก
ท่านจะถูกโฉลกกับการย้ายสถานที่ทำงานบ่อยๆ หรือทำงานไม่อยู่เป็นที่ ซึ่งวิถีชีวิตนี้กลับถูกโฉลกกับชะตาของท่าน การดำรงชีวิตแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัว

การเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง มีรากฐานที่แข็งแรงในการดำรงชีพและมีความรู้มีสติปัญญา จะทำให้ท่านตกเป็นเหยื่อผู้ที่ท่านคิดว่าโง่หรือไร้เดียงสาได้ ท่านทำคุณกับใครก็ทำไป แต่อย่าเป็นหนี้บุญคุณใคร อย่ารับความช่วยเหลือโดยไม่จำเป็น

*ราศีกันย์ 17 กันยายน – 16 ตุลาคม*

ในปี 2552 นี้ ท่านจะอายุสักเท่าไรก็ตาม จะอยู่ในสมาคมที่มีสมาชิกมาก มีการติดต่อกับญาติมิตรอย่างกว้างขวาง มีชื่อเสียงแพร่หลาย ได้มีโอกาสแสดงความรู้ความสามารถอันมีอยู่เฉพาะของท่าน วิถีชีวิตของท่านจะมีการเปลี่ยนแปลงที่โลดโผนพิสดารพอสมควร แต่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในหลักสำคัญเหมือนกับเป็นคนช่างคิดช่างอ่าน กล้าริเริ่มทำความคิดเห็นของตนเองด้วยความจริงใจ ข้อควรระวังคือเมื่อท่านทำผิดจะไม่มีใครแนะนำตักเตือน นับว่าเป็นความอาภัพของท่านอย่างรุนแรง แต่ปัญหาในใจของท่านที่แก้ไขยากคือ เมื่อญาติมิตรที่เคยตกทุกข์ได้ยากและท่านช่วยเหลือเต็มที่นั้นกลับเจริญ รุ่งเรืองขึ้นโดยวาสนาของเขาเอง ท่านกลับไม่พอใจและเป็นศัตรูกับผู้นั้นอย่างแรง

ท่านจะได้ลาภจากผู้ใหญ่ หรือได้ร่วมงานกับกลุ่มชนหรือสมาคมที่มีอุดมการณ์เพื่อสังคม วันที่ 2 มีนาคม 2552 ดาวมฤตยูย้ายจากราศีกุมภ์ขึ้นราศีมีน และอาจมีดาวหรือพระเคราะห์อื่นอีกซึ่งมีคุณและโทษตามสภาพของดาวในดวงกำเนิด นั้น แต่สภาพในครอบครัวของท่านจะผันแปรพอสมควร ท่านจะมีกำลังเงินสูงขึ้นกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา

บ้านท่านจะมีผู้ย้ายเข้าย้ายออก แฟนท่านอาจไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ท่านยังไปด้วยไม่ได้ ระหว่างที่ย้ายแยกกันความไว้ใจกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ท่านที่ย้ายบ้านบ่อยๆ ซึ่งย่อมหมายถึงผู้ที่ไม่มีบ้านของตนเอง ปีใหม่นี้ท่านจะพร้อมยิ่งขึ้นในการหาบ้านที่เหมาะสม ราหูซึ่งโคจรในราศีมังกรช่วยให้ท่านได้ลาภจากบริวารบุตรหลานมาเป็นเวลานาน บางทีปีใหม่นี้ท่านอาจไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา เพราะท่านช่วยตัวเองได้อย่างเต็มที่ ท่านจะอยู่ที่ไหนทำงานอะไรก็ตาม คนที่มาอาศัยท่านอยู่อาจเป็นเหตุให้ท่านย้ายบ้านบ่อย ๆ ก็ได้

ราศีกันย์มีพุธเป็นดาวประจำราศี ทุกครั้งที่ดาวนี้โคจรถึงราศีกันย์ก็มีฐานะเป็นมหาอุจ คือ ท่านทำอะไรไม่นานก็เบื่อ และทอดทิ้งงานที่ทำนั้น จนกว่าจะมีผู้อื่นมาเก็บไปทำได้ผลดีท่านจึงรู้สึกเสียดายว่าไม่ทำให้ตลอดรอด ฝั่ง ถ้าท่านทำอะไรจริง ๆ ก็จะประสบความสำเร็จอยู่ในแถวหน้าของผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
4 พฤศจิกายน 2552 พระราหูย้ายลงมาโคจรในราศีธนูปีเศษ อย่ารับคนจรเข้าบ้าน และถ้าจะซื้อบ้านปลูกบ้านต่อเติมบ้าน ควรไตร่ตรองให้ดี แล้วท่านจะมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป

*ราศีตุล 17 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน*

ในปี 2552 ท่านจะได้รับความพอใจในสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน มีดาวมฤตยูย้ายจากราศีกุมภ์ไปราศีมีน 2 มีนาคม ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได ้รับผลกระทบจากดาวมฤตยูตามวาสนา สิ่งใดที่คิดว่าจะได้กลับไม่ได้แต่ถ้าได้มาจริง ๆ ก็ไม่ดี และสิ่งใดที่คิดว่าไม่ได้กลับได้และเป็นประโยชน์อย่างมาก
ดาวพฤหัสบดีจะย้ายข้ามราศีไปมาระหว่างราศีมังกรกับราศีกุมภ์ และขณะที่โคจรในราศีมังกรก็ร่วมกับราหู ให้ผลในเรื่องความมืดมนของปัญหาชีวิต ซึ่งท่านจะรักษาตัวให้พ้นภัยได้ด้วยคุณงามความดี มีความจริงใจต่อตนเองและผู้อื่น

ดาวเสาร์ซึ่งโคจรอยู่ในราศีสิงห์ตั้งแต่ วันที่ 10 สิงหาคม 2550 ก็จะย้ายในปี 2552 นี้ด้วยเช่นกัน คือวันที่ 30 กันยายน 2552 เข้าราศีกันย์ นับว่าเป็นวินาศ แก่ราศีตุล เสาร์จะเป็นวินาศกับชาวราศีตุลไปเป็นเวลา 2 ปีเศษ ดาวเสาร์จะเป็นอุปสรรคขัดข้องในด้านความอืดอาดไม่ทันเหตุการณ์ เบื่อง่าย มีใครมารักมาชอบก็เข้มงวดจนเปิดหนีไปหมด แต่ในด้านดีคือท่านจะไม่ผลีผลาม ไม่ตื่นเต้น

ชีวิตการงานของท่านในปีใหม่นี้มีช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองรวดเร็วเกินความ คาดคิด และมีช่วงเวลาแห่งความสงบสุข ชาวราศีตุลมีดาวประจำราศีคือศุกร์ เป็นดาวที่สวยงามที่สุดในบรรดาดาวดีๆ ด้วยกัน ชาวราศีนี้จึงสวยหรือมีเสน่ห์ ท่านจึงเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ไม่ว่าท่านจะมาจากภาคส่วนใดย่อมไปสู่ จุดสุดยอดแห่งความปรารถนาของมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น สุดแท้แต่ท่านจะเลือก

ในวันที่ 24 พฤษภาคม ถึง 5 กรกฎาคม 2552 จะมีเรื่องขัดแย้งกับหุ้นส่วนผู้ร่วมงานในระดับเดียวกัน แต่ไม่เป็นไร เพราะสามารถชำระสะสางให้เรียบร้อยได้ แต่ท่านที่มีคนรักหรือคู่สมรส อาจพูดกันให้เข้าใจไม่ได้และเกิดทิฐิมานะ ไม่มีใครยอมใครเป็นเหตุให้ต้องแยกย้าย กันไปคนละทางไม่มีวันพบกันได้อีกต่อไป แต่ปกติแล้วชาวราศีตุลมีสถานภาพความรัก และการสมรสที่มีเสถียรภาพ รักกับใครก็ดูกันนาน ๆ แน่ใจแล้วจึงแต่ง และแต่งแล้วก็อยู่กันไป จนหลงจำหน้ากันไม่ได้เพราะแก่หง่อม

4 พฤศจิกายน 2552 ราหูย้ายลงมาราศีธนู ท่านมีลาภลอยก่อนสิ้นปี จึงสรุปได้ว่าปีใหม่นี้ท่านมีชีวิตและงานราบรื่นแจ่มใส ร่ำรวย และเกลียวกลมกับคนรักอย่างมาก

*ราศีพิจิก 16 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม*

ในปี 2552 นี้ ท่านโชคดีตั้งแต่ต้นปี ได้มรดกตกทอดจากเพื่อนสนิทยกให้ท่านครอบครองดูแลต่อไปในขณะที่เขาเดินทางไป ต่างประเทศหรือมีภาระมากเกินกว่าจะจัดการได้ ท่านก็เหนื่อยหน่อย มีเกณฑ์ว่าท่านจะรับภาระหน้าที่แทนเพื่อน หรือเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปรักษาการแทนนายซึ่งเกษียณหรือย้ายไปกินตำแหน่งสูงก ว่า เก่า ท่านอาจขยายกิจการงานโดยวิธีลัด เช่น รับเซ้งกิจการของผู้อื่น และท่านทำแล้วก็รุ่งเรืองดี ไม่ใช่การหัวเราะทีหลังดังกว่า แต่เป็นเรื่องของการงานหรืออาชีพ ซึ่งอาศัยปัจจัยต่าง ๆ เป็นอันมาก และรวมถึงโชควาสนาด้วย

ท่านได้ลาภสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2551 และสิ่งนั้นก็ยังอำนวยโชคแก่ท่านจนปัจจุบัน ทำให้ท่านสดชื่นเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง และอาจรู้สึกว่าในบรรดาผู้ที่โชคดีด้วยกันแล้ว ท่านเหนือชั้นกว่าเยอะ ท่านเป็นผู้มีโชควาสนาชะตาชีวิตน่าพิศวง ท่านเป็นบุคคลที่ดีของสังคม รวมถึงในยามที่ญาติมิตรของท่านแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านก็มีคำตอบให้ชนเหล่านั้น ถ้าท่านคนเดียวแนะนำไปแล้ว คนทั้งหมดก็ทำตาม ท่านย่อมระงับความโกรธทุกกรณี
รายได้การเงินและผลประโยชน์ของท่านราบรื่นไปอีกนาน แต่จะมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้นตั้งแต่ 30 กันยายนถึงปลาย ๆเดือนตุลาคม ดาวเสาร์ย้ายเข้าราศีกันย์ ท่านจะได้ลาภลอยซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงฐานะความเป็นอยู่จากหน้ามือเป็นหลัง มือหรือจากคนเดินดินกินข้าวแกงเป็นเศรษฐีได้

วันที่ 2 มีนาคม 2552 ดาวมฤตยูย้ายขึ้นราศีมีน มีความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับบริวารที่เป็นสิ่งที่ยากแก่การคาดหมาย
ท่านที่ยังเรียนอยู่ไม่ว่าระดับใด จะมีความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ถ้าต้องชิงทุนไปทำปริญญาในต่างประเทศก็จะสมความประสงค์
ท่านที่ยังอยู่ในวัยที่มีความรัก หรือยังโสด ความรักของท่านปีนี้แปลก คือท่านอาจไปรักกับแฟนเพื่อนซึ่งเลิกกันแล้วมาอยู่กับท่าน เพราะท่านไม่รู้มาก่อนว่าใครเป็นใคร จนได้กันแล้วเพื่อนมาเจอจึงรู้เรื่อง แต่แก้ไขอะไรไม่ได้ คนที่รักจริงหวังแต่งจึงควรให้เวลาความรักได้พิสูจน์ตัวเองและหัวใจนานพอ สมควรว่าคนที่ท่านรักไม่ได้มาหาท่านเพราะโกรธกับแฟนเก่าหรือประชดแฟนเก่า ถ้าท่านแต่งงานกับคนที่เคยมีแฟนมาแล้ว ก็ต้องทำใจให้หนักแน่น คิดถึงพรหมลิขิตไว้บ้าง
ดาวเสาร์ย้ายจากราศีสิงห์ การงานของท่านจะมั่นคงและรุ่งเรืองขึ้นมาก ท่านที่ยังไม่ได้ทำงานจะได้งานทำ และชีวิตแจ่มใสมีโชคดีตั้งแต่ 30 กันยายน 2552 เป็นต้นไป

*ราศีธนู 16 ธันวาคม – 14 มกราคม*

ในปี 2552 นี้ ท่านพบการเปลี่ยนแปลงในด้านความเป็นอยู่ซึ่งส่งผลถึงจิตใจด้วย หมู่บ้านหรือชุมชนอันเป็นที่อยู่อาศัยอย่างสงบสุขมานาน จะมีห้างสรรพสินค้าหรือตลาดสดมาอยู่ใกล้ๆ เป็นเหตุให้ระบบนิเวศน์ผันแปรไป

ท่านมีรายรับรายจ่ายและเงินออมเป็นปกติมานานนับ 10 ปี แต่ในปีหนึ่งหรือสองปีที่แล้วมานี้ตลอดจนปี 2552 นี้ด้วย ท่านมีรายจ่ายพิเศษมากผิดปกติ ค่าครองชีพของท่านสมดุลจริงแต่ค่าสังคมของท่านสูงขึ้นมาก ท่านอาจมีผู้ที่ต้องช่วยเหลือตามฐานานุรูปของเขา ต้องรับธุระให้แก่พวกพ้องเพื่อนฝูงที่มาขอให้ช่วยหรือแม้มิได้ขอก็ตาม ท่านจึงเป็นผู้หนึ่งที่สดชื่นอยู่ในหัวใจของญาติมิตร แต่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาท่านอาจเสียเพื่อนหลายคน และเสียพี่น้องสนิทไปตามธรรมดาของโลก และหมายถึงรายจ่ายจรสูงขึ้นด้วย

ราหูอยู่ในภพการเงินของท่านตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2551 จะย้ายลงราศีธนูซึ่งเป็นราศีเกิดของท่าน ตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2552 ท่านจะจ่ายน้อยและรับมากขึ้นตามอัตภาพ แต่การที่ท่านเมตตาผู้น้อยและเอื้อเฟื้อเรื่องการเงินตามมีตามเกิด อาจเป็นเรื่องที่คนระดับเดียวกับท่านหรือสูงกว่าในสังคมเดียวกันทำไม่ได้ รับไม่ได้ ท่านย่อมถูกริษยาและต่อต้าน โดยส่งบริวารที่เจ้าเล่ห์มาขอสตางค์ท่าน ถ้าท่านให้ก็ไปพูดว่าท่านอ่อยเหยื่อ ปีใหม่นี้ท่านจะช่วยเหลือผู้น้อยที่เป็นเพศตรงข้ามต้องคิดให้ดี

ท่านชาวราศีนี้ที่ทำงานในฐานะผู้ใหญ่ที่มีผู้อยู่ในบังคับบัญชา หรือมีบุตรหลานคนรับใช้ ปีใหม่นี้หลังวันที่ 2 มีนาคม 2552 ไปแล้ว ดาวมฤตยูขึ้นไปโคจรในราศีมีนหลายปี ท่านอาจผจญกับการทรยศหักหลังคดในข้องอในกระดูกของผู้น้อยบางคน แม้คนในบ้านก็อาจจะละเลยไม่สนใจดูแลบ้านเรือนให้เรียบร้อย แต่เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าท่านระวังตัวดี

งานอาชีพของท่านเป็นภาระมากขึ้น ใช้แรงงานไม่มากแต่ใช้ความคิดหนัก เงินมากขึ้น ท่านอาจถูกกล่าวหาเรื่องเงิน จึงไม่ควรเกี่ยวข้องกับเงินของผู้อื่น จึงไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มิใช่ธุระของท่าน รวมถึงพรหมลิขิตของผู้อื่นด้วย

ท่านที่ยังโสดหรือไม่รักใครหรือไม่มีใครรักก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2552 ดาวศุกร์ย้ายเข้าราศีมีนเป็นมหาอุจ อยู่ไปจนถึง 1 มิถุนายน 2552 ระหว่างเวลานี้ กามเทพจะยิงลูกธนูเกสรดอกไม้อาบน้ำผึ้งวิเศษเข้ามาทางหน้าต่างบ้านท่าน คนที่ท่านจะรักคงเป็นคนในบ้าน อาจเป็นญาติห่าง ๆ ที่มาอาศัยอยู่จนเห็นใจกัน หรือคนที่มาอาศัยอยู่ในบ้านท่าน แม้ในระหว่าง 28 เมษายน ถึง 1 มิถุนายน จะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ตั้งแต่ 1 มิถุนายน ถึง 1 กรกฎาคม 2552 ท่านก็จะพบรักหรือมีการสมรสอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ท่านควรพิจารณาไตร่ตรองให้คู่ควรหน่อย ท่านจะพบรักอย่างสายฟ้าแลบ นานมาแล้วท่านเคยอกหักนิดหนึ่งแต่เวลาเป็นโอสถวิเศษรักษาท่านให้หายและลืม ความชอกช้ำระกำใจได้ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่กล้ารักใครเพราะเข็ดหลาบ แต่ปีนี้เวลาดังกล่าว ดวงดาวบีบคั้นให้มีเรื่องรักใคร่
ท่านที่ถูกย้ายไปทำงานในต่างถิ่น เพราะผู้ใหญ่ไม่ชอบหน้า แต่ปีใหม่นี้ ดาวเสาร์ย้ายวันที่ 30 กันยายน ท่านหมดเคราะห์ที่เคยมี กลับสู่สถานะเดิมและดีขึ้นอย่างผู้หมดเคราะห์

*ราศีมังกร 15 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์*

ในปี 2552 ชีวิตและงานที่เคยมีอุปสรรค จะเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมผันแปรไปไม่มีใครแก้ไขได้ หลายปีที่ผ่านมาศัตรูของท่านเข้ามาอยู่ใต้โต๊ะทำงาน ในลิ้นชักหรือแม้แต่เพดานห้องได้โดยความช่วยเหลือของใครก็ตามที่ไม่อยากเห็น ท่านได้ดี หรือเป็นพวกที่คิดว่า ถ้าเขาทำร้ายใครไม่ได้ก็ทำร้ายพวกพ้องของท่าน เพื่อให้เจ็บร้อนถึงกัน แต่ในเมื่อท่านเป็นคนที่มีความรู้สึกช้า หรือไม่รู้สึกสะเทือนใจเอาเสียเลย แผนของพวกนั้นก็ล้มเหลว

ใครที่ปรารถนาดีต่อท่านบังอยู่ไม่ได้นาน ด้วยถูกข่มเหงรังแก คำทำนายในข้อที่กล่าวถึงศัตรูและผู้ประสงค์ร้ายต่อท่านจะย้ายภูมิลำเนาเป็น การถาวรหลายคน ดาวมฤตยูเนปจูนและพลูโตรักษาท่านให้ปลอดภัยมาได้หลายสิบปี ศัตรูที่ยังอยู่เย็นเป็นสุขจะมีอาการผิดปกติขึ้นเอง ท่านอย่าคิดบัญชีกับเขาให้เป็นหน้าที่ของพรหมลิขิต แล้วตัวท่านก็จะปลอดภัยด้วย คนที่ไปเร่งความพินาศหายนะของผู้อื่น มักพินาศเอง

การเงินของท่านจะดีขึ้นในเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงกลางเดือนสิงหาคม 2552 จนกลางเดือนธันวาคม 2552 การเงินของท่านจะมั่นคงดี
มีความเป็นไปได้ที่ท่านอาจย้ายบ้านหรือภูมิลำเนา ทั้ง ๆ ที่ท่านอาจเพิ่งย้ายเมื่อเร็วๆ นี้ หรือแม้จะไม่ได้ย้ายเลยก็ตาม ต้นเหตุอาจมาจากแมวของท่านไปกินปลาในบ่อของเพื่อนบ้านเท่านั้นเอง

ตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2552 ราหูจากราศีมังกร ชาวมังกรที่เคยเชื่ออะไรง่าย ๆ กลับกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อถือหรือนับถืออะไรง่าย ๆ อีกต่อไป คือมีและใช้วิจารณญาณของตนเองเต็มที่ ไม่เป็นเครื่องมือของใคร

ดาวเนปจูนย้ายจากราศีธนูมาราศีมังกรวันที่ 6 ธันวาคม 2538 ย้ายไปราศีกุมภ์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ก่อนที่ดาวเนปจูนที่เคยให้โทษเมื่อย้ายมาใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 2538 จะให้คุณแก่ท่านก่อนที่จะจากไปคือ ท่านจะมีลาภใหญ่ก่อนสิ้นปี 2552 นี้ คำทำนายนี้อาจผิดเพราะดาวเนปจูนนั้นลึกลับ ถ้าท่านขาดจริยธรรมแม้เล็กน้อยดาวนี้ก็อาจกลับให้โทษก่อนย้ายได้อีก

ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2552 ดาวอังคารโคจรในราศีกรกฎ และจะอยู่ต่อไปจนสิ้นปียังไม่ย้าย ดังนั้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 ท่านจึงมีเรื่องยุ่ง ๆพอสมควร อาจเผชิญหน้ากับศัตรูที่อาจทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านเดือดร้อนถึงที่สุด แต่ก็ทำร้ายท่านได้ไม่มากนัก

*ราศีกุมภ์ 13 กุมภาพันธ์ – 14 มีนาคม*

ในปี 2552 นี้ ท่านจะพบการเปลี่ยนแปลงในชีวิตและงาน 2 แบบคือเป็นไปโดยกะทันหันแบบหนึ่ง หรือนำท่านไปสู่สิ่งแวดล้อมที่มหัศจรรย์แบบหนึ่ง หรือบางทีก็ทั้ง 2 เพราะดาวมฤตยูเป็นเรื่องของความไม่นึกไม่ฝัน แต่เป็นความจริงที่จำต้องรับโดยหลีกเลี่ยงไม่พ้น

ชาวราศีกุมภ์ตามปกติเป็นผู้ที่เอาใจยาก เดาใจก็ยาก มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ไม่เหมือนใคร และใครๆ ก็จะทำให้เหมือนก็ยาก ท่านไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดเลย ดวงท่านแข็งแรงพอที่จะยืนหยัดตามลำพัง

ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ถึง 15 สิงหาคม 2552 ท่านจะได้ทำงานทางวิชาการ ได้รับตำแหน่งแทนหรือรักษาการแทนผู้ที่ย้ายไป งานที่ท่านทำตามใจเพื่อน ๆ หรือคิดว่าเป็นงานอดิเรกจะให้ผลดีอย่างงานอาชีพโดยแท้จริง แต่เรื่องของงานวิชากรและความเป็นนักสังคมสงเคราะห์ของท่านจะมีอุปสรรค หลังวันที่ 15 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไป บางทีเป็นเพราะงานที่ท่านทำมีการเปลี่ยนผู้บริหาร และผู้บริหารต้องการเก้าอี้ของท่านไปให้คนของเขาทำ แต่ท่านก็ยังได้รับการนับถือและเชื่อถือจากโลกของการงานอยู่ และจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นหลังวันที่ 14 ธันวาคม 2552 เป็นต้นไปจากระยะเวลายาวนาน

ดาวเสาร์ซึ่งเล็งราศีเกิดของท่านตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2550 ซึ่งเท่ากับเล็งอาทิตย์กำเนิดซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความระแวงกันในครอบครัว และคนใดคนหนึ่งระหว่างท่านกับแฟนต้องแยกกันอยู่เพราะหน้าที่การงาน แบบออกร่อนเร่ในกลางทะเลทรายหลาย ๆวัน จึงจะได้กลับบ้านเสียที มิใช่ทิ้งขว้างร้างหย่ากัน แต่การพลัดพรากจากกันบ้างของคู่สมรสเป็นการสะเดาะเคราะห์โดยอัตโนมัติ แต่เมื่อดาวเสาร์ย้ายเข้าราศีกันย์จึงเล็งดาวมฤตยูซึ่งย้ายขึ้นไปราศีมีน ก่อนตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2552 แล้ว ราศีมีนเป็นตัวแทนแห่งการเงินรายได้ประโยชน์ของท่าน ในปีใหม่นี้ท่านคงมีรายจ่ายสูง ถ้าท่านมีลูกซึ่งเรียนจบแล้วเขาก็ต้องดิ้นรนขวนขวายให้ท่านส่งไปเรียนต่อ ต่างประเทศให้ได้ ซึ่งคงเป็นไปในปีนี้ เว้นแต่เขาจะสมรสก่อน แต่ก็มีคู่สมรสบางคู่ พอแต่งเสร็จก็ขึ้นเครื่องบินไปทำงานเมืองนอกเลย
ปีนี้อังคารโคจรในราศีเกิดของท่านโดยวิถีปกติ ตั้งแต่ 7 มีนาคม ถึง 15 เมษายน 2552 คือเดินหน้าลูกเดียว จะให้โทษให้คุณก็เป็นไปตามปกติ จะผ่าตัดก็ผ่าหนเดียวจบ ดาวอังคารเป็นดาวร้ายเมื่อมีจังหวะสัมพันธ์กับราศีใดก็ทำให้คนราศีนั้น มุทะลุดุเดือด ใครร้ายมาจะร้ายตอบทันที และข้อสำคัญจะถือความคิดของตนเองเป็นใหญ่ แม้แต่การสารภาพหรือขอความรักก็มิได้มีความนุ่มนวลเสียเลย ดังนั้นในระยะเวลาเดือนเศษแค่นั้น ถ้าท่านสำรวจวาจาอารมณ์ให้ราบรื่นได้ก็จะเป็นการดี
ท่านเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต มีคู่ครองเป็นคนดี แม้จะลึกลับนิดหนึ่งก็ยังอยู่ในเงื้อมมือหรือโอวาทของท่าน ลูก ๆ แม้จะพึ่งได้หรือไม่ค่อยได้ ก็มีวิชาติดตัวพอที่ท่านจะไม่ต้องห่วงว่าจะอยู่ในโลกอันยอกย้อนและลึกลับนี้ ไม่ได้ ไม่ทันคนอื่น เป็นปีที่ดีมากของท่านด้วย

*ราศีมีน 15 มีนาคม – 12 เมษายน*

ในปี 2552 นี้ ท่านสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามาก ชีวิตและงานของท่านเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหลายครั้ง ดาวประจำราศีชองท่าน "พักร์" ในราศีมังกรอันเป็นราศีที่พฤหัสบดีอับแสงซึ่งกลับให้คุณแก่ดวงของท่านในกรณี เกิดวิกฤตในทางวิชาการหรือจริยธรรม ซึ่งท่านจะออกมาแก้ไขให้ทุเลาเบาบางลงได้หรือกลับสู่สภาพปกติ วันที่ 4 ธันวาคม 2551 ดาวพฤหัสบดีย้ายเข้าราศีมังกร คืออับแสงร่วมกับราหู จนวันที่ 20 เมษายน 2552 พฤหัสบดี ย้ายขึ้นราศีกุมภ์จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2552 ถอยกลับมาราศีมังกรอีกจนถึง 14 ธันวาคม 2552 จึงย้ายไปราศีกุมภ์อีก ท่านจึงออกจะมีชีวิตความเป็นอยู่และความคิดจิตใจที่โลดโผน มีเพื่อนใหม่ ๆ หรือเพื่อนเก่าแต่เขามาในมาดใหม่ชี้นำให้ท่านทำธุรกรรมที่ต้องลงทุนด้วยเงิน หรือความรู้ความสามารถหรือชื่อเสียงของท่าน ซึ่งถ้าเป็นกรณีเช่นนี้มักถอนทุนไม่ขึ้น แล้วพวกเพื่อนๆตัวดีเหล่านี้จะหายเข้ากลีบเมฆไปหมด แต่ดาวดวงนี้ก็ให้คุณแก่ท่านตลอดชีวิต

วันที่ 30 กันยายน 2552 ดาวเสาร์ย้ายจากราศีสิงห์ลงมาราศีกันย์ในฐานะดาวร้ายธรรมดา ๆ ดวงหนึ่ง แม้จะเล็งราศีเกิดของท่านก็ให้ร้ายแบบสามัญไม่รุนแรงเหี้ยมโหดอย่างที่ดาว เสาร์มักจะกระทำเมื่ออยู่ในราศีที่ทำให้เด่นหรือเสื่อม

ชาวราศีมีนได้ผ่านการถูกราหูทับมาแล้วเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2548 ถึง 29 กันยายน 2549 ในช่วงเวลาปีกว่า ๆ เช่นนั้นท่านได้อะไรมาและต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ถ้าจำได้ก็อาจช่วยให้วินิจฉัยสถานการณ์ที่จะเกิดจากราหูเข้าราศีที่เป็นภพ กรรมะ (งาน) ของท่านได้พอสมควร หรือบางทีก็ไม่ได้อะไรเลย
ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2552 ดาวศุกร์ย้ายเข้าราศีมีนเป็นมหาอุจ ดาวศุกร์นี้เป็นดาวแห่งความรักเสน่หายาใจ เป็นดาวที่นำความปลาบปลื้มดื่มดำมาสู่ผู้คน เป็นดาวแห่งความกลมเกลียวสมสนิทในไมตรีจิตภาพ ดาวศุกร์นี้จะโคจรในราศีมีนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2552 ชาวราศีนี้และราศีที่มีศุกร์เป็นดาวประจำราศีคือพฤษภและตุลจะมีความสุขอย่าง มาก แม้คนที่อาภัพที่สุดก็จะรื่นรมย์สมหวังในความปรารถนาต่าง ๆ อย่างนึกไม่ถึง ช่วยให้คนยากจนเป็นคนมั่งคั่งได้โดยสุจริต และโชคดีเรื่องความรักอย่างพระสังข์ทองได้รจนา ไม่มีใครริษยาและต่อต้านได้

ท่านชาวราศีมีนเป็นคนที่มีจิตใจละเอียดสุขุมประณีต รักษาอนามัยดีและเป็นคนสะอาดทั้งใจและกาย มีระเบียบวินัยดูแลตนเองได้ สุภาพต่อผู้อื่นแม้จะเป็นผู้อาภัพอับวาสนา แต่ราศีที่อยู่ข้างหน้าราศีมีนเป็นราศีเมษ ท่านจึงโกรธเก่งที่สุด ถ้าเป็นมิตรก็เป็นกัลยาณมิตร ถ้าเป็นศัตรูก็หฤโหดและไม่อภัยให้แก่ใครใด ๆทั้งสิ้น เหมือนคนไม่มีหัวใจ บทจะรักก็รัก ไม่รักก็เกลียดเลย เป็นเพื่อนกันก็ไม่เอา ปีใหม่นี้ท่านดวงดีกว่าหลายปีที่ผ่านมา ไม่พูดให้ร้ายผู้อื่นแล้วจะดีที่สุด

วิธีลดขนาด file Word & Excel ที่มีรูปภาพ มีประโยชน์มากๆ

การลดขนาด File ที่มีภาพประกอบ
•ใช้ได้ทั้ง MS Excel, MS Powerpoint, MS Word


บางครั้งเราจะพบว่ามีการส่ง File ขนาดใหญ่มาทาง Mail ถ้าเป็นเอกสารที่มีภาพประกอบจะมีขนาดใหญ่ ตัวอย่างนี้ มีขนาด 2 MB

ตัวอย่างนี้เป็น Microsoft Word ที่มีภาพถ่ายประกอบ คลิกเมาส์ขวา ที่ภาพ เลือก format picture

เลือก Compress หรือ บีบอัด (เพื่อลดขนาดภาพ)


เลือก All ถ้า จะ compress ทุกรูปใน file เอกสารนี้
เลือก Web/Screen
เลือก OK

เลือก OK (รอสักครู่)
แล้ว Save ใหม่

พบว่าขนาดของ file จะเล็กลง จาก 2 MB เหลือแค่ 103 KB

ลองทำดูนะคะ จะได้ประหยัดเนื้อที่ Disk
ข้อควรระวัง แต่บางกรณี ทำแบบนี้จะทำให้ลักษณะสัดส่วนของภาพผิดไป
ดังนั้น เมื่อทำแล้วก่อน Save ควรตรวจดู ทุก ๆ หน้าของเอกสารก่อน
ถ้าภาพไม่เป็นไปตามต้องการก็ไม่ควร Save ค่ะ

เหงื่อบอกโรค

1. โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น

ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย

วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง

เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง

ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน

2. โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย

ผู้ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้

โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด

ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน

คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้

23 พ.ย. 2551

เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง .... ที่ ....แพทะเลใน 500 ไร่

เสน่ห์ของ เขื่อนรัชชประภา ยังคงอยู่ในความรู้สึกตลอด....โดยเฉพาะบรรยากาศที่ แพทะเลใน 500 ไร่....เงียบ สงบ เหมาะแก่การพักผ่อน ไม่มีใครมารบกวนทั้งนั้น เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ อิอิ
บรรยากาศบริเวณจุดชมวิวของเขื่อนรัชชประภา

บรรยากาศระหว่างนั่งเรือ เพื่อไปที่พัก แพทะเลใน 500 ไร่


มาดูบรรยากาศรอบๆ ที่พักของเรากันดีกว่า.......เป็นงัย.....หมอกลอยต่ำ คลอเคลียกับภูเขาหินปูน ถ้าเปิดประตูห้องพักออกมาก้อจะเจอภาพแบบนี้เลย
ที่พัก " แพทะเลใน 500 ไร่ "