31 มี.ค. 2552

ความเชื่อโบราณ อะไรดี ไม่ดีกับหญิงสาว

เป็นความเชื่อที่บอกต่อกันมานาน เราก็เลยเก็บมาฝากจริงหรือไม่ ลองไปสืบเพิ่มกันมา หรือถามคนรู้ก่อนกันก็ได้ จะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นความรู้เพิ่มเติม

1. ของใหม่ควร หรือ ไม่ควรใส่วันไหน

Don't อังคาร : เพราะจะทะเลาะกะแฟน

Don't เสาร์ : จะมีเรื่อเสียใจ หรือ เสี่ยความรู้สีก

Do จันทร์ : จะเพิ่มเสน่ห์

Do ศุกร์ : ใครเห็นก็เอ็นดู อยากเข้ามาคุยด้วย

2. เครื่องประดับที่ไม่ควรห้อยดิดตัวคือ กรงนก : เก๋ แต่เหมือนเรากักขังตัวเอง ขาดอิสระ จระเข้ : เป็นความหมายของการหักหลัง มีศัตรู ความเจ้าเล่ห์

3. ใส่เครื่องประดับ หรือเสื้อผ้าลายหัวกะโหลกวันเสาร์ จะทำให้มีพลังลึกลับ

4. ชาวตะวันตกเชื่อว่าใส่ตุ้มหูรูปเกือกม้า จะขับไล่ความโชคร้ายที่ลอบเข้ามาหาเราออกไป

5. ออกเดทวันเสาร์ ใส่เสื้อผ้าสีดำ จะทำให้คุณมีเสน่ห์

6. ออกเดทวันศุกร์ควรใส่เสือผ้าสีโทนฟ้าพาสเทล น้ำเงินสว่าง จะดูเท่ มีสไตล์ คนที่ไปเดทกับคุณจะอยากคบคุณแบบจริงจัง มากกว่าแค่เดทแก้เหงา แต่ถ้าใส่เสื้อผ้าสีดำออกเดทวันศุกร์ เขาอาจไม่คิดจริงจังกับคุณ

7. ห้ามให้น้ำหอมคนรัก อาจเลิกกัน ถ้าให้ก็ต้องของเงินเขาห้าบาท สิบบาทก็ได้

8. ห้ามใช้น้ำหอมของเพื่อน อาจทะเลาะกัน เหมือนที่คำโบราณที่ว่า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ กลิ่นน้ำหอมก็เหมือนกลิ่นสาปเสือ

9. ห้ามให้รองเท้าคนรัก เพราะเขาอาจเดินจากคุณไป

10. ชาวยิปซีเชื่อว่า ถ้าช่วงไหนคุณรู้สึกดวงไม่ดี ให้เอาเกลือไปโรยไว้หน้าบ้าน ถ้าวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะทำงานมุมซ้าย โทรศัพท์จะดังมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่ถ้าย้ายมาวางไว้มุมขวาจะทำให้คุณได้ยินแต่ข่าวดี ที่ทำให้คุณยิ้มออก

11. วันตัดผมยอดฮิต คือ วันศุกร์ จะเสน่ห์ ตัดผมวันอาทิตย์จะอายุยืน ตัดผมวันจันทร์จะมีแต่คนรัก และไม่ควรตัดผมวันอังคาร เพราะจะมีแต่เรื่องเสียน้ำตา

12. อย่าใช้ของมีตำหนิ หรือของที่คนรักให้แล้วมีตำหนิ เช่น ตุ้มหูข้างเดียว ให้เก็บไปเลยไม่ต้องใช้ เพราะจะทำให้ชีวิตคู่ไม่ราบรื่น หรือได้คู่ที่ผ่านคนอื่นมา ความรักของคุณจะอยู่ในภาวะไม่ชัดเจน

13. กระเป๋าตังค์ขาด ให้ทิ้งซะ เหมือนกับทำให้เงินรั่วไหล เก็บเงินไม่อยู่

14. คนจีนเชื่อว่า ใส่แหวนนิ้วก้อย จะไม่ต้องทำงานหนัก ใส่กำไรหยก จะมีอำนาจ สุขภาพดี

15. บนโต๊ะทำงานมุมขวาให้เอาดินสอเหลาใส่แก้ววางไว้ หัวสมองจะปลอดโปร่ง ปัญญาเฉียบแหลม

16. เขียนชื่อเราและคนรักด้วยเข็มบนลิปติกแท่งใหม่ แล้วใช้ทาปากทุกวันอย่าให้ใครใช้ เชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดถึงคุณ แต่คุณก็ต้องคิดถึงเขาจริงๆ นะ ไม่ใช่อยากเอาชนะ

17. คนไทยโบราณเชื่อว่า เวลาเข้าบ้านใหม่ต้องยกข้าวสารเข้าบ้าน แล้วบ้านนี้จะไม่อดอยากสมบูรณ์พูนสุขตลอดเวลา และอย่าลืมเอาสร้าย แหวน เงิน ทอง ใบเงิน ใบทอง ใส่ไว้ในถังข้าวสารด้วย จะได้มีเงินทองไหลมาเทมา

'อะแคนทะมีบา' ภัย "คอนแทคเลนส์"

*ดวง ตา คือ หน้าต่างที่ทำให้เรามองเห็นโลกกว้าง ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ดี ก็อาจทำให้เราก้าวเข้าสู่โลกมืด หรือมีความผิดปกติทางสายตารุนแรงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ *
เพราะหากละเลยข้อควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ก็อาจเป็นเหมือนการเปิดประตูต้อนรับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นอย่าง*"อะแคนทะมีบา" * เข้ามารุกรานและทำอันตรายต่อดวงตา เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.พญ.พนิดา โกสียรักษ์วงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อะแคนทะมีบา เป็นโปรตัวซัวแบบเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในน้ำและดิน มีช่วงชีวิต 2 แบบ คือ

*1. แบบ "ซีสต์"* มีขนาด 10-25 ไมครอน เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่จะฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ

*2. แบบ "โทรโฟซอยต์"* ที่เคลื่อนไหว มีขนาด 15-45 ไมครอน จะเปลี่ยนรูปร่างจาก "ซีสต์" มีฤทธิ์ทำลายดวงตา

อย่างไรก็ตาม เชื้ออะแคนทะมีบา ทั้ง 2 แบบ สามารถทนทานอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ เช่น หนาวจัด ร้อนจัด แห้งแล้ง ขาดอาหาร สระว่ายน้ำที่ใส่คลอรีน หรือแม้แต่บ่อน้ำร้อน

*เกี่ยวข้องอย่างไรกับคนใส่คอนแทคเลนส์*

ส่วน ใหญ่ร้อยละ 70 ในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ สามารถพบกระจกตาอักเสบเนื่องจากติดเชื้ออะแคนทะมีบาได้ โดยส่งผลทำให้เกิดอาการ ดังนี้ ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เป็นแผลอักเสบที่กระจกตา ในบางรายดูคล้ายอักเสบเนื่องจากติดเชื้อไวรัสเริม

วิธี รักษา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ในส่วนของการรักษา โดยทั่วไปจะต้องหยอดตาด้วยยาฆ่าเชื้อนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผสมจากน้ำยาบางชนิดที่ไม่มีขายในท้องตลาด โดยจะต้องหยอดตาบ่อย ๆ เป็นเวลานานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี และเฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ ๆ นานหลายปี เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบาสามารถมีชีวิตอยู่ในรูปแบบของซีสต์ได้นานหลายสิบ ปี ดังนั้นเมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีเชื้อโรคที่ไปเป็นอาหารชั้นดีของเชื้อ อะแคนทะมีบา ซีสต์ดังกล่าวก็จะแปลงร่างเป็นโทรโฟซอยต์ทำให้ดวงตาอักเสบทันที

*ทำอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ*

1. ล้างมือทำความสะอาดโดยการฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง ก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์

2. น้ำยาทำความสะอาดล้างเลนส์ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน ไม่เก่าเก็บเกิน 2 เดือนหลังจากเปิดใช้แล้ว

3. ขัดถูล้างเลนส์ทั้ง 2 ด้านเป็นเวลาพอสมควร ตลอดจนล้างขัดถูตลับแช่เลนส์ให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่น้ำยาแช่เลนส์ที่ เปลี่ยนใหม่ทุกวัน เพราะโรคนี้มักพบในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มบ่อยกว่าชนิดแข็ง โดยเฉพาะไม่ล้างทำความสะอาดเลนส์ทุกวันหรือใส่นอน

4. ควรนำตลับแช่เลนส์อบไมโครเวฟทุก 2-3 สัปดาห์ และเปลี่ยนตลับใหม่ทุก 2-3 เดือน เนื่องจากเชื้อโรคนี้อยู่ทนทาน

* หากมีอาการหรือพฤติกรรมต่อไปนี้ อย่าใส่คอนแทคเลนส์*

1.เปลือกตาอักเสบ
2.ตาแห้ง
3.เป็นโรคภูมิแพ้
4.ไม่มีเวลาดูแลล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์

เนื่อง จากเชื้ออะแคนทะมีบา เป็นสาเหตุสำคัญของอาการกระจกตาอักเสบ และยังส่งผลให้เกิดแผลที่ดวงดา ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มีความอดทนต่อยาที่ใช้รักษาทุกชนิด ทำให้ต้องหยอดยาเป็นเวลานาน และในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา เป็นผลให้เชื้ออาจมีการลุกลามไปทั่วทั้งกระจกตา จนเกิดอาการอักเสบทั้งลูกตาได้

*การ รักษาต้องหยอดยาเป็นเวลานาน ถ้ามีอาการอักเสบมาก จักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ แต่ก็สามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก*

จึงต้อง เฝ้าติดตามดูอาการเป็นเวลานาน และในบางรายอาจมีอาการหนักถึงขั้นที่ต้องได้รับการผ่าตัดเอาลูกตาออกในที่ สุดแม้ว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาแล้วก็ตาม เนื่องจากสามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก

* ดังนั้น การใส่คอนแทคเลนส์แล้วปฏิบัติตัวไม่ถูกวิธี มีสิทธิติดเชื้อจนตาบอดได้ ยิ่งเห่อใส่ตามแฟชั่น ยิ่งต้องควรระวังมากกว่าปกติ*

เพราะหากดูแลดวงตาและรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี อาจมีเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย หรือแค่ฝุ่นละอองปลิวเข้าตา ก็อาจพาเชื้อ*"อะแคนทะมีบา" * เข้าไปได้ด้วยเหมือนกัน ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาทำความสะอาดล้างเลนส์ แนะนำให้ใส่ชนิดรายวันแล้วทิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นใส่แว่นตาจะปลอดภัยกว่า เพื่อให้ดวงตาคู่สวยของคุณมองเห็นโลกสดใสและจะอยู่คู่ชีวิตคุณได้ตลอดไป.

คำถามจิตวิทยา 8 ข้อบอกสิ่งที่คุณคิด

*คำถาม 8 ข้อ*นี้ที่ได้โยงเป็นเรื่องราว สามารถบอกสิ่งที่คุณกำลังนึกคิดอยู่ได้

บางข้อ สำหรับบางคนอาจจะบอกว่าให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน (เช่น ตรงนั้นมีคนอื่นอยู่ด้วยมั้ย? ระยะทางที่เดินไกลแค่ไหน?) แล้วจะตอบได้ยังไง ขอบอกไว้ก่อนว่า เค้าให้บอกได้แค่นี้ เพราะต้องให้ผู้ที่เล่นได้ใช้จินตนาการได้สูงสุด เพื่อให้ได้รู้สิ่งที่กำลังนึกคิดอยู่ในขณะนั้นจริง ๆ งั้นลองเล่นกันดูสนุก ๆ เลยนะ ไม่ต้องซีเรียส

*1. หากคุณจะต้องเดินเข้าไปในถ้ำที่มืดโดยลำพัง คุณจะถือเทียนไปกี่เล่ม*

*2. เมื่อเข้าไปในถ้ำ จนถึงกลางถ้ำแล้วคุณเกิดสะดุดเข้ากับบางสิ่ง คุณจะหันหลังไปมองมั้ยว่าสิ่งที่คุณสะดุดเมื่อครู่นั้นคืออะไร*

*3. เมื่อเดินต่อไปจนใกล้ถึงปากถ้ำ คุณเจอผู้ทรงศีล ท่านได้บอกกับคุณว่าสิ่งที่คุณสะดุดตรงกลางถ้ำเมื่อครู่ที่ผ่านมานั้น สามารถขอพรได้ คุณจะเดินกลับไปขอพรที่ว่านั้นหรือไม่*

*4. เมื่อออกจากถ้ำทางปากถ้ำได้แล้ว สิ่งที่เอยู่ด้านหน้าคุณคือ ป่าโปร่ง สัตว์ที่คุณเห็น ณ ที่นี้เป็นตัวแรก คือสัตว์ชนิดใด*

*5. เมื่อคุณเดินต่อไป ถัดจากป่าโปร่งแล้ว คุณก็เข้าสู่เขตป่าทึบ ซึ่งดิบ และชื้น สัตว์ที่คุณเห็นเป็นตัวแรกเมื่อเข้ามาสู่เขตป่าแห่งนี้ คือสัตว์ชนิดใด*

*6. เมื่อคุณเดินทางต่อไป คุณต้องการที่จะข้ามลำธาร ซึ่งระดับน้ำลึกเท่าระดับหน้าอกของคุณ แต่ใกล้ ๆ กันนั้นมีแพผูกอยู่ริมฝั่ง และในขณะนั้นมีคุณอยู่ที่ในแห่งนั้นเพียงคนเดียว คุณจะเลือกวิธีการใดที่จะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ระหว่าการเดินข้ามลำธารนั้นไปด้วยตัวเอง หรือนั่งแพนั้นไป*

*7. เมื่อคุณสามารถข้ามมายังอีกฝั่งหนึ่งได้แล้ว คุณได้พบกระท่อมหลังเล็ก และมีตุ่มใส่น้ำใบไม่ใหญ่มากนักตั้งอยู่หน้ากระท่อม คุณคิดว่าในตุ่มใบนั้นจะมีน้ำหรือไม่ ถ้าหากมีน้ำ คิดว่าน้ำจะอยู่ระดับใดของตุ่ม*

*8. เมื่อคุณมองเข้าไปในกระท่อมหลังนั้น คุณได้เจองู อสรพิษตัวร้ายกาจ คุณคิดว่าตำแหน่งที่เจ้าอสรพิษนี้อาศัยอยู่ในขณะนั้นจะเป็นที่ใด ระหว่าง

8.1 ในที่ที่ต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองจึงจะเห็น (ขื่อ คาน ฯลฯ)

8.2 หน้าต่าง

8.3 ที่สำหรับนอน (เตียง ฟูก ฯลฯ)*
มาดูคำเฉลยกันเลยดีกว่า




1. จำนวนเทียน คือจำนวนแฟน (เอาไปเยอะ ก็อาจเป็นคนหลายใจ เผื่อเลือก เรื่อย ๆ ข้อนี้เราเลือกเอาไปเล่มเดียวนะ แต่ทำไม่เรายังมีสันดานเจ้าชู้อยู่ก็ไม่รู้ง่ะ)

2. ถ้ากลับไปมองสิ่งที่สะดุด ก็แสดงว่าเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะรับรู้เรื่องราวข่าวสารอยู่เรื่อย ๆ และบางคนอาจถึงขั้นสอดรู้สอดเห็น

3. ถ้ากลับไปขอพรสิ่งที่สะดุดตามคำที่ผู้ทรงศีลบอก ก็แสดงว่าเป็นคนที่อยากได้ทรัพย์มากขึ้นกว่าเดิมอยู่เสมอ หรือยังไม่พอใจในจำนวนที่ตนมีอยู่ในปัจจุบัน หรือบางคนถึงขั้นโลภ

4. สัตว์ที่เห็นเป็นตัวแรกในป่าโปร่ง คือตัวตนของคุณ ในมุมมองของบุคคลอื่น

5. สัตว์ที่เห็นเป็นตัวแรกในป่าทึบ ถึงขั้นดิบชื้น คือตัวตนคุณที่แท้จริง

6. ถ้าข้ามลำธารไปเองโดยไม่ใช้แพ แสดงว่าเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือตัวเอง ถ้าใช้แพข้ามไป แสดงว่ามีคนคอยช่วยเหลืออุปถัมค้ำจุนคุณอยู่บ่อย ๆ

7. ประมาณน้ำในตุ่ม คือปริมาณความต้องการของ sex

8. ตำแหน่งที่งูอยู่......

8.1 ในที่ที่ต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองจึงจะเห็น (ขื่อ คาน ฯลฯ) = อาจจะเจอคู่ครองช้าหน่อยนะ หรืออาจถึงขั้นขึ้นคาน

8.2 หน้าต่าง = อาจจะพากันหนี หรือทำไม่ถูกทำนองคลองธรรม

8.3 ที่สำหรับนอน (เตียง ฟูก ฯลฯ) = ทำตามจารีตประเพณีทุกอย่าง


เทียนเยอะกัยป่ะ.....แบบว่ากลัวมืด

28 มี.ค. 2552

100 ข้อ ของผู้หญิงไร้ค่า

01. หยิ่ง
02. จองหอง
03. ผยอง
04. อวดรวย
05. ไฮโซ ในความจน
06. ปากจัด
07. โหวกเหวกตะโกนโวยวาย
08. เรื่องมาก
09. มากเรื่อง
10. "หึง" มาเนียลิซึ่ม
11. เบื่อง่าย
12. โกรธง่าย
13. หายยาก
14. อวดสวย
15. ซกมก
16. ทำตัวหรู แ ด ก ส้มตำ ไก่ย่างไม่เป็น
17. บ้าแบรนด์ ปู่กุ ผลิต ร๊อกซี่ ยาย กุ ทำหลุยส์
18. เลือกกิน
19. กระแดะ
20. ใช้เวลาในการแต่งตัว กว่า ครึ่งหนึ่งของชีวิต
21. แรดเลเซอร์ สัตว์สงวนชนิดหนึ่ง ตามแหล่งวัยรุ่น
22. โกหก
23. หลอกลวง
24. กรูเป็นคนเลว คุณอ่ะดีเกินไป กรูชอบคนชั่ว
25. เหตุผล ข้างๆคูๆ
26. สายเดี่ยว ส้นตึก เที่ยวดึก ต อ แ ห ล
27. ชู้เยอะ 28. เจ้าแม่สับราง
29. วิชา โบ๊ะ หน้า วอก
30. สรรพนาม สุดหรู ว่า กู กับ เ มิ ง กลางห้างดัง
31. งี่เง่า
32. บ้าผู้ชาย
33. วิชา น้ำยาอุทัย ปราบมาร จนแก้มแดงเหมือนโดนตบมา
34. กูนี่แหละใหญ่
35. ผู้ชายมีเงิน เท่านั้น
36. บ้าเซ็กซ์
37. จำหน่ายตั๋ว
38. ดูหนังในโรงภาพยนตร์ แล้ว โทรศัพท์
39. ทะเลาะ กับคนในโรงหนังเพราะ ตัวเองโทรศัพท์
40. ตบกับคนในโรง เพราะ ตัวเองโทรศัพท์
41. ถ้าผู้ชายหล่อ มี 1 แสนคน กุจะขอเบอร์ 99,999 คน
42. ถ้าคุณขอหมดเลย กุว่า คุณอย่าเป็นเลยผู้หญิง
43. หน้าด้าน
44. ไร้ยางอาย
45. ตบแย่งผัว
46. ต่อย พ่อ เตะแม่
47. ด่าบุพการี
48. ยอมเสียตัว เพราะ กุได้นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ ผัว
49. เมื่อยามเป็น นักเรียน มัธยม กุชอบดึงถุงเท้าขึ้นสูงๆ ( สงสัย จะไปเตะบอล )
50. หมดเงินไปกับผู้ชาย
51. หมดเงิน ไปกับ เครื่องสำอาง
52. จากข้อ 51 ถ้าสวยเพื่อ แฟน กุจะไม่ว่า แต่ถ้าสวยเพื่อล่อผู้ชาย อีกเรื่องนึง
53. กินเหล้าแล้วเหมือน ห ม า
54. กินเหล้า แล้ว อ้วกแตกใส่เพื่อน
55. มองผู้ชายทุกคนที่ผ่านหน้ากู
56. ตบกับผู้หญิงทุกคนที่ จีบผู้ชายที่กุแอบชอบ
57. หลอกลวงผู้ชาย 10 คนได้เวลาเดียวกัน
58. ร้องเพลง อย่างคิดว่า เสียงกู ผู้ชนะการประกวด เดอะสตาร์
59. โชวพาว
60. ชอบมีเรื่อง
61. มีเรื่องทีไร ให้ ผั ว เคลียร์ อ้าว อิ เ ห รี้ ย หน้าตัวผู้
62. จะจีบกุ มีรถหรือเปล่า
63. รถ ญี่ปุ่นหรอ กูไม่นั่ง
64. มีเงินเลี้ยงกู เดือนละ 2 หมื่นมั้ย?
65. คุยโทรศัพท์ เสียงดังเกิน 150 เดซิเบล
66. งอนจนกว่า ทศกัณฐ์ จะชนะพระราม
67. เผาแฟน ตัวเองให้เพื่อนฟัง
68. บอกเลิก ปี ละ 3 ร้อยกว่าคน
69. 15 กูก็แม่คน
70. ด่ารถทุกคัน ที่ ขับมาดีๆ แล้ว ตัวเองปาดหน้าเขา
71. แปรงฟัน 2 อาทิตย์ครั้ง
72. คลั่งดาราจนเลิกกับแฟน
73. ชาติที่แล้ว กูคือนกหงส์หยก กรี๊ส ได้วันละ 250 ครั้ง
74. บ้าหวย
75. แทงบอลหมดตรูด
76. ชอบบังคับ แฟนตัวเองให้ทำตามดาราที่ตัวเองชอบ
77. เปลี่ยนมือถือทุกเดือน ทุกรุ่นที่มีในประเทศ
78. ใส่ส้นตึก มากกว่า 5 นิ้ว
79. " 2000 มั้ยพี่ "
80. ต่อราคาของจนแม่ค้าอยากเอา ต รี น ลูบ หน้า
81. เลือกโรงเรียนที่จะเรียนต่อ เพราะ ชุดน.ร
82. โง่
83. จากข้อ 82 สวยไปก็เท่านั้น
84. ขี้อิจฉา
85. ขี้นินทา
86. เ สื อ ก
87. ชีวิตชาวบ้าน คือ สตอรี่ ที่ต้องผ่านหูกู
88. ขี้เมาท์
89. ขี้หงุดหงิด
90. ชอบเหยียดหยามเพศพ่อ
91. อนาคตกุจะเปงดีไซน์เนอร์ จนต้องดีไซน์ชุดนักเรียนให้ผิดระเบียบ ตั้งแต่หัวจรดเท้า
92. ลืมพ่อ ลืมแม่ ลืมบุญคุณ
93. ถ่ายนู้ด เพื่อเงิน แล้วก็บอกว่า " เพื่อ ศิลปะ "
94. ชีวิตคือความ เว่อร์
95. ร่าน
96. พูดไทยคำอังกฤษ คำ และก็ออกเสียงผิด
97. ด่าผู้อื่นไปทั่ว ยกเว้นตัวกุเอง ที่ประเสิรฐศรี
98. มองผู้ชายเป็นเครื่องมือ
99. ไร้สาระ ต่อชีวิต ของตัวเองและ คนรอบข้างเป็นที่สุด
100. ผู้หญิงนั้นลืมยาก.....แต่ ผู้ชาย นั้นลืมไม่ได้หว่ะ

26 มี.ค. 2552

วิธีปฏิบัติตนเพื่อเอาชนะอาการเ­มาค้าง

*โดยทั่วไปจะใช้กันอยู่ ๓ วิธี*

*วิธีที่ ๑ *

ยอมฝืนทนให้ตัวเองจมอยู่กับอาการเมาค้างจนกว่าอาการจะหายไปเอง แต่วิธีนี้ทรมาน และไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

*วิธีที่ ๒*

บำบัดอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะอย่าง เช่น ถ้าปวดร้าวในหัวก็กินยาแก้ปวดระงับอาการ แต่วิธีนี้ใช้กับผู้ร่ำสุราอยู่เป็นอาจิณคงจะไม่ดีแน่ เพราะอาจทำให้ตับวายถึงตายได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นยาพาราเซตามอล เนื่องจากตัวยาจะไปสะสมที่ตับ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดเพิ่มขึ้นไปจากพิษของแอลกอฮอล์แต่เดิม ซึ่งเป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการ เนื่องจากรับประทานหรือดื่มมากเกินไปโดยตรงจะดีกว่า

*วิธีที่ ๓*

หาทางกำจัดอาการเมาด้วยเทคนิคต่างๆ และคงไม่มีใครมือฉมังในเรื่องการบำบัดอาการเมาค้างเป็นแน่ เพราะต่างคนก็ลองผิดลองถูกกว่าจะคลำหาสูตรลับเฉพาะที่ดูแล้วน่าจะเหมาะกับตัวเอ­ง ซึ่งสูตรสำเร็จเด็ดขาดเฉพาะตัวต่างๆ ดังกล่าว พอจะสรุปเป็นวิธีปฏิบัติอย่างง่ายๆ ดังนี้

- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เนื่องจากอาหารที่ย่อยง่ายเหล่านั้นจะได้ไม่ไปรบกวนการทำงานของกระเพาะลำไส้ หรือไม่กระตุ้นให้อยากอาเจียนมากขึ้น เพราะคนเมาค้างส่วนใหญ่นอกจากจะปวดหัวมากแล้ว ยังรู้สึกอยากจะอาเจียนตลอดเวลา

- พยายามออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ได้ เพราะออกซิเจนจะช่วยให้กระบวนการเมตาบอลิซึ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดน้อยลง

- แก้ไขการอาเจียนโดยดื่มน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจัด เช่น น้ำส้ม หรือน้ำมะนาว อาจจะถอนอาการเมาด้วยเบียร์สักแก้ว หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อะไรก็ได้ที่ได้ดื่มไปเมื่อคืน ท้องไส้จะได้ไม่ปั่นป่วน หัวสมองจะได้ไม่ปวดหนักต่อไป แต่ต้องห้ามใจไม่ให้จิบแล้วจิบอีกอย่างเพลิดเพลิน ไม่อย่างนั้นเมาต่ออีกแน่นอน

เมื่อจำเป็นต้องสังสรรค์กันด้วยเหล้า สูตรทั้งหลายแหล่เหล่านี้อาจจะพอช่วยดับทุกข์จากอาการเมาค้างได้บ้าง แต่จะให้สูตรไหนหรืออย่างไรเห็นจะต้องหาทางพิสูจน์กันเอาเองว่า อย่างไหนได้ผลกับตนเอง แต่ถ้าไม่อยากต้องปวดหัวกันสูตรอะไรก็ไม่รู้เยอะไปหมด ก็มีสูตรสุดท้ายนั่นคือ สูตรเลิกกินเหล้าให้เด็ดขาด สูตรนี้ดับอาการเมาค้างอย่างได้ผลจริงแท้และแน่นอน และถ้าเลิกดื่มเหล้าไม่ได้

ยังไงๆ ก็จำเป็นต้องสังสรรค์กับเพื่อนผู้ยกให้เหล้าเป็นพระเอกในวงสนทนา แต่ไม่อยากจะมาลองสูตรโน้นสูตรนี้เพื่อดับอาการเมาค้าง เห็นที่จะต้องพึ่งยาแก้อาการเมาค้างล่ะครับ วิธีนี้คงไม่ยุ่งยาก สะดวก ง่ายดายและเหมาะที่สุดสำหรับผู้ร่ำสุราทุกท่าน

25 มี.ค. 2552

ความรู้จากแพทย์จีน

อาจารย์ท่านแนะนำเคล็ดลับไว้ 12 ข้อดังต่อไปนี้...

1) หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรง เบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2) ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3) เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือ จ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4) กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การ ดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน (จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5) ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย (ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6) ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การ ใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7) กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8) หมั่นขับของเสีย: หมั่น ขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9) ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10) ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11) เคลื่อนไหวทุกข้อ: การ อยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12) ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้เลือดและพลังไหลเวียนดี

เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไปนานๆ ครับ...

ท่าน อาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์ แผนจีนแนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดยใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ... อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...

1) ไข่เยี่ยวม้า: ไข่ เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2) ปาท่องโก๋: กระบวน การทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงาน หนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3) เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

4) ผักดอง: ผัก ดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือ มากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง

5) ตับหมู: ตับ หมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรค หัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น

6) ผักขม ปวยเล้ง: ผัก ขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาด แคลเซียม หรือสังกะสีได้

7) บะหมี่สำเร็จรูป: บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเก

24 มี.ค. 2552

เรียนอย่างไรให้เข้าใจ

1. อ่านหนังสือก่อนเข้าเรียน

ทำความเข้าใจกับเนื้อหาคร่าว ๆ อาจเลคเชอร์ในส่วนที่ยังไม่เข้าใจไว้ แล้วตั้งใจฟังเมื่ออาจารย์สอน จะช่วยให้เข้าใจเนื้อหาเร็วขึ้น การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเรียน จะเรียนรู้ได้ดีกว่านั่งฟังอาจารย์อย่างเดียว

2.เข้าเรียนทุกวิชาและตั้งใจเรียนให้เต็มที่

เพราะจะจับทิศทางได้ว่า สิ่งใดเป็นสิ่งสำคัญที่อาจารย์เน้นย้ำ และจดเลคเชอร์ตามด้วยภาษาตัวเอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์เมื่อต้องกลับไปทบทวน

3.เก็บรายละเอียดเนื้อหาที่อาจารย์สอน

หากไม่เข้าใจประเด็นไหนควรถามให้เข้าใจ อย่าปล่อยให้ผ่านไป เพราะจะเป็นการสะสมและอาจเกี่ยวโยงกับเนื้อหาส่วนอื่น ๆ

4.อย่าท่องอย่างเดียว

แต่ควรทำความเข้าใจกับวิชาที่เรียน ทบทวนครั้งแรกโดยอ่านเนื้อหาทั้งหมด ต่อมาอ่านแบบจัดระบบอีกครั้ง เลคเชอร์เป็นแผนผัง เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายต่อการทบทวน

5.ฝึกทำโจทย์สม่ำเสมอ

ในวิชาคำนวณอย่างคณิตศาสตร์ หรือฟิสิกส์ โดยศึกษาสูตร นิยาม คำจำกัดความต่าง ๆ ให้เข้าใจ แล้วหมั่นทำแบบฝึกหัด จะช่วยให้เห็นความหลากหลายของโจทย์ และกระตุ้นวิธีคิดคำตอบ ช่วยเพิ่มทักษะการคำนวณได้ดี

การเรียนให้เข้าใจ สิ่งสำคัญต้องมีความรับผิดชอบ ขณะเดียวกันไม่ควรเครียดจนเกินไป แต่ควรแบ่งเวลาทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง

สาเหตุของการเกิดรังแค และวิธีขจัดรังแคอย่าง

1. น้ำอุ่น เพิ่มปริมาณรังแค :

การสระผมด้วยน้ำอุ่นจะไปละลายชั้นไขมันบนหนังศีรษะออก ส่งผลให้หนังศีรษะแห้งและลอกเป็นขุย เกิดรังแคในที่สุด จึงควรเลิกสระผมด้วยน้ำอุ่น

2. แดดจัดจ้า :

ตัวการทำลายผม ทำให้ผมชี้ฟู ขาดน้ำหนัก และไม่เงางาม แสงแดดจะเข้าไปทำลายโปรตีนในเส้นผม และทำให้ผมหยาบ จึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดด และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูที่ช่วยบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก

3. สิงห์อมควัน ผมเสียไม่รู้ตัว :

เพราะควันบุหรี่จะเกาะบนเส้นผมทำให้ผมขาดความมันเงา และส่งผลให้สภาพศีรษะแห้งกว่าปกติ

4. นวดบำบัด ขจัดรังแค :

ทุกครั้งที่สระผม ควรนวดหนังศีรษะเบา ๆ จะช่วยผ่อนคลายความเครียด และขจัดเซลล์หนังศีรษะที่ตายให้หลุดลอกได้ง่ายขึ้น

5. ควรเลือกแชมพูที่เหมาะสมกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ และควรล้างแชมพูให้สะอาดทุกครั้งหลังสระผมเพื่อขจัดสารเคมีที่ตกค้าง

6. หลังสระผมควรใช้ผ้าขนหนูที่แห้งสะอาดซับหนังศีรษะและเส้นผม ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าที่เปียกชื้นและไม่ใช้ผ้าร่วมกับผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการเกาที่ทำให้หนังศีรษะเกิดแผลอักเสบ

เพียงเท่านี้ ปัญหารังแคที่มีอยู่ก็จะหายไป อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันดูได้

วิธีทำให้ความจำดีขึ้น

1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อย ๆ...รู้แบบกว้าง ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ ๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ขึ้น

3. “จดไว้ให้จำ” เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุด คือ จดทุกอย่างลงในกระดาษเขียนไว้กันลืม

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียด ๆ ก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ ๆเ ข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ ๆ เข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่าง ๆที่เราคุ้นเคย

6. ฝึกจำอยู่บ่อย ๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่เด็ก

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลก ๆ หรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคย

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้าง ๆ.. การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอนั้น จะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อย ๆ

10. เลียนแบบ ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่าย ๆ ก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยจำชื่อใครสักคนไม่ได้บ้างหรือเปล่า ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคน ๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ ๆ จะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่าถ้าใครอยากมีความจำที่ดีขึ้น

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ตำรายา ... สรรพคุณของพืชผัก

พืชผักสมุนไพรของไทยมีมากมายหลายชนิดสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน ก็เลยขอแนะนำตำรายาภูมิปัญญาของคนไทยมาเพื่อประดับความรู้ ถึงเวลาจำเป็นอาจเป็นประโยชน์ได้บ้างคะ เพราะเป็นของที่เราหาได้ง่ายตามท้องตลาด

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดงโดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง

โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญ ญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี 'โมโรอันแซตเทอเรต'

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

กล้วยหักมุกปิ้งที่บ้านแบบง่ายๆ

วันนี้พ่อผมได้กล้วยหักมุกมาจำนวนหนึ่ง ผมเลยทดลองเอามาปิ้งดูครับ แต่ที่บ้านไม่มีเตาปิ้งหรือเตาถ่านหรือเตาอบ มีแต่ไมโครเวฟ ก็ใช้ไอ้ไมโครเวฟนี้แล

1. เอากล้วยหักมุกที่งอมได้ที่มาใส่จานแบนๆ จัดการเอามีดกรีดเปลือกกล้วยซัก 1-2 แผล (ถ้าไม่กรีดข้างในมันจะดันจนเนื้อกล้วยทะลักออกมาจากเปลือก)

2. แล้วก็จัดการยัดเข้าเตาไมโครเวฟเลยครับผม

3. ผมใช้ไฟแรงสุด (800 watt) ระยะเวลาคือ 6 นาทีครับผม แต่ถ้าจำนวนกล้วยน้อยๆและกล้วยงอมมากๆ หรือไมโครเวฟไฟแรงๆซัก 1000 watt ก็ใช้แค่ 4-5 นาทีก็พอ

4. ครบ 6 นาทีก็จะได้กล้วยหักมุกเผา ที่เหมือนเผาบนเตาถ่านเป๊ะเลยครับผม เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีดำ และเนื้อในจะดันเปลือกให้ปลิออก เนื้อจะเหลืองนวลสวย ใช้กล้วยยิ่งงอมยิ่งหวานอร่อย

5. ลองใช้ช้อนแง้มดู เนื้อสวยได้ที่เลย กล้วยหักมุกยิ่งงอม ยิ่งเผาอร่อยครับ


กล้วยหักมุกนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ครับกล้วยหักมุกส่วนที่ทานได้ 100 g ให่้พลังงาน 113 kcal แบ่งเป็น คาร์โบไฮเดรท 26.7 g, โปรตีน 1.2 g, ไขมัน 0.2 g, น้ำ 71.2 g, fiber 0.4 g
กล้วยหักมุก ผลสุกรสหวานอร่อย นิยมนำมาปิ้งทานสรรพคุณของกล้วยหักมุกและวิธีใช้
1. กล้วยหักมุกมีสรรพคุณ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุท้องเสีย กล้วยมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้... เอสเคอริเคีย โคไล (Escherichia coli)
2. ในกล้วยจะมีสาร tannin ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้แก้อาการท้องเสียได้
3. กล้วยหักมุกมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพา... เมื่อทดลองให้หนูขาวกิน aspirin แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้ เมื่อกินผงกล้วยดิบในขนาด 5 กรัม และรักษาแผลที่เป็นแล้วในขนาด 7 กรัม สารสกัดมีฤทธิ์เป็น 300 เท่า ของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของ... โดยเพิ่มเมือกและเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างมาโครเซ... (macrophage cell) อันส่งผลไปถึงการรักษาแผลได้อีกด้วย
4. สารสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพราะอาหาร คือสารที่เรียกว่า ไซโตอินโดไซด์ วัน, ทู, ทรี, โฟ และไฟว์ (sitoindoside I, II, III, IV, V) สารที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดในการต้านการเกิดแผล คือ ไซโตอินโดไซด์โฟ (sitoindoside IV) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารคำแนะนำในการใช้กล้วยรักษาอาการแน่นจุเสียดได้

บัญญัติ 10 ประการ สู่ชีวิตยืนยาวและแข็งแรง

ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการแพทย์ยุคปัจจุบัน ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น คำว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" เป็นพรวิเศษสุดที่มนุษย์ทุกคนคงอยากให้กลายเป็นจริง แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะร่างกายย่อมทรุดโทรมไปตามกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดการออกกำลังกายและถูกโรครุมเร้าวิธีปฏิบัติตัวเพื่อรักษาชีวิตให้ยืนยาวอย่างแข็งแรงมีหลายรูปแบบ บางวิธียังเป็นเรื่องง่ายๆ ที่อาจมองข้ามไป แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มองข้าม วันนี้ไปรวบรวมงานวิจัยเคล็ดลับยืดชีวิตมนุษย์มารายงานไว้ในบรรทัดต่อจากนี้

1. นอนพอดีๆ วันละ 6-7 ชั่วโมง

วารสารจิตเวชศาสตร์ทั่วไป ในสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่พบว่า คนที่นอนเกินคืนละ 8 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงเสียชีวิตเร็วกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม คนที่นอนน้อยกว่าคืนละ 4 ชั่วโมงก็มีโอกาสตายเร็วเช่นกันทางออกดีที่สุด คือ นอนพอดีๆ วันละ 6-7 ชั่วโมง เพราะพบว่าคนกลุ่มนี้มีอายุยืนยาวที่สุด

2. มองโลกในแง่ดี

นักวิจัยประจำเมโย คลินิก เมืองโรชสเตอร์ รัฐมินเนโซตา สหรัฐ พบว่า "คนมองโลกในแง่ดี" มีแนวโน้มมีชีวิตยืนยาวกว่า "คนมองโลกแง่ร้าย" ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลรองรับสมมติฐานดังกล่าวก็คือ คนมองโลกแง่ดีมีความเครียดน้อยกว่าคนทั่วไป ไม่ปล่อยให้ร่างกายและใจตกต่ำยามต้องเผชิญกับปัญหา นอกจากนั้น ยังมีความดันโลหิตต่ำกว่าพวกชอบขวางโลกอีกด้วย

3. "เซ็กซ์เซอร์ไซส์"

เซ็กซ์ หรือ การมีเพศสัมพันธ์เป็นการออกกำลังที่ดีชนิดหนึ่ง (ถ้ามีความพร้อม)ถ้าเป็นเซ็กซ์ที่เต็มไปด้วยความรักก็จะยิ่งสร้างความผูกพันธ์ระหว่างคนสองคน ทำให้ชีวิตมีความสุข ไม่เครียด โอกาสป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจก็จะลดลง วารสารสมาคมการแพทย์อเมริกา รายงานไว้ว่า สำหรับคุณผู้ชาย การหลั่งน้ำอสุจิอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

4. สัตว์เลี้ยงเพื่อนใจ

นักวิจัยอเมริกัน ศึกษาพบว่า การเลี้ยง "สัตว์เลี้ยง" ส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อคนเราหลายประการ เช่น ช่วยคลายความโดดเดี่ยว ป้องกันอาการซึมเศร้า ช่วยเรียกเสียงหัวเราะและบังคับให้เดินออกกำลังบ่อยขึ้นไปในตัว นอกจากนั้น คนที่มีสัตว์เลี้ยงจะเครียดน้อยกว่าคนที่ไม่มี

5. เลิกสูบบุหรี่

ข้อนี้คงแทบไม่ต้องบอกกันแล้วว่าการสูบบุหรี่ในระยะยาวส่งผลเสียต่อสุขภาพขนาดไหน สิงห์อมควันมักอ้างว่าไหนๆ การลงทุนสูบมาตั้งหลายสิบปีก็สูบต่อไปเถอะ เพราะคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว แต่ผลวิจัยชี้ว่า ถึงแม้คุณจะอยู่ในวัยกลางคน แต่ถ้าเลิกบุหรี่เสียตั้งแต่วันนี้ช่วยให้ความเสี่ยงป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากลดลง เช่นเดียวกับมะเร็งระบบทางเดินหายใจ

6. หัดพักผ่อน"ชิลล์ชิลล์"

ผลการศึกษาของวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ระบุว่า คนขี้โมโห ฉุนเฉียว โกรธง่าย เครียดง่าย มีโอกาสป่วยเป็นโรคหัวใจก่อนวัยอันควรถึง 3 เท่า และเสี่ยงหัวใจวายตายก่อนอายุ 55 ปีวิธีแก้ปัญหานี้ทำได้ง่ายๆ อย่าแบกโลกไว้บนบ่าจนทำให้รู้สึกย่ำแย่เกินไป หัดไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจบ้างที่สำคัญอย่าลืมคาถา "ยิ้มสู้โลก" เพราะขณะคุณหัวเราะนั้นระดับฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน ในร่างกายจะลดลง และปล่อยสารแห่งความสุขอย่าง "เอนโดรฟีน" ออกมาแทน ทำให้รู้สึกสบายและยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

7. อาหารต้านอนุมูลอิสระ

การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ คือ หลักสำคัญในการดูแลสุขภาพอยู่แล้วแต่ควรเพิ่มการทานอาหารที่มี "สารต้านอนุมูลอิสระ" ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ร่างกายเสื่อมสภาพเร็วเกินไปสารต้านอนุมูลอิสระพบมากในอบเชย พืชตระกูลถั่วบางชนิด ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน งา ข้าวโพด ข้าวกล้อง ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม ส้ม ผลไม้จำพวกบลูเบอร์รี่ ผลเบอร์รี่ มะเขือเทศ เกรฟฟรุ้ต

8. วิวาห์พาสุข

"วิวาห์พาสุข" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแต่งงานกับคนรวยจะได้มีเงินใช้เยอะๆ แต่ต้องการบอกว่าเวลาเลือกคู่ครองให้ลองดูเสียหน่อยว่า ญาติๆ ของคู่สมรส ไม่ว่าจะเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ยังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่ถ้ายังอยู่ก็ตีความได้ว่าทั้งคู่ของคุณและลูกที่กำลังจะเกิดมามีแนวโน้มอายุยืนเหมือนกัน ตามข้อมูลจากวารสารแมคคานิซึ่มส์ ออฟ เอจจิ้ง แอนด์ ดีเวลล็อปเมนต์ ในสหรัฐ ตีพิมพ์งานวิจัยที่ระบุว่า "ความมีอายุยืน" นั้นส่งผ่านกันได้ทางพันธุกรรมไปประมาณ 3 ชั่วอายุคน

9. "อ้วน"อันตราย

ดร.เดวิด เฟน ผู้อำนวยการการแพทย์ ศูนย์อายุยืนยาวพรินซ์ตัน ในนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐ กล่าวว่า ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือเป็นโรคอ้วนก็เปรียบได้กับกำลังมีระเบิดเวลาอยู่ในตัวที่พร้อมจะทำให้เจ้าของร่างกายล้มป่วยด้วยสารพัดโรคตลอดเวลา ทั้งโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯวิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุด คือ ลดปริมาณการบริโภคอาหาร แต่ควบคุมไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น ถ้าไม่ลดอาหาร ถึงจะออกกำลังกายเท่าไหร่ น้ำหนักจะลงยากมาก

10. พลังสมาธิ

ผลการศึกษาของดร.วู้ดสัน เมอร์เรลล์ แห่งโรงพยาบาลเบธอิสราเอล นครนิวยอร์ก สหรัฐ พบว่า การนั่งสมาธิเป็นเครื่องมือที่มีอานุภาพสูงสุดในการดูแลสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจการนั่งสมาธิเพียง 15 นาทีจะส่งผลดีเท่ากับการนอนหลับลึกกว่า 1 ชั่วโมง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดความเครียด มีจิตใจแจ่มใสไม่วอกแวกง่ายๆ

เตือนภัย!!!!!!!!เกือบตาย"น้ำแข็งแห้งไว้บนรถ"เกือบตายแน่ะค่ะ

วันนี้ไปซื้อไอติมฮาเก้นดาดแล้วให้เขาใส่น้ำแข็งแห้ง กะสักประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านเพราะต้องแวะไปซื้อของที่อื่นด้วย ไปได้สัก 1 ชั่วโมงเราก็จอดลงไปซื้อขนมประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ขึ้นมาบนรถเห็นแฟนที่รออยู่บนรถหอบเหนี่อย ก็ไม่อะไรสตาทรถออกมาตามปรกติ เราก็ไม่เอะใจอะไรสักพักลูกเรา5เดือนก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา ปรกติเขาไม่เคยร้องแบบนี้ เราก็เอานมให้ลูกกินคิดว่าลูกหิวเขาก็ไม่กิน

เราเองก็รู้สึกเหนี่อยขึ้นทุกทีคล้ายจะหอบ ก็เลยบ่นกับแฟนว่าเป็นอะไรไม่รู้ รู้สึกเหนี่อยเหลือเกิน แฟนก็เลยบอกว่าเขาก็เป็น ตอนแรกเขาคิดว่าเขาอ้วนเลยเป็นอย่างนั้น เราก็เลยรีบเปิดกระจกรถกันใหญ่ พออากาศถ่ายเทเข้ามาในรถเท่านั้นแป็บเดียวก็เป็นปรกติลูกเราหยุดร้องทันทีอาการทั้งของเราและแฟนก็หายเป็นปรกติทันที รถเราเป็นรถโตโยต้าวิช มันทะลุถึงกันหมด เพิ่งรู้ว่าคนที่จอดรถนอนแล้วตายเป็นอย่างนี้นี่เอง ขอให้เป็นอุทธาหรณ์ของทุกๆคนนะค่ะ สงสารลูกที่สุดเลยค่ะ

เขาคงทรมานมากพูดก็พูดไม่ได้ก้อนน้ำแข็งแห้ง มันคือคาร์บอนไดออกไซด์เพียวๆ เลย ซึ่งจัดว่าเป็นก๊าซอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจค่ะเคยได้รับเมลมา เรื่องคล้ายๆกัน ขออนุญาตนำมาแปะนะคะ เรื่องน่ากลัวค่ะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ไปไหว้พระบาทกัน ขับรถไปกันเองป๊าน้องปลื้มเป็นคนขับ ไปกัน 7 คน นั่งตอนละ 2 คน น้องปลื้มก็นั่งคาร์ซีทตอน 2 ไหว้พระเสร็จก็ประมาณบ่าย 2-3 โมง ขากลับหิวข้าวเลยแวะกินสเต็ก(ลือชื่อแถวรังสิต)

ทานเสร็จอาม่าของน้องปลื้มกับอาเหล่าโกว (อาของป๊าน้องปลื้ม) ก็ช็อปปิ้งไอติมกัน แล้วก็ซื้อกลับบ้านด้วยทางร้านก็แพคใส่กล่องโฟม มีสติ๊กเกอร์แปะอยู่ 2 ข้างเพื่อไม่ให้ฝาหลุดขากลับน้องปลื้มไม่ยอมนั่งคาร์ซีท เลยเอาไอติมวางไว้ที่คาร์ซีทแล้วน้องปลื้มก็มานั่งกับเราที่ตอน 3 ระหว่างทางอาม่าก็บอกว่าทำไมรู้สึก เหนื่อยจัง เหมือนหายใจไม่ออก แล้วเค้าก็มีอาการหอบป๊าของน้องปลื้มก็บอกว่าเค้าก็เป็น ทำไมถึงเป็นไม่รู้
คุยกันไม่มานึกว่าเค้า 2 คนกินอะไรเหมือนกันที่คนอื่นไม่ได้กินหรือเปล่าเราก็สังเกตุเห็นทำไมน้องปลื้มหายใจแรงจัง หายใจหอบๆ เสียงลมหายใจฟี้ดๆ แล้วน้องปลื้มก็เอานิ้วแคะจมูก เราก็นึกว่ามี ขึ้มูกทำให้หายใจไม่สะดวกก็เลยแคะให้แต่ก็ไม่เห็นมีนี่นา อาม่าของปลื้มก็หอบใหญ่เลย ปลื้มก็หายใจถี่ แรง แล้วก็หอบมากขึ้นอาเหล่าโกวก็เอะใจถามว่าไอติที่เราซื้อมามีดรายไอซ์หรือเปล่า มีนะเพราะซื้อ ทุกครั้งเค้าก็แพคให้ เลยถึงบางอ้อ! ค่ะ

เพราะดรายไอซ์นี่เอง มันเป็นคาร์บอนไดออกไซค์ รถปิด หน้าต่างเปิดแอร์ ทำให้ออกซิเจนในรถน้อยลง อากาศไม่ไหลเวียน เลยรีบเปิดหน้าต่าง อาการของทั้ง 3 คน หายทันทีเลยคะ
ตกอกตกใจกันไปทั้งรถ มั่วแต่หาสาเหตุอื่นๆ ไม่ได้คิดถึงกล่องไอติมเลย รู้ทั้ง รู้ แต่นึกไม่ถึงคะ
ถ้ารถเก๋งวางไว้กระโปรงหลังคิดว่าคงไม่เป็ไร แต่นี่รถ 3 ตอน แถมวางไว้ตรงตอน 2 กลางรถพอดี
มันก็เลยไหวเวียนอยู่ในรถนั่นแหละ น่ากลัวมากๆเลย ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าทุกคน หลับกันหมด หรือน้องปลื้มหลับเค้าจะมีอาการแสดงให้เราเห็นหรือเปล่าป๊าของน้องปลื้มบอกว่ารู้แล้วว่าคนขาดอากาศหายใจตายเป็นไง รีบเอาดรายไอซ์ทิ้งหมดเลยค่ะ หรือถ้าแพคใส่กล่องแต่ปิดเทปรอบปากกล่องก็คงดีกว่าเลยอยากมาเล่าให้พ่อ ๆ แม่ๆฟังกัน เรื่องที่รู้ทั้งรู้นะแต่นึกไม่ถึงว่าจะอันตรายขนาดนี้คราวหน้าคราวหลังถ้าซื้อไอติมมาคงต้องแพคให้หนาแน่นกว่านี้

19 มี.ค. 2552

รวมสูตรน้ำเต้าหู้ (นมถั่วเหลือง)

ส่วนผสมทำนมถั่วเหลือง :

สูตร 1

ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัมน้ำตาลทรายขาวละเอียด 360 กรัมเกลือเสริมไอโอดีน ป่น 1 ช้อนชาน้ำสะอาด 32 ถ้วย ( ประมาณ 8 ลิตร )

สูตร 2

ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัมน้ำตาลทรายขาวละเอียด 500-600 กรัมเกลือเสริมไอโอดีนป่น 1 ช้อนชาน้ำสะอาด 32 ถ้วย ( ประมาณ 8 ลิตร )

สูตร 3

ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัมน้ำตาลทรายขาวละเอียด 1,000 กรัมเกลือเสริมไอโอดีนป่น 2 ช้อนชาน้ำสะอาด 32 ถ้วย ( ประมาณ 8 ลิตร )

สูตร 4

ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม
น้ำตาลทรายขาวละเอียด 1,000 กรัม
เกลือเสริมไอโอดีนป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำสะอาด 32 ถ้วย ( ประมาณ 8 ลิตร )

สูตรทุกสูตรคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ปริมาณเกลือและน้ำตาลเท่านั้น

ถ้าจะให้มีรสมันเพิ่ม เวลาปั่นให้ใส่ถั่วลิสงคั่ว 1 กำมือ ปั่นรวมกันสีน้ำนมจะออกสีเหลือง หรือ อาจใช้นมข้น ประมาณครึ่งกระป๋องใส่ลงไปก็จะได้น้ำนมถั่วเหลืองที่มีสีขาวชวนรับประทาน มีกลิ่นหอมและมีรสมัน เหมือนนมสด

ขั้นตอนและวิธีทำ :

1.นำถั่วเหลือง( ใช้ชนิดถั่วเหลืองทั้งเมล็ด ไม่ใช้ถั่วเหลืองซีก) มาคัดเอาสิ่งสกปรก กรวดทรายดิน ออกให้หมดล้างให้สะอาด ( เมล็ดที่เสียจะลอยน้ำ คัดทิ้ง ) เอาขึ้นจากน้ำ สงไว้

2.นำถั่วเหลืองไปคั่วให้หอม แล้วนำถั่วเหลืองที่คั่วไปแช่ในน้ำสะอาด จะใช้วิธีแช่ในน้ำร้อนประมาณ 3 ชั่วโมงก็ได้ตามสะดวกจากนั้นนำมายีเอาเปลือกออก ล้างให้สะอาด เอาขึ้นจากน้ำ สงไว้ การแช่ถั่วเหลืองไม่ควรนานเกิน 2-3 ชั่วโมงให้สังเกตว่าพอเม็ดถั่วเริ่มพอง อมน้ำเต็มที่ก็จะใช้ได้ ถ้าเราแช่เมล็ดถั่วเหลืองในน้ำนานเกินไปจะทำให้โปรตีนในถั่วจับตัวกันได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือ โดยให้น้ำท่วมประมาณ 3 เท่าของถั่วเหลือง แช่นานประมาณ 5 - 8 ชั่วโมง

3.แบ่งถั่วเหลืองพอประมาณใส่ในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ แล้วใส่น้ำให้พอปริ่มๆถั่วเหลืองปั่นให้ละเอียด แบ่งปั่นไปเรื่อยๆ หรือ บดด้วยโม่หิน จนถั่วเหลืองหมด

4.ตวงน้ำ 2 ลิตร นำไปต้มจนเดือดจัด

5.ระหว่างที่รอ ให้เทน้ำถั่วเหลืองที่ปั่นไว้แล้วใส่ลงไปในหม้อที่รองด้วยผ้าขาวบาง 2 ชั้น นำน้ำที่ต้มเดือดเทตามลงไป คนให้เข้ากัน น้ำจะอุ่นพอดี คั้นเอาแต่น้ำนมถั่วเหลืองแบบคั้นกะทิ แล้วแยกกรองกากออกมา

6.เทน้ำถั่วเหลืองที่คั้นไว้ไว้แล้วใส่ลงไปในหม้อ โดยกรองด้วยผ้าขาวบาง 2 ชั้นเสร็จแล้วเติมน้ำส่วนที่เหลือทั้งหมดลงไปในหม้อ คนให้เข้ากัน

7.ยกหม้อขึ้นตั้งไฟ ( ถ้าต้องการใช้กลิ่นใบเตยดับกลิ่นสาปถั่วเหลือง ใส่ใบเตยตอนนี้ ) ต้มด้วยไฟกลาง พอเริ่มจะเดือด ก็ใช้ไฟอ่อน คุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 90 องศาเซลเชียส ( น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเชียส )คือต้มให้น้ำถั่วเหลืองร้อนแต่ไม่เดือด ขั้นตอนในการต้มใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีในขณะต้มต้องหมั่นคนอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นจะไหม้ได้ง่าย พอชิมดูว่าถั่วเหลืองสุกแล้วใส่เกลือครึ่งช้อนชาเคี่ยวต่ออีกประมาณ 5 นาที ปิดไฟหรือยกลง เติมน้ำตาลและเกลือป่น ชิมรสตามชอบ

การทำน้ำเชื่อมเข้มข้น :

โดยใช้น้ำตาลทรายเคี่ยวกับน้ำสะอาด ในสัดส่วน 2:1 ตั้งไฟพอให้น้ำตาลละลายหมดก็พอ ไม่ต้องเคี่ยวนาน มิฉะนั้นสีน้ำเชื่อมจะดำไม่น่าทาน

เครื่องปรุงที่ใส่ในน้ำเต้าหู้เพื่อแต่งรสเวลาเสริฟ :

ลูกเดือยต้มสุก สาคูเม็ดใหญ่ต้มสุก เม็ดแมงลักละลายน้ำจนพอง วุ้นหั่นเป็นเส้นยาว ลูกบัวต้ม ถั่วแดง ฟักเชื่อมหั่นเป็นชิ้นๆ น้ำเชื่อม ฟรุทสลัด .... ฯลฯ (อยากใส่อะไรก็ใส่ ไม่อยากใส่อะไรก็ไม่ต้องใส่ ...ตามใจชอบ )งาอบหรือคั่วโรยหน้า

เวลาเสริฟ : ใส่น้ำเชื่อมและเครื่องปรุงต่างๆ ตามที่ผู้รับประทานต้องการ

หมายเหตุ :

ส่วนประกอบทางโภชนาการของนมถั่วเหลือง 250 มิลลิลิตร
น้ำ 217 กรัม โปรตีน 6.3 กรัม น้ำตาลแลคโตส 22.5 กรัม
ไขมัน 2.8 กรัม แคลเซียม 48 กรัม
ให้พลังงาน 135 กิโลแคลอรี่ ( ข้อมูลจาก กองโภชนาการ กรมอนามัย )

นมถั่วเหลืองที่ทำ หากแช่เก็บไว้ในตู้เย็น

สามารถเก็บได้ประมาณ 5 วัน ถ้าขั้นตอนการทำสะอาดพอเนื่องจากเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ ถ้าไม่ต้องการใส่น้ำตาลก็ไม่ต้องใส่ถ้าต้องการเพิ่มกลิ่นใบเตย ก็ใช้ ใบเตยล้างสะอาด 5 ใบตัดเป็นท่อน ๆ ต่อ ถั่วเหลือง 1 กิโลกรัมถ้าต้องการแต่งสีก็เติมสีอาหารจากธรรมชาติ อาทิเช่น

สีเหลือง จาก ขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย หญ้าฝรั่น ดอกคำฝอย ลูกพูด ดอกกรรณิการ์ ฟักทอง มันเทศ แครอท

สีเขียว จาก ใบเตยหอม ใบย่านางพริกเขียว และ ใบคะน้า

สีแดง จากครั่ง มะเขือเทศสุก , กระเจี๊ยบ ,มะละกอ ,ถั่วแดง และพริกแดง

สีน้ำเงิน จากดอกอัญชัน

สีม่วง จาก ดอกอัญชันสีน้ำเงินผสมมะนาว , ข้าวเหนียวดำ และถั่วดำ

สีแสด จากเมล็ดของผลคำแสด เป็นต้น

ส่วนการแต่งกลิ่นก็มีกลิ่นสำเร็จขายอยู่ทั่วไป

ถั่วเหลืองมีปริมาณกรดอะมิโนเมธิโอนีน ที่เป็น กรดอะมิโนที่จำเป็น ( Esseential amino acid )อยู่น้อยดังนั้นจึงนิยมเติมงาดำคั่วหรืองาดำอบ ที่มีกรดอะมิโนเมธิโอนีนมาก และยังมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิค ซึ่งช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้นและยังมีมีวิตามันและแร่ธาตุที่สำคัญโดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง 6 เท่ามีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดงอีกทั้งยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ เพื่อเป็นการเสริมคุณค่าให้ด้วย

ปัจจุปัน มี เครื่องทำน้ำเต้าหู้สำเร็จรูปแบบง่ายๆ คิดค้นโดย นักศึกษาสาขาวิศวกรรมอุตสาหการเครื่องกล คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตนนทบุรี อันมี นายกฤษฎา ลิมปพัฒนวณิชย์, นายสัญญา ปาระมีกาศและ นายภูริพงษ์ อิสริยาพงษ์ เครื่องมีส่วนประกอบ คือ กรวยบรรจุถั่วเหลือง วาล์วน้ำ หม้อต้ม และ Beakerโดยใช้เวลาประมาณ 90 นาทีสามารถรักษาอุณหภูมิไม่ให้เกิน 90 องศาเซลเชียส และ ปริมาณสารอาหารไม่สูญเสีย

วิธีทำน้ำเต้าหู้ด้วยตัวเอง

นำถั่วเหลือง 1 ถ้วย แช่น้ำไว้หนึ่งคืน เมื่อพองเป็นสองเท่าแล้วให้เติมน้ำสะอาด 5 ถ้วย แล้วนำไปปั่นให้ละเอียดจากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง 2-3 ชั้น นำน้ำที่ได้ไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จนกระทั่งเดือด แล้วเคี่ยวต่อประมาณ 20 นาที เมื่อเดือดอีกครั้งอย่าปิดไฟทันที เพราะระหว่างนี้น้ำเต้าหู้จะยังเหม็นเขียวอยู่ ควรเคี่ยวต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีถ้าอยากให้หอมก็ใส่ใบเตยลงไประหว่างที่เคี่ยว เห็นไหมคะว่าน้ำเต้าหู้ทำได้ไม่ยากเลย

น้ำเต้าหู้

อุปกรณ์ ใช้หม้อใหญ่ ๓ ใบ ถ้วยตวง(เราใช้แบบครึ่งลิตร) กระชอนอัน เครื่องปั่นน้ำ ผ้าสองผืน ถั่วเหลืองครึ่งโล

วิธีทำ

๑) ถั่วเหลืองแช่น้ำค้างคืน เปลี่ยนน้ำเมื่อเห็นฟองลอยหน้า
๒) เช้ามาเทน้ำล้างสะเด็ดน้ำ ถั่วครึ่งลิตร น้ำครึ่งลิตร ใส่โถปั่นละเอียด
๓) คั้น (เหมือนคั้นน้ำกะทิ)
๔) นำน้ำที่ได้ไปกรองในผ้าสะอาดอีกรอบก่อนต้ม
๕) ต้มไฟอ่อน หมั่นคนจะได้ไม่ไหม้ติดก้น สังเกตุดมกลิ่นเหม็นเขียวของถั่วหมดก็ดื่มได้ ปรุงน้ำตาล ใส่เครื่องตามชอบถ้าชอบฟองเต้าหู้ก็รอให้ลอยหนาบนผิวหน้าแล้วชอนขึ้น เป็นระยะถามว่ารู้ได้ไงน้ำถั่วเหลืองใสเป็นน้ำล้างจานหรือข้น ก็ดูได้จากฟองเต้าหู้ถ้าลอยเร็วและหนาแสดงว่าข้น

๖) กากถั่วที่ได้ให้กลับไปทำขั้นตอนแรกเพื่อทำหางน้ำถั่วเหลือง โดยลดปริมาณน้ำลงครึ่งหนึ่ง

คำเตือน ทำข้นไปแก้ให้ใสได้ แต่ถ้าทำใสจะกลายเป็นน้ำล้างจานเททิ้งอย่างเดียว

น้ำเต้าหู้ อีกสูตรค่ะ

เครื่องปรุง
ถั่วเหลือง 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 2 ถ้วยตวง
น้ำ 8 ถ้วยตวง

วิธีทำ
ถั่วเหลืองเลาะเปลือก แช่น้ำ 1 คืน ล้างน้ำเอาเปลือกออก ใส่ในโถปั่น หรือโม่ ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ ต้มน้ำนมถั่วเหลืองให้เดือดปุดๆใส่น้ำตาล คนให้น้ำตาลละลาย ใช้ไฟอ่อนต้ม ตักใส่ถ้วยดื่มร้อนๆ

ทำน้ำเต้าหู้ขาย

เครื่องปรุง
แช่ถั่วเหลือง 1 กก. ( ใหม่ )
ถั่วลิสงคั่ว 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 กก.
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำ 10 ลิตร ( 40 ถ้วยตวง )

วิธีทำ

แช่ถั่วเหลือง เลาะเปลือกออก แช่น้ำ 1 คืน ล้างน้ำเอาเปลือกออก ใส่โถปั่น ใส่น้ำจนท่วมใส่ถั่วลิสงคั่วบดละเอียด ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ นำไปต้มใช้ไฟปานกลาง น้ำถั่วเหลืองเดือดปุดๆใส่เกลือป่น 1/2 ช้อนชา ใส่น้ำตาลทรายใช้ไฟรุมๆ ไม่ให้น้ำเต้าหู้เดือดมาก ( ใส่ใบเตย 1 ใบ ต่อน้ำเต้าหู้ 1 ลิตร )

ทำขายในตอนเช้า และค่ำ รับประทานกับปาท่องโก๋ จิ้มสังขยานำน้ำเต้าหู้ใส่เครื่อง มีลูกเดือยต้ม ถั่วเขียวต้ม เม็ดแมงลัก เม็ดบัวต้ม ชิ้นฟักเชื่อม หั่นเป็นชิ้นบางๆลูกพลับหั่นชิ้นบางๆ สาคูเม็ดใหญ่ต้มสุก วุ้นตัดเป็นท่อนสั้นๆ พุทราเชื่อม ถั่วแดงต้ม เพิ่มรสอร่อย

ข้อสังเกต

1. น้ำเต้าหู้อร่อย น้ำต้องไม่ใสมาก
2. ต้องมีกลิ่นหอม ใช้ใบเตย
3. ถ้าต้องการน้ำเต้าหู้ข้น ต้องบดถั่วเหลืองให้ละเอียด
4. ขณะต้ม ไม่ใช้ไฟแรง
5. น้ำเต้าหู้ที่อร่อย จะไม่หวานมาก
6. ต้องไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวของถั่ว
7. ใส่ถั่วลิสงคั่วเพื่อให้มีรสมัน สีของน้ำจะออกเหลือง

Tip การทำน้ำเต้าหู้

หากว่าใครได้ถั่วเหลืองแบบซีก ที่เขากระเทาะเปลือกแล้วมาที่จริงทำน้ำเต้าหู้ได้ แต่มันจะไม่หอมเท่ากับที่มีเปลือก

หลังจากที่กรองมาต้มแล้ว มีข้อห้าม ว่าอย่าต้มปล่อยทิ้ง ให้คนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเดือดแล้วให้กรองอีกครั้ง เพราะเมื่อถั่วที่เราปั่น ถูกต้ม ผงละเอียดแรกจากถั่วดิบแช่น้ำที่ผ่านกรองแรก เมื่อถูกต้ม มันจะบวมน้ำขึ้นอีก จึงน่าจะกรองอีกครั้ง

หากชิมดูหลังจากเติมน้ำตาลแล้ว จะเห็นว่ารสของน้ำเต้าหู้จะเจื้อยแจ้วมาก คนทำน้ำเต้าหู้ เค้าจะใช้ 2 อย่าง

แต่งรส และกลิ่นแต่งรส จะใส่เกลือเล็กน้อย เช่นหม้อใหญ่ๆซัก 5 litres ใส่เกลือทะเลประมาณ 1 เกล็ดเล็ก แต่งกลิ่น เขาจะใช้ถั่วลิสงดิบใหม่ๆแช่น้ำ และทำวิธีเดียวกับถั่วเหลือง อัตราส่วนซัก 1 ต่อ 10 หรืออาจน้อยกว่านี้ต้องกะเอาน่ะครับหลังจากที่ชิม (คนทำอาหาร ต้องทำแล้วชิมเอาว่าครั้งไหนเข้าท่า) แล้วเจือลงไปในหม้อใหญ่ทีหลัง

2 อย่างนี้ มันเป็นถั่วเหมือนกัน แต่ให้กลิ่นที่ต่างกัน ถั่วเหลืองให้กลิ่นเบา แหลม แต่ถั่วลิสงช่วยให้กลิ่นหนักแน่นขึ้น แต่ห้ามให้น้ำเต้าหู้กลายเป็นกลิ่นถั่วลิสง 5555

เรื่องกลิ่นของถั่วนี้ พิศดารล้ำลึกมาก แทบทะเป็น chapter หนึ่งเลยทีเดียวทางฝรั่งให้ความสำคัญขนาดมี class การศึกษา และดมถั่ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูล nut ร้อยแปดลงมาจนเม็ดงา seed ทั้งหลาย เม็ดบัว ถือเป็นกลิ่นตระกูลเดียวกัน แต่มีศิลปการเสริมซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว หรือของหวาน

กลับมาเรื่องเดิมครับ ตอนสมัยที่เราเด็กๆ เราอาจเคยกินน้ำเต้าหู้บางจ้าว ที่เหม็นควันไฟ หรือเต้าหู้อ่อนที่ทำแกงจืด ที่เหม็นควันไฟบ้างเพราะเขากรองแค่ครั้งเดียว และใช้ไฟแรง ไม่ค่อยๆเคี่ยว ให้กากแรกพองตัวสำหรับกรองอีกครั้ง เพราะเค้าทำเยอะปริมาณมาก(กากตกลง และเกาะก้นหม้อก้นหม้อ ทำให้ไหม้ก่อนจะเดือนและก่อนที่น้ำเต้าหู้จะระเหยกลิ่นเหม็นเขียวออก)

น้ำเต้าหู้หลายเจ้า ดูเข้มข้นดี จะดูว่ามีคุณภาพหรือไม่ให้ดูที่ฟองเต้าหู้ที่ลอยเป็นฝา ผมเห็นบางร้านควันฉุย แต่หาฟองตามขอบไม่เจอเท่าไหร่ แต่ที่ข้นเพราะเจอแป้งข้าวจ้าวเข้าไปน่ะครับ ส่วนเรื่องถั่วลิสงนั้นไม่ใช่เพราะมันถูกกว่าถั่วเหลือง เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่สมัยนี้ ราคาไม่ต่างกัน ที่ๆเขาใส่ เพราะทำให้รสชาติหนักแน่น

จนกระทั่ง เมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา vitamilk ถือกำเหนิดมา จากการนำนม มาผสมกับน้ำเต้าหู้ นี่ก็เป็นวิธีที่ทำให้กลิ่นหนักแน่นมากขึ้นเพราะนม มีความคาวตามธรรมชาติ ในแบบไขมันสัตว์ แต่หากเราเอามาผสมกันเอง อาจไม่ค่อยเหมือน เพราะเขาใช้นมผง ช่วยผสมลงไป เพิ่มความมัน เหมือนนมเมจิ ที่เด็กๆ บอกว่า เป็นนมดีที่สุดเพราะมีความมัน เข้มข้นกว่ายี่ห้ออื่นแต่ที่จริง ก็เจอนมผงเข้าไปด้วย เพราะนม พาวเชอไรซ์และเสตอรีไรซ์ทั้งหลายที่เรากินกันนั้น ถูกฉวยโอกาส ด้วยการถูกตีไขมันออกไปทำเนยขายอีกต่อ ตั้งครึ่งหนึ่งฝอยจนเลยไปไกล คราวนี้ คิดว่า คงมีคุณๆแม่บ้านแถวนี้ หัวเราะ แล้วบอกว่า ผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนอีกแล้ว

เหมือนอย่างที่บอกแหละค่ะ ที่พี่ทำประจำ ตอนอยู่เมืองไทย ไม่ให้มีกลิ่นเหม็นเขียวถั่วเหลือง ก็โดยการเอาถั่วลิสงที่แช่น้ำค้างคืนประมาณ ๑/๔-๑/๓ ของถั่วเหลือง ไปปั่นรวมไปด้วยจะช่วยกลบกลิ่นเหม็นเขียวของถั่วเหลือง และพี่ไม่ใส่น้ำตาล แต่ใส่เกลือเล็กน้อย เวลาดื่ม จะใส่น้ำผึ้ง ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูงแทนน้ำตาลค่ะ จะได้รสชาติที่อร่อยไปอีกแบบค่ะ

ปาท่องโก๋ (รวมสูตรการทำกรอบ,นุ่ม)

สูตรการทำปาท่องโก๋คู่ กรอบ,นุ่ม

ส่วนผสมที่ต้องใช้

1.แป้งสาลี อเนกประสงค์(ตราฮกแดง) 1/2 ก.ก.
2.น้ำสะอาด (3+1/2 ขีด) หรือ 350 กรัม
3.เกลือป่น 1 ช.ต.
4.น้ำตาลทราย 1 ช.ต.
5.แอมโมเนียไบคาร์บอเนทล์ 2 ช.ช.
6.โซดา ไบคาร์บอเนทล์(โซดาเย็น) 1/4 ช.ช.
7.ผงฟู (สูตรดับเบิ้ลฯ) 1 ช.ช.
8.ยีสต์แห้งฯ 1/4 ช.ช.
9.น้ำมันพืชฯ 1 ช.ต.(สูตรหมักแป้ง 2-3 ชั่วโมง จึงนำมาทอดได้ครับ )

วิธีการทำ

1.เตรียม แป้งสาลี 1/2 ก.ก. + ผสมเข้ากันกับ( โซดา,+ผงฟู,+ยีสต์แห้ง) เข้าด้วยกัน พักใว้

2. ส่วนน้ำ,ใส่ส่วนผสม+เกลื่อป่น+แอมโมเนียฯ+น้ำตาลทราย+น้ำมันพืช ผสมให้เข้ากันคนจนละลาย

3.(ให้นำส่วนของแป้ง,และ ส่วนของน้ำที่เตรียมใว้ นำมาผสมให้เข้ากัน )โดยการคลุกเดล้า หรือการนวดเบาๆ

(ห้ามนวดแป้งแรงเกินไป หรือการขยำแป้งจนออกตามร่องมือ )ให้ใช้การผสมแค่พอแป้งกับน้ำเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อแป้งยิ่งหยาบ ยิ่งดีครับ แล้วหมักแป้งทิ้งใว้ 2-3 ชั่วโมง (นำมาทอดได้ตามขั้นตอน...ให้เราเรียนแบบทำตามที่เราได้เห็นตามร้านขายปาท่องโก๋ทั่วๆไป ทำขายกันอยู่

(ทำง่ายๆครับ) หรือ เราจะทอดเป็น รูปร่างอะไรก็ได้ครับ(ส่วนน้ำมัน ที่เราใช้ทอด ให้ใช้เป็นน้ำมันปามล์ทั่วไป เพราะจะทนความร้อนได้ดีกว่า )แต่ถ้าจะให้ปาท่องโก๋ออกมาเหลืองสวยโดยทั่วไป ให้เรานำเอาน้ำมันที่ใช้แล้ว มาผสมลงไปด้วย จะทำให้ปาท่องโก๋เหลืองสวยมากยิ่งขึ้น

ปาท่องโก๋ สูตร 1

เครื่องปรุง ส่วนผสมนี้ได้ 35 ตัว

แป้งตราว่าว 1/2 กก.
แป้งตราห่าน 1 ขีด
แป้งตรากบ 2 ขีด
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 5 ขีด
น้ำมันถั่ว 2 กก.
เช้าก่า (เชื้อเหม็นหรือแอมโมเนียมคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะเปี่ยเอี้ย น้อยกว่า 1/2 ช้อนชาเล็กน้อย

วิธีทำ

1. ร่อนแป้งทั้ง 3 อย่าง แล้วผสมเข้าด้วยกัน ตักเก็บไว้ 2 ขีด แล้วนำแป้งผสมส่วนที่เหลือ ทำเป็นหลุมบนแผ่นกระดาน หรือ ภาชนะแบนราบ

2. นำเช้าก่า เปี่ยเอี้ย เกลือ มาผสมน้ำสะอาด จนละลายเข้ากันดี ก็นำไปเทลงหลุมแป้งที่เตรียมไว้

3. ใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันดี วิธีนวดคือ นวดแป้งตลบ ซ้าย-ขวา กลับไป-กลับมา ส่วนบน-ส่วนล่าง กลับไป-กลับมาระหว่างนวดนี้ ก็โรยแป้งส่วนที่ตักเก็บไว้ เพื่อไม่ให้แป้งติดกระดาน นวดเป็นเวลา 30 นาทีจนแป้งเข้ากันดีดูได้จาก ถ้าเอามือลูบแล้ว แป้งเรียบไม่สะดุดมือ แล้วจึงนำผ้าขาวบางชุบน้ำพอหมาด คลุมไว้ทิ้งไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง อย่างมาก 6 ชั่วโมง

4. เมื่อหมักแป้งได้ที่แล้ว เอากระทะใส่น้ำมันถั่วตั้งไฟให้ร้อน ระหว่างนี้นำแป้ง ที่ได้มาคลึงให้ยาวชอบแล้วตัดเป็นท่อนตามชอบ แล้วนำมาประกบคู่กันโดย ใช้น้ำเปล่าแตะตรงกลาง เมื่อประกบแล้วให้ดังยาวอย่างแผ่วๆ ยาวกว่าเดิมเล็กน้อยแล้วนำลงไปทอด ในน้ำมัน คอยกลับไป-กลับมาพอเหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน รับประทานร้อนๆ

หมายเหตุุุ เหลือเก็บใส่ตู้เย็น นำกลับมาทอดใหม่อีก

ปาท่องโก๋ สูตร 2

ส่วนประกอบ

แป้งสาลีตราว่าว 6 กก.
ผงฟู 5 ช้อนโต๊ะ
ผงโซดาไบคาร์บอเนต 4 ช้อนชา
วานิลา(ถ้ามี) 4 ช้อนชา
น้ำตาลทรายแดง 1/2 กก.
เกลือ 10 ช้อนโต๊ะ
แอมโมเนีย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำปูนใส 12 ช้อนโต๊ะ
ยีสต์ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 12 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

นำส่วนผสมทุกอย่างคลุกเข้ากับแป้ง แล้วเติมน้ำพอเหนียว นวดเบาๆทิ้งไว้ 30 นาที นวดรอบสองไม่ต้องนวดนานแล้วปิดด้วยผ้าชุบน้ำพอหมาดๆคลุมไว้ นำไปทอดไฟกลางๆ รับประทาน

ปาท่องโก๋ สูตร 3

ส่วนผสม

แป้งตราฮก 2 กก.
น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนตวง
น้ำมันพืช 1 ช้อนตวง
ผงฟู 1 ช้อนตวง
โซดาไบคาร์บอเนต 1 ช้อนตวง
แป้งสาลี(ตราว่าว) 1 ช้อนตวง
แอมโมเนียผง 1 ช้อนตวง
น้ำ 1+1/2 กก.

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสม คนให้เข้ากัน จนเกลือ น้ำตาลละลาย แล้วเทนวดใส่แป้ง นวดไปทางเดียวกันประมาณ 10 นาทีพักแป้งไว้สักพัก (5 นาที) กลับแป้งนวดอีกครั้ง แล้วพักไว้ 4 ชั่วโมง แล้วนำผ้าดิบชุบน้ำบิดพอหมาดๆ คลุมไว้นำไปทอดในน้ำมันพืช เดือดไฟกลางๆ ถ้าเหลือ ก็เก็บใส่ตู้เย็น ไว้ทอดวันต่อๆไปได้อีก

ปาท่องโก๋ สูตร 4

ส่วนผสม

1. น้ำ 3-4 ถ้วยตวง
2. ยีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ
5. แอมโมเนีย 1 ช้อนโต๊ะ
6. โซดาไบคาบอเนต 2 เมล็ดถั่วเขียวหรือน้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
7. ผงฟู 1/4 ช้อนชา
8. มาการีน 1 ช้อนชา
9. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
10. แป้งตราต้นสน 1 กิโลกรัม

หมายเหตุุ น้ำมันที่ทอด ควรใช้น้ำปาล์ม เพราะจะทำให้ปาท่องโก๋ไม่มัน (เปิดน้ำมันทอด ไม่ควรเกิน 5 ครั้ง)

วิธีทำ

1. นำส่วนที่ 1-10 ผสมให้เข้ากัน โดยการคนให้ละลายพักไว้

2. นำแป้งมาร่อน

3. นำข้อที่ 1 เทใส่แป้งที่ร่อน คนไปให้เข้ากันลงในแป้งที่ร่อน

4. นวดด้วยฝ่ามือให้เนียนไม่ติดมือ

5. ปิดให้สนิท หมักไว้ 7-8 ชั่วโมงหรือ 12 ชั่วโมงก็ได้

6. ใช้มือชุบแป้งเพื่อหยิบแป้งที่หมักไม่ให้ติดมือ นำมาปิดผ้าไว้ที่โต๊ะ ตัดแป้งมาปั้นให้ยาวๆจับเป็นคู่ๆลงทอดในน้ำมัน ร้อนปานกลาง

ปาท่องโก๋ สูตร 1 (แบบกรอบนอก นุ่มใน และกลวงเล็กน้อย)

ส่วนผสม

แป้งสาลีตราฮกแดง 1 กิโลกรัม
ไข่ไก่ 2 ฟอง
เกลือ 4 ช้อนชา
น้ำ 3 + 3 /4 - 4 ถ้วย
ยีสต์ 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนชา
น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
แอมโมเนีย (เช้าก่า) 1 ช้อนโต๊ะ
ผงฟู 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

ผสมยีสต์ ผงฟู และแป้ง รวมกันแล้วพักไว้ ละลายน้ำตาล เกลือ แอมโมเนีย ในน้ำ เติมน้ำมันพืช ไข่ไก่คนให้เข้ากันดี ใส่ส่วนผสมของเหลวลงในส่วนผสมแป้ง นวดให้เข้ากัน พักแป้งไว้ประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงตัดแป้งเป็นแท่งยาว ๆ โรยแป้งนวลเพื่อไม่ให้ติดมือ ยืดแป้งออกให้เป็นแผ่นบาง ๆ หนาประมาณ 1 /2 เซนติเมตรตัดเป็นชิ้นยาว ๆ ใช้ไม้จุ่มน้ำแตะตรงกลาง ประกบแป้งเข้าหากัน นำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด

ปาท่องโก๋ สูตร 2 (แบบนุ่ม มีเนื้อ เมื่อเย็นแล้วเนื้อนิ่มไม่เหนียว)

ส่วนผสม

แป้งสาลีตราฮกแดง 1 กิโลกรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 3 1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ผงโซดาไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะแอมโมเนีย (เช้าก่า) 1/2 ช้อนชา
ผงฟู 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

ผสมโซดา ผงฟู และแป้ง รวมกันแล้วพักไว้ ละลายน้ำตาล เกลือ แอมโมเนีย ในน้ำ เติมน้ำมันพืช ไข่ไก่คนให้เข้ากันดี ใส่ส่วนผสมของเหลวลงในส่วนผสมแป้ง นวดให้เข้ากัน พักแป้งไว้ประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง นำไปทอด

1. การนวดแป้ง จะไม่นวดนานเกินไป เพียงแค่นวดให้ส่วนผสมเข้ากันดีก็พอ

2. ควรละลาย น้ำตาล แอมโมเนีย และเกลือในส่วนผสมที่เป็นน้ำก่อน แล้วคนให้ละลายจนหมดจึงนำไปผสมในส่วนผสมที่เป็นของแห้ง จะทำให้ส่วนผสมเข้ากันได้เร็ว

3. อัตราส่วนระหว่างแป้งกับน้ำในแต่ละสูตร อาจจะมีการคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความเก่าใหม่ของแป้งถ้าเป็นแป้งเก่าอาจจะต้องเพิ่มน้ำบ้างเล็กน้อย

4. ควรมีการพักแป้งอย่างน้อย 3 - 4 ชั่วโมง ก่อนทอด ถ้าทอดเร็วเกินไป ปาท่องโก๋จะเนื้อแน่นวิธีสังเกตง่าย ๆ คือ สังเกตจากแป้งจะมีฟองอากาศมาก ก็สามารถนำมาทดลองทอดได้

5. ควรใช้น้ำมันปาล์มในการทอด และน้ำมันที่เหลือแต่ละครั้งควรนำมากรอง ด้วยผ้าขาวบางทุกครั้งก่อนที่จะนำมาทอดใหม่และควรเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ทอดบ่อย ๆ ถ้าน้ำมันเก่ามากจะเกิดสารพิษในน้ำมัน ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

6. ความร้อนที่ใช้ทอดควรใช้ความร้อนปานกลาง ถ้าใช้ไฟแรงเกินไปจะทำให้ผิวของปาท่องโก๋ไม่สวย มีสีไม่สม่ำเสมอ และผิวนอกนิ่มไม่กรอบ

7. การตัดแป้ง ควรแผ่นแป้งให้หนาประมาณ 1 /2 เซนติเมตร หากแป้งหนามากเกินไปจะทำให้แป้งเนื้อแน่นเวลาแตะน้ำติดตรงกลาง ประกบติดกัน ไม่ต้องบีบแป้งแน่น เพราถ้าบีบแป้งแน่นเกินไป จะทำให้ตัวขนมไม่กางออกมาเวลาทอด

8. เวลาทอด เมื่อหย่อนแป้งลงในน้ำมัน พอแป้งลอยขึ้นมา ควรใช้ตะเกียบพลิกกลับไปกลับมา จะทำให้แป้งแห้งฟู และ พองตัวดี ที่สำคัญอย่าใส่ปาท่องโก๋มากเกินไป ในการทอดแต่ละครั้ง

9. เราสามารถตัดยีสต์ที่อยู่ในสูตรออกได้ ถ้าต้องการให้ขนมขึ้นช้าหรือกลัวทอดไม่ทันขาย แต่ต้องใช้เวลาในการหมักให้นานขึ้นและถ้าอยากให้ปาท่องโก๋มีรสชาติดีขึ้น ให้ให้เติมผงชูรสลงไปในสูตร 2 - 3 ช้อนชา

**ขอบคุณอาจารย์นวรัตน์ เอี่ยมพิทักษ์กิจ เอื้อเฟื้อสูตรและเทคนิคการทำปาท่องโก๋

Life Handbook 2009

*Health :*

1. Drink plenty of water.

2. Eat breakfast like a king, lunch like a prince and dinner like a beggar.

3. Eat more foods that grow on trees and plants and eat less food that is manufatured in plants.

4. Live with the 3 E's - Energy, Enthusiasm and Empathy.

5. Make time for prayer.

6. Play more games.

7. Read more books thatn you did in 2008.

8. Sit in silence for at least 10 minutes each day.

9. Sleep for 7 hours.

10. Take a 10-30 minutes walk every day. And while you walk, smile.

*Personality :*

1. Don't compare your life to others'. You have no idea what their journey is all about.

2. Don't have negative thoughts or things you cannot control. Instead invest your energy in the positive present moment.

3. Don't over do. Keep you limits.

4. Don't take yourself so seriously. No one else does.

5. Don't waste your precious energy on gossip.

6. Dream more while you are awake.

7. Envy is a waste of time. You already have all you need.

8. Forget issues of the past. Don't remind your partner with his/her mistake of the past. That will ruin your present happiness.

9. Life is too short to waste time hating anyone. Don't hate others.

10. Make peace with your past so it won't spoil the present.

11. No one is in charge of your happiness except you.

12. Realize that life is a school and you are here to learn. Problems are simply part of the curriculum that appear and fade away like algebra class but the lessons you learn will last a litfetime.

13. Smile and laugh more.

14. You don't have to win every argument. Agree to disagree.

*Society :*

1. Call your family often.

2. Each day give something good to others.

3. Forgive everyone for everything.

4. Spend time with people over the ge of 70 & under the age of 6.

5. Try to make at least three people smile each day.

6. What other people think of you is none of your business.

7. Your job won't take care of you when you are sick. Your family and friends will. Stay in touch.

*Life :*

1. Do the right thing!

2. Get rid of anything that isn't useful, beautiful or joyful.

3. GOD heals everything.

4. However good or bad a situation is, it will change.

5. No matter how you feel, get up, dress up and show up.

6. The best is yet to come.

7. When you awake alive in the morning, thank GOD for it.

8. Your Inner most is always happy. So, be happy.

15 มี.ค. 2552

โลหิตจาง จากภาวะขาดธาตุเหล็ก

โลหิตจาง (เลือดจาง) หมายถึงภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้มีอาการซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีสาเหตุได้หลายประการ

สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดในบ้านเราก็คือภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงของร่างกาย ภาวะนี้สามารถป้องกันและแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการกินอาหารที่ถูกต้อง และการเสริมบำรุงด้วยยาที่เข้าธาตุเหล็ก (ยาบำรุงโลหิต)

♦ ชื่อภาษาไทย โลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก, เลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก

♦ ชื่อภาษาอังกฤษ Iron deficiency anemia

♦ สาเหตุ เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้

1. เกิดจากการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เช่น กินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ นม และไข่ น้อยเกินไป อาหารเหล่านี้มีธาตุเหล็กมาก ซึ่งลำไส้สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าธาตุเหล็กที่อยู่ในพืชผัก

ผู้ที่เบื่ออาหารจากการเจ็บป่วยเรื้อรังด้วยโรคอื่นๆ (เช่น วัณโรคปอด มะเร็ง เอดส์) หรือผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อยหรือไม่ครบส่วน (เช่น ไม่มีฟันเคี้ยวเนื้อสัตว์) ก็อาจได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไป

ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ ชีวจิต หรือแมกโครไบโอติก อย่างเคร่งครัดและไม่ถูกหลักโภชนาการ คือกินแต่พืชผักเป็นหลัก ก็อาจขาดธาตุเหล็กได้ เนื่องจากถึงแม้ในพืชผักจะมีธาตุเหล็กอยู่ แต่ธาตุเหล็กในพืชผักถูกลำไส้ดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินพร้อมข้าวซึ่งมีสารไฟเทต (phytate) ที่ขัดขวางการดูดซึมของธาตุเหล็ก

นอกจากนี้ เด็กในวัย 2 ขวบแรก และเด็กวัยรุ่นในช่วงกำลังเจริญเติบโต รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ (ซึ่งมีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นกว่าคนปกติ เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์) ถ้าไม่ได้กินธาตุเหล็กให้เพียงพอ ก็มักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้

2. เกิดจากการเสียธาตุเหล็กออกไปกับเลือด เช่น มีประจำเดือนออกมาก (พบได้บ่อยในหญิงวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์) ตกเลือดเนื่องจากแท้งบุตรหรือคลอดบุตร เลือดออกจากกระเพาะอาหาร (ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ) จากการใช้ยาแก้ปวดข้อและสาเหตุอื่นๆ เลือดออกเรื้อรังในผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร (ถ่ายเป็นเลือดสด) เป็นโรคพยาธิปากขอ เป็นต้น

♦อาการ

ในระยะที่มีภาวะโลหิตจางเล็กน้อย มักไม่มีอาการแสดงชัดเจน หรือผู้ป่วยที่มีโลหิตจางแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย ผู้ป่วยก็อาจไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอาการผิดปกติใดๆ ก็ได้

ในรายที่มีภาวะโลหิตจางมาก หรือเกิดขึ้นฉับพลัน (เช่น ตกเลือด) ก็มักจะมีอาการอ่อนเพลีย ทำอะไรรู้สึกเหนื่อยง่าย หน้ามืด มึนงง เวียนศีรษะ เบื่ออาหาร ถ้าเป็นมากอาจมีอาการใจหวิว ใจสั่นร่วมด้วยผู้ที่มีภาวะโลหิตจางชัดเจน มักพบว่ามีอาการหน้าตาซีดเซียว ฝ่ามือซีด เล็บซีด เยื่อบุเปลือกตา ริมฝีปาก และลิ้นซีดขาวกว่าปกติ

การแยกโรค

ภาวะซีดหรือโลหิตจาง เป็นอาการแสดงของโรค ซึ่งอาจมีสาเหตุได้หลากหลาย นอกจากภาวะขาดธาตุเหล็กแล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น

- ภาวะขาดอาหารหรือโปรตีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบร่วมกับธาตุเหล็กในการสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากภาวะซีดแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการขาดอาหาร เช่น ผอมแห้ง เท้าบวม ผมแดง เป็นต้น

- ทาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นโรคโลหิตจางเนื่องจากมีความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติ แตกสลายง่าย จึงมีอาการซีดเหลืองอย่างเรื้อรังมาตั้งแต่เล็ก มีหน้าตาแปลก ม้ามโต (คลำได้ก้อนที่บริเวณใต้ชายโครงซ้าย) พบมากในคนอีสานและคนเหนือ

- โลหิตจางจากภาวะไขกระดูกฝ่อหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยมักมีอาการซีดร่วมกับไข้มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง มีเลือดออกตามที่ต่างๆ (เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน)

- ไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีอาการซีด อ่อนเพลียร่วมกับคลื่นไส้ เท้าบวม มักมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคไตมาก่อน

♦ การวินิจฉัย

แพทย์มักจะวินิจฉัยจากประวัติอาการเจ็บป่วยและการตรวจพบภาวะซีด (ผิวหนังและเยื่อเมือก ซีดขาว พร้อมกันทุกส่วน) โดยไม่มีความผิดปกติอื่นๆ เช่น มีไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง มีจุดแดง จ้ำเขียว ตับโต ม้ามโต บวม ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เป็นต้น

ในรายที่ไม่แน่ใจหรือสงสัยว่ามีโรคอื่นๆ แพทย์อาจทำการตรวจเลือด ซึ่งมักพบว่ามีระดับความเข้มข้นของเลือด (hemoglobin) ต่ำกว่า 12 กรัม/เดซิลิตร นอกจากนี้อาจทำการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น ตรวจอุจจาระ ปัสสาวะ เอกซเรย์ เจาะไขกระดูก ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารหรือลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

การดูแลตนเอง

เมื่อมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และพบว่ามีภาวะซีด (หน้าซีด เยื่อบุเปลือกตาและริมฝีปากซีด) โดยที่ไม่มีไข้ ตาเหลืองตัวเหลือง จุดแดงจ้ำเขียว บวม ไม่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ไม่ได้ซีดเหลืองเรื้อรังมาตั้งแต่เล็ก (หรือเป็นโรคทาลัสซีเมีย) อาจให้การรักษาเบื้องต้น ด้วยการกินยาบำรุงโลหิต เช่น ยาเม็ดเฟอร์รัสฟูมาเรต ครั้งละ 1-2 เม็ด หลังอาหาร วันละ 2-3 ครั้ง (ยานี้กินแล้วอาจทำให้มีอาการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ซึ่งเป็นสีของธาตุเหล็กได้ ไม่ถือว่าผิดปกติ แต่ถ้ามีอาการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำก่อนกินยานี้และไม่ได้กินเลือดหมู ตับหมู ก็พึงสงสัยว่าอาจมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีประวัติกินยาแก้ปวดข้อ หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์)

หลังกินยา 7-10 วัน แล้วรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้น และหน้าตามีเลือดฝาดดีขึ้น ก็แสดงว่ากินยาได้ผล ก็ควรกินยานี้วันละ 1-2 เม็ด ต่อไปอีก 3-6 เดือน

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้

- มีไข้ ตาเหลืองตัวเหลือง จุดแดงจ้ำเขียว หรือเท้าบวม

- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต เป็นต้น

- มีอาการผิดปกติ เช่น ไอเรื้อรัง ท้องเดินเรื้อรัง น้ำหนักลด จุกแน่นหรือแสบท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ถ่ายเป็นเลือดสด ใจหวิวใจสั่น เป็นต้น

- มีอาการซีดเหลืองเรื้อรังมาตั้งแต่เล็ก หรือมีประวัติเป็นโรคทาลัสซีเมีย

- กินยาบำรุงโลหิต 7-10 วันแล้วยังไม่ทุเลา

♦ การรักษา

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก แพทย์จะให้ยาบำรุงโลหิต (เช่น เฟอร์รัสฟูมาเรต)ถ้าหากพบว่ามีโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโลหิตจางร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาควบคู่กันไป เช่น ให้ยาถ่ายพยาธิปากขอ ให้ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร ให้ยารักษาโรคริดสีดวงทวาร วัณโรค หรือโรคเอดส์ เป็นต้น

♦ ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ทำงานได้ไม่เต็มที่ ลดความสามารถในการเรียนรู้ (พบว่าเด็กที่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก จะเรียนได้คะแนนไม่ดี และเมื่อให้ยาบำรุงโลหิตเสริม คะแนนการเรียนดีขึ้น)นอกจากนี้อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ เฉื่อยชา ภูมิต้านทานโรคต่ำ (ติดเชื้อง่าย) ถ้าเกิดการเจ็บป่วยหรือมีบาดแผล ก็มักจะฟื้นหายได้ช้าในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิม ถ้ามีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจทำให้โรคหัวใจกำเริบ หรือภาวะหัวใจวายได้

♦ การดำเนินโรค

ผู้ที่เป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก มักมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย และเมื่อเบื่ออาหาร ก็ยิ่งขาดธาตุเหล็ก ก็ยิ่งโลหิตจางมากขึ้น เป็นวงจรไม่รู้จบแต่ถ้าได้ยาบำรุงโลหิตรักษาภายใน 7-10 วัน ก็มักจะดีขึ้น คือมีเรี่ยวแรงมากขึ้น และหน้าตามีเลือดฝาดดีขึ้นอย่างทันตาเห็น อย่างไรก็ตาม ก็ควรกินยาบำรุงโลหิตต่อไปอีก 3-6 เดือน หากหยุดยาเร็วเกินไป ก็อาจเกิดภาวะขาดธาตุเหล็กซ้ำอีกได้

♦ การป้องกัน

โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหาร ที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู ไตหมู นม ไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ทารกและวัยรุ่น ควรบำรุงอาหารเหล่านี้ให้มากๆ สำหรับผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติหรือชีวจิต หรือผู้สูงอายุที่กินเนื้อและนมได้น้อย ควรตรวจเช็กเลือดดูว่ามีภาวะโลหิตจางหรือไม่ ถ้าพบควรกินยาบำรุงโลหิตเสริมเป็นประจำสำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-45 ปี) ที่มีภาวะซีดเนื่องจากการเสียธาตุเหล็กออกไปทางเลือดประจำเดือน ควรให้กินยาบำรุงโลหิตวันละ 2-3 เม็ดในช่วงมีประจำเดือน นานประมาณ 1 สัปดาห์ เป็นประจำทุกเดือน

♦ ความชุก

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก วัยรุ่น หญิงวัยเจริญพันธุ์ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ พบมากในชาวชนบท คนยากจน ขาดอาหาร รวมทั้งผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ ชีวจิต หรือแม็กโครไบโอติก ที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ

สารพันเคล็ดความงามแบบไทย

สมุนไพรหรือผักผลไม้ที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านเราล้วนมีสรรพคุณในทางยา ซึ่งไม่เพียงแต่การกินจะช่วยให้สุขภาพร่างกายดีแล้ว คุณยังสามารถนำมาใช้กับร่างกายภายนอกได้ด้วย และนี่คือสารพันสูตรความงามแบบไทยๆ ที่เรารวบรวมมาให้คุณ

ว่านหางจระเข้ คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมายในเรื่องของความงาม ว่านหางจระเข้ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง ขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำ เราสามารถใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิวได้โดยตรง โดยใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน แต่ก่อนใช้ควรทดสอบก่อนว่าจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำจากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ ทาบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าไม่เกิดเป็นผื่นแดง ก็สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว เพื่อให้สิวแห้งเร็ว และว่านหางจระเข้ยังช่วยลดความมันของผิวหน้าได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงอีกด้วย

แตงกวา มีเอนไซม์ Cryssin ซึ่งทำให้ผิวหนังที่หยาบกร้านหลุดออกไป และช่วยเผยผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มโดยคุณสามารถใช้แตงกวาสดฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้ววางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดได้โดยตรง เพื่อช่วยสมานผิว

มะขามเปียก มีฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ จึงช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ลองใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี แล้วพอกบริเวณผิวหนังโดยเฉพาะผิวที่หยาบกร้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก หรือบริเวณที่ผิวกร้านดำ เช่น รักแร้ ขาหนีบ จะทำให้รอยดำลดลงได้

กล้วยน้ำว้า ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ลองใช้กล้วยน้ำว้า 1 ลูก ผลผสมกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันให้เป็นครีมข้น แล้วใช้ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

ทุเรียน ช่วยลดปัญหาสิว ลองใช้เนื้อทุเรียนแบบที่สุกพอห่าม หันเป็นชิ้นเล็กๆ 3-5 ช้อนโต๊ะ แล้วปั่นรวมกับดินสอพอง ½ ช้อนโต๊ะ แล้วใช้ทาทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด กำมะถันในทุเรียนจะช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้น

มะม่วงสุก แก้ปัญหาฝ้าและสิว วิธีการก็คือ ใช้เนื้อมะม่วงสุก 1 ผล ผสมกับน้ำมะนาว ½ ช้อนโต๊ะ และดินสอพอง ¼ ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันจนเป็นส่วนผสมข้นๆ ใช้ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ขมิ้นสด มีสาร Curmin และมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด ช่วยบำรุงผิวหน้าให้สดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว ลองใช้ขมิ้นสดเล็กน้อยมาปั่นรวมกับดินสอพองและน้ำมะนาวหนึ่งผล จนเป็นส่วนผสมข้นๆ มาให้ทั่วในหน้าที่สะอาด ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ใบบัวบก ช่วยลดเลือนรอยย่นบนใบหน้า วิธีการก็คือใช้ใบบัวบกสดๆ หั่นฝอยประมาณ ½ ถ้วยตวงเติมน้ำต้มสุกนิดหน่อย แล้วนำไปปั่นให้เป็นน้ำข้นๆ กรองเอาแต่น้ำ แล้วใช้สำลีชุบทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย เพราะใบบัวบกมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้ทำงานได้ดีขึ้น

นาฬิกาชีวิต

คุณเคยทราบไหมว่า ร่างกายของคุณทำงานตามช่วงเวลา

อยากให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อปรับปรุงเวลาในการใช้ชีวิตให้อายุยืนยาว และมีสุขภาพตามวัย...

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้นภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต

อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต"

01.00 น. - 03.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ตับ"

ข้อควรปฏิบัติ : นอนหลับพักผ่อนให้สนิท ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรคทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว

อาหารบำรุง : อาหารที่ช่วยล้างพิษ เช่น งา น้ำผลไม้และน้ำสะอาด

03.00 น. - 05.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ปอด"

ข้อควรปฏิบัติ : ตื่นนอน สูดอากาศสดชื่น ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศรับแดดตอนเช้า ผู้ที่ตื่นช่วงนี้ประจำ ปอดจะดี ผิวดี และเป็นคนมีอำนาจในตัว???

อาหารบำรุง : อาหารจำพวกเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอสูง เช่น ส้ม ผักใบเขียว น้ำผึ้ง หอมใหญ่

05.00 น. - 07.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ลำไส้ใหญ่"

ข้อควรปฏิบัติ : ขับถ่ายอุจจาระ ควรถ่ายให้เป็นนิสัย คนเรามักไม่ตื่นกันตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง เมื่อไม่ตื่นจึงบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้าลำไส้ใหญ่จึงรวน แล้วจะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อน แล้วจะนอนกรนในที่สุด

อาหารบำรุง : อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช

07.00 น. - 09.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"กระเพาะอาหาร"

ข้อควรปฏิบัติ : กินอาหารเช้า กินเข้าเช้าตอนนี้จะดี กระเพาะแข็งแรง ถ้ากระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็นถ้าถ่ายออกหมดจะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่

อาหารบำรุง : ควรมีพลังงานและสารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 ของปริมาณที่ควรได้รับตลอดวัน

09.00 น. - 11.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ม้าม"

ข้อควรปฏิบัติ : พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ อาหารแและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย คนที่หลับช่วง 9.00-11.00 ม้ามจะอ่อนแอ ม้ามยังโยงไปถึงริมฝีปากคนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น ควรพูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ ม้ามจะแข็งแรง

อาหารบำรุง : มันเทศสีแดง หรือเหลือง อาหารที่ทำจากบุก

11.00 น. - 13.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"หัวใจ"

ข้อควรปฏิบัติ : หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง หัวใจจะทำงานหนักช่วงนี้ ให้หลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดหนัก หาทางระงับอารมณ์ไว้

อาหารบำรุง : อาหารที่มีสีแดงตามธรรมชาติ เช่น ถั่วแดงและผลไม้สีแดง น้ำมันปลา วิตามินบีต่างๆ

13.00 น. - 15.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ลำไส้เล็ก"

ข้อควรปฏิบัติ : งดกินอาหารทุกประเภท ควรงดกินอาหารทุกประเภท** เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง

อาหารบำรุง : อาหารไขมันต่ำ น้ำสะอาด

15.00 น. - 17.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"กระเพาะปัสสาวะ"

ข้อควรปฏิบัติ : ทำให้เหงื่อออก (ออกกำลังกาย หรือ อบตัว) จะออกกำลังการหรืออบตัวกระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อยจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดทำให้เหงื่อเหม็น

อาหารบำรุง : ผลไม้เช่น บิลเบอร์รี่ และทานน้ำสะอาดมากๆ

17.00 น. - 19.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ไต"

ข้อควรปฏิบัติ : ทำตัวให้สดชื่น ไม่ง่วงหงาวหาวนอนตอนนี้ ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม ยิ่งหลับแล้วเพ้อ อาการยิ่งหนัก

อาหารบำรุง : อาหารที่มีเกลือต่ำ รวมถึงสมุนไพรจีน เช่น ถั่งเฉ้า

19.00 น. - 21.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"เยื่อหุ้มหัวใจ"

ข้อควรปฏิบัติ : ทำสมาธิ หรือสวดมนต์ ให้ระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ หัวเราะ

อาหารบำรุง : อาหารจำพวกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ รวมถึงวิตามินบีต่างๆ

21.00 น. - 23.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ระบบความร้อนของร่างกาย"

ข้อควรปฏิบัติ : ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นเวลานี้จะเจ็บป่วยได้ง่าย ช่วงนี้อย่าตากลมเพราะลมมีพิษ

อาหารบำรุง : อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง โสม

23.00 น. - 01.00 น. เป็นช่วงเวลาการทำงานของ"ถุงน้ำดี"

ข้อควรปฏิบัติ : ดื่มน้ำก่อนเข้านอน ถุงน้ำดี เป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดขาดน้ำ จะดึงมาจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมจะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวมปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอดจะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.

อาหารบำรุง : อาหารที่มีไขมันต่ำ และไม่ทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ

สรุป

1.00-3.00 น. นอนซะ
3.00-5.00 น. ตื่นมาสูดอากาศ
5.00-7.00 น. ขับถ่าย
7.00-9.00 น. กินข้าวเช้า
9.00-11.00 น. อย่าพูดมาก กินน้อยๆ อย่านอน
11.00-13.00 น. หลีกเลี่ยงความเครียด
13.00-15.00 น. ห้ามกิน
15.00-17.00 น. ออกกำลังหรืออบตัวให้เหงื่อออก
17.00-19.00 น. ทำให้สดชื่น อย่าง่วง
19.00-21.00 น. ทำสมาธิ
21.00-23.00 น. ทำตัวให้อุ่นๆ ไว้
23.00-1.00 น. กินน้ำก่อนนอน

การวิเคราะห์ วิจารณ์ ภาพถ่าย .......... โดย อ.ศรศักดิ์

สังเกตเห็นบ่อยๆว่าเมื่อมีผู้ส่งภาพขึ้นมาขอความเห็นและขอคำวิจารณ์ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีแต่คำชม...ภาพสวย มุมมองแปลก ขอเอาใจช่วย ฯลฯ แต่ไม่มีคำแนะนำหรือความคิดเห็นอื่นใด ที่จะให้ผู้ถามได้นำไปใช้ในการปรับปรุงการถ่ายภาพให้ดีขึ้น เข้าใจดีว่าเป็นการให้กำลังใจ ไม่อยากทำลายน้ำใจ และก็เข้าใจดีอีกเช่นกันว่า หลายคนที่โหลดภาพขึ้นมาก็เพราะอยากโชว์ภาพ และอยากได้คำชมเช่นนี้ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการความคิดเห็นและคำวิจารณ์ที่เหมาะที่ควร และบางคนก็อาจจะเซ็งกับคำชม ก็เลยไปหาคำวิจารณ์จากที่อื่น

ผมเข้าใจว่าหลายคนคงยังไม่รู้ถึงวิธีการดูภาพว่ามันจะต้องดูกันอย่างไร จึงจะเรียกว่าภาพดี ยังไม่ดีพอ หรือว่าไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ก็เลยอยากจะแนะนำให้ศึกษาบทความที่นำมาให้อ่านนี้ให้ดี มันไม่ยากอะไรนัก แต่ผู้วิจารณ์ควรจะมองภาพให้ถี่ถ้วน ไม่มองว่าเป็นภาพของใคร หรือตัวแบบ วิว หรือว่าดอกไม้สวยเพียงไร ขอให้มองให้ครบ 3 ประการ คือ

1. คุณภาพทางด้านเทคนิค
2. องค์ประกอบ และ
3. ความรู้สึกที่ได้จากภาพ

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้คัดมาสั้นๆจากวิชาที่ได้เคยเรียนมา คือ Photo Appreciation จุดประสงค์ในการเรียนวิชานี้ก็คือ มันจะช่วยทำให้เราสามารถดูภาพได้อย่างเข้าใจ อ่านความหมายของภาพ ดูให้กระจ่างถึงภาพรวมทั้งหมด และสามารถที่จะวิจารณ์ภาพได้

การวิจารณ์ภาพถ่ายควรจะเป็นการมุ่งเน้นในการที่จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางทฤษฏี ทางด้านมุมมอง ทางด้านศิลปะ หรือทางด้านเทคนิคในการถ่ายภาพให้ดีขึ้นและมีหลักการมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ควรจะช่วยเหลือแนะนำให้ปรับปรุงแนวของการมองภาพ ให้เป็นตัวของตัวเองในการทำงานอีกด้วยผู้วิจารณ์ควรจะแนะนำให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือศึกษาการถ่ายภาพให้มากขึ้นด้วยการดูงานของผู้อื่น แต่ต้องไม่เปลี่ยนมุมมองของเขาหรือพยามยามที่จะให้เขาเลียนแบบงานของผู้อื่น หรือของผู้วิจารณ์เอง เพราะการเลียนแบบ หรือการลอกงานเป็นศัตรูตัวฉกาจของความสร้างสรรค์

ผู้วิจารณ์ภาพจำเป็นที่จะต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการถ่ายภาพของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือให้แน่ชัดเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร...จะต้องเข้าใจว่าภาพที่กำลังจะวิจารณ์นี้ เป็นภาพที่จะนำไปใช้ในสถานการณ์เช่นใด เช่น เป็นภาพที่จะนำไปใช้สำหรับการศึกษาอะไรหรือเปล่า หรือว่าใช้ในการประกอบบทความ, ใช้เป็นการรายงาน, เป็นภาพใช้ดูกับเพื่อนและครอบครัว, เป็นงานศิลปะ หรือว่าจะส่งเข้าประกวด หากผู้ขอคำแนะนำมิได้บอกจุดประสงค์มา ก็ควรที่จะถามถึงจุดประสงค์ให้ชัดเจน จึงจะสามารถที่จะโฟกัสการมองให้แคบลงและวิจารณ์, วินิจฉัยภาพให้ได้ตรงเป้าหมาย

การวิจารณ์ภาพโดยทั่วไปจะอาศัยหลักดังต่อไปนี้...เนื่องจากเป็นการดูภาพผ่านจอคอมพิวเตอร์ จึงขอปรับบางส่วนนิดหน่อยเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์

I. Technical quality คุณภาพทางด้านเทคนิค...เป็นที่เข้าใจกันดีว่าภาพที่ดีจะต้องเริ่มต้นด้วยความคุณภาพทางด้านเทคนิคก่อน เช่น

1. Focus การโฟกัสชัดหรือไม่ หากไม่ชัด เป็นเพราะว่าความจงใจที่จะให้ภาพมีความนุ่ม และประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือว่าไม่ชัดเพราะความผิดพลาด

2. Cleanliness ภาพสะอาดหรือไม่ มีรอยขีดข่วน มีจุดขาวของฝุ่นเกาะและไม่ได้รับการแต่ง หรือแต่งแล้วแต่ไม่เนียนพอ หรือว่ามีรอยด่าง มีแฟลร์ให้เห็น เป็นต้น

3. Exposure ภาพมืดไป สว่างไป หรือว่ากำลังดี

4. Lighting แสงในภาพความเปรียบต่างสูงไป น้อยไป หรือว่ากำลังดี

5. Colour ภาพมีโทนสีที่ถูกต้อง หรือว่ามีสีที่เพี้ยน

II. Composition องค์ประกอบ...จากมุมมองของกล้องและระยะความยาวของเลนส์ ภาพจะออกมาอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ

1. Balance ภาพวางได้สมดุลดีหรือว่าเอียง

2. Logic การใช้องค์ประกอบได้ผลหรือไม่

3. Purpose มีจุดสนใจที่ชัดเจนหรือว่ามีอะไรน่าสนใจหรือไม่

4. Clarity ดูเรียบง่าย แต่สมบูรณ์ปราศจากสิ่งรบกวน หรือว่ายุ่งเหยิง

III. Emotional Appeal ความดึงดูดสายตาและอารมณ์ ...สิ่งที่สำคัญสำหรับภาพที่ดีก็คือจะต้องเป็นภาพที่ดูแล้วสมควรแก่การจดจำ

1. Dynamic ภาพดึงดูดสายตามากน้อยเพียงไร มันมีจุดที่เรียกว่า “ใช่เลย” รึเปล่า

2. Provocative ภาพทำให้ดูแล้วตื่นเต้นหรือทำตื่นตาตื่นใจหรือไม่

3. Creative ในภาพแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่คุ้นเคยในมุมมองที่แปลกและใหม่หรือไม่

4. Unusual ในภาพแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่แปลกในด้านที่ต้องตาอะไรบ้างไหม

ด้วยหลัก basic ง่ายๆเช่นนี้ มันก็จะทำให้เราเปลี่ยนวิธีการมองภาพไปได้มากทีเดียว หากยังไม่แน่ใจว่าจะ work เพียงไร ลองนำภาพของเราเองออกมาวางเรียงดูแล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วน วิเคราะห์ และวิจารณ์ ดูก่อนที่จะวิจารณ์ภาพของคนอื่น ก็จะช่วยได้มากเช่นกัน

วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด และเลือกใช้อย่างถูกต้อง

ใครที่ต้องตากแดดเป็นประจำ ควรซื้อครีมกันแดดมาทาไว้บ้าง วันนี้มีวิธีเลือกซื้อครีมกันแดดมาฝาก...

ในแสงแดดมีรังสีอยู่หลายชนิด ที่รู้จักกันดี ก็คือ อุลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งรังสีนี้จะถูกดูดซับโดยชั้นโอโซน มีแค่ UVA และ UVB ที่ลงมาถึงพื้นโลก ซึ่งรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้มีผลต่อผิวหนังโดยเฉพาะ UVA มีผลทำให้เกิด กระ ฝ้า เหี่ยว แก่ก่อนวัย UVB มีผลทำให้เกิดการ แดง แสบ ไหม้ ของผิวหนัง และรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายโปรตีนพันธุกรรมทำให้เกิดเนื้องอกผิวหนัง

วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด

1. ดูที่กิจกรรม ถ้าออกกำลังกลางแจ้ง มีเหงื่อ ว่ายน้ำ ทำงานกลางแดด ต้องใช้ SPF ที่สูงขึ้นและเลือกประเภทที่กันน้ำได้

2. ปริมาณ ควรใช้ปริมาณที่ไม่น้อยเกินไป เพราะสารเคมีอาจทำปฏิกิริยากันทำให้ลดคุณภาพลงไป

3. จำนวนครั้งที่ทาต่อวัน ก็สำคัญ ถ้าอยู่ในออฟฟิศ ห้องแอร์ วันละครั้งก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องทำงานกลางแดด โดนลม อาจจะทาเติม ถ้าว่ายน้ำต้องทาทุก 2-3 ชั่วโมง

4. ทาแล้วก็ต้องเลี่ยงแดดด้วย ใส่แว่นตา ใส่หมวก เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้กันได้ 100 %

5. ยี่ห้อ ราคา ไม่สำคัญ ขอให้มีคุณสมบัติครบ ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง เช่น คัน ผื่น

6. อาหาร อย่าลืมทานอาหารที่มีความสามารถ กำจัดอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน เกลือแร่ ในผักทุกชนิด และผลไม้ด้วยรู้อย่างนี้แล้ว ควรเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมกับกิจกรรมชีวิตประจำวัน เพราะจะได้ปกป้องผิวสวยจากแสงแดดด้วยนะคะ

คุณใช้ครีมกันแดดมากไปและถูกวิธีหรือเปล่า ?

สำหรับการป้องกันแสงแดดควรทาครีมประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนเจอแดด และต้องแน่ใจว่าครีมที่คุณทานั้นยังไม่หมดอายุ ครีมกันแดดที่ดีควรมีอายุไม่เกิน 2 ปี เป็นอย่างมากครีมกันแดดชนิดป้องกันน้ำได้ สามารถปกป้องผิวคุณได้นานถึง 80 นาที และควรทาซ้ำทุก ๆ สองชั่วโมง ขณะเล่นน้ำ และอีกครั้งหลังการว่ายน้ำ แต่ครีมกันแดดแบบธรรมดาไม่ป้องกันน้ำสามารถปกป้องผิวคุณได้ 40 นาที จึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะกับกิจกรรมแต่ละอย่าง

การเลือกใช้ครีมกันแดดควรดูรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ว่ามีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง อาทิเช่น

* สามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ ยูวีบี ได้รับค่า SPF ตามมาตรฐานยุโรป

* Paba free : ปราศจากสารพีเอ บีเอ สารกันแดดที่เป็นอันตรายต่อผิว

* Fragrance free & Oil free : ไม่มีส่วนผสมน้ำหอมและน้ำมัน จึงไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ระคายเคือง หรืออุดตันผิว

* Water Proof : กันน้ำและเหงื่อ ขณะเล่นกีฬาหรือว่ายน้ำ

* Hypo allergenic : ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ปลอดภัยต่อผิว

เมื่อ...ความรู้สึกรับรส ผิดปกติ

เมื่อ...ความรู้สึกรับรส ผิดปกติ (อ.ส.ม.ท.)

ผู้ป่วยบางรายมาหาหมอจีน บอกว่า รู้สึกขมคอ กินอะไรก็ไม่มีรสชาติ เป็นคนหงุดหงิดง่าย นอนหลับไม่สนิท มักฝันร้ายเสมอๆ อุจจาระไม่มาก ถ่ายไม่หมด อุจจาระไม่เป็นก้อน มีลักษณะเหนียว

ผู้ป่วยอีกรายหนึ่งมาหาหมอจีน ด้วยอาการ ความรู้สึกจืดชืดในรสชาติของอาหาร เบื่ออาหาร กินอะไรเข้าไปก็รู้สึกท้องอืด ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน กินยาลดน้ำตาล กลัวความเย็น อ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรง

ยังมีผู้ป่วยบางราย บอกกับหมอว่า ในปากรู้สึกว่ามีรสในคอหวานๆ ตลอดเวลา บางคนบอกว่ามีรสเค็ม บางคนบอกว่ามีรสเปรี้ยว บางคนมีรสฝาด

ความรู้สึกเกี่ยวกับการรับรสชาติผิดปกติ ไม่ได้มีความหมายเฉพาะ ที่เกี่ยวข้องกับต่อมรับรสบนลิ้นผิดปกติเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนความผิดปกติของร่างกายโดยเฉพาะการทำงานของระบบย่อยและดูดซึม อาหารหรือระบบม้ามและกระเพาะอาหาร แต่ยังอาจรวมถึงอวัยวะภายใน (จั้งฝู่) อื่นๆ อีกด้วยความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกรับรสกับอวัยวะภายใน

ความ รู้สึกรับรสผิดปกติ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของระบบม้ามและกระเพาะอาหาร แต่ยังเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในอื่นๆ อีกด้วย ในทางคลินิกที่พบเห็นบ่อยๆ คือ

1. ปากจืดชืดไม่มีรสชาติ ความรู้สึกรับรสอาหารลดลง บ่งบอกว่าอวัยวะม้ามและกระเพาะอาหารพร่องและอ่อนแอ หรือมีความเย็นความชื้นตกค้าง อุดกั้นส่วนกลาง (บริเวณกระเพาะอาหาร)

2. ปากรู้สึกหวาน ในปากในคอหรือน้ำลาย รู้สึกมีรสหวาน บ่งบอกกระเพาะอาหารและม้าม มีความร้อนชื้น หรืออ่อนแอพร่อง หรือพลังและยิ้นพร่อง

3. ปากรู้สึกเหนียว หรือรู้สึกว่าน้ำลายหรือในคอเหนียวหนืด บ่งว่า มีเสมหะร้อน หรือความร้อนชื้น หรือความเย็นชื้นตกค้างในระบบม้ามและกระเพาะอาหาร

4. ปากรู้สึกเปรี้ยว บางครั้งมีเรอเปรี้ยว หรือกลิ่นบูดเน่าของอาหาร บ่งบอกภาวะอาหารไม่ย่อย มักเกี่ยวข้องกับอาหารไม่ย่อย มีการตกค้างในกระเพาะอาหาร พลังตับอุดกั้นทำให้ระบบย่อยทำงานไม่ดี (เครียดลงกระเพาะ) พลังตับอุดกั้นจนกลายเป็นไฟ หรือการทำงานของตับกับกระเพาะอาหารไม่กลมกลืน

5. ปากรู้สึกขม เกี่ยวข้องกับไฟหัวใจ ลอยขึ้นส่วนบนหรือไฟร้อนของตับและถุงน้ำดี

6. ปากรู้สึกฝาด มักร่วมกับอาการแห้งของลิ้นและปาก บ่งบอกว่า มีความร้อนแห้ง ทำให้สารน้ำในร่างกายถูกทำลาย หรืออวัยวะภายในร้อน ทำให้เกิดไฟย้อนขึ้นบน เกิดความร้อนแห้ง

7. ปากรู้สึกเค็ม เกี่ยวข้องกับไต เช่นภาวะไตยินพร่อง, ไตหยางพร่อง, และภาวะบวมน้ำจากความร้อน หยางของไตน้อย

ความรู้สึกรับรสยังเกี่ยวข้องกับอายุ, อารมณ์, อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม เช่น

- ความรู้สึกรับรสของเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มากกว่าคนสูงอายุ

- ความรู้สึกรับรสตอนกลางคืน จะมากกว่ากลางวัน

- ความรู้สึกของคนรับรสขณะที่มีอารมณ์โมโห, กลัว, เศร้าโศก หรือขณะอ่อนเพลียมาก จะลดลงกว่าภาวะปกติ

- คนที่ดื่มเหล้า, หิวจัดเกินไป, นอนไม่พอ, ก็มีผลกระทบต่อความรู้สึกรับรส

ความรู้สึกรับรสกับสุขภาพองค์รวม

เมื่อพบว่ามีความรู้สึกรับรสผิดปกติ ที่ไม่ใช่ชั่วคราว (จากอาหารหรือยาที่กิน) ควรพิจารณาร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น การนอนหลับ, อารมณ์, การถ่ายอุจจาระ, สีหน้า, โรคพื้นฐานที่เป็นอยู่, และภาวะอื่นๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาวิเคราะห์ ภาวะความเสียสมดุลของร่างกาย ยินหยาง เลือดพลัง และภาวะ การตกค้างของของเสีย รวมถึงปัญหาของอวัยวะภายในจั้งฝู่ การรักษาโรคและปรับภาวะสมดุลภายใน ให้เข้าที่เข้าทาง ก็จะทำให้สามารถปรับภาวะความรู้สึกรับรสที่ผิดปกติให้หายได้

72 ร้านข้าวมันไก่อร่อย

1.หัวโค้งพระนครเหนือ
2.มงคลชัย (หน้าศรีธัญญา)
3.เด่นโภชนา ซ.สุขุมวิท 62
4.ข้าวมันไก่เจ้อ้วน
5.สามสาวใจเพชร ซ.วัดดาวดึงษ์ สะพานพระราม 8
6.ข้าวมันไก่สี่จ่า หน้าดับเพลิงห้วยขวาง
7.ข้าวมันไก่ลุงดำ ตรงข้ามเสรีเซ็นเตอร์
8.ข้าวมันปูสาย 4
9.เฮียเล้ง กม.8 คู้บอน

10.ข้าวมันไก่ประตูน้ำ (ข้าวมันไก่ง้อไบ้ เด็กเสริฟเป็นผู้หญิงทั้งร้านใส่เสื้อสีชมพู)
11.ข้าวมันไก่โคลิเซี่ยม วัดเสมียนนารี
12.ข้าวมันไก่ศรีโสธร หน้าโรงเรียนอุดมสุข
13.รัชดา ซ.3
14.ข้าวมันไก่มงคลวัฒนา
15.ข้าวมันไก่ซ.วัดดอกไม้ ถ.สาธุฯ
16.ข้าวมันไก่ป้าพร(ไก่เอี้ยด แยกวังหิน)
17.ร้านโรจน์ เยื้องๆวัดแจ้งนอก
18.ร้านเต๊กฮะ แถวๆวัดแจ้งนอก
19.ร้านในซ.ไฟว์สตาร์

20.ร้านข้างๆตึกคอม(ศรีราชา จ.ชลบุรี)
21.ข้าวมันไก่ตอนแคราย
22.มนข้าวมันไก่ มหาชัย
23.ข้าวมันไก่เฮียตือปากซอยวัดบางพรานนก
24.ร้านซ. 13 ถ.สาธุ ใกล้ๆวัดจีน
25.ข้าวมันไก่เจ้อัง ปากซอยวัชรพล
26.ร้านปากซอยจรญฯ85
27.ข้าวมันไก่นายอาจ (หน้าตลาดอินทรารักษ์)
28.ร้านมาจากถ.รามอินทรา เข้าถ.สวนสยาม
29.ข้าวมันไก่ปากซอยบางกรวย กฝผ.

30.ภัตราคาร กวนอา พระราม3
31.ข้าวมันไก่แถวดอนเมือง ตรงข้ามฐานทัพอากาศ ใกล้ๆสินมั่นคงประกันภัย
32.ร้านตรงข้ามโลตัสราชบุรี
33.ข้าวมันไก่ตลาดพลู ฝั่งธนฯ
34.ข้าวมันไก่แยกท่าพระ
35.ข้าวมันไก่สิงคโปร์ บุญตงเกียรติ หน้า เจ อเวนิว
36.ร้านตรงถ.เพชรบุรีฝั่ง RCA หน้าแมนชั่นอะไรซักอย่าง
37.ร้านรักกาแฟ จ.นครราชสีมา
38.ร้านถ.ตก ใกล้ๆพระนครใต้ ติดกองดับเพลิง
39.ร้านในศูนย์การค้ารัตนา ตรงหัวมุม

40.ข้าวมันไก่สำโรง ตรงข้ามอิมพีเรียล
41.ร้านปากซอยลาดพร้าว 63
42.ข้าวมันไก่ ป้าบุญโฮม ม.รังสิต
43.ข้าวมันไก่ (ในตัวเมืองจ.นครปฐม อร่อยทุกร้าน) พี่อุ๋ยแนะนำ ร้านตุ้มทองครับ อยู่ในบริเวณรั้วองค์พระปฐมเจดีย์
44.ข้าวมันไก่ไหหลำ หน้าราชวินิตบางแก้ว
45.ร้านปากซอยวัดดงมูลเหล็ก
46.ข้าวมันไก่ไหหลำ สาย 1
47.ข้าวมันไก่ ตลาดศาลาน้ำเย็น
48.โอชินข้าวมันไก่ ถ.บรมราชชนนี
49.ร้านถ.เพชรเกษม เข้าคลองขวางประมาณ 100 เมตร

50.ข้าวมันไก่นายฮั้ว ถ.กิ่งแก้ว
51.ร้าน 888 ถ.พัฒนาการ
52.ข้าวมันไก่ไหหลำ ใกล้ๆศาลเจ้าพ่อเสือ
53.ลั่นฟ้า ข้าวมันไก่ ถ.มหรรณพ ใกล้ๆเสาชิงช้า
54.ข้าวมันไก่บางบอน ตรงข้ามคาร์ฟู
55.ข้าวมันไก่ ซุยเซ้ง ถ.เจริญกรุง
56.ข้าวมันไก่เจริญนคร (คลองต้นไทร)
57.ร้านตะแคงชาม (เชียงใหม่)
58.ร้านในตลาดสุทธิสาร (ตรงข้ามซ.อินทามระ 26)
59.ร้านตรงข้าม ซ.ศูนย์วิจัย

60.ร้านแถวๆสะพานเหลือง
61.จุ๋มจิ๋มข้าวมันไก่ ตลาดสี่มุมเมือง
62.ข้าวมันไก่ไหหลำ ซ.อุดมสุข
63.ข้าวมันไก่นายโฮ ถ.เลีบยคลองบางน้ำจืด จ.สมุทรสาคร
64.ร้านเยื้องๆวัดยานนาวา
65.ร้านซุ่ยเฮง ตรงข้ามวัดสุทธิ
66.ข้าวมันไก่ถ.สวนผัก ตลิ่งชัน
67.ข้าวมันไก่เจ้หงษ์ สาย 4 (ตรงข้ามเวทีมวยอ้อมน้อย)
68.ข้าวมันไก่ยิ้มแย้ม ตลาดปัฐวิกรณ์
69.ร้านซ.รามคำแหง 39
70.ร้านซ.สุขุมวิท 38
71.ร้านข้างๆไดโน่สนุกเกอร์ สุขุมวิท 71
72.ร้านข้าวมันไก่ซอยแปลงนาม แถวเยาวราช

7 มี.ค. 2552

เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้ของ วงการนางฟ้า

มาอีกแล้วตามคำเรียกร้อง (หรือเปล่า...) ครั้งนี้นำข้อมูลมาจากไหนห้ามถามเพราะใกล้ตัวมากกก แต่ขอยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาเอาเรื่องในบ้านมาขายน่ะ ...อิอิ เรื่องของ "วงการนางฟ้า" ที่คุณอาจยังไม่รู้

- สายการบินที่ลูกเรือไทยอยากทำงานมากที่สุดคือ การบินไทย ต่อให้ไปอยู่ไหนมา พอทีจีเปิด กูก็แห่กันมาค่ะ

- แอร์สายการบินอื่นไม่รู้ แต่แอร์ TG นั่งรถบัสสวยๆไปส่งถึงเครื่องค่ะ ( คนอื่นเค้าเดินไป...สม)

- Board ผู้โดยสารที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดคือผู้โดยสารจีนและ Route อะไรก็ตามที่ไปลงจีน รองลงมาเป็น Route แขก

- ไปลงกาฎมันฑุทีไร กูภาวนาให้ถึงที่หมายไวๆทุกที เสียวตูดดดดดดดดดด (รันเวย์เป็นหน้าผาค่ะ แบบในหนังผจญภัยเลยค่ะ)

- ไฟล์ทภายในประเทศช่วยนั่งเฉยๆได้ไหมคะ เพราะเครื่องขึ้นเสร็จมันก็ลงเลย เสริฟได้แค่นั้น อย่าขอ อย่าเติมได้ไหม หนูเซิ้งไม่ทัน !!!!

- ยกของเก็บให้ผู้โดยสาร ไม่ใช่หน้าที่ดิฉันนะคะ อย่าเรียกใช้ แต่ที่ทำให้เพราะเห็นใจเรื่องมนุษยธรรมค่ะ !!!!

- เรื่องแอร์เป็นชู้กับกัปตัน อิอิ มีจริงค่ะ

- การบินไทยเคยเสริฟกล้วยทอดให้กับเจ้าหญิงราชวงศ์นึงน่ะ

- สายการบินต่างประเทศที่บรรดา thai crew wanna be อยากเข้าไปทำงานที่สุดคือ Emirates

- รองจากข้างบนคือ กะทะแอร์เวย์ หรือกาต้านั่นเอง

- รองลงจากกาต้าอันนี้เดาว่าเอธิหัดค่ะ

- สายการบินต่างชาติที่ลูกเรือไทยเข้าไปยึดสมรภูมิได้แก่ เอมิเรต กาต้า เจทสตาร์ ถ้าได้อีที่ว่ามานี่รับรองว่าปากไม่เหงาแน่ มีคนเม้าท์ด้วยจริงๆ

- เวลาลูกเรือทีจีทำดีไม่ค่อยมีคนชม แต่เจอลูกเรือเหี้ยๆเข้าไป รับรองว่าเธอได้ถูกกล่าวในพันทิพแน่ๆค่ะ

*- * ดิฉันไม่เคยเอาส้นตีนชงกาแฟค่ะ

- ผู้โดยสารน่ารักก็เคยเจอ แบบว่าไฟล์ทยาวๆ เห็นเราเหนื่อยก็พูดให้กำลังใจ

- Stand by แปลว่าไม่ต้องไปบิน แต่ให้เตรียมพร้อมที่จะบินทุกเวลา (หวั งไปเถอะค่ะว่าจะได้อยู่บ้าน แค่ก้าวออกไปซื้อส้มตำหน้าบ้านแม่งก็โทรมาเรียกแล้ว)

- เวลาผู้โดยสารน้อยๆ เราไม่ต้องไปบินนะคะ ส่งให้ไช่น่าแอร์โลดดดดดดดดดด ( รูทเซี่ยงไฮ้ไง)

- สายการบินตะวันออกกลางเงินเดือนเยอะที่สุดในบรรดาวงการสงครามนางฟ้า ไปบินสายการบินแขก ขยันๆ หน่อยเอาไปเลยค่ะ เดือนละแสนสี่

- แอร์บางคนก็ไม่ซักชุดนะคะ เน่ามาก

- แอร์ทีจี ต้องรวบตึง แต่แอร์เอเชีย ทำอะไรไปก็ได้ กูเลยได้เห็นแอร์เอเชียเดินหัวฟูรอบๆ เคบิ้น

- เป็นแอร์ของแอร์เอเชีย ได้เงินเยอะกว่านกแอร์ค่ะ คอนเฟิม!!!!

*- *ผู้โดยสารที่ยุ่งๆและร้ายๆลูกเรือทีจีเรีบกว่า ยุงลายค่ะ

- ผู้โดยสารที่บ้าๆบอๆเราจะเรียกว่า บาบาร่า

- คำว่าด่าในการบินไทยจะเรียกว่า ดาเรศ

- อะไรที่เน่าๆไม่ดีของเสีย เราจะเรียกว่า เนาวรัตน์ค่ะ

- คนแก่ๆเราจะเรียกว่า แก๊สค่ะ

- ส่วนใครที่สาวๆเราจะเรียกว่า เยาวเรศค่ะ

- ลูลู่ แปลว่า รู้แล้ว

- คำว่าเม้าท์เราจะเรียกว่าทอดข้าวเม่าค่ะ

- หากปวดขี้ขึ้นมาเราก็จะบอกเพื่อนว่าขอตัวไปคิมเบอรี่ค่ะ เพราะว่าทิชชู่ในห้องน้ำการบินไทยใช้ยี่ห้อง Kimberly Clark

- หากผู้โดยสารขี้แล้วไม่ยอมกดค้างอยู่อย่างนั้นแล้วเราเข้าไปใช้ต่อ เราจะบอกว่า เราเจอเหมืองทองค่ะ

- By hand เวลาพูดกันบนเครื่องจะแปลว่าการเสริฟอาหารโดยไม่เอารถ cart ออกไปแต่ใช่มือหยิบจากในครัวแล้วเอาไปให้ค่ะ แต่คำว่า By hand หลังที่ลงจาก เครื่องแล้วแปลว่าช่วยกันชักว่าวเวลาเอากันค่ะ

- อีแอร์ชอบประกาศ บนเครื่องผิดบ่อยๆบนเครื่องค่ะ จาก "ตัวท่านจะโดนปรับและผลไม้จะถูกยึดและถูกทำลายด้วยสารเคมี" เป็น "ผลไม้จะโดนปรับและ ตัวท่านจะถูกยึดและทำลายด้วยสารเคมี"

- อีแอร์ชอบประกาศ บนเครื่องผิดอีกแล้วค่ะ จาก "กรุณาเก็บกระเป๋าและสัมภาระของท่านให้เข้าที่" กลายเป็น "กรุณเก็บปาเก๋าและสัมภาระของท่านให้เข้าที่"

- นักบินการบินไทยห้ามเป็นตุ๊ดค่ะ

- มีสจ๊วตบางคนแต่งหน้าเข้มกว่าแอร์ค่ะ

- มีแอร์บางคนพก ดิลโด้ไปบินด้วยเพราะเหงาจิมมี่เวลาอยู่เมืองนอกนานๆ

- สจ๊วตชายแท้ส่วนใหญ่มีถุงยางอนามัยติดอยู่ในกระเป๋าลากแทบทุกคน

- เวลาบินไปนอนตาม ตจว ชะนี Local หรือที่เรียกว่า ชะนี ตจว ชอบให้พวกสจ๊วตชายแท้เย๊สฟรี่ค่ะ เพราะ พวกหล่อนจะนึกว่าสจ๊วตเป็นนักบิน ให้นักบินเย็ส ถือว่าเป็นบุญจิ๋มค่ะ

- พีบี แอร์ สายการบินเล็กๆที่ยอมให้สจ๊วตแปลงร่างเป็นแอร์สาวเต็มตัวได้ เป็นความภูมิใจของกะเทยไทยค่ะ

- สายการบินที่กะเทยไทยอยากเข้าไปทำม๊ากกกกกกกกกกกกก อีกที่คือ ควันตาส

- Turn Around แปลว่า บินไปแล้วกลับเลยไม่ค้าง แต่สำหรับพวกอิชั้นเรียกอีกย่างว่า เซิ้งนรกแตก ค่ะ

- เซิ้ง คือ Verb ของการเสริฟอาหารบนเครื่องค่ะ เราแบ่งงานกันทำ ถ้าได้เซิ้ง ดิฉันก็จะเซิ้งแค่ฝั่งซ้าย หรือขวา แต่บางทีเจอแอร์ไฮเปอร์ ขอช่วยเซิ้งค่ะ

- เซิ้งกันสนั่นแบบ Remix ถ้าได้บิน BKK - CNX - BKK - HKT - BKK (กรุงเทพ-เชียงใหม่-กรุงเทพ-ภูเก็ต-กรุงเทพ) เอากูให้ตายยยยยยยยยซิค่ะ

- มาบินกับเราวันสงกรานต์นะคะ ดิฉันจะแจกของที่ระลึกให้

- ตุ๊บ แปลว่า 1 เที่ยวบิน

- เวลากูสั่งให้รัดเข็มขัดก็เชื่อกูบ้าง ผู้โดยสารบางคนให้รัดเข็มขัด แต่ไม่อยากรัด เลยเอาหมอนอิงมาปิดไว้ แล้วเอาหนังสือพิมพ์โป๊ะอีกที ไม่รู้กลัวอะไรนักหนา พอเจอเทอบูแล๊นแล้วเด้งลอยตัวขึ้นมา กูผิดอีกค่ะ โดนสอบอีก อีจั๊ดง่าวววววววว

- Cart คือรถเข็นที่ไว้ใส่ถาดอาหารเครื่องดื่ม หนักมากค่ะ ใครว่าเบาๆ กูต้องให้เพื่อนชะนีมาช่วยดึงตลอด เห็นหนักๆแบบนั้น เวลาเจอเทอบูฯ มันลอยได้ ดุจมีเวทย์มนต์ เชื่อมั้ยคะเพื่อนๆ

*- * ผู้โดยสาร เพี้ยนๆ = ปลาตะเพียน

- ผู้โดยสาร เพื้ยนมาก = ปลาตะเพียนทอง

- ผู้โดยสาร เพี้ยนมากๆ = ปลาตะเพียนพลาตินัม

- ผู้โดยสาร เพี้ยนมากมายไม่บุบสลาย = ปลาตะเพียนพลาตินัมฝังเพชร

*- *มีกัปตัน กิ๊กกะ กัปตัน ไหม ...หุหุ... ขี้เกียจนับ

*- *คุณสมบัติเบื้อต้นของลูกเรือแอร์เอเชียคือ ต้องมีวิญญาณแม่ค้าแฝงอยู่ แม่เชียร์ขายของกันเก่งชิบหาย ขนาดบอกว่าท้องอืด ไม่กินอะไรทั้งสิ้น แม่ยังเชียร์น้ำเปล่าให้เลย

- คนที่สาธิต VDO Demo ที่เป็นหนุ่มหล่อมีแฟนแล้วเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังมีแอบกินและกิ๊กกับรุ่นเด็กอยู่บ่อยๆ

- หนุ่มหล่อที่เล่น Safety Demostration VDO เป็นลูกเรือรุ่น 2002 ค่ะ ส่วนอีชะนีที่เล่นยืนเคียงข้าง เธอเป็นชะนีที่สอบได้ที่ 1 ของรุ่น 2003 ค่ะ ตัวจริงเธอสวยมากค่ะ

- เครื่องบิน A 300-600 หลายๆลำอายุเกิน 20 ค่ะ

- ผู้โดยสารแขกเรื่องมากที่สุดค่ะ ขอแดกเพิ่ม ทุกอย่างขอสองตลอด ส่วนแขกตะวันออกกลางชอบหนุ่มตี๋ๆ ขาวๆ ใสๆ สลิมๆ ค่ะ พวกลูกเรือไทยเวลาไปตะวันออกกลาง (ที่ไม่ใช่ดูไบ) เวลาเดินอยู่ข้างถนน จะมีหนุ่มๆแขกบีบแตรเรียกเป็นระยะๆ

- มีแอร์สาวสวยการบินไทยโดนพวกแขกชาวบ้านที่โอมาน รุมกระทืบในตลาดค่ะ เพราะว่าเธอไปผลักเด็กล้มเนื่องจากว่าพวกนี้มันไม่เคยเห็นคนหมวยๆ มันก็เข้ามาแต๊ะอั๋ง อีเด็กมาจับตูด เธอเลยโกรธผลักเด็กล้ม พวกชาวบ้านเห็นเลยมาลงประชาทัณฑ์อีแอร์ค่ะ

- แอร์ไทยเวลาถอดชุดยูนิฟอร์มออกแล้วใส่ชุดนอกจะสวยมากค่ะ สจ๊วตไทยหลายๆคนเวลาถอดยูนิฟอร์มออกหมดแล้วก็สาวม๊ากค่ะ อีแอร์ทอมบางคนเวลาถอดชุดไทยออกลงมาอยู่ข้างล่างก็แต่งตัวเป็นผู้ชายแมนม๊ากค่ะ

- แชมเปญผสมกับชามะขาม (มีเฉพาะการบินไทย) ผสมออกมาอย่างละครึ่ง ออกมาแล้วรสชาติอร่อยม๊ากค่ะ แชมเปญบนเครื่องทีจีตอนนี้ประมูลมาได้ตกขวดละ สี่พันบาทค่ะ อย่าแดกกันมากนะคะ บริษัทยิ่งขาดๆทุนอยู่ เคย มีผู้โดยบางคนแดกแชมเปญคนเดียวสามขวด คุ้มค่าตั๋วเลยค่ะ

- แปรงสีฟัน บนเครื่องมีค่ะให้ไปขอกับแอร์ในครัว สมัยก่อนเคยวางแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำ โดนขโมยเรียบ เลยต้องให้มาขอกันเองค่ะ โกเต๊กก็มีอยู่ใน ห้องน้ำตามลิ้นชักเผื่อใครอยากเอาออกมาซับหน้า

- เวลาใช้ห้องน้ำแล้วกรุณากด Flush ด้วยนะคะ

- กัปตันบางคนบังคับให้ลูกเรือหรือ IM (Inflight Manager) ที่แก่กว่าไหว้ตัวเอง เพราะว่าเขาเป็นกัปตันทุกคนต้องไหว้

- น้องๆสจ๊วต รุ่นปี 2007 หน้าตาน่ารักน่าแดกเป็นจำนวนมากค่ะ ส่วนอีแอร์ปี 2003 สวยชนะเลิศ

- บนเครื่องมี ไมโล เสริฟ แต่กรุณาขอตอนที่พวกอิชั้นว่างแล้วนะคะ เพราะมันทำยาก กว่าจะหยิบแก้วหาซองไมโลน้ำเดือด นม ฯลฯ รู้ไหมว่าต้องเปิดกี่ตู้เพื่อเอาของ บางคนมาจิกยิกๆๆๆ

- งานอาชีพลูกเรืองานหนักนะคะ ไม่ใช่สบายๆอย่างที่คิด เดี๋ยวนี้ค่าเงินก็ตก ไฟล์ทก็ไม่ค่อยมี แย่เลยค่ะ

เอาไปแค่นี้ก่อนล่ะกัน ก่อนที่ตัวข้าพเจ้ากับแหล่งข่าวจะถูกดักตบ!!!

5 มี.ค. 2552

5 งานสุดฮิต ช่วงปิดเทอม

1. พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด

จากที่เคยเดินไปสั่งซื้อพิซซ่า ซื้อแฮมเบอร์เกอร์ ดื่มไอซ์ที แล้วนั่งเม้าท์กับเพื่อนฝูงเป็นชั่วโมง ปิดเทอมนี้ลองเปลี่ยนไปรับออเดอร์บ้างเป็นไง นอกจากไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว ยังได้เงินค่าจ้างรายวันกลับมาด้วย แถมบางทีให้หม่ำมือกลางวันฟรีอีกต่างหาก เท่าที่ทราบ ไม่ว่าจะเป็น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี เชสเตอร์กริลล์ ฯลฯ ต่างอ้าแขนรับลูกค้าวัยโจ๋ให้มาทำงานพิเศษเป็นพนักงาน Part-time ช่วงปิดเทอมอยู่แล้ว จ็อบนี้จึงดูเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเด็กเซ็นเตอร์พ้อยท์เป็นที่สุด เรียกว่าสมัครงานปุ๊บ ต่อให้ไม่มีพี่เลี้ยง ก็สามารถเริ่มงานได้เลย ว่างั้นเถอะ

2. เด็กเสริฟ

ตำแหน่งเด็กเสริฟ ฟังแล้วไม่เท่ แต่เอาเข้าจริงๆ นี่เป็นจ็อบที่มีคะแนนโหวตสูงสุดตลอดกาลในหมู่นักเรียนนักศึกษาเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นงานที่เข้าง่าย-ออกง่าย ไหนๆ ลูกจ้างตัวจริงก็อยู่ไม่ค่อยทน เจ้าของร้านส่วนใหญ่จึงเทใจให้กับเด็ก Part-time ซะเลย นอกจากจะได้เด็กมาช่วยงานร้านในอัตราค่าจ้างไม่สูงเหมือนลูกจ้างประจำแล้ว ใครรู้ใครเห็นก็อาจจะพลอยชื่นชมว่าร้านนี้ใจดี ให้โอกาสเด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกต่างหาก ที่แน่ๆ ลูกค้ารุ่นพี่ป้าน้าอา มักจะใจอ่อนเวลาเห็นเด็กเสิร์ฟในเครื่องแบบนักเรียนนักศึกษา จากที่ไม่เคยทิปก็อาจจะควักกระเป๋าให้ง่ายๆ หรือที่เคยแจกทิปอยู่แล้วก็อาจจะโปะเพิ่มให้อีก ขอแค่อย่าซุ่มซ่ามไปทำจานแตกหรือเดินชนโต๊ะจนแก้วน้ำกระเด็นใส่หัวลูกค้าเป็นใช้ได้

3. พนักงานห้าง

ชอบเดินห้างนักใช่ไหม ปิดเทอมนี้เลือกเลยจ๊ะว่าอยากไปอยู่ห้างไหน สาขาไหน จะเอ็มโพเรียม พารากอน เซ็นทรัล เดอะมอลล์ หรือโรบินสัน แทบทุกแห่งมีนโยบาย สนับสนุนให้นักเรียนนักศึกษาทำงานพิเศษในช่วงปิดเทอมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะหมุนเวียนไปยังแผนกอะไร เพราะมีตั้งแต่เดินบิล ห่อของขวัญ นั่งเคาร์เตอร์ ฯลฯ จากที่เคยโฉบไปห้างนั้น 3 ชั่วโมง ห้างนี้ 4 ชั่วโมง คราวนี้แหละได้เวลาปักหลักอยู่ห้างเดียวเป็นวันๆ แถมอาจมีเวลาชะแว้บไปช้อปได้แค่ช่วงพัก ถ้าสมัครใจ จ็อบนี้ก็ดูแสนสบายเพราะได้อยู่ในห้างแช่แอร์ทั้งวัน แต่ถ้ากลัวต่อมช็อปปิ้งระเบิด ขอแนะนำให้ถามใจตัวเองดีๆ อีกทีจ๊ะ

4. มือแจกใบปลิว

เดี๋ยวนี้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ นิยมทำการตลาดแบบเข้าถึงตัวลูกค้า เดินไปทางไหนก็มักจะมีคนยื่นแผ่นกระดาษใส่มือให้ตลอด หยิบขึ้นมาดูมีตั้งแต่ใบปลิวขายขนม โฆษณาโรงเรียนสอนภาษา โปรชัวร์ธนาคาร ตารางมิดไนท์เซลส์ เต็นท์รถ เรื่อยไปถึงแคตตาล็อกคอนโดมิเนียม ถ้าไม่หวั่นในวัน(มีใบปลิว)มามาก จ็อบนี้เหมาะกับคนชอบอยู่ไม่สุข(แจกใบปลิวมือเป็นระวิง) เหมาะกับใครที่ชอบพบปะผู้คน(เผชิญหน้ากับคนมากมาย) เหมาะกับคนที่มีเวลาไม่แน่นอน(แจกใบปลิวจนกว่าจะหมด) อ้อ… จ็อบนี้อาจรวมถึงแจกสินค้าตัวอย่างหรือแจกแบบสอบถามด้วย ค่าจ่างมักจะเหมารวม ถ้าแจกใบปลิวก็คิดเป็นล็อต ถ้าแจกแบบสอบถามก็จ่ายตามจำนวนชุดที่ส่งคืนจ๊ะ

5. Indy In Town

แล้วก็มาถึงสุดยอดจ็อบที่เป็น Talk of the town ของชาวเซ็นเตอร์พ้อยท์ จะอะไรอีกถ้าไม่ใช่การชุมนุมยอดฝีมือชาวอินดี้ จะเปิดเทอมหรือปิดเทอม เหล่าอินดี้ก็พร้อมอวดผลงาน สะสมเงินค่าหน่วยกิตกันได้คนละไม่รู้กี่เทอมแล้ว เพียงแต่ช่วงปิดเทอมอาจมีเวลาสร้างสรรค์ชิ้นงานได้เนี้ยบกว่าเก่า เก๋ากว่าเดิมเพิ่มปริมาณ ส่วนจะเพิ่มราคาหรือเปล่า อันนี้ชาวอินดี้ต้องตอบเองจ๊ะ ส่วนใครจะร้อยสร้อย เพ้นท์เล็บ เย็บกระเป๋าผ้า ออกแบบเสื้อยืด หรือแม้แต่เล่นดนตรีเปิดหมวก ก็ขึ้นอยู่กับ พรสวรรค์ ในการค้นหาความสามารถความถนัด และความชอบของตัวเอง แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับ พรแสวงด้วย ทั้งแสวงหาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และแสวงหาพื้นที่ดีๆ ที่เหมาะจะอวดผลงานของตัวเอง

ภัยของน้ำยาบ้วนปาก

แพทย์โรงพยาบาลราชวิถี เตือนคนไทยถึง "น้ำยาบ้วนปาก" หากใช้มากๆนานๆ ทำตุ่มรับรสเพี้ยน

เกิดเชื้อราช่องปาก สีฟันเปลี่ยน หินปูนเกิดง่าย ส่วนยาสีฟันที่อ้างลดแบคทีเรียนั้น มีประสิทธิภาพเท่ากับแปรงฟันอย่างถูกวิธี ส่วนคนไทย 9 ล้านคนมีกลิ่นปาก และแนะวิธีเช็กกลิ่นปาก ท.ญ.นพมณี วงษ์กิตติไกรวัล ทันตแพทย์กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากมีไว้เพื่อกำจัดกลิ่นปาก แต่ที่จริงแล้ว เป็นเพียงการกลบกลิ่นปากด้วยกลิ่นของน้ำยาใน ระยะสั้นเท่านั้น จากนั้นไม่นานก็กลับมามีกลิ่น ปากเช่นเดิม

การใช้น้ำยาบ้วนปากติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้ไปทำลาย เชื้อแบคทีเรียที่ดีที่อาศัยอยู่ในปากให้ตายไปด้วย

อาจนำมาซึ่งเชื้อราในช่องปาก ทำให้ตุ่มรับรสของลิ้นเพี้ยนไป มีสีเคลือบผิวฟันที่เปลี่ยนแปลง หรือทำให้เกิดหินปูนได้ง่าย ส่วนยาสีฟันที่อ้างว่าว่าสามารถลดแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นปากได้นั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า ยาสีฟันจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในปากได้ ซึ่งประสิทธิภาพของยาสี ฟันที่อ้างว่าลดแบคทีเรีย ไม่แตกต่างกับการแปรงฟันด้วยยาสี ฟันอะไรก็ได้อย่างถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันในซอกฟันส่วนที่แปรงไปไม่ถึง

กลิ่นปากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปากชนิดที่ไม่ใช้ออกซิ เจน ผลิตก๊าซในกลุ่มซัลเฟอร์ กลิ่นปากยังเกิดได้จากผู้ป่วยมีโรคอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว

เช่น โรคกรดไหลย้อน หากรักษาโรคเหล่านั้นกลิ่นปากก็จะหายไป รวมทั้งกลิ่นปากจากโรคในช่องปาก เช่น โรคปริทนต์ โรคเหงือก ฟันผุ ฯลฯ วิธีการตรวจว่ามีกลิ่นปากจริงหรือไม่นั้น ทำได้โดยการสังเกต จากคนรอบข้าง หรือเอาช้อนมาขูดลิ้นแล้วทิ้งไว้ 5 วินาที จากนั้นนำมาดม หากพบว่ามีกลิ่นเหม็นก็แนะนำให้มาพบทันต แพทย์เพื่อตรวจเช็กปัญหาในช่องปาก

เมื่อ...ความรู้สึกรับรสผิดปกติ

ผู้ป่วยบางรายมาหาหมอจีน บอกว่า รู้สึกขมคอ กินอะไรก็ไม่มีรสชาติ เป็นคนหงุดหงิดง่าย นอนหลับไม่สนิท มักฝันร้ายเสมอๆ อุจจาระไม่มาก ถ่ายไม่หมด อุจจาระไม่เป็นก้อน มีลักษณะเหนียว

ผู้ป่วยอีกรายหนึ่งมาหาหมอจีน ด้วยอาการ ความรู้สึกจืดชืดในรสชาติของอาหาร เบื่ออาหาร กินอะไรเข้าไปก็รู้สึกท้องอืด ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน กินยาลดน้ำตาล กลัวความเย็น อ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรง

ยังมีผู้ป่วยบางราย บอกกับหมอว่า ในปากรู้สึกว่ามีรสในคอหวานๆ ตลอดเวลา บางคนบอกว่ามีรสเค็ม บางคนบอกว่ามีรสเปรี้ยว บางคนมีรสฝาด

ความรู้สึกเกี่ยวกับการรับรสชาติผิดปกติ ไม่ได้มีความหมายเฉพาะ ที่เกี่ยวข้องกับต่อมรับรสบนลิ้นผิดปกติเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนความผิดปกติของร่างกายโดยเฉพาะการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมอาหารหรือระบบม้ามและกระเพาะอาหาร แต่ยังอาจรวมถึงอวัยวะภายใน (จั้งฝู่) อื่นๆ อีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกรับรสกับอวัยวะภายใน ความรู้สึกรับรสผิดปกติ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของระบบม้ามและกระเพาะอาหาร แต่ยังเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในอื่นๆ อีกด้วย ในทางคลินิกที่พบเห็นบ่อยๆ คือ

1. ปากจืดชืด口淡 ไม่มีรสชาติ ความรู้สึกรับรสอาหารลดลง บ่งบอกว่าอวัยวะม้ามและกระเพาะอาหารพร่องและอ่อนแอ หรือมีความเย็นความชื้นตกค้าง อุดกั้นส่วนกลาง (บริเวณกระเพาะอาหาร)

2. ปากรู้สึกหวาน 口甜 ในปากในคอหรือน้ำลาย รู้สึกมีรสหวาน บ่งบอกกระเพาะอาหารและม้าม มีความร้อนชื้น หรืออ่อนแอพร่อง หรือพลังและยิ้นพร่อง

3. ปากรู้สึกเหนียว 口膩 หรือรู้สึกว่าน้ำลายหรือในคอเหนียวหนืด บ่งว่า มีเสมหะร้อน หรือความร้อนชื้น หรือความเย็นชื้นตกค้างในระบบม้ามและกระเพาะอาหาร

4. ปากรู้สึกเปรี้ยว 口酸 บางครั้งมีเรอเปรี้ยว หรือกินบูดเน่าของอาหาร บ่งบอก ภาวะอาหารไม่ย่อย มักเกี่ยวข้องกับอาหารไม่ย่อย มีการตกค้างในกระเพาะอาหาร พลังตับอุดกั้นทำให้ระบบย่อยทำงานไม่ดี (เครียดลงกระเพาะ) พลังตับอุดกั้นจนกลายเป็นไฟ หรือการทำงานของตับกับกระเพาะอาหารไม่กลมกลืน肝胃不和

5. ปากรู้สึกขม 口苦 เกี่ยวข้องกับไฟหัวใจ ลอยขึ้นส่วนบนหรือไฟร้อนของตับและถุงน้ำดี

6. ปากรู้สึกฝา口澀 มักร่วมกับอาการแห้งของลิ้นและปาก บ่งบอกว่า มีความร้อนแห้ง ทำให้สารน้ำในร่างกายถูกทำลาย หรืออวัยวะภายในร้อน ทำให้เกิดไฟย้อนขึ้นบน เกิดความร้อนแห้ง

7. ปากรู้สึกเค็ม口咸 เกี่ยวข้องกับไต เช่นภาวะไตยินพร่อง, ไตหยางพร่อง, และภาวะบวมน้ำจากความร้อน หยางของไตน้อย

ความรู้สึกรับรสยังเกี่ยวข้องกับอายุ, อารมณ์, อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมและปัจจัยอื่นๆอีกด้วย เช่น- ความรู้สึกรับรสของเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มากกว่าคนสูงอายุ

- ความรู้สึกรับรสตอนกลางคืน จะมากกว่ากลางวัน

- ความรู้สึกของคนรับรสขณะที่มีอารมณ์โมโห, กลัว, เศร้าโศก หรือขณะอ่อนเพลียมาก จะลดลงกว่าภาวะปกติ

- คนที่ดื่มเหล้า, หิวจัดเกินไป, นอนไม่พอ, ก็มีผลกระทบต่อความรู้สึกรับรส

ความรู้สึกรับรสกับสุขภาพองค์รวม

เมื่อพบว่ามีความรู้สึกรับรสผิดปกติ ที่ไม่ใช่ชั่วคราว (จากอาหารหรือยาที่กิน) ควรพิจารณาร่วมกับอาการอื่นๆ เช่นการนอนหลับ, อารมณ์, การถ่ายอุจจาระ, สีหน้า, โรคพื้นฐานที่เป็นอยู่, และภาวะอื่นๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาวิเคราะห์ ภาวะความเสียสมดุลของร่างกาย ยินหยาง เลือดพลัง และภาวะ การตกค้างของๆ เสีย รวมถึงปัญหาของอวัยวะภายในจั้งฝู่ การรักษาโรคและปรับภาวะสมดุลภายใน ให้เข้าที่เข้าทาง ก็จะทำให้สามารถปรับภาวะความรู้สึกรับรสที่ผิดปกติให้หายได้