10 เม.ย. 2552

12 Brain rules

การค้นคว้าเรื่องการทำงานของสมอง จะทำให้เรารู้จัก เข้าใจธรรมชาติสมอง เพื่อใช้สมองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การทนุบำรุงสมองอย่างไร? สมองเกี่ยวข้องกับจิตอย่างไร? สมองเพศชายกับหญิงมีอะไรที่แตกต่างกัน

จอห์น เมดินา ได้จำแนกกฏเกณฑ์ของสมองออกเป็น๑๒ประการ เพื่อการดำรงความอยู่รอดและเอาชนะอุปสรรคปัญหา ทั้งที่ทำงาน ที่บ้านและที่โรงเรียน

กฏที่๑. การออกกำลังกาย ทำให้อากาศ(อ็อกซิเจน)เข้าไปเลี้ยงสมองได้ดี

กฏที่๒. การดำรงความอยู่รอด สมองเป็นกำลังสำคัญของสัตว์และมนุษย์"ฉลาด" สมองมนุษย์วิวัฒนาการและมี๓ชั้นแล้ว กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดคือ

เลือกยืนบน๒ขา

วิวัฒน์มือ๒ข้าง

สังเกตเปรียบเทียบเลือกเลียนแบบสิ่งที่ดีกว่า

นำแนวทางปรากฏการณ์ธรรมชาติมาใช้เป็นเครื่องมือ

สร้าง"สัญลักษณ์"และบันทึกถ่ายทอดกันเพื่อสื่อสารหรือเรียนรู้ นอกเหนือจากการเรียนรู้ผ่านทางกรรมพันธุ์และสัญชาติญาณ

กฏที่๓. การเชื่อมโยงเส้นสมอง การงอกงามของเส้นสมองของมนุษย์ทุกคน แต่ละคนไม่เหมือนไม่ซ้ำแบบกัน ตามลักษณะของทักษะและประสบการณ์การเรียนรู้ของเขา เรียนรู้ทุกวันงอกงามทุกวันไม่จำกัดวัย เพศ

กฏที่๔. ความสนใจ มนุษย์ไม่ให้ความสนใจกับสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ "อารมณ์" เป็นเรื่องสำคัญ มนุษย์ให้ความสนใจกับอุปสรรค กามารมณ์(sex) และรูปแบบการจับคู่เปรียบเทียบ - สมองต้องการเว้นวรรค จังหวะ ช่องไฟ (การพักผ่อน)

กฏที่๕. ความจำระยะสั้น ในสมองของเรามีหน่วยความจำอย่างไร? ลืมและรื้อฟื้นใหม่ได้อย่างไร? ทำอย่างไร? จะจำได้แม่นยำและไม่ลืม ในเรื่องสำคัญจำเป็น

กฏที่๖. ความจำระยะยาว การไม่ระลึกซ้ำภายใน๓๐วินาที คุณจะลืมมันทันที...?

กฏที่๗. การนอนหลับ การหลับที่ดี องค์ประกอบที่ทำให้เกิดการคิดมีประสิทธิภาพ การงีบ๒๓นาทีช่วงหลังอาหารกลางวัน ของนักบินอวกาศ มีผลให้การปฏิบัติภารกิจมีประสิทธภาพเพิ่มขึ้นถึง๓๔%

กฏที่๘. ความเครียด เป็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ความขัดแย้งจากบ้านสู่ที่ทำงานและกลับกัน อุปสรรคที่ขัดขวางชีวิตคู่

กฏที่๙. การบูรณาการระบบประสาท บทเรียนจากNightclub การประสานการทำงานของระบบรูป รส กลิ่น เสียง แสง สัมผัส ของระบบสมอง

กฏที่๑๐. วิสัยทัศน์(การมองเห็น) การมองเห็นสำคัญกว่าระบบอื่นใด การทดลองลวงให้ชิมเหล้าไวน์พิสูจน์เรื่องนี้

กฏที่๑๑. เพศ ผู้ชายและผู้หญิงมีการทำงานของสมองต่างกันอย่างไร?

กฏที่๑๒. การสำรวจ เด็กทารกเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ การสำรวจค้นคว้าเป็นลักษณะก้าวร้าว ลิงกระหายที่จะเห็น ทำทุกอย่าง หลุกหลิก

จุดอ่อนของคนหางานทำ

คนเราเมื่อถึงอายุที่หรือวัยที่ต้องทำงาน หรือ มีความจำเป็นต้องหางานทำแล้ว มักจะมีพฤติกรรมต่างๆตามลำดับขั้นของช่วงเวลาดังนี้

คาดหวังในงานที่จะทำ

คนเริ่มสมัครงานมักมีความคาดหวังในงานที่จะทำไว้ค่อนข้างสูง อยากจะทำนั่น อยากจะทำนี่ ซึ่งก็จะสมัครในงานที่ตนเองต้องการที่จะทำเป็นส่วนใหญ่ บางคนถึงกับสมัครงานในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เรียนมาแต่มีความชอบส่วนบุคคล ทั้งนี้ ความคาดหวังเป็นสิ่งที่ดีในมุมมองผมว่า ได้ผลักดันให้คนหางานได้มีความคิดทะเยอทะยานเพื่อที่จะทำงานในหน้าที่การงานเหล่านั้น และ หากเขาได้ทำงานเขาก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ในทางกลับกันคนที่ไม่มีความคาดหวังกลับสมัครงานอย่างไร้ทิศทาง ทำอะไรก็ได้ ขอแค่มีงานทำ ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่เมื่อได้เข้าไปทำงานแล้วก็จะเพิ่งรู้ว่าตนเองไม่เหมาะกับงานที่ทำ ความหวังความฝันไม่ได้ขึ้นกับเหตุและผล เหมือนๆกับคนที่ขอทำงานอะไรก็ได้ บางคนก็ได้งานที่ไม่เหมาะกับนิสัยตนเอง นี่เอง จึงเป็นที่มาของการสัมภาษณ์งานเพื่อให้ได้คนที่ผู้สัมภาษณ์คิดว่าน่าจะตรงกับงานที่จะให้ทำมากที่สุด

หลักการพื้นๆที่จะมองว่าเราน่าจะทำงานประเภทใด คือ การศึกษาตนเองและรู้ตนเองมากที่สุด

เช่นตนเองนั้นมีลักษณะพื้นฐานอย่างไร โดยการศึกษาตนเอง เช่นเป็นคนที่ชอบนอนแต่เช้าตื่นแต่เช้า หรือ ชอบนอนดึกๆตื่นสายๆ หรือ ชอบทำงานตอนกลางคืนนอนกลางวัน บางคนอาจจะชอบอ่านหนังสือตอนดึกๆ ก็คิดว่าเราชอบทำงานตอนดึกๆ และเข้าเรียนในช่วงเช้าถึงเย็น แต่ความเป็นจริงแล้ว การอ่านหนังสือดึกๆ หรือ เช้าๆมีเหตุผลของการอ่านหนังสือ ไม่ใช่การชอบก็เป็นไปได้

เป็นคนชอบลุยๆ ซ่าๆ ปีนเขา ออกภาคสนาม หรือ เป็นคนเงียบๆ ชอบคิด ชอบอ่าน ชอบฝัน ชอบเที่ยวทะเลผ่อนคลายไปกับธรรมชาติ

ชอบอ่านหนังสือ หรือ ชอบดูโทรทัศน์

ชอบเอาใจเพื่อนๆ บริการเพื่อนๆ หรือ อะไรก็มองว่าตนเองจะเสียเปรียบมากน้อยเพียงใด

ชอบคุยมากน้อยเพียงใด หรือ แม้นแต่การขี้บ่นจู้จี้มากน้อยเพียงใดด้วยเป็นต้น

สามารถปรับปรุงตนเองเพิ่มได้มากน้อยเพียงใด ข้อจำกัดของตนเองมากน้อยเพียงใด อย่างบางคนเวลาเรียนมักจะตื่นสาย แต่เวลาทำงานไม่สามารถตื่นสายแบบเวลาเรียนได้ ดังนั้น ก็จะต้องมีการปรับตัว และ หากคิดว่าตนเองปรับตัวไม่ได้ก็ต้องมองในลักษณะการเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง หรือ ทำงานในที่ทำงานที่เข้าสายๆ หรือ แม้นแต่เป็นคนไม่ค่อยคบกับใคร ก็ต้องปรับตนเองให้คบกับคนอื่นๆมากขึ้นเช่นกัน

ความชอบส่วนตัวเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ การหางานที่เหมาะกับลักษณะนิสัยของตนเอง จะทำให้ทำงานในงานนั้นๆได้นานกว่าการทำงานเพียงเพื่อที่จะได้เงินเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเลือกได้ การเลือกทำงานที่เหมาะกับนิสัยส่วนตัว จะทำให้การทำงานนั้นๆ ส่งผลในเชิงบวกมากขึ้น

องค์กรน่าจะได้คนแบบใดมาทำงาน

อันนี้เสริมในส่วนองค์กรว่า ควรจะออกแบบลักษณะคนที่จะเข้าทำงานในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ตามลักษณะพฤติกรรมของการทำงานนั้นๆ เช่น หากต้องทำงานนอกบริษัทฯ ก็ต้องการคนที่มีความชอบในการลุย อดทน และ ไม่คิดมาก จะรับเอาคนที่ชอบคิดไปออกภาคสนามก็จะไม่เหมาะ ดังนั้นองค์กรจึงควรที่จะวิเคราะห์งานที่จะรับในการดำเนินงานแต่ละงานว่า ควรจะรับคนประเภทใดเข้ามาทำงานในหน้าที่นั้นๆให้เหมาะสม และ สรรหาคนที่จะเข้าทำงานในหน้าที่นั้นให้ตรงมากที่สุดเท่าที่จะสามารถคัดเลือกได้ ก็มีโอกาสที่พนักงานจะทำงานได้นานขึ้น

บรรยายตัวเองตามรูปแบบ

เมื่อมีควาสมหวังในงานที่จะทำ เครื่องมือโดยทั่วไปของคนสมัครงานก็คือ Resume’ ทั้งนี้คนหางานก็จะพยายามเขียนตามรูปแบบมาตรฐานที่มีมา โดยลืมนึกไปว่า จริงๆแล้ว มาตรฐานเหล่านั้นก็เป็นเพียงการรวบรวมสิ่งที่องค์การต้องการทราบเบื้องต้น เท่านั้น ดังนั้น จึงร่ายยาวตามรูปแบบพื้นๆ ซึ่งอาจจะทำให้เสียโอกาส

Resume’ ที่ดีควรเป็นอย่างไรนั้น ในความคิดผมที่อ่านสิ่งเหล่านี้มามาก และ คนที่ผมจะรับเข้าทำงานร่วมในทีมด้วย จะเขียน Resume’ ในลักษณะอธิบายตัวตนของเขาให้มาก เพื่อให้ผมสามารถพิจารณาว่าเขาเป็นคนเช่นใด ดังนั้น ถ้าเป็น Resume’ ทั่วๆไป ผมก็อ่านแค่ผ่านๆว่า เขาเป็นอย่างไร แต่ Resume’ ที่แตกต่างและบรรยายตัวตนของเจ้าของได้มากกว่า จึงมีโอกาสที่ผมจะเรียกสัมภาษณ์มากกว่า นั่นหมายความว่า Resume’ ไม่ใช่เพียงเอาข้อมูลของคุณที่เป็นรูปธรรมมาใส่ลงไปเท่านั้น แต่คุณควรที่มีสิ่งที่เป็นนามธรรมที่จะอธิบายหรือ ชี้แจงความเป็นตัวคุณให้กับผู้อ่าน เพื่อให้เขาเปรียบเทียบกับงานของเขาว่า คุณเหมาะสมกับหน้าที่การงานลักษณะใด หรือ เหมาะกับงานที่สมัครมากน้อยเพียงใด และ หากเป็นไปได้ คุณก็น่าจะทำ Resume’ แบบเฉพาะในการสมัครแต่ละงาน เพื่อสร้างแรงดึงดูดของแต่ละงาน ไม่ใช่ทำแค่แบบกลางๆพื้นๆ สำหรับทุกองค์กร เพราะอะไรที่เหมาะกับทุกองค์กรหมายถึง มันเป็นสิ่งธรรมดาๆ สำหรับเขาด้วยเช่นกัน

หางานที่อยากทำ

คนหางานก็อยากที่จะทำงานในสิ่งที่อยากทำก่อน แต่งานที่อยากทำ อาจจะไม่อยากรับเพิ่มก็ได้ ทั้งนี้ ความต้องการกับการตอบสนองส่วนใหญ่มันก็มักจะไปกันคนละทางด้วย ดังนั้น การหางานที่อยากทำ ก็การได้ทำงานที่เหมาะกับตนเองและสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จึงควรนำเอามาพิจารณา

การหางานจึงต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานมาประกอบด้วย กล่าวคือ คนที่เดือดร้อนเรื่องเงิน ถ้ายังอยากทำงานที่ชอบ แต่ไม่ได้งานอาจจะอดตายก็ได้ หรือ คนที่มีเงินมีทองเหลือเฟือแต่เลือกงานที่อยากทำ สรุปแล้วก็อาจจะไม่ได้ทำงาน และ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะทำให้ความเชื่อมั่นในตนเองลดลงได้ ทั้งนี้ แต่ละคนก็ควรจะมีมุมมองทางด้านนี้ไว้ว่า บริบทของคุณนั้น กำลังอยู่ในจุดใด และ สามารถเลือกได้หรือไม่...

แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีการเลือกงานที่ตนเองอยากทำถึงแม้นจะได้งานที่ทำแล้วตรงกับตนเองก็ตาม ความเสียหายจึงตกไปอยู่กับผู้จ้าง ผู้ว่าจ้างจึงต้องมีมาตรการป้องกันและเริ่มมีกฎข้อบังคับ หรือ มีการผูกมัดคนทำงานลักษณะนี้ไว้ด้วย ซึ่งจะกล่าวในส่วนของการดึงดูดคนทำงานให้ทำงานกับบริษัทฯ

เงินเดือนต้องมากที่สุด

คนหางานส่วนใหญ่ อยากได้เงินเดือนที่มากที่สุดของตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ (ไม่ยกเว้นผมนะครับ) แต่อาจจะลืมนึกไปว่า งานที่คุณเข้าไปนั้นคุณมีความสามารถมากน้อยเพียงใดที่จะทำ คุณสามารถทำได้เหมือนคนที่เคยทำมาแล้ว 5-6 ปีหรือเปล่า ทั้งนี้ส่วนใหญ่ ก็จะมองว่า ต้องเรียกร้องให้มากที่สุด เพราะว่าองค์กรได้กำไรมาก เราก็ต้องได้มาก แต่อาจจะลืมนึกไปว่า องค์กรต่างๆเอง ก็จะพยายามมองหาคนทำงานที่ราคาต่ำที่สุด หรือ พอเหมาะกับงานที่รับผิดชอบ ดังนั้น ความต้องการของคนหางาน กับความต้องการของกำลังคน จึงเดินสวนทางกัน แล้วใครหละที่จะเป็นคนถอยก่อน 1 ก้าว คนที่มีอำนาจต่อรอง หรือว่า คนที่ไม่มีอำนาจต่อรอง คิดดู

คนที่ไม่ได้งานเพราะเกี่ยงเรื่องเงินก็มีมาก องค์กรที่บอกปฏิเสธคนเพราะได้คนที่เงินเดือนน้อยกว่า ในคุณภาพใกล้เคียงกันก็มี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมพอดีว่า จะสมยอมกันได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็คิดว่า คนหางาน ก็ยังเป็นคนที่ไม่มีอำนาจต่อรองมากนักในการสมัครงานอยู่ดี ยกเว้นคุณจะมีประสบการการทำงาน และ ทางองค์กรต้องการคุณอย่างมากเท่านั้น

ตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์ครั้งแรก

คนหางานมือใหม่ทุกคนมักตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์ครั้งแรก ประหนึ่งว่าเขากำลังเขาแท่นประหาร บางคนมือไม้สั่น พูดสั่น จนจับไม่ได้ประเด็น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ผู้สัมภาษณ์ก็จะมองเห็น และ เมื่อเห็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่มี 2 กรณีที่เขาจะทำคือ ขู่ให้กลัวจนหัวหด หรือ คุยให้ผ่อนคลาย ดังนั้น คุณจะได้งานหรือไม่ได้งานก็จะขึ้นอยู่กับผู้สัมภาษณ์ว่าเขาจะจัดการกับคุณอย่างไร

ถ้าคุณมีการไปสัมภาษณ์ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือ ครั้งใดก็ตาม ให้ทำใจให้นิ่งเข้าไว้ คิดเสียว่า คนสัมภาษณ์ก็คือคนหางานที่ได้ทำงานก่อนเรา เขาเป็นคน เราก็เป็นคน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ให้เกรงใจเขาบ้าง ทั้งนี้ ถ้าได้โอกาสก็ต้องพยายายไขว่ขว้าโอกาสไว้ ด้วยการ คุยกับผู้ให้สัมภาษณ์อย่างจริงใจ และ จำไว้เสมอว่า ผู้กสัมภาษณ์ต้องการคนที่เป็นต้วของตัวเอง แต่ก็ต้องเข้ากับองค์กรได้ หรือ บางคนก็จะมองเรื่องทัศนคติที่ดี ดังนั้น การฝึกตอบคำถามทั่วๆไป ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นบ้าง

แต่ถ้าคุณเจอคนแบบผมคุณอาจจะงงไปเลยก็ได้เพราะผมจะคุยเรื่องทั่วๆไป ถามในสิ่งที่คนอื่นไม่ถามกัน ทั้งนี้ ผมต้องการที่จะหาคนที่เหมาะกับงาน มากกว่าการมองกระดาษที่เขาได้รับมา ผมหาคนทำงานที่ไม่ใช่คนพูดและนำเสนอเก่ง ผมหาคนที่มีทัศนคติที่ดีไม่ใช่หาคนมาแค่ทำงานเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ ผมก็คิดว่า หลายๆองค์กรก็ต้องการคนลักษณะเช่นนี้ ดังนั้น คุณต้องทำเรื่องต่างๆให้เป็นธรรมชาติ ปรับตัวเองให้เป็นคนที่องค์กรต้องการ หากคุณต้องการสมัครเป็นคนทำงานจริงๆ

ได้งานทำ หรือ การรอคอยอย่างมีความหวัง

เมื่อผ่านการสัมภาษณ์แล้ว สิ่งที่เกือบทุกคนจะได้รับคือ เดี๋ยวบริษัทฯจะติดต่อกลับไป มันเป็นคำที่ให้ความหวังกับผู้สมัครงาน แต่ เป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของคนรอคอยอย่างมาก มันเหมือนกับเชือดความมั่นใจของคนสมัครงานอย่างช้าๆทีละนิดๆด้วยเวลา นี่กลายเป็นคำตอบให้กับคนหางานว่า ทำไมคุณถึงเริ่มเฉื่อยลงเมื่อใช้เวลาสมัครงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผมจะพบได้จากลักษณะที่แสดงออกจากการสัมภาษณ์

วิธีง่ายๆสำหรับคุณคือ การทำใจไว้ 99% ว่าบริษัทฯที่ไปสัมภาษณ์มาแล้วนั้น ไม่รับคุณเข้าทำงาน คุณจะรู้สึกดีขึ้นและไม่ต้องรอว่าเขาจะโทรมาหรือเปล่า แต่ต้องหางานต่อไป อย่างมุ่งมั่นเพื่อป้องกันความเฉื่อยที่จะเกิดขึ้นครับ

บริษัทฯเหล่านั้นเสียโอกาสรับคนเก่งๆอย่างเราเข้าทำงาน

คนที่เชื่อมั่นในตนเองจะมีความเชื่อว่า ตนเองมีความสามารถในการทำงานทุกอย่างที่เขามอบหมายให้ ดังนั้น จงรักษาความเชื่อมั่นเหล่านั้นไว้ แต่แอบซ่อนสักหน่อยก็ดี เพราะว่า การจะเข้าไปทำงานในองค์กร สิ่งหนึ่งของผู้สัมภาษณ์หลายๆคนพยายามที่จะมองคือ คุณเชื่องขนาดไหน แต่ไม่ทั้งหมดทุกงานหรือทุกบริษัทฯหรอก บางงานเขาก็ต้องการความเชื่อมั่นสูง แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นกับลักษณะงานที่คุณเข้าไปสมัครด้วย แค่บอกว่า ถ้าว่าที่เจ้านายใหม่มองว่า เขาคุมคุณไม่ได้เขาจะตัดสินใจที่จะไม่รับคุณเข้าทำงาน อย่าลืมว่า ว่าที่เจ้านายใหม่คุณ ก็ยังเป็นคนและต้องรับผิดชอบคุณอยู่ ยังไงแล้วเขาก็ต้องมองถึงประโยชน์ส่วนตนของเขาอยู่ดี

ความเชื่อมั่นที่ผมอยากให้เก็บไว้เพราะว่า คุณจะต้องนำมันมาใช้งานตอนเวลาคุณทำงานอย่างแน่นอน อย่าให้อุปสรรคจากการหางานทำมาทำให้นิสัยดีๆส่วนนี้ของคุณหายไป เพราะถ้ามันหายไปแล้ว มันจะเรียกกลับมาค่อนข้างยากหรือต้องใช้เวลานาน

เริ่มปูพรมเพื่อหางาน

เมื่อความผิดหวังเริ่มก่อตัว นั่นหมายถึง คุณเริ่มที่จะเข้าใจมากขึ้นแล้วหละว่า ชีวิต ไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องง่ายๆเพียงอย่างเดียว ถ้าคุณต้องการงาน คุณก็จะเริ่มหางานไปทั่ว ไม่ว่างานนั้นจะเหมาะกับคุณ หรือ เป็นงานที่คุณอยากที่จะทำหรือไม่ ทั้งนี้ แค่เผื่อเหนียวเอาไว้ไม่เสียหาย แต่นั่นแหละ คุณก็จะเริ่มได้สัมภาษณ์มากขึ้นจากการทำเช่นนี้ แล้วปัญหาตามมาก็คือ อาจจะได้หลายงานในเวลาเดียวกัน

ผิดหวังจากการหางาน

แต่หากคุณดำเนินการหางานต่อไปเนื่องจากผิดหวังจากการหางาน อาการของคุณก็จะเริ่มออกคือ ท้อแท้หดหู่ และ เมื่อถึงจุดๆนี้ จะเป็นจุดที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการคุณมากที่สุด เพราะ คุณจะลดค่าตัวคุณลงให้เข้าหาตัวเลขทางตลาดมากขึ้น หรือพูดกลับกัน ถ้ามีคนเข้ามาสมัครแล้วพบว่าเขามีความสามารถที่จะทำ แต่เขาบอบช้ำจากการสมัครงานมามากพอสมควรแล้ว สิ่งหนึ่งของผู้สัมภาษณ์ที่จะทำคือ การต่อรองเงินเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะได้คนเข้าทำงานในช่วงนี้เป็นต้นไป

เบื่อการสัมภาษณ์

ลักษณะอาการเบื่อการสัมภาษณ์หรือพยายามสัมภาษณ์ให้จบๆไป เป็นอีกลักษณะอาการหนึ่งที่พบหลังจากการบอบช้ำ ทั้งนี้ ยิ่งทำให้คุณเสียโอกาสมากขึ้นในการทำงานในองค์กรต่างๆ เพราะเขาก็จะมองว่าคุณไม่มีความกระตือรือล้นในงาน รับเข้ามาก็อาจจะทำงานแรกๆดี พอมีปัญหาก็ชิ่งหนี ดังนั้นไม่ว่าจะนัดสัมภาษณ์สักกี่ครั้งมาแล้ว ก็ต้องพยายามทำการบ้านว่าจะคุยอย่างไร ให้เหมือนกับการนัดสัมภาษณ์ครั้งแรกให้ได้ เพื่อที่จะไม่ให้เสียโอกาสไป (เขียนง่าย ทำยาก)

รู้สึกตัวเองไร้ค่า

บางคนที่มีปมด้อย เมื่อถึงจุดๆนี้ จะดูเหมือนว่าตัวเองช่างเป็นคนไร้ค่าเสียจริงๆ ที่สมัครงานมาเกือบปี แต่ไม่มีใครเอา ทั้งนี้ไม่ว่าจะลดอัตราเงินเดือนลงเท่าใด หรือ ลดการเลือกงานลงก็ไม่เป็นผล เพราะ บริษัทฯต่างๆ ก็จะรอรับเด็กใหม่ที่เพิ่งจบในอีกไม่นาน งานที่จะรับก็จะต้องมีประสบการณ์มาบ้างเขาถึงจะรับ เป็นช่วงที่น่าท้อแท้ใจอีกช่วงหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็อย่าท้อใจนานนัก ให้พยายามต่อไปครับถ้าต้องการทำงานในบริษัทฯ เพราะอาจจะมีอีกหลายองค์กรที่ไม่ได้รอนักศึกษาจบใหม่นะครับ

รุ่นน้องจะจบแล้ว

และแน่นอนว่า รุ่นน้องที่กำลังจะจบมาก็จะเริ่มเข้าวัฐจักรของการกำหนดเงินเดือน กำหนดความต้องการของตนเอง ทั้งนี้ คนที่จบมาที่ไม่ได้งานมาเป็นปี ก็จะมีคู่แข่งการหางานมากขึ้น แต่นั่นแหละ ความบอบช้ำที่ผ่านมาทำให้ความต้องการเงินเดือนของคุณลดลง จนเหมาะสมกับตลาด ซึ่งก็น่าจะดีใจขึ้นว่า คุณก็จะมีโอกาสที่จะได้งานทำเพิ่มมากขึ้น หากไม่เลือกงานมากนัก

ทำไม และ เริ่มไม่ทำ ไม่หางาน

และบางคนเมื่อไม่ได้งาน ท้อแท้ จิตใจไม่เข้มแข็งจริงๆ ก็จะเริ่มไม่หางานไม่ทำงาน ยิ่งทางบ้านสามารถเลี้ยงได้ หรือ มีธุรกิจส่วนตัวก็จะดึงเข้าไปทำธุรกิจของตนเองแล้ว และแล้วความสูญเสียของชาติ ก็ตกไปอยู่กับกลุ่มคนที่เรียนสูงแต่ไม่ทำงานไป...

สิ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงมุมมองว่าวัฐจักรการหางานนั้น จุดที่องค์กรเลือกที่จะรับคนเข้าทำงานคือจุดที่คนหางานเริ่มบอบช้ำจากการหางาน ซึ่งมันง่ายกว่าที่จะเลือกคนที่จบใหม่ๆมาทำ ความผิดหวังบอบช้ำจะทำให้เขาเริ่มเห็นคุณค่าของงานว่าหายากกว่าจะได้งาน ซึ่งแน่นอนว่า มันจะส่งผลถึงการอยู่ในองค์กรที่นานขึ้น

องค์กรที่รับเด็กใหม่เข้าทำงาน จากการสมัครงานครั้งแรก จะพบปัญหาของการลาออก เนื่องจากได้งานใหม่ หรือ จะอ้างว่างานที่ทำไม่เหมาะกับเขา หรือ ค่าแรงน้อยเกินไป งานใหม่ให้เงินมากกว่า กลุ่มคนที่จบมาใหม่แล้วได้งานก็คิดว่า งานหาง่าย แต่ก็ยังดีที่ HR บางคนยังไม่ได้มองเห็นถึงจุดๆนี้

มีคนว่างงานหลายคน และ จากนี้ไปจะยิ่งมีคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการเลือกงาน และ การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงกว่าความสามารถที่จะจ่ายได้ขององค์กร ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจของไทยที่จะเริ่มมีการหดตัวขนานใหญ่ ซึ่งขอทำนายไว้น่าจะประมาณ สิงหาคม ถึง ตุลาคมปีนี้ คนชั้นทำงานจะมีเงินเดือนจะไม่พอค่าใช้จ่าย แล้วยิ่งไม่มีงานทำ ก็ยิ่งจะลำบาก

ทั้งนี้ หากไม่ได้งานทำจริงๆ ก็อยากที่จะให้มองหาธุรกิจเล็กๆที่สามารถเลี้ยงตนเองได้รอด แล้วค่อยพัฒนาธุรกิจต่อไปให้มีรายได้เพิ่มขึ้นก่อนจะดีกว่า แต่พึงระลึกเสมอว่า เศรษฐกิจของไทยยังไม่คงที่ ถ้ายิ่งรัฐบาลยังเป็นไม่ชัดเจนอย่างนี้แล้ว ยังมองภาพความรุ่งเรืองของประเทศไม่เห็นเลยแม้นแต่น้อย .. เหนื่อยใจ..

สรุป...

ในฐานะลูกจ้าง :

-การหางานนั้น อย่าให้วงจรของการหางานที่ยาวนานมาบีบบังคับให้ความคิด ความรู้สึกของคุณเปลี่ยนไป เพราะ จะกลายเป็นจุดอ่อนให้กับองค์กรที่กำลังหาคน ใช้จุดนี้ในการที่จะกดดันคุณให้โอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งถ้าสามารถทำให้การสมัครงานทุกครั้ง กระตือรือล้นเหมือนครั้งแรก ก็จะทำให้ ความเชื่อมั่นในเวลาสัมภาษณ์งาน จะเพิ่มขึ้นทุกครั้งเช่นกัน

ในฐานะองค์กร :

-การจะหาคนเข้าทำงานนั้น ถ้าคุณต้องการคนงานที่อยู่กับคุณได้นานๆ และคุณมีคนให้เลือกมาก เช่น ถ้ามีคนที่จบเมื่อปีที่แล้วกับคนจบใหม่ ผมจะเลือกคนจบปีที่แล้ว เพราะ เขาผ่านความบอบช้ำมามากแล้ว ทำให้เขาเห็นคุณค่ากับโอกาสที่คุณได้เสนอให้เขา และ เขาจะทำงานให้คุณได้นาน และ ทุ่มเทกว่า อีกทั้งยังสามารถมีโอกาสได้คนในราคาตลาดได้มากกว่าด้วย

4 คำถามโหด ตอนสมัครงานที่ใหม่

หลังทำงานที่เดิมไปได้สักพักใหญ่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ในที่สุดคุณก็ยื่นใบลาออก และออกมาสมัครงานที่ใหม่คุณได้เปรียบตรงที่มีประสบการณ์มากกว่าเด็กจบใหม่ แต่ก็ต้องเจอคำถามหินๆ ที่อาจทำให้คุณตกสัมภาษณ์ได้ง่ายๆ ลองมาดูสิว่าคุณต้องเจออะไรบ้าง ...

“อะไรทำให้บริษัทเรามั่นใจว่าถ้ารับคุณแล้ว คุณจะไม่ลาออก และทำให้เราต้องเสียเวลาหาคนใหม่อีก”

คุณอาจเป็นคนชอบความท้าทายมาก...มากเสียจนทำให้บริษัทใหม่เริ่มไม่แน่ใจว่า บริษัทเขาจะน่าค้นหาสำหรับคุณมากแค่ไหน ลองตอบว่า...

“ก่อนหน้านี้ดิฉันทำงานหลากหลายก็จริง แต่การลาออกมีเหตุผลทุกครั้งยิ่งที่นี่มีแนวทางการทำงานที่ชัดเจน รอดผ่านวิกฤตมาแล้วก็หลายครั้ง ถ้าได้ร่วมงานกับบริษัทที่มีความสามารถขนาดนี้ ก็คงทำให้ดิฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจมาก เป็นใครก็คงไม่คิดอยากลาออกแน่นอนค่ะ”

“ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าตัวเองยังขาดคุณสมบัติหลายอย่างที่ใช้ในการทำงาน ดิฉันก็เลยยอมใช้เวลากลับไปพัฒนาตัวเองค่อนข้างมาก ตอนนี้ดิฉันพร้อมสำหรับการทำงานอย่างจริงจังอีกครั้ง และคิดว่าจะใช้ความรู้ความสามารถให้เต็มที่และดีที่สุด ถ้าได้ทำงานที่นี่ ดิฉันไม่ลาออกง่ายๆ แน่คะ”

“ทำไมคุณถึงออกจากงานที่เก่า”

ตอนลาออกคุณอาจไม่ได้มีเหตุผลสวยหรูอะไรเลย เช่น งานน่าเบื่อ ที่ทำงานอยู่ไกลบ้าน เงินเดือนน้อย หัวหน้างานโหด คุณคงตอบตรงๆ แบบนั้นไม่ได้แน่ ถ้าอย่างนั้นเรามีคำแนะนำ

“ทำงานแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังขาดทักษะเรื่องภาษาจีน ทำงานไม่คล่อง เลยตัดสินใจว่าลาออกและไปเรียน ภาษาจีนอย่างจริงจัง ตอนนี้เรียนจบแล้วเลยกลับมาสมัครงานอีกครั้งคะ”

“อยากลองเปลี่ยนฟิลด์มาทำงานด้านประชาสัมพันธ์บ้างค่ะ (ถ้าคุณสมัครงานในตำแหน่งใหม่) สมัยเรียนได้เกรดค่อนข้างดี แล้วก็เป็นคนชอบพบปะพูดคุยกับคนค่ะ ชอบการเขียนข่าว แต่พอดีคราวที่แล้วบริษัทเก่าให้โอกาสเราได้ลองทำงานด้านครีเอทีฟ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี เลยคิดว่าขอลองทำดูก่อน แต่พอทำแล้วก็เลยค้นพบว่าเราอยากทำงานด้านประชาสัมพันธ์มากกว่า เลยลาออกค่ะ”

“ทำไมคุณถึงมาสมัครงานที่บริษัทเรา ซึ่งเป็นคู่แข่งกับบริษัทเดิมของคุณ”

คำถามนี้ต้องมีสติและตอบให้ดี ไม่อย่างนั้นคำตอบของคุณอาจจะทำให้รู้สึกเหมือนดูถูกบริษัทเก่าโดยไม่รู้ตัว

“จริงๆ งานที่บริษัทเก่าให้ประสบการณ์ที่ดีมาก แต่เพราะอยากทำงานกับบริษัทใหญ่ที่เป็นต่างชาติดูบ้าง จะได้ทำติดต่องานกับตลาดที่กว้างขึ้น และได้พบปะคนที่หลากหลายขึ้นด้วยค่ะ”

“พอดีได้มีโอกาสศึกษาการทำงานที่นี่อยู่บ่อยครั้ง และพบว่าที่นี่ผู้บริหารเปิดโอกาสให้กับคนทำงานรุ่นใหม่ค่อนข้างมาก คิดว่าถ้าได้ทำงานที่นี่ก็น่าจะช่วยพัฒนาและเพิ่มความรู้ความสามารถได้อย่างเต็มที่”

“งานที่นี่ค่อนข้างหนักมาก กลับบ้านไม่เป็นเวลา บางทีต้องทำงานวันเสาร์ วันอาทิตย์ด้วย หลายคนลาออกไปเพราะชีวิตครอบครัวมีปัญหา คุณไม่กลัว ว่าจะเป็นแบบนั้นบ้างหรอ”

เป็นคำถามเชิงจิตวิทยาที่ถ้าคุณคิดตามจะรู้สึกว่า ไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอแล้วถ้างานนี้ทำให้ฉันต้องเลิกกับแฟน ฉันคงอยู่ไม่ได้แน่ แต่ถ้าคุณอยากทำงานที่นี่จริงๆ ตอบไปเลยว่า

“สมัยเรียนดิฉันทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยค่ะ ยอมรับว่าวันแรกๆ ก็ต้องปรับตัวพอสมควร แต่พองานสนุกมันเป็นพลังให้เราไม่ท้อ อีกอย่างถ้าเราไม่คิดว่านี่เป็นปัญหา แต่คิดว่าเป็นสิ่งท้าทาย ถ้าเราทำได้ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี ซึ่งตอนนั้นก็ผ่านไปด้วยดีจริงๆ ค่ะ”

“ตอนทำงานที่เก่าดิฉันก็มีลักษณะคล้ายกันเลย บางคืนอาจต้องค้างออฟฟิศบ้าง บางทีต้องไปต่างจังหวัดไม่ได้กลับบ้านหลายวัน โชคดีว่าครอบครัวดิฉันเข้าใจดีว่าลักษณะงานของดิฉันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยไม่เคยบ่นหรือต่อว่าเรื่องเวลาทำงานของดิฉันเลย”

6 แนวคิดเชิงกลยุทธ์ ที่ควรมีสำหรับนักบริหาร

หากคุณเป็นนักบริหารที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคโลกาภิวัฒน์ซึ่งมีการแข่งขันสูงเช่นในปัจจุบัน การเรียนรุ้ในเรื่องสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่การเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบข้างนั้น ก็ยังไม่อาจที่จะทำให้ประสบความสำเร็จที่แท้จริง นักบริหารสมัยใหม่ที่จะประสบความสำเร็จสูงสุดได้ ควรจะต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะความคิดที่เป็นเลิศด้วย

ซึ่งแน่นอนว่า ทักษะความคิดที่ดีที่สุดสำหรับนักบริหาร ก็คงหนีไม่พ้น ความคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) เพื่อทำให้ตนเองเป็นนักคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinker) เพื่อจะได้ใช้ประกอบกับความรุ้ที่มี เพื่อคิดหาทางแก้ไขปัญหา และ หาแนวทางที่ดีที่สุด สำหรับองค์กรต่อไปแนวคิดเชิงกลยุทธ์ เริ่มจากแนวคิดที่นำมาใช้ในการศึกสงคราม และ ได้นำเข้ามาสู่วงการธุรกิจ ซึ่งจะเห็นว่า แนวคิดเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ มีมาตั้งแต่อดีต ก่อนสมัย ซุนวู หรือ สามก๊ก เสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ ทางยุโรป และ อเมริกา ได้มีการศึกษาเพิ่มเติม และได้รวมรวมแนวคิดเชิงกลยุทธ์ไว้มากมาย หลากหลายรูปแบบ แต่ที่น่าสนใจและสามารถนำไปต่อยอดแนวความคิดได้หลากหลาย และเป็นรูปธรรม มีอยู่ 6 แนวคิดคือ

1. ความคิดในมุมมองขององค์รวม (Holistic Thinking) และ ความคิดในเชิงบริบท (Context Thinking)

ความคิดในมุมองขององค์รวม หรือ Holistic Thinking และ ความคิดในเชิงบริบท (Context Thinking) นี้ เป็นแนวความคิดเพื่อตอบโจทย์ในเหตุการณ์ต่างๆ อย่างรอบคอบ หรือ หาแนวความคิดให้ครบ ให้ถ้วนถี่ เช่น การเดินหมากรุกแต่ละครั้ง ก็ต้องคิดไปถึงการเดินต่อไปของฝั่งตรงข้ามอีกหลายช๊อตว่าเขาจะเดินได้อย่างไรบ้าง และ เขากำลังต้องการทำอะไร หรือ แม้นแต่การศึกสงครามที่ใช้กลยุทธ์ในการวางแผนการรบ อย่างปรัชญาแบบตะวันออก ตำราพิชัยสงคราม (The Art of War) ของซุนวู เมื่อกว่า 2000 ปีมา ซึ่งได้นำมาใช้อ้างอิงอย่างกว้างขวางในแวดวงธุรกิจ ทั้งนี้ เพราะ การทำธุรกิจก็เปรียบเสมือนการทำสงคราม เป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ เพื่อเอาชนะคู่แข่งให้ได้

2. การปรับเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) และ การคิดล่วงหน้า (Forward Thinking)

"องค์กรที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็เปรียบเสมือนองค์กรที่กำลังจะตาย" คำกล่าวนี้ทำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงขององค์กรในเรื่องต่างๆ ทั้งในการทำงานหรือในเชิงธุรกิจ ต้องมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดหรือ หรือ ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา หรือ แม้นแต่การเปลี่ยนแปลง เพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงต่างๆจำเป็นต้องมีผู้นำที่มีแนวคิด การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในเชิงกลยุทธ์ (Paradigm Shift) และ การคิดล่วงหน้า (Forward Thinking) ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงปัจจุบันให้เหมาะกับอนาคต ทั้งนี้ การมีวิสัยทัศน์ (Vision Shift) ว่าเราต้องการที่จะอยู่ในตำแหน่งใดให้ถูกต้องเหมาะสม การดำเนินการจัดการ (management Shift) วางแผน กำหนดทิศทางขององค์กร (Direction Shift) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์ จำเป็นต้องมีผู้นำที่มีศักยภาพทางด้านความคิดเชิงกลยุทธ์ เพื่อจัดทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ เปลี่ยนแปลงองค์กรไปในทิศทางที่ถูกต้อง และ สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะกับอนาคต (Corporate Culture Shift) ไปพร้อมๆกัน

3. การมีวิสัยทัศน์ (Vision) และ พันธกิจ (Mission)

องค์กรสมัยใหม่ (Modern Organization) เน้นหนักทางด้านการกำหนด วิสัยทัศน์ (Vision) และ พันธกิจ (Mission) ทั้งนี้ มีผุ้บริหารน้อยคนนัก ที่จะเข้าใจคำสองคำนี้ได้อย่างถ่องแท้ และ การกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์กรที่มาจากผู้บริหารที่ไม่มีองค์ความคิด (Visionary Thinking) ก็จะกำหนดวิสัยทัศน์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น ผู้บริหารที่จะมีวิสัยทัศน์ และ สามารถกำหนดพันธกิจ ได้เหมาะสม จึงต้องมีความสามารถทางด้าน วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง ทั้ง สภาพแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อองค์กร เพื่อกำหนดวิสัยทัศนื และ สภาพแวดล้อมภายใน เพื่อกำหนดพันธกิจ ให้เหมาะสมเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้

4. การมีความคิดในเชิงบูรณาการ (Innovative Thinking) และ ความคิดนอกกรอบ (Creative Thinking)

นักบริหารที่เกี่ยวข้องกับการผลิต หรือ นวัตกรรม ย่อมใส่ใจและให้ความสำคัญต่อ Strategic Innovation หรือ นวัตกรรมทางกลยุทธ์มากขึ้น ทั้งนี้ เพราะ หลีกเลี่ยงไม่ได้กับการพัฒนาเพื่อให้องค์กรประสบความสำเร็จ ในมุมมองเดียวกัน หากองค์กรทั่วไป มองว่า การสร้างให้ผู้บริหารของตนนั้น มีมุมมองในเช้งบูรณาการ และ การคิดนอกกรอบ ก็จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังเช่น องค์กรเก่าๆที่รอดมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ คอมพิวเตอร์ในสมัย 10-15 ปีที่ผ่านมา แต่องค์กรที่ล้มหายตายจากไป ก็จะมีมุมว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟืย เสียเงินเปล่า เป็นต้น ทั้งนี้ การสร้างความคิดที่เรียกว่า Strategic Innovation Thinking จะเป็นการสร้างมุมมองในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับ เทคนิคการพัฒนาเพื่อให้แตกต่าง (Creative Thinking& Innovation Thinking) รวมไปถึง การคิดแบบ Blue Ocean เพื่อหาหนทางในการตลาดแบบใหม่ๆ ที่ไม่แข่งขันกันมากเกินไป

5. การวางแผนทางเลือก (Scenario Planning) และ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวน ธุรกิจต่างๆจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้น ทั้งจาก สังคม เศรษฐกิจ คู่แข่ง รวมทั้งความต้องการของลูกค้า การวางแผนขององค์กรต่างๆ จึงต้องพึ่งนักบริหารที่มีมุมมองแนวคิดในเชิงความเปลี่ยนแปลงในอนาคต (Future Thinking) และ จัดทำแผนทางเลือก (Scenario Planning) ที่หลากหลายเพื่อมารองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์ต่างๆกัน ทั้งนี้ ภายใต้ภาวะความผันผวนของสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การบริหารแผนงานต่างๆ จึงต้องเน้นการมองถึงอนาคตอยู่ตลอดเวลา (Future Thinking) และในเชิงการคิดเชิงกลยุทธ์นั้น ในการสร้างแผนทางเลือกต่างๆสำหรับอนาคต( Scenario Planning ) จึงเป็นรูปแบบแนวคิดเชิงกลยุทธ์อีกแบบหนึ่ง ที่หลายๆ องค์กรชั้นนำได้หยิบเครื่องมือนี้มาใช้ประยุกต์ต่อ การสร้างแผนเพื่อตอบสนองกับ การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันนั่นเอง ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ถึง- การคิดเชิงกลยุทธ์ในการมองอนาคต- การสร้างทางเลือกเชิงกลยุทธ์จากวิธี Scenario- เทคนิคการสร้างแผนกลยุทธ์ด้วยการสร้างภาพในอนาคต

6. Game Theory

Game Theory ของ John Nash เป็นวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ถึง 2 ครั้ง หลักการแนวคิดเชิงกลยุทธ์ ที่คำนึงถีง บุคคล ส่วนได้ ส่วนเสีย ผลกระทบอื่นๆ เพื่อมองให้เห็นถึงความเป็นจริง ในความต้องการ และ ความเป็นไป เช่น ความต้องการของลูกค้า การทำตัวเป็นลูกค้า ประเมินความต้องการของทั้งสองฝ่าย เพื่อที่จะหาจุดที่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ นักบริหาร จำเป็นที่จะต้องสร้างให้มีขึ้นในแนวความคิดของตนเองทั้งสิ้น เพื่อใช้ทั้งในการ วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินสถานการณ์ ทั้งตัวเอง และ บุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะทราบว่า เราควรที่จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดกลับเข้ามา

ทฤษฎีเกม แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

Zero Sum Game

- มุมมองของความคิด มีคนได้ ก็มีคนเสีย หรือ มากที่สุดก็เสมอกัน เช่น การเล่นฟุตบอล จะมีทีมใดทีมหนึ่งที่จะชนะ เมื่อมีคนชนะ ก็จะมีคนแพ้ และที่สำคัญ ไม่มีใครที่อยากเป็นคนพ่ายแพ้ ดังนั้น ทุกคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ เพื่อให้เป็นฝ่ายชนะ

ความหมายในดิกชันนารี ให้ความหมายของ Zero-sum game ไว้ว่า หมายถึง สถานการณ์ที่สองฝ่ายแข่งขันกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อฝ่ายหนึ่งชนะ อีกฝ่ายก็จะสูญเสีย หรืออีกนัยหนึ่งเมื่อเราเป็นฝ่ายได้ อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายเสีย โดยสิ่งสำคัญคือจำนวน (เงินหรือผลประโยชน์) ที่ฝ่ายหนึ่งได้รับนั้นจะเทียบเท่ากับจำนวนที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องสูญเสียไป (อาจจะไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าเป็นชัยชนะบนความสูญเสียของคนอื่น) ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Last man standing game

นักบริหารเชิงกลยุทธ์ที่ดี จะพยายามหลีกเลี่ยง Zero Sum Game เพราะอาจจะส่งผลเสียในอนาคต ยกเว้น เขาเชื่อมั่นว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน หรือ เขาไม่มีหนทางอื่นๆที่จะเลือกอีกแล้ว ถึงได้เข้าไปเล่นใน Zero Sum Game (Win - Lose)

Negative Sum Game

- หากมีเกมใดที่จะเข้าไปแล้วทำให้ผู้เล่นเสียผลประโยชน์ หรือ ใครก็ตามเข้ามาในเกมนี้ ก็จะเสียหาย ผู้เล่นที่เข้าเล่นในเกมส์นี้เหมือนคนบ้า ที่จะนำทั้งตัวเองและผู้เล่นอีกฝ่ายไปสู่การสูญเสีย ไม่มีใครได้ประโยชน์ ทุกคนเสียประโยชน์เท่ากัน เช่น การใช้สงครามราคา ที่ผู้ค้าแต่ละรายพยายามลดราคาลงให้ต่ำกว่าคู่แข่ง เพื่อหวังให้ยอดการจำหน่ายสูงขึ้น จนผู้ค้าในตลาดทั้งหมดต้องลดราคาลงตาม สถานการณ์แบบนี้ มีแต่สูญเสีย แข่งขันกัน ซึ่งถ้ามองในมุมของผู้ขาย ก็จะพบว่า ต่างฝ่ายต่างขายตัดราคา เพื่อพยายามยึดครองลูกค้าให้มากที่สุด แต่ไม่ได้คำนึงถึงกำไร-ขาดทุน จนบางครั้งขายขาดทุนไปจำนวนมาก เพื่อเอาชนะอีกฝ่าย และหากชนะ แต่ลูกค้าก็อยากที่จะได้ราคาถูกเช่นเดิม อาจจะหาคู่แข่งรายใหม่มาเป็นเพื่อนเล่นกับเราได้ ดังนั้น เกมที่เล่นแล้วมีแต่เสีย นักบริหารเชิงกลยุทธ์จะหลีกเลี่ยงเกมเหล่านี้ (Lose - Lose)

Positive Sum Game

- เป็นเกมที่ผู้เล่นทุกคนได้ผลประโยชน์ จะมากหรือน้อยก็ยังได้ผลประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ราคาน้ำมัน ประเทศผู้ผลิตน้ำมันยอมที่จะฮั้วกำลังการผลิตไม่ให้เกินโควต้าของแต่ละประเทศเพื่อควบคุมราคาน้ำมันในตลาดโลก มากกว่าที่จะเร่งกำลังการผลิตของตัวเองให้มากที่สุด เพราะการกระทำเช่นนั้น แม้ว่าตนเองจะขายน้ำมันได้มากขึ้น แต่ประเทศอื่นก็จะทำตามและส่งผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อาจจะลดลง ผู้ชนะในเกมส์คือประเทศที่มีน้ำมันเหลืออยู่เป็นประเทศสุดท้ายที่อาจจะกลายเป็นประเทศที่ขายน้ำมันเป็นเจ้าสุดท้ายของโลก ดังนั้นทุกประเทศที่ผลิตน้ำมันจึงรวมหัวกันกำหนดโควต้าเพื่อควบคุมราคาและยอมรับผลประโยชน์ที่แน่นอนแต่ไม่ได้มากที่สุดของแต่ละประเทศ เป็นต้น

นักบริหารเชิงกลยุทธ์ จะพยายามเล่นเกมนี้มากที่สุด เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน แบบ Win-Win แต่ทั้งนี้ คนที่ฉลาดกว่า และ มองเห็นลู่ทางที่ดีกว่า ก็จะได้รับผลประโยชน์จากเกมนี้มากกว่าอยู่ดี

อาหารไทย 22 ตำรับต้านโรคมะเร็ง

วิจัยพบอาหารไทย 22 ตำรับลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ผัดคะน้าน้ำมันหอยสุดยอดยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งในอาหารปิ้ง ย่าง รมควันมากที่สุด รองลงมาคือไก่ทอดสมุนไพร ทอดมันปลากราย

น.ส.มลฤดี สุขประสารทรัพย์ นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การควบคุมของ รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ อาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยการสนับสนุนของสภาวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมว่า ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยถึงแบบจำลองที่เลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อกลายพันธุ์ หรือสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารประเภทปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นระยะเวลานานๆ เกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป ก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นกัน

ทั้งนี้ได้นำอาหารดังกล่าวมาทำปฏิกิริยากับสารไนไตรท์ หรือดินประสิว ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคนเรา แล้วกินอาหารไทยร่วมด้วยจำนวน 22 ตำรับ คือ

แกงเลียง
แกงส้มผักรวม
แกงเผ็ดเป็ดย่าง
แกงเขียวหวานไก่
แกงจืดตำลึง
แกงจืดวุ้นเส้น
ต้มยำกุ้ง
ต้มยำเห็ด
ผัดคะน้าน้ำมันหอย
ผัดผักรวมน้ำมันหอย
ผัดกระเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว
ยำวุ้นเส้น ส้มตำไทย
เต้าเจี้ยวหลน
น้ำพริกกุ้งสด
น้ำพริกลงเรือ
ไก่ทอดสมุนไพร
ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศ
ฉู่ฉี่ปลาทับทิม
ทอดมันปลากราย
ห่อหมกปลาช่อนใบยอ

น.ส.มลฤดี กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้ได้ใช้สารสกัดจากอาหารไทย 22 ตำรับ ซึ่งแต่ละชนิดถูกเติมลงในสารละลายของแต่ละแบบจำลอง แล้วนำมาทดสอบการก่อกลายพันธุ์ โดยการศึกษาการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ของสารเคมีที่เป็นตัวแทนสารพิษ ที่ได้จากการกินเนื้อสัตว์ปิ้ง ย่าง รมควัน คือสารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons, PAHs) ระหว่างทำปฏิกิริยากับไนไทรต์ พบว่า กลุ่มอาหารไทยที่ให้ผลในการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ระดับสูงได้แก่ ผัดคะน้าน้ำมันหอย ไก่ทอดสมุนไพร ทอดมันปลากราย แกงเลียง ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศ ผัดกะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว แกงเผ็ดเป็ดย่าง แกงจืดตำลึง ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ส้มตำไทย และผัดผักรวมน้ำมันหอย

'สารสกัดจากผัดคะน้าน้ำมันหอยสามารถยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์มากที่สุด ส่วนเมนูอื่นๆ มีผลยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย'

น.ส.มลฤดีกล่าว น.ส.มลฤดีระบุว่า กลุ่มอาหารไทยที่ให้ผลในการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ระดับกลาง ได้แก่ ฉู่ฉี่ปลาทับทิม น้ำพริกลงเรือ ห่อหมกปลาช่อนใบยอ แกงจืดวุ้นเส้น แกงเขียวหวานไก่ แกงส้มผักรวม และต้มยำเห็ด เรียงตามลำดับ ส่วนกลุ่มอาหารไทยที่ให้ผลในการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์น้อยที่สุด เรียงตามลำดับจากน้อยถึงน้อยมากที่สุดคือ แกงจืดวุ้นเส้น แกงจืดตำลึง ส้มตำไทย ต้มยำเห็ดและแกงส้มผักรวม

ในส่วนของการศึกษาการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ของสารเคมีที่เป็นตัวแทนสารพิษ คือ เฮทเทอโรไซคลิก เอมีน (Heterocyclic Amines) ที่ได้จากการต้มปลาเป็นเวลานานระหว่างทำปฏิกิริยากับไนไตรท์นั้น น.ส.มลฤดี กล่าวว่า ผลการยับยั้งแสดงในระดับปานกลาง ซึ่งสารสกัดจากส้มตำไทยให้ผลดีที่สุด รองลงมาคือแกงส้มผักรวม ส่วนตำรับอาหารต่างๆ ที่ให้ผลรองลงมาได้แก่ ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผัดผักรวมน้ำมันหอย แกงเลียง ยำวุ้นเส้น ผัดคะน้าน้ำมันหอย ไก่ทอดสมุนไพร ฉู่ฉี่ปลาทับทิม ห่อหมกปลาช่อนใบยอ แกงเขียวหวานไก่ ทอดมันปลากราย แกงเผ็ดเป็ดย่าง น้ำพริกลงเรือ ผัดกะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว ต้มยำเห็ด แกงจืดวุ้นเส้น ต้มยำกุ้ง น้ำพริกกุ้งสด แกงจืดตำลึง และไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศ ตามลำดับ สำหรับเต้าเจี้ยวหลนไม่แสดงผลการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์

'ส่วนการศึกษาการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ของสารเคมีที่เป็นตัวแทนสารพิษ เฮทเทอโรไซคลิก อะมีน ที่ได้จากเนื้อตุ๋นเป็นเวลานานระหว่างทำปฏิกิริยากับไนไตรท์พบว่า ผลการยับยั้งแสดงในระดับต่ำ โดยสารสกัดจากส้มตำไทยให้ผลดีที่สุด รองลงมาได้แก่ ยำวุ้นเส้น แกงเลียง ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แกงเผ็ดเป็ดย่าง แกงเขียวหวานไก่ ทอดมันปลากราย ต้มยำกุ้ง แกงส้มผักรวม และผัดผักรวมน้ำมันหอยตามลำดับ' น.ส.มลฤดีกล่าว

10 วิธีถนอม กระดูกสันหลัง

มนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานวันนี้ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ทำงานนั่งหลังขดหลังแข็ง จนลืมดูแลพฤติกรรมตัวเองไปกันเกือบหมดแล้ว ส่งผลให้โครงสร้างร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกสันหลังที่เป็นเสาหลักของร่างกาย เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททุกเส้น ที่ออกไปควบคุมการทำงานของร่างกายในทุกระบบ เพื่อให้ร่างกายไม่ถูกทำร้ายด้วยความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีวิธีการหลีกหนีความเสี่ยงที่จะทำร้ายกระดูกสันหลังจาก ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ (Secret Shape Wellness Center)

1. การนั่งไขว่ห้าง

จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

2. การนั่งกอดอก

ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม

เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น

ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว

การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม

ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง

จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ

จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง

ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

"สแกนกระดูก" ปราบมะเร็งเร็ว - ถูกจุด

ปัจจุบันโรคร้ายที่คุกคามมนุษย์และเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตประชากรโลกในอันดับแรก คงหนีไม่พ้นโรคมะเร็ง โรคร้ายนี้บางรายอาจแพร่กระจายเข้าสู่กระดูก ทำให้เกิดอาการปวดกระดูก กระดูกหักง่าย และหากปล่อยให้เข้าสู่ส่วนระบบประสาทอย่าง กระดูกสันหลังหรือส่วนคออาจทำให้เป็นอัมพาตได้ ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และขณะนี้มีเทคโนโลยี "สแกนกระดูก" (Express Bone Scan) เป็นอีกทางเลือกในการรักษาน

พ.ธนเดช สินธุเสก ผู้อำนวยการศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี (ศูนย์มะเร็งปทุมธานี) กล่าวว่าโรคมะเร็งมีหลายชนิด และมักมีการลุกลามไปยังกระดูก การสแกนกระดูกจึงเป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยภาวะมะเร็งแพร่เข้าสู่กระดูก โดยโรงพยาบาลทั่วประเทศที่มีการตรวจด้วยเครื่องสแกนกระดูกมีน้อย บางครั้งผู้ป่วยต้องเสียเวลาในการตรวจวินิจฉัยนานหลายวัน จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับการรักษามะเร็งในแต่ละระยะ โดยใช้เวลารวดเร็วเพียงไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นแพทย์จะส่งผลให้ทราบภายหลัง

ด้าน นพ.รณน ทรงสวัสดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา ศูนย์มหาวชิราลงกรณ์ ธัญบุรี กล่าวเสริมถึงกระบวนการสแกนกระดูกว่า วิธีนี้จะฉีดสารเภสัชรังสีเข้าสู่หลอดเลือดดำ จากนั้นสารนี้จะกระจายจับกับกระดูก และสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติของกระดูกได้ เมื่อสแกนกระดูกตรวจดูบริเวณที่มีความผิดปกติ แพทย์จะวางแผนรักษาเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนทางกระดูกที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำต่อไปสำหรับขั้นตอนการสแกนจะใช้เวลาประมาณ 4 ชม. โดยหลังจากการฉีดยา ผู้ป่วยจะต้องรอ 2-3 ชั่วโมงให้สารไปจับกับกระดูก

จากนั้นจะให้ผู้ป่วยนอนราบกับตัวเครื่องโดยเริ่มสแกนตั้งแต่ส่วนล่างไล่ไปจนถึงส่วนบน ข้อมูลจากการสแกนจะถูกแสดงผลทางหน้าจอ ซึ่งส่วนที่มีความผิดปกติจะขึ้นเป็นจุดสีดำบ่งบอกถึงความผิดปกติไว้ ช่วงทำการสแกนผู้ป่วยจะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 30 นาที ส่วนสารที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยจะถูกขับออกในรูปของปัสสาวะ เหงื่อ การหายใจ และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

อย่าเชื่อ"สเต็มเซลล์" รักษาบางโรค - ไม่หายขาด

อย. เผยปัจจุบันเทคโนโลยี "สเต็มเซลล์" รักษาได้ผลจริงเฉพาะผู้ป่วยโรคเลือดที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม และรักษาผู้ป่วยที่ไขกระดูกถูกทำลายจากยารักษามะเร็ง ซึ่งจะช่วยผู้ป่วยให้มีอาการดีขึ้นเพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่พบผลการศึกษาวิจัยว่ารักษาโรคให้หายขาดได้ อย่าหลงเชื่อโฆษณาเกินจริงเพราะอาจได้รับอันตรายนพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา

(อย.) แถลงว่าปัจจุบันวงการแพทย์ยอมรับว่าสเต็มเซลล์ หรือ เซลล์ต้นกำเนิด รักษาได้ผลจริงเฉพาะในโรคเลือดเท่านั้น เช่น ใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคเลือดที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม และรักษาผู้ป่วยที่ไขกระดูกถูกทำลายจากยารักษามะเร็ง จากการศึกษาวิจัยส่วนใหญ่พบว่า การใช้สเต็มเซลล์ต้นกำเนิดจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่พบผลการศึกษาวิจัยว่าสามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ และอาจมีผลข้างเคียงจากการรักษาได้

เนื่องจากยังไม่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันด้านความปลอดภัยนอกจากนี้การโฆษณาอวดอ้างต่าง ๆ ว่า สเต็มเซลล์สามารถทำให้ขาวขึ้น สวยขึ้นนั้นยังไม่มีการพิสูจน์หรือยืนยันว่าใช้ได้จริง และตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง อย. ห้ามมิให้ใช้เซลล์เนื้อเยื่อหรือผลิตภัณฑ์มนุษย์เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง

นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า แม้พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 สเต็มเซลล์จะเข้าข่ายเป็นยาแต่เนื่องจากอาจมีความคลาดเคลื่อนหรือเข้าใจไม่ตรงกัน สำนักงานอย. เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว รวมถึงความจำเป็นและแนวโน้มการพัฒนาสเต็มเซลล์ จึงได้จัดทำระบบกำกับดูแลผลิตภัณฑ์จากสเต็มเซลล์เพื่อรองรับการผลิตหรือนำเข้า อีกทั้งยังร่วมมือกับแพทยสภา และกองการประกอบโรคศิลปะเพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภค สร้างความมั่นใจในการใชhผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณาอวดอ้างเกินจริง เสียเงินและเสียโอกาสในการรักษา

นอกจากนี้ อย. ยังเตรียมออกประกาศ เพื่อกำหนดมาตรการในการกำกับ ดูแลผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์โดยถือว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้นอกจากที่ใช้เป็นมาตรฐานในการรักษาจะจัดเป็นยาที่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัย ซึ่งจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายยา มิฉะนั้นจะเป็นการผลิตหรือนำเข้ายาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยหรือพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ โทร.สายด่วน อย. 1556 เพื่อจะได้ดำเนินการตรวจสอบต่อไป หรือตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ www.oryor.com/oryor_stemcell/

7 เม.ย. 2552

อาหารสร้างคอลลาเจน

สาว ๆ คงเคยได้ยินคำว่าคอลลาเจนมาบ้าง เพราะเราจะเห็นว่ามีทั้งอาหารเสริม (ความงาม) และเครื่องสำอางหลากหลายที่บอกเราว่ามีส่วนผสมของคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง...แต่คุณทราบไหมว่าเราสามารถสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเองได้ เพียงแต่รับประทานสิ่งเหล่านี้

1. ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองทั้งหลาย เนยแข็ง หรือชีส 3 อย่างนี้ นอกจากช่วยกระตุ้นคอลลาเจนแล้วยังช่วยชะลอความชราของผิวหนังได้อีกด้วย

2. ผักใบเขียว เพราะประกอบไปด้วยสารสำคัญที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้เอง

3. ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีและวิตามินเอสูง ๆ ซึ่งได้แก่ผลไม้ที่มีสีแดง สีส้ม ที่มีสารต้านออกซิเดชั่น ต้านอนุมูลอิสระ จะเสริมให้มีการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น มะเขือเทศแดง พริกหยวกแดง หรือผลไม้ที่มีสีแดงคล้ำ เช่น บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ฯลฯ

4. อาหารทะเลที่มีสารโอเมก้า เช่น ปลาทู ปลาซัลมอน และถั่วต่าง ๆ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเองได้คอลลาเจน คือโปรตีนไฟเบอร์ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกายเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง กระดูก ปอด เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน แม้แต่ผนังเส้นเลือดก็ยังมีคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญ

คอลลาเจนจึงนับเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดประมาณ 25 % ในร่างกายของสัตว์เลือดอุ่น มีคุณสมบัติที่สำคัญคือไม่ละลายน้ำ แต่อุ้มน้ำได้ดีและได้มาก มีความแข็งแรงโดยทำงานร่วมกับอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนัง

สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่ลำไส้

เมื่อคืนนี้ดิฉันมีอาการนอนไม่หลับทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนที่หัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที พลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบว่าวันนี้เราไปทำอะไรมาบ้าง ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เรามีชีวิตที่รีบเร่งจนลืมทำธุระสำคัญยิ่งนั่นคือการขจัดเอาของเสียออกจากร่างกายเพราะรีบออกจากบ้านตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดมิด ไปว่ายน้ำแล้วเจอะเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนาน คุยกันตั้งแต่ในสระน้ำจนอาบน้ำแต่ตัวเสร็จ แล้วก็ต้องรีบไปทำธุระทีนัดไว้ กว่าจะเสร็จเอาช่วงบ่ายก็รีบกลับบ้านที่เขาใหญ่ เมื่อมาถึงก็มัวติดพันอยู่กับธุระในครัว จนอาบน้ำเสร็จมารู้ตัวอีกทีก็นอนตาไม่หลับเสียแล้วเมื่อระลึกได้ดังนี้ดิฉันจึงรู้สาเหตุของการนอนไม่หลับ รีบลุกขึ้นมาบริหารท่าโยคะที่ช่วยให้ลำไส้บีบตัว ดื่มน้ำอีกทางหนึ่งปรากฏว่าไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำจัดการกับการถ่วงหนักในลำไส้ไปเสียได้ จึงได้นอนตาหลับเสียที



บางคนอาจจะคิดว่าสุขภาพที่ดีต้องเริ่มต้นที่การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือออกกำลังการสม่ำเสมอหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับดิฉันแล้วคิดว่าสุขภาพดีเริ่มต้นที่การขจัดเอาขยะในร่างกายเราทิ้งไปเสียก่อน

ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ทำข้อมูลเมื่อหลายๆ ปีมาแล้วว่าผู้ชายอเมริกันขนาดมาตรฐานคนหนึ่งๆ นั้นจะมีขยะ ที่ร่างกายไม่ต้องการตกค้างอยู่ในลำไส้ถึงคนละ 5 กิโลกรัม (จนถึงปัจจุบันนี้อาจจะมากกว่า 5 กิโลกรัมก็ได้เพราะลองพิจารณาดูหุ่นของคนอเมริกันดูก็แล้วกัน) ฟังแล้วอาจจะนึกว่าคนเรานี่สามารถเก็บของเสียของเน่าไว้ในร่างกายมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ

อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นไปได้ คนเรากินอาหารเฉลี่ยกันวันละ 3 มื้อ แล้วบางคนยังกินจุกกินจิบระหว่างมื้ออีก ถ้าลองเอาอาหารที่กินใน 1 วันวางกองเข้าไวในถาดคงจะได้กองโตอยู่ อาหารพวกนี้ถ้าเราค่อยๆ บรรจงเคี้ยวให้ละเอียดเนียนดีก่อนกลืนมัน ก็คงจะซึมไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้มากและได้ดี

ถ้าเคี้ยวให้ละเอียดเนียนดีก่อนกลืนมันก็คงจะซึมซับไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้มากได้ดี ถ้าเคี้ยวแบบกลัวใครจะมาแย่งกินก็คงจะหยาบ ร่างกายย่อยยากย่อยไม่ได้ก็ส่งไปจนถึงลำไส้ใหญ่ที่จะบีบคั้นออกมาเป็นของเสียให้เราขับออกทางทวารมีใครลองเทียบกันไหมว่าเจ้าของเสียที่ออกมากับเจ้าอาหารกองโตที่เรากินเข้าไปนั้นมันจะพอๆ กันหรือเปล่าหรือมากน้อยกว่ากันเท่าไรมีข้อมูลที่ได้จากการวิจัยอันน่าสนใจว่าสำหรับคนที่ชอบกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันและเนื้อสัตว์สูงนั้น จะถ่ายอุจจาระประมาณวันละ 3-4 ออนซ์เท่านั้น และใช้เวลาให้อาหารเดินทางนับใส่เข้าปากจนออกมาทางทวารนั้นถึง 2-3 วันทีเดียว

ยิ่งในรายผู้สูงอายุหน่อยที่ระบบอะไรต่อมิอะไรมันชักจะด้อยประสิทธิภาพลง ก็อาจใช้เวลามากกว่า 1 อาทิตย์ (ฟังแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลังจะสูงอายุเช่นดิฉัน) ส่วนคนที่ชอบกินผักผลไม้มากๆ คือชอบอาหารประเภทเส้นใย จะถ่ายอุจจาระวันละประมาณ 13-17 ออนซ์ และใช้เวลาให้อาหารเดินทางกว่าออกมาเป็นเวลาประมาณ 20-30 ชั่วโมงนั่นแปลว่าไอ้อะไรที่ใส่เข้าไปทางปากทั้งหมดนั้นไม่ได้ออกมาหมดหรอกนะ ต้องมีที่ตกค้างบูดเน่าอยู่ในท้องในไส้เราเป็นแน่

มีนักเรียนที่มาเรียนทำอาหารสุขภาพกับดิฉันท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นโรคท้องผูกแบบคลาสสิกมาก ผูกเป็นปกติไม่ไล่ไม่ออก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอปวดท้องมากจนทนไม่ไหว จึงเอาน้ำสบู่ฉีดสวนเข้าไปอย่างแรงและก็พลันมีก้อนแข็งๆ เท่าลูกบอลลูกเล็กลูกหนึ่งหล่นพรวดออกมา ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร มันอัดกันกลม แข็ง แน่น เหนียว อย่างน่าสยดสยองที่เดียวอาการเกี่ยวกับการมีของบูดเน่าค้างเป็นขยะอยู่ในร่างกายเรานี้แสดงออกมาได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า ท้องอืดแน่นเรอเหม็นเปรี้ยว ลมในท้อง ท้องผูก ท้องเสียหรืออาการถ่ายไม่ปกติ บางทีอาจปวดหัวหรือนอนไม่หลับ อาจผิวพรรณไม่ผุดผ่องหรือมีผื่นคัน เป็นต้น

ของสำคัญก็คือ ขืนเรายังทำตัวเป็นนักอนุรักษ์ของเก่าไว้ในร่างกายเรานานๆ เข้าร่างกายเราก็ดูดซับเอาของเสียนี้กลับมาเลี้ยงร่างกายต่อไป เป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ ได้เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรทำลำไส้ของเราให้สะอาด อย่าให้มีของเน่าตกค้างอยู่มากมาย พยายามกำจัดมันเสีย ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าลำไส้ของเรานั้นมีหน้าที่ทำอะไรบ้างอันลำไส้ใหญ่นี้อยู่ในช่องท้องด้านล่าง ถัดจากทวารขึ้นไปยาวประมาณ 5 ฟุตกว่า มีหน้าที่รับเอาเจ้ากากอาหารที่เหลือสุดท้ายร่างกายย่อยไม่ได้แล้ว มาจัดการบีบ รีดเอาน้ำและสารอาหารพวกวิตามิน เกลือแร่ออกมาให้หมดเป็นครั้งสุดท้ายรีดของดีๆ ออกมาได้เท่าไรก็ส่งกลับผ่านตับไปเลี้ยงร่างกายต่อไป

ส่วนกากที่เหลือก็จะขยับรัดตัวไล่ให้กากนี้เลื่อนเคลื่อนตัวออกไปให้พ้นจากร่างกายผ่านทางทวาร ถ้าหากมีอะไรที่ไม่ดี เป็นอันตรายต่อผนังลำไส้ที่มีหน้าที่ดูดซับผ่านมา ลำไส้ก็จะป้องกันตัวเองด้วยการผลิตเมือกปิดกั้นผนังไว้ไม่ระคายเคืองได้ ถ้าขืนเรายังใส่ของไม่ดีให้ร่างกายต่อไป ร่างกายก็จะสร้างเมือกนี้ไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ จนอาจเหลือทางให้กากอาหารเดินผ่านแคบลงๆ และยังอาจทำให้ระคายเคือง ผนังลำไส้ก็จะปูดออกตรงโน้นตรงนี้ เกิดเป็นอาการลำไส้อักเสบได้ และเมื่ออักเสบมากขึ้นก็ย่อมเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้คราวนี้ในลำไส้ของเราก็จะต้องมีแบคทีเรียอยู่ 2 ชนิดคือตัวดี และตัวเลว ลำไส้ที่แข็งแรงมีประสิทธิภาพจะต้องมีแบคทีเรียชนิดดีมากๆ และมีชนิดเลวน้อยๆ

บางทีเราอาจจะนึกไม่ถึงว่าเราเองนั้น เป็นผู้สะสมเลี้ยงดูเจ้าแบคทีเรียชนิดเลวไว้อย่างมากมาย ในลำไส้ของเราเองนี้ แบคทีเรียชนิดเลวอาจเกิดจากการบูดเน่าสะสมของเสียในลำไส้หรือการกินของที่ทำให้เกิดการบูดเน่า เช่นมีการวิจัยว่าการกินเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดจากการบูดเน่าในลำไส้ได้ ส่วนแบคทีเรียชนิดดีนั้นก็อาจมาจากการกินอาหารที่ดี การไม่สะสมของบูดเน่าไว้ในลำไส้

ของหมักดองบางชนิดที่เกิดจากการหมักดองด้วยวิธีธรรมชาติจะทำให้เกิดแบคทีเรียที่ดีได้ เช่น โยเกิร์ตหรือเต้าเจียวที่เกิดจากการหมักจากธรรมชาติ เป็นต้น และการกินยาประเภทยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) จะเป็นการทำลายแบคทีเรียชนิดดีให้ล้มตายระเนระนาดเลยทีเดียว ข้อนี้ต้องระวังกันให้มากเพราะเห็นคนไทยเรานี้อึกอักก็กินยาปฏิชีวนะกันเป็นว่าเล่นแม้แต่เด็กเล็กๆ



แบคทีเรียชนิดที่ดีจะทำหน้าที่ควบคุมชนิดเลวไว้ว่าอย่ากำเริบโอหัง จงอยู่อย่างสงบ มึนจึงทำหน้าที่ควบคุมท้องร่วง ท้องผูก ช่วยลดคลอเรสเตอรอล และช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วยคราวนี้มาถึงวิธีที่เราควรจะดูแลลำไส้ใหญ่ของเราให้มีสุขภาพดี ที่ทำได้ด้วยการใส่ใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้
• เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน อย่าทำตัวเป็นเด็กวัดหรือเด็กนักเรียนประจำที่กลัวว่าจะอดกิน ให้หัดให้เป็นนิสัยที่จะค่อยๆ เคี้ยว ค่อยๆ กลืน แล้วก็อย่าพูดมากเวลากินอาหาร
• เลือกอาหารที่กิน รู้ว่าอะไรไม่ดีจะไปบูดไปเน่าหรือย่อยยาก ไขมันเยอะ ของทอด ของเสียก็หลีกเลี่ยงเสีย นึกเสียว่านี่เราจะดันทุรังกลืนเอาของเน่าเข้าไปทำไม หัดกินของที่มีเส้นใยมากขึ้น
• ดูแลเรื่องขับถ่ายในชีวิตประจำวันให้สม่ำเสมอ หมั่นสังเกตว่าการขับถ่ายของเราเป็นอย่างไร ที่ออกมานั้นสุขภาพดีไหม นุ่มนวล สีสวย ไม่แข็งโป๊กหรือลีบเล็ก กะปริดกะปรอย หรือเป็นเม็ดขนุน เรื่องขับถ่ายนี่เป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้ที่เดียว หัดสังเกตว่าเรากินอะไรท้องจะผูก วันไหนของเสียยังไม่ออกมาก็อย่ารื่นเริงไปกินเลี้ยงเอาขยะใส่เพิ่มพูนเข้าไปอีก
• เพื่อให้ระบบของลำไส้ดีขึ้น ก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหว ทำงานมีประสิทธิภาพเราจะเห็นว่าคนสมัยใหม่นี้ท้องผูกกันมากขึ้น เพราะกินแต่แป้งขัดขาวกับน้ำตาล และไขมัน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านเบเกอรี่เปิดกันทุกหัวมุมถนน แถมยังไม่ทำสวนทำไร่ กวาดบ้านถูเรือน ได้แต่นั่งกินนอนกิน ก็เห็นจะจบลงด้วยโรคภัยนี่เอง

กินอาหารต้านไขมันในเลือด (โคเลสเตอรอล)

(1). กินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวน้อย

กินอาหารโปรตีนที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยหน่อยได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและไม่ติดมัน อาหารไม่ใส่กะทิ

(2). หลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัวสูง

ควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงได้แก่ กะทิ ครีม มันสัตว์ หนังสัตว์

(3). หลีกเลี่ยงอาหารไขมันทรานส์สูง

อาหารไขมันทรานส์สูงได้แก่ อาหารทอดสำเร็จรูป (ฟาสต์ฟูด) เนยขาว (ชอร์เทนนิ่งที่ใช้ทำเบเกอรี) ขนมปังและขนมหวานกลุ่มเบเกอรี คอฟฟี่เมต (ครีมเทียม)

(4). ใช้น้ำมันผสมเอง

ทำน้ำมันผสมเอง โดยผสมน้ำมันรำข้าวกับน้ำมันถั่วเหลือง ทอดหรือผัดโดยใช้น้ำมันแต่น้อย เช่น ใช้กะทะเคลือบเทพลอน ฯลฯ

(5). ถ้าไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง

ให้เลี่ยงอาหารผัดๆ ทอดๆ ลดขนม ลดแป้ง ลดน้ำตาล ลดน้ำหวานและอย่าลืมเลิกเหล้า เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

(6). กินไข่ได้กินไข่ได้

วันละ 1 ฟองถ้าตรวจเลือดแล้ว ไขมันในเลือดหรือโคเลสเตอรอลต่ำกว่า 200 (หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) และออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล... กินได้ทุกวัน

(7). กินข้าวไม่ขัดสี

ข้าวหรือธัญพืชไม่ขัดสีได้แก่ ข้าวกล้อง ขนมปังเติมรำ (โฮลวีท) ข้าวโอ๊ต มีส่วนช่วยดูดซับโคเลสเตอรอลในอาหารและในน้ำดี จับแล้วขับออกไปทางอุจจาระ

(8). กินผักมากขึ้น

(9). กินผลไม้ทั้งผล

กินผลไม้ไม่หวานจัดทั้งผล ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้

(10). ดื่มนมไขมันต่ำ

เปลี่ยนนมไขมันเต็มส่วนเป็นนมไขมันต่ำ หรือนมไม่มีไขมันไม่ควรดื่มนมเติมน้ำตาล เช่น นมรสหวาน นมรสกาแฟ นมรสชอคโกแลต ฯลฯถ้าไม่ชอบนม... ควรดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม (นมถั่วเหลืองดี ทว่า... แคลเซียมต่ำ แก้วหนึ่งมีแคลเซียมประมาณ 4-8% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน)น้ำเต้าหู้ที่ขายทั่วไปมักจะเติมน้ำตาลสูง และอาจเติมแป้ง ครีมเทียม (คอฟฟี่เมต) หรือสารแต่งรสแต่งกลิ่นอื่นๆ เข้าไป ถ้าเป็นไปได้... ควรหลีกเลี่ยงน้ำเต้าหู้ และดื่มนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมแทน

(11). กินถั่วเปลือกแข็ง

ถั่วเปลือกแข็งหรือนัทดี... แต่แพง ควรกินถั่วลิสงคราวละไม่เกิน 1 กำมือ เพื่อให้ได้กรดไขมันชนิดดีมาก

(12). กินปลากินปลา

ที่ไม่ผ่านการทอดสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งปลาที่ผ่านการทอดจะเสียน้ำมันปลาบางส่วนไปในกะทะ และดูดซับน้ำมันที่ใช้ทอดเข้ามาแทน

(13). กินหลากหลาย

กินอาหารให้ครบทุกหมู่ กินพอดี และกินให้หลากหลาย ไม่ควรกินอาหารซ้ำซากจำเจทุกวัน

(14). ลด-ละ-เลิกแอลกอฮอล์

ลด-ละ-เลิกเหล้า เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าเลิกไม่ได้จริงๆ ก็อย่าดื่มหนัก

10 สุดยอดอาหารสำหรับผู้หญิง

หากต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บและคงความอ่อนเยาว์ไวันานๆ ก็ต้องหันมาใส่ใจกับอาหารการกินในชีวิตประจำวันกันค่ะ โดยเฉพาะการบำรุงจากภายในด้วย 10 สุดยอดอาหารที่ขอแนะนำดังนี้

1. ข้าว

มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายโดยเฉพาะข้าวกล้องที่มีสารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด มีโพแทสเซียมที่ช่วยขจัดน้ำและขจัดสารพิษออกจากร่างกายมีคาร์โบไฮเดรตสูง แต่มีไขมันต่ำและมีโปรตีนแต่ไม่มีคอเลสเตอรอล มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬาเพราะนอกจากจะช่วยในกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อแล้ว มันยังให้พลังงานที่สำคัญแก่สมองและเซลล์ประสาทด้วย นอกจากนี้ข้าวกล้องยังมีแคลอรี่ต่ำจึงไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งยังช่วยให้อ่อนเยาว์เนื่องจากมีวิตามินบี 2 และไนอาซินซึ่งเป็นกลไกซ่อมแซมผิวหนังตามธรรมชาติ ส่วนวิตามินอีในข้าวกล้องก็ช่วยให้ผิวหนังกระฉับเต่งตึง คุณอาจทานข้าวอื่นๆ ทดแทนได้ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวหอมนิล ข้าวซ้อมมือ สารอาหารที่มีประโยชน์ วิตามินบี1 บี2 บี6 ไนอาซิน วิตามินอี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แมกนีเซียม แมงกานีส โพแทสเซียม ฯลฯ

2. บร็อกโคลี่

เป็นอาหารที่เปลี่ยนเสมือนอาวุธชั้นดีที่ใช้ต่อสู้กับมะเร็ง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา ระบบหัวใจและหลอดเลือดช่วยให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันการแท้งบุตร ผักที่ทดแทนกันได้คือ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว สารอาหารที่มีประโยชน์ กากใยอาหารแคลเซียม วิตามินซี วิตามินเค เหล็ก เบต้าแคโรทีน ฯลฯ

3. โยเกิร์ต

ช่วยฆ่าแบคทีเรียตัวร้ายช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ป้องกันมะเร็ง ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตหากกินโยเกิร์ตสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันโรคจากเชื้อรา(ในจุดซ่อนเร้นและติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ) แนะนำให้เลือกโยเกิร์ตที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ และควรมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ สารอาหารที่มีประโยน์ โปรตีน แคลเซียม วิตามินบี แมกนีเซียม สังกะสี มีแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้

4 ฟักทอง

มีแคโรทีนนอยด์สูงในการป้องกันมะเร็งชนิดต่างๆ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงแลมีประโยชน์ต่อดวงตา หรือหากไม่ชอบฟักทองก็อาจทานผักอื่นทดแทน เช่น แครอท หัวมัน ผักผลไม้ที่มีสีส้ม สารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อัลฟ่าเบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี กากใย อาหาร โพแทสเซียม แมกนีเซียม

5 ส้ม

มีวิตามินและสารอาหารที่มีปรโยชน์มาก ช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงป้องกันมะเร็ง ป้องกันเบาหวานและควาดันโลหิตสูง แถมยังมีรสอร่อยด้วย หรือจะทานมะนาว เกรฟฟรุต หรือส้มตะกูลอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน สารอาหารที่มีประโยชน์ วิตามินซี กากใยอาหาร โพแทสเซียม เพ็กติน โพลีฟีนอยด์

6.อกไก่

(ปราศจากหนังและสารเร่งการเจริญเติบโต เช่นไก่บ้านหรือไก่สามสาย) ให้โปรีที่มีไขมันต่ำสุด มีซิลิเนียมสูง มีสารอาหารที่สำคัญสำหรับภูมิคุ้มกัน สารอาหารที่มีประโยชน์ โปรตีนที่มีไขมันต่ำ วิตามินบี ไนอาซิน เหล็ก ซิลิเนียม สังกะสี

7. ถั่วเหลือง

ป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรหัวใจและกระดูกพรุน ช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตและช่วยทดแทนโปรตีนจากสัตว์ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักมังสวิรัติ คุณอาจทานถั่วเหลืองในรูปของก้อนเต้าหู้มิโสะ หรือน้ำเต้าหู้ก็ได้ สารอาหารที่มีประโยชน์ ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 จากพืช วิตามินอี ซิลิเนียม โพแทสเซียมและโปรตีนจากพืช

8. ปลาแซลมอน

มีสารอาหารสำคัญคือกรดไขมันโอเมก้า3 ซึ่งจะช่วยป้องกันมะเร็ง มีประโยชน์สำหรับดวงตาและรักษาความสมดุลของโลหิต ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล ระบบหัวใจ และหลอดเลือดให้สมดุล หรือจะทานปลาซาร์ดีน ปลาทะเลอื่นๆ หรือหอยก็ได้เช่นกัน สารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น กรดไขมัน โอเมก้า3 ซิลิเนียม วิตามินบี โปรตีน โพแทสเซียม

9. ผักโขม

ป๊อปอายรู้มานานแล้วว่าผักโขมช่วยให้ร่างกายฟิตและแข็งแรงป้องกันตาบอดในวัยชรา มีประโยชน์สำหรับหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันมะเร็ง หากไม่ชอบทานผักโขมก็อาจทานผักอื่น เช่น กะหล่ำเขียว ผักและผลไม้สีส้ม สารอาหารที่มีประโยชน์ มีแร่ธาตุเกือบครบทุกชนิด เช่้น แมกนีเซียม เหล็ก แคลเซียม สังกะสี กรดไขมัน เบต้าแคโรทีน วิตามินอี วิตามินซี ฯลฯ

10 ชา

ทำไมคนจีนจึงมีอายุยืนก็เพราะพวกเขาชอบดื่มชานั่นเอง ทั้งนี้ชามีสารฟลาโวนอยด์(สารจากพืชในใบชา) ซึ่งจะช่วยให้ระบภูมิคุ้มกันแข๊งแรงและป้องกันมะเร็ง สารฟลูออไรด์ในชามีประโยชน์ต่อฟันและป้องกันฟันผุคุณอาจดื่มชาดำหรือชาเขียวก็ได้ สารอาหารที่มีประโยชน์ ฟลูออไรด์และสารฟลาโวนอยด์

สมุนไพรช่วยลดความดัน

ทราบหรือไม่ว่า สมุนไพรพื้นบ้านก็สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก ...

กระเทียม

ซอยกระเทียมสดประมาณครึ่งช้อนชา กินพร้อมอาหารวันละ 2 - 3 ครั้งหรือจะใช้วิธีเคี้ยวกระเทียมสด ๆ ก็ได้ อย่ากินตอนท้องว่าง เพราะฤทธิ์ร้อนของกระเทียมจะทำให้แสบกระเพาะได้

ขึ้นฉ่าย

เลือกต้นสดมาตำ คั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือใช้ต้นสด 1 - 2 กำมือ ตำให้ละเอียดต้มกับน้ำ แล้วกรองเอากากออก ใช้รับประทานครั้งละ 1 - 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร หรือกินเป็นผักสดผสมในอาหารก็ได้

กาฝากมะม่วง

ใช้กาฝากของต้นมะม่วง นำมาตากแห้งต้มน้ำดื่มต่างน้ำชาหรือตากแห้งคั่วแล้วชงดื่ม ในบางท้องถิ่นให้ใช้กาฝากสดนำใบและกิ่ง 1 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม

กระเจี๊ยบแดง

ใช้กลีบเลี้ยงแห้ง ต้มน้ำหรือชงน้ำร้อนกินเป็นชากระเจี๊ยบ ช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอลได้ แก้นิ่ว และลดไข้

บัวบก

ในตำรายาไทยทั่วไปใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน แต่มีตำรายาพื้นบ้านที่นำมาใช้ลดความดันโลหิตสูง โดยใช้ต้นสด 1 หรือ 2 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม

ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ ที่ใช้ปรุงอาหารเป็นประจำและมีสรรพคุณช่วยลดความดันได้ เช่น ขิง ขี้เหล็ก ผักชี ผักชีฝรั่ง มะขาม แมงลัก เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากให้ความดันโลหิตสูงลดลง ลองหาสมุนไพรที่แนะนำมาทานกันได้

วิธีตรวจความบริสุทธิ์ของผู้ชายและผู้หญิง..ฮาดี

วิธีตรวจความบริสุทธิ์ของผู้ชาย'

เด็กสาวที่แสนจะเรียบร้อยและเป็นคนตรงอย่างเด็ดขาด

กำลังจะเดินทางไปเมืองใหญ่

ก่อนเดินทาง

มารดาได้ให้คำแนะนำบางอย่างเกี่ยวกับวิธีพิจารณาชายหนุ่มคนที่คู่ควรจะแต่งงานด้วย

ว่าจงทำตามคำแนะนำต่อไปนี้

คือต้องเป็นผู้ชายที่ ' ไว้ใจได้' ........ ไม่ฟุ่มเฟือย'

และต้องเป็นหนุ่มที่ยังคงความ 'บริสุทธิ์'

เด็กสาวจดจำคำแนะนำติดตัวไป

สองสามเดือนต่อมา

เด็กสาวเดินทางกลับบ้านเพื่อขอให้มารดาอวยพรสำหรับงานแต่งงานแม่คะ

หนูพบผู้ชายที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแม่เปี๊ยบเชียวค่ะ

สามีในอนาคตของหนูเป็นคนที่ไว้ใจได้

เพราะเมื่อเราออกไปเที่ยววันหยุดด้วยกันวันหนึ่ง

เขาเอาใจใส่หนูดีมาก

ไม่วอกแวกเลย

ถึงแม้จะมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยมากมายแถวนั้น

' < ถือว่าไว้ใจได้ ใช่ไหมคะ'

มารดาก้มศีรษะเห็นด้วย

จากนั้น เนื่องจากเราเที่ยวกันดึกไปหน่อย

แล้วฝนก็เริ่มตกหนัก

เขาเลยตัดสินใจพักค้างคืนที่โรงแรม

เขายังแนะนำด้วยว่า

เพื่อไม่ต้องใช้จ่ายเงินให้มากเกินไป

เราควรใช้ห้องร่วมกันจะดีกว่า'

เขาไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยเลยใช่ไหมคะ'

เป็นครั้งที่สองที่มารดาก้มศีรษะเห็นด้วย

แต่มีแววเอะใจเล็กน้อย

และในที่สุดค่ะแม่

หนูก็รู้ว่าเขาบริสุทธิ์!'

หนูรู้ได้อย่างไรจ้ะว่าเขายังบริสุทธิ์อยู่'

มารดาถามเร็วปรื๊อ

ก็สิ่งนั้นของเขาใหม่มากเลยค่ะ

ยังห่ออยู่ในถุงพลาสติกเรียบร้อยเชียวนะคะ ....

วิธีดูว่าเจ้าสาวบริสุทธู์อยู่หรือเปล่า ,

เด็ดมากไม่อ่านไม่ได้ !!!

ชายหนุ่มที่กำลังจะได้แต่งงานได้เข้าไปซื้อของในร้านเครื่องมือช่าง

เขาซื้อสี 2 ถัง กับขวานอีกหนึ่งอัน

เจ้าของร้านสงสัยจึงถามชายหนุ่ม

เจ้าของร้าน คุณจะเอาสี 2 ถัง

กับขวานไปทำอะไรรึ

ชายหนุ่ม เอาไปใช้หลังพิธีแต่งงานของผมครับ

เจ้าของร้าน หลังพิธีแต่งงาน ?

จะใช้ยังไงผมไม่เข้าใจ ชายหนุ่ม

ก็หลังจากอุ้มเจ้าสาวเข้าห้องหอ

ผมก็เอาสีแดงทาไข่ข้างหนึ่ง

สีน้ำเงินทาไข่ข้างหนึ่งแล้วมือก็ถือขวานไว้

หากแฟนผมพูดว่า '

< ฉันไม่เคยเห็นไข่ใครเหมือนของคุณเลย'

ผมจะเอาขวานฟาดหัวเธอ

"อะมิโน เปปไทด์" คืออะไร ......สามารถช่วยลด "ริ้วรอย" ได้ตามโฆษณาหรือไม่ ?!?

*"อะมิโน เปปไทด์" สารชนิดใหม่ในวงการเครื่องสำอาง ถูกอ้างว่าสามารถช่วยชะลอและทำให้ผิวหนังเต่งตึงได้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่

*การทดลองเพียงใน "หลอดแก้ว" จะได้ผลเดียวกันในร่างกายมนุษย์หรือ *

เครื่อง สำอางและเวชสำอางถูกออกแบบมาเพื่อบำรุงและปกปิดข้อบกพร่องของผัวหนัง อย่างไรก็ตาม สินค้าเครื่องสำอางไม่ได้ถูกทดสอบและรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แต่สินค้าส่วนใหญ่ได้รับการวิจัยและพัฒนาจากหลักการทางทฤษฎีของสารสำคัญ ที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง การศึกษาวิจัยมักทำให้หลอดทดลอง รวมไปถึง

*"อะมิโน แอซิด เปปไทด์" ที่กำลังฮือฮาก็เช่นกัน นับเป็นสารใหม่ล่าสุดในวงการเครื่องสำอาง ที่เป็นความหวังในการช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า โดยไม่ต้องอาศัยการฉีดยาหรือทำศัลยกรรม*

*"อะมิโน เปปไทด์" คืออะไร ?*

เปป ไทด์ คือ โมเลกุลของโปรตีนอะมิโน แอซิด หลายๆ โมเลกุลมาเกาะกันเป็นสายโซ่สั้นๆ มีการนำมาผสมผสานลงในสูตรตำรับของเครื่องสำอาง เช่น ครีมรอบดวงตา ครีมบำรุง ผิวหน้าและลำคอ เนื่องจากมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยว่า เปปไทด์เหล่านี้

*สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกลงไปได้ ช่วยกระตุ้นการสมานแผล ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตาและร่องแก้ม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีรายงานผลของเปปไทด์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมๆ ไปกับการยับยั้งการทำลายคอลลาเจนอีกด้วย *

*ผล การศึกษาเหล่านี้ทำให้เชื่อได้ว่า "อะมิโน เปปไทด์" จะให้ประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย ทำให้ร่องลึกของริ้วรอยบนใบหน้าน้อยลงหรือจางลง และป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ แถมผิวหนังยังเต่งตึงขึ้นจากการสร้างคอลลาเจนใหม่อีกด้วย ผลการลดริ้วรอยจะได้ผลประมาณ 16 - 27 % หากใช้อย่างต่อเนื่อง*

อุตสาหกรรม เครื่องสำอางมีความหวังว่า "อะมิโน เปปไทด์" น่าจะนำมาใช้ทดแทนการทำศัลยกรรมเลเซอร์ หรือการฉีดสารโบทอกส์หรือสารคอลลาเจนเข้าผิวหนัง เพื่อวัตถุประสงค์ในการลดริ้วรอย สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการหรือกลัวเข็มฉีดยา

*"อะมิโน เปปไทด์" ลดริ้วรอยได้จริงหรือไม่ ?*

*การศึกษาเรื่องอะมิโน เปปไทด์ ส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในหลอดทดลอง

*ซึ่งเป็นที่ทราบกับดีในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์กา­รแพทย์ว่า ผลการศึกษาที่ได้จากหลอดทดลอง

* อาจไม่ได้ผลในการวิจัยกับสัตว์ทดลองและอาจไม่ได้ผลในคน

*เนื่องจากสารสำคัญที่ออ­กฤทธิ์จำเป็นต้องถูกนำส่งไปยังเป้าหมาย คือ ผิวหนังชั้นล่าง เช่นเดียวกับ "อะมิโน เปปไทด์" การที่จะให้มีประสิทธิผล เนื้อครีมต้องมีประสิทธิภาพในการปล่อยสารออกฤทธิ์ที่ผิวหนังชั้นล่างหรือผิว หนังแท้

*ดังนั้น ประโยชน์ของอะมิโน เปปไทด์ จึงยังเป็นที่สงสัย เพราะสารที่จะเดินทางลึกลงไปยังผิวหนังชั้นล่างได้ จะต้องอยู่ในสภาพที่มีความคงตัวและต้องไม่ถูกย่อยสลายระหว่างการเดินทาง*

*ความปลอดภัย*

ผล การศึกษาในระยะสั้นยังไม่พบอาการข้างเคียงแต่อย่างใด แต่การใช้สะสมในระยะยาวนั้น ยังไม่มีการรายงานเรื่องผลข้างเคียง มีเพียงข้อบ่งชี้ว่าไม่ควรใช้แบบความเข้มข้นสูงมากกว่า 10 % เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อและผิวหนังย่นเป็นถุงได้

*ข้อแนะนำการใช้เครื่องสำอางให้ได้ผล*

ผู้ บริโภคยังไม่ควรตื่นเต้นกับสินค้าใหม่เหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาสินค้าเครื่องสำอางเปรียบเสมือนแฟชั่น ที่ผู้ผลิตพยายามค้นหาสิ่งใหม่ๆ มาดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคเท่านั้น

*1.* ความทำความสะอาดและบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวทุกครั้ง เพื่อปกป้องไม่ให้ผิวหน้าแห้ง นี่คือเคล็บลับสำคัญของการป้องกันการเกิดริ้วรอย (ควรป้องกันไว้ก่อน เพราะว่าง่ายกว่าการแก้ไขในภายหลัง)

*2.* เวลากลางวันอาจต้องทางครีมกันแดด เพื่อป้องกันรังสียูวีไม่ให้มาทำลายเซลล์ผิว

*3.* เวลากลางคืน ไม่ว่าจะนอนในห้องปรับอากาศหรือพัดลม ควรทาครีมบำรุงผิวหน้าก่อนนอน เพื่อไม่ให้ผิวหน้าแห้ง

*4.* ครีมบำรุงผิว อาจผสมสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินอี วิตามินซี อะโรเวล่า กรดผลไม้ หรืออะมิโน เปปไทด์ ก็สามารถทดลองได้ด้วยตัวเอง แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ เพราะแม้จะเป็นเพียงครีมธรรมดาๆ ก็ตาม

5 วิธีไดเอ็ต ที่แย่ที่สุด

1 ไดเอ็ตด้วยการกินอาหารแค่บางประเภท *

เช่น ซุปกระหล่ำปลี หรือ องุ่น แต่จะกินสักกี่ถ้วยถึงจะพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะ คนเราต้องการสารอาหารหลากหลายประเภทถ้ากินอาหารประเภทนี้ซ้ำๆ อาจจะช่วยลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่คุณก็จะกลายเป็นโรคขาดสารอาหารไปในทันที

* 2 ไดเอ็ตดีท็อกซ์*

เชื่อกันว่าเป็นการล้างสารพิษออกจากร่างกาย จริงแล้วเปล่าเลย มันกลับเป็นวิธีที่ดูโง่ที่สุดและไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์แล้วว่า ดี จริงๆ แล้วอวัยวะในร่างกายของเราดีอยู่แล้วมีระบบฟอกกรองของเสียของร่างกาย เช่น ตับและปอด โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีดีท็อกซ์ในการล้างสารพิษ ฉะนัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการทำงานของร่างกายดีกว่า

* 3 ไดเอ็ตด้วยอาหารหรือยามหัศจรรย์*

ลืมไปได้เลยว่าจะมีอาหารหรือยาชนิดไหนสามารถช่วยลดความอ้วนของคุณได้ในระยะ เวลายาว โดยที่กินแล้วไม่มีผลกระทบข้างเคียง คุณอาจจะกินวิตามินเสริมไปกับการลดน้ำหนักได้ แต่แนะนำว่ารับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะดีกว่า

*4 ไดเอ็ตที่ต้องอด*

กลายเป็นค่านิยมสำหรับสำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักไปแล้ว แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์เลย เพราะถ้าคุณกินอาหารไม่เพียงพอก็จะกลายเป็นโรคขาดสารอาหาร ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายและเมื่อคุณเลิกอดอาหาร กลับมาทานปกติระบบเผาผลาญก็จะแปรปรวนจนเกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์และกลับมาอ้วนอีก

*5 ไดเอ็ตที่ฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นจริง*

ถ้ามันฟังดูดีจนเกินไปจนไม่น่าทำได้จริง มันก็คงเป็นเช่นนั้น แผนการไดเอ็ตที่อ้างถึง "ความลับ" บางอย่างที่ตรงข้ามกับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือมันก็อาจเป็น ความลับที่เป็นไปไม่ได้ก็ได้

6 เม.ย. 2552

กดเงินตู้ ATM เครื่องปิดเร็วมาก (อันตราย) ... ต้องอ่าน

กดเงินตู้ ATM เครื่องปิดเร็วมาก (อันตราย) ... ต้องอ่าน

> > ผมเคยอ่าน E-mail เรื่อง เกี่ยวกับการกดเงินจาก ATM ก็ไม่ค่อยจะได้ใส่ใจเท่าไหร่

> > จนได้เจอกับตัวเอง

> > ผมไปหาซื้อของใช้ ที่ Lotus จึงกดเงินที่ตู้ ATM กรุงไทย ก่อนจะเข้าไปซื้อของในห้าง

> > ช่วงเวลา 11:00 น.คนจะไปหาซื้อของกันมากเพราะเป็นวันหยุด ผมเข้าไปยืนต่อคิวที่ตู้ ATM กรุงไทย เป็นคนที่ 3

> > คนแรกเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ส่วนคนที่ 2 เป็น*ผู้ชายอายุประมาณ** 40 **ปี** * ผู้หญิงคนนั้นโวยวายว่ากดเงินแล้วแต่ไม่สามารถเอาเงินออกจากช่องที่รับเงินเพรา­ะมันปิดเร็วมาก

> > ซึ่งตามปกติที่เคยกดเงินจาก ตู้ ATM มันจะมีเวลาให้เราหยิบเงินออกก่อนแล้วค่อยจะปิด

> > ผู้หญิงคนนั้นก็มีอาการตกใจ วิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ของห้างที่อยู่ทางด้านใน

> > ผู้ชายคนที่ 2 รอคิวต่อมาเข้าไปกดเงินต่อ และเงินออกตามปกติ และเดินออกไป ตอนแรกผมก็คิดว่าผู้หญิงคนที่ทำท่าทางตกใจและพูดว่าเงินของตัวเองค้างอยู่ในตู้­สร้างเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า

> > เพราะคนที่กดเงินต่อจากนั้นเขาก็กดเงินกันตามปกติ

> > ผมยืนอยู่ด้านหลัง เห็นว่าเครื่องปกติแล้วจึงเข้าไปกดต่อ กดเงินออก 15000 บาท

> > พอเงินออกมาผมกำลังจะยื่นมือหยิบเงินจากช่องรับเงิน แต่ยังไม่ทันจะหยิบเงินออกปรากฏว่าเครื่องปิดทันที

> > และด้วยความตกใจผมก็เอามือออกทันทีเพราะมันจะหนีบมือ

> > ผมตั้งสติได้และคิดว่าที่ผู้หญิงคนก่อนพูดนั้นเป็นความจริงแล้ว

> > ทำไมผู้ชายคนที่กดเงินต่อจากผู้หญิงคนนั้น จึงเอาเงินจากช่องรับเงินตามปกติ

> > หากผมไปตามหาพนักงานของห้าง เงินที่ค้างอยู่ข้างในเครื่อง 15000 บาท

> > คงโดนคนที่ต่อคิวอยู่ข้างหลังเอาเงินไปแน่ๆ

> > พอผมหันไปข้างหลังก็พบว่าคนที่ต่อคิวข้างหลังผมก็เป็นผู้ชายวัยประมาณ 40 ปีรอจะกดเงินต่อจากผม

> > และทำท่าทางไม่รู้ไม่เห็นอะไร ผมจึงกดเงินอีกครั้ง คราวนี้กดแค่ 500 บาท เพื่อจะให้เครื่องเปิดออก
และผมจะเอาเงินที่ค้างอยู่อย่างรวดเร็วแต่หากผมเอาออกไม่ทันผมก็ต้องเสียเงิน อีก 500

> > แต่ผมก็เตรียมลูกกุญแจรถยนต์ เตรียมเสียบไม่ให้เครื่องปิดได้ ทันทีที่ผมกดเงินออกเครื่องก็เปิดอย่างเร็ว

> > ไม่ถึง 1 วินาที ก็ปิดอีกยังดีที่ผมเอาลูกกุญแจรถยนต์เสียบ ไม่ให้เครื่องปิดได้สนิทและไม่ถึงตำแหน่งที่เขาตั้งระยะไว้

> > แต่เครื่องก็พยายามปิด จนเครื่องโชว์ที่หน้าจอว่า OUT OFF SERVICE

> > และผมจึงเปิดเอาเงินออกมาได้ทั้งหมด 15500 บาท และเดินออกจากห้าง

> > ผมหันหลังไปดูคนที่อยู่ข้างหลังผู้ชายคนที่ยืนต่อท้ายไม่มีแล้ว

> > ผมจึงเดินออกห้างเลยไม่เข้าไปชื้อของแล้วเพราะรู้สึกไม่ดี

> > ช่วงที่ขับรถออกมาจากห้าง ผมเจอผู้ชายคนที่กดเงินก่อนหน้าผม คนที่กดเงินและเอาเงินผู้หญิงคนก่อนไป

> > และคนที่ต่อคิวอยู่หลังผมนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน และทำให้ผมคิดตลอดว่า เครื่อง ATM เกิดการขัดข้องเองหรือเปล่า

> > หรือมีคนตั้งใจจะทำให้มันเกิดการขัดข้องแล้วคนต่อไปเข้าไปกดเงินออก และเอาเงินของคนที่ค้างอยู่ข้างในเครื่องไปด้วย

> > เพราะหากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับใครคงไม่มีใครคิดอะไรออก เพราะอยู่ในช่วงกำลังตกใจอยู่

> > แต่หากเจออย่างนี้บางคนคงทำใจลำบาก จึงอยากเตือน เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกๆคน

> > หากจะกดเงิน ระวังคนที่อยู่ข้าง หน้า-หลัง ด้วยครับ

> > หากจะกดเงินทดลองกดทีละน้อย ๆก่อนครับ เพื่อความแน่ใจว่าไม่มีการขัดข้องจากตัวเครื่อง ATM เอง
> > หรือมีบุคคลตั้งใจทำให้เกิดการขัดข้อง

ยาคุมฉุกเฉิน ภัยแอบแฝงใกล้ตัว

ยาคุมฉุกเฉิน ภัยแอบแฝงใกล้ตัวยาคุมกำเนิด ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยในการวางแผนครอบครัว ของคู่สมรส ที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร ซึ่งการคุมกำเนิดมีอยู่หลายวิธี แต่ที่กำลังได้รับความนิยม ในปัจจุบัน และแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น ทั้งเพศชายและหญิง คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

เนื่องจากยาประเภทนี้ ไม่ต้องกินทุกวัน เหมือนยาคุมแบบอื่น แต่ใช้กินเฉพาะ หลังการมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ไม่มีการป้องกัน ขาดการคุมกำเนิดเท่านั้น หรือที่เรียกว่า ยาคุมฉุกเฉิน ( emergency contraceptive pill ) ในประเทศไทย มียาคุมฉุกเฉิน 2 ยี่ห้อ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด คือ โพส*ตินอร์ และมาดอนนา *ลักษณะของตัวยา เป็นแบบฮอร์โมนเดี่ยวทั้งสองชนิด เม็ดยามีสีขาว บรรจุขายแผงละ 2 เม็ด ราคา 35 บาท และ 20 บาท ตามลำดับ

*ยาคุมฉุกเฉิน*

ถือได้ว่าเป็นทางเลือกหนึ่ง หากเกิดความผิดพลาด ในการคุมกำเนิด เช่น นับวันผิด ถุงยางรั่ว ลืมกินยา หรือถูกข่มขืนเท่านั้น แต่ไม่เหมาะ ในการนำมาใช้คุมกำเนิด แบบทั่วๆ ไป เนื่องจากสารตกค้าง อาจทำให้เสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งมดลูก และมะเร็งเต้านม อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ มากกว่าการใช้ยาคุมกำเนิด แบบธรรมดาอีกด้วย

*ส่วนประสิทธิภาพ*

ของยาคุมฉุกเฉิน คือ ไปขัดขวางการตกไข่ ทำให้การตกไข่ช้าไปกว่าเดิม หรือขัดขวางการฝังตัวของไข่ ที่ผสมแล้ว ช่วยลดโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ ได้ประมาณ 85% แต่หากตัวอ่อนปฏิสนธิแล้ว ฤทธิ์ของยาไม่สามารถขัดขวาง การเติบโตของตัวอ่อน แต่จะปรับสภาพผนังมดลูก ทำให้ไม่พร้อมต่อการฝั่งตัว ดังนั้นยาคุมฉุกเฉิน จึงมิใช่ยาทำแท้ง อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ปัจจุบันนี้ในหมู่วัยรุ่น การใช้ยาคุมฉุกเฉิน กลับได้รับนิยม มากกว่าการใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากไม่ยุ่งยาก ในการรับประทาน และหาซื้อได้ง่าย ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งจากผลการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ของคนไทยพบว่า ชายและหญิง มีความสัมพันธ์ทางเพศ เร็วขึ้นจากเมื่อก่อน และการมีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคน ถือเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่น่าแปลกใจ หากกลุ่มลูกค้าหลัก ที่ซื้อยานี้ คือ กลุ่มวัยรุ่นชาย - หญิง ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง

นายชาญชัย นักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ให้เหตุผลในการซื้อยาคุมฉุกเฉิน ว่ารู้จักมาจากเพื่อนๆ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ เนื่องจากหาซื้อสะดวกและไม่ยุ่งยาก มีอะไรกัน แล้วก็รีบให้ผู้หญิงกิน ไม่ต้องกลัวว่าจะท้อง และยังพกง่ายกว่าถุงยางแลดูไม่น่าเกลียด เพราะไม่มีใครรู้ว่า เป็นยาอะไร ซึ่งโดยส่วนตัว ไม่ค่อยชอบใช้ ถุงยางอนามัยกับแฟน เพราะไม่เป็นธรรมชาติ จะใช้กับผู้หญิงอย่างว่ามากกว่า

นางสาวพัชราภรณ์ ดาบสมเด็จ นักศึกษา มรส. คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปี 4 กล่าวว่า การใช้ยาคุมฉุกเฉิน ทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ โดยขาดการยั้งคิดมากขึ้น เนื่องจากมียาคุมฉุกเฉินมาใช้ หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นวิธีป้องกันอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะหากเกิดตั้งครรภ์ โดยไม่ตั้งใจ เด็กที่เกิดมา ก็จะเป็นปัญหาสังคม หรือไม่มารดา ก็ไปทำแท้งเถื่อน ทำให้เป็นอันตรายต่อตนเอง และผิดหลักศีลธรรมด้วย
น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ กล่าวถึงผลเสีย จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภทในหมู่วัยรุ่นว่า จะทำให้เกิดพฤติกรรม ของการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควรเพิ่มมากขึ้น และอาจก่อให้เกิด ปัญหาสังคมตามมา

ในอนาคต ซึ่งสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาด ในประเทศไทยก็คือ เราสามารถซื้อยากินเอง ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาทำให้มีการนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้ อย่างพร่ำเพรื่อ ไม่ได้ใช้ในกรณี ที่ฉุกเฉินจริงๆ แล้วแทนที่ผู้ชาย จะพกถุงยางอนามัย หรือผู้หญิงจะพกถุงยางอนามัย เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ผู้ชายกลับหันมาพกยาเม็ดนี้เอง พอมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วก็ให้ผู้หญิงกิน เพื่อป้องกันการท้อง ปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อมันง่ายที่จะมีเพศสัมพันธ์ หนุ่มสาวก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำลงไปเพราะคิดว่า มีการป้องกันที่ปลอดภัย โดยขาดความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และความเข้าใจผิดๆ ของผู้หญิงไทยอีกประการหนึ่งคือ สำนึกเรื่องความรับผิดชอบ คิดแค่ว่าผู้ชายคนนี้รัก หากไม่ยอมเป็นของกันและกัน ฝ่ายชายจะไปมีคนอื่น โดยไม่คิดถึงผลเสียที่อาจตามมา เช่น ปัญหาการทำแท้ง การติดโรคเอดส์ ฯลฯ

ทั้งนี้ยาคุมฉุกเฉิน *จะมีประโยชน์มากๆ สำหรับกรณีถูกข่มขืน*ซึ่งแพทย์ต้องป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ หากพบแพทย์ภายใน 3 วัน จะมีกระบวนการที่ทำให้สภาพร่างกาย ไม่เหมาะสมกับการตั้งท้อง โดยต้องกิน 2 ครั้ง ครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และกินครั้งที่สอง ห่างจากครั้งแรกไป 12 ชั่วโมง ยาจึงจะมีผลและประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด มิใช่กินภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ตามที่ใบกำกับยาระบุไว้ ซึ่งผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน คือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาผิดปกติ ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ผลข้างเคียงในระยะยาวที่อาจทำให้เกิดมะเร็งได้นั้น ต้องดูจากพฤติกรรมการใช้ยา หากปฏิบัติถูกต้องตามหลัก ก็ไม่เพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แต่หากใช้ยาโดยขาดการควบคุมอันนี้ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งแน่นอน

ด้านแนวทางป้องกัน ปัญหาการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภท น.พ. พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องให้ความรู้ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ที่ปลอดภัยแก่วัยรุ่น ให้มากกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบัน ยังมีคนจำนวนมาก ที่ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อยู่ อีกทั้งคนที่เป็นผู้หญิง ก็ต้องรู้จักที่จะป้องกันตัวเอง จากการมีเพศสัมพันธ์ด้วย

เคล็ดลับในการใช้น้ำหอม

การเลือกใช้น้ำหอมอย่างเหมาะสม เราควรเลือกกลิ่นหอมที่เข้ากับบุคลิกของตัวเองนับว่าดีที่สุด น้ำหอมแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยระดับความเข้มข้นของกลิ่นหอมดังนี้

โคโลญจน์ หรือ Eau de Cologne เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในปริมาณ 3-5%

ทอยเล็ตต์ หรือ Eau de Toilette เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในปริมาณ 4-8%

เพอร์ฟูม หรือ Eau de Parfum เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในปริมาณ 15-18% ซึ่งจะมีกลิ่นติดทนนานที่สุด

*เคล็ดลับในการแต้มน้ำหอม*

ให้ ป้ายหรือฉีดน้ำหอมในบริเวณที่เป็นจุดชีพจร โดยมากจะเป็นบริเวณข้อมือหรือลำคอ และบางครั้งบริเวณข้อพับที่แขนหรือขาพับก็เป็นที่นิยม ในขณะที่การแตะน้ำหอมบริเวณหลังใบหูนั้นความหอมของน้ำหอมจะไม่ติดอยู่ทนนาน เนื่องจากแอลกอฮอล์ระเหยได้รวดเร็วนั่นเอง

การถูข้อมือที่แต้มน้ำหอม 2 ข้างเข้าด้วยกัน ไม่ได้ช่วยให้ความหอมนั้นทั่วถึง แต่ที่จริงแล้วจะทำให้น้ำหอมมีกลิ่นหอมอ่อนลง

การฉีดสเปรย์น้ำหอมในอากาศแล้วใช้วิธีเดินผ่านนั้น จะช่วยให้กลิ่นหอมกระจายติดตัวเราได้ทั่วดี
พยายามอย่าใช้โลชั่นที่มีกลิ่นหอมก่อนหน้าที่จะใช้น้ำหอมเนื่องจากกลิ่นจะตีกัน

ใช้น้ำหอมมากหน่อยหากคุณเป็นคนผิวแห้ง เนื่องจากผิวมันมีน้ำมันช่วยคงกลิ่นให้ติดอยู่ยาวนาน

ใน ขณะเดียวกันหากใส่น้ำหอมแล้วต้องอยู่ในที่อากาศเย็นให้เลือกน้ำหอมที่มี กลิ่นแรงกว่าปกติ เนื่องจากความเย็นหรืออุณหภูมิต่ำจะลดกลิ่นหอมของน้ำหอมให้ลดน้อยลงกว่าที่ เป็น การฉีดน้ำหอมทันทีหลังจากที่อาบน้ำเสร็จใหม่ๆ จะช่วยทำให้กลิ่นหอมติดทนนานกว่าปกติ

*ข้อควรระวังในการใช้น้ำหอม *

ต้องระวังเครื่องประดับทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ เข็มกลัด เข็มขัด เป็นต้น เนื่องจากแอลกอฮอล์และเคมีบางอย่างที่เป็นองค์ประกอบของน้ำหอมจะมีผลต่อ วัตถุดิบบางชนิด

ที่จริงแล้วลักษณะในการใส่น้ำหอมยังมีผลต่อวัตถุดิบบางชนิด อาทิ น้ำมันที่มีผลกับผ้าซาติน หรือแม้แต่ผ้าฝ้ายแบบฟอก การฉีดน้ำหอมใกล้กับเสื้อผ้ามากเกินไป ทำให้แอลกอฮอล์ปริมาณเข้มข้น ติดอยู่กับเสื้อผ้ามาก

ดัง นั้น การฉีดน้ำหอมควรทำห่างจากตัวอย่างน้อย 30 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้น้ำหอมทิ้งจุดด่างหรือรอยเปียกของน้ำมันเอาไว้บนเสื้อผ้า ทางที่ดีที่สุดอย่าฉีดโดยตรงลงบนเสื้อผ้าจะดีกว่า ส่วนเครื่องประดับที่มักจะเกิดปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในน้ำหอมนั้น มักจะเป็นโลหะผสมพวกโรเดียม

ไม่เพียงเท่านั้นเครื่องเพชรพลอย อัญมณีหรือแม้แต่ไข่มุกก็ตามนั้นมีส่วนหมองคล้ำจากการได้รับละอองสเปรย์ที่ มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อีกด้วย