29 ต.ค. 2552

ผักแปลก แฝงประโยชน์

พืชผักพื้นบ้านหน้าตาแปลก ฟังชื่อแล้วไม่คุ้นหู ไม่แน่ใจว่าจะทานได้ไหม อย่าง ยอดมะกอก ใบชะมวง หน่อกระทือ...ผักยิ่งชื่อแปลก ยิ่งน่าสนใจ

เครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้สำหรับเมนูตำรับไทย คงต้องยกให้กับผักสด และผักต้มที่เคียงมากับจานน้ำพริกปลาทู ไม่ว่าจะเมนูไหนก็เป็นอันต้องขอผักมาแกล้มเล่น ต้องยอมรับแต่โดยดีว่าคนไทยขาดผักไม่ได้

นอกจากบรรดาผักที่คุ้นเคยกับคนไทยเป็นอย่างดีอย่าง กะเพรา คะน้า และสี่ทหารเสือเครื่องต้มยำชั้นเลิศอย่าง ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดแล้ว ยังมีผักอีกหลายชนิดที่สามารถนำมาประยุกต์เป็นเมนูอาหารที่น่ารับประทาน แถมได้ประโยชน์ที่หลายคนยังไม่รู้

หลายคนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ ทำให้ไม่เคยสัมผัสกับพืชผักพื้นบ้านหน้าตาแปลก ฟังชื่อแล้วไม่คุ้นหู ไม่แน่ใจว่าจะทานได้ไหม อย่าง ยอดมะกอก ใบชะมวง หน่อกระทือ แต่ ดวงพร ทรงวิศวะ เชฟจากร้านอาหารไทยโบราณ พบว่าผักยิ่งชื่อแปลก ยิ่งน่าสนใจ

เธอบอกว่า ด้วยความเป็นคนชอบทานผัก ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้เธอมองหาเมนูแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา โดยทดลองนำผักหน้าตาแปลกๆ ซึ่งเป็นผักพื้นบ้าน ผักสวนครัว มาปรุงเป็นเมนูพิเศษได้อย่างลงตัว

"ช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ผักแทบทุกชนิดกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่ต้องสั่งนำเข้า แม้แต่ใบกะเพรา ผักที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทำให้ผักกลายเป็นของมีค่าบนโต๊ะอาหาร ขณะที่คนไทยสามารถทานผักได้ในทุกมื้ออาหาร ยังมีมีผักพื้นบ้าน หน้าตาแปลกอีกมากมาย ที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลอง" เธอกล่าวและว่า

ข้อดีของผักพื้นบ้านคือเป็นผักที่ปลอดสารเคมี ไม่ใช่ผักเศรษฐกิจที่คนนิยมรับประทาน ไม่ต้องเร่งปลูก เร่งการเจริญเติบโต เร่งขาย ทำให้ต้องใช้สารเคมีกำจัดแมลง

ครั้งหนึ่งเธอลองเอาผักพื้นบ้านมาทำอาหาร เมนูแกงไก่ใส่ใบมะดัน รสชาติออกมาเข้าท่า จึงเริ่มทำเมนูต่อไป
"ผักพื้นบ้าน ผักหน้าตาแปลกๆ สามารถหาได้ตามท้องถิ่น ริมรั้ว เป็นผักสวนครัวที่พบได้ทั่วไป แถมซื้อหามารับประทานได้ตามตลาดสด" เธอกล่าว และแง้มเคล็ดไม่ลับสำหรับเลือกซื้อผักพื้นบ้านให้ฟังว่า ถ้าอยากลิ้มรสผักพื้นบ้านของภาคเหนือ เช่น ผักขี้หูด ให้ไปเดินตลาดคลองเตยตอนกลางคืน แต่ถ้าลองทานผักทางใต้ เช่น มะมุด มันขี้หนู ลูกมะปลิง อันนี้ต้องแวะไปที่ตลาดจตุจักร

แถมเคล็ดลับให้อีกนิด หากไม่แน่ใจว่าผักหน้าตาแปลกจะเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูใดได้บ้าง ให้ลองแชร์ประสบการณ์กับแม่ค้าขายผัก อาจจะได้เมนูที่แปลกใหม่ ไม่เคยรับประทานมาก่อนก็เป็นได้ เช่น เอาผักมายำใส่กุ้งแห้ง ใบบัวบกจิ้มน้ำพริก ยำ และต้มเปรอะ เป็นต้น

ถ้าคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ลองทำเมนูยำผักรวมมิตร เพราะสามารถทำทานเองได้ไม่ยาก ผักส่วนใหญ่ทานดิบได้ ผสมเนื้อสัตว์ ปลา กุ้ง เทน้ำยำ แค่นี้ก็สามารถทานได้ทันที ส่วนผักที่มีกลิ่นฉุน รุนแรง เช่น มะระ มะรุม ให้ลองเอามาต้ม ลวก นึ่ง จะช่วยลดความขมได้

"หน้าฝนยิ่งมีผักออกมามาก เช่น ยอดกระถิน เห็ดตับเต่า เห็ดระโนด ควรเลือกผักตามฤดูกาลที่เติบโตเต็มที ห่างไกลจากสารเคมี หรือจะเลือกทานผักแบบไฮโดรโฟนิก ก็ได้เช่นกัน" เชฟจากร้านอาหารไทยโบราณ กล่าวทิ้งท้าย

สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสท์จาก ขาบสตูดิโอ อีกคนหนึ่งที่ชอบทานผัก บอกอย่างไม่อายว่า การเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดที่หนองคาย เป็นข้อดีที่ทำให้อยู่กับพืชผักสวนครัวมาตั้งแต่เล็ก ส่วนตัวชอบทานผักมากตั้งแต่เด็กจนโต กระทั่งย้ายมาอยู่กรุงเทพ ก็ยังคงชอบทานผักไม่เปลี่ยน

"ถ้าเสิร์ฟเมนูเนื้อสัตว์กับเมนูผักพร้อมกัน ผมจะเลือกรับประทานเมนูผักเป็นจานแรก คนไทยชอบกินผักอยู่แล้ว บ้านเรามีผักหลากหลาย ทานกันทุกมื้ออาหาร ข้อดีคือราคาถูก และดีต่อร่างกาย ใครว่าของถูกและดีไม่มีในโลก เห็นทีคงต้องเถียงขาดใจ" เขากล่าวยืนยัน

ในตำราการแพทย์โบราณทั้งศาสตร์จีนและอินเดีย ต่างใช้ผักเป็นสมุนไพรทำยาต้านโรคบางชนิด เช่นมะระแก้มะเร็ง มะรุม ขี้เหล็กใช้เป็นยาถ่าย ใบย่านางมีคุณสมบัติช่วยถอนพิษ แก้อาการเมาค้าง เคี้ยวดับกลิ่น ทำให้รู้สึกดีขึ้น

สำหรับเมนูต้านหวัด ขิงแก่ที่มีรสเผ็ด และกะเพรา สามารถเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารได้ ตลอดจนตะลิงปลิงมีรสเปรี้ยว ยังช่วยแก้หวัด ลดไข้ ลองนำมายำใส่ในน้ำพริกแทนมะนาว ส่วนกระเทียม อันนี้ขาดไม่ได้สำหรับอาหารไทย แถมพกด้วยคุณสมบัติใกล้เคียงกับแอสไพริน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว หลอดเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
เขาแนะว่า เด็กที่ไม่ชอบทานผัก ให้เริ่มทานผักพื้นบ้านที่มีรสหวาน เช่น ฟักทองอ่อน ที่มีรสสัมผัสแตกต่างจากฟักทองแก่ รวมถึงบวบที่มีรสชาติไม่ฝาดมากเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่นให้เด็กได้ทดลองกิน ลองผิดลองถูกว่าชอบอะไร แทนที่จะยัดเยียดหรือบังคับ ซึ่งจะทำให้เด็กปฏิเสธการกินผักและติดไปจนโต

"หลักจากเริ่มทานผักที่มีรสหวานได้แล้ว ก็ค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของผักในอาหารให้มากขึ้น อย่าลืมว่าผักสามารถทานได้ไม่จำกัด ด้วยแคลอรีต่ำ แถมยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย" เขากล่าว พ่อครัวขายแนะนำตามมาว่า ควรทานอาหารให้หลากหลาย ได้สารอาหารครบถ้วน

ผักมีเส้นใย หรือไฟเบอร์สูง ผู้ใหญ่รับประทานผักเพื่อช่วยแก้ปัญหาระบบขับถ่าย ผักมีส่วนช่วยขับสารพิษ ป้องกันมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหารได้ดี ดังนั้นควรเลือกทานผักที่ชอบและคุ้นเคย เป็นประจำทุกมื้ออาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างทั้งของคุณเองและคนใกล้ตัว

ย้อมสีผม เติมเคมีปลุกมะเร็ง!

เมื่อไม่มีทางแก้ไขปัญหาผมหงอกอย่างถาวร ทั้งผู้ที่ผมหงอกตามวัย หรือผู้ที่ประสบปัญหาผมขาวก่อนวัย ก็มักจะเลือกใช้วิธีการย้อมผมเพื่อปิดผมสีขาวที่ไม่พึงปรารถนาให้กลับมาแลดูสวยหล่อดังเดิม โดยมองข้ามอันตรายจากการใช้ยาย้อมผมที่ยิ่งใช้บ่อยหรือใช้ในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมา
ก่อนอื่นควรรู้จักลักษณะของเส้นผมก่อนที่จะใช้ยาย้อมผม...

สำหรับเส้นผมของคนเรานั้นเป็นที่อยู่ของโปรตีนชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ชื่อว่า เคราติน (Keratin) แยกออกเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นนอก (Cuticle) เป็นเซลล์ขนาดเล็ก โปร่งใส ซ้อนทับเหลื่อมล้ำกันคล้ายเกล็ดปลา มีทิศชี้ไปทางปลายเส้นผม ลึกลงไปเป็นชั้นกลาง (Cortex) จะ มีเม็ดสีที่ทำให้ผมเกิดสี ทั้งยังเป็นชั้นที่ทำให้เส้นผมมีลักษณะยืดหยุ่น และชั้นนี้เองที่สารเคมีเข้าไปรบกวนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในยามที่เราทำสี ดัด หรือยืด ส่วนชั้นที่ลึกที่สุดคือ ชั้นใน (Medulla) เรียกว่าเป็นชั้นแกนของเส้นผม กินบริเวณตั้งแต่โคนจรดปลายผม แต่ผมเส้นเล็ก ๆ หรือขนอ่อนที่แก้มจะไม่มีชั้นนี้

ส่วนยาย้อมผมที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป มีอยู่ 3 ชนิด ประกอบด้วย แบบชั่วคราว ป้ายแล้วติดเพียงชั่วคราว แค่สระสีผมก็จะหลุดออก สีของยาย้อมผมชนิดนี้จะมีโมเลกุลใหญ่ เคลือบเส้นผมเพียงชั้นนอก พบในรูปแบบของ คัลเลอร์ รินส์ (Color Rinse) ที่ใช้ทาและหวีให้ทั่วหลังจากสระ ดินสอทาสีผม (Hair Crayons) และสีพ่นสำหรับผม (Color Sprays)
ต่อมาคือ ชนิดกึ่งถาวร ฉาบบนเส้นผม สีจะมีโมเลกุลเล็ก ทำให้สารเคมีแทรกเข้าไปตามรอยของเกร็ดผมสู่ชั้นกลางของเส้นผม อายุการใช้งานราวๆ 1 เดือน เมื่อสระผมสีจะค่อยๆ จางออก มักวางจำหน่ายในลักษณะแชมพูย้อมสีผม และโลชั่นหรือโฟมย้อมสีผม

ชนิดสุดท้าย เป็นแบบถาวร ติดทนนาน แม้สระผมบ่อยเพียงใดก็ไม่หลุดลอกออก หากจะเห็นสีผมในแบบปกติธรรมชาติจะต้องรอให้ผมงอกยาวออกมาใหม่ โดยยาย้อมชนิดนี้จะมีส่วนผสมของสารเคมี พาราฟีนีรีน ไดอะมีน (Paraphenyline Diamine หรือ PPD) และ พาราโทลูอีน ไดอะมีน (Paratoluene Diamine หรือ PTD) ซึ่งเคยมีรายงานว่า ผู้ซื้อยาย้อมผมชนิดนี้มาย้อมด้วยตนเองเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่ทำการทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้และปฏิบัติตามคำแนะนำทุกขั้นตอน โดยอาการที่เกิดขึ้นนั้นเริ่มตั้งแต่การใส่น้ำยาย้อมสัมผัสกับหนังศีรษะ ผู้ใช้รายนั้นเริ่มคันหนังศีรษะ และไม่นานอาการคันก็ทวีความรุนแรงขึ้น และลุกลามไปยังใบหน้า ลำคอ เกิดอาการบวมและหายใจไม่ออก เมื่อไปรักษา แพทย์พบว่าผิวหนังที่ถูกยาย้อมผมมีลักษณะแดงไหม้

นอกจากอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น การใช้ยาย้อมผมต่อเนื่องกันนานๆ ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมยังอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากโครโมโซมในร่างกายเสียหายส่งผลให้เซลล์กลายพันธุ์จนเกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้

พรุ่งนี้ ‘สามัญประจำบ้าน' มีหนึ่งทางเลือกกับการย้อมผมจากสมุนไพรธรรมชาติที่ปลอดภัยกว่าใช้สารเคมีมาบอก

คลอดในน้ำไม่ต้องกลัวทารกสำลัก

การคลอดทารกในน้ำ ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่น่าหวาดกลัว มันจัดอยู่ในหมวดการคลอดแบบธรรมชาติ สามารถลดความเจ็บปวดจากการคลอด และยังดีสำหรับทารกด้วย
คิดดูเอาแล้วกัน ทารกอยู่ในอยู่ในครรภ์มารดาถึงเก้าเดือน เล่นบัลเล่ต์อยู่ในสระน้ำคร่ำอันแสนอบอุ่น แต่ถึงกำหนดคลอดต้องทะเล่อทะล่าออกมาสู่โลกภายนอกที่เย็นกว่า สว่างกว่า และแห้งกว่าที่อันเคยชิน
คนที่สนับสนุนการคลอดในน้ำจึงบอกว่า ทำไมไม่ปล่อยให้ทารกลืมตาดูโลกในสภาพที่คล้ายอยู่ในครรภ์มารดาล่ะ - อบอุ่นและเปียกแฉะ - มันช่วยลดความเครียดให้พวกเขาได้นะ
การคลอดในน้ำเหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่ำเท่านั้น และคงต้องเตรียมสถานที่คลอดเป็นพิเศษ หากได้รับการรับรองจากสูตินรีแพทย์ ในต่างประเทศบางแห่งอนุญาตให้คลอดลูกในน้ำที่บ้านตัวเองได้ "ภายใต้การดูแลของพยาบาลทำคลอด หรือสูตินรีแพทย์ "แต่ส่วนใหญ่มักเลือกใช้บริการของศูนย์ หรือโรงพยาบาลมากกว่า สถานที่เหล่านั้นมีอ่างน้ำ หรือจาคุซซีสำหรับคลอดโดยเฉพาะ เรียกว่าถ้าอยากลงไปนอนแช่น้ำอุ่นเล่นก่อนคลอดก็ยังได้ เรียกว่าของอุ่นเครื่องก่อนคลอดจริง
อุณหภูมิของน้ำในอ่างจาคุซซี่ หรือสระน้ำสำหรับคลอดทารกจะถูกปรับให้อยู่ระดับเดียวกับอุณหภูมิร่างกาย (ประมาณ 32 -37 องศาเซลเซียส ไม่สูงกว่านี้เพราะหากอุณหภูมิร่างกายของแม่สูงไปอาจมีผลให้อัตราเต้นของหัวใจลูกเต้นเร็วไป
ช่วงที่เด็กใกล้คลอด เขาจะถูกเบ่งออกมาในน้ำ พยาบาลทำคลอดจะค่อยๆ ยกตัวตัวเขามาไว้ในอ้อมแขนคุณอย่างช้าๆ สามีอาจลงไปแช่อยู่ในน้ำกับคุณด้วยเพื่อให้กำลังใจ และอุ้มลูกด้วยกัน
เรื่องอัศจรรย์คือ ไม่ต้องกลัวว่าเด็กจะสำลักน้ำ ระบบหายใจของเด็กจะยังไม่เริ่มทำงานจนกว่าเขาจะโผล่พ้นน้ำมาสู่อากาศ (เวลาที่พวกเขาอยู่ในครรภ์ก็ไม่ได้หายใจเหมือนกัน)
ส่วนความกังวลว่าเด็กอาจจมน้ำนับเป็นความเสี่ยงที่ต่ำมาก การคลอดทารกในน้ำไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้เขาอยู่ในน้ำ ว่ายน้ำเล่นเป็นนาน ปกติแล้วจะปล่อยให้เด็กอยู่ในน้ำเพียงไม่กี่วินาที (ในสหรัฐให้อยู่ได้ไม่เกิน 10 วินาที) เนื่องจากสายรกอาจขาดได้เมื่อเด็กคลอดออกจากครรภ์มาแล้ว เมื่อตัดสายรกออกก็เหมือนกับการตัดท่อออกซิเจนนั่นเอง นอกจากนี้ เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว เขาจะไม่มีรกคอยหุ้มอีกต่อไปทำให้เด็กได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
ปัจจุบัน คุณแม่ทั้งหลายสามารถเลือกรูปแบบการทำคลอดได้ด้วยตนเอง เพื่อตัดความกังวลระหว่างคลอดและทำให้การคลอดราบรื่นและง่ายขึ้น แต่ยังต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์อย่างใกล้ชิด
หากไม่แจ้งความประสงค์ว่าจะผ่าตัดเอาเด็กออกมาทางหน้าท้อง โดยการผ่าแบบขวางลำตัว (Cesarean Section) ด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ใดๆ เมื่อถึงเวลาคลอด คุณหมอจะเป็นผู้วินิจฉัยภาวะที่มีข้อบ่งชี้ต่างๆ และถ้ามีความเห็นว่าไม่สามารถคลอดได้เองตามธรรมชาติ จึงจะหาวิธีจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ไล่ระดับจากกรณีรุนแรงน้อยไปหามาก คุณหมอจะทำการคลอดทางปากช่องคลอดโดยใช้น้ำเกลือเร่งคลอด หรือในกรณีไม่มีแรงเบ่งคลอดเอง ก็จะใช้เครื่องดูดแบบสุญญากาศ หรือถ้าทารกในครรภ์ไม่ยอมหมุนตัวออกมาทางปากช่องคลอด คงต้องใช้คีมช่วยดึงเด็กออกมาในขณะที่มดลูกกำลังบีบตัว และจะใช้วิธีผ่าตัดคลอดเป็นทางเลือกสุดท้าย
ถ้าไม่เข้าข่ายอันตราย คุณแม่ส่วนใหญ่มักตัดสินใจคลอดได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งคุณแม่จะเป็นจุดศูนย์กลางของกระบวนการคลอด โดยแพทย์และพยาบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงในกระบวนการ และไม่ใช้เครื่องมือ หรือยาปฏิชีวนะช่วยในการทำคลอดเพื่อคงความเป็นธรรมชาติมากที่สุด
มีนะ สพสมัย พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ กรรมการมูลนิธิส่งเสริมการคลอด และการเลี้ยงดูด้วยนมแม่แห่งประเทศไทย บอกเทคนิคการเบ่งคลอดว่า คุณแม่ต้องครองสติให้มั่นคง หายใจตามจังหวะที่แพทย์แนะนำก็สามารถช่วยทำให้การคลอดราบรื่น และคลอดได้โดยไม่มีเสียงร้องโวยวายอันเกิดจากความเจ็บปวด
เพราะยิ่งเวลาคุณแม่ส่งเสียงร้อง จะทำให้แรงในการเบ่งคลอดน้อยลง แทนที่จะคลอดได้เร็วขึ้น กลับยิ่งสร้างความเจ็บปวดซ้ำๆ จากการเบ่งคลอดไปอีก
วิธีป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจความทรมาน คือต้องเตรียมพร้อมด้านจิตใจ นอกจากเตรียมใจแล้ว พ่อแม่มือใหม่ควรศึกษาข้อมูลอื่นไว้ล่วงหน้า เช่น อาการบีบรัดตัวของมดลูกและน้ำคร่ำของคุณแม่ เพื่อลดความวิตกกังวลมากจนเกินเหตุ
สำหรับท้องแรกนั้น ระยะการเจ็บท้องจนถึงการคลอดจะเป็นไปได้ถึง 10-12 ชั่วโมง เป็นการเจ็บท้องเป็นระยะๆ หรือมดลูกบีบรัดตัวทุกครึ่งชั่วโมง มีช่วงให้ผ่อนคลายเรียกว่าการ "เจ็บท้องเตือน" ซึ่งในระยะนี้คุณแม่ยังไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล
แต่เมื่อใดมีการเจ็บท้องในลักษณะที่มดลูกบีบรัดตัวทุก 10-15 นาที และถี่แรงทุก 2 นาทีคือภาวะการ "เจ็บท้องจริง" ควรเริ่มมาพบแพทย์ เพื่อเข้าสู่กรรมวิธีคลอดน้องในน้ำ
ทั้งนี้ มดลูกจะเริ่มมีการหดรัดตัวถี่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งปกติเมื่อครบ 1 ชั่วโมง ปากมดลูกจะเปิด 1 เซนติเมตร โดยสัญญาณที่แสดงให้รู้ว่าใกล้คลอดแล้วคือปากมดลูกเปิดครบ 10 เซนติเมตร จากนั้นก็อดใจรอการเบ่งคลอดอีกประมาณ 2 ชั่วโมง
คุณแม่ควรสังเกตลักษณะ จังหวะการบีบรัดตัวของมดลูกด้วย ซึ่งสามารถจับความรู้สึกของมดลูกคลายตัว และแข็งตัวได้ ด้วยการนับจังหวะ หรือระยะเวลาห่างระหว่างมดลูกหดรัดตัว และคลายตัว เพื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับแพทย์ในการวินิจฉัยเบื้องต้นสำหรับช่วงเวลาทำคลอดได้
สัญญาณต่อมาคือ น้ำคร่ำ ซึ่งคุณแม่ควรใส่ผ้าอนามัยไว้เสมอ เพื่อสะดวกในการเฝ้าสังเกตปริมาณน้ำคร่ำ และสี หากเกิดภาวะถุงน้ำคร่ำแตกขึ้นมา ก็ต้องตั้งสติให้ดีเสียก่อน และสังเกตสีของน้ำคร่ำ โดยปกติแล้วสัญญาณเตือนว่ายังไม่คลอดนั้น น้ำคร่ำจะมีลักษณะขาวใส อาจมีเมือก มีไขมันปนมาเล็กน้อย แต่จะเริ่มเป็นอันตรายก็ต่อเมื่อน้ำคร่ำเป็นสีเขียว หรือมีมูกเลือดปนมา
พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ เล่าต่อว่า ลักษณะอาการของคนใกล้คลอดแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน ซึ่ง 15% ของคุณแม่จะมีภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนที่มดลูกบีบรัดตัว ส่วนที่เหลือ 85% มีอาการบีบรัดตัวของมดลูกก่อนที่ถุงน้ำคร่ำจะแตก
ก่อนจะถึงภาวะใกล้คลอดนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างความเคยชินกับลูกตัวน้อย โดยการหมั่นพูดคุยกับลูกในท้อง เพราะถือว่ามีความสำคัญต่อสมอง และพัฒนาการของลูก ความถี่ของคลื่นเสียงต่างกันของผู้ชาย (พ่อ) กับผู้หญิง (แม่) จะทำหน้าที่กระตุ้นสมองในส่วนที่ต่างกัน และน้ำเสียงที่ให้ลูกได้ยินตั้งแต่ท้อง 7 เดือนขึ้นไปเป็นเสียงที่ลูกสามารถจำได้ และรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ยินเสียงในลักษณะนี้
และเมื่อได้เวลาที่เหมาะสม คุณแม่จะลงอ่างเพื่อเตรียมการคลอดในน้ำ โดยไม่ใช้ยาเร่งคลอด และเครื่องมือใดๆ ช่วยในการคลอด แต่จะใช้วิธีธรรมชาติบำบัดเพื่อกระตุ้นให้คุณแม่เบ่งคลอดเอง
สำหรับ คุณแม่บางคนเพียงแช่น้ำอุ่นในอ่างทำคลอด ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว และทำให้สารความสุขหลั่งออกมา รวมทั้งลดความเจ็บปวดในการเบ่งคลอด แต่ใช่ว่าความอดทนของคุณแม่แต่ละคนจะเท่ากัน
เมื่อเสร็จสิ้นวิธีการคลอดลูกแล้ว ทารกจะถูกกระตุ้นการดูดนมแม่ และแพทย์จะทำการตัดสายสะดือ จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการคลอดรกบนเตียง โดยเลือดจะออกหลังจากคลอดรกออกไปแล้ว คุณแม่มือใหม่จึงลดความกังวลในเรื่องของการติดเชื้อและเบาใจได้
ข้อดีของการคลอดในน้ำ คือไม่ต้องพักฟื้นนาน เหมือนการผ่าตัดคลอด คุณแม่จะได้ใช้เวลาแห่งความสุขกับเจ้าตัวน้อย โดยไม่ต้องทรมานบาดแผลผ่าตัด และยังตักตวงความภูมิใจที่ได้เป็นแม่ตามธรรมชาติโดยสมบูรณ์

ผู้ชายที่ไม่ควรเสียเวลาด้วย

ผู้ชาย ที่ไม่ควรเสียเวลาด้วย เมื่อคุณเป็นผู้หญิงอายุ 29 ปลายฝนต้นหนาวเลข 29 มาเยือน คุณเอ๋ย ยังเสียเวลากับผู้ชายแบบนี้อยู่หรือเปล่า??

1. ผู้ชายที่คิดว่างานบ้านเป็นเรื่องของผู้หญิงและไม่คิดจะช่วย หรือคิดว่าไม่ผิดที่ผู้ชายจะมีกิ๊กหรือชู้ = ต้องโทษประหาร สับแล้วโยนให้เป็ดกิน

2. มีหนี้ท่วมหัว เป็นหนี้พนันบอล บัตรเครดิตและหนี้อื่นๆ

3. ผู้ชายวัยทำงานที่ยังนั่งเล่นเกมส์เป็นกิจวัตร และไม่ทำกิจกรรมอะไรนอกจากนอนในวันหยุด = ต้องส่งกลับไปอยู่ รร.อนุบาลกินนอน

4. ผู้ชายที่อายุมากกว่าแต่รายได้ต่ำกว่า = มีแฟนเหมือนมีพ่อ แถมขอเงินก็ไม่ได้

5. ผู้ชายอายุน้อยกว่า ที่คิดว่าเรามีรายได้มากกว่า และจ้องแต่จะให้เราจ่าย = มีแฟนเหมือนมีลูก

6. ไม่พาเราไปแนะนำให้ครอบครัวเค้ารู้จักและไม่เคยพาไปบ้านช่อง เท่ากับว่า คงโกหกอะไรชัวร์ หรือครอบครัวคงเป็นแบบ Adams Family

7. ผู้ชายที่ไม่แน่ใจตัวเองว่าชอบผู้หญิงรึเปล่า = ประตูหน้า Lock lock lock!! แบบนี้ระวังโรค

8. ผู้ชายที่มีครอบครัว อ้างว่าแยกกันอยู่แล้วแต่หย่าไม่ได้ (แถวบ้านเรียกว่าโกหก) = มุขนี้หมาแก่อายุ 35 ขึ้นไปชอบเอาไว้หลอกเด็ก อายุ 20 กว่าๆ อายุ 29 แล้วอย่าหลงกล เอาน้ำร้อนมาราดมันซะ!

9. ไม่สามารถเสียสละเวลางานเพื่อเราได้ ไม่ว่าเรื่องจะฉุกเฉินแค่ไหนเท่ากับว่า บ้างานแบบนี้จะแต่งกับมันเอาโล่ห์หรอ

10. ผู้ชายที่ Give silent treatment มีปากแต่ไม่รู้จักใช้พูดเวลาจะปรับความเข้าใจ หรือมีเรื่องทีไร แมร่งง.. เงียบตลอด!! เซ็ง..
11. ผู้ชายที่แมนมาก ไม่เดินจับมือ ไม่ช่วยถือของ และเดินนำหน้าผู้หญิงตลอด (ถ้าเราเดินตกท่อมันจะรู้เรื่องมั้ยเนี่ยะ..)
12. ไม่คิดจะแต่งงานกับเรา ไม่มีการออมเงินเพื่อแต่งงานหรือสร้างครอบครัว ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ (ดังนั้น..เลิกกับมันซะ)
13. ผู้ชายที่คบกับคุณเพราะคุณรวย หวังเงินหรือผลประโยชน์จากคุณและครอบครัวคุณ (ผู้ชายจำพวกนี้ มีเยอะ สมัยนี้..)
14. ผู้ชายที่ไม่เคารพพ่อแม่คุณ
15. พูดจาหยาบคายกับคนอื่น แต่พูดดีกับคุณ!!
16. ผู้ชายที่คอยบอกให้เราไปหาหมอเวลาที่เราป่วย แต่ไม่เคยพาเราไปหาหมอ
17. ผู้ชายที่ชอบพูดว่าไม่จำเป็นต้องทำดีในวันพิเศษหรอก วันไหนก็ทำได้ ขนาดวันพิเศษมันยังไม่ทำ วันธรรมดาก็อย่าหวัง 555

*** แฟนใครเป็นแบบนี้ 5 ข้อขึ้นไป เตรียมตัวเผ่นเถอะค่ะ เลข 3 กำลังจะมาเยือนคุณแล้ว ชีวิตควรมีคนดูแลคุณได้ดีกว่านี้ค่ะ ***

ชอบหมูติดมัน! เสี่ยงนิ่วในท่อน้ำดี

คุณไม่จำเป็นต้องอ่านเรื่องนี้เลย ถ้าคุณไม่สวาปามพวกเนื้อติดมันเป็นนิจศีล ห่างไกลฟาสต์ฟู้ด ระดับไขมันปกติ และไม่เคยปวดตื้อใต้ลิ้นปี่

เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่น พร้อมแซนวิชชีสสักชิ้น บีบมายองเนสเพิ่มอีกหน่อย ก่อนออกไปทำงาน กว่าจะประชุมเสร็จก็เที่ยงกว่าแล้ว ต้องรีบกลับมาตรวจเอกสาร เวลาน้อยอย่างนี้คงหนีไม่พ้นอาหารจานด่วนที่กินประจำกับชีสเบอร์เกอร์อันโต พร้อมเฟรนช์ฟราย และโคล่า กลับไปทำงานด้วยความอิ่มท้อง และตั้งใจว่า มื้อเย็นจะกินอย่างหรู ด้วยอาหารอิตาเลี่ยน ชุ่มนมเนย

"อาหารที่อุดมไปด้วยคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะจากไขมันสัตว์ไม่ว่าจะเป็นเนย ชีสต่างๆ นอกจากจะเป็นสาเหตุของภาวะโรคอ้วนแล้วอาจก่อให้เกิดโรคนิ่วในทางเดินน้ำดีอีกด้วย" นพ.วิชัย อยู่ยงวัฒนา อายุรแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารและโรคตับ โรงพยาบาลปิยะเวทเฉลยต้นตอของโรคอันตราย

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับระบบทางเดินน้ำดีกันก่อน ระบบที่ว่าประกอบด้วยตับ ท่อน้ำดี และถุงน้ำดี ทำหน้าที่เก็บกักน้ำดีเพื่อปล่อยมาช่วยย่อยอาหารมันร่วมกับเอนไซม์ในกระเพาะ อาหาร

น้ำดีจะประกอบด้วยคอเลสเตอรอล, เกลือ, กรดน้ำดีและน้ำ ในปริมาณที่สมดุลกัน แต่หากส่วนประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งเปลี่ยนไป ก็จะส่งผลให้เกิด "นิ่ว"

"นิ่วในท่อน้ำดี เกิดจากส่วนประกอบของน้ำดีมีความเข้มข้นเกินไปจนตกตะกอนเป็นผลึก หรืออาจเกิดจากถุงน้ำดีที่ผิดปกติจากโรคบางชนิดเช่น เบาหวาน โรคระบบประสาทที่ต้องนอนอยู่กับที่นานๆ ทำให้การผสมส่วนประกอบต่างๆ ของน้ำดีผิดปกติ หรือโรคทางระบบทางเดินน้ำดีที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเร่งปฏิกิริยาการตกตะกอนให้เร็วขึ้น" อายุรแพทย์แจงเหตุปัจจัย
นิ่วในทางเดินน้ำดีมี 2 ประเภท ได้แก่ นิ่วคอเลสเตอรอล ที่เกิดจากการบริโภคอาหารมัน หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลจากไขมันสัตว์ รวมไปถึงยาคุม หรือยาบางประเภทที่เพิ่มระดับเอสโตรเจนในร่างกาย หรือภาวะการตั้งครรภ์ที่จะทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) เพิ่มสูง เพิ่มความเข้มข้นของคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสาเหตุทางกรรมพันธุ์ คนที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด

อีกหนึ่งประเภทคือ นิ่วผลึกเกลือ ที่เกิดจากโรคบางชนิดที่ทำให้มีเกลือเข้าไปในระบบทางเดินน้ำดีจำนวนมากเช่น โรคเลือดอย่างธาลัสซีเมีย ซึ่งผลึกเกลือจากบิลิรูมินในเม็ดเลือดแดงแตกตัวเข้าสู่ถุงน้ำดีมากผิดปกติ ก่อให้เกิดเป็นนิ่วผลึกเกลือ

"ก้อนนิ่วจะเข้าไปอุดตันท่อทางเดินน้ำดี หรือถุงน้ำดี ทำให้น้ำดีผิดปกติ ระบบทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยจะมาหาด้วยอาการปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือบริเวณใต้ลิ้นปี่ โดยจะปวดตื้อๆ หลังมื้ออาหาร หรือหลังการรับประทานอาหารมัน โดยมากอาการปวดนาน 30 นาทีถึง 3 ชั่วโมงแล้วจะหายไปเอง" นพ.วิชัยกล่าว

สำหรับผู้ป่วยที่ปวดด้วยลักษณะดังกล่าวเป็นเวลานานโดยไม่รักษา ก้อนนิ่วจะขยายขนาดและไปอุดตัน ทำให้มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ตัวเหลืองตาเหลืองเมื่อตรวจเลือดจะพบว่าปริมาณเม็ดเลือดขาวสูงมากเพราะเกิดภาวะท่อน้ำดีอักเสบ จำเป็นต้องฉีดยาแก้อักเสบหรือเข้ารับการผ่าตัดต่อไป

หากเป็นนิ่วก้อนเล็กกว่า 0.5 เซนติเมตร นิ่วคอเลสเตอรอลจะรักษาด้วยการรับประทานยาละลายก้อนนิ่ว ช่วยต้านการตกผลึกของนิ่วได้ดีเป็นเวลา 6 เดือนติดต่อกัน แต่หากเป็นนิ่วอุดตันในท่อน้ำดี จะใช้วิธีส่องกล้องจากทางปากแล้วใช้เครื่องมือเข้าไปเกี่ยวก้อนนิ่วให้หลุดจากท่อน้ำดี ซึ่งร่างกายจะกำจัดไปพร้อมของเสียทางลำไส้ใหญ่

การผ่าตัดเป็นวิธีรักษามาตรฐานนิ่วก้อนใหญ่ ปัจจุบันมีทั้งการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง แต่มีแผลใหญ่ใช้เวลาพักฟื้น 1-2 สัปดาห์ และการผ่าตัดส่องกล้องที่มีแผลเล็ก พักฟื้นน้อยลง

นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคใช้คลื่นเสียงสลายก้อนนิ่ว แต่สำหรับนิ่วในระบบทางเดินน้ำดีพบว่า การใช้คลื่นเสียงให้ผลการรักษาที่ไม่ดีนัก จึงไม่เป็นที่นิยม

นพ.วิชัยบอกว่า กลุ่มเสี่ยงเป็นนิ่วในระบบทางเดินน้ำดี คือผู้หญิงวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เรียกว่ามากกว่าผู้ชายวัยเดียวกัน 2-3 เท่า เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเยอะ และยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งเพิ่มปริมาณฮอร์โมนขึ้น นอกจากนี้ คนที่อยู่ในภาวะอ้วนก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกัน

"แม้อุบัติการณ์ในไทยจะมีไม่มากนัก จากตัวเลขสำรวจเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่มีผู้ป่วยด้วยโรคนิ่วในระบบทางเดินน้ำดีเพียง 3-5% ของประชากรทั้งหมด และส่วนมากจะเป็นนิ่วผลึกเกลือ"

อย่างไรก็ดี อายุรแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารและโรคตับ โรงพยาบาลปิยะเวท คาดว่า รูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกินอาหาร ทำให้คนนิยมอาหารจานด่วน หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง แนวโน้มของผู้ป่วยโรคนิ่วในระบบทางเดินน้ำดีจะเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน และความรุนแรงของโรคก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

แม้จะเป็นโรคที่ฟังดูไม่ร้ายแรง แต่หากมีนิ่วอุดตันและติดเชื้อทั้งในท่อน้ำดีและกระแสเลือด อาจรุนแรงถึงตายได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรจะควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนมากเกินไป, ควบคุมอาหาร, หลีกเลี่ยงของมัน, เพิ่มอาหารที่มีกากใย, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, หลีกเลี่ยงการใช้ยาฮอร์โมนเป็นระยะเวลานาน

ที่สำคัญ หากพบอาการเบื้องต้น คือ ปวดท้องตื้อบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือบริเวณใต้ลิ้นปี่ หลังมื้ออาหารหรือหลังการรับประทานอาหารมัน ควรรีบปรึกษาแพทย์

25 ต.ค. 2552

10ท่ากระชับสัดส่วนสวย

สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ

หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้...

1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง

2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย

3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา

4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน

5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง

6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ

7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง

8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา

9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา

10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง

บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.

สุดยอดอาหาร...ป้องกันโรค

อาหารใช่แค่เพียงอร่อย แต่ยังช่วยดูแลสุขภาพคุณได้มากกว่าที่คิด และนี่คือสุดยอดอาหารสำหรับคุณ

You are What You Eat..... กินอย่างไรก็ได้ (สุขภาพ) อย่างนั้น ประโยคนี้ยังใช้ได้ผลเสมอโดยเฉพาะกับยุคนี้ที่มีอาหารปรุงแต่งมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็คงสู้อาหารธรรมชาติไม่ได้หรอก หากเราสังเกตสุขภาพตัวเองและคนใกล้ตัวให้ดีละก็จะรู้ว่าอาหารมีผลต่อสุขภาพจริงๆ เช่น คนที่รับประทานแต่พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด หรืออาหารฟาสต์ฟู๊ด เป็นประจำมักป่วยบ่อย แต่ถ้าใครที่รับประทานผักผลไม้ เนื้อสัตว์ และปลาอย่างสม่ำเสมอโดยมีความสมดุลกัน ก็จะช่วยให้ร่งกายแข็งแรง สุขภาพดี ดังนั้น ดร.เพเตอร์ ชไลเดอร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชาวเยอรมันจึงได้จัดลำดับอาหารที่มีประโยชน์ที่สุดต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายดังนี้

ดวงตา- สับปะรด มีเอนไซม์มากมายที่จะช่วยผ่อนคลายสายตาหลังนั่งทำงานมาทั้งวัน- โรสแมริน ช่วยทำความสะอาดและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีที่ดวงตา- เก๋ากี้ มีกรดอะมิโน 18 ชนิด และแร่ธาตุที่สำคัญๆเช่น สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม เจอร์มาเนียม ซีลีเนียม และฟอสฟอรัส นอกจากนี้ยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ มากมายมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสายตา กล่อมประสาทให้หลับสบาย ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย สายตาไม่ดี โดยเฉพาะสายตาบอดในเวลากลางคืน ฯลฯ

สมอง- ถั่ว Linsen มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเลซิติน ให้พลังงานแก่เซลล์สมองถั่วลินเซ็นมีขายตามร้านขายอาหารอินเดียและเป็นอาหารที่ชาวเยอรมันและชาวสวิตเซอร์แลนด์นิยม นำทำมาเป็นซุปรับประทานกัน- สัตว์ปีก ให้พลังงานแก่การทำงานของสมอง- ข้าวโอ๊ต ให้พลังงานสูงที่สุดสำหรับสมอง นอกจากนี้ ยังมีกรดฟีนอลที่จะช่วยในเรื่องของความทรงจำที่ดีอีกด้วย- อะโวคาโด มีวิตามินบีสูง เหมาะสำหรับคนที่มีความเครียด นอนไม่หลับหรือจิตใจว้าวุ่น- กล้วย มีฮอร์โมนสำหรับเส้นประสาทในสมอง มีน้ำตาลกลูโคส วิตามิน และเกลือแร่ในการให้ พลังงานแก่สมอง- แอพริคอต (Apricot) มีแร่ธาตุจำเป็น

กินซุปเสริมพลัง

ใครถือศีลไม่กินเนื้อสัตว์ คงได้กระหน่ำกินผักก็ตอนนี้ แต่ถ้าอยากฉลองเตรียมท้องรอกินผัก บางคนก็ปล่อยให้ท้องว่างๆ กินแต่อาหารเบาๆ บางคนก็วิรัติเนื้อสัตว์ไปล่วงหน้าสัก 2-3 วันแล้ว บางคนถือโอกาสกินอาหารเนื้อๆ ให้ฉ่ำ... ชอบอยากไหนเลือกเอา

กินเจ อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายได้ละเว้นไขมัน โปรตีน จากเนื้อ โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล เพราะยุคนี้มีโปรตีนจากพืช และไขมันไม่อิ่มตัวจากพืช (และปลาทะเล) มากมายให้เลือกกิน แต่ก็มีอาหารประเภทหนึ่งซึ่งมีคนกินกันทั่วโลก บ้างเป็นเจ บ้างเป็นมังสวิรัติ บ้างอุดมเนื้อ หรือบ้างมีแต่น้ำที่ปรุงจากเนื้อ อาหารที่ว่าเรียกว่า ซุป (Soup) นั่นเอง

คนไทยเรียกซุปว่าแกง หรือน้ำแกง เป็นแกงใสๆ เรียก น้ำแกง ต้มจืด เป็นแกงเนื้อข้นๆ ก็เรียก "แกง" อยู่เหมือนกัน ถ้าเรียกแบบฝรั่งคือ ซุปข้น และ ซุปใส อาหารประเภทนี้มีทุกที่ หลากสัญชาติ แสดงว่าคนทั่วโลกต้องกิน "น้ำแกง" กับมื้ออาหาร แต่จะกินแบบไหน ปรุงยังไง ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบและวัฒนธรรมอาหารของชนชาตินั้นๆ

คนหลายชาติมีทั้งซุปใสและซุปข้น แต่คนชาติไทยไม่มีซุปเย็น ที่ฝรั่งเขาทำกินหน้าร้อน ซุปเย็นหรือ กาสปาโช่ (Gazpacho) สูตรต้นตำรับมาจากสเปน นัยว่าคนชาตินี้ขี้ร้อน ไปชนวัวกระทิงมาอย่างดุเดือดเลยขอกินซุปเย็นให้สบายเสียหน่อย ซุปเย็นของสเปนมักใช้มะเขือเทศเป็นส่วนผสมหลัก ได้น้ำซุปข้นเนียนสีแดงสด
คนเมืองกระทิงดุซดเย็นๆ ตอนหน้าร้อน บางทีก็มีซุปแตงกวาเย็น ซุบหน่อไม้ฝรั่งเย็น ซุปแครอทเย็นใส่น้ำส้ม หน้าตาหอมหวานดูน่ากิน ซุปอโวคาโดกับมะเขือเทศซัลซ่า สูตรนี้ผสมผสานอาหารแนวเม็กซิกันเข้าไป ซุปต้นกระเทียมเย็นใส่ขนมปังกรูตอง สไตล์ฝรั่งเศสเรียกว่า Vichyssoise

ถ้าไปแถวทะเลทรายแถบตะวันออกกลาง ชาวอาหรับเขาก็มีซุปเย็นนะจะบอกให้ เป็นซุปแตงกวากับโยเกิร์ต กินให้ใจชิลล์-ชิลล์ กลางแดด กาปาสโช่ของสเปนบางตำรับทำไอศกรีมมะเขือเทศซอร์เบท์ใส่ลงไปด้วย รสชาติคงแปลกดี ซุปแบบ ยุโรปทำจากผักล้วนๆ มีวิธีดับกลิ่นผัก (ที่กินเย็น) ด้วยน้ำส้ม น้ำมะนาว ใบโหระพา ใบมิ้นท์ สูตรเมืองน้ำหอมให้อบขนมปังบาแก็ตต์ร้อนๆ กินกับซุปเย็นๆ เขาว่าอร่อยดี กินคลายร้อนในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี

คนเอเชียไม่ค่อยกินซุปเย็น ทั้งที่บางพื้นที่อากาศร้อนถึงร้อนมากตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่เรากินซุปร้อนๆ และเราก็มักกินอาหารร้อนๆ มากกว่าคนเมืองไทยที่สามารถกินแซนด์วิชเย็นๆ หรือซุปเย็นได้ คนเมืองร้อนมีซุปหลากหลาย ยิ่งร้อนก็ยิ่งกินน้ำแกงร้อนๆ ซดเข้าไปให้เหงื่อหยด จากนั้นจะรู้สึกสบาย ร้อนไม่ว่าแต่เมื่อกินอาหาร จานนั้นต้องร้อน เช่น ซุป หรือน้ำแกง

ชาวตะวันตก กินซุปร้อนเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยก่อนถึงเมนคอร์ส คนอิตาเลียนบางพื้นที่บอกว่า ใครกินซุปแสดงว่าป่วย เขาจะไม่เสิร์ฟซุปยกเว้นถามหา.. แต่คนจีนบอกว่า ซุปกินได้ตลอดเวลา เช้า-กลางวัน-เย็น กินระหว่างมื้อ หรือกินตอนดึกๆ ก่อนนอนให้อุ่นท้อง บางทีมีแค่น้ำแกงถ้วยเดียว อุ่นร้อนๆ กินอร่อยแล้ว
คนไทยมีซุปหรือแกงกินคู่กับอาหาร เพราะเรากินเป็นสำรับ เมื่อมีข้าว ต้องมีกับข้าว จะเปรี้ยว เผ็ด เค็ม มัน ก็ต้องมีน้ำแกงให้ซดคล่องคอ แต่ที่จริง ซุปกินอร่อยกับข้าวสวยและกับขนมปัง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ซุปอร่อยกินกับอะไรก็เข้าท่า น้ำซุปชั้นดีจะใส่ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ อูด้ง ราเม็ง เฝอแบบเวียดนาม หรือพาสต้าเล็กๆ แบบซุปผักหรือ Minestrone แบบอิตาเลียนก็อร่อย ทำสไตล์เยอรมันก็ใส่ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวริซอตโตเมล็ดสั้นๆ ก็ทำซุปได้ ไม่มีข้าวไม่มีพาสต้าก็เอามันฝรั่งหั่นใหญ่ๆ ใส่ลงไป

ซุปโมร็อคโคเป็นซุปแกะเข้มข้นโรยข้าวคูสคูส ส่วนซุปข้นแบบอินเดียมีซุปถั่วและสารพัดแกงที่กินกับนานหรือโรตี ไปถึงอเมริกาใต้สั่งซุป หรือ Caldo อาจจะได้อโวคาโดสไลซ์เป็นแว่นๆ โรยหน้าซุปกินกับตอร์ติยา

ไปที่ไหนๆ ก็เจอซุป ถ้าท้องอิ่มจนไม่นึกอยากกินอะไรก็ถามหาซุป อารมณ์ไม่ดีกินซุปร้อนหรือเย็นตามสภาพอากาศ เชื่อว่าทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า อารมณ์แจ่มใส ซุปจึงเป็นอาหารนานาชาติทุกชาติมี อร่อยหลากหลาย อีกทั้งส่วนผสมล้วนอุดมด้วยพืชผัก เช่น น้ำซุปหรือน้ำสต็อกพื้นฐานแบบฝรั่งเศสประกอบด้วยแครอท เซเลอรี่ หอมใหญ่ ต้มนานหลายชั่วโมง แบบนี้ใช้ทำซุปผัก และน้ำสต็อกพื้นฐานจากซี่โครงเนื้อก็มีใบพาร์สลีย์ ใบไธม์ แครอท ต้นกระเทียม เซเลอรี่ เป็นต้น

น้ำสต็อกปลาเอาไปทำซุปปลาหรือซุปชนิดต่างๆ ก็ต้มจากกระดูกปลา น้ำซุปไก่ก็ต้มจากซี่โครงไก่ กระทั่งข้าวโพดเอาไปต้มทำซุปได้รสชาติหวาน ราคาก็ถูก จะเสียก็ค่าแก๊ส ดังนั้นเมื่อจะทำน้ำสต็อกหรือน้ำซุปพื้นฐานควรมองหาเตาถ่าน

ทำไมซุปถึงกินดีมีประโยชน์ เพราะส่วนผสมอันได้แก่ ผักสด เครื่องเทศ สมุนไพร เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ จนถึงผลไม้ เช่น สูตรทำซุปพื้นฐานและท็อปปิ้ง ที่ช่วยให้กินอิ่มและอร่อยยิ่งขึ้น มีดังนี้ แครอท เซเลอรี่ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ผักชี ใบโหระพา ต้นกระเทียม มะเขือเทศ แตงกวา ฟักทอง มะระ หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด ส่วนผสมโรยหน้าหรือทำให้เข้มข้นเช่น โยเกิร์ต ครีม ชีสชนิดต่างๆ เพสโต้ซอส ซัลซ่า แฮมกับเบคอน เนื้อสัตว์และอาหารทะเล ฯลฯ

ส่วนผสมเหล่านี้กลายมาเป็นซุปชามใหญ่ ที่กินแต่น้ำก็ได้น้ำ กินเนื้อก็ได้เนื้อ ล้วนบำรุงสุขภาพ กินซุปก่อนกินเจล้างท้องรอกินผักได้เลย...

7 วิธีกินผักแบบไม่ขาดสารอาหาร รับเทศกาลเจ

เดี๋ยวนี้หนุ่มสาวสมัยใหม่หันมาใส่ใจกับเทศกาลกินเจ แน่นอนว่านอกจากจะได้ชำระล้างจิตใจ อิ่มบุญอิ่มกุศลที่ไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์แล้ว ก็ยังถือเป็นทางออกของคนรักสุขภาพด้วย

เมื่อคนหันมาตื่นตัวกับกระแสการกินเจ ก็ทำให้ร้านอาหารเจพลอยคึกคักตามไปด้วย สารพัดอาหารเจปรุงสำเร็จก็มีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบโปรตีนจากถั่วเหลืองแปรรูป แม้สะดวกสบายแต่หลายคนก็มองว่าการนำโปรตีนเกษตรมาแปรรูปเป็นเนื้อสัตว์นั้นดูจะไม่เหมาะสม เพราะไม่ช่วยลดละกิเลสในการอยากทานเนื้อสัตว์ ขณะที่ผู้ผลิตก็แย้งว่า เป็นเพียง "ทางเลือก" ให้ผู้บริโภคที่เพิ่งหันมาทดลองทานเจตามเทศกาล นานๆ ทานที ก็ว่ากันไป

เมื่อต้องถือศีลกินเจ ผลที่ตามมาส่วนใหญ่คือร่างกายขาดสารอาหาร ซึ่งไม่ได้แปลว่าเป็นโรคขาดอาหาร แต่สารอาหาร 5 หมู่ที่เคยได้รับเป็นประจำทุกวันทุกวันก็จะลดน้อยตามไปด้วย ซึ่งก็อาจจะมีผลต่อการเจริญเติบโต หรือการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในบางท่านที่ร่างกายอ่อนแอเพราะขาดสารอาหารเป็นทุนอยู่แล้ว การปฏิบัติตนในช่วงเทศกาลกินเจก็อาจส่งผลให้อ่อนเพลียง่ายตามมาด้วย

แล้วเราควรจะกินอะำไร และกินอย่างไร ให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างเพียงพอในช่วงกินเจ

1. ปรุงเอง ทานเอง เพราะเราไม่รู้ว่าอาหารเจสำเร็จรูปที่วางขายตามท้องตลาดหรือแม้แต่ยามที่สั่งทานจากร้านอาหารเจนั้นจะมั่นใจในคุณภาพวัตถุดิบ สารอาหาร และความสะอาดได้แค่ไหน การปรุงเองนอกจากจะเลือกสรรวัตถุดิบได้อย่างที่ร่างกายต้องการและได้ืทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ แล้ว ยังปลอดภัยจากสารปนเปื้อนที่เราอาจไม่รู้ตัวขณะตักเข้าปากจากการทานอาหารเจสำเร็จรูปด้วย

2. ผัก-ผลไม้ ยิ่งสดใหม่ ยิ่งดีกับร่างกายคุณ ต้มจับฉ่ายหลายหม้ออาจเป็นหนึ่งในเมนูดั้งเดิมตามธรรมเนียมการกินเจ ยิ่งอุ่นบ่อย รสชาติยิ่งเข้มข้น แต่คงจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องของการกินเจหากไม่ได้รับผักสดใบเขียวหรือผักที่ปรุงเพื่อทานครั้งเดียวต่อมื้อ ถึงฤดูืทานเจทั้งทีก็ควรทานพืชผักให้ครบ หากคุณรู้ตัวดีว่าไม่ได้กินเจตามแฟชั่น!

3. อย่าขาดโปรตีนถั่ว ปกติคุณอาจชอบทานข้าวขาหมู หนังไก่ทอด หรือเนื้อวัวชาบูเป็นชีวิตจิตใจ แต่เมื่อต้องถือศีลกินเจ โปรตีนที่เคยได้จากการทานเนื้อสัตว์ก็จะหดหายไป หากไม่ได้รับโปรตีนทดแทนจากพืชตระกูลถั่วทั้งหลายก็อาจมีผลทำให้ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรง สมัยนี้มีโปรตีนเกษตรออกมาเป็นทางเลือก ทั้งสะดวกสบายและได้โปรตีน ก็น่าจะช่วยให้หลายคนกินเจได้อย่างสบายใจ

4. ทานผักผลไม้ให้หลากหลาย พืชผักบางอย่างอาจเป็นของต้องห้ามสำหรับการกินเจ เช่นผักกลิ่นฉุนจำพวก กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย แต่ไม่มีข้อห้ามใดๆ สำหรับผักใบเขียว ผักสีสดอุดมเบต้าแคโรทีน อาทิ แครอท, บีทรูท, มะเขือเทศ, พริกหยวก หรือผลไม้อุดมวิตามินทุกชนิด เพียงแต่ควรล้างให้สะอาดก่อนปรุงด้วยด่างทับทิมเพื่อฆ่าเชื้อโรคและสารฆ่าแมลงที่อาจตกค้าง เพียงเท่านั้น...เจปีนี้คุณก็จะทานผักผลไม้ได้เต็มที่

5. ใส่ใจวัตถุดิบปรุงอาหาร นอกเหนือจากผัก ผลไม้ เมล็ดพืช อาหารเจเทียมทั้งหลายที่ต้องใส่ใจทั้งคุณค่าและความสะอาด เครื่องปรุงอื่นๆ ก็ไม่ควรมองข้ามทั้งนั้น เป็นต้นว่าเกลือ น้ำตาล น้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร ก็ควรควบคุม อย่าใช้เครื่องปรุงในปริมาณที่มากเกินจำเป็น เพราะรสชาติที่ปรุงแต่งมากเกินไป เช่น เค็มไป หวานไป มันเกินไป ก็ส่งผลทั้งร่างกายและจิตใจในระหว่างทานเจทั้งสิ้น

6. กินเจอย่างมีวินัย วินัยในการทานอาหารของแต่ละคนอาจมีไม่เท่ากัน ในช่วงปกติหากไม่ได้ถือศีลกินผัก หลายคนอาจทานจุบจิบระหว่างมื้อ ไปจนถึงขั้นทานวันละหลายๆ มื้อ ควรปรับเปลี่ยนนิสัยในการทาน ทานแต่พอดีและพอเพียงในแต่ละมื้อ หากคิดว่าทำยากลำบากนัก จะหันมาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินตั้งแต่เจปีนี้ก็ยังไม่สาย ที่สำคัญ วินัยในการกินของคุณยังอาจติดตัวไปจนถึงหลังพ้นเทศกาล (ออกเจ) อย่าลืมว่าทานอย่างมีวินัย ก็ช่วยให้สุขภาพดีได้เช่นกัน

7. รู้ตัวอยู่เสมอ ว่าเรากินเพื่ออะไร อย่างที่เกริ่นไปว่าหนุ่มสาวสมัยใหม่หันมาสนใจเทศกาลกินเจกันมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนตั้งใจมุ่งมั่นว่าการทานเจคือการทำเพื่อรักษาศีล ชำระล้างกายใจให้บริสุทธิ์ แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่อยากลองกินเจเพราะจะำได้เปลี่ยนเมนูอาหารไม่ให้จำเจ บางคนอยากรักษาสุขภาพเพราะทานผักแล้วดี ขณะที่บางคนก็หลงไปตามกระแสชั่วครั้งชั่วคราว

ไม่ว่าเจตนาในการกินเจของแต่ละคนคืออะไร การที่เราได้ส่งอาหารเจเข้าสู่ร่างกายก็ถือเป็นการดีทางหนึ่งคือละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์และได้ทานอาหารที่เชื่อว่าดีต่อสุขภาพแล้วในเบื้องต้น

แต่การละเว้นซึ่งการประพฤติผิด ละเว้นซึ่งการทำบาป ไม่เบียดเบียนสัตว์ รักษาศีลให้จิตใจสะอาด ควบคู่ไปกับการกินเจ นั่นจึงถือว่าเป็นการกินที่ได้ทั้งบุญและสุขโดยแท้

เคล็ดลับสร้างเสริมกระดูกเพื่อคุณแม่

ในช่วงตั้งครรภ์กระดูกของคุณแม่รับบทหนักทั้งส่งต่อแคลเซียมเพื่อสร้างเสริมกระดูกให้ลูกน้อยแล้ว ร่างกายของคุณแม่ยังปรับเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ระหว่างคลอดกระดูกเชิงกรานก็ต้องขยายตัวเพื่อสะดวกต่อการคลอดทารก

ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปร่างกายของคุณแม่จะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาวะปกติก็ตาม คุณหมอก็มักจะแนะนำให้ออกกำลังกายตั้งแต่ช่วง 1-2 เดือนแรกหลังคลอด เพื่อช่วยให้ทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อต่างๆ มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นปรับเข้าสู่สภาวะปกติได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น แล้วยังช่วยป้องกันอาการปวดหลังอีกด้วย

การสร้างเสริมกระดูกคุณแม่ให้แข็งแกร่งนั้นจำเป็นต้อง...ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะเมื่อร่างกายได้ออกกำลังกายก็เท่ากับได้ใช้งานกระดูก ก็จะเกิดการสร้างเสริมกระดูกขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งาน เพราะฉะนั้นคุณแม่จะนั่งๆ นอนๆ อยู่ไม่ได้ ถึงแม้จะร่างกายอ่อนเพลียอยู่ ก็ควรออกกำลังกายเบาๆ ที่เหมาะกับสภาพร่างกายและกำลังในขณะนั้น เมื่อแข็งแรงขึ้นค่อยเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้นตามความสามารถของร่างกาย

ต้องได้รับสารอาหารพอเพียงเพื่อการสร้างกระดูก ด้วยการกินแคลเซียมตามคำแนะนำของคุณหมอ หรือกินอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้งตัวเล็ก งาดำคั่ว ใบชะพลู นม เต้าหู้ และ ผักใบเขียวฯลฯ ได้รับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าหรือตอนเย็นเพื่อเพิ่มวิตามินดี หรือกินอาหารที่มีวิตามินดีมาก เช่น นม ไข่แดง ปลาทู ปลาแซลมอน และ ปลาซาร์ดีน ฯลฯ อาหารที่มีฟอสฟอรัสมาก เช่น ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดฟักทอง และ โยเกิร์ต ฯลฯ อาหารที่มีวิตามินซีมาก เช่น ฝรั่ง ส้ม มะนาว มันฝรั่ง และ บร็อกโคลี่ ฯลฯ
หลีกเลี่ยงผลเสียต่อกระดูก ด้วยการระมัดระวังการเคลื่อนไหว ไม่ยกของหนัก ไม่นั่งในท่าเดิมนานเกินไป ควรยืดเหยียดร่างกายเปลี่ยนอิริยาบทบ้าง การได้รับยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานานๆ ก็เป็นการทำลายกระดูกเช่นเดียวกัน คุณแม่ควรจะงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และบุหรี่ ไม่ลดน้ำหนักจนผอมมากเพียงเพราะต้องการให้รูปร่างสวยงาม
เมื่อดูแลตัวเองดีอย่างนี้ คุณแม่ก็จะสามารถมีกระดูกแข็งแรงไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว

ดูแลจิตใจเพื่อสุขภาวะสาว 40+

ยังมีมาฝากผู้อ่านเดลินิวส์ออนไลน์กันอีกกับ ‘หลักคิด' ตามคำแนะนำของนายแพทย์วิโรจน์ ตระการวิจิตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช และผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน ที่กล่าวไว้ในงานเสวนา "พลังใจสาว 40+" ตอน ประตูสู่ความสำเร็จ และ หลักคิดที่จะหยิบยกมาเป็นยาใจสูตรสามัญประจำบ้านในวันนี้เป็นประโยชน์กับสาว วัย 40 ปีขึ้นไปที่กำลังอยู่ในช่วงวัยทองและต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จนเกิดความเครียดเชื่อมโยงมาถึงจิตใจ

การเสริมความแข็งแกร่ง ดูแลจิตใจเพื่อสุขภาพ ควรเริ่มจากการแบ่งแยกปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียด และภาวะซึมเศร้า โดยมีทั้งจาก ‘ครอบครัว' สาววัย 40 มักจะมีบุตรที่กำลังโตและติดเพื่อน ถือว่าอยู่ในวัยที่ตักเตือนลำบาก ‘งาน' อันที่จริงสาว 40 จะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง โดยปัญหาด้านนี้อาจมาจากการปกครองคน ‘สุขภาพ' ก็คือการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายเพราะฮอร์โมนเพศกำลังจะหมด และ ‘สังคม-สิ่งแวดล้อม' เป็นสภาพที่พบในวงกว้างทั้งผู้คน หรือสิ่งต่างๆ รอบตัว

เมื่อทราบที่มาของความเครียดแล้ว ขั้นตอนต่อมาควรสำรวจตนเองเพื่อการปรับปรุง เริ่มจากการสำรวจ ‘ทัศนคติ' วันนี้คุณมีกัลยาณมิตร หรือเพื่อนคู่คิดที่ดีหรือไม่ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีผลต่อทัศนคติของตัวคุณ โดยส่งผลต่อไปยัง ‘ความคิด' หากคิดอย่างมีระบบเป็นเหตุเป็นผลตามหลักศาสนาย่อมได้ผลลัพธ์ในทางที่ดี หรือออกมาเป็น ‘คำพูด' ทั้งการพูดกับตนเองหรือสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กับ ‘การกระทำ' ที่ควรเป็นไปอย่างมีระเบียบวินัยแบบพอดี ไม่เข้มงวดเกินไป

การสำรวจและปรับปรุงทัศนคติ ความคิด คำพูด และการกระทำ ให้เป็นไปในทิศทางที่ดีนั้น จะทำให้คนรอบข้างได้สัมผัสกับลักษณะนิสัยหรือคุณลักษณะประจำตัวของคุณอย่าง ชื่นชม และอาจกล่าวได้ว่า 'สิ่งที่ชีวิตคุณได้เผชิญล้วนเป็นผลมาจากทัศนคติของตัวคุณเอง'

เล็กๆน้อยๆเรื่องการนอน

บทสัมภาษณ์ของ Dr Neil Stanley - ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการนอน ในคอลัมน์ " Take it from an expert " ของ Times Online คิดว่าน่าสนใจดีเพราะส่วนตัวเป็นคนที่นอนดึก(มาก)ตื่นสาย แอบกังวลนิดๆว่าจะเป็นอะไรต่อสุขภาพรึเปล่า (โดยเฉพาะเรื่องแก่เร็ว " นี้วิตกหนักเลยค่ะ) และต่อไปนี้คือความรู้และเคล็ดลับเล็กๆน้อยในเรื่องการนอนที่อาจช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

1.หลายคนคงคุ้นกับประโยคที่บอกว่า " ควรนอนไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง " ใช่ไหมค่ะ แต่ดร. Neil บอกว่าจริงๆแล้วไม่มีกฎตายตัวว่าต้องนอนนานเท่าไหร่ มันแล้วแต่บุคคล ถ้าอยู่ในระหว่าง 3 - 11 ชั่วโมงถือว่าใช่ได้ไม่ผิดปรกติอะไร ถ้าอีกวันตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสดชื่นสดใส สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ถือว่าโอเคแล้ว

2. เรื่องเวลานอนที่จริงแล้วไม่ค่อยสำคัญ สิ่งที่ควรสนใจคือคุณได้ใช้เวลาไปกับการหลับลึกมากแค่ไหนต่างหาก ซึ่งช่วงหลับลึกจะกินเวลาหนึ่งในสามแรกของการนอนและเป็นช่วงที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนมากที่สุดค่ะ มันไม่จริงหรอกค่ะที่นอนตอนสี่ทุ่มจะดีกว่าตอนห้าทุ่ม ข้ออ้างนี้มันสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เอาไว้ใช้ไล่ให้ลูกไปเข้านอน

3. สำหรับเรื่องการนอนไม่หลับ ดร. Neil บอกว่าส่วนตัวแล้วเขาเป็นคนหลับง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดคุณนอนไม่หลับหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก อย่ามั่วแต่นอนพลิกไปพลิกมา ลองหยิบหนังสือที่มีเนื้อหาสบายๆไม่เร้าอารมณ์มากมาอ่าน ถ้าร่างกายคุณยังคงต้องการการพักผ่อน มันก็จะง่วงขึ้นมาเอง

4. ดร. Neil กับภรรยาแยกเตียงกันนอน เขาบอกว่า " การนอนเป็นสิ่งเห็นแก่ตัวที่สุดที่คุณสามารถทำได้ " ถ้าแยกกันนอนกับคนรักแล้วสบายตัวสบายใจหลับฝันได้ ก็แยกเตียงเถอะ ดีกว่าทนฟังเสียงกรน ดมตด หรือถูกคนรักเตะตลอดทั้งคืน ส่วนใครที่กังวลว่าทำแบบนี้มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคู่รึเปล่า คำตอบคือไม่ค่ะ ... ซึ่ง ดร. Neil กล่าวไว้ว่า
" ไม่ได้นอนด้วยกัน ไม่ใช่ปัญหา .... แต่ไม่มีเซ็กซ์กันตั้งหากที่เป็น! "

4 ท่าบริหารป้องกัน ปวด จากการใช้คอมพิวเตอร์

ช่วงปิดเทอมนี้การจะห้ามไม่ให้เด็กเล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ หรือเล่นอินเทอร์เน็ตคงเป็นเรื่องยาก ถือเป็นช่วงวันหยุดยาวที่พวกเขาจะได้พักผ่อน หลังจากการเรียนและสอบที่เคร่งเครียด เด็กหาวิธีผ่อนคลายในยุคดิจิตอลด้วยการเล่นเกม แต่เด็ก ๆ หารู้ไม่ว่าการนั่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้มีอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง และอาจมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ปวดแขน ตามมาได้

ดร.เจย์ สัน ลี ไคโรแพรคเตอร์ ชาวเกาหลี ประจำคลีนิคกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก บอกว่า การห้ามเด็ก ๆ ไม่ให้เล่นเกมหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ในยุคดิจิตอลนี้คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่เกม และอะไร ๆ เดี๋ยวนี้ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทั้งนั้น เพราะเหตุนี้จึงทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยมีปัญหาและอาการปวดนิ้ว นิ้วแข็ง มือเกร็ง ทำให้เขียนหนังสือไม่ได้ หรือเมื่อพอเริ่มเขียนได้สักพักก็รู้สึกเครียด อารมณ์เสีย มีอาการโมโห หรือหงุดหงิด นอกจากเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์แล้ว ผู้ใหญ่จำนวนมากก็ต้องประสบกับอาการปวดและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ อันเนื่องมาจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านบัญชี คีย์ข้อมูล หรือต้องพิมพ์รายงานต่าง ๆ เป็นต้น

ดร.เจย์ สัน ลี กล่าวต่อว่า การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ส่วนมากจะนั่งผิดลักษณะท่าทาง ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ นอกจากนั้นยังมีการใช้เก้าอี้ไม่ตรงกับสรีระ จึงทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา ควรจะมีการพักสายตา ยืดกล้ามเนื้อ หรือบริหารร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไคโรแพรคเตอร์ จึงแนะนำท่าบริหารร่างกาย เพื่อป้องกันอาการปวด จากผลกระทบของการเล่นเกมและใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ 4 ท่า ดังนี้

1. ท่าบริหารและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง ท่านี้ควรให้เด็ก ๆ ยืนหรือนั่งให้หลังตรง แล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านบน ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วหงายมือออก

2. ท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ให้เหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าโดยให้มือประสานกัน

3. ท่าบริหารกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนิ้วมือ โดยยืดแขนออกไปข้างหน้า โดยให้มือชี้ลง พร้อมทั้งดัดนิ้วมือไปทางด้านหลัง โดยให้ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา อย่างน้อย 20 วินาที

4. ท่าบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ โดยการยืนตัวตรง เอามือซ้ายจับบนศีรษะด้านขวา พร้อมโน้มคอไปทางด้านเดียวกับที่มือจับศีรษะอยู่ ทำสลับไปมา ซ้ายขวา

ท่องป่าสัมผัสความหนาวที่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว

เข้าสู่เดือนแรกของฤดูหนาวกันแล้ว เมืองไทยน่าเที่ยวฉบับนี้ไม่รอช้าขอพาท่านมาสัมผัสความหนาวเย็นก่อนใครที่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ค่ะ เป็นยังไงบ้างค่ะแค่ชื่อก็หนาวกันล่วงหน้าแล้วใช่ไหมคะ และนอกจากความหนาวเย็นที่เราจะได้สัมผัสแล้ว ที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ได้ร่วมสนุกกันด้วยค่ะ แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวกับเรามารู้จักกับที่นี่กันสักนิดดีกว่าค่ะ

อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ถือเป็นอุทยานแห่งชาติที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ป่าน้ำหนาวเปรียบเสมือนกำแพงธรรมชาติเพราะเป็นเทือกเขาสูงทอดยาวกั้นเขตแดนระหว่าง ภาคอีสานและภาคเหนือ มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณที่ 25 องศา ในช่วงฤดูหนาวอากาศค่อนข้างหนาวจัดโดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน สำหรับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่น่าสนใจได้แก่

จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นภูค้อ คือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นภูกระดึงและภูผาจิตอยู่เบื้องหน้า ในช่วงฤดูหนาวสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า

จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกถ้ำผาหงส์ เป็นจุดที่ต้องเดินเท้าเข้าไปยังระยะทางประมาณ 300 เมตร ลักษณะเป็นเขาสูงมีทางเท้าขึ้นสู่ยอดประมาณ 200 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์และพระอาทิตย์ตกในยามเย็น ภายในถ้ำยังเป็นที่อยู่อาศัยของค้างค้าวหลายชนิด โดยเฉพาะค้างคาวมงกุฎมาร์แชล ซึ่งเป็นสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์

สวนสนบ้านแปก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดงแปก ลักษณะเป็นป่าสนสองใบขึ้นอยู่กลุ่มใหญ่เพียงชนิดเดียวตามธรรมชาติ ต้นไม้พื้นล่างประกอบด้วยทุ่งหญ้าและหญ้าเพ็กเป็นจำนวนมาก มีความสวยงาม ระหว่างเส้นทางเข้าสวนสนบ้านแปกจะผ่านทั้งป่าดิบชื้นและป่าดิบเขาจึงมีโอกาสได้พบสัตว์ป่าและนกนานาพันธุ์

น้ำตกเหวทราย เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 20 เมตร ที่เกิดจากลำห้วยสนามทราย ซึ่งเป็นแนวธรรมชาติที่แบ่งเขตแดนระหว่าง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ กับ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ บริเวณด้านใต้น้ำตกมีแอ่งน้ำลึกสามารถลงเล่นน้ำได้ และใต้น้ำตกมีชะง่อนหินขนาดใหญ่เป็นเพิงสามารถพักแรมหลบฝนได้ในช่วงฤดูฝนน้ำตกจะมีปริมาณน้ำมากทำให้มีความสวยงามมาก

น้ำตกทรายทอง อยู่ใกล้กับ น้ำตกเหวทราย มีความสูงเพียง 4 เมตร แต่มีความกว้างที่สุดถึง 30 เมตร นับได้ว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งบรรยากาศโดยรอบร่มรื่นเหมาะแก่การเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ
ถ้ำใหญ่ฤดูหนาว หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ภูน้ำริน มีลักษณะเป็นเขาหินปูนสูงประมาณ 955 เมตร ภายในถ้ำมีความวิจิตรงดงามของหินงอกหินย้อยตามธรรมชาติ และสิ่งที่แปลกที่สุดคือมีน้ำไหลรินออกมาจากปากถ้ำภายในถ้ำยังเป็นที่อาศัยของค้างคาวจำนวนมาก รวมทั้งชนิดที่เป็นสัตว์หายากใกล้สูญพันธุ์คือ ค้างคาวมงกุฎมาร์แชล ค้างคาวหูหนูยักษ์ และค้างคาวท้องน้ำตาลใหญ่

ป่าเปลี่ยนสี เป็นผืนป่าผสมผลัดใบ ในช่วงประมาณเดือนธันวาคม – มกราคมของทุกปี ก่อนที่พันธุ์ไม้จะผลัดใบ จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติของป่าเปลี่ยนสีที่สวยงามน่าชมเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายอย่าง สวนสนภูข้าว ภูผาจิต ผาล้อมผากอง น้ำตกตาดพรานบา และเส้นทางศึกษาธรรมชาติอีกหลายเส้นทาง ที่น่าสนใจรอการมาเยือน หรือใครที่ชอบศึกษาธรรมชาติก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศในรูปแบบต่างๆ กับทางอุทยานได้ อาทิ กิจกรรมศึกษาธรรมชาติหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว กิจกรรมศึกษาท้องฟ้าดาราศาสตร์ กิจกรรมดูนก กิจกรรมดูผีเสื้อ และกิจกรรมศึกษาพรรณไม้ ส่วนในบริเวณอุทยานก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการเช่าบ้านพักหรือเต้นท์ ร้านค้า ร้านอาหาร โทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ และ Internet สาธารณะก็มีให้บริการค่ะ

ในช่วงต้นฤดูหนาวอย่างนี้ ใครยังไม่รู้จะไปเที่ยวรับลมหนาวที่ไหนดี สวยด้วยแพทย์ขอเสนอ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะคะ สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว โทร.0-5672-9002

แน่ใจหรือ... ว่าใช้ไมโครเวฟถูกวิธี

ปัจจุบันไมโครเวฟได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็เกิดอันตรายได้ คุณจึงควรรู้จักใช้ให้ถูกวิธีเคล็ดลับในการใช้และดูแลเครื่องไมโครเวฟ วางเตาไมโครเวฟให้อยู่ในระดับหน้าอกของผู้ที่จะใช้งานที่มีความสูงน้อยที่สุด

ไม่ควรตั้งเตาไมโครเวฟเหนือเตาหุงต้ม เพราะเหนือเตาหุงต้มจะมีความร้อน ไขมัน และไอน้ำ จากการประกอบอาหาร ไอเหล่านี้จะไปจับที่เตาไมโครเวฟ ทำให้เตาไมโครเวฟมีอุณหภูมิสูงอยู่เสมอ

ภาชนะใส่อาหารที่นำเข้าเครื่องต้องเหมาะสมทั้งที่เป็นแก้ว กระเบื้อง หรือพลาสติกต้องใช้แบบทนไฟ ห้ามนำกระดาษทุกชนิดเข้าเครื่อง หลีกเลี่ยงภาชนะที่มีขอบสีเงิน ขอบทอง และภาชนะที่ทำจากสเตนเลส หรือเหล็กแววแสง เช่น ช้อน มีด สำหรับภาชนะที่มีฝาปิดแน่น เช่น ขวด ไม่ควรนำมาใช้กับเตาไมโครเวฟ

เวลาคลื่นไมโครเวฟทำงานอาจทำให้คราบอาหารกระเด็นไปติดตู้ไ ควรใช้ฝาครอบอาหารพลาสติกที่ทนความร้อนครอบอาหารไว้

อาหารที่มีเปลือกแข็ง หรือมีผิวห่อหุ้ม ควรใช้ของแหลมจิ้มให้เป็นรูก่อน เพื่อป้องกันความร้อนขยายตัว ที่อาจทำให้อาหารปะทุได้

อย่าปล่อยให้เศษอาหารค้างในเครื่องนานๆ เพราะความเค็มจะทำให้เกิดปฏิกิริยากับเหล็กจนเป็นสนิม และทำให้ผนังเครื่องเป็นรูเวลาทำความสะอาดห้ามใช้ของมีคมขูด หรือขีดบริเวณผนังตู้ให้เป็นรอยเป็นอันขาด

ไม่ควรน้ำของหนักๆ วางบนเครื่อง และควรติดตั้งเครื่องให้ห่างจากฝาผนังอย่างน้อย 5 ซม. และต้องตั้งให้ห่างจากโทรทัศน์และวิทยุให้มากที่สุด

อย่าพยายามใช้น้ำหรือเครื่องดับเพลิงดับเปลวไฟที่เกิดขึ้นในเตาไมโครเวฟ ให้ปิดตู้แล้วปลดปลั๊กไฟออก ปล่อยให้ไฟดับเอง แล้วค่อยเปิดประตูเตา

การละลายอาหารแช่แข็งในเตาไมโครเวฟ ขณะที่กำลังใช้โปรแกรมทำละลายน้ำแข็งควรมีการพลิกหรือกลับอาหารเป็นครั้งคราว เพื่อไม่ให้มีจุดอับในการทำละลาย

ไม่ควรเปิดเครื่องทำงานขณะที่ประตูเตาเปิดอยู่ หรือไม่มีสิ่งใดอยู่ในเตา

ไม่ควรเก็บเตาไมโครเวฟนอกตัวอาคารหรือที่แจ้ง และไม่ควรใช้ใกล้บริเวณที่เปียกน้ำ

กินเจให้อร่อย

หลายคนบอกว่า ไม่อยากกินเจ ยังอยากกินเนื้ออยู่ เพราะกลัวจะขาดสีสันของชีวิต หรือ ไม่อยากให้ชีวิตจืดชืดไปกว่านี้ แต่หลายคนบอกว่า ความอร่อยอยู่ที่ใจ

จะอย่างไรก็แล้วแต่ มีวิธีปรุง เมนูปลอดเนื้อสัตว์ให้อร่อยได้ดังนี้ค่ะ

เติมน้ำซุป น้ำซุปจะช่วยให้อาหารมีรสชาติขึ้น ไม่ว่าจะต้มแกงหรือผัดผัก วิธีทำน้ำซุปก็คือหั่นฟัก (ถ้าเป็นฟักแฟงจะอร่อยมาก) หัวไชเท้าอย่างละ 1 ลูก เป็นชิ้นเล็ก ๆ ล้างถั่วงอกหัวโต 1 ถ้วยให้สะอาด แล้วเทรวมกันใส่หม้อ เติมน้ำ ตั้งไฟให้เดือด ตั้งต่อประมาณ 1 1/2 ชั่วโมง คอยเติมน้ำอยู่เรื่อย ๆ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง เอาแต่น้ำเก็บไว้

อร่อยแบบเห็ดหอม เห็ดหอมเป็นตัวชูโรงสำหรับอาหารเจ เพราะจะให้ทั้งรสและกลิ่นอ่อน ๆ ที่อร่อย น้ำแกงที่ใส่เห็ดหอมจะหอมชื่นใจ ผัดผักถ้าเจียวเห็ดหอมซอยบางๆกับน้ำมันก่อนใส่ผัก ผัดจานนั้นจะอร่อยมาก

วิธีเลือกซื้อเห็ดหอมคือให้เลือกเห็ดใหม่ ซึ่งสีจะออกเทาเกือบดำ ไม่หมองคล้ำ เลือกที่มีเนื้อดอกหนาหน่อย

ปัจจุบัน มีเห็ดหอมญี่ปุ่นรสดีเข้ามาขาย ซึ่งดอกจะหนากว่าและมีริ้วสีขาวแบบแตกลายงา ต่างจากเห็ดหอมจีนแดงซึ่งบางกว่า และแน่นอนค่ะ เห็ดหอมญี่ปุ่นแพงกว่ามาก

ก่อนนำเห็ดหอมมาประกอบอาหาร ให้ล้างน้ำเสียก่อน จากนั้นให้แช่น้ำจนนิ่ม และอย่าทิ้งน้ำที่แช่ เพราะสามารถนำมาใช้เป็นน้ำซุป หรือเติมลงไปในผัดผักได้ค่ะ

ใส่น้ำพริกเผา ช่วยทำให้อาหารมีรสเปรี้ยว หวาน และเผ็ดขึ้น ทำได้โดย คั่วพริกแห้ง 6 เม็ดให้หอม โขลกให้ละเอียด ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่พริกแห้ง หัวไชโป๊หวานสับละเอียด 2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ ผัดจนสุกเป็นอันใช้ได้

เหยาะเครื่องปรุงรส เพื่อให้เกิดความอร่อยอย่างมีรสชาติ ได้คุณค่าอาหาร ทั้งยังสะดวกแก่ผู้ปรุง จึงมีเครื่องปรุงรสสำหรับอาหารเจ ทำจากถั่วเหลืองบ้าง เห็ดหอมบ้าง ออกมาโดยเฉพาะ เช่น ซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง ซอสเห็ดหอม และน้ำมันเห็ดหอม

น้ำมันพืช จะเป็นน้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันข้าวโพดก็ได้ โดยใช้เป็นตัวหลักในการทำอาหารทอดหรือผัด และให้เติมน้ำมันงาลงไปเล็กน้อย (เพราะราคาแพง) เพื่อให้อร่อยขึ้น

8 ข้อปฏิบัติ อยู่อย่างเป็นสุข

การดำเนินชีวิตอย่าง Slow Life ใช่ว่าจะเป็นเพียงนามธรรม เพราะที่ประเทศญี่ปุ่น พลเมืองชาวคาเกะกาวา จ.ชิซูโอกะ นิยมการใช้ชีวิตอย่างเนิบช้าตามหลักปฏิบัติทั้ง 8 ข้อ ประกอบด้วย...

Slow Pace ด้วยการรณรงค์ให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการเดินเท้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ แทนการใช้รถยนต์ เพราะนอกจากจะได้ยืดเส้นยืนสายออกกำลังกายไปในตัว แล้วยังได้ชื่นชมสภาพความเป็นอยู่ของเมืองยามที่เดินผ่าน แถมยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนได้ด้วย

Slow Wear หันหาเสื้อผ้าอาภรณ์ในแบบพื้นเมืองที่ผลิตจากวัตถุดิบหรือผ้าท้องถิ่น ถือเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมเครื่องแต่งกายไปในตัว

Slow Food รักษาวัฒนธรรมทางอาหาร รับประทานอาหารเมนูพื้นบ้านที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น เน้นสะอาด ปลอดสารพิษ เลี่ยงการรับประทานอาหารจานด่วนที่เชื่อว่าทำให้ชีวิตขาดสมดุล

Slow House ปลูกบ้านตามประเพณีและวัฒนธรรมให้เป็นไปตามรูปแบบ เช่น ชาวญี่ปุ่นจะใช้ไม้ ไม้ไผ่ กระดาษ มาเป็นวัสดุสำคัญในการสร้างและตกแต่งบ้าน สอดคล้องกับลักษณะสภาพภูมิประเทศ

Slow Industry ระบบอุตสาหกรรมต้องใส่กับสิ่งแวดล้อม กลมกลืนกับเกษตรกรรม ป่าไม้ เน้นใช้แรงคนมากกว่าแรงเครื่องจักร

Slow Education ไม่ใช่การท่องจำบทเรียนและสอบอย่างเคร่งเครียด การเรียนยังต้องเป็นไปอย่างเพลิดเพลิน ควบคู่ไปกับกีฬา และงานอดิเรก

Slow Aging ใส่ใจเติมสิ่งดี ๆ ให้กับร่างกายและจิตใจ เรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่มีสุขภาพกาย-ใจที่เข้มแข็ง เพื่อปรับใช้ช่วยชะลอความแก่ และอายุที่ยืนยาว
Slow Life ทำได้ทั้ง 7 ข้อข้างต้น ผลตอบแทนที่ได้ก็จะมีความสุขกับชีวิตที่แช่มช้า และดีกว่า Fast Life

เห็นชาวญี่ปุ่นทำได้ดังนั้นแล้ว ใครพร้อมจะเปิดรับแนวทางแห่งความสุขสูตรนี้ อาจนำข้อปฏิบัติทั้ง 8 ไปปรับใช้ให้เหมาะกับวิถีชีวิตของคุณ ก่อนจะชั่งใจเลือกว่า Slow หรือ Fast Life ชีวิตจะสุขกาย สุขใจ ได้มากกว่ากัน

23 ต.ค. 2552

ตำนานผีที่แต่ละมหา’ลัยต้องมีร่ำลือกัน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สถานที่เกิดเหตุ : ทางเดินระหว่างตึกของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ทางเดินที่ว่านี้มีประวัติอยู่ว่า สมัยก่อนมีคู่สามีภรรยานักการฯ ของคณะสถาปัตย์ ทะเลาะกัน ฝ่ายภรรยาควักปืนยิงสามีจนเสียชีวิต และมีเลือดสาดไปทั่วทั้งทางเดิน ต่อมาทางคณะมีการปรับปรุงพื้นบริเวณนี้ แต่แปลกที่เฉพาะทางเดินนี้เท่านั้นที่ปูนไม่ยอมแห้งส ักที ทางคณะจึงต้องปูไม้กระดานทับไว้อย่างที่เห็นกันในทุก วันนี้ หรือที่ห้องซ้อมดนตรีไทย คณะครุศาสตร์ เวลาที่มีคนแอบเข้าไปนอนหลับในห้องซ้อมดนตรีไทย จะรู้สึกเหมือนมีใครมาดึงขา ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินไปเดินมา และได้กลิ่นธูป เมื่อถามรุ่นพี่ๆ ว่าเป็นอะไร คำตอบคือ เป็นฝีมือของเจ้าที่ที่ไม่ชอบให้ใครเข้ามานอนในห้องท ี่ใช้ซ้อมดนตรี ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ กับนักศึกษาปี 1

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สถานที่เกิดเหตุ : ลิฟต์แดง คณะศิลปศาสตร์ ลิฟต์นี้มีตำนานเล่ากันว่าตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา ลิฟต์นี้ถูกใช้เป็นเครื่องช่วยชีวิตนักศึกษา เพื่อหนีไปยังชั้นอื่นๆ แต่พวกเขาคิดผิด เพราะเมื่อพวกเขาเข้าไปในลิฟต์ ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด พวกเขาโดนทหารยิงทันที จนคราบเลือดเปรอะเปื้อนทั่วลิฟต์ไปหมด หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะใช้ลิฟต์มากนัก เพราะมีคำร่ำลือกันว่า ลิฟต์ตัวนี้มีวิญญาณของรุ่นพี่นักศึกษาสิ่งสถิตอยู่ หรือในช่วงเย็นจะไม่มีใครกล้าเดินผ่านเลย และจะไม่มีใครกล้ามองเข้าไป เพราะเคยมีคนเห็นภาพศพที่เต็มไปด้วยกองเลือดนอนทับๆ กันอยู่ในลิฟต์แดงตัวนี้เป็นจำนวนมาก

มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม

สถานที่เกิดเหตุ : หอเพชรรัตน์ หอเก่าแก่ในมหาวิทยาลัย ที่เล่าขานกันมาว่าครั้งหนึ่งมีนักศึกษานอนอยู่ในห้อ งพักคนเดียวได้ยินเสียงคนเดินมาช้าๆ จนเสียงนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ ห้องพัก นักศึกษาคนนั้นจึงมองลอดช่องตาข่ายมุ้งลวดออกไปดู ปรากฏว่าเห็นคนนุ่งโจงกระเบนสีแดงลากโซ่ตรวนเดินผ่าน ไป

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

สถานที่เกิดเหตุ : ชั้น15 ตึกคณะนิเทศศาสตร์เมื่อ 10 กว่าปีก่อนมีนักศึกษาหญิงถูกข่มขืนและถูกฆ่าตายที่ชั ้น15 ตึกคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ปัจจุบันนี้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปชั้นนั้นคนเดียวใ นช่วงเย็น เพราะวันดีคืนดีอาจได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ หรือบางครั้งเข้าห้องน้ำแล้วมองออกไปที่กระจกก็จะเห็ นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าอยู่ แต่พอเปิดประตูออกไปก็ไม่พบใคร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น

สถานที่เกิดเหตุ : บริเวณป่ารกข้างหอ 9 หลัง เป็นจุดที่ไม่มีใครผ่าน มีเรื่องเล่าว่า เคยมีผู้หญิงถูกข่มขืนจนตายบริเวณนี้มาก่อน ทำให้บางคืนหากมีใครขับรถผ่านมา จู่ๆ รถก็จะกระตุกแล้วก็หยุดไปเลย เหมือนมีใครดึงรถอยู่ข้างหลัง เมื่อหันไปดูจะเห็นผู้หญิงหน้าขาวๆ ซีดๆ ดึงรถไว้

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

สถานที่เกิดเหตุ : โต๊ะตรงคณะอุตสาหกรรมในบริเวณนั้นมักมีคนได้กลิ่นหอมของดอกไม้โบราณหอมแบบ เย็นๆ นอกจากนั้นยังได้ยินเสียงกระพรวนที่เท้าเด็กดังเหมือ นเล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ หันไปหันมาจะเจอเด็กผมจุกนั่งอยู่บนต้นไม้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะเขาแค่อยากชวนเล่นด้วย หรือที่ตึกคณะนิเทศศาสตร์ ดึกๆ จะมีคนเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวเดินไปเดินมา อาจเพราะบริเวณนี้ของมหาวิทยาลัยเป็นรั้ววังตั้งแต่ส มัยรัชกาลที่ 5 ครั้งที่ปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆ ว่ากันว่าสวยงามราวเมืองสวรรค์ ภายในรอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอก ไม้ผล ร่มครึ้ม ทั่วบริเวณ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน

สถานที่เกิดเหตุ : หอพักนักศึกษามีหอหนึ่งเคยเป็นโรงพยาบาลสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 วันดีคืนดีจะได้ยินเสียงคนเดินลากโซ่ตรวน และห้องน้ำหญิงรวมบางคืนจะมีเสียงคนอาบน้ำ แต่พอเดินไปดูไม่มีคนเลยสักคนและที่หอใน ชั้น 2 เคยมีนักศึกษาเสียชีวิตเนื่องจากเป็นไข้ทับฤดูตอนปิด ซัมเมอร์ พอเปิดเทอมถึง มีคนเพิ่งจะพบศพ แต่หลังจากนั้นก็มีคนเห็นว่านักศึกษา คนนี้ยังมานั่งซักผ้าที่ห้องน้ำ หน้าห้องอยู่เลย

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท

สถานที่เกิดเหตุ : ลิฟต์ที่อาคาร 9 ใครที่ขึ้นลิฟต์นี้ตอนดึกๆ จะมีคนกดเรียกลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้นบนสุด พอเปิดมาไม่เจอใคร แต่จะรู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้ามา ตอนนั้นให้รู้ไว้เลยว่าเป็นคนงานที่ตกลิฟต์ลงมาตาย แต่เค้าจะขอลงด้วยหรือที่วิทยาเขตรังสิต ก็มีตำนานแกรนด์คอนโด เป็นที่ขึ้นชื่อมากในเรื่องผี ถ้าอยากเจอ กลางคืนให้หาเรื่องอยากกินนั่น นู่น นี่ แล้วเดินลงบันไดดู

มหาวิทยาลัยนเรศวร

สถานที่เกิดเหตุ : คณะวิทยาศาสตร์ คำบอกเล่าจาก อ.คณะวิทย์ ว่าหลังจากที่มียามถูกแทงตายเพราะทะเลาะกัน ก็มีการจับภาพวิญญาณไว้ได้ในกล้องวงจรปิดของคณะ โดยที่ยามคนนี้ยังแวะไปเยี่ยมเยียนนิสิตบางส่วนที่ชอ บอยู่ดึกๆ ในตึกอีกด้วยอีกเรื่องเล่ารุ่นต่อรุ่นว่า ในวันบวงสรวงรับน้องใหม่ในปีหนึ่งมีน้องที่คณะพยาบาล เป็นลมเพราะเห็นกองทัพพระนเรศวรเดินทัพลอยมาจากบนฟ้า

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

สถานที่เกิดเหตุ : ศาลาเขียวคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มีศาลาประจำเอกคือ ศาลาเขียว ศาลานี้มีตำนานเล่าขาน ถึงที่มาของแผ่นป้ายที่ติดอยู่ ในศาลานั้นว่าทำมาจากต้นตะเคียน วันดีคืนดีจะมีผู้หญิงผมยาวๆ มานั่งอยู่เดียวดายในศาลา

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

สถานที่เกิดเหตุ : ลานจอดรถยนต์เก่า และป่าละเมาะลานจอดรถยนต์ข้างศูนย์บรรณาสาร (หอสมุด) นี้ว่ากันว่าเป็นแดนประหารเก่า และว่ากันมาว่ามีพนักงาน รักษาความปลอดภัยกะดึกคนหนึ่ งเคยเห็นผีคอขาด เดินลากโซ่เสียงดังเกรียวกราวไปมา และถ้าดึกๆ ใครขับรถผ่านก็จะขนลุกโดยไม่มีสาเหตุ

มหาวิทยาลัยรังสิต

สถานที่เกิดเหตุ : หอชายเก่าที่หอชายเก่าในช่วงที่ใกล้จะสร้างหอเสร็จ มีการติดตั้งลิฟต์ และคืนนั้นมีคนงานกินเหล้ากันตามปกติ จนกระทั่งตี 1 มีคนงานคนหนึ่งตกลงไปที่ชั้นล่างใต้ลิฟต์แล้วปีนขึ้น มาไม่ได้ เพราะความเมา และคนงานคนนั้นก็เลยถูกลิฟต์ทับ ในเวลาต่อมาหลังจากที่หอเปิดได้ไม่นานก็มีนักศึกษาเข ้าอยู่เต็ม และหอนี้ไม่เคยปิดเป็นเวลา จึงมีนักศึกษาเข้า-ออกเป็นประจำ จนตี 2 ของคืนหนึ่ง มีนักศึกษากลับมาจากข้างนอกแล้วเดินขึ้นลิฟต์ตามปกติ หลังจากกดชั้นที่พัก ลิฟต์ก็เคลื่อนที่ไปได้สักพักแล้วก็หยุด พร้อมๆ กับไฟดับและมีเสียงร้องดังออกมาข้างนอก จากนั้นลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมฝุ่นตลบ มีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนว่าอย่ายืนทับที่ หลังจากนั้นก็มีการทำบุญหอกันมาทุกๆ ปี

มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง

สถานที่เกิดเหตุ : ห้องน้ำในหอนักศึกษา เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่า มีหญิงสาวถูกฆ่าตายภายในห้องน้ำ ศพของเธอนอนคว่ำอยู่ในอ่างน้ำสีแดงฉาน แล้วหลังจากนั้นก็มีนักศึกษาสาวเข้าพักในหอพักแห่งนี ้ ทำให้เจอเข้ากับเหตุการณ์อันไม่คาดคิด ช่วงเวลาประมาณตี 1 ขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น เธอตัดสินใจไปอาบน้ำเพื่อปลุกให้ตื่นมาอ่านหนังสือต่ อ ในขณะที่เธอกำลังสระผมนั้น คลำดูกี่ทีๆ ก็ยังพบว่าหัวของเธอนั้นยังลื่นอยู่ เธอจึงตัดสินใจล้างน้ำรอบแล้วรอบเล่า พอเธอเงยหัวขึ้นมองบนเพดาน กลับเห็นผีกำลังหยอดแชมพูลงบนหัวเธอและยื่นมือมาสระผ มให้อีกด้วย

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

สถานที่เกิดเหตุ : หอพักอาคาร 5 คืนหนึ่งของ long weekend ที่เด็กกลับบ้านเกือบหมดหอ เล่ากันว่ามีนักศึกษาที่มีอาการ ทางประสาท คนหนึ่ง เครียดเรื่องเรียนจนคลุ้มคลั่ง และฆ่าตัวตายด้วยวิธีการกรีดข้อมือ หลายวัน ผ่านไป มีรูมเมตมาพบศพ ในสภาพศพขึ้นอืด ศพนั้นโกนหัวและนิ้วมือถูกตัดออกหมดด้วย ต่อมาทางมหาวิทยาลัย ได้สั่งให้ปิดหอชั่วคราว และปิดเร ื่องนี้ โดยนิมนต์พระมาสวดหลายครั้งแต่ก็ยังมีเสียงร้องไห ้และ เสียงกรีด ร้องในตอนดึกอยู่ จนหลายปีผ่านไปหอนี้ก็ทำการเปิดให้นักศึกษาเข้าพักอี กครั้ง มีนักศึกษาคนหนึ่ง ได้ยินเสียงบางอย่างจากลิ้นชักโต๊ะ ที่ล็อกอยู่ และเริ่มสะเทือนแรงขึ้น เธอได้แต่นั่งตะลึงมองลิ้นชักที่สะเทือน ตามแรงที่ดัน ออกมา จนในที่สุดก็เปิดออก! มือที่ไม่มีนิ้วเกาะอยู่ที่ขอบลิ้นชัก แล้วหัวที่ไม่มีผมก็โผล่ออกมา แล้วก็พูดว่า…”โนบิตะ นายล็อกลิ้นชักทำไม!!”

21 ต.ค. 2552

นักเรียนแพทย์ ...... รู้กันบ้างไหม ?

กฎ 2 ข้อ ....... ของนักศึกษาแพทย์ :

นักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่ง

เข้าเรียนวิชากายวิภาควิทยาเป็นครั้งแรก

กับศพจริงซึ่งเป็นร่างกายของชายผู้เสียชีวิตแล้ว

นักเรียนทุกคนล้อมรอบโต๊ะผ่าตัด

ซึ่งมีร่างศพคลุมด้วยผ้าผืนสีขาว

ศาตราจารย์ได้เริ่มการสอนโดยกล่าวกับ

นักศึกษาแพทย์ศาตร์ทั้งหลายว่า

" ในวิชาแพทย์ศาสตร์ ,

มีเพียง 2 สิ่งสำคัญที่จะทำให้ท่าน

มีคุณสมบัติเป็นแพทย์ที่มีคุณภาพได้

คือ

ข้อแรก ... มันเป็นความจำเป็นที่ท่านจะไม่ขยะแขยง

" ศาตราจารย์ได้เปิดผ้าคลุมขึ้นและยัดนิ้วเข้าไปในรูทวารหนักของศพ

แช่ไว้ ... และเอานิ้วออกมา เขาดูดให้นักเรียนดู !!!

ศาตราจารย์กล่าวกับนักเรียนว่า

" เอ้า ! เร็ว นักศึกษาจงทำ !!

" นักศึกษาแพทย์ต่างกลัวในเหตุการณ์ที่วิตถารเช่นนี้

แต่ภายหลังต่างก็หันมาผลัดกันยัดนิ้วของตนเข้าไปที่ทวารหนักของ

ศพ และ นำมาดูดหลังจากเอานิ้วออกมา

ครั้นเสร็จสิ้นจนครบทุกคน ,

ศาตราจารย์เพ่งไปที่นักเรียนแพทย์และกล่าวขึ้น ...

" คุณสมบัติของแพทย์ที่ดี ..

ข้อที่สอง .. คือ

ต้องเป็นคนช่างสังเกตุ ...

เมื่อกี้อาจารย์เอานิ้วกลางยัดเข้าไป

แต่อาจารย์ดูดที่นิ้วชี้

กรุณาสนใจการสอนหน่อย ........

นักศึกษาทุกท่าน !! "

5555555555555

14 ต.ค. 2552

ปัสสาวะบ่อย… สัญญาณอันตรายของ ‘มะเร็งต่อมลูกหมาก'

“ปัสสาวะบ่อยขึ้น ปัสสาวะเหมือนไม่สุด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ไม่พุ่งเหมือนเดิม” สุภาพบุรุษหลายคนเคยรู้สึกรำคาญกับอาการเหล่านี้ไหมคะ อย่าคิดว่าอาการแบบนี้เดี๋ยวก็หาย เพราะมันอาจเป็นสัญญาณอันตรายของการเป็น “มะเร็งต่อมลูกหมาก” มะเร็งในเพศชายที่พบมากเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ และมีอัตราการเพิ่มจำนวนผู้ป่วยโรคนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากรายงานขององค์การอนามัยโลก รวมไปถึงข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกค่ะ

จากการได้พูดคุยกับคุณหมอที่ โรงพยาบาลวัฒนโนสถ โรงพยาบาลรักษาเฉพาะด้านมะเร็ง ในเครือศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ข้อมูลดีๆ ที่น่าตกใจมาว่า ในประเทศอังกฤษพบผู้ป่วยมะเร็ง 60-70% ในกลุ่มคนสูงอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งในกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 65 ปีจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากถึง 85% คุณหมอเล่าต่อว่า “เรายังไม่ทราบถึงสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งพบมากในคนอเมริกัน แต่พบน้อยในคนนิโกร นอกจากนี้ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ชอบทานอาหารเนื้อแดง (Red meat) จะเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงกว่า

จากรายงานการศึกษาของจีน และญี่ปุ่นพบหลักฐานการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าในคนทานเต้าหู้เป็นประจำ และพยากรณ์โรคที่ดีกว่า ส่วนการศึกษาในอเมริกาถึงสาเหตุการเกิดมะเร็งพบว่าเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่ยังคงเป็นปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสสารเคมีบ่อยๆ อาหารการกินแบบตะวันตกที่อุดมไปด้วยไขมันจากเนื้อสัตว์ อาหารกากใยน้อย และยังพบหลักฐานด้านการป้องกันได้ด้วยสารในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระ”คุณหมอฝากเตือนมาค่ะว่า “จากการได้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งในเมืองไทย

พบว่าชายไทยเป็นมะเร็งชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะคนไทยที่นิยม Life Style แบบตะวันตก บริโภคเนื้อสัตว์มาก และได้ไขมันจากสัตว์สูง แต่ทานผักน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงขึ้น” ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งชนิดนี้หรือไม่ คุณหมอก็ได้แนะวิธีสังเกตอาการของมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกๆ เอาไว้ว่า “มักมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น ปัสสาวะเหมือนไม่สุด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ไม่พุ่งเหมือนเดิม ปัสสาวะกลางคืน นอกจากเรื่องปัสสาวะแล้ว

ในบางรายมีอาการปวดตามกระดูก น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ถ้าเป็นมากอาจมีอาการปัสสาวะไม่ออก หรือปัสสาวะเป็นเลือด แต่อาการทางปัสสาวะบางครั้งจะแยกจากโรคต่อมลูกหมากเสื่อมไม่ได้ แพทย์จึงต้องทำการผ่าตัดชิ้นเนื้อ ตรวจยืนยันต่อไป”เห็นไหมคะว่าการตรวจหามะเร็งชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณหมอแนะนำว่าการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะได้ผลดีกว่า ซึ่งมีวิธีการตรวจหลายวิธี ทั้งตรวจทางทวารหนัก โดยแพทย์ใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปคลำดูขนาด และความแข็ง หรือเป็นตุ่มของต่อมลูกหมาก, การตรวจเลือดดูค่า PSA, การตรวจ Ultrasound ทางทวารหนัก และกรณีที่สงสัยจะพิจารณาการตรวจเพิ่ม เช่น CT Scan, MRI

ซึ่งบางรายต้องทำการผ่าตัดชิ้นเนื้อไปตรวจคุณหมออธิบายอย่างละเอียดต่อว่า “ในกรณีที่การตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาจากข้อมูลการตรวจชิ้นเนื้อ ผลค่าคะแนนรวมของ Glearson Score ระดับ PSA ในเลือด และระยะของโรค ซึ่งโดยทั่วไปวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานขณะนี้มี 4 วิธี คือการผ่าตัด ในกรณีที่เป็นระยะแรกๆ

ปัจจุบันมีการพัฒนาการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ da Vinci ซึ่งเป็นการผ่าตัดด้วยกล้องขยายกำลังสูงและแขนกลหุ่นยนต์ การฉายรังสี ปัจจุบันมีการนำเทคนิคบางอย่างมาช่วยให้มีความแม่นยำในการรักษามากขึ้น เช่น รังสีรักษา 4 มิติ และรังสีรักษานำวิถี ทั้งนี้ แพทย์ด้านรังสีรักษามะเร็งจะเป็นผู้วินิจฉัยก่อนรักษา การใส่แร่ มีทั้งชนิดใส่แร่ชั่วคราว และชนิดใส่แร่ถาวร การใช้ Hormone ซึ่งเป็นวิธีรักษาที่ดีวิธีหนึ่ง

เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากมีความต่อเนื่อง และไวต่อฮอร์โมน ปัจจุบันมีการนำยาเคมีบำบัดมาร่วมใช้ในกรณีผู้ป่วยดื้อต่อฮอร์โมนด้วย คุณหมอทิ้งท้ายกับดิฉันไว้ว่า ถ้าคุณอยากห่างไกลจากโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใด คุณต้องเช็คร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และดูแลตัวเองไม่ให้เข้าไปสู่ภาวะความเสื่อมที่จะเป็นโรคมะเร็ง และถ้าสงสัยว่าตนเองเป็น คุณหมอฝากบอกมาว่า โรคมะเร็งรักษาให้หายได้ และไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าได้รับการตรวจก่อน และรักษาอย่างทันท่วงที

ในโรงพยาบาลที่ให้การตรวจวินิจฉัยเฉพาะทางด้านมะเร็งโดยเฉพาะครบวงจร โดยทีมแพทย์ และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ และที่สำคัญ ความพร้อมด้านเครื่องมือ และเทคโนโลยีทันสมัยก็จะทำให้คุณห่างไกล และปลอดภัยจากโรคมะเร็งได้ค่ะ

11 ต.ค. 2552

การรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง เป็นโรคที่มีผิวหนังอักเสบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ในเด็กทารกมักเป็นผื่นคันที่แก้ม รอบปาก หนังศีรษะ ซอกคอ เด็กที่โตขึ้นจะมีผื่นตามข้อพับ แขนขา หรือบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อย ๆ เช่น ข้อศอก เข่า อาการที่สำคัญคือ “คันมาก” ผื่นจะกำเริบมากขึ้นเมื่อผิวแห้ง หรือมีเหงื่อออกมาก ยุงกัด อาการคันทำให้ผู้ป่วยเกา ส่งเสริมให้ผื่นลามกว้างขึ้น และอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนด้วย

วิธีการรักษา

1. ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น
ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัด หรืออาบน้ำบ่อยเกินไป
ไม่ควรฟอกสบู่บ่อย ๆ โดยเข้าใจผิดคิดว่าอาการคัน เกิดจากความสกปรกของผิวหนัง การถูสบู่มาก ๆ ทำให้ผิวระคาย และแห้ง กลับทำให้เป็นผื่นมากขึ้นอีก สบู่ที่เลือกใช้ไม่ควรเป็นกรดหรือด่างจนเกินไป ไม่มีสี หรือน้ำหอมเจือปน

ใช้สารเคลือบผิว (Emollients) ผสมน้ำแช่อาบ หรือ ทาผิวหนังทันทีหลังอาบน้ำ และใช้ครีม Moisturizer หรือ โลชั่นทาเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนังบ่อย ๆ

2. ลดอาการคัน เพื่อลดการเกาซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีผื่นลุกลามขึ้น
อย่าใช้เสื้อผ้าที่ระคายง่าย อับร้อน ควรใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ และควรซักล้างผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มออกให้หมด

ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมอากาศที่สบาย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป
ไม่ควรใช้น้ำหอม สเปรย์ และหลีกเลี่ยงขนสัตว์ ฝุ่น ควันบุหรี่
อย่าออกกำลังกายมากขณะที่มีผื่นกำเริบ เพราะจะทำให้เหงื่อออกมากและคัน
ลดการเกา โดยตัดเล็บให้สั้น ตะไบเล็บอย่าให้คม ในเด็กเล็ก อาจสวมถุงมือให้เวลานอน เพื่อไม่ให้เกาเวลาหลับ

3. กรณีที่แพทย์วินิจฉัยว่าแพ้สารอะไร ควรพยายามหลีกเลี่ยงสารนั้น และถ้ามีโรคภูมิแพ้อย่างอื่นร่วมด้วย เช่น หืด, โรคภูมิแพ้ทางจมูก ก็จะให้การรักษาไปพร้อม ๆ กัน

4. การใช้ยา แพทย์อาจจะให้ยากินเพื่อลดอาการคัน ยาทาลดอาการอักเสบของผิวหนัง หรือยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรคติดเชื้อที่แทรกซ้อน เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่อาจมีอาการเรื้อรังนานเป็นปี แต่สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ ถ้าท่านได้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำนั้น ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งจะหายจากโรคนี้ได้เมื่อโตขึ้น หลังอายุ 3 –

5 ปี ผู้ป่วยและพ่อแม่จึงไม่ควรจะท้อถอยหมดกำลังใจ ถ้ามีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์

การรักษาโรคตาแห้ง

การรักษาโรคตาแห้ง มีหลายวิธีที่สามารถปฏิบัติเองได้ง่ายๆ จนถึงต้องพบจักษุแพทย์ วิธีการรักษามีดังนี้

1. ลดการระเหยของน้ำตาให้น้อยลง เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีคือ หลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับแดดและลม โดยสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ไม่นั่งในที่ที่มีลมพัดหรือแอร์เป่าใส่หน้า

2. กระกระพริบตาถี่ๆ ในภาวะปกติคนเราจะกระพริบตานาทีละ 20 - 22 ครั้ง ทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะรีดผิวน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้องหรือเพ่งตาจะลืมค้างไว้นานกว่าปกติ ทำให้กะรพริบตาเพียง 8 - 10 ครั้ง น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ทำให้ตาแห้งเพิ่มขึ้นจึงควรพักสายตา โดยการหลับตา กระพรบตา หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ ประมาณ 2 - 3 นาที ในทุกครึ่งชั่วโมง


3. สำหรับผู้ที่ตาแห้งมาก อาจใช้กรอบแว่นชนิดพิเศษที่มีแผ่นคลุมปิดกันลมด้านข้าง แว่นชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยครอบทั้งดวงตาและป้องกันลมด้วย หรือจะใช้แผ่นซิลิโคนชนิดพิเศษที่ใสบางและนุ่ม นำมาตัดให้เข้ากับด้านข้างของกรอบแว่นตาคู่เดิม ซึ่งเรียกว่า Moist Chamber

4. ใช้น้ำตาเทียม น้ำตาเทียมคือ ยาหยอดตาที่ใช้เพื่อหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นกับผู้ที่ตาแห้ง น้ำตาเทียมมี 2 ชนิดคือ

4.1 น้ำตาเทียมชนิดน้ำ
- เหมาะที่จะใช้ในเวลากลางวัน เพราะไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ทำให้ตามัว แต่มีข้อจำกัดคือ ต้องหยอดตาบ่อย

4.2 น้ำตาเทียมชนิดเจลและขี้ผึ้ง
- มีลักษณะเหนียวหนืด หล่อลื่นและคงความชุ่มชื้นได้นานกว่าชนิดน้ำ แต่จะทำให้ตามัวชั่วขณะหลังป้ายยา จึงควรใช้ป้ายตาแต่น้อยก่อนเข้านอน
การรักษาด้วยวิธีใช้น้ำตาเทียม เวลาในการหยอดตาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการตาแห้ง หากวันใดไม่ถูกลม แล้วรู้สึกสบายตาก็ไม่จำเป็นต้องหยอด แต่ถ้ารู้สึกเคืองตามาก ก็หยอดบ่อยๆ ได้ตามต้องการ

ข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม
ผู้ป่วยที่ตาแห้งน้อย หยอดตาไม่กินวันละ 4 - 5 ครั้ง สามารถใช้ยาหยอดตาชนิกขวดที่มีสารกันบูดได้ กรณีผู้ป่วยที่ตาแห้งมาก และหยอดตามากกว่าวันละ 6 ครั้ง จักษุแพทย์จะสั่งน้ำตาเทียมชนิดพิเศษที่ไม่มีสารกันบูด (Preservative-Free Tear) ให้ใช้แทน ซึ่งมีข้อจำกัดก็คือ ยาจะบรรจุในหลอดเล็ก เมื่อเปิดใช้แล้วต้องใช้ให้หมดภายใน 16 ชั่วโมง หากใช้นานกว่านี้ อาจะเกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรค


5. การอุดรูระบายน้ำตา สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งอย่างรุนแรง จักษุแพทย์จะใช้วิธีอุดรูระบายน้ำตาเพื่อขังน้ำตาที่มีอยู่ให้หล่อเลี้ยงตาอยู่ได้นานๆ ไม่ปล่อยให้ไหลทิ้งไป เหมือนกับการสร้างเขื่อนกั้นเก็บกักน้ำไว้ใช้
วิธีและขั้นตอนในการอุดรูระบายน้ำตามี 2 วิธี คือ การอุดแบบชั่วคราว และการอุดแบบถาวร --- สำหรับการอุดแบบชั่วคราว จักษุแพทย์จะสอดคอลลาเจนขนาดเล็กเข้าไปในรูท่อน้ำตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตาขึ้น โดยคอลลาเจนจะสลายไปเอง ภายใน 3 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำตาแห้งมาก จักษุแพทย์จะอุดรูระบายน้ำตาแบบถาวรให้ ทั้งนี้ จะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

โรคเบาหวาน อาการโรคเบาหวาน อาหารโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน ถือเป็นปัญหาสุขภาพยอดฮิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เนื่องจากคนไทยป่วยด้วย โรคเบาหวาน นี้มากถึง 2-3 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย โรคเบาหวาน จัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของโรคที่คุกคามคนไทย พบได้ในทุกช่วงวัย อย่างไรก็ตาม มีคนอีกจำนวนมากที่ป่วยด้วย โรคเบาหวาน แต่ไม่รู้ตัว ทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี

ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้ป่วยได้ปล่อยให้ โรคเบาหวาน ลุกลามจนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น วันนี้ลองมาสำรวจดูว่าคุณอยู่ในข่ายเสี่ยง โรคเบาหวาน หรือไม่ พร้อมๆ กับทำความเข้าใจ โรคเบาหวาน นี้อย่างถูกต้องกันค่ะ

โรคเบาหวาน (Diabetes Millitus) เกิดจากตับอ่อนสร้าง "ฮอร์โมนอินซูลิน" (Insulin) ได้น้อย หรือไม่ได้เลย ฮอร์โมนชนิดนี้มีหน้าที่คอยช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่างๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมากๆ ก็จะถูกไตกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวานหรือมีมดขึ้นได้ จึงเรียกว่า " โรคเบาหวาน " นั่นเอง

ทั้งนี้ โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด และเป็นโรคทางพันธุกรรม โดยพ่อแม่ที่เป็น โรคเบาหวาน มีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ นอกจากพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อม วิธีการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเกิด โรคเบาหวาน ด้วย เช่น อ้วนเกินไป (หรือกินหวานมากๆ จนอ้วน ก็อาจเป็น โรคเบาหวาน ได้) มีลูกดก หรือเกิดจากการใช้ยา เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ, ยาเม็ดคุมกำเนิด หรืออาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง, มะเร็งของตับอ่อน, ตับแข็งระยะสุดท้าย เป็นต้น

ลักษณะโดยทั่วไปของผู้ป่วย โรคเบาหวาน จะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำจากเลือดออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อถ่ายปัสสาวะมาก ก็ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ต้องคอยดื่มน้ำบ่อยๆ และด้วยความที่ผู้ป่วย โรคเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่อลีบ อ่อนเปลี้ย เพลียแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลคั่งอยู่ในอวัยวะต่างๆ จึงทำให้อวัยวะต่างๆ เกิดความผิดปกติ และนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนมากมายประเภทของ โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้มีอาการ สาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาต่างกัน ได้แก่

1. โรคเบาหวาน ชนิดพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes) เป็นชนิดที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 25 ปี แต่ก็อาจพบในคนสูงอายุได้บ้าง ตับอ่อนของผู้ป่วย โรคเบาหวาน ชนิดนี้จะสร้างอินซูลินไม่ได้เลยหรือได้น้อยมาก เชื่อว่าร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านตับอ่อนของตัวเอง จนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรียกว่า "โรคภูมิแพ้ต่อตัวเอง" (autoimmune) ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ร่วมกับการติดเชื้อหรือการได้รับสารพิษจากภายนอก

ดังนั้น ผู้ป่วย โรคเบาหวาน จึงจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนในร่างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้น ร่างกายจะเผาผลาญไขมันจนทำให้ผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นุรนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน (Ketones) ของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน ซึ่งสารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วย โรคเบาหวาน หมดสติและทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่า "ภาวะคั่งสารคีโตน" หรือ "คีโตซิส" (Ketosis)

2. โรคเบาหวาน ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (Non-insulin dependent diabetes) เป็น โรคเบาหวาน ชนิดที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ มีความุรนแรงน้อย มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็กหรือวัยหนุ่มสาวได้บ้าง โดยตับอ่อนของผู้ป่วย โรคเบาหวาน ชนิดนี้ยังสามารถสร้างอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงทำให้มีน้ำตาลที่เหลือใช้กลายเป็น โรคเบาหวาน ได้ บางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสูงมากๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลินฉีดเป็นครั้งคราว แต่ไม่ต้องใช้อินซูลินตลอดไป และผู้ป่วย โรคเบาหวาน มักไม่เกิดภาวะคีโตซิส เหมือนกับ โรคเบาหวาน ชนิดพึ่งอินซูลินอาการของผู้ป่วย โรคเบาหวาน

ผู้ป่วย โรคเบาหวาน จะมีอาการปัสสาวะบ่อย (และออกครั้งละมากๆ ) กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย หิวบ่อย หรือกินข้าวจุ อ่อนเพลีย บางคนอาจสังเกตว่าปัสสาวะมีมดขึ้น

หากเป็น โรคเบาหวาน ชนิดพึ่งอินซูลิน อาการต่างๆ มักเกิดขึ้นรวดเร็วร่วมกับน้ำหนักตัวที่ลดลงฮวบฮาบ ในช่วงระยะเวลาเพียงสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน โดยในเด็กที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน บางคนอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน

สำหรับคนที่เป็น โรคเบาหวาน ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน อาการมักค่อยเป็นค่อยไป แบบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีรูปร่างอ้วน หญิงบางคนอาจมาหาหมอด้วยอาการคันตามช่องคลอดหรือตกขาว ในรายที่เป็นไม่มาก อาจไม่มีอาการผิดปกติอย่างชัดเจน และตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจปัสสาวะหรือตรวจเลือดขณะที่ไปหาหมอด้วยโรคอื่น

ผู้ป่วย โรคเบาหวาน บางคนมีอาการคันตามตัว เป็นฝีบ่อย หรือเป็นแผลเรื้อรังรักษาหายยาก

ผู้หญิงที่ป่วย โรคเบาหวาน บางคนอาจคลอดทารกที่มีน้ำหนักมากกว่าธรรมดา หรืออาจเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ หรือคลอดทารกที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบสาเหตุ

ในรายที่เป็น โรคเบาหวาน มานานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจมาหาหมอด้วยภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ตามัวลงทุกที หรือต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ ความดันโลหิตสูง เป็นต้นอาการแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน มีอะไรบ้าง

อาการแทรกซ้อนต่างๆ ของ โรคเบาหวาน มักจะเกิดเมื่อเป็น โรคเบาหวาน มานาน โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง หรือปล่อยปละละเลย ทั้งนี้ โรคแทรกซ้อน โรคเบาหวาน ที่อาจพบได้ เช่น

1. ตา อาจเป็นต้อกระจกก่อนวัย ประสาทตาหรือจอตา (retina) เสื่อม หรือเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา (vitreous hemorrhage) ทำให้มีอาการตามัวลงเรื่อยๆ หรือมองเห็นจุดดำลอยไปลอยมา และอาจทำให้ตาบอดในที่สุด

2. ระบบประสาท ผู้ป่วยอาจเป็นปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ซึ่งอาจทำให้มีแผลเกิดขึ้นที่เท้าได้ง่าย (อาจลุกลามจนเท้าเน่า) บางคนอาจมีอาการวิงเวียนเนื่องจากมีภาวะความดันตกในท่ายืน บางคนอาจไม่มีความรู้สึกทางเพศ ท้องเดินตอนกลางคืนบ่อย หรือกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือไม่มีแรงเบ่งปัสสาวะ)

3. ไต มักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย มีอาการ บวม ซีด ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ป่วย โรคเบาหวาน ที่พบได้ค่อนข้างบ่อย

4. ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง , อัมพาต , โรคหัวใจขาดเลือด ถ้าหลอดเลือดที่เท้าตีบแข็ง เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่พอ อาจทำให้เท้าเย็นเป็นตะคริว หรือปวดขณะเดินมากๆ หรืออาจทำให้เป็นแผลหายยาก หรือเท้าเน่า (ซึ่งอาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อ)

5. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากผู้ป่วย โรคเบาหวาน จะมีภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น วัณโรคปอด, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, ช่องคลอดอักเสบ, เป็นฝีพุพองบ่อย, เท้าเป็นแผลซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า (อาจต้องตัดนิ้วหรือตัดขา) เป็นต้น

6. ภาวะคีโตซิส (Ketosis) พบเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็น โรคเบาหวาน ชนิดพึ่งอินซูลิน ที่ขาดการฉีดอินซูลินนานๆ ร่างกายจะมีการคั่งของสารคีโตน ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญไขมัน ผู้ป่วย โรคเบาหวาน จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำอย่างมาก หายใจหอบลึก และลมหายใจมีกลิ่นหอม มีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ตาโบ๋ หนังเหี่ยว ความดันต่ำ ชีพจรเบาเร็ว) อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ผู้ป่วย โรคเบาหวาน จะซึมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสติ หากรักษาไม่ทันอาจตายได้ข้อแนะนำในการดูแลตัวเองของผู้ป่วย โรคเบาหวาน

1. โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต ซึ่งหากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง อาจมีชีวิตเหมือนคนปกติได้ แต่ถ้ารักษาไม่จริงจังก็อาจมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อนได้มาก

2. ควบคุมอาหาร การลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน) และการออกกำลังกาย มีความสำคัญมาก ในรายที่เป็น โรคเบาหวาน ไม่มาก ถ้าปฎิบัติในเรื่องเหล่านี้ได้ดี อาจหายจาก โรคเบาหวาน ได้โดยไม่ต้องพึ่งยา ทั้งนี้ ผู้ป่วย โรคเบาหวาน ควรอาหารที่มีผลต่อโรค ดังต่อไปนี้

ลดการกินน้ำตาล และของหวานทุกชนิด รวมทั้งผลไม้หวานและน้ำผึ้ง และควรเลิกกินน้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวาน เหล้าเบียร์

ลดการกินอาหารพวกแป้ง เช่น ข้าว ข้าวเหนียว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ วุ้นเส้น เผือก มัน เป็นต้น

ลดอาการพวกไขมัน เช่น ของทอด ของมัน ขาหมู หมูสามชั้น อาหารหรือขนมที่ใส่กะทิ หันไปกินอาหารพวกโปรตีน เนื้อแดง ไข่ นม ถั่วต่างๆ รวมทั้งเพิ่มผักและผลไม้ที่ไม่หวานจัดให้มากขึ้น

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรหักโหม เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ รำมวยจีน เล่นโยคะ กายบริหาร เป็นต้น

3. ผู้ป่วย โรคเบาหวาน เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น อาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่างๆ

4. หมั่นดูแลรักษาเท้าเป็นพิเศษ ระวังอย่าให้เกิดบาดแผลหรือการอักเสบ เพราะอาจลุกลามจนกลายเป็นแผลเน่าจนต้องตัดนิ้วหรือขาทิ้ง

ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่ เช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะตรงซอกเท้า อย่าถูแรงๆ

เวลาตัดเล็บเท้า ควรตัดออกตรงๆ อย่าตัดโค้งหรือตัดถูกเนื้อ

อย่าเดินเท้าเปล่า ระวังเหยียบถูกของมีคม หนาม หรือของร้อน

อย่าสวมรองเท้าคับไป หรือใส่ถุงเท้ารัดแน่นเกินไป

ถ้าเป็นหูดหรือตาปลาที่เท้า ควรให้แพทย์รักษา อย่าแกะหรือตัดออกเอง

ถ้ามีตุ่มพอง มีบาดแผล หรือการอักเสบที่เท้าควรรีบไปให้แพทย์รักษา

5. ผู้ป่วย โรคเบาหวาน ที่กินยาหรือฉีดยารักษา โรคเบาหวาน อยู่ บางครั้งอาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือมีอาการใจหวิว ใจสั่น หน้ามืด ตาลาย เหงื่อออก ตัวเย็นเหมือนเวลาหิวข้าว ถ้าเป็นมากๆ อาจเป็นลม หมดสติ หรือชักได้ ดังนั้น จึงต้องระวังดูอาการดังกล่าว และควรพกน้ำตาลหรือของหวานติดตัวประจำ ถ้าเริ่มรู้สึกมีอาการดังกล่าวให้ผู้ป่วยรีบกินน้ำตาลหรือของหวาน จะช่วยให้หาย

6. หมั่นตรวจปัสสาวะด้วยตัวเอง และตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเป็นประจำ เพราะเป็นวิธีที่บอกผลการรักษาได้แน่นอนกว่าการสังเกตจากอาการเพียงอย่างเดียว

7. อย่าซื้อยาชุดกินเอง เพราะยาบางอย่างอาจเพิ่มน้ำตาลในเลือดได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาเองต้องแน่ใจว่า ยานั้นไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

8. ควรมีบัตรประจำตัว (หรือกระดาษแข็งแผ่นเล็กๆ) ที่เขียนข้อความว่า "ข้าพเจ้าเป็น โรคเบาหวาน " พร้อมกับบอกชื่อยาที่รักษาพกติดกระเป๋าไว้ หากบังเอิญเป็นลมหมดสติ ทางโรงพยาบาลจะได้ทราบประวัติการเจ็บป่วยและให้การรักษาได้ทันท่วงที

9. ป้องกัน โรคเบาหวาน ด้วยการรู้จักกินอาหาร ลดของหวานๆ อย่าปล่อยตัวให้อ้วน หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบาน อย่าให้เครียดหรือวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็น โรคเบาหวาน ควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรตรวจเช็คปัสสาวะหรือเลือดเป็นครั้งคราว เพราะหากพบเป็น โรคเบาหวาน ในระยะเริ่มแรก จะสามารถควบคุมอาการของโรค โรคเบาหวาน ได้

โรคกรดไหลย้อน – โรคกระเพาะ ความเหมือนที่แตกต่าง

คนทั่วไปคุ้นเคยกันดีกับ โรคกระเพาะ และเมื่อมีอาการปวดท้อง ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน เรอเปรี้ยว หรือมีรสขมในปาก ก็มักจะคิดเอาเองว่า โรคกระเพาะ กำลังมาเยือนเป็นแน่แท้ ทั้งที่ความเป็นจริงอาจกำลังถูก "โรค กรดไหลย้อน (GERD)" เล่นงานเอาก็เป็นได้

การเกิดโรค กรดไหลย้อน นั้น เป็นผลมาจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ซึ่งกรดเหล่านี้มีความเข้มข้นสูงมาก ทำให้เกิดอันตรายต่อหลอดอาหาร และเยื่อบุในหลอดอาหารที่มีความบอบบาง กระทั่งทำให้เกิดการอักเสบตามมา ซึ่งโดยปกติแล้วกรดหรือน้ำย่อยจะไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในหลอดอาหารได้ ยกเว้นในช่วงที่กลืนอาหาร หรือช่วงที่กล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างมีการคลายตัวอย่างผิดปกตินั่นเอง อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่อง กรดไหลย้อน รศ.พ.ญ.วโรชา มหาชัย หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยว่า โรค กรดไหลย้อน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิตเหมือนโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่ กรดไหลย้อน เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วย กรดไหลย้อน มีคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานลดลง

"เนื่องจากโรค กรดไหลย้อน จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆ กับอาการของ โรคกระเพาะ จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่า ตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด โดยเฉพาะคนไทยเรามักจะชอบซื้อยามารับประทานเอง และคิดว่าการไปพบแพทย์เป็นเรื่องใหญ่ ระยะหลังมานี้จึงพบโรค กรดไหลย้อน เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ" รศ.พ.ญ.วโรชา กล่าว อาการของโรค กรดไหลย้อน แบ่งเป็น 2 ระบบ ดังนี้

1. อาการที่เกิดในหลอดอาหาร จะมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก รู้สึกเหมือนมีก้อนอยู่ในลำคอ แสบลิ้นเรื้อรัง จุกแน่นแถวๆ หน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย อาการนี้มักจะเป็นมากขึ้นหลังอาหารมื้อหลัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก หรือการนอนหงาย

ที่สำคัญคือ จะมีอาการแสบหน้าอก เรอเปรี้ยว รู้สึกเหมือนมีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยว หรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ภาวะดังกล่าวนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ ถ้าเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง อาจทำให้หลอดอาหารตีบหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุอาหารได้

2. อาการนอกหลอดอาหาร จะมีเสียงแหบเรื้อรัง มักมีเสียงแหบตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน หรือในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้ ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังถูก "โรค กรดไหลย้อน" คุกคาม

ถามว่าโรค กรดไหลย้อน อันตรายไหม คำตอบคือ ถ้าเป็น กรดไหลย้อน แล้วรีบรักษา หรือทำให้อาการ กรดไหลย้อน หายไปก็จะไม่มีอาการอย่างไร แต่หากปล่อยอาการ กรดไหลย้อน ไว้เนิ่นนาน อาจทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบ เป็นแผลรุนแรงจนตีบ หรือเป็นมะเร็งที่หลอดอาหารได้ แต่... ความรุนแรงนี้จะมีได้เพียง 1% เท่านั้น กลุ่มเสี่ยงโรค กรดไหลย้อน

โรค กรดไหลย้อน เป็นโรคยอดฮิตของหนุ่มสาววัยทำงาน ดารานักแสดง โดยเฉพาะสาวออฟฟิศ ที่ชอบกินจุบกินจิบ กินอาหารไม่เป็นเวลาและเร่งรีบ รวมถึงผู้ชอบอาหารรสจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีโอกาสเสี่ยงสูงหากมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ ควรปรึกษาแพทย์

นอกจากนี้ ยังสามารถพบ กรดไหลย้อน ได้ในเด็กทารกจนถึงเด็กโต ในเด็กเล็กอาการที่ควรนึกถึงโรค กรดไหลย้อน ได้แก่ อาเจียนบ่อยหลังดูดนม โลหิตจาง น้ำหนักและการเจริญเติบโตไม่สมวัย ไอเรื้อรัง หอบหืด ปอดอักเสบเรื้อรัง ในเด็กบางรายอาจมีปัญหาการหยุดหายใจขณะหลับได้ วิธีการรักษาโรค กรดไหลย้อน

โรค กรดไหลย้อน สามารถรักษาให้หายได้ โดยการรับประทานยากลุ่มยาลดกรด แต่ถ้ามีอาการ กรดไหลย้อน มาก และเรื้อรังควรได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และรับยาที่ตรงกับโรค ในบางรายที่อาการหนักอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด ดังนั้นหากมีอาการ กรดไหลย้อน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ ขณะเดียวกัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต จะให้ผลดีมากเช่นกัน ซึ่งผู้ป่วย กรดไหลย้อน ควรปฏิบัติดังนี้

ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูงทำให้ กรดไหลย้อน ได้มาก

งดบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก ทำให้หูรูดอ่อนแอ

ใส่เสื้อหลวมๆ เพื่อลดแรงกดที่กระเพาะ

ไม่ควรจะนอน ออกกำลังกาย หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย

งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง

งดอาหารมันๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ รวมทั้งอาหารที่มีรสเผ็ด เปรี้ยว และเค็มจัด

รับประทานอาหารแค่พออิ่ม หรืออาจแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ ทานน้อย แต่บ่อย

หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา

เลี่ยงการนอนตะแคงขวา เพราะท่านี้จะทำให้กระเพาะอยู่เหนือหลอดอาหารอาจทำให้อาการกำเริบได้ นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะ เพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง

แม้จะมีวิธีรักษา กรดไหลย้อน หรือรู้วิธีช่วยบรรเทาอาการ กรดไหลย้อน แล้วก็ตาม หากยังคงปฏิบัติหรือใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง กรดไหลย้อน ก็จะยังคงย้อนวนเวียนกลับมาเหมือนเดิมนั่นเอง!!

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

รู้จักกันไหมเอ่ย ว่า " โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ " คืออะไร และมีโรคอะไรที่เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บ้าง วันนี้เราจะไปทำความรู้จัก "โรค" ที่สามารถติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์กัน

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ (ตามที่บัญญัติในราชบัณฑิตยสถาน) (Sexually transmitted disease; STD) อาจเรียกว่า "กามโรค" (Venereal disease) หรือ "วีดี" เกิดขึ้นจากการติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก กับผู้ที่กำลังมีเชื้อ ปัจจุบันใช้คำว่า "การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์" เพื่อให้มีความหมายกว้างขึ้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคที่สามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นในปัจจุบัน นิยมมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันตัวเอง รวมทั้ง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต่างๆ นอกจากนี้ในปัจจุบัน คู่แต่งงานมีอัตราการหย่าร้างสูงขึ้น ทำให้คนมีสามี หรือภรรยาหลายคน จึงเกิด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มากขึ้น

สิ่งที่อันตรายของ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ เมื่อเป็นแล้ว มักจะไม่เกิดอาการ บางคนจึงติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แล้วโดยไม่รู้ตัว และเป็นปัญหาในการจัดการทางระบบสาธารณสุข และที่สำคัญ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นี้ สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์ได้ สาเหตุของการเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สาเหตุของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ

1.เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดไม่มียารักษา และบางชนิดยังสามารถฝังตัวอยู่ และกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้แก่ เริมที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ ไวรัสตับอักเสบบี ฯลฯ

2.เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ท่อปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ฯลฯ

3.เกิดจากเชื้ออื่นๆ เช่น พยาธิ สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

คนที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หรือหญิงบริการ ใน 3 เดือนก่อนหน้า

คนที่มีคู่นอนมากกว่า 1 คน ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า

คนที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า

ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใน 1 ปีที่ผ่านมา

ผู้ที่มีคู่ครองอยู่คนละที่ อาการแบบใด สงสัยเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

หากมีอาการเหล่านี้ สามารถสงสัยได้ว่าเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ในผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะแสบขัด ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผล บริเวณอวัยวะเพศ มีเมือกใส หรือหนองไหลออกมา

ในผู้หญิง จะรู้สึกเจ็บ เสียวท้องน้อย ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวด คันอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผลบริเวณอวัยวะเพศ มีตกขาวสีเหลือง มีกลิ่นเหม็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่สำคัญ ได้แก่1.โรคเอดส์ (AIDS)

หรือกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม เกิดจากการรับเชื้อ Human immunodeficiency virus หรือ HIV เข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้เชื้อโรคฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น มะเร็ง วัณโรค และสาเหตุการเสียชีวิตก็มักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เหล่านี้ ที่จะทำให้อาการรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว2.หนองใน (Gonorrhoea)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ และมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการรักษา3.หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis/Non gonococcal Cervicitis)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ทำให้มีอาการแสบปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขัดและมีหนองไหล และมีมูกออกเล็กน้อยโดยเฉพาะในช่วงเช้า ส่วนผู้หญิงอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ4.แผลริมอ่อน (Chancroid)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง มักมีหลายแผล ขอบแผลนุ่มและไม่เรียบ ก้นแผลสกปรกมีหนอง มีเลือดออกง่าย เวลาสัมผัสเจ็บปวดมาก บางรายต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวม และเป็นฝี เมื่อฝีแตกจะเป็นแผล5.เริมที่อวัยวะเพศ (Genita Herpes Simplex Virus Infection)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดเชื้อไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรืออวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะกลับเป็นใหม่6.หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อไวรัส Molluscum contagiosum virus (MCV) ทำให้เกิดเป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง ผิวเรียบขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร จะพบมากขึ้นในรายที่มีการติดเชื้อ HIV จำนวนตุ่มที่เกิดขึ้นอาจมีมากหรือน้อยขึ้นกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้นว่าร่างกายมีความแข็งแรงเพียงใด ถ้าใช้เข็มสะกิดตรงกลางแล้วบีบดูจะได้เนื้อหูดสีขาวๆ คล้ายข้าวสุก มักเป็นที่บริเวณหัวหน่าว อวัยวะเพศภายนอกและโคนขาด้านใน7.หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากไวรัส Human papilloma virus ลักษณะเป็นติ่งเนื้ออ่อนๆ สีชมพูคล้ายหงอนไก่ ชอบขึ้นที่อุ่นและอับชื้น ในผู้ชายมักพบที่อวัยวะเพศบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ตลอดทั้งบริเวณรอบรอยเปิดขอบ,ท่อปัสสาวะ และอัณฑะ ส่วนผู้หญิงจะพบที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนักและฝีเย็บ หูดมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ การตั้งครรภ์จะทำให้หูดโตเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่รีบรักษาจะเป็นมากขึ้นและยากต่อการรักษา และทารกอาจติดเชื้อได้ขณะคลอด8.หิด (Scabies) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากตัวไร Sarcoptes scabei ลักษณะจะมีตุ่มน้ำใสและตุ่มหนองคันขึ้นกระจายทั้ง 2 ข้างของร่างกาย มักพบตามง่ามนิ้วมือ ข้อศอก รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดือ อวัยวะสืบพันธุ์ ข้อเท้า หลังเท้า ก้น ผู้ป่วยมักมีอาการคันมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืน สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิด สัมผัสทางเพศหรือ อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย9.ซิฟิลิส (Syphilis)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อ Treponema pallidum เป็นโรคที่มีอันตราย และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี ลักษณะการติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ หากไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่า เข้าข้อหรือออกดอก ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่างๆ ของร่างกายหลายระบบ ทั้งซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท เป็นต้น นอกจากนี้ มารดาที่เป็นโรคซิฟิลิสจะถ่ายทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้เรียกว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (congenital syphilis)จึงถือซิฟิลิสเป็นโรคที่มีอันตราย และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี10.โลน (Pediculosis Pubis)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากแมลงตัวเล็กที่เรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอยู่ที่ขนหัวเหน่า ชอบไชตามรากขนอ่อน และดูดเลือดคนเป็นอาหาร ผู้ที่เป็นโรคนี้ จะมีอาการคัน เมื่อเกาจะทำให้เจ้าตัวเชื้อแพร่ไปยังบริเวณอื่นได้ การวินิจฉัยสามารถทำได้ด้วยตาเปล่า จะพบไข่สีขาวเกาะตรงโคนขนไข่จะมีลักษณะวงรี ส่วนตัวแมลงเมื่อกินเลือดเต็มที่จะออกสีน้ำตาล ติดต่อได้จากการสัมผัสทางเพศกับผู้ป่วย หรือใช้กางเกงในร่วมกัน การรักษาสามารถซื้อยาทาได้ตามร้านขายยา แต่คนท้องหรือเด็กควรจะปรึกษาแพทย์11.พยาธิช่องคลอด (Vaginal Trichomoniasis)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Trichomonas vaginalis ผู้ป่วยจะมีอาการตกขาวผิดปกติ มีสีเขียวขุ่นหรือเหลืองเข้ม มีฟองอากาศและมีกลิ่นเหม็น เกิดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ คันและแสบปากช่องคลอด 12.เชื้อราในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis) เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Candida ซึ่งร้อยละ 80 - 90 เกิดจาก Candida albicans ทำให้มีอาการระคายเคืองบริเวณช่องคลอด มีการตกขาวขุ่นจับเป็นก้อน อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะร่วมเพศ13.อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Diseases, PID)

หรือโรคปีกมดลูกอักเสบ เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อของมดลูก รังไข่ หรือท่อรังไข่ อาจเสียชีวิตได้หากติดเชื้อรุนแรง และหากไม่รักษา อาจเกิดโรคแทรกซ้อนจนเป็นหมันหรือเสียชีวิตได้ 14.แผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma inguinale)

เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Donovania granulomatis โดยจะมีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ ซอกขา หรือบริเวณหน้า และไม่พบในประเทศไทย มักพบในคนผิวดำ การป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีป้องกัน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ

1. ใส่ถุงยางอนามัย หากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่ามีเชื้อหรือไม่

2. รักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ

3. ไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามี หรือภรรยาคนเดียว

4. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ยังอายุน้อย เนื่องจากมีสถิติว่า ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สูง

5. ตรวจโรคเป็นประจำทุกปี เพื่อหาเชื้อโรค แม้จะไม่มีอาการใดๆ โดยเฉพาะคู่ที่กำลังจะแต่งงาน

6. เรียนรู้ ศึกษาอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

7. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้ง่าย

8. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย

9. ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้ง่าย วิธีปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

1. ต้องรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรค

2. แจ้งคู่นอนให้ทราบว่า เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อจะได้ป้องกัน ไม่ให้เชื้อแพร่ไปสู่คนอื่น

3. รักษาอาการ และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

4. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการอักเสบลุกลาม

5. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมาทุกชนิด

6. ไม่ควรซื้อยามารักษาเอง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

โรคความดันโลหิตสูง

ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้ ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต สร้างความบั่นทอนร่างกายและจิตใจให้ถดถอยลง ส่งผลให้ ความดันโลหิต ในร่างกายสูงตามไปด้วย

โรคความดันโลหิตสูง นับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่กำลังคุกคามโลก โดยในปัจจุบันมีประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็น โรคความดันโลหิตสูง และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านคน

สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า จะมีผู้มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่ง 70% ของคนกลุ่มนี้ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะดังกล่าว ทำให้ไม่ได้รับการรักษาหรือการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม อันจะนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย อาทิ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วย

นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน ไทรอยด์และต่อมไร้ท่อ ให้ความรู้ว่า ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันเลือดที่เกิดจากการ ที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งหัวใจคนเราจะเต้น 60-80 ครั้ง ความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัวและลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลาขึ้นอยู่กับท่าของผู้ถูกวัดด้วย โดยท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน นอกจากนั้นแล้ว ยังขึ้นกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหาร การนอนหลับ กิจกรรมที่ทำอยู่ รวมทั้งสภาพจิตใจด้วย

โดยปกติคนจะมีระดับความดันโลหิต 120/80-139/89 มิลลิเมตรปรอท หากมีค่าความดันมากกว่านี้จัดว่าเป็นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ส่วนสาเหตุของ โรคความดันโลหิตสูง 90% ของผู้ที่มีภาวะดังกล่าวไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน พบมากในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป นอกจากนั้น เกิดจากอาการป่วยบางอย่าง เช่น อาการป่วยเกี่ยวกับสมอง ต่อมหมวกไต และต่อมไร้ท่อบางประเภท

"ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่ปรากฏอาการใดๆ จึงไม่ได้เข้ารับการรักษาและไม่มีการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในรายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมากๆ อาจนำไปสู่การเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ ดังนั้นความดันโลหิตสูงจึงเปรียบเสมือนเพชฌฆาตเงียบที่คร่าชีวิตคนจำนวนมากไปแบบไม่รู้ตัว"

โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาตและยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โดยผู้ที่ไม่ได้รักษา โรคความดันโลหิตสูง จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 3 เท่า มีโอกาสเกิดโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 6 เท่า และมีโอกาสเกิดโรคอัมพาตเพิ่มขึ้น 7 เท่า "ภาวะความดันโลหิตสูงจะค่อยๆ ทำให้หลอดเลือดภายในร่างกายค่อยๆ เสื่อมไป โดยเฉพาะ 3 อวัยวะสำคัญ คือ หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งไต ซึ่งเมื่อมีการตีบหรือแตกของหลอดเลือดในอวัยวะสำคัญเหล่านี้จะทำให้เสียชีวิตได้แบบเฉียบพลัน หรือทำให้เป็นอัมพาตได้ ดังนั้นแม้ในคนปกติ หรือผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันโลหิตสูงอยู่ อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากหากได้รับการรักษาหรือปรับการปฏิบัติตัวแต่เนิ่นๆ จะทำให้หลอดเลือดไม่ผิดปกติเร็วเกินไปนัก สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้วนั้น หากมิได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้"

ปัจจัยเสี่ยงต่อ โรคความดันโลหิตสูง นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า ได้แก่ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม โดยมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ ได้ประมาณ 30- 40% รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียด รีบเร่งมีผลต่อการก่อ โรคความดันโลหิตสูง ได้เร็วขึ้น ด้าน อายุ มักพบในอายุตั้งแต่ 40-50 ปี ขึ้นไป เพศซึ่งมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยหมดประจำเดือน รูปร่างพบมากในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมากกว่าคนผอม ส่วนเชื้อชาติ พบมากที่สุดในคนอเมริกันเชื้อสายคนดำแอฟริกัน รวมไปถึงผู้ที่ทานเกลือสูงหรือชอบกินเค็มมีโอกาสเกิด โรคความดันโลหิตสูง ได้

สำหรับการรักษา โรคความดันโลหิตสูง มี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ การใช้ยา และไม่ใช้ยา ในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็น แพทย์จะสามารถรักษา โรคความดันโลหิตสูง ได้โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย แพทย์จะต้องให้ยาและพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ

ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถตรวจวัดความดันโลหิตได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ได้ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ทราบระดับความดันโลหิตของตนเองตลอดเวลา หากมีระดับสูงผิดปกติก็สามารถรีบไปพบแพทย์หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม อันจะนำไปสู่การควบคุมระดับความดันโลหิตที่ดีขึ้น ตลอดจนลดปัญหาจากการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ความดันโลหิตสูงเป็นเพชฌฆาตเงียบ เป็นแล้วไม่หายขาด ต้องดูแลรักษาตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นจึงคุ้มที่จะป้องกันและรักษาก่อนที่จะสายเกินแก้

ทุกคนสามารถป้องกันการเกิดภาวะ ความดันโลหิตสูง ได้ โดยการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยง อาหารเค็มจัด เพราะเกลือทำให้ความตึงตัวของผนังหลอดโลหิตแดงเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาหารกลุ่มไขมัน ควรให้อยู่ในระดับกลางค่อนข้างต่ำ ควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์และจำพวกกะทิ อีกทั้ง อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลขัดขาวทุกชนิด เพราะจะทำให้น้ำหนักตัวและระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น

นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยง การสูบบุหรี่ และ แอลกอฮอล์ หรือดื่มได้ในปริมาณที่พอเหมาะ (วิสกี้ 2 ออนซ์หรือ ไวน์ 8 ออนซ์) รวมทั้งพยายามควบคุมน้ำหนักตัว เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิด โรคความดันโลหิตสูง และออกกำลังกายให้พอควรและสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และมีการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

"อยากให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของ โรคความดันโลหิตสูง ถ้าสามารถรักษาควบคุมให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม อย่าละเลย อย่าประมาท ก็จะมีโอกาสลดการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ต่อหัวใจ สมอง และไตได้ แล้วคุณจะห่างไกลจาก โรคความดันโลหิตสูง " นพ. ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้าย

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะดูแลรักษาระดับของความดันโลหิต ไม่ให้เป็น โรคความดันโลหิตสูง ... เพียงแค่คุณใส่ใจ

มะเร็งปากมดลูก ข้อมูล โรคมะเร็งปากมดลูก

แม้ มะเร็งปากมดลูก จะเป็นโรคที่ป้องกันและรักษาให้หายได้ แต่ โรคมะเร็งปากมดลูก ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งของมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิง โดยมีอัตราการเสียชีวิตของ มะเร็งปากมดลูก เฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และพบผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก รายใหม่สูงถึง 6,000 คนต่อปีโดยในจำนวนของผู้มีเชื้อนี้กว่าครึ่งต้องเสียชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักอาย และกลัวที่จะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ มะเร็ง ทำให้กว่าจะรู้ว่าป่วยด้วย โรคมะเร็งปากมดลูก นี้ ความรุนแรงของโรคก็อยู่ในระยะลุกลามแล้ว..ดังนั้น วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก มาให้คุณรู้เท่าทัน โรคมะเร็งปากมดลูก กันค่ะ

โรคมะเร็งปากมดลูก (Cancer of Cervix) เกิดจากเชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่ชื่อว่า HPV (Human Papilloma Virus) ภาษาไทยเรียกกันว่า ไวรัสหูด ไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากการสัมผัส ส่วนใหญ่เป็นการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้มีรอยถลอกของผิวหรือเยื่อบุ และเชื้อไวรัสจะเข้าไปที่ปากมดลูก ทำให้ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อหรือเซลล์ จากปากมดลูกปกติกลายเป็นระยะก่อนเป็น มะเร็งปากมดลูก

ไวรัสเอชพีวี มีทั้งหมดกว่า 100 ชนิด แต่ที่ทำให้ติดเชื้ออวัยวะสืบพันธุ์มีประมาณ 30-40 ชนิด แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มเสี่ยงต่ำและกลุ่มเสี่ยงสูง กลุ่มเสี่ยงต่ำไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ หรือหูดที่กล่องเสียง ส่วนกลุ่มเสี่ยงสูงก่อมะเร็งต่างๆ ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอด

สำหรับความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชพีวีดำเนินได้โดยง่าย เชื้อชนิดนี้เป็นเชื้อที่ทนทานต่อความร้อน และความแห้งได้ดี สามารถเกาะติดตามผิวหนัง อวัยวะเพศ เสื้อผ้า หรือแม้แต่กระจายอยู่รอบตัวในรูปของละอองฝุ่น ซึ่งผู้หญิงทุกคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ย่อมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี อย่าง ไรก็ตาม การติดเชื้อมักหายได้เอง ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย มีเพียง 10% เท่านั้น ที่การติดเชื้อยังดำเนินต่อไป สร้างความผิดปกติให้กับเยื่อบุปากมดลูก และทำให้กลายเป็นมะเร็งในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งก่อให้เกิด มะเร็งปากมดลูก ได้นั้น ใช้เวลานานประมาณ 10-15 ปีปัจจัยเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก

- การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย

- การมีคู่นอนหลายคน หรือฝ่ายชายที่เราร่วมหลับนอนมีคู่นอนหลายคน

- การคลอดบุตรจำนวนหลายคน

- การสูบบุหรี่

- การมีภาวะคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะเป็นโรคเอดส์

- การสูบบุหรี่

- พันธุกรรม

- การขาดสารอาหารบางชนิด

ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย ที่อาจทำให้ผู้หญิงเป็น มะเร็งปากมดลูก

- ผู้ชายที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

- ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย

- ผู้หญิงที่มีสามีเป็นมะเร็งองคชาติ

- ผู้หญิงที่มีสามีเคยมีภรรยาเป็น มะเร็งปากมดลูก

- ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคนอาการและการรักษา โรค มะเร็งปากมดลูก

โรค มะเร็งปากมดลูก มักพบในผู้หญิงอายุ 35 - 60 ปี แต่ก็อาจพบ มะเร็งปากมดลูก ก่อนวัยอันควรได้ ทั้งนี้ อาการของผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก จะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของมะเร็ง ซึ่งอาการที่พบในผู้ป่วย โรคมะเร็งปากมดลูก ได้แก่

อาการตกเลือดทางช่องคลอด เป็นอาการที่พบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 80 – 90 ของผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก ลักษณะ เลือดที่ออกอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน มีตกขาวผิดปกติ กลิ่นเหม็น มีเลือดปน หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์ ถ้าเป็นมากและมะเร็งลุกลามออกไปด้านข้าง หรือลุกลามไปที่อุ้งเชิงกรานก็จะมีอาการปวดหลังได้ เพราะไปกดทับเส้นประสาท

อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามหรือไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ขาบวม ปวดหลัง ปวดก้นกบ ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น

โรค มะเร็งปากมดลูก แบ่งเป็น 0-4 ระยะ ดังนี้

ระยะ 0 คือ เซลล์มะเร็งยังไม่กระจาย วิธีรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 0 คือ ผ่าตัดเล็ก ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาที และตรวจติดตามอาการ การรักษาระยะนี้ได้ผลเกือบ 100%

ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูก การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะ 1 คือผ่าตัดใหญ่ ผ่าตัดมดลูก เลาะต่อมน้ำเหลืองในเชิงกราน ซึ่งได้ผลดีถึง 80%

ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งกระจายออกจากปากมดลูก โดยยังไม่ไปไกลมาก แต่ก็ไม่สามารถผ่าตัดได้ การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 2 นี้ ต้องรักษาด้วยการฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด (คีโม) ได้ผลราว 60%
ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งกระจายชิดเชิงกราน การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 3 คือใช้รังสีรักษา และการให้เคมีบำบัด การรักษาระยะนี้ได้ผลประมาณ 20-30%

ระยะที่ 4 เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งกระจายทั่วร่างกาย การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 คือการให้คีโม และรักษาตามอาการ โดยหวังผลได้เพียง 5-10% และโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่แน่ โดยมีผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก บางรายสามารถอยู่ต่อได้นานถึง 1-2 ปี จึงเสียชีวิตผลข้างเคียงจากการรักษาโรค มะเร็งปากมดลูก

การผ่าตัด ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่อาจเกิดได้ ได้แก่ การตกเลือด การติดเชื้อ อันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียง

การฉายแสง (ระยะเวลา 1-2 เดือน) ผลข้างเคียง คือ ผิวแห้ง ปัสสาวะมีเลือดปน อ่อนเพลีย

ยาเคมีบำบัด ผลข้างเคียงคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง มือเท้าชา ซึ่งขึ้นกับยาแต่ละชนิดที่เลือกใช้ ผู้หญิงควรจะเริ่มตรวจหาโรค มะเร็งปากมดลูก เมื่อใด

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ ควรมาตรวจคัดกรองเชื้อ มะเร็งปากมดลูกหรือที่เรียกว่า แพปสเมียร์ (Pap Smear) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรเริ่มเมื่อ อายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ในกรณีที่เริ่มพบความผิดปกติแพทย์อาจนัดให้ไปตรวจถี่ขึ้น

ทั้งนี้ แพปสเมียร์ คือ วิธีการตรวจหาความผิดปกติ หรือโรค มะเร็งปากมดลูกที่ค่อนข้างง่าย ใช้เวลาเพียง 2–3 นาทีเท่านั้น เป็นการตรวจที่ทำควบคู่ไปกับการตรวจภายในของผู้หญิง แพทย์จะสอดเครื่องมือเข้าไปในช่องคลอด โดยใช้ไม้ขนาดเล็กขูดเบาๆ เพื่อเก็บเซลล์มาป้ายบนแผ่นกระจก และนำไปตรวจหาความผิดปกติ โดยก่อนที่จะตรวจ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อม ไม่ควรตรวจในช่วงระหว่างมีประจำเดือน งดการมีเพศสัมพันธ์ และงดการสวนล้างช่องคลอด หรือสอดยาใดๆ ก่อนเข้าทำการตรวจ ข้อดีคือ วิธีการตรวจแบบแพปสเมียร์นี้ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็น โรคมะเร็งปากมดลูก ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ วัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก

หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องการรณรงค์ฉีดวัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก ความจริงแล้ว ระดับการป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูกมีหลายระดับ โดยระดับแรกของการป้องกันคือ การฉีดวัคซีน ที่เชื่อว่าลดความเสี่ยงได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ การป้องกันขั้นพื้นฐานด้วยการตรวจแพปสเมียร์เป็นประจำก็เป็นเรื่องสำคัญ

ทั้งนี้ ตามคำแนะนำของคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแห่งสหรัฐอเมริกา เด็กและหญิงสาวที่อายุต่ำกว่า 26 ปี ซึ่งไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน สามารถรับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อเอชพีวี ส่วนหญิงสาวที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ควรตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูกหรือแพปสเมียร์เสียก่อน เพราะเป็นไปได้ว่าอาจพบการติดเชื้อ หรือมีความผิดปกติ ซึ่งจะต้องทำการรักษาให้หายเสียก่อน จึงจะรับการฉีดวัคซีนได้ในเวลาต่อมา ส่วนวัยที่ควรเริ่มฉีดวัคซีนชนิดนี้คือ 9 ปีขึ้นไป และการใช้วัคซีนในผู้หญิงวัย 9 – 26 ปี จะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

อย่าลืมหมั่นตรวจเช็คสุขภาพ และความผิดปกติของร่างกาย ที่สำคัญอย่ากลัวหรืออายที่จะไปตรวจหาเชื้อ มะเร็งปากมดลูก เพราะหากช้าไป โรคร้ายอาจทำลายคุณ