31 ม.ค. 2553

สับปะรดช่วยระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

สับปะรดมีวิตามินซีที่จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ฯลฯ


สับปะรดเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ในบ้านเราตลอดทั้งปี มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักความดีของสับปะรดกันดีกว่าค่ะ

1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นจึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และลดการสูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

5. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20%

6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล

หมายเหตุ : แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินพอประมาณ เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่นๆ ให้หลากหลายด้วย เพราะการกินอะไรที่มากเกินไปก็ย่อมให้ผลเสียทั้งนั้น

15 วิธีคุมกำเนิด... ที่คุณเลือกได้


15 วิธีคุมกำเนิด... ที่คุณเลือกได้ (Lisa)


การคุมกำเนิดไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว ผู้ชายก็ช่วยคุมกำเนิดได้ ซึ่งมีทั้งวิธีธรรมชาติและอาศัยเทคโนโลยี แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดด้วย
เจมี่ ลินน์ สเปียร์รส น้องสาววัยทีนของนักร้องสาว บริตนีย์ สเปียร์ส ตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจในวัย 16 ปี ทำให้พ่อแม่ผิดหวังเป็นอย่างมากที่ลูกสาวตัดอนาคตตัวเอง ทั้งนี้ การคุมกำเนิดมีหลายวิธี ซึ่งบางคนอาจรู้จักแค่ยาคุมกำเนิดกับถุงยางอนามัย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีวิธีคุมกำเนิดหลากหลายวิธีให้เลือกทั้ง โดยวิธีธรรมชาติและอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยแต่ละวิธีก็มีความปลอดภัยมากน้อยต่างกัน และมีทั้งข้อดี ข้อเสีย ดังนั้น นพ.วิสิทธิ์ สภัครพงษ์กุล กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลราชวิถี จึงให้ความกระจ่างดังนี้ค่ะ
1. ถุงยางอนามัยเป็นวิธีคุมกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ทั้งนี้ ความปลอดภัยในการคุมกำเนิดก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ กระนั้นก็ตามก็ยังมีคนใช้ผิดวิธี หรือใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพต่ำหรือหมดอายุ ที่พบบ่อยคือการสวมถุงยางอนามัยตอนใกล้จะหลั่งคือไม่ใช้ตั้งแต่ต้น ก็จะเกิดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากน้ำหล่อลื่นในช่วงแรกก็อาจมีเชื้ออสุจิออกมาแล้ว

2. ยาคุมกำเนิด มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจน (Gestagen)ฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้จะป้องกันไม่ให้ไข่ตก และเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกให้ไม่เหมาะแก่การฝังตัว ทั้งนี้ ต้องกินยาคุมกำเนิดติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ และหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ที่จะมีประจำเดือนในช่วงนั้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก และยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ด้วย แต่อาจทำให้ผู้หญิงที่สูบบุหรี่เกิดโรคโลหิตหรือน้ำเหลืองคั่งได้ ทำให้อารมณ์เพศลดลง และอาจทำให้ผู้หญิงเกิดโรคลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือด (Deep Vein Thrombosis DVT) ซึ่งพบบ่อยในชาวตะวันตก ปัจจุบันเริ่มพบมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงเริ่ม เปลี่ยนไปแบบตะวันตก เช่น กินอาหารแบบตะวันตก และออกกำลังกายน้อยลง

3. ยาคุมกำเนิด Desogestrel และ Levonorgestrelมีเพียงฮอร์โมนเจสตาเจนเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้ไข่ตกและป้องกันไม่ให้สเปิร์มผ่านเข้าไปในมดลูก ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากและยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนด้วย แต่ต้องกินยานี้ทุกวัน ข้อเสียคือ ทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะแรกของการใช้ ส่วนมากจะใช้ในกรณีตลอดบุตรใหม่ ๆ และต้องการให้นมบุตรแต่ถ้าเราใช้ยาคุมกำเนิดทั่ว ๆ ไปที่รวมเจสตาเจนและโปรเจสเตอโรน (ดีในแง่ของการยับยั้งการตกไข่) ก็มีข้อเสียคือทำให้น้ำนมน้อยลง จึงควรใช้ยาคุมกำเนิด Desogestrel ซึ่งมีเจสตาเจนอย่างเดียว คือทั้ง Desogestrel และ Levonorgestrel เป็นกลุ่มเจสตาเจนในระยะแรก จะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยสักระยะหนึ่งแล้วก็หาย อาจใช้ในกรณีหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ และต้องการให้นมบุตร

4. ยาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์เป็นยาที่มีความแรงของตัวยาและต้องให้แพทย์สั่งในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจไม่ได้ป้องกัน หรือมีความเสี่ยงกับการตั้งครรภ์ที่มีไม่พึงปรารถนา ยานี้ต้องกินภายใน 72 ชม. หลังการมีเพศสัมพันธ์ยิ่งกินยาได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะปลอดภัยมากเท่านั้น วิธีคุมกำเนิดวิธีนี้ไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ เพราะเนื่องจากจะมีอากรข้างเคียงมาก อีกทั้งประสิทธิภาพไม่ดีพอ อาการข้างเคียงก็อย่างเช่น ทำให้ตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

5. คุมกำเนิดแบบฉีด 3 เดือนเป็นยาฉีดที่มีฮอร์โมนเจสตาเจน โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่สะโพก หรือต้นแขนมีผลควบคุมไม่ให้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน มีความปลอดภัยในการคุมกำเนิดสูง และช่วยลดอาการปวดท้องระหว่างมีรอบเดือน แต่เป็นยาที่มีฮอร์โมนสูง จึงต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ ยานี้เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ระยะแรกของการฉีดอาจมีประจำเดือนกะปริดกะปรอย แต่ไม่เป็นอันตราย เมื่อฉีดไปสักระยะ อาจไม่มีประจำเดือนเลย ซึ่งทั้งสองอาการนี้ไม่ได้เป็นอันตรายใด ๆ เป็นอาการที่พบได้จากการใช้วิธีนี้

6. ฝังไว้ที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติก มีขนาดเท่าไม้ขีด มีฮอร์โมนเจสตาเจน โดยใช้การใส่เข้าไปที่ต้นแขนใต้ผิวหนังของผู้หญิง ป้องกันไข่ตกและป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปในรังไข่ หลังจาก 3 ปี ก็ให้แพทย์เอาออก เป็นวิธีที่ปลอดภัยแต่วิธีนี้อาจทำให้มีแผลเป็นเล็ก ๆ และมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะแรกเมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็จะหาย

7. การใส่ห่วงเป็นห่วงที่ทำจากพลาสติกขนาดเล็กและมีขดลวดทองแดงเล็กๆ (Copper-T) พันรอบห่วง ใช้สำหรับคุมกำเนิดอย่างเดียว โดยผู้หญิงจะใส่ห่วงในช่วงมีรอบเดือน เพราะใส่ง่าย มีอายุคุมกำเนิดได้ถึง 5 ปี เป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจนน้อย สามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปี และอาจพบแพทย์ระยะแรกเพื่อตรวจห่วง มีจำหน่ายในประเทศเยอรมนีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2003 ส่วนห่วงอีกชนิดหนึ่งเป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเจสตาเจน ใช้ได้ทั้งคุมกำเนิดลดอาการปวดประจำเดือนและอาการประจำเดือนมามาก ที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของมดลูกบางชนิด

8. การวัดฮอร์โมนตกไข่เป็นวิธีทดสอบปัสสาวะของผู้หญิง โดยการใช้แท่งตรวจจุ่มลงไปในปัสสาวะเพื่อ ตรวจสอบฮอร์โมนในปัสสาวะและคำนวณวันที่ไข่จะตก แต่เป็นวิธีที่ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะวัดเพียงไม่กี่วันของแต่ละเดือน ส่วนใหญ่ใช้ในกรณีต้องการมีบุตรมากกว่า คือรู้วันตกไข่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ให้ตรงวัน

9. การวัดอุณหภูมิเพื่อความมั่นใจในการคุมกำเนิด จำเป็นต้องหมั่นวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวัน ในช่วงเวลาเดียวกันและในตำแหน่งเดิม เพื่อจะได้รู้วันไข่ตกที่แน่นอน เพราะในระยะหนึ่งถึงสองวันหลังไข่ตก อุณหภูมิของร่างกายจะขึ้นสูงมากกว่า 0.2 องศา ซึ่งนั่นก็คือเป็นที่ปลอดภัย ข้อดีก็คือไม่เจ็บปวดและประหยัด ข้อเสียคือ เหมาะสำหรับผู้หญิงมีรอบเดือนสม่ำเสมอและไม่มีไข้เท่านั้น

10. นับวันจากปฏิทินเป็นวิธีที่ผู้หญิงต้องมีปฏิทินประจำตัว เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก เหมาะกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอ (28 วัน) แต่ช่วงไข่ตกก็ต้องใช้วิธีอื่นคุมกำเนิด โดยเฉลี่ยของการผิดพลาดคือ 9 คนจาก 100 คนที่พลาดจนเกิดการตั้งครรภ์

11. สังเกตมูกจากปากมดลูก เป็น วิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติและเป็นวิธีที่ประหยัด โดยผู้หญิงต้องสังเกตมูกตกขาวจากปากมดลูก (Cervical Mucus) ทุกวันและจดโน้ตไว้เพื่อดูวันที่ไข่ตก และในระหว่างที่มีการตกไข่ก็ต้องคุม กำเนิดด้วยวิธีอื่น แต่อาจคลาดเคลื่อนได้หรือแปลผลผิด เช่น ในกรณีที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบของช่องคลอด

12. วิธีคุมกำเนิดแบบ Sympto Thermalเป็นวิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติ โดยการผสมผสานระหว่างอุณหภูมิและการสังเกต มูกตกขาววิธีนี้ค่อนข้างปลอดภัยถ้าผู้หญิงหมั่นสังเกตตัวเอง แต่ถ้ามีไข้หรือมีการอักเสบของช่องคลอด ก็จะทำให้แปลผลผิดได้และระหว่างวัน ที่ไข่ตกก็จะต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

13. Coitus lnterruptus เป็นวิธีที่ฝ่ายชายหลั่งอสุจิข้างนอกหลังการมีเพศสัมพันธ์แต่สเปิร์มอาจเล็ดลอดออกไปได้ก่อนหน้านั้น จึงไม่แนะนำเพราะไม่ปลอดภัย จากสถิติผู้หญิง 100 คน มีจำนวน 4-18 คนที่ผิดพลาดจนตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้

14. การทำหมันชาย วิธีนี้ใช้การผ่าตัดเพียงนิดเดียวในผู้ชายเพื่อตัดท่ออสุจิ เหมาะกับผู้ชายที่ไม่ต้องการมีลูกอีก ป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูง

15. การทำหมันหญิงคือกรรมวิธีการตัดบางส่วนหรือแยกท่อนำไข่ออกจากกันทั้ง 2 ข้าง ทำให้ไม่เกิดการปฏิสนธิ การแก้ไขเพื่อให้ท่อนำไข่สู่ภาวะปกติก็ทำได้ แต่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องอาศัยการผ่าตัดผ่านกล้องจุลทรรศน์



ข้อแนะนำจาก นพ.วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล



อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นข้อมูลเบื้อต้น เพื่อสื่อสารถึงผู้หญิงไทยในการคุมกำเนิดด้วยวิธีใดที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วยมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ ตัวเองเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบไหนวิธีคุมกำเนิดต่าง ๆ มีหลายวิธี หลังจากเราได้ข้อมูลเหล่านี้แล้ว จะได้เลือกวิธีที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เศรษฐกิจสังคมของตัวเอง



อย่างไรก็ตามก็ควรปรึกษาแพทย์ว่าวิธีคุมกำเนิดนั้นๆ เหมาะสมกับสภาพร่างกายหรือไม่ รวมทั้งระบบรอบเดือนด้วย ที่สำคัญคือการคุมกำเนิด ต้องเป็นการ่วมมือระหว่างสามีภรรยามากกว่าการทำเพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะถ้ายังอยู่ในช่วงวัยที่ไม่พร้อม ดังนั้น ความเข้าใจเรื่องการคุมกำเนิดหรือป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เป็นความรู้ที่ควรมีและต้องนำไปปฏิบัติให้ได้ผล

Top 200 เว็บไซต์มหาวิทยาลัยยอดนิยมระดับโลก

ประกาศผลออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ The 2010 University Web Rankings หรือเว็บมหาวิทยาลัยยอดนิยมระดับโลก ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า top 200 ระดับโลก อันดับที่ 1 ได้แก่ Massachusetts Institute of Technology ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ มีมหาวิทยาลัยของประเทศไทย ติดอันดับ 4 สถาบัน แต่จะมีที่ไหน อันดับที่เท่าไหร่นั้น ฝากเพื่อนๆ หาคำตอบ แล้วคอมเม้นต์บอกเพื่อนๆ ด้วยนะครับ ^^






ลิฟท์ตก...ทำยังไงดี ?

ใครที่อาศัยอยู่ในคอนโดหรืออพาร์ทเมนท์แล้วต้องใช้ลิฟท์ขึ้นๆลงๆอยู่บ่อยๆ คงต้องเคยเจอประสบการณ์ลิฟท์ค้างมาไม่มากก็น้อย


ลิฟท์ค้างไม่ค่อยเท่าไหร่...แต่ลิฟท์ตกเนี้ยซิ จะทำยังไงดี วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ

1. ให้กดปุ่มให้ลิฟต์จอดทุกชั้นอย่างเร็วที่สุด เพื่อเมื่อไฟฟ้าสำรองทำงาน มันจะหยุดลิฟต์จากการร่วงลงมา

2. จับที่จับให้แน่น หากว่ามี มันจะช่วยรองรับตำแหน่งและป้องกันจากการหล่นและการบาดเจ็บถ้าเราเสียสมดุลย์

3. พิงหลังและศีรษะเข้ากับผนังให้เป็นเส้นตรง การพิงผนังจะทำให้มันช่วยป้องกันหลังและกระดูก

4. งอเข่า เพราะเมื่อลิฟต์ตก เราจะไม่รู้เลยว่าเมื่อไรที่ลิฟท์จะกระแทกพื้น และอาจจะส่งผลให้กระดูกทั่วร่างแตกละเอียดได้ เส้นเอ็นเป็นจุดเชื่อมต่อที่ยืดหยุ่น มันสามารถยืดกระดูกเข้าด้วยกันเป็นกิจกรรมต่างๆ แต่จะจำกัดบางสิ่งเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ดังนั้น ผลกระทบจากกระดูกแตกจะลดลงจากการกระแทกของการร่วงหล่น

สิ่งที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก


เทศกาลแห่งความรักใกล้จะถึงขึ้นทุกที....ปีนี้หรือปีไหนๆ เทศกาลแห่งความรัก ก็ยังคงดูเป็นวันที่โลกมีสีสันสดใส มีชีวิตชีวาอยู่ตลอด (แต่!!!....นั้นคงเฉพาะคนที่กำลังอินเลิฟ)


คนที่กำลังกระชุ่มกระชวยหัวใจก็คงกระปรี้กระเปร่าา ยิ้มรับรอให้ถึงวันแห่งความรักไวๆ เพื่อที่จะรอลุ้นว่าปีนี้ที่รักจะมีของอะไรมาเซอร์ไพรส์ จะเป็น ตุ๊กตาตัวเท่าแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ดอกไม้พันธุ์หายากช่อโต น้ำหอมจากปารีส รถ หรือบ้าน(พร้อมหนี้สิน)กันน่ะ?

แต่สำหรับคนที่ยังโสดอยู่ ก็อย่าได้แคร์ ให้คิดซะว่าปีนี้ไม่ใช่ปีของเรา ปีหน้าๆๆๆๆ เป็นปีของเราแน่นอน อย่าได้เศร้าไป วันวาเลนไทน์ทั้งที อย่านอนเศร้าอยู่บ้าน เพราะเหตุผลที่ไม่มีแฟน จูงมือเพื่อนสาว(ที่โสดเหมือนกัน) ออกมาเริงร่าช้อปปิ้งกัน หาความสุขใส่ตัวดีกว่า

เข้าเรื่องต่อ หัวข้อก็บอกอยู่แล้วว่า สิ่งที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก รู้ไว้เป็นประโยชน์อย่างมากมาย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลแห่งความรักอย่างนี้ (คนที่ไม่มีคู่ก็ควรรู้ไว้นะค่ะ ปีหน้าๆๆๆๆ คุณอาจจะมีคนรักเป็นของตัวเองบ้างก็ได้)

สิ่งต่อไปนี้เป็นความเชื่อที่ไม่บังคับให้เชื่อ แต่เชื่อไว้บ้างก็ไม่เสียหายนะจ๊ะคุณๆ อย่าที่บอกว่าเชื่อไว้บ้างก็ดี ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ เพราะมีหลายคนที่เชื่อว่า สิ่งที่ไม่ควรซื้อให้แฟนอย่างเด็ดขาดก็คือ น้ำหอม เพราะความรักของคุณอาจจะจืดจางเหมือนกับกลิ่นของน้ำหอมที่จางหายไปตามกาลเวลา..

เอาล่ะๆ มาเริ่มดูกันเลยดีกว่า

รองเท้า

ข้อนี้ยิ่งเด็ด ใครมีแฟนรีบเอาไปให้อ่านเลย เขาว่ากันว่าหากแฟนซื้อรองเท้าให้จะทำให้เลิกกัน เพราะรองเท้ามันต้องอยู่เป็นคู่ คนที่เป็นแฟนกันแต่ยังไม่ได้อยู่กันเป็นคู่ รองเท้าจึงเป็นอาถรรพ์ที่อาจจะทำให้เลิกกันได้ เรื่องนี้ขอบอกว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายคนนะ ที่แฟนซื้อรองเท้าให้ตอนคบกัน 4 - 5 เดือน หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ แฟนก็ขอเลิกเลย..

เสื้อผ้าชุดดำ

อันนี้น่ากลัวมากๆ เขาห้ามให้เสื้อผ้าชุดที่มีสีดำเป็นของขวัญโดยเด็ดขาด เพราะคนโบราณเขาถือ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าคลุม ผู้หลักผู้ใหญ่จะสอนอยู่เสมอว่า ถ้าเราให้ชุดดำใคร เราจะต้องได้ไปงานศพของคนนั้น....

นาฬิกา

อันนี้มาแนวถือเคล็ดซะมากกว่า เพราะหลายคนเชื่อหนักหนาว่า หากแฟนซื้อนาฬิกาให้ จะทำให้ระยะเวลาที่คบกัน อาจจะต้องหยุดลงเมื่อนาฬิกาเรือนนั้นหยุดเดิน ไม่ว่าสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม...

รูปถ่าย

อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามให้เด็ดขาดนั้นก็คือ รูปถ่ายเดี่ยวๆ ของตัวเอง เพราะมันเปรียบเสมือนการให้รูปที่ระลึกไว้ดูต่างหน้าเวลาจากกัน อาถรรพ์นี้หลายคนเจอมาแล้ว หากใครไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หลีกเลี่ยงเด็ดขาด...

ผ้าเช็ดหน้า

ความหมายตรงตัวมากๆ ผ้าเช็ดหน้าส่วนใหญ่เขาไว้ใช้ทำอะไร คนรับของขวัญก็จะต้องใช้ทำอย่างนั้นหละ..ซึ่งได้ข่าวมาว่า ผ้าเช็ดหน้า ส่วนใหญ่จะใช้เช็ดน้ำตาซะด้วย..ดังนั้นใครไม่อยากที่จะต้องเสียน้ำตาต้องเลี่ยงให้ของขวัญเป็นผ้าเช็ดหน้านะค่ะ

ของมีคม

อันนี้คงไม่เชิงความเชื่อ เพราะมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้แน่นอน แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลาย พวกของมีคมอาวุธ ดาบ ของเล่น โมเดลต่างๆที่มีคม อย่านำเป็นของขวัญ เพราะจะทำให้ผู้รับได้รับอันตราย มีภัย โชคร้าย ไปด้วย..

หวี

ถ้าเรามอบหวีให้กับแฟน หรือเพื่อนคนไหน จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราและเขาต้องห่างกันเหมือนซี่ของหวีนั้นเอง..

เข็มกลัด

ภายนอกอาจจะดูสวย แต่ภายในแฝงไปด้วยความหมายที่น่าเจ็บปวด เพราะเชื่อว่าหากให้เข็มกลัดแก่ใครจะเป็นการทิ่มแทงใจ สร้างความเจ็บปวด ขัดแย้งให้กับผู้รับคนนั้น..

เครื่องแก้วต่างๆ

ของขวัญชิ้นนี้ หลายคนคงได้บ่อยซะด้วย จนถือเป็นของเชยไปแล้ว เพราะตามความเชื่อว่าถ้าเกิดเครื่องแก้วนั้นแตกขึ้นมา นั่นก็หมายถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นอันแตกหัก แตกสลายตามของอย่างแน่นอน

เลขที่บ้านมงคล

หลักการทางเคหศาสตร์ของชาวจีนโบราณนั้น แนะนำไว้ว่า เลขที่ ที่เป็นมงคลและมีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด หากนำมาใช้เป็นเลขที่ของอาคารบ้านเรือน หรือสถานที่ดำเนินธุรกิจแล้ว จะทำให้มีแต่สิ่งดีๆ ไหลเวียนเข้ามาตามความหมายของตัวเลข ได้แก่


เลขที่ 2, 5, 6, 8, 9 และ 10 ครับ ทั้ง 6 หมายเลขนี้เป็นตัวเลขที่ดี มีมงคล และมีความหมายที่แตกต่างกัน โดยให้ความหมายไว้ว่า

เลขที่ 2 หมายถึง การจะกระทำการสิ่งใดก็ง่ายดาย สำเร็จ ลุล่วง ไม่มีอุปสรรค ขัดขวาง

เลขที่ 5 หมายถึง ความกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธาตุทั้ง 5

เลขที่ 6 หมายถึง ความมั่งคั่ง มั่งมี ศรีสุข เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ

เลขที่ 8 หมายถึง การนำมาซึ่งความร่ำรวย มั่งมี ด้วยเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ทั้งที่เป็นมรดก ตกทอด และการทำมาค้าขาย หรือการดำเนินธุรกิจ

เลขที่ 9 หมายถึง การมีอายุยืนยาว ทั้งเจ้าของและกิจการที่แผ่กว้าง หรือ ขยายสาขา ใหญ่โต

เลขที่ 10 หมายถึง ความแน่วแน่ มั่นคง มั่นใจที่จะดำเนินการด้วยความถูกต้อง เด็ดเดี่ยว ซึ่งเป็นตัวเลขสุดท้ายที่หลักเคหศาสตร์ของชาวจีนแนะนำไว้ว่า มีความเป็นสิริมงคลต่ออาคารบ้านเรือนอันจะนำไปสู่สิ่งดีๆ ที่เข้ามาในการดำเนินชีวิตครับ

ดังนั้น หากอาคารบ้านเรือนหรือร้านค้า ร้านอาหารของแฟนๆ คนรักบ้าน มีเลขที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นกี่หมายเลขก็ตาม แต่เป็นทั้ง 6 หมายเลขนี้ ที่หลักการทางเคหศาสตร์แนะนำไว้ประกอบอยู่ด้วยกันแล้ว ก็จะยิ่งเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้าน สมาชิกในครอบครัว และการดำเนินชีวิตได้ดียิ่งๆ ขึ้นไปครับ

วิธีป้องกันและกำจัดแมลง

วิธีป้องกันและกำจัดมด

- หาเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาตัดเป็นชิ้น ๆ ความยาวพอประมาณ ชุบกับน้ำมันเครื่องพอหมาดหรือจาระบีแล้วนำมาพันรอบขาตู้หรือโต๊ะ หรือจะใช้ปูนขาวใส่ภาชนะรองที่ขาตู้ก็ได้ และหากพบมดไต่ขึ้นมาตามรอยแตกร้าวของคอนกรีต ให้ใช้น้ำมันก๊าดเทลงไปในร่อง มดก็จะไม่โผล่หน้าขึ้นมาให้เรารำคาญใจอีกนาน

- ใช้แป้งฝุ่นสำหรับทาป้องกันเห็บหมัดของสุนัขหรือแมวมาโรยตามพื้นหรือบริเวณที่มดขึ้น เมื่อมดเดินผ่านก็จะเกิดการระคายเคืองและตายในเวลาอันรวดเร็ว หรืออาจฝานมะนาวเป็นแผ่นบางๆ มาไปวางในบริเวณที่มดขึ้นก็ได้

- หากพบว่ามีมดขึ้นอยู่ในขวดน้ำตาลหรือขนมปังที่ใส่อยู่ในกระป๋อง ให้เราปิดฝาขวดหรือกระป๋องนั้นให้สนิท จากนั้นให้ออกแรงเขย่าเพียงเล็กน้อย แล้วเปิดฝาทิ้งไว้หรือนำไปผึ่งแดดสักครู่ มดตัวน้อยตัวนิดก็จะพากันหนีออกมาเอง

- ในกรณีที่พบรังมด ให้ใช้น้ำที่แช่หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดองเปรี้ยวราดไปที่รัง มดจะอพยพไปอยู่ที่อื่นทันที แต่ถ้าต้องการกำจัดให้สิ้นซาก ให้ใช้การบูรและยาสูบอย่างละ 1 ส่วน นำไปแช่น้ำตั้งไฟให้เดือด จากนั้นเอาไปราดที่รัง มดก็จะตายและไม่กล้ามาทำรังอีกแน่ๆ

วิธีกำจัดแมลงสาบ

นำขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างสักหน่อย มาใส่น้ำแกงจืดหรือน้ำต้มยำที่เหลือจากการรับประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) แล้วนำไปวางไว้บริเวณซอกหรือมุมห้องภายในบ้านโดยวางให้ชิดติดกับผนัง เพื่อล่อให้แมลงสาบที่ไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกงในขวดโดยไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้

วิธีกำจัดแมลงวัน

ใช้น้ำเชื่อมหรือน้ำหวานที่เข้มข้น 3 ส่วน ผสมกับพริกไทยป่น 1 ส่วน นำไปตั้งไว้ในบริเวณที่มีแมลงวันชุกชุม หากแมลงวันแวะเข้ามากินน้ำเชื่อมแล้วก็จะตายแบบหวานเย็นในเวลาไม่นานนัก

วิธีไล่ยุง

นำเปลือกส้มเขียวหวานที่ตากแห้งดีแล้ว มาจุดไฟให้เป็นควันเพื่อไล่ยุง เปลือกส้มจะมีกลิ่นหอมสดชื่นและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเหมือนยาฆ่าแมลง หรือจะใช้ผลมะกรูดผ่าซีกทาตามร่างกาย ยุงก็จะไม่กล้าเข้าใกล้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผิวนุ่มอีกด้วย หรือจะห่อการบูรด้วยผ้าแล้วนำไปวางไว้ตามมุมห้องหรือใต้โคมไฟ กลิ่นของการบูรจะทำให้ยุงหนีออกจากห้องไป

29 ม.ค. 2553

อาการปวดจากการนอนสระผม

Salon Sink Syndrome (Momypedia)โดย: วิลาสิณีข้อมูลจาก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สาทร-คอนแวนต์อาการปวดที่ได้จากร้านตัดผม

การสระผมกับผู้หญิงเรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่ามันแสนสบายเวลานอนแหงนหน้า ทิ้งศีรษะลงไปให้น้ำอุ่นมาสัมผัส แต่ต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้หญิงทุกท่านจริง ๆ เพราะมีข้อมูลใหม่ ๆ มาบอกกันจาก พญ.ธนพร ลาภรัตนากุล แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

ว่าการนอนห้อยศีรษะแบบนี้ เป็นที่มาของการกดทับเส้นประสาทระดับคอ (Cervical Radiculopathy) และเรียกอาการดังกล่าวว่ากลุ่มอาการ "Salon Sink Syndrome"

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะกระดูกสันหลังส่วนคอของเรา จะมีช่องที่เป็นทางออกของเส้นประสาท ที่เชื่อมต่อไปที่กล้ามเนื้อของแขนกับมือ และช่องนี้จะแคบลงเมื่อเราแหงนหน้าหรือหมุนคอไปด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้กระดูกหรือหมอนรองกระดูกที่ยื่น มีโอกาสไปกดทับหรือเบียดเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวดชาตามแนวเส้นประสาท โดยมักจะปวดหรือมีอาการชาตั้งแต่ต้นคอ สะบัก แขน มือ

ถ้าใครมีอาการดังกล่าวลองพักก่อน ถ้าพักแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ซึ่งก็มีการรักษาตั้งแต่รับประทานยา ทำกายภาพบำบัด ไปจนถึงการผ่าตัด แต่ถ้าป้องกันได้ก็น่าจะป้องกัน ซึ่งก็แค่เลี่ยงการไปนอนให้เขาสระผม แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องนอนห้อยศีรษะแบบนี้ ก็ลองหาท่าที่ไม่ทำให้ศีรษะต่ำกว่าระดับคอมากนัก คืออาจจะต้องยอมตัวเปียก แต่รับรองว่าแขนไม่ปวด

และแถมข้อมูลให้อีกนิดสำหรับผู้อ่านที่มีอายุมาก คุณอาจมีภาวะความเสื่อมของกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกระดับคอ จะทำให้คุณมีกระดูกงอก หรือหมอนรองกระดูกยื่นเข้าไปในช่องของเส้นประสาทนี้ ซึ่งแปลว่าคุณอาจจะมีโอกาสเกิดอาการนี้ได้มากกว่า ดังนั้นควรจะใส่ใจกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้นค่ะ

ล้างมืออย่างไร...ให้สะอาดสูงสุด

ล้างมืออย่างไร...ให้สะอาดสูงสุด (ไอเอ็นเอ็น)

ขณะนี้มีเชื้อโรคใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เราต้องระมัดระวังในเรื่องความสะอาด ทั้งอาหารที่รับประทาน มือที่สัมผัสอาหาร เพื่อป้องกันการติดโรคต่างๆ ตามคำขวัญที่ว่า กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ มาเรียนรู้วิธีล้างมือที่ถูกต้อง เพื่อความสะอาดกันดีกว่า

ล้างมือด้วยสบู่เหลว 6 ขั้นตอน นานอย่างน้อย 40-60 วินาที ก่อนรับประทานอาหาร เตรียม/ปรุงอาหาร หลังขับถ่าย หยิบจับสิ่งสกปรกหรือสัมผัสสัตว์เลี้ยงและสัตว์ปีก6 ขั้นตอน วิธีล้างมือให้สะอาด

ขั้นตอนที่ 1 ฟอกฝ่ามือและง่ามนิ้วมือด้านหน้า 5 ครั้ง โดยเน้นซอกนิ้วมือ

ขั้นตอนที่ 2 ฟอกหลังมือและง่ามนิ้วมือด้านหลังข้างละ 5 ครั้ง โดยเน้นซอกนิ้วมือ

ขั้นตอนที่ 3 ฟอกนิ้วและข้อนิ้วมือด้านหลังข้างละ 5 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 4 ฟอกนิ้วหัวแม่มือ ข้างละ 5 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 5 ฟอกปลายนิ้วมือ เล็บ โดยหมุนวนไปบนฝ่ามือ ข้างละ 5 ครั้ง

ขั้นตอนที่ 6 ฟอกรอบข้อมือโดยรอบข้างละ 5 ครั้ง

26 ม.ค. 2553

♫♠♪ ข้อควรรู้ 27 ข้อ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ♪♠♫

1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด

2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ

3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”

6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ

7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)

9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง

12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้­าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ

16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาท­ิตย์ฟรีๆเป็นของแถม

18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์

19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์

23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น

26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำ

20 นิสัยยอดฮิตของผู้หญิงที่ผู้ชายควรรู้

1. บ้าดูดวง...ถึงจะรู้ว่างมงายก็เหอะ

2. ต่อมน้ำตาตื้น...แค่หนังซึ้ง ๆ เพลงเศร้า ๆ .น้ำตาก็ทะลักออกมาได้ ไม่ยากเย็น

3. ติดละครซะเหลือเกิน....ละครโปรดมาเมื่อไหร่ นั่งติดทีวี ไม่ไปไหนเลย

4. ปากก็บอกว่า รักเขาคนเดียว แต่ก็ชอบแอบปิ๊งคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ เลยเชียว

5. นัดปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงทีไร เม้าท์แตกลืมโลก ลืมแฟนได้ทันที

6. กับเขาคนนั้นนะ...ห้ามไปซะหมด ห้ามซื้อโน่น นี่ แต่กะตัวเองสิ เต็มที่ทุกอย่าง

7. ใจลอยอยู่เสมอ ๆ ขับรถไปไหนต่อไหน ไม่ผิดกฏจราจรก็ต้องหลงทาง

8. เจออาหารจานโปรดเมื่อไหร่ ไม่รู้กริยาหญิงหายไปไหน...ไดอ่ง ไดเอ็ท ไม่สนแล้ว

9. ชอบใช้มารยาหญิง เอาตัวรอด

10. เรื่องนินทา...ขอให้บอกเถอะ..ชอบม๊าาาากกกกกกกกก

11. แกล้งทำตัวเป็นสาวบอบบาง...อยากให้เขาทะนุถนอม

12. ชอบคุ้ยเรื่องเก่าๆ ของคนอื่นมาต่อว่า ทุกครั้งที่ขัดใจกัน

13. เจอหนุ่ม ๆ เด็ก ๆ ทีไหร่ ก็ชอบหลอกอายุตัวเองทุกที

14. เห็นของลดราคาเป็นไม่ได้ เหมือนมีแม่เหล็กมาดูด

15. เอาแต่ใจเป็นที่สุด โดยเฉพาะกับคนพิเศษ โดนขัดใจทีไร กวนโมโหทุกที

16. ขี้หึงได้ทุกสถานการณ์

17. กรี๊ดกร๊าด วี๊ดว๊าย กระตู้วู้ เรียกร้องความสนใจให้เสียงดังเกินเหตุโดยไม่จำเป็น

18. บ้าดารานักร้อง ซื้อเทป ซื้อซีดี อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ..ทุ่มสุด ๆ เท่าไหร่เท่ากันเลย...

19. เมื่อไหร่ที่อยากอยู่คนเดียวนะ...อย่าได้มายุ่งมาตอแยเชียว

20. ถึงจะเป็นกุลสตรียังงัยก็เหอะ เวลาเจอภาพนู้ดก็ชอบแอบดูเหมือนกันแหละ แต่อย่าให้ใครรู้น๊าาา

ความในใจของพริตตี้ (-_-')

1. นู๋เป็นแค่พริตตี้ีค่ะ ไม่ใช่เซลล์ อย่าถามข้อมูลลึกได้ม๊ายย กรุก้อเพิ่งมารุมะเช้านี้เอง

2. โปรดอย่ามาจีบนู๋ ส่วนใหญ่พวกนู๋มี ผัว แล้วทั้งนั้น

3. ผัว พวกเรา ส่วนใหญ่ มักไม่หล่อ

4. อย่าชวนกินเหล้าค่ะ เด๋วไม่พอ แดรกเหล้าเก่งซ้าาาาา ทุกนาง 55+ เจรง ๆ

5. เวลามีงาน เอ่ออออ ครือว่า ไม่ทราบจะถ่ายรูปนู๋ไปทำมัยนักหนาคะ กรุเมื่อยยิ้มเหมือนกันนะเว้ย

6. ถึงคุนช่างภาพมือโปรทั้งหลาย ถ่ายรูปนู๋ไม่ต้องใช้ซูมขนาดนั้นหรอกค่ะ โปรดระลึก เสมอนะคะว่า พวกนู๋ทั้งหลายก้อต่างมี สิว กระ ฝ้า หรือริ้วรอยอารยะธรรมต่างๆ ที่ไม่ได้อยากให้ใครเห็นเหมือนกันค่ะ ไม่ใช่ส่องสัตว์เขาใหญ่ ไม่ต้องซูมขนาดนั้น

7. เวลามาถ่ายรูป ละซูม นม ซูม ก้น พวกนู๋รู้นะคะ มันออกทางสีหน้าค่ะ

8. เอ่อ... พริตตี้ไม่จำเป็นต้องใส่บูทก้อได้มั้งคะ ผ้าใบกูก็ใส่เป็น..

9. ทำไมชอบนึกว่า หนูทำงานสบาย ยืน วันละ 7-8 ชั่วโมงบนรองเท้าส้นสูง 3-4 นิ้ว ยามยังแพ้ทำไม่ได้นะคะ

10. อย่าคิดว่าพวกนู๋รวย บางเดือนแทบไม่มีแดก คอนเฟริม์

11. ถึงคุณแม่ช่างแต่งหน้าค่ะ คือว่า พวกนู๋บางคนก้อไม่ได้ดูดีในปากสีแดง หรืออายชาโดว์สีฟ้านะคะ แต่งแม่มบล็อคเด่ว

12. อย่าพยายามขอเบอร์ โดยการอ้างว่าจะมีงานอะไรเทือกนี้ พวกเราทุกคนรู้ทันหมดล่ะค่ะ แต่ไม่อยากพูด กลัวพี่หน้าแหก เจอหลอกแดกจะรู้สึก

13. พวกนู๋บางคน แก่กว่าพี่อีกค่ะ (หน้าด้านเรียกพี่)

14. อย่าพยายามดีใจทุกครั้งที่แซวพวกนู๋ได้ค่ะ ที่นู๋ยิ้ม ไม่ใช่อาย หรือดีใจที่แซว นู๋ด่าในใจอยู่ค่ะ ไอ้หน้าหม้อ ไม่เจียม แต่ด้วย หน้าที่ ด่าออกมาไม่ได้ค่ะ ถ้าชอบไม่ต้องกลัว จะเข้าไปเอง อย่างโจ่งแจ้ง

15. แคสงานนะคะ ไม่ใช่ประกวดนางงาม ถึงจะได้มีคุณสมบัติเพียบพร้อม เลือกซะทำงานระดับโลก

16. งานวันเดียว ราคาไม่ถึง2พันบาท อย่าเรียกแคสเลยค่ะ หักค่าใช้จ่ายแล้วพวกนู๋เหลือเงินแทบไม่ถึง 5ร้อยเลยค่ะ แล้วช่วยจ่ายตังเลยจะดี เพราะมันวันเดียว

17. พวกนู๋ตื่นสาย (มาก) ถึงมากที่สุด

18. นักล่ารางวัลทั้งหลาย เอาไปทำซากอะไรเยอะแยะคะนั่น พวกนู๋ทุกคนจำหน้าพี่ได้ค่ะ เสนอหน้าทุกงาน

19. เวลามาทำงานให้ตรงเวลา เวลาจ่ายตังขอให้ตรงด้วยนะคะ ทวงแม่งก็ว่า กูผิดเหรอ

20. พวกเราทุกคนมีหน้าที่หรือมีงานต่อค่ะ ถึงเวลาเลิกช่วยให้เลิกด้วยนะคะ ไอ้ประเภทบอกว่านายยังไม่มา หรือว่าอะไรประมาณนี้ไม่เกี่ยวกะพวกกูหนิคะ ถึงเวลาเลิกควรให้เลิกค่ะ เพราะไม่งั้น งานต่อไปเค้าจะว่า "พริตตี้ชอบเลท" ค่ะ

21. เวลามีดารามาร่วมงาน กรุณา ให้เกียรติพวกนู๋บาง คนเหมือนกัน ทำซะกูเป็นขยะเลย พวกนู๋ก็สำคัญ

เคยโง่ม๊ะ..?...อยากฉลาดม๊ะ?...

*เคยโง่มะ

โง่ที่คิดว่า.....ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

โง่ที่คิดว่า.....ใครบางคนให้ความสำคัญกับตัวเรามากกว่าคนอื่น

โง่ที่คิดว่า.....คนที่เรารัก เค้าจะรักเราคนเดียว

โง่ที่คิดว่า.....คนที่เราดีใจเมื่ออยู่ใกล้เค้า จะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ทำ ให้เราเสียใจที่สุด

โง่ที่คิดว่า.....เรามีความสำคัญกับใครคนหนึ่งมากจนเค้าขาดเราไม่ได้

โง่ที่คิดว่า.....การโกหกจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคู่รักที่รักกันจริงๆ

โง่ที่คิดว่า.....คำหวานจากปากเค้า เค้าพูดเพราะเป็นห่วงเราจริงๆ

โง่ที่คิดว่า.....เวลาที่เราต้องการเค้าที่สุด เค้าจะอยู่กับเราเสมอ

อยากฉลาดมะฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า.......ความพยายามบางครั้งมันก้อเป็นแค่ความพยา­ยาม

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......อย่าหวังว่าใครจะเห็นเราสำคัญมากไปกว่าตัวเค้าเอง

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......คนที่เรารัก....บางทีเค้าก็มีคนที่เค้ารัก

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......คนที่เราอยู่ใกล้เค้าแล้วมีความสุขอาจเป็นคนเดียวกั­นกับคนที่ทำให้เราเสียใจที่สุด
ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......คำหวานจากปากเค้า

เค้าพูดเพียงเพราะเค้าชอบพูดคำหวานกับใครๆ เสมอ....ก็แค่นั้น

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......การโกหกเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าใคร

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......คนที่เรารักอาจเป็นคนเดียวกันกับคนที่ไม่เคยรักเรา

ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า......เวลาที่เราต้องการเค้าที่สุดอาจเป็นเวลาเดียวกันกับ­เวลาที่เค้าหมดรักเราแล้ว

" ฉันยอมโง่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเค้าไป

แต่ก้ออยากฉลาดในเวลาเดียวกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องเป้นตัวตลกให้เขาหลอก "

Search Engine Stat for 2009‏

วันก่อนทาง ComScore ได้ปล่อยสถิติล่าสุดของตลาด Search Engine ในปี 2009 ออกมาให้เราได้ดูกันแล้วนะครับ โดยสถิติสำหรับตลาด Search Engine ทั่วโลกเป็นดังนี้ครับ

ซึ่งจากตารางจะสรุปประเด็นสำคัญๆ ได้ดังนี้

จำนวนการค้นหาบน Search Engine ทั่วโลกมีประมาณ 131,354,000,000 ครั้งในเดือนธันวาคม ปี 2009 เพิ่มขึ้นจากปี 2008 ถึง 46% และเฉลี่ยแล้วเท่ากับว่ามีการค้นหาประมาณ 4,000 ล้านครั้งต่อวัน หรือประมาณ 29 ล้านครั้งต่อนาที

ตลาด Search Engine ที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นของสหรัฐอเมริกา โดยมีการค้นหาประมาณ 22,741 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 22% จากปี 2008 และคิดเป็นจำนวนการค้นหาประมาณ 17% ของการค้นหาทั่วโลก

ประเทศจีนครองอันดับ 2 ที่มีการค้นหามากที่สุด โดยมีการค้นหาประมาณ 13,278 ล้านครั้ง และอันดับที่ 3 และ 4 เป็นของประเทศญี่ปุ่นและอังกฤษตามลำดับ

ประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดคือ ประเทศรัสเซีย โดยมีจำนวนคนค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 92% จากปี 2008 ที่ 1,735 ล้านคน เป็น 3,333 ล้านคนในปี 2009

ส่วนสถิติการใช้งานของ Search Engine แต่ละค่ายออกมาเป็นดังนี้

ซึ่งเมื่อดูจากข้อมูลแล้ว มีสิ่งที่น่าสนใจดังนี้

Google ยังคงครองอันดับ Search Engine ที่มีคนใช้งานมากที่สุด โดยมีการค้นหาประมาณ 87,809 ล้านครั้งในเดือนธันวาคม 2009 ซึ่งเท่ากับ 66% ของจำนวนการค้นหาทั้งหมดทั่วโลก

อันดับ 2 คือ Yahoo! เหมือนเดิม แต่มีเปอร์เซ็นต์การค้นหาเพิ่มเพียง 13% เท่านั้น เหมือนกับอันดับ 3 คือ Baidu ของจีนที่มีอัตราการค้นหาเพิ่มขึ้นเพียง 7% เท่านั้น (ในขณะที่อันดับ 1 คือ Google นั้น มีการใช้ค้นหาเพิ่มถึง 58%)

ส่วน Bing ซึ่งเป็น Search Engine ของค่าย Microsoft แม้จำนวนการใช้งานอยู่ที่อันดับ 4 แต่เปอร์เซ็นต์การค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับ Bing เพราะถ้าหากว่าคงอัตราการเพิ่มต่อปีไว้ได้ที่ 70% อีกประมาณ 3 ปี ก็จะกลายเป็น Search Engine ที่คนใช้งานมากเป็นอันดับ 2 ทั่วโลกอย่างแน่นอนครับ

สำหรับ Search Engine ที่มีเปอร์เซ็นต์การค้นหาเพิ่มมากที่สุดคือ Yandex ของรัสเซีย โดยเพิ่มขึ้นถึง 91% จากการค้นหา 992 ล้านครั้งในปี 2008 เป็น 1,892 ล้านครั้งในปี 2009

ซึ่งจากข้อมูลเหล่านี้สรุปได้ชัดเจนว่า ตลาด Search Engine นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Google ที่ยังคงครองแชมป์คนค้นหามากที่สุดทั่วโลกนั้นก็มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นในแต่ละปีจำนวนมาก ดังนั้นการทำ Search Engine Marketing ก็ยังคงเป็นวิธีการทำตลาดที่ยังคงประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน และสามารถเข้าถึงผู้ใช้อินเตอร์เน็ตรายใหม่ๆ ได้อีกจำนวนมากในทุกๆ ปีครับ

25 ม.ค. 2553

13 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคหวัด


13 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคหวัด (Lisa)
อากาศเย็นทำให้เป็นหวัดง่าย ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ พร้อมกันทั้งสองข้าง มีไข้ต้องไล่ด้วยเหงื่อ สเปรย์พ่นจมูกดีหรือไม่
ดาราสาว แคเธอรีน ซีต้า-โจนส์ เป็นหวัดและมีอาการไซนัสอักเสบจนต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งนี้ มีข้อแนะนำมากมายเกี่ยวกับไข้หวัดน้ำมูกไหล และไอ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าข้อแนะนำเหล่านั้นจริงเท็จแค่ไหน โดยเฉพาะในฤดูฝนที่กำลังย่างกรายมาก็จะนำโรคหวัดมาด้วย ดังนั้น เราจึงควรเตรียมรับมือกับโรคหวัดที่มากับสายฝน
1. อากาศเย็นๆ ทำให้คนเป็นหวัดง่าย ใช่ โดยเฉพาะเมื่อปล่อยให้เท้าเย็น เนื่องจากความเย็นจะทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ทางเดินหายใจช้าลง อุณหภูมิที่คอหอยก็ลดต่ำลงด้วย ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยในเยื่อบุเมือกหดตัว ทำให้เซลล์ต้านโรคเข้าไปจัดการกับเชื้อโรคได้ไม่ทันการ ไวรัสจึงเข้าไปในอวัยวะได้และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ความเย็นก็มีข้อดีคือ หากใช้ความเย็นสลับกับความร้อน (เช่น อาบน้ำ) ก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ซึ่งจะช่วยให้เซลล์คุ้มกันขัดขวางไวรัสนักวิชาการสังเกตว่า การอบซาวน่าจะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาวและช่วยกระตุ้นที-เซลล์ให้ขยันทำงานต้านเชื้อโรค
2. ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียพบว่า การสั่งน้ำมูกจะทำให้โพรงอากาศรอบจมูกหรือไซนัสเกิดการอักเสบติดเชื้อ โดยเฉพาะการสั่งน้ำมูกแรงๆ ทั้งสองข้างพร้อมกัน ดังนั้น จึงควรสั่งน้ำมูกทีละข้างเบาๆ โดยการปิดจมูกอีกข้างหนึ่งไว้ขณะสั่งน้ำมูก
3. เจ็บคอ...ควรกลั้วคอมากกว่าดื่มชาสมุนไพร ยังไม่มีนักวิชาการทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าสมุนไพรชนิดใดช่วยรักษาได้ แต่ทั้งสองวิธีก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ โดยกลั้วคอด้วยน้ำเกลือหรือน้ำดอกเก๊กฮวยอุ่นๆ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่คอที่อักเสบ เพราะนอกจากจะเป็นการล้างเสมหะแล้วมันยังช่วยล้างเชื้อโรคออกจากร่างกายอย่างอ่อนโยนด้วย ยกเว้นบริเวณคอหอยที่ลึกลงไปก็จะกลั้วคอได้ไม่ถึง แต่ช่วยได้ด้วยการดื่มชาสมุนไพร เช่น ยี่หร่า, Anise, Sage หรือหากต้องการแค่ความอุ่นร้อนก็อมลูกอมสมุนไพรเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำลาย เนื่องจากน้ำลายมีเอนไซม์ เช่น Lysozyme ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ และสาร Flurbiprofen จะช่วยยับยั้งการอักเสบเมื่อรู้สึกเจ็บคอเวลากลืนน้ำลาย ดังนั้น จึงควรอมลูกอมสมุนไพรกระตุ้นน้ำลายทันทีเมื่อเริ่มมีอาการเพื่อซ่อมแซม เยื่อบุเมือกและป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ที่สำคัญคือควรหาผ้าพันคอไว้ เพราะความอุ่นจะช่วยให้เซลล์นักฆ่าเข้าไปในเยื่อบุเมือกได้เร็วขึ้น
4. มีไข้...ต้องไล่ด้วยเหงื่อ การเป็นไข้เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะการที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นก็เพื่อฆ่าเชื้อไวรัส และการที่มีเหงื่อออกตั้งแต่เริ่มเป็นหวัดหรือมีไข้ ก็อาจช่วยหยุดการติดเชื้อหวัดในชั่วข้ามคืน หากต้องการให้เหงื่อออก ก็ดื่มชาสมุนไพรอุ่นร้อน เพื่อขับเหงื่อวันละ 3 ครั้ง และการนอนหลับพักผ่อนก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่ถ้ามีไข้มากกว่า 39 องศาเซลเซียสเกิน 2 วัน ควรไปพบแพทย์
5. ช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงถ้ารักษาช้า ไม่จริงควรรีบรักษาทันทีเมื่อรู้สึกคันคอ แต่คนไข้ส่วนใหญ่ มักเริ่มรักษาช้าเกินไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราต้องหยุดเชื้อไวรัสไม่ให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น หากร่างกายยังมีแรงทำงานซ่อมแซมตัวเอง การแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนเมื่อเป็นหวัดก็คือ ให้กินวิตามินซีขนาด 1-2 กรัม สังกะสี 60 มล. และซีลีเนียม 200 ไมโครกรัม เป็นเวลา 2-4 วัน
6. คนที่มีความสุข ไม่ค่อยไอ ถูกต้อง เพราะความหวาดกลัวหรือความรู้สึกยินดีมีผลต่อกระบวนการชีวเคมีของมนุษย์ ซึ่งมีผลกับจำนวนเซลล์นักฆ่าและแอนตี้บอดี้ โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบภูมิคุ้มกันชาวเยอรมันกล่าวว่า ความเศร้าโศกเสียใจ ท้อแท้ หรือความเครียดเรื้อรัง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และจากการศึกษาของมหาวิทยาลัย Pittsburgh ในประเทศเยอรมนีพบว่า ความเครียดที่เกิดจากปัญหาครอบครัวหรือการตกงานเป็นสาเหตุที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหวัดมากที่สุดและยังทำให้กลไกของร่างกายทำงานผิดปกติด้วย โดยปกติคนที่ติดเชื้อมักอารมณ์เสียและอยากอยู่ตามลำพัง ซึ่งธรรมชาติเป็นใจให้อยากอยู่คนเดียวเพื่อจะได้ไม่แพร่เชื้อโรคไปติดคนอื่น
7. ทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ไม่จริง คนที่อายุน้อยและมีสุขภาพแข็งแรงดีก็สามารถประหยัดเงินได้ แต่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอ็นซ่า หรือผู้ป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวานหรือโรคหัวใจ และหลอดเลือดก็ควรฉีดวัคซีน และควรฉีดทุกปี เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลง
8. เป็นหวัด...แพร่เชื้อได้จนถึงวันสุดท้าย ใช่แล้ว สาเหตุของโรคหวัดส่วนใหญ่มาจากเชื้อไวรัส Rhino ซึ่งจะดอดเข้ามาบริเวณทางเดินหายใจและใช้เวลาสองสัปดาห์หลังจากเริ่มติดเชื้อและแสดงอาการให้เห็นที่เยื่อบุจมูกและก่อนที่จะสังเกตได้ว่าเป็นหวัดแสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้มากที่สุด
9. สเปรย์พ่นจมูก..อันตราย ความจริงก็คือยาหยอดจมูกหรือสเปรย์ที่มีสาร Xylometazolin และ Oxymetozoline สามารถใช้ได้ เพราะจะช่วยลดอาการคัดจมูก ทั้งนี้ การสูดอากาศหายใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มิเช่นนั้นโพรงอากาศรอบจมูกและหูชั้นกลางจะอักเสบ ที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้ยาเกินหนึ่งสัปดาห์ เหตุที่ยาพ่นจมูกมีชื่อเสียงไม่ดีก็เนื่องมาจากหากใช้เป็นเวลานานเกินไปก็จะทำลายเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูกเรื้อรังอีกทางเลือกหนึ่งที่อ่อนโยนก็คือ การใช้สเปรย์น้ำเกลือ ซึ่งจะช่วยให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น และช่วยซ่อมแซมจมูก หรือใช้สเปรย์พ่นจมูกที่มีสาร Duphorbia
10. เราสามารถหนีไวรัสหวัดได้ ใช่ หากเราพยายามและโชคดีเราก็สามารถหลีกหนีไวรัสหวัดได้การลดการติดเชื้อก็คือ หากอยู่ในที่แออัด เช่น ในรถเมล์ โรงภาพยนตร์ ในโรงพยาบาล หรือคลินิกก็ไม่ควรหายใจทางปาก แต่ให้หายใจทางจมูก เพราะขนจมูกจะดักจับเชื้อไวรัส นอกจากนี้ เชื้อหวัดอาจติดอยู่ตามลูกบิดประตู โทรศัพท์ ปุ่มกดลิฟต์ ฯลฯ หรือเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งมีเชื้อไวรัสที่มองไม่เห็นเกาะอยู่ เนื่องจากเชื้อไวรัสหวัดสามารถชีวิตอยู่ได้นานหลายชั่วโมง หากมีไวรัสหวัดแค่ 10-20 ตัวก็เพียงพอที่จะทำให้ติดเชื้อได้ ข้อแนะนำก็คือ ควรล้างมือวันละหลายๆ ครั้ง หรือใช้ครีมทามือฆ่าเชื้อโรค
11. เป็นหวัด ห้ามออกกำลังกาย ไม่จริง หากไอหรือมีน้ำมูกไม่มากก็ออกกำลังกายโดยไม่หักโหมได้ แต่หลังออกกำลังกายต้องอาบน้ำอุ่นเพราะมันจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายทำการรักษาตนเอง แต่ถ้ารู้สึกป่วยมาก ต่อน้ำเหลืองบวมหรือมีไข้ก็ไม่ควรออกกำลังกาย แต่หากเริ่มเป็นหวัด ก็ให้ออกกำลังกายช้าๆ ใช้ความเร็วแค่ครึ่งหนึ่งจากที่เคยออกำลังก็พอ
12. ซุปไก่...ช่วยต้านหวัด ซุปไก่เป็นยาพื้นบ้าน (ควรเป็นไก่ปลอดสารเร่งการเจริญเติบโต) โบราณของชาวเยอรมัน เนื่องจากไก่มีสารหลากหลายชนิด เช่น สังกะสี ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสหวัดเพิ่มจำนวนมากขึ้น หรือโปรตีน Cysteine จากไก่จะช่วยยับยั้งการอักเสบ ส่วนพริกหรือขิงก็มีประสิทธิภาพในการเยียวยามากขึ้น
13. หายหวัดแล้ว...ก็จะไม่ติดหวัดอีก ไม่จริง หากหายจากโรคหวัด ก็สามารถเป็นหวัดได้อีก เพราะมีไวรัสมากกว่า 200 ชนิดที่มีส่วนทำให้เป็นหวัดได้ ดังนั้น ในทางทฤษฏี เป็นหวัดแล้วก็สามารถติดเชื้อหวัดได้อีก แต่เกราะที่จะป้องกันการติดเชื้อหวัดซ้ำก็คือการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
คุณเป็นหวัดเรื้อรังหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นหวัดคัดจมูกมากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วไม่หายก็อาจเกิดจากไซนัสอักเสบ แบบทดสอบนี้จะบอกว่าคุณเป็นไซนัสอักเสบหรือไม่ โดยตอบว่าใช่หรือไม่ใช่
1. น้ำมูกมีสีเหลือง
2. คุณปวดศีรษะอยู่
3. คุณปวดต้นคอหรือปวดฟันบ่อย
4.เวลาคุณก้ม จะรู้สึกมีแรงดันที่ตาหรือแก้ม
5.คุณมักมีอาการปวดเวลากลางวัน
6.คุณเหนื่อยหรือไม่มีแรงเรื้อรัง
7.ไม่ค่อยรู้รสอาหาร
ถ้าคุณตอบว่า ใช่ มากข้อเท่าไหร่ ก็แสดงว่าคุณมีอาการอักเสบที่โพรงจมูก หากมีน้ำมูกข้นๆ ก็อาจช่วยได้ด้วยการใช้น้ำเกลือล้างจมูกร่วมกับการดื่มน้ำ หรือน้ำชาวันละ 2 ลิตร หากไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์

น้ำผลไม้ห่างไกลไข้หวัด

น้ำผลไม้ห่างไกลไข้หวัด (เดลินิวส์)
การทานน้ำผลไม้ นอกจากจะให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถทำให้ห่างไกลไข้หวัดได้อีกด้วย
วิธีการกินผลไม้ให้ได้วิตามินสูง เพียงนำมาคั้นน้ำแล้วผสมรวมกันให้ได้รสดี เลือกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน วิตามินสูง กลิ่นหอม อย่างเช่นส้มเขียวหวาน มีวิตามินเอมากถึง 4,000 หน่วยสากล วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันไข้หวัด ส่วนสตรอเบอรี่ จะอุดมไปด้วยวิตามินซีและมีสารต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
ส่วนองุ่นจะช่วยทำให้สดชื่น เร่งการเผาผลาญ ช่วยล้างและสร้างเม็ดเลือด ช่วยกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ และลูกพีช จะมีวิตามินซีและไนอะซิน ย่อยง่าย เป็นยาระบายอ่อน ๆ เมื่อคั้นแล้วควรดื่มทันทีจึงจะได้คุณค่าอาหารมากที่สุด

5 อาหารป้องกันหวัด


5 อาหารป้องกันหวัด (First Magazine)
อาหาร 5 ชนิดที่อาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันหรือลดความรุนแรงของหวัด มีดังนี้
1. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
2. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัด จะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสด ๆ วันละ 1-2 กลีบก็ได้
3. ดื่มน้ำมาก ๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่น ๆ จะช่วยลดเสมหะได้
4. ซุปไก่ร้อน ๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลาย ๆ สี เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นเคี่ยวนาน ๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย
5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น

โรคเกาต์ โรคปวดข้อที่ป้องกันได้

โรคเกาต์เกาต์ ...โรคปวดข้อที่ป้องกันได้ (ดาราเดลี่)

เมื่อประมาณ 2,500 ปี ก่อน ฮิปโปเครตีส บิดาแห่งวงการแพทย์สากล ได้พูดถึงโรคๆ หนึ่ง ที่มีอาการปวดตามข้อ โดยเฉพาะหัวแม่เท้า ว่า โรคเกาต์ ซึ่งโรคนี้ตั้งชื่อตามภาษาลาติน “Gutta” หมายถึง การอักเสบบริเวณข้อ เริ่มต้นรู้จัก อะไรคือ โรคเกาต์

หากเราจะกล่าวถึง โรคเกาต์ อย่างน้อยที่สุดเราจำเป็นต้องรู้ว่า โรคเกาต์ เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มโรคไขข้ออักเสบ (Arthritis) ซี่งมีโรคอื่นๆ ในกลุ่มคือ ข้อเสื่อม รูมาทอยด์ ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ เป็นต้น

ส่วนอาการของ โรคเกาต์ มักจะเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นฉับพลัน ถ้าปวดครั้งแรกมักจะเป็นข้อเดียว แต่ถ้าปล่อยไว้นานเกินไป จากข้อเดียวจะลามเป็น 2 และ 3 ข้อ ต่อไป โดยในช่วงแรกๆ มักจะเกิดที่นิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า คนที่เป็นข้อมักจะบวม และเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง โดยระยะแรก อาการ โรคเกาต์ จะเป็นอยู่ไม่กี่วันแล้วหายไปเอง และกำเริบที่ข้อเดิมทุก 1-2 ปี แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเดือนละหลายครั้ง อาการปวดมักเริ่มตอนกลางคืน หรือหลังดื่มแอลกอฮอล์ คนที่เป็นมากอาจมีผลต่อสุขภาพจิตด้วย

ในรายที่เป็น โรคเกาต์ เรื้อรังอาจมีตุ่ม ก้อน ขึ้นตามเนื้อตามตัว เราเรียกตุ่มนั้นว่า ตุ่มโทไฟ (Tophi) บางครั้งตุ่มก้อนนั้นอาจแตก แล้วมีสารเหมือนแป้งเปียกไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า แล้วในที่สุดข้อต่างๆ จะค่อยๆ พิการจนใช้งานไม่ได้

โดยอัตราความเสี่ยงที่จะเป็น โรคเกาต์ พบว่าผู้ชายมีโอกาสเป็น โรคเกาต์ ได้มากกว่าผู้หญิง ประมาณร้อยละ 90 และมักเป็นเมื่ออายุสูงกว่า 40 ขึ้นไป สำหรับผู้หญิงมักจะเป็น โรคเกาต์ ช่วงหลังหมดประจำเดือนแล้ว

ส่วนอาการแทรกซ้อนที่มักจะเกิดร่วมด้วยกับ โรคเกาต์ หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วย โรคเกาต์ มักจะมีอาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และภาวะไตวาย เรียนรู้สาเหตุ โรคเกาต์ กันเถอะ

โรคเกาต์ เป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของ กรดยูริก ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการย่อยสลายของสาร เพียวริน (Purine) ที่มีมากในเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ปลาหมึก หอย ปู หรือปลาตัวเล็กที่กินทั้งกระดูก เช่น ปลาไส้ตัน ปลาซาดีนกระป๋อง นอกจากนี้ยังมีอยู่ในผักยอดอ่อนบางประเภทด้วย เช่น เห็ด กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก สะตอ เป็นต้น

โดยปกติแล้ว คนที่เป็น โรคเกาต์ มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของกรรมพันธุ์ จากการสำรวจผู้ป่วย โรคเกาต์ พบว่า มักมีคนในครอบครัวเป็น โรคเกาต์ ร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น หากใครรู้ว่าคนในครอบครัวมีประวัติการเป็น โรคเกาต์ ก็ควรระวังในเรื่องการกินอาหารเป็นพิเศษ เพราะในคนปกติทั่วไป หากกินเนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ และผักยอดอ่อนประเภทที่กล่าวมาแล้วในปริมาณมาก ร่างกายจะมีการสร้างกรดยูริกมากขึ้น แต่ก็สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกทางไตได้

ส่วนคนที่เป็น โรคเกาต์ หากกินอาหารที่มีสารเพียวรินมาก ร่างกายจะสร้างกรดยูริกขึ้นมา แต่ไม่สามารถขับออกได้หมด จึงมีการสะสมกรดยูริกส่วนเกินไว้ในร่างกาย แล้วตกตะกอนอยู่ตามข้อ ตามผนังหลอดเลือด ในไต อวัยวะต่างๆ และทำให้เป็น โรคเกาต์ ขึ้นได้

นอกเหนือจากการกินอาหารที่มีเพียวรินเยอะแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิด โรคเกาต์ ด้วย เช่น อาการบาดเจ็บจากการกระแทกบ่อยๆ การบริโภคแอลกอฮอล์ อากาศเย็น และผลข้างเคียงจากยา เช่น แอสไพริน ยารักษาวัณโรค ยาขับปัสสาวะ อาหารสำหรับผู้ป่วย โรคเกาต์

เนื่องจาก โรคเกาต์ เป็นโรคที่มีลักษณะเรื้อรัง รักษาให้หายได้ยาก ดังนั้น ผู้ที่เป็น โรคเกาต์ จำเป็นต้องดูแลสุขภาพของตนเอง ผู้ที่เป็น โรคเกาต์ นั้น ควรลดอาหารที่ก่อให้เกิดกรดยูริกมาก ดังนั้น อาหารสำหรับผู้ป่วย โรคเกาต์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เราจึงเสนออาหารในแนวชีวจิตมาให้ท่านได้ลองปฏิบัติกัน คาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง ต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์ ยังไม่ได้ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง ข้าวซ้อมมือ ถ้าเป็นขนมปังขอให้เป็นขนมปังโฮลวีท โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ต้องรับประทาน คือ 50 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ

ผัก มีทั้งผักสด และผักสุก คนที่เป็น โรคเกาต์ สามารถเลือกผัก ที่ไม่ก่อให้เกิดกรดยูริกตกค้างในกระแสเลือดมากเกินไปได้ โดยปริมาณผักที่เราจะรับประทานคือ 25 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ

โปรตีน แม้คนที่เป็น โรคเกาต์ จะไม่สามารถรับประทานอาหารประเภทโปรตีนได้มาก แต่ก็มีโปรตีนบางประเภทที่สามารถกินได้ เช่น เนื้อปลา โดยปริมาณที่รับประทานคือ 15 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ อย่างไรก็ตามเรากินสักอาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง ก็ดีเหมือนกัน เพื่อให้ร่างกายปรับอยู่ในระดับสมดุลได้ดี ถึงอย่างนั้นผู้ป่วย โรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว เป็นต้น เพราะถั่วเหล่านี้มีสารเพียวรีนสูง

ในหมวดเบ็ดเตล็ด ก็ให้เน้นในเรื่องผลไม้ต่างๆ เช่น มะละกอ ฝรั่ง พุทรา ผลไม้แห้ง และสาหร่ายทะเล โดยปริมาณรวมกันแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ

ทั้งนี้ คนที่เป็น โรคเกาต์ แม้จะมีอาการปวดตามข้อต่างๆ เราก็ควรจะออกกำลังกายเสริมด้วย ด้วยการออกกำลังกายง่ายๆ ที่ไม่กระทบข้อที่ปวดมากนัก แต่หากท่านใดมีอาการดีขึ้นแล้ว การรำตะบอง ซึ่งเป็นรูปแบบการออกกำลังกายในแนวชีวจิต ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นการบริหารกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมประสาท ซึ่งเมื่อประกอบกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้องแล้ว จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี

อย่างไรก็ตาม โรคเกาต์ สามารถเกิดขึ้นได้ไม่เฉพาะผู้สูงอายุ แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ดังนั้นระวังสักนิดก่อนจะบริโภคอะไร

นั่งนอนดูทีวี เสี่ยงโรคหัวใจ-มะเร็งเพิ่มขึ้น


ทีวีทอนชีวิตให้สั้นลง นั่งนอนดูเสี่ยงกับโรคหัวใจและมะเร็งมากขึ้น (ไทยรัฐ)
นักวิจัยออสเตรเลียค้นคว้าศึกษาถึงแบบอย่างการใช้ชีวิตพบว่า โทรทัศน์สามารถคร่าชีวิตคนเราให้สั้นลงได้อย่างน่ากลัว โดยชั่วเวลาการนั่งดูนอนดูโทรทัศน์แต่ละชั่วโมง จะทำให้เสี่ยงกับโรคหัวใจสูงขึ้นร้อยละ 18 และเสี่ยงกับโรคมะเร็งร้อยละ 9...
ผลการศึกษาระบุว่า เมื่อคิดโดยรวมแล้ว การดูทีวีแต่ละชั่วโมง ทำให้เสี่ยงกับความตายได้มากถึงร้อยละ 11 ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่การอยู่แต่หน้าจอแก้วเท่านั้น หากยังรวมถึงงานที่นั่ง ๆ นอน ๆ อื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น การนั่งอยู่กับโต๊ะ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็บั่นทอนสุขภาพได้พอ ๆ กัน
คณะนักวิจัยของสถาบันโรคหัวใจและเบาหวาน ที่รัฐวิกตอเรีย ในออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาจากผู้คนที่มีอายุเลยเบญจเพส และยังไม่เป็นโรคหัวใจ เกือบ 8,800 คน ได้พบว่าเวลาในการชมโทรทัศน์ มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยตรง และอย่างจัง ในขณะที่ความเกี่ยวพันกับโรคมะเร็งยังเบาบางน้อยกว่ากัน

สีเขียวบำบัด



.สีเขียวบำบัด (Lisa)

สีเขียวขึ้นชื่อว่าเป็นสีแห่งความหวัง เพราะเมื่อสายตาของเราสัมผัสกับสีเขียวก็จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น เพิ่มพลังใหม่ๆ ให้ชีวิต และทำให้เกิดความเชื่อมั่น ประโยชน์ของสีเขียว

สีเขียวเป็นสีที่มีความเป็นกลาง เป็นสัญลักษณ์ของความสมดุลและความคล้องจอง นอกจากนี้ สีเขียวยังเป็นสีบำบัดในแง่ที่ว่ามันช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ช่วยฟื้นฟู และสะสมพลัง คนจึงนำสีเขียวมาเป็นสีบำบัดเพื่อลดอาการว้าวุ่น สับสน จิตใจแปรปรวน และให้ความรู้สึกใหม่ๆ กับชีวิต จึงมีการนำสีเขียวมาใช้บำบัดกับผู้ป่วยที่มีซีสต์ เนื้องอก โรคตา เบาหวาน และไอหอบ เพราะสีเขียวช่วยให้ร่างกายส่วนล่างมีความสมดุลปลอบประโลมให้จิตใจสงบและกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดี ช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนมากขึ้น และช่วยให้ระบบประสาททำงานมีประสิทธิภาพ

สีเขียวดีกับหัวใจ

การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยให้สุขภาพดี นอกจากนี้ นักวิจัยชาวสกอตแลนด์ยังค้นพบว่า นักมังสวิรัติมีเลือดที่มีกรด Acetyl สูงกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ ซึ่ง Acetyl เปรียบเสมือนยาแอสไพริน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มีมากในผักบร็อกโคลี่ พริกหวาน แตงกวา แอปเปิ้ล และลูกพลัม

สีเขียวบอกนิสัย

คนที่ชอบสีเขียวมากที่สุดมักเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ขยันอดทน และเชื่อถือได้พวกเขาจะทำทุกอย่างที่รับผิดชอบ มีความพยายามและมุ่งมั่นกับการงาน แต่บางครั้งพวกเขาก็เป็นคนดื้อรั้นและชักจูงยาก

ให้พลัง

หากสายตาหรือผิวได้สัมผัสแสงสีเขียวจะช่วยเติมพลังความสดชื่นให้ร่างกายและจิตใจอย่างอัตโนมัติ ดังนั้น นักจิตวิทยาและนักบำบัดด้วยสีจึงใช้สีเขียวบำบัดผู้ที่มีจิตใจเหนื่อยล้าและเครียด จึงน่าจะเป็นความคิดที่ดีในการนำสีเขียวมาผ่อนคลายตัวเอง เช่น ใช้สีเขียวตกแต่งบ้าน (หมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าปูโต๊ะ หรือท่าผนังสีเขียว)

ป่วยเพราะรีบ

ป่วยเพราะรีบ (Lisa)

ขณะนี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการประกาศอาการป่วยประเภทใหม่ล่าสุด ในยุคศตวรรษที่ 21 ชื่อว่า Time Urgency Impatience (TUI) Sickness หรือแปลเป็นไทยได้ว่า โรครีบเป็นเหตุ จริง ๆ แล้วโรคนี้ ถือกำเนิดมาตั้งแต่สังคมเมืองและเศรษฐกิจประเภททุนนิยมก่อตัวขึ้น แต่เพิ่งจะถูกค้นพบตีทะเบียนโดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น อาการทนรอไม่เป็น หรือรีบประจำนี้เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ความโลหิตถีบตัวสูงปรี๊ด ขึ้นเป็นสองเท่าในทันใด อันจะทำให้เกิดอาการหัวใจวายเอาง่าย ๆ นักวิจัยพบว่าอาการป่วยนี้มักพบในสตรีอเมริกันผิวขาว และมีการศึกษาดี

ปัจจัยในการบ่งชี้อาการป่วยนี้มีดังต่อไปนี้ หงุดหงิดเมื่อต้องรออะไรบางอย่าง เคี้ยวอาหารสั้น ๆ แล้วกลืนหรือรับประทานอาหารเสร็จในเวลาอันสั้น รู้สึกกดดันในเรื่องเวลาเสมอไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เครียดมาก ๆ กับเรื่องเวลาเมื่อวันแต่ละวันกำลังจะจบลง

สำหรับทางแก้ไข นักวิจัยยังกำลังค้นหาอยู่อย่างขะมักเขม้น แต่เราขอแนะนำให้คุณ ๆ ที่มีลักษณะนิสัยดังกล่าวให้ไปเดินออกกำลังากายซักครึ่งชั่วโมง หรือทำสมาธิเพียง 20 นาทีก็พอช่วยได้ ที่สำคัญอย่าปล่อยให้เวลาเป็นนายของคุณเสมอไปเท่านั้นเอง

ปรับสมดุลให้สุขภาพ

ปรับสมดุลให้สุขภาพ (Health plus)

ได้เวลาสุขภาพดีกันอีกแล้ว ด้วยหลักการแพทย์แผนจีนโบราณที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เจนนิเฟอร์ ฮาร์เปอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด (Naturopathic Healing) บอก

ตามหลักการแพทย์แผนจีนโบราณระบุว่า ฤดูกาลแต่ละฤดูมีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพที่ต่างกันไป บ้านเราเป็นเมืองร้อน หน้าร้อนจึงยาวนานกว่าทุกฤดู และเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับความร้อนส่วนเกินในร่างกาย เช่น เป็นไข้ นอนไม่หลับ และการสูญเสียน้ำ อวัยวะของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับหน้าร้อนคือ หัวใจและลำไส้เล็ก โรคเหล่านี้จะกำเริบขึ้น หากร่างกายมีความร้อนส่วนเกิน ซึ่งนำไปสู่ความเครียดและโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารและปัจจัยที่ทำให้เกิดความร้อน การทานอาหารเบาๆ และเย็น จะช่วยปรับสมดุลร่างกายทานผัก

รสชาติที่สัมพันธ์กับหน้าร้อนคือ รสขม ดังนั้นจึงควรทานผักใบเขียวมากๆ ซึ่งอุดมด้วยเกลือแร่ แคลเซียม ซิลิคอน และแมกนีเซียม เชื่อกันว่าผักช่วยระงับธาตุไฟในร่างกาย รสขมมีคุณสมบัติเด่นในการล้างพิษ ผักสลัดฝรั่งเป็นอาหารชั้นยอด อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยล้างสิ่งสกปรกในเลือด และเนื่องจากเป็นผักที่มีน้ำมาก จึงช่วยขับปัสสาวะ หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดเขียว ผักชีฝรั่ง และแดนดิไลอัน ก็เป็นอีกทางเลือดที่ดี ทานสลัดจานเล็กๆเป็นเครื่องเคียงคู่กับอาหารจานหลัก ก็เป็นวิธีที่ดีที่ช่วยให้คุณได้ทานอะไรที่เขียวและสดทุกวันสุดยอดผลไม้

เบอร์รี่ เช่น เรดเคอร์แรนท์ , สตรอว์เบอร์รี่ , แบล็กเคอร์แรนท์ , ราสป์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ มีวิตามินแอนตี้ออกชิแดนท์ช่วยกำจัดสารพิษและฟลาโวนอยด์ เสริมสร้างภูมิต้านทาน ทำให้ผิวเนียนเรียบและกระชับ ทานเบอร์รี่ราดโยเกิร์ตรสธรรมชาติวันละชาม เป็นของหวานเพื่อสุขภาพแสนอร่อยนวดกดจุดให้สมองแจ่มใส

จุดฝังเข็มที่สัมพันธ์กับลำไส้เล็กอยู่ตรงขอบด้านนอกของมือ ประมาณ 1 นิ้วมือวัดจากฐานนิ้วก้อย อยู่ใต้ข้อต่อลงไป ใช้นิ้วมือข้างหนึ่งประคองข้อมืออีกด้านเอาไว้ แล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้กดที่จุดดังกล่าวให้แน่นนาน 1 นาที จะช่วยไล่ความชื้นส่วนเกินในลำไส้เล็ก ทำให้สมองปลอดโปร่งสมุนไพรช่วยได้ ชาคาโมไมล์และชาสะระแหน่ช่วยกำจัดความร้อนส่วนเกินออกจากร่างกายและลดอาการปวดเกร็ง หากมีอาการท้องอืดหลังทานอาหาร ให้เคี้ยวเมล็ดยี่หร่า เพื่อลดอาการท้องบวม กระเทียมช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่ดีในลำไส้เล็ก จึงควรเติมกระเทียมในอาหารมากๆ เพื่อบรรเทาความผิดปกติที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องผูกกลิ่นหอมจรุงใจ

น้ำมันหอมระเหยมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบและล้างพิษเหมาะเป็นอย่างยิ่ง เติมในน้ำอุ่นสำหรับอาบ 2-3 หยด หรือหยดในตะเกียงน้ำมันหอมระเหย แล้ววางไว้ในห้องนอน จะช่วยให้จิตใจเย็นสบายและผ่อนคลาย ลองน้ำมันหอมระเหยกลิ่นสวีทออเรนจ์ที่หอมเย้ายวน กลิ่นมาร์โจแรน(marjoram) ช่วยให้รู้สึกสุขุมเยือกเย็น กลิ่นคาโมไมล์ ช่วยผ่อนคลาย และกลิ่นไซเพรสช่วยล้างพิษนวดหน้าท้อง

ช่องท้องที่แข็งแรงควรรู้สึกนุ่มเรียบสม่ำเสมอ เคลื่อนไหวแผ่วๆ เวลาใช้มือกดเบาๆ แต่ถ้าช่องท้องเต็มไปด้วยสารพิษ คุณจะรู้สึกท้องอืด หน้าท้องไม่กระชับ นวดเบาๆ บริเวณท้องน้อยจะช่วยบรรเทาอาการอึดอัดและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น วิธีนวดง่ายๆ คือให้ใช้มือลูบเบาๆ บนท้องน้อย กดเบาๆ บริเวณที่รู้สึกแน่น

อาหารเช้าช่วยลดความอ้วน และบำรุงหัวใจ

อาหารเช้าช่วยลดความอ้วน และบำรุงหัวใจ (Lisa)

ดร.สิติมา จิตตินันทน์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัย มหิดล เน้นถึงอาหารเช้าว่า มีความสำคัญต่อสุขภาพและช่วยลดความอ้วนได้ เพราะกลไกของร่างกายควบคุมปริมาณการกินในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น

ถ้าอดอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะร่างกายอดอาหารมาประมาณ 10-12 ชม. กว่าจะถึงมื้อเช้า ดังนั้น หากงดอาหารเช้า จะทำให้แนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น จนเป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วน

นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 ยังพบว่าการกินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจด้วย

24 ม.ค. 2553

Palio เขาใหญ่ แหล่งสุดฮิปของคนอินเทรนด์


ทำไมรู้สึกว่าร่างกายมันอ่อนล้าอ่อนแรงจริง ๆ สงสัยคงต้องไปเติมพลังให้ตัวเองซะหน่อย ... แหม จะไปชาร์ตแบตให้ร่างกายทั้งที ก็ต้องไปแบบอิ่มตาอิ่มใจกันซะหน่อยดีกว่า อะ ๆ อะไรมันจะเข้าทางพอดิบพอดีขนาดนี้ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปยลโฉม "Palio เขาใหญ่" สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิปแหล่งใหม่ของคนอินเทรนด์ ที่ต่อยอดมาจาก Primo Posto (พรีโม พอสโต) หลังจากชื่อ Primo Posto ติดหูและติดตานักท่องเที่ยวกันไปแล้ว ... มาเลย ๆ ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ไปโลดแล่น ตื่นตาตื่นใจกับรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรป คล้าย ๆ Little Italy ที่ "Palio เขาใหญ่" กันดีกว่า...










Palio หรือ ปาลิโอ ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ก้าวแรกที่ได้ไปสัมผัส Palio เขาใหญ่ แอบคิดในใจเล่นว่า "นี่เราข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงประเทศอิตาลีเลยเหรอเนี่ย" ก็แหม บรรยากาศมันพาไปจริง ๆ ประหนึ่งว่ากำลังเดินอยู่กลางกรุงโรม ^_^ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาคารถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารถนนคนเดิน หรือสถาปัตยกรรมยุโรปโบราณแนวอิตาเลี่ยนสไตล์ที่รายล้อม แถมคำว่า Palio ยังเป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง "รางวัล" อีกด้วย



และถ้าเดินลั้ลลาสำรวจไปเรื่อยจะพบว่า ภายใน Palio เขาใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันประมาณ 120 ร้าน มีสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่น, เครื่องประดับ, เครื่องเสียง, งานดีไซน์ต่าง ๆ, ธนาคาร, ร้านขายของที่ระลึก, พืชผักปลอดสารพิษ ร้านไวน์ Coffee Shop, Pub & Restaurant, Bakery ร้านเสริมสวย Spa ร้านขายยา ร้านขายหนังสือ ศูนย์อาหาร ร้าน IT ฯลฯ โดยแต่ละร้านจะได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ และเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่กลมกลืนเข้าภูมิทัศน์ล้อมรอบที่ดำรงความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่















อีกทั้งยังมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ สวนหย่อม น้ำพุ ลานอเนกประสงค์สำหรับจัดการแสดงหรือดนตรี ห้องแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ แต่ถ้าอยากเต็มอิ่มกับ Palio เขาใหญ่ แบบเน้น ๆ ที่นี่ก็มีบริการห้องพักแบบบูติคโฮเทล จำนวน 10 ห้อง บริการในรูปแบบ Bed & Breakfast (Palio B&B)
นั่นแน่ ๆ เริ่มอยากแวะเวียนไปสัมผัสบรรยากาศสไตล์อิตาเลี่ยนแบบนี้แล้วใช่มั้ยล่ะ ขอบอกว่าไปได้เลยค่ะ เพราะที่ Palio เขาใหญ่ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น.แถมยังไม่เสียค่าเข้าชม หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ อีกด้วย ทััั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 044-297-730, 044-297-731 โทรสาร: 044-297-741 e-mail: info@palio-khaoyai.com
และนี่ก็คือ Palio เขาใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวสุด Chic สมกับฉายา Little Italy จริง ๆ ว่ามั้ย ...

ทำความรู้จักกับ… มะเร็งกระดูก

"มะเร็ง" โรคร้ายที่เป็นสาเหตุการตายที่สำคัญในปัจจุบัน มะเร็งส่วนใหญ่สามารถบำบัดได้ และหลายชนิดที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะถ้าได้รับการบำบัดตั้งแต่เริ่มแรก... วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับ "มะเร็งกระดูก" มะเร็งที่พบได้น้อยมาก แต่ถ้าหากเป็นแล้ว อาการมักจะรุนแรงและกระจายไปสู่อวัยวะอื่นได้รวดเร็วมาก ส่วนใหญ่จะพบในคนอายุต่ำกว่า 35 ปี โดยเฉพาะในช่วงอายุ 10 - 20 ปี

ทั้งนี้ มะเร็งกระดูกถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ... "มะเร็งที่แพร่กระจายมาจากมะเร็งของอวัยวะอื่น" เช่น จากต่อมลูกหมาก เต้านม ไทรอยด์ ฯลฯ โดยมักเกิดที่กระดูกแบนๆ เช่น กระดูกเชิงกราน กระดูกซี่โครง กระดูกกระโหลกศีรษะ เป็นต้น และ "มะเร็งที่เกิดกับกระดูกโดยตรง" คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ของกระดูก ซึ่งพบได้น้อยกว่าชนิดแรก มักจะเป็นที่กระดูกของแขน ขา เป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยเกิดบริเวณกระดูกขากรรไกร สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งกระดูกนั้น เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ คือยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่มีสาเหตุบางประการซึ่งอาจเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดมะเร็งของกระดูกได้ เช่น กระดูกได้รับอันตรายจากการหกล้ม และผู้ที่ได้รับสารกัมมันตรังสีบางอย่าง เช่น เรเดียม สตรอนเซียม ก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งของกระดูกได้มากกว่าคนธรรมดา อาการ

จะพบว่ามีก้อนแข็งหรือปุ่มยื่นออกมาจากกระดูก ก้อนจะโตเร็ว ต่อมาจะมีอาการปวดร่วมด้วย บางรายมาด้วยอาการกระดูกหักแตกได้ง่ายจากการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย การวินิจฉัย

แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียด มักต้องอาศัยการเอ็กซเรย์ร่วมด้วย บางรายแพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดูทางพยาธิวิทยา เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ และวางแผนการรักษาต่อไป การรักษา

โดยทั่วไปอาศัยการผ่าตัดเป็นหลัก และอาจใช้การฉายแสงหรือยาเคมีบำบัดร่วมด้วยในบางกรณี ข้อพึงปฏิบัติ

มะเร็งกระดูก แม้พบได้น้อย แต่เมื่อเป็นแล้วจะมีความรุนแรงมาก ผู้ป่วยจะมีอาการทรุดอย่างรวดเร็ว การวินิจฉัยโรคเร็ว และให้การรักษาโดยฉับพลัน จึงเป็นหัวใจของความอยู่รอด ดังนั้น เมื่อความผิดปกติเกิดขึ้นแก่กระดูก เช่น มีก้อนเกิดขึ้นบริเวณแขน ขา กระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยเรียน ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว อย่าลังเลใจ เพื่อแพทย์จะได้แนะนำและให้การรักษาต่อไป

เวียนหัวบ้านหมุนเป็นเรื้อรัง ต้องหาสาเหตุ

เวียนหัวบ้านหมุนเป็นเรื้อรังต้องหาสาเหตุ (เดลินิวส์)

เวียนหัวบ้านหมุนเป็นอาการชนิดหนึ่งที่พบได้ทุกวัย มิใช่จะเกิดกับผู้สูงอายุเสมอไป เกิดกับใครจะมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานประจำก็ต้องหยุดงาน หากไปเกิดขณะเดินทางยิ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ขี่จักรยาน ขับรถยนต์ ว่ายน้ำ เดินลัดเลาะตามที่สูง ไหล่เขา ริมทะเล ล้วนทำให้เกิดอันตราย ถ้ากะทันหันมีคนช่วยเหลือไม่ทัน

เวียนหัวหรือเวียนศีรษะ กินความหมายกว้างมาก อาจเล็กน้อยเพียงมึนๆ งงๆ หนักศีรษะ ตัวเบา ลอย คล้ายจะล้ม ไปจนถึงอาการรุนแรงจริงๆ จะเกิดมีความรู้สึก 2 อย่าง อย่างแรกตัวเราอยู่นิ่ง แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเคลื่อนที่ หมุน หรืออีกแบบหนึ่ง ตัวเราเองรู้สึกว่ากำลังหมุน เคลื่อนที่ ในขณะที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวอยู่นิ่ง ทั้งสองแบบจะมึนหัวเวียนหัวหรือบ้านหมุนด้วยกันทั้งคู่

อวัยวะที่เกี่ยวข้อง อวัยวะที่จะทำให้เกิดการเวียนหัวคือ เรื่องของหู ตา และ ระบบ ประสาท จะส่งคลื่นมายังสมองเป็นศูนย์กลางการควบคุม ทั้ง 3 อย่างต้องทำงานด้วยกัน และเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย เช่น เวลาเรานั่งรถที่กำลังวิ่งแล้วอ่านหนังสือ คนที่หู ตา ประสาท มั่นคงจะไม่เป็นอะไร ผู้ที่อ่อนไหว ตาไม่ค่อยดี อ่านหนังสือขณะรถเคลื่อนที่ เขย่าอาจเวียนหัวได้ วิธีแก้คือหยุดอ่าน มองไกลเสีย ให้เคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน เวียนหัวจะหาย

ความหมายเวียนศีรษะ Virtigo จะหมายถึงเวียนหัวแบบมีการเคลื่อนไหว Dizziness เวียนหัวทั่วๆ ไป Light headedness เบาโหวงๆ, Unsteadyness ทรงตัวไม่ได้, Loss Balance ไม่สมดุล

นพ.วิรัช ทุ่งวชิรกุล แพทย์ทางโสต ศอ นาสิก หัวหน้างานโสตประสาท รพ.ราชวิถี หัวหน้าคือ นพ.เกียรติยศ โคมิน ผู้สนใจและมีประสบการณ์ทางด้านเวียนหัวมาก ไปศึกษาต่างประเทศเรื่องเวียนหัวมาเล่าให้ฟังว่า เวลาคนไข้ไปหาหมอ มีอาการเวียนหัวแล้วเล่าอาการต่างๆ ให้คุณหมอฟัง มักได้คำตอบจากคนไข้ว่า หมอเขาบอกว่าคงเกิดจากน้ำในหูไม่เท่ากัน คุณหมอวิรัชบอกว่า เวียนหัวจากน้ำในหูไม่เท่ากันนั้นเป็นไปได้ แต่จากประสบการณ์พบน้อยมากอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ อีกได้

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) ซักประวัติดูจะมีอาการหูอื้อ การได้ยินลดลง เวียนหัวหมุนเกิน 20 นาที แต่ไม่เกิน 2 ชม. มีลมออกหู ต้องเป็นข้างเดียวกับการสูญเสียการได้ยิน และข้างเดียวกับการทรงตัวด้วย สาเหตุที่น้ำไม่เท่ากันเพราะการดูดซึมกลับไม่เท่ากัน ยังลึกลับ พิสูจน์ไม่ได้ วิจัยกันมานานแล้วยังไม่สำเร็จว่ามาจากเหตุใด ใครที่เป็นแล้วครั้งเดียวหายจะไม่ใช่โรคนี้ โรคนี้ต้องเป็น 2 ครั้งขึ้นไป แล้วเป็นๆ หายๆ โอกาสที่จะเป็นโรคนี้จึงน้อยมาก พบเพียง 10%

สาเหตุจากอื่นๆ จากสมองราว 5% จากยาต่างๆ เช่น ยาฆ่าเชื้อ และที่พบบ่อยคือ โรคความดันโลหิตสูง พอสบายใจขึ้นความดันลดลง ความดันลงมากไปก็เกิดอาการเวียนหัวได้ ต้องฝึกวัดความดันไว้ ตรวจดูหรือปรึกษาแพทย์แล้วอาการเวียนหัวจะหายไป หินปูนหลุด ปกติหินปูนจะเกาะอยู่อวัยวะรับเสียงของหูด้านใน พออายุมากขึ้นหรือถูกกระทบกระเทือน จะหลุดเป็นชิ้นเล็กๆ ออกมาตกลงไปในท่อของรูหู ซึ่งมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ โรคนี้มักเป็นตอนตื่นนอน ลุกขึ้นเวียนหัวทันที แก้โดยให้นอนหัวสูงไว้ อยู่นิ่งๆ ไม่ก้มหัว ท่านี้เศษหินปูนจะกลับเข้าที่เดิม ด้านจิตใจ พบมากถึง 15% จึงต้องมองทางสุขภาพจิตเพิ่มอีก

ในภาพรวม โรคเวียนหัวบ้านหมุนจะเกี่ยวกับหูเพียง 50% เกี่ยวกับเรื่องนอกหูอีกครึ่งหนึ่ง จึงควรนึกถึงเรื่องนอกหูไว้ด้วย

การค้นหาสาเหตุ ผู้ที่เป็นซ้ำๆ เรื้อรังทรมานมาก ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ อย่าไปมุ่งฝังใจแต่เรื่องน้ำในหูไม่เท่ากัน เรื่องนอกหูยังมีอีก 50% เรื่องน้ำในหูไม่เท่ากันจะมีอาการนำให้รู้ก่อน เช่น หูอื้อ การได้ยินลดลง ลมออกหู ฯลฯ แก้ไขได้โดยลดอาหารพวกของเค็มจัด บุหรี่ กาแฟ ผงชูรส จะช่วยให้ทุเลาลงได้

ไมเกรน พบบ่อยจะปวดหัวตุบๆ และเวียนหัว เกิดจากเส้นเลือดหดตัว เวลากินยาขยายหลอดเลือดอาจจะหายชั่วคราว แต่ถ้านอน ให้เต็มอิ่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมง จะทุเลามากทีเดียว

โมชั่น ซิกเนส อาการเมารถ เมาเรือ อดนอน ทำให้เวียนหัวได้ บางรายยังเพิ่มคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก หน้าซีดด้วย ผมเคยเดินทางไปแม่ฮ่องสอนทางรถยนต์ เลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายโค้งมากมาย คนในรถเวียนหัวฟุบไปตามๆ กัน นั่งเรือ กลางทะเลคลื่นแรงๆ ก็เช่นกัน พอเหตุการณ์ผ่านไปร่างกายจะปรับตัวได้ หายไปเอง ใครที่รู้ตัวรู้ว่าจะเมาเรือเมารถ กินยาไว้ล่วงหน้าก่อนก็ทำให้ทุเลาลง ไปเที่ยวได้สนุกสมใจ

เวียนหัวบ้านหมุนเป็นอาการอย่างหนึ่งเป็นซ้ำๆ เรื้อรังจะทรมานมาก จึงควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุดู ขอขอบคุณเอกสารความรู้เรื่องเวียนหัวของ พญ.กิ่งกาญจน์ เติมสิริ ด้วย

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคฮิตสาวเวิร์กกิ้ง

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ" โรคยอดฮิตของสาวเวิร์กกิ้ง (Woman Plus)

สาว ๆ ที่นั่งทำงานนาน ๆ จนบางครั้งก็ลืมไปเข้าห้องน้ำ ทำให้ต้องอั้นปัสสาวะเป็นประจำ หรือบางทีก็ต้องเดินทางไกล ทำให้ไม่สามารถเข้าห้องน้ำได้ ระวังให้ดีล่ะ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะถามหาเอาได้นะคะ หากสาว ๆ คนไหนที่กำลังผจญกับอาการอย่างที่กล่าวมานี้ WP มีคำแนะนำง่าย ๆ เพื่อให้พ้นจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนี้มาฝากกันค่ะ แต่ก่อนอื่น ต้องมาเริ่มทำความรู้จักกับลักษณะทั่วไปของโรคนี้กันก่อนอย่างไหนถึงเรียกว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ส่วนมากจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในลำไส้ของเรา โดยเข้าไปทางท่อปัสสาวะ โรคนี้พบมากในผู้หญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงทั้งสั้นและอยู่ใกล้ทวารหนัก ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมของเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคเข้าทางท่อปัสสาวะของผู้หญิง ได้ง่ายกว่าผู้ชายค่ะฮฺิตมากในหมู่ผู้หญิง

ผู้หญิงแทบทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ แต่จะพบมากในผู้หญิงมีครรภ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์) หรือผู้หญิงที่ชอบอั้นปัสสาวะนาน ๆ เป็นประจำ บางครั้งอาจพบเป็นโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยเบาหวาน นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต

นอกจากนี้ ผู้หญิงที่แต่งงานใหม่ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ เนื่องจากหลังร่วมเพศอาจมีอาการขัดเบาแบบกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งแพทย์เรียกว่า โรคฮันนีมูน (Honeymoon’s Cystitis) สาเหตุเกิดจากการฟกช้ำจากการร่วมเพศ แล้วทำให้มีอาการอักเสบของท่อปัสสาวะ ส่วนผู้ชายนั้นมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยมาก ซึ่งถ้าพบก็มักจะมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมลูกหมากโต หรือมีก้อนเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ หรือมีความผิดปกติทางโครงสร้างของทางเดินปัสสาวะอาการเป็นอย่างไร

สาว ๆ คนไหนมีอาการปัสสาวะกะปริดกะปรอยและปัสสาวะบ่อยครั้ง รู้สึกปวดขัดหรือแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ บางครั้งอาจมีอาการปวดที่ท้องน้อยร่วมด้วย หรือสังเกตพบว่าปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีมักจะใส แต่บางคนอาจขุ่นหรือมีเลือดปน ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นหลังอั้นปัสสาวะนาน ๆ หรือหลังร่วมเพศ แต่โรคนี้มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่บางคนอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นเรื้อรัง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคอาจลุกลามทำให้กลายเป็นโรคกรวยไตอักเสบได้ค่ะเป็นแล้วต้องทำอย่างไร

เริ่มแรก ขณะที่มีอาการแสดง ควรดื่มน้ำมาก ๆ และไม่ควร อั้นปัสสาวะ แต่ถ้าปวดมาก ให้กินยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ เช่น โคไตรม็อกซาโซล 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง อะม็อกซีซิลลิน 500 มก. ทุก 8 ชั่วโมง หรือนอร์ฟล็อกซาซิน 400 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน

ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นซ้ำมากกว่า 2-3 ครั้ง ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุโดยการตรวจปัสสาวะ เพื่อนำปัสสาวะไปเพาะหาเชื้อ เอกซเรย์ หรือใช้กล้องส่องตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ (Cystoscope) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ

6 วิธีทำดีกับร่างกายของคุณ

เราอาจใช้เวลาค่อนวันเพื่อพิจารณาว่า "ฉันดูดีรึยัง?" แต่เคยสงสัยรึเปล่าว่า กว่าจะเริ่ดได้ขนาดนี้ ร่างกายของเราทำงานหนักแค่ไหน? เรามาทำดีกับร่างกายและส่วนต่าง ๆ ที่เรามักจะมองข้ามกันเถอะค่ะ! 1.ทำดีกับ...เกล็ดเลือด

สาวกเครื่องดื่มสีอำพันคงต้องเพลา ๆ หน่อยนะ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรจำกัดไว้ที่วันละ 1-2 แก้วก็พอ เพราะเกล็ดเลือดบอบบางมาก และแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปจะเป็นพิษต่อไขกระดูก ทำให้การสร้างเกล็ดเลือดบกพร่อง

ลองให้ของขวัญเกล็ดเลือดด้วยโฟเลตจากอาหารอย่างผักโขม ถั่วเลนทิล และหน่อไม้ฝรั่ง จะทำให้ไขกระดูกมีสุขภาพดี หากขาดสารอาหารความสามารถในการผลิตเกล็ดเลือดจะลดลง โดยเฉพาะเมื่อคุณตั้งครรภ์ และถ้าคุณรักเกล็ดเลือดของตัวเองละก็...เอามันออกไปซะ! ซึ่งการบริจาคโลหิตไม่มีอันตราย และร่างกายของคุณจะสร้างเกล็ดเลือดขึ้นมาใหม่ทันทีค่ะ (ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริจาคโลหิตได้ที่ เว็บไซต์ของสภากาชาดไทย

2.ทำดีกับ...ร่องน้ำตา

นี่เป็นคำแนะน้ำด้านสุขภาพที่ง่ายที่สุดในประวัติศาสตร์ : กะพริบตาสิ! "การกะพริบตาทำให้น้ำตาสามารถสร้างชั้นเคลือบ เพื่อป้องกันไม่ให้ตาแห้งหรือมีสิ่งระคายเคืองได้" นี่เป็นคำแนะนำจาก ศ.จักษุวิทยา นพ.มาร์เกอไรต์ แม็กโดนัลด์ จาก New York University

อัตราการกะพริบตาของคุณจะลดลง เมื่อคุณจ้องจอคอมพิวเตอร์ และน้ำตาเทียมสามารถทำให้ดวงตาของคุณชุ่มชื้นได้ เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ร่องน้ำตาอุดตัน ให้ล้างมือบ่อย ๆ และพยายามอย่าสัมผัสดวงตา สำหรับสาว ๆ ที่ขาดอายไลเนอร์ไม่ได้ เมื่อเขียนขอบตา ให้หยุดมือก่อนจะถึงร่องน้ำตา "อายไลเนอร์แบบน้ำ หรือแบบดินสออาจทำให้ติดเชื้อได้" ดร.แม็กโดนัลด์เตือน และก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่าลืมล้างเครื่องสำอางให้สะอาดนะ...เดี๋ยวจะหาว่าสวยไม่เตือน

3.ทำดีกับ...ตับ

แสดงความรักต่อตับด้วยการระวังรอบเอวไว้ให้ดี เพราะคนที่มีน้ำหนักเกิน โดยเฉพาะคนที่อ้วนบริเวณกลางลำตัว มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นโรคไขมันพอกตับ (Fatty Liver) ซึ่งเป็นโรคตับที่มีผลกระทบต่อคนอเมริกันประมาณ 30-40 ล้านคน แต่อย่าหวังพึ่งยาลดความอ้วน ในบางกรณี (ขึ้นอยู่กับปัจจัยบางอย่าง เช่น กรรมพันธุ์และนิสัยการดื่ม) อาหารเสริมเพื่อการไดเอ็ตอาจเป็นพิษต่อตับของคุณได้ แม้แต่ในปริมาณน้อย ๆ

นอกจากนี้ การสักหรือเจาะตามร่างกาย จะทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งเป็นการติดเชื้อทางเลือด และอาจเกิดโรคตับแข็งได้ ดังนั้น จึงควรดูให้แน่ใจก่อนสักหรือเจาะว่า เครื่องมือและหมึกเป็นแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และฆ่าเชื้อผิวหนังบริเวณนั้นเสียก่อน

4.ทำดีกับ...ปอด

ขยับตัวซะหน่อยนะ การออกแรงจะช่วยออกกำลังกายปอดของคุณ ทำให้ปอดมีความจุเพิ่มขึ้น และร่างกายจะส่งออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่าง ๆ ในการทำกิจกรรมใด ๆ ก็ตามได้ดีขึ้น และหากต้องทำความสะอาดหรือทาสี ควรทาหน้ากากอนามัยมาใส่ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและสารพิษ ทั้งยังปกป้องปอดจากเศษผงที่มีขนาดเล็กมากด้วย สุดท้ายนี้ คือการหายใจลึก ๆ การออกกำลังกายที่ต้องหายใจลึก ๆ จะช่วยให้การทำงานของปอดส่งออกซิเจนไปยังร่างกายได้มากขึ้น และทำให้เรากระปรี้กระเปร่าอีกด้วย 5.ทำดีกับ...กระเพาะปัสสาวะ

เมื่อปวด...อย่าอั้น เพราะอั้นปัสสาวะไว้นาน ๆ อาจทำให้กระเพาะปัสสาวะล้าจนติดเชื้อ หรือปัสสาวะราดได้ และอย่าลืมดื่มน้ำมาก ๆ การขาดน้ำจะทำให้ปัสสาวะเข้มข้นขึ้นจนบางครั้งอาจทำให้ปัสสาวะเล็ด แถมกระเพาะปัสสาวะของเราอาจจะแสบ ๆ คัน ๆ เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดจะระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ ตัวร้ายที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ คาเฟอีน ผลไม้จำพวกส้มที่เป็นกรดและสับปะรด แต่อาหารที่มีผลต่อคนคนหนึ่งอาจจะไม่มีผลต่ออีกคนก็ได้ ดังนั้น ควรสังเกตให้ดีว่า อาหารการกินของคุณทำให้การปัสสาวะเปลี่ยนไปอย่างไร

6.ทำดีกับ...ปากมดลูก

ไปตรวจเป็นประจำสิคะ รู้มั้ยว่า 1 ใน 7 ของสาวอเมริกันไม่ยอมไปตรวจมะเร็งปากมดลูก แต่ถ้าไม่ไปตรวจ คุณหมอจะไม่ได้ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) และความผิดปกติต่าง ๆ ของเซลล์ที่จะทำให้คุณเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้ อย่าลืมกินผักเยอะ ๆ เพราะการศึกษาจาก University of Arizona ในรัฐทัคซัน เปิดเผยว่า หญิงสาวที่กินผักมาก จะมีโอกาสน้อยกว่าถึงร้อยละ 50 ที่จะติดเชื้อไวรัส HPV เป็นเวลานาน

เลือกหมอน ให้นอนหลับฝันดี

เลือกหมอน ให้นอนหลับฝันดี (ไทยรัฐ)

แต่เรื่องที่จะนอนให้หลับฝันดีได้ มันก็ต้องมีองค์ประกอบหลายส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกัน หนึ่งในนั้นก็คือต้องรู้จักเลือกหมอนดี ๆ มาหนุนศีรษะด้วย

เรื่องของหมอนหนุนนอนนั้นต้องถือได้ว่าเป็นของส่วนตัวอีกชิ้นหนึ่ง ที่เรามักจะพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันน้อยมาก บ้างก็มองข้ามความสำคัญไปซะงั้น แต่ความจริงแล้ว ก่อนจะเลือกซื้อหมอนก็มีเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญนำมา พิจารณาอยู่สัก 4 หัวข้อด้วยกันคือ

ข้อแรก ต้องรู้กันก่อนว่าตัวเรา เป็นโรคภูมิแพ้อะไรบ้างหรือเปล่า อย่างบางคนแพ้ปุยนุ่น หรือละอองขนเป็ดขนไก่ที่ใช้เป็นวัสดุไส้ในของหมอน ก็ต้องหลีกเลี่ยงวัสดุที่เราแพ้เหล่านั้นไปใช้อย่างอื่นแทน อาจจะเป็นโฟม โพลีเอสเตอร์ หรือวัสดุธรรมชาติอย่างอื่น เป็นต้น

ข้อสอง เป็นเรื่องของขนาด แต่ละคนก็ชอบขนาดหมอนที่เล็กใหญ่แตกต่างกันไป บางคนก็ชอบมีหมอนกองเต็มเตียง แต่พอเอาเข้าจริงตอนนอนก็ใช้หมอนแค่หนึ่งหรือสองใบแค่นั้นเอง

ถัดมา ต้องดูว่าหมอนมีความสามารถในการรองรับดีพอหรือไม่ ควรจะทดสอบความแน่นของหมอน โดยที่ถ้ามันมีแรงดันนิดหน่อยก็แสดงว่าจะรองรับศีรษะได้มากกว่า สำหรับคนที่มักจะนอนหงาย ควรเลือกหมอนที่ต่ำและนิ่มกว่า เพื่อให้คออยู่ในตำแหน่งที่สบาย แต่ถ้าเป็นคนชอบนอนตะแคง ควรจะเลือกหมอนสูงกว่าสักหน่อย เพื่อจัดแนวสันหลังให้อยู่ในแนวตรงที่พอเหมาะพอดี

สุดท้าย เป็นเรื่องของการดูแลรักษา ควรใช้ปลอกหมอนกันเปื้อนเพื่อยืดอายุการใช้งานไปได้นาน ๆ เพียงแค่นี้ก็คงจะพอช่วยให้นอนหลับฝันดี มีภูมิคุ้มกันโรคหวัดกันได้อย่างง่าย ๆ ต่อไปตราบนาน

5 วิธีป้องกัน รองเท้ากัด

5 วิธีป้องกันรองเท้ากัด (Lisa)

ถ้าคุณต้องใส่รองเท้าส้นสูงไปงานเลี้ยงเป็นเวลานาน ๆ แล้วกลัวจะทำให้เท้าระบมเพราะโดนกัด ก็ลองใช้เคล็ดลับง่าย ๆ ในการป้องกันต่อไปนี้

1. ตับเล็บเท้าให้สั้นแล้วตะไบให้โค้งมน เล็บยาว ๆ อาจเข้าไปทิ่มในหัวรองเท้า เกิดรอยแตกจากแรงกด และทำให้นิ้วข้างเคียงเป็นแผลได้

2. ติดพลาสเตอร์ตรงด้านในรองเท้าช่วงที่ติดอยู่กับส้นเท้า เพื่อกันเอาไว้ก่อนในกรณีที่เกิดการเสียดสีมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดแผลพุพองได้

3. ใช้ตะไบขัดหนังด้าน ๆ ทางด้านนอกของนิ้วหัวแม่เท้า เพราะหนังด้าน ๆ นูน ๆ นั้นอาจทำให้เกิดแรงกด เมื่อสวมรองเท้าจนรู้สึกไม่สบาย หรือทำให้นิ้วเท้าดูผิดรูปได้

4.ถ้าคุณรู้ตัวว่าเท้าส่วนไหนจะเกิดการเสียดสีกับรองเท้า ก็ควรป้องกันไว้ซะก่อนด้วยการติดแผ่นกันรองเท้ากัดหรือพลาสเตอร์ไว้ในบริเวณนั้น

5. ลองสวมรองเท้าและ เดินไปรอบ ๆ ซัก 10 นาที เพื่อดูว่าเท้าจะเกิดการเคลื่อนไหวในรองเท้ายังไง จากนั้น ใช้แผ่นหนังบาง ๆ นิ่ม ๆ ปะติดในบริเวณที่เป็นปัญหาหรือมีช่องว่าง เพื่อช่วยให้เท้าเคลื่อนไหว ในรองเท้าได้อย่างมั่นคงขึ้น

ของใช้สาธารณะ สุขอนามัยที่ไม่ควรมองข้าม

ของใช้สาธารณะ โรคใกล้ตัว สุขอนามัยที่ไม่ควรมองข้าม (เดลินิวส์)

ด้วยภาวะสังคมขณะนี้ที่สลับซับซ้อนทั้งชีวิต และความเป็นอยู่ของมนุษย์ จึงเกิดการพัฒนาต่าง ๆ มากมาย ไม่ต่างจากเชื้อโรค ที่วันนี้ได้คืบคลานเข้าใกล้มนุษย์เพียงแค่เอื้อมมือหรือปลายจมูก ยิ่งในบางสถานการณ์บังคับให้ต้องใช้สิ่งของสาธารณะ ที่เป็นส่วนรวม ซึ่งอาจไม่มีความสะอาดเพียงพอ ยังผลให้ติดเชื้อก่อให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ กับผู้ใช้ได้

ทางกลับกัน เมื่อเชื้อโรคก่อให้เกิดโรคร้ายอยู่รอบตัวก็ย่อมมีทางป้องกันได้เช่นกัน โดยเฉพาะของใช้ที่ตอบสนองความสะดวกสบาย เช่น เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ, หมวกกันน็อก, ห้องน้ำสาธารณะ สิ่งเหล่านี้เชื่อว่า หลายคนอาจใช้อยู่เป็นประจำโดยไม่ได้สังเกตถึงภัยร้าย.... แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนก...! ทุกอย่างมีทางแก้

ส่วนใหญ่ผิวหนัง คือ ปราการด่านแรกของมนุษย์เมื่อเจอกับเชื้อโรค ซึ่ง พญ.พู่กลิ่น ตรีสุโกศล หัวหน้ากลุ่มงานผื่นแพ้สัมผัสและอาชีวเวชศาสตร์ สถาบันโรคผิวหนัง จะเป็นผู้ไขความลับถึงโรคที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อใช้สิ่งของสาธารณะไม่สะอาด

พญ.พู่กลิ่น กล่าวว่า ตอนนี้มีเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกมากมาย บางครั้งสิ่งที่อำนวยความสะดวกเหล่านี้ เมื่อไม่ได้รับการดูแลให้มีความสะอาดจะส่งผลร้ายกับผู้บริโภคได้ ซึ่งโรคทางผิวหนังอาจไม่มีความรุนแรงมาก แต่หากปล่อยไว้นานอาจลุกลามไปยังผิวหนังส่วนอื่น ๆ ได้


เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เกือบทุกพื้นที่ในประเทศ มีการให้บริการอย่างคึกคัก แต่หากไม่มีการดูแลทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ จะทำให้ผู้ใช้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น ช่องใส่ผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มมีคราบเชื้อรา เนื่องจากเมื่อใช้ไปนาน ๆ อาจเกิดการปนเปื้อนในผ้าที่ซัก ทำให้เกิดเชื้อราบนผิวหนังเมื่อใส่เสื้อผ้าที่ตากไม่แห้ง หรือหูด เกิดจากคนที่ใช้ก่อนหน้านำผ้ามาซัก แล้วคนมาใช้ทีหลังตากเสื้อผ้าเหล่านั้นไม่แห้งแล้วนำมาใส่

"อาการของเชื้อราจะทำให้ผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อเป็นผื่น และมีอาการคัน ส่วนหูดจะขึ้นเป็นวงบนผิวหนังไม่มีอาการเจ็บหรือคัน แต่หากปล่อยไว้อาจลุกลามไปตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งเมื่อเกิดโรคเหล่านี้ขึ้น ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อไม่ให้อาการลุกลาม" พญ.พู่กลิ่น แนะนำ

ดังนั้นผู้บริโภคที่ใช้เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ควรสังเกตภายในตัวถังเครื่องว่ามีขี้โคลนหรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ หลงเหลืออยู่หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ต้องดมดูกลิ่นภายในตัวถัง ว่ามีความอับชื้นมากเกินไปหรือเปล่า เพราะหากมีความชื้นมาก ๆ อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ ตลอดจนควรตรวจสอบช่องใส่ผงซักฟอก และน้ำยาปรับผ้านุ่มไม่ให้มีคราบเชื้อรา ที่มีลักษณะดำ ๆ เกาะบริเวณภาชนะ

"เครื่องซักผ้าตามบ้านเรือนก็อาจมีลักษณะที่ไม่เหมาะสมได้ หากเจ้าของไม่มีการทำความสะอาด" ด้วยกฎระเบียบจราจรที่มีความเข้มงวดในปัจจุบัน หมวกกันน็อกจึงมีส่วนช่วยป้องกันอันตราย ซึ่งหลายคนคงได้ใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่ต้องสวมหมวกกันน็อกที่เป็นเสมือนของสาธารณะ พญ.พู่กลิ่น กล่าวว่า หมวกกันน็อกที่ไม่รักษาความสะอาดทำให้ผู้ที่ใช้ต่อเกิดการติดเหาได้ เนื่องจากผู้ที่ใช้มาก่อนมีเหาอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน หมวกกันน็อกที่มีความชื้นก็จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย นอกจากนี้หากมีความชื้นมาก ๆ จะทำให้ผู้ใช้ติดโรคเชื้อราบนหนังศีรษะ

อาการเมื่อเกิดการติดเชื้อบนหนังศีรษะ จะรู้สึกคันและมีผื่นแดงขึ้นบนหนังศีรษะ เมื่อผู้ป่วยเกิดอาการเหล่านี้หนักขึ้นควรไปพบแพทย์ทันที

แนวทางป้องกันคือ ก่อนจะสวมหมวกควรตรวจดูว่ามีไข่เหาที่มีลักษณะก้อนเล็ก ๆ สีขาวหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ใช้มือสัมผัสภายในหมวกว่า มีความชื้นมากเกินไปหรือเปล่า และควรมีการดมภายในหมวกไม่ให้มีกลิ่นเหม็นมากเกินไป หรือผู้ที่โดยสารรถมอเตอร์ไซค์อยู่เป็นประจำ อาจเตรียมหมวกกันน็อกของตัวเองก็เป็นการช่วยได้เช่นกัน

ส่วนผู้ประกอบการเอง ควรจะดูแลทำความสะอาดโดยหงายภายในหมวกกันน็อกตากแดด อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ควรทำความสะอาด โดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบริเวณยางและเชือกที่รัดหมวกกันน็อก

นอกจากนี้การใช้ส้วมสาธารณะ ยังคงเป็นอีกปัจจัย ที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้ จากการที่ผู้ใช้ไม่ล้างมือให้สะอาดแล้วไปจับกลอนประตู, ก๊อกน้ำ และสุขภัณฑ์ต่าง ๆ แล้วไปจับอาหารกินทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้

ขณะเดียวกันตอนนี้หลายคนใช้ห้องน้ำสาธารณะแบบมีชักโครกผิดวิธี โดยใส่รองเท้าที่เปื้อนดินขึ้นไปนั่งบนฝารองนั่ง ทำให้ผู้ที่มาใช้ต่อไม่สามารถใช้ต่อได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่มาใช้ต่อเกิดโรคติดเชื้อราในดินได้ เนื่องจากในดินมีเชื้อราต่าง ๆ ทำให้ผู้ที่มาใช้ชักโครกที่เปื้อน อาจเกิดอาการติดเชื้อได้หากมีรอยบาดแผล ทำให้เกิดเป็นผดผื่นคัน ซึ่งเมื่อเกิดอาการเหล่านี้ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันที

"ผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรค จากการใช้ห้องน้ำสาธารณะมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากต้องใช้ชักโครก ตอนนี้มีบริการกระดาษรองนั่งบนฝาชักโครกโดยจะเป็นอีกตัวช่วยได้ ซึ่งแผ่นกระดาษรองนั่งไม่ควรเปียกน้ำ"

แนวทางป้องกันเชื้อโรคที่แฝงอยู่ในห้องน้ำสาธารณะ ควรตรวจดูฝารองนั่งชักโครกก่อนทุกครั้งว่ามีความสะอาดหรือไม่ ขณะเดียวกันหลังเข้าห้องน้ำเสร็จควรล้างมือให้สะอาดทั้งหน้ามือ หลังมือ และตามซอกนิ้ว

พญ.พู่กลิ่น ทิ้งท้ายว่า การใช้สิ่งของสาธารณะนอกจากจะคำนึงถึงสุขลักษณะของตัวเองแล้ว ควรคำนึงถึงความสะอาดสำหรับผู้ที่มาใช้ต่อด้วย เนื่องจากตอนนี้เชื้อโรคต่าง ๆ มีการพัฒนาสายพันธุ์มากมาย ที่ไม่แน่อนาคตอาจส่งผลร้ายได้ ดังนั้น เมื่อทุกคนรู้เท่าทันโรคที่อาจจะเกิดขึ้น ย่อมนำไปสู่สังคมที่มีสุขอนามัยที่ดี

ระวัง! น้ำมันทอดซ้ำ

ระวัง! น้ำมันทอดซ้ำ (ประชาชาติธุรกิจ)

รู้มั้ยว่า ในแต่ละปีคนไทยใช้น้ำมันพืชทอดซ้ำมากถึง 8 แสนตัน !

ที่น่ากลัว คือเจ้าน้ำมันทอดซ้ำจะมีสารโพลาร์ ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดและหัวใจ ตลอดจนโรคมะเร็งตามมา โรคเหล่านี้เป็นปัญหาสุขภาพอันดับต้น ๆ ด้วย

น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แนะนำว่า การลดปัจจัยเสี่ยงทำได้โดยการงดบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันทอดซ้ำ เลือกใช้น้ำมันที่สะอาด สังเกตง่าย ๆ จากรูป รส และกลิ่นของอาหาร หากผู้บริโภคตื่นตัว ก็จะส่งผลให้ผู้ประกอบการอาหารตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพอาหาร ใช้น้ำมันทอดใหม่ในการปรุงอาหาร ทุกครั้ง

อย่าลืม! ใส่ใจกับอาหารก่อนเข้าปาก ดีกว่าต้องมาดูแลสุขภาพเมื่อเจ็บป่วยจ้า

มีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำมะพร้าว จริงหรือ?

"น้ำมะพร้าว" ของแสลงสำหรับสาวที่... (สยามดารา)

สาว ๆ ที่ชอบดื่มน้ำมะพร้าวเป็นชีวิตจิตใจ คงไม่ปลื้มนักหากมีใครมาบอกว่า "ในขณะมีประจำเดือนอย่าริ ไปดื่มน้ำมะพร้าวเป็นอันขาด อ้าว...ไม่รู้รึว่าน้ำมะพร้าวเป็นของแสลงสำหรับผู้ที่กำลังมีประจำเดือนเชียวนะ" เรื่องนี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่รู้ล่ะ แต่ก็ทำเอาสาว ๆ บางคนดื่มน้ำมะพร้าวไม่คล่องคอขึ้นมาทันทีเลยค่ะ

แต่ช้าก่อน...ก่อนที่คุณจะตัดใจจากน้ำมะพร้าวที่แสนชื่นชอบ โปรดอ่านข้อความนี้สักนิดค่ะ ความจริงแล้วน้ำมะพร้าวก็มีลักษณะคล้ายกับน้ำหวานหรือเครื่องดื่มธรรมดาทั่วไป ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อการมีประจำเดือนแต่อย่างใด แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางคนที่แพ้น้ำมะพร้าว (ขอย้ำว่าเป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้นค่ะ) เนื่องจากในน้ำมะพร้าวมีสารประกอบหรือฮอร์โมนบางอย่างซึ่งอาจทำให้บางคนเกิดอาการแพ้ได้ แล้วบังเอิญว่าอาการแพ้นั้นเกิดในระหว่างช่วงมีประจำเดือน เรียกว่าประจวบเหมาะกันพอดี จึงทำให้เข้าใจผิดว่าน้ำมะพร้าวเป็นของแสลงสำหรับผู้ที่กำลังมีประจำเดือนค่ะ

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ สาว ๆ ที่ชอบดื่มน้ำมะพร้าวคงยิ้มออกแล้วนะคะ เพราะตราบใดที่คุณไม่ได้แพ้สารบางอย่างในน้ำมะพร้าวก็สบายใจได้เลยว่า คุณสามารถดื่มน้ำมะพร้าวที่แสนโปรดได้ในทุกโอกาสแม้แต่ยามที่มีประจำเดือนค่ะ นอกจากไม่ใช่ของแสลงแล้ว น้ำมะพร้าวเย็น ๆ กลิ่นหอมละมุนยังช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดีเยี่ยมอีกด้วยค่ะ

อาบน้ำให้หมดจด ห่างไกลโรคภัย

อาบน้ำให้หมดจด ห่างไกลโรคภัย (ไทยรัฐ)

เชื้อโรคที่ติดต่อกันทางสัมผัส ถือเป็นภัยเงียบที่คุกคามพวกเราโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นโรคตาแดง, โรคท้องร่วง หรือแม้แต่โรคยอดฮิตติดกันง่ายอย่าง "ไข้หวัด" ทางที่ดีถ้าอยากห่างไกลจากโรคภัย ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้สะอาดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า

"นพ.กฤษดา ศิรามพุช"แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ส่งสัญญาณเตือนว่า เชื้อโรครอบ ๆ ตัวเราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และล่องลอยมากับอนุภาคอื่น ๆ ในอากาศรอบตัวเรา เข้าสู่ร่างกายทางโพรงปาก, โพรงจมูก และเกาะเกี่ยวตามร่างกายเราได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ ถือเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคที่น่ากลัวที่สุด แค่มีบาดแผลเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง แล้วไปใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกับคนที่เป็นหวัด ก็อาจติดเชื้อหวัดได้ชนิดไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ดี แม้เราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงเชื้อโรคได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คุณหมอยืนยันว่าสามารถป้องกันได้ โดยหลีกเลี่ยงการสะสมของแบคทีเรียที่จะก่อให้เกิดเชื้อโรคต่าง ๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ การดูแลร่างกายให้สะอาดหมดจด ด้วยการอาบน้ำอย่างถูกวิธี

หลักข้อแรก คือ ควรเริ่มอาบน้ำจากบริเวณปลายมือ หรือปลายเท้า เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกาย ก่อนจะราดน้ำอาบทั้งตัว

หลักข้อที่สอง ได้แก่การเช็กอุณหภูมิของน้ำให้พอดีกับอุณหภูมิในร่างกาย เช่น ถ้าเพิ่งออกกำลังกายมาใหม่ ๆ อย่าเพิ่งแช่น้ำเย็นจัดในทันที ธรรมชาติของร่างกายจะค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิลงสู่ระดับที่เหมาะสม หลักข้อที่สาม ควรอาบน้ำให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น ถ้าเป็นคนผิวแห้ง มีผื่นคันขึ้นง่าย ไม่ควรอาบน้ำอุ่น หรือร้อนจัด เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง

และสุดท้ายคือการเลือกใช้สบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าเป็นนักกีฬา หรือทำงานหนัก มีเหงื่อหมักหมมมาทั้งวัน การใช้สบู่ลดการสะสมของแบคทีเรีย จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ รวมทั้งลดการเกิดกลิ่นในบริเวณอับเหงื่อ

คุณหมอยังแนะนำ เทคนิคการตรวจหาสัญญาณอันตรายของผิวด้วยตนเองแบบง่าย ๆ ว่าควรสังเกตรอยปื้นและผื่นแดง รวมถึงแผลอักเสบบนผิว ถ้าเริ่มมีลักษณะแดง, แสบคัน, เจ็บ หรือเป็นหนองเรื้อรัง แสดงว่ากำลังติดเชื้อบางชนิด อีกวิธีคือ สังเกตรอยจุดด่างดำบนผิว ถ้าทำท่าว่าจะขยายตัวเร็วผิดปกติ หรือมีรอยขรุขระผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์ ก่อนสายเกินแก้!!

ตรวจตาหาอัลไซเมอร์ อีกห้าปีเดินเข้าร้านแว่นได้รู้กัน

นักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษพบวิธีการตรวจตาอย่างง่ายๆ จะมีส่วนช่วยในการค้นหาว่าผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือโรคอื่นๆ

ก่อนที่กลุ่มอาการดังกล่าวจะพัฒนาไปมากกว่านั้นเทคนิคดังกล่าวใช้ตัวแสดงฟลูออเรสเซนต์ซึ่งจะเข้าไปจับเซลล์ที่ตายแล้ว ที่สามารถมองเห็นได้ในเรตินาและเป็นการบอกได้แต่ต้นว่ามีเซลล์สมองตายหรือไม่ การวิจัยดังกล่าวเป“นการทำงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ที่กำลังทำการทดลองกับหนู และมีแผนว่าจะทำการทดลองกับคนในปลายป•นี้งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร "เซลล์เดธแอนด์ดีซีส" จะมีส่วนช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เอาชนะความยากลำบากในการตรวจหาว่ามีอะไรเกิดขึ้นในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์

เทคนิคการตรวจอย่างใหม่นี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์ติดตามร่องรอยความก้าวหน้าของโรคในสมองด้วยการดูไปที่เซลล์ตายในเรตินา โดยเซลล์นั้นจะแสดงเป็นจุดสีเขียวเพราะว่าดูดซับการย้อมสีฟลูออเรสเซนต์ศาสตราจารย์ฟรานเซสกา คอเรเดโร หัวหน้าคณะทีมวิจัย กล่าวว่า "เป็นไปได้ว่าในอนาคตเราอาจจะเดินไปยังร้านตรวจสายตาเพื่อตรวจตาและจะได้รับการตรวจภาวะสมองของเราไปด้วย ดิฉันหวังว่าภายใน 5 ปี เราคงจะได้ใช้วิธีการตรวจหาอัลไซเมอร์แบบนี้กัน".

โลหิต..ที่ท่านควรทราบ

โลหิตหรือเลือด (blood) เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือดทั่วร่างกาย โดยอาศัยการสูบฉีดของหัวใจ อวัยวะสำคัญที่ร่างกายมนุษย์ใช้ในการสร้างเม็ดโลหิต คือไขกระดูก ในร่างกายของคนเรามีโลหิตมากน้อย ตามน้ำหนักของแต่ละคน คิดโดยประมาณ 80 ซีซี ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าท่านมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ท่านจะมีโลหิตประมาณ 4,000 ซีซีเลือดเป็นของเหลวซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย มนุษย์ผู้ใหญ่ปกติจะมีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกายประมาณ 5 – 6 ลิตร

หน้าที่สำคัญของเลือด คือขนส่งก๊าซออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย และขนส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์เนื้อเยื่อมายังปอด เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกายต่อไป นอกจากนี้เลือดยังทำหน้าที่ขนส่งสารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน ฮอร์โมน วิตามินไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย และนำของเสียต่างๆ จากเซลล์ไปขับออกจากร่างกาย เช่น นำยูเรียไปขับออกที่ไต เป็นต้น

เลือดประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่า พลาสมา (plasma) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 55 ของปริมาณเลือดทั้งหมด และส่วนที่เป็นของแข็งซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือด (cellular components) ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 45 ของปริมาณเลือดทั้งหมดสำหรับเม็ดโลหิตมี 3 ชนิด คือ เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่หลักในการนำออกซิเจน และอาหารที่ย่อยแล้วส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และรับของเสีย รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์ เม็ดเลือดขาว

มีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม มีส่วนสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกล็ดเลือด มีความจำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด เวลาที่ท่านมีบาดแผลส่วนพลาสมา คือส่วนที่เป็นของเหลวสีเหลืองทำให้เม็ดเลือดลอยตัวอยู่ได้เม็ดเลือดแดง (red blood cells)1. เม็ดเลือดแดง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-8 ไมโครเมตร รูปร่างเหมือนจานแต่บุ๋มตรงกลางทั้งสองข้าง2. เม็ดเลือดแดงมีอยู่ทั้งหมดประมาณร้อยละ 40-50 ของปริมาตรเลือดทั้งหมดของร่างกาย หรือปริมาณ 4-5 ล้านเซลล์ ต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร3. เม็ดเลือดแดงมีอายุในกระแสโลหิตได้นานประมาณ 120 วัน โดยทั่วไปในวันหนึ่งๆ มีการสร้างเม็ดเลือดออกมาใหม่ประมารร้อยละ 9 ของจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย4.

โครงสร้างของเม็ดเลือดแดงประกอบด้วยสารไลโปโปรตีน (โปรตีนและไขมัน) และมีสารโปรตีนที่จับกับเหล็กที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการจับนำเอาออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกายทางเส้นเลือดแดง และนำคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียจากเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ กลับไปยังปอดเพื่อถ่ายทอดออกทิ้งไปทางเส้นเลือดดำ

5.ในคนปกติ ผู้ชาย จะมีฮีโมโกลบินประมาณ 14-18 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร ผู้หญิงจะมีฮีโมโกลบินประมาร 12-14 กรัมในเลือด 100 มิลลิลิตร6. หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของฮีโมโกลบิน คือ รักษาดุลความเป็นกรดด่างของเลือดให้อยู่ในเกณฑ์พอดีเม็ดเลือดขาว (white blood cells)1. เม็ดเลือดขาว มีอยู่ประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ในเลือดหนึ่งมิลลิลิตร2.

ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาว 5 ชนิดต่างๆ กัน โดยอาศัยคุณลักษณะในการติดสีที่ใช้ย้อม และลักษณะของนิวเคลียสเมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์

3. นิวโตรฟิล มีหน้าที่กำจัดบัคเตรี หรือสิ่งแปลกปลอมที่เป็นเม็ดเล็กๆ เมื่อมีเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายจะถูกนิวโตรฟิลจับเข้าไปในไซโตพลาสซึม ซึ่งมีแกรนนูลของนิวโตรฟิล คือไลโซโซมส์อยู่ ไลโซโซมส์เป็นถุง ซึ่งภายในบรรจุน้ำย่อยจำพวกเหล่านี้ออกมาย่อยเชื้อจุลินทรีย์ และสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดเล็กๆ เหล่านี้

4. ลิมโฟไซท์ที่กำเนิดมาจากต่อมไธมัส ซึ่งเป็นแหล่งกลางของปฏิกิริยาทางอิมมูน เป็นตัวส่งลิมโฟไซท์ออกไปให้กำเนิดแก่ลิมโฟไซท์ในอวัยวะน้ำเหลืองอื่นๆ ลิมโฟไซท์ชนิดนี้มีความจำ และจะทำลายสิ่งที่ไม่เหมือนตัวเอง

5. ลิมโฟไซท์ที่กำเนิดมาจากต่อมน้ำเหลืองของระบบทางเดินอาหาร ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี และควบคุมภาวะไวเกินจากภูมิคุ้มกันส่วนเซลล์

6. โมโนไซท์ มีหน้าที่ป้องร่างกายเช่นเดียวกับนิวโตรฟิล สามารถกินเชื้อจุลินทรีย์ เช่น บัคเตรี เชื้อรา ยีสต์ หรือแม้แต่เม็ดเลือดแดง โดยที่โมโนไซท์สามารถกินของใหญ่ๆ ได้ บางทีจึงเรียกกันว่า แมคโครเฟจ เทียบกับนิวโตรฟิล ซึ่งเรียกว่า ไมโครเฟจ โมโนไซท์มีชีวิตในกระแสโลหิตที่หมุนเวียนเพียงระยะสั้นเท่านั้น ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายเข้าสู่เนื้อเยื่อ แล้วเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็น ฮิสติโอไซท์

7. เบโซฟิลหรือมาสท์เซลล์ ปัจจุบันเชื่อว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งในปฏิกิริยาภูมิแพ้ จากปฏิกิริยาของแอนติเจนกับแอนติบอดี โดยไปทำให้เม็ดแกรนนูลของเบโซฟิลสลายตัวปล่อยสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มีอาการแพ้ออกมาอาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกัน ไปตามลักษณะอวัยวะที่เกิด เช่น ถ้าเป็นที่ผิวหนัง ทำให้มีอาการคัน ถ้าเป็นที่หลอดลม ทำให้หลอดลมตีบ ทำให้มีอาการเป็นหืด หรือถ้าหากมีสารฮิสามีนจำนวนมากเข้าไปในกระแสโลหิต

อาจทำให้เกิดอาการช็อคได้ เช่น ในกรณีของการแพ้เพนิซีลลิน เป็นต้น

8. อีโอซิโนฟิล เชื่อว่ามีหน้าที่เกี่ยวกับการขจัดฤทธิ์ของฮิสตามีน และเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อปาราสิตเกล็ดเลือด (platelet

)1. เกล็ดเลือด มีกำเนิดมาจากไซโตพสาสซึมของเมกาคาริโอไซท์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ในไขกระดูกคือมีขนาดประมาณ 35-160 ไมโครเมตร

2. ภายในไซโตพลาสซึมมีเม็ดแกรนนูล นอกจากนั้นแล้ว ไซโตพลาสม์ยังมีขาเทียมเล็กๆ ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก และต่อมาจะหลุดออกมาเป็นเกล็ดเลือด

3. เกล็ดเลือดมีจำนวนประมาณ 150,000 - 450,000 เซลล์ ในจำนวนเลือดหนึ่งมิลลิลิตร4. เกล็ดเลือดมีชีวิตอยู่ในกระแสโลหิตได้นานประมาณ 8-11 วัน

5. เกล็ดเลือดมีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง