30 ม.ค. 2554

หลากอาการ เตือนว่าหัวใจกำลังมีปัญหา

*เรื่อง ของหัวใจไม่เข้าใครออกใคร อยู่ดีๆ
ก็อาจมีอาการน่าสงสัยว่าสุขภาพหัวใจจะมีปัญหาขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัวได้
ผู้ป่วยหลายรายไม่เคยสำรวจตัวเองมาก่อน ว่าตนมีความเสี่ยงของโรคหัวใจแฝงอยู่
ทั้งๆ ที่หัวใจพยายามฟ้องออกมาด้วยอาการผิดปกติต่างๆ
จนกระทั่งมีอาการรุนแรงมากถึงได้รู้ว่าโรคหัวใจที่เป็นอยู่นั้นมาสู่ระยะสุด
ท้ายของโรคเสียแล้ว *


โรคหัวใจ โดยทั่วไปมักจะมีอาการเตือนก่อนเกิดโรค
ซึ่งเมื่อเกิดอาการเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ควรทำหลังจากเกิดอาการคือ
พบแพทย์โรคหัวใจ
เข้ารับการตรวจร่างกายและวินิจฉัยหาความเสี่ยงของโรคหัวใจ
เพื่อหาแนวทางรักษาและป้องกันก่อนจะเกิดภาวะวิกฤตขึ้นกับสุขภาพหัวใจ
ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นอาจลุกลามไปจนถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
หรือเสียงชีวิตได้


*หลากอาการน่าสงสัยของโรคหัวใจ *


1. เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
2. ใจสั่นหัวใจเต้นแรง ชีพจรเต้น ไม่สม่ำเสมอ
3. เจ็บแน่นหน้าอกตรงกลาง
4. หน้ามืดเป็นลมไม่ทราบสาเหตุ
5. เวียนศีรษะ มึนงง เหมือนจะเป็นลม
6. นอนศีรษะสูง/เหนื่อยตอนกลางคืน
7. ริมฝีปากและมือเท้าเขียว
8. บวมทั้งตัวโดยเฉพาะขา
9. เส้นเลือดที่คอโป่งพอง
10. ท้องโตตับโตไม่ทราบสาเหตุ
11. น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ
12. ไอเป็นเลือดไม่ทราบสาเหตุ


ผู้ ป่วยโรคหัวใจบางรายหากได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ
สามารถกลับมามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงได้เกือบเหมือนก่อนเป็นโรคหัวใจ
บางรายหลังเข้ารับการรักษาอาการดีขึ้นมาก
สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติแต่น่าเสียดายที่ผู้ป่วยบางรายต้องจบชีวิตลง
โดยไม่เคยรับรู้ด้วยซ้ำว่าตนต้องสังเวยชีวิตให้กับโรคหัวใจทั้งๆ
ที่อายุยังไม่มาก


เพราะ ฉะนั้น โรคหัวใจเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ หมั่นตรวจสุขภาพหัวใจ
อย่างน้อยก็ควรตรวจร่างกายประจำปี
หรือหากพบอาการน่าสงสัยดังกล่าวข้างต้นควรรีบพบแพทย์
ป้องกันไว้ก่อนหัวใจจะมีปัญหารุนแรง
เพราะเมื่อพบว่ามีความเสี่ยงจะได้ไม่พลาดโอกาสในการรักษาได้ทันเวลา

23 ม.ค. 2554

ขอเผยแพร่เล่ห์กลสุดแสบกับ อู่ซ่อมรถหากินกับผู้เดือดร้อนประสบเหตุทางจักรยานยนต์

เหตุเกิดที่ สภ.อ.บางพลี...

เล่ห์อู่ซ่อมรถ ประกอบธุรกิจหากินกับคนเดือดร้อน ฟรีๆ

อู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ๆ จะมีพฤติกรรมเยี่ยงโจร จะร่วมมือกับตำรวจ มาลากรถที่ประสบอุบัติเหตุ เลือกลากรถที่ใหม่ๆ เพื่อหวังจะเรียกเก็บค่าลากรถ ค่าดูแลรักษา หรือหวังได้ค่าซ่อมในราคาดีๆ ยิ่งผู้ประสบเหตุรักษาตัวนานหลายเดือนกว่าจะจบคดีแล้วไปขอรถคืนจะเสียเงินมาก เสียให้อู่ฟรีๆ อู่กินเงินผู้ประสบเหตุเดือดร้อนฟรีๆเลย
ต่อมาอู่พวกนี้จะ รอกินเงินต่างจากการซ่อม อีกเกือบ 10,000 บาทฟรีอีก

พฤติกรรมเป็นแบบนี้ เจอมาเองครับ อู่จะลากรถ ไม่รู้มันมีวิธีเลือกลากสภาพถอยมาใหม่ แต่ประสบเหตุดูรุนแรง เอาไปเป็นกรรมสิทธิ์ของอู่ แต่จะนำรถไปหาอุ่ย่อยให้ซ่อมอีกที โดยนำไปจอดไว้ จนกว่าอู่ใหญ่จะหาวิธีตกลงกับเจ้าของรถหลงกลแล้วให้อู่ใหญ่ซ่อมให้ ก็จะให้อู่ย่อยเป็นคนซ่อมในราคาถูก เช่นรถจักรยานยนต์ คลิกไอ ใหม่ ประสบเหตุสภาพรถด้านหน้าเละ หลังเกิดเหตุผ่านไป 2 เดือนกว่าๆ จึงไปติดต่อรับรถคืน หลังจากไปดำเนินเรื่องกับคู่กรณีเสร็จ ตำรวจทางคดี ให้รายเซ็นไปนำรถออกจากอู่ได้ (ก่อนนี้เดือนกว่าๆทางอู่โทรไปแจ้งค่าซ่อมประมาณ 20,000บาทถ้าอู่จัดการให้ )

ตอนไปรับซากรถคืน สภาพอู่นี้ใหญ่ มีแต่รถยนต์ไม่มีรถจักรยานยนต์เลยสักคัน เมื่อเข้าไปสอบถามขอรถคืน ดูทางอู่จะยึกยักนานตรวจนั้นนี้ เห็นว่าเราจะเอารถคืน ทางอู่ก็ทำเป็นคืน แต่ต้องเสียค่าต่างๆให้อู่ฟรี ๆ ค่าลากรถ500 ค่าดูแลรักษาคิดเป็นเดือนๆ500 โดยที่รถไม่อยู่ในอู่มันเลย แต่รถมันส่งไปรอซ่อมอื่นในราคา 11,280 บาท แต่มันเรียกเก็บกับเจ้าของรถ 20,000 บาท โดยไม่ทำอะไรเลย ไปลากรถมาไว้ทำเงินเข้าอู่ง่ายๆแบบนี้

สิ่งคาใจอยากถามคือ

1.ในประเทศมี กี่ สน. แล้วจะมีอีกกี่อู่ที่หากินแบบนี้กับ สน.(หรือไม่)
2.มีสิทธิ์อะไร มาหาลากรถผู้ประสบเหตุ ไปรอเรียกเก็บเงินฟรีๆ กินเปล่า
3.ทำตัวเป็นนายหน้าลากรถมาให้อู่อื่นซ่อมแล้วมาเรียกเก็บเกินความจริงกินฟรีไปเกือบ 10,000 บาท


นี้คือความจริง เจอมากับคนรู้จัก
แล้วอยากให้เป็นอุทาหอน แก่ทุกท่านได้อ่าน เผื่อท่านและญาติๆ หรือคนรู้จักเจอแบบนี้
จะได้หาทางแก้ไขได้นะครับ

22 ม.ค. 2554

งูสวัด เกิดจากการอดนอนได้ !!


ยารักษางูสวัด (หมอชาวบ้าน)

"การป้องกันการเป็นงูสวัดก็คือ การรักษาสุขภาวะของร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ"

โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ้างในประเทศไทย มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Varicella zoster virus หรือเรียกย่อ ๆ ว่า VZV เชื้อชนิดนี้ทำให้เกิดโรคในคนได้ 2 โรค คือ โรคอีสุกอีใส และโรคงูสวัด

ครั้งแรกเป็น "อีสุกอีใส"

เมื่อร่างกายของเราได้สัมผัสเชื้อไวรัสชนิดนี้ในครั้งแรก มักจะมีอาการไข้ ตัวร้อนมาก่อนสัก 2-3 วันแล้วจึงเริ่มมีตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ รูปร่างของตุ่มน้ำใสจะคล้ายหยดน้ำบนใบบัว ขึ้นกระจายทั่วตัว และขึ้นเป็นรุ่น ๆ เป็นระลอก ๆ หลายรุ่น เมื่อเราสังเกตช่วงใดช่วงหนึ่งของโรคนี้จะพบเห็น "ตุ่มสุก ตุ่มใส" (ตุ่มน้ำใสทั้งที่เพิ่งเริ่มเป็น และตุ่มน้ำใสที่เต่งเต็มที่แล้ว) กระจายอยู่ทั้งร่างกาย ชาวบ้านจึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคอีสุกอีใส" (ปัจจุบันบางคนมีความเห็นว่า "อี" เป็นคำที่ไม่สุภาพ จึงตัดคำว่า "อี" ออกเสีย และเรียกโรคนี้ว่า "โรคสุกใส")

ครั้งที่สองเป็น "งูสวัด"

เชื้อไวรัส VZV นี้เมื่อเริ่มเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส ซึ่งมักเกิดในเด็ก และจะหายได้เอง ภายใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสชนิดนี้จะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย และรอเวลาที่เหมาะสมกับการเพิ่มจำนวนของไวรัส หรือเวลาที่ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง อดนอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะใช้เวลานานเป็นสิบ ๆ ปี หลังจากที่เป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว และพบมากในผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุ บางคนจะมีภูมิต้านทานลดต่ำลงหรืออ่อนแอลง

เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย ไวรัสที่หลบอยู่ ณ ปมประสาทก็จะกลับออกมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้จะแสดงอาการของ "โรคงูสวัด"

ดังนั้น งูสวัด จึงมีสาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัส VZV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นครั้งแรกจะเป็น "โรคอีสุกอีใส" แต่เมื่อกลับมาเป็นอีก จะเป็น "โรคงูสวัด" นั่นเอง (การใช้ยารักษาก็เป็นเช่นเดียวกัน)

งูสวัด...มักเป็นในช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว จะมีเชื้อไวรัส VZV สะสมหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย พร้อมทั้งคอยรอเวลาว่าเมื่อใดที่ร่างกายของเราอ่อนเพลีย หรือมีภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง เชื้อไวรัสชนิดนี้จะฉวยโอกาสออกมาเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นงูสวัดได้

ดังนั้นวิธีง่าย ๆ ในการป้องกันการเป็นงูสวัด ก็คือการรักษาสุขภาวะที่ดีของร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ และมีภูมิต้านทานโรคที่ดี เชื้อไวรัสก็จะไม่ออกมาเพิ่มจำนวน และแสดงอาการของโรคอีกได้

อาการสำคัญของโรคงูสวัด

อาการของโรคงูสวัด แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

เริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งนี้เพราะช่วงนี้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง ทำให้เชื้อไวรัสเริ่มเพิ่มจำนวน เกิดการติดเชื้อ ณ ระบบประสาท จึงมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ ในระดับเส้นประสาท

หลังจากที่ปวดแสบร้อนได้ประมา 2-3 วัน จะเข้าสู่ระยะที่ 2 เริ่มมีผื่นแดง ต่อมากลายเป็นตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ (รูปร่างคล้ายหยดน้ำกลิ้งบนใบบัว) เรียงกันเป็นกลุ่ม ๆ เป็นแนวยาว ๆ ตามเส้นประสาทของร่างกายเป็นหย่อม ๆ เช่น ตามความยาวของแขน หรือตามความยาวของขา หรือรอบเอว รอบหลัง หรือศีรษะ เป็นต้น ตุ้มน้ำใสเต่ง ๆ ของงูสวัดนี้จะแตกออกเป็นแผลต่อมาก็จะตกสะเก็ด และหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์

เมื่อตุ่มแตก และแผลหายดีแล้ว (ระยะที่ 3) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ ตามรอยแนวของโรคที่เกิดขึ้น ในบางคนอาจเกิดได้อีกเป็นเดือน หรือหลาย ๆ เดือน โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางคนอาจมีอาการปวดแสบร้อนลึก ๆ หลังจากที่แผลหายดีแล้วเป็นปี ๆ

งูสวัด...ถ้าพันรอบเอวจะตาย...จริงหรือ?

เนื่องจากรอยโรคของงูสวัด ส่วนใหญ่จะเป็นตุ่มน้ำใสเต่ง ๆ เรียงเป็นกลุ่ม ๆ เป็นแนวยาวตามเส้นประสาทซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเท่านั้น จากประสบการณ์กว่า 20 ปี ยังไม่เคยพบผู้ที่เป็นงูสวัดทั้ง 2 ด้านของร่างกายเลย (ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนเพลียมาก ๆ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เมื่อเป็นงูสวัดแล้ว โรคจะลุกลามมากกว่าปกติ และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้)

ผู้ป่วยทั่วไปที่เป็นงูสวัดมักจะหายได้เอง เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายเมื่อพบว่า ไวรัสมารุกราน ก็จะเริ่มกระบวนการทำงานและจัดการกับเชื้อไวรัสได้ในที่สุด จึงไม่เคยพบงูสวัดชนิดที่เป็น 2 ด้าน หรือพันรอบเอว

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นงูสวัดก็จะหายเองเป็นปกติ แต่ต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ และไม่เคยพบคนตายจากงูสวัดเลย

สรุป "งูสวัด...ถ้าพันรอบเอวจะตาย...จริงหรือ?" เป็นความเชื่อ...แต่ไม่เป็นความจริง

ยารักษางูสวัด...มีจริงหรือ?

ปัจจุบันมียาต้านไวรัสชื่อ อะซัยโคลเวียร์ (acyclovir) ซึ่งมีการใช้ยานี้มากว่า 20 ปีแล้ว เป็นยาที่ได้ผลดี "โรคงูสวัดมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อ Varicella zoster virus หรือเรียกย่อ ๆ ว่า VZV" เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ โดยมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส VZV จึงได้ผลดีทั้งผู้ป่วยโรคงูสวัดและอีสุกอีใส (รวมถึงโรคเริมด้วย) มีทั้งรูปแบบยาเม็ดยาแคปซูล ยาทา และยาฉีด

แต่ยานี้เป็นยาที่แปลกกว่ายาอื่นในแง่วิธีใช้ เพราะยาชนิดนี้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย แถมมีระยะเวลาออกฤทธิ์ในร่างกายสั้น จึงมีวิธีใช้ที่มีความถี่มากกว่ายาทั่วไป ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคงูสวัดและอีสุกอีใส ควรได้รับยาเม็ดในขนาด 800 มิลลิกรัม กินวันละ 5 ครั้งทุก 4 ชั่วโมง (ยกเว้นเวลากลางคืน) และควรใช้ติดต่อกันนาน 7-10 วัน

นอกจากยาชนิดกินแล้ว ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจให้ยาแก่ผู้ป่วยในรูปแบบของยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรง ขนาดครั้งละ 500 มิลลิกรัม หยดเข้าสู่หลอดเลือดดำวันละ 5 ครั้ง และควรใช้ติดต่อกันนาน 7-10 วันเช่นกัน

ส่วนยาอะซัยโคลเวียร์ชนิดครีมทาภายนอกนั้น ไว้ใช้สำหรับโรคเริม แต่ใช้ไม่ได้ผลกับงูสวัดและอีสุกอีใส

นอกจากยาอะซัยโคลเวียร์แล้ว ยังมียาอีก 2 ชนิด คือ วาลาซิโคลเวียร์ (valaciclover) และแฟมซิโคลเวียร์ (famciclovir) ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนกับยาอะซัยโคลเวียร์ แต่มีข้อดีกว่าคือ กินวันละ 3 ครั้งเท่านั้น (ยาอะซัยโคลเวียร์ ต้องกินวันละ 5 ครั้ง)

อย่างไรก็ตามยาทั้ง 2 ครั้ง (วาลาซิโคลเวียร์และแฟมซิโคลเวียร์) ยังมีราคาค่อนข้างสูง เพราะมีแต่ผู้ผลิตต้นตำรับของแต่ละรายเท่านั้น ไม่เหมือนกับยาอะซัยโคลเวียร์ ที่ปัจจุบันหมดสิทธิบัตรคุ้มครองเอกสิทธิ์ของยาแล้ว (น่าจะเรียกว่า "ผูกขาด" มากกว่า) หลังจากที่หมดสิทธิบัตร ทำให้มีผู้ผลิตจำนวนมากผลิตยาอะซัยโคลเวียร์ออกสู่ตลาด ส่งผลให้ราคายาชนิดนี้ถูกลงจากเดิมหลายเท่าตัว และเมื่อใช้ยาเหล่านี้แล้วก็ได้ ผลดีในการรักษาเหมือนเช่นเดิม

ถึงตอนนี้ขอตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยว่า "เมื่อยาหมดสิทธิบัตรแล้ว ราคายาจะถูกลงมาก"

จะให้ได้ผลดี...ควรเริ่มใช้ยาอะซัยโคลเวียร์ให้เร็วที่สุด เนื่องจากยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส ยาจึงมีประโยชน์ในช่วงที่ไวรัสกำลังเพิ่มจำนวน คือตั้งแต่เริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อนในระยะแรก (ยังไม่ขึ้นตุ่มน้ำใส) จนถึงระยะที่ 2 ก่อนที่ตุ่มน้ำใสจะแตกออกโดยทั่วไปจึงแนะนำว่า ควรใช้หลังจากพบตุ่มน้ำใสแล้วไม่เกิน 2-3 วันจึงจะได้ผลดีที่สุด

ตัวอย่างเช่น มีผู้ป่วยรายหนึ่งมีอาการปวดหัวบริเวณกลางกระหม่อม และที่หน้าผากมาประมาณ 2-3 วัน ต่อมามีผื่นขึ้นที่กลางกระหม่อม และลามมาที่หน้าผาก เป็นตุ้มน้ำใสเต่ง ๆ คาดว่าต่อไปเชื้อไวรัสอาจลามมาที่ตา และอาจส่งผลต่อการมองเห็นได้

ในรายนี้เมื่อผู้ป่วยได้รับเป็นยาอะซัยโคลเวียร์ชนิดเม็ด ขนาด 800 มิลลิกรัม กินวันละ 5 ครั้ง (ทุก 4 ชั่วโมง) เมื่อได้ใช้ยาไปเพียง 1-2 วัน ตุ่มน้ำใสก็หยุดการลุกลาม และหยุดอยู่แค่ที่หน้าผาก (ยังไม่ลามเข้าที่หนังตาและลูกตา) พร้อมทั้งตุ่มน้ำใสเริ่มเหี่ยวลง ไม่เต่งเหมือนเดิม เมื่อใช้ยาต่ออีก 4-5 วัน ก็ตกสะเก็ด ต่อมาจึงหายเป็นปกติ

ดังนั้น การใช้ยาชนิดนี้เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส จึงควรให้ยาให้เร็วที่สุด เพื่อหยุดการลุกลามของโรค แต่ถ้าโรคงูสวัดลุกลามเต็มที่แล้ว เช่น เมื่อผู้ป่วยเริ่มตกสะเก็ดแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยานี้ หรือใช้ยานี้แล้ว ก็จะไม่เกิดประโยชน์ในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสแต่อย่างไร กลับเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุอีกด้วย

การใช้ยาทุกครั้งจะต้องมองถึงความคุ้มค่า และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

เป็นงูสวัดไปรักษากับหมอจีน ดีไหม?

อีกประเด็นหนึ่งที่พบได้บ่อยเมื่อผู้ป่วยเป็นงูสวัด คือ การไปรักษาแบบแพทย์แผนจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมจ่ายยาสมุนไพรมาปิดพอกทับที่ตุ่มและแผลของงูสวัด

จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า การนำสมุนไพรจีนมาพอกปิดที่ตุ่มน้ำใส และแผลของงูสวัดนั้นเกิดประโยชน์น้อย ไม่คุ้มค่า คืออาจจะช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง แต่ผลเสียที่ตามมาค่อนข้างมาก คือมักทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนทีแผลของงูสวัด และทำให้แผลหายช้าลงกว่าปกติ

ปัจจุบันจึงไม่แนะนำให้ไปพอกยาจีนที่ตุ่มและแผลของงูสวัดแล้ว ประกอบกับมียาแผนปัจจุบันที่ได้ผลดีกว่าอย่างชัดเจน ถ้าผู้ป่วยงูสวัดที่ต้องการใช้ยา จึงแนะนำให้ใช้ยาอะซัยโคลเวียร์เป็นดีที่สุด "คุ้มค่าปลอดภัย และประหยัด"

การดูแลแผลของูสวัด

นอกจากนี้ เมื่อตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผลเปิด ก็ควรดูแลสุขอนามัยของแผลเช่นเดียวกับแผลทั่วไป เช่น การล้างแผลและทำแผลให้สะอาด ปราศจากเชื้อแบคทีเรียในรายที่มีแผลเป็นจำนวนมาก อาจพิจาณาเลือกใช้ยาปฏิชีวนะคล็อกซาซิลลิน (cloxacillin) เพื่อช่วยลดการติดเชื้อแบคทีเรีย ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ควรไปแกะเกาที่ตุ้มน้ำใสหรือแผล เพราะจะทำให้ลุกลามเป็นมากขึ้น หายยากขึ้นด้วย

ถึงตอนนี้คงจะกระจ่างแล้วว่า ยารักษางูสวัดนั้นมีจริงและได้ผลดีในการเลือกใช้ยาควรพิจารณาถึง "3 ป" ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และประหยัด เพื่อให้ได้ใช้ยาอย่างพอเพียง ไม่มาก หรือน้อยเกินไป เป็นการใช้ที่คุ้มค่า

ฮิสทีเรีย ไม่ได้แปลว่า บ้าผู้ชาย

ยังคงมีหลายคนที่เข้าใจผิดเรียกผู้หญิงที่มีอาการมากชายหลายรัก หายใจเข้าออกเป็น เซ็กซ์ ว่าเป็นสาว ฮิสทีเรีย นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดมาก ก..ก อย่าได้เอาไปพูดกับเจ้าของภาษาให้เขาได้งงจนเกาหัวแกรกเชียว เพราะจริงๆ แล้วเขาเรียกอาการเสพย์ติดเซ็กซ์ที่ว่า ว่า นิมโฟมาเนีย (Nymphomania) ต่างหาก


Nymphomania มาจากคำว่า Nympho ที่แปลว่าผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศสูง และ Mania ซึ่งหมายถึงความคลั่งไคล้หรือบ้าคลั่ง Nymphomania จึงหมายถึงผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศสูงเกินปกติ คลั่งไคล้ในเซ็กซ์เกินปกติ ซึ่งอาการนี้เริ่มเป็นที่รู้จักกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 19

เมื่อมีลูกสาวชาวนาชาวแมสซาชูเซตส์ เกิดหาญกล้าผิดหญิงสาวในวัย(และยุค)เดียวกัน โดยการพูดลามกอนาจารต่อหน้าธารกำนัล เสนอร่างกายและพูดจาเรื่องเพศเปิดเผยอย่างไร้การควบคุม เมื่อแพทย์ได้ตรวจอาการจึงวินิจฉัยว่าเธอเป็นโรคทางกายภาพชนิดหนึ่ง

เนื่องจากพบว่ามดลูกของเธอขยายใหญ่ขึ้น ช่องคลอดหลั่งสารหล่อลื่นมากผิดปกติ รวมทั้งคลิตอริสก็ขยายใหญ่ขึ้นบ่งบอกถึงความต้องการทางเพศ (แต่ในวงการแพทย์ปัจจุบันถือว่า Nymphomania เป็นอาการป่วยทางจิต)



ผู้ป่วยที่เป็น Nymphomania จะไร้ความสามารถในการควบคุมความต้องการทางเพศ เรียกร้องการตอบสนองในเรื่องเซ็กซ์อยู่ตลอดเวลา โดยไม่คำนึงว่ากับใคร ที่ไหน และจะเกิดผลอะไรตามมา และแม้จะได้รับการตอบสนองทางเพศหลายครั้งก็ยังไม่เพียงพอ

ทำให้ผู้ป่วย Nymphomania ต้องเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น รวมถึงต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองหลายครั้งต่อวันเพื่อบรรเทา ความอยาก ที่เกิดขึ้น

Nymphomania เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งด้านกายภาพ จากความผิดปกติของกลีบสมองในส่วนขมับซึ่งจะพบได้น้อยมาก หรืออาจเกิดจากการได้รับยาบางชนิดมากจนเกินไป รวมไปถึงการติดสารเสพติด ส่วนสาเหตุด้านสภาพจิต เกิดจากความผิดปกติทางอารมณ์ที่มีความต้องการทางเพศมากเกินไป

อารมณ์ไม่คงที่ สภาวะซึมเศร้าที่ทำให้สารเคมีในสมองเปลี่ยนไป และการได้เห็นคนร่วมรักกันตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งอาการเช่นนี้ก็เกิดได้ในผู้ชายเช่นกัน แต่จะเรียกว่า สไตเรียซิส (Satyriasis)

แล้ว ฮิสทีเรีย ล่ะ คืออะไร? ฮิสทีเรียเป็นอาการที่เกิดได้กับทั้งหญิงและชาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ



โรคประสาทฮิสทีเรีย จะแบ่งเป็น Conversion Reaction คือคนที่มีความเครียด กังวลใจ หรือเกิดความขัดแย้งในจิตใจอย่างรุนแรง จนเกิดความผิดปกติในระบบการเคลื่อนไหวหรือรับรู้ เช่น เป็นอัมพาต ชาตามแขนและขา และ Dissociative Type คือสูญเสียความจำในบางเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจจนไม่ต้องการรับรู้

บุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย ผู้ที่มีอาการนี้จะมีความเป็นเด็กสูง เจ้าอารมณ์ ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยการแสดงออกที่มากเกินความจริง ซึ่งอาจเกิดจากการขาดความรัก ความอบอุ่นในวัยเด็ก

เห็นไหมว่า นิมโฟมาเนีย กับ ฮิสทีเรีย น่ะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าเผลอเรียกผิดอีกล่ะ!

โรคฮันนีมูน(Honeymoon disease)

เป็นโรคที่เกิดเฉพาะในเพศหญิงที่มีการอักเสบบริเวณท่อปัสสาวะ(Urethritis)หรือ ช่องคลอด(Vaginitis)หรือ กระเพาะปัสสาวะ (Cystitis)หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดอาการแสบหรือเจ็บบริเวณท่อปัสสาวะในขณะถ่ายปัสสาวะ บางคนอาจถึงขั้นติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้ามีภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบหลังการมีเพศสัมพันธ์ ก็จะเรียกว่า โรคฮันนีมูน ซิสไตติส (Honeymoon Cystitis) 



ที่มาของชื่อโรคฮันนีมูน……
            ในสมัยโบราณ การมีเพศสัมพันธ์จะเกิดได้ต้องหลังแต่งงานเท่านั้น และมักเกิดในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์หลาย ๆ ครั้ง ในระยะเวลาอันสั้น ก็คือช่วงที่ฮันนีมูน จึงเรียกกันว่า โรคฮันนีมูน 


สัญญาณอันตราย สังเกตดูคุณมีหรือไม่
            - ขณะถ่ายปัสสาวะ มีอาการแสบบริเวณปลายท่อปัสสาวะ หรือบริเวณปากช่องคลอด
            ถ้ามีภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบร่วมด้วย ก็จะมีอาการปัสสาวะบ่อยทั้งกลางวัน กลางคืน ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะขัด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะแล้วรู้สึกว่าไม่สุดต้องไปปัสสาวะอีกแม้เพิ่งปัสสาวะเสร็จ
            บางคนอาจจะมีอาการปวด หรือแสบบริเวณท้องน้อยร่วมด้วยทั้งตอนปวดและไม่ปวดปัสสาวะ
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้
            1.กลุ่มคนที่มีกิจกรรมเพศสัมพันธ์ หรือลักษณะคล้าย ๆ กันนั้นบ่อยครั้ง และหลายครั้งในเวลาอันสั้น
            2.ผู้ที่ดื่มน้ำน้อย
            3.ผู้ที่ชอบกลั้นปัสสาวะนาน ๆ
            4.ผู้ที่เคยรับการผ่าตัด หรือการรักษาด้วยการฉายแสงบริเวณกระเพาะปัสสาวะและอวัยวะเพศมาก่อน
            5.ผู้ที่มีภาวะต้านทานของร่างกายต่ำกว่าปกติ




การรักษา
            เบื้องต้นควรจะพักกิจกรรมทางเพศในระหว่างที่มีอาการดังที่กล่าวมา หมั่นดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อระบายเชื้อโรคบริเวณกระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะออก(ถ้ามี)
          *ถ้ามีอาการมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ซึ่งมักจะต้องกรวดน้ำปัสสาวะ และอาจจะเพาะเชื้อน้ำปัสสาวะ ซึ่งถ้าพบว่าผิดปกติก็ต้องกินยาปฏิชีวนะ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

หากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามสู่โรคอื่น ๆ ได้หรือไม่
            โดยส่วนใหญ่ถ้าดื่มน้ำมาก ๆ และพักกิจกรรมทางเพศก็จะหายเองได้ภายในเวลา 5-7 วัน แต่หากปล่อยทิ้งไว้และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และยิ่งถ้าหากติดเชื้อจากแบคทีเรียร่วมด้วย ก็มีโอกาสเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน เช่น กรวยไต หลอดไต ซึ่งมีผลต่อไตในระยะยาว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง หรืออาจเกิดการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้




การป้องกัน
            - ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน
            ดูแลความสะอาดบริเวณปลายท่อปัสสาวะและอวัยวะเพศ
            มีกิจกรรมทางเพศอย่างเหมาะสม โดยหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ควรไปปัสสาวะและทำความสะอาดบริเวณท่อปัสสาวะ รวมถึงอวัยวะเพศ
            ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานเกินไป
            สังเกตพฤติกรรมการปัสสาวะของตนเองว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากปกติที่เคยปฏิบัติหรือไม่ ภายหลังการเดินทาง โดยเฉพาะการฮันนีมูน
            ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

           การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ชาติ แต่ควรมีเพศสัมพันธ์อย่างเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป และอย่างถูกกาลเทศะ เพราะโรคนี้มีโอกาสเป็นซ้ำได้ ถ้ามีกิจกรรมทางเพศบ่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นการฮันนีมูนรอบสอง หรืออีกหลาย ๆ รอบได้ ดังนั้นกระเพาะปัสสาวะของเราเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าดูแลรักษาไม่ดีก็อาจนำไปสู่ภาวะหรือโรคร้ายแรงได้ เช่น โรคไต นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ และเนื้องอกได้.

ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้ำ Son Doong ที่ประเทศเวียดนาม









19 ม.ค. 2554

เทคนิคการถ่ายภาพแบบใหม่ ที่สามารถติดตามโรคในสมองระดับลึกได้

นักวิจัยได้พัฒนาเทคนิคใหม่สำหรับการติดตามดูสมองในระดับลึกของหนูเพื่อดูการทำงานของประสาทแบบในเวลาจริง วิธีการซึ่งแตกต่างจากวิธีมาตรฐานช่วยให้สามารถติดตามตำแหน่งเดียวกันในสมองได้นานเป็นเดือน ทำให้ได้ข้อมูลใหม่ๆในโรคมะเร็ง โรคทางด้านประสาท หรือปัจจัยที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ

งานวิจัยนี้จะให้ได้ภาพตามช่วงเวลาที่สนใจ ที่ตำแหน่งเดิม และไม่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งที่เราสนใจ ซึ่งเป็นผลงานทีมวิจัย จากหน่วยกล้องจุลทรรศน์ ของมหาวิทยาลัยสเตนฟอร์ด ประเทศอเมริกา ซึ่งผลงานของทีมวิจัยได้รับการเผยแพร่ใน Nature Medicine

เทคโนโลยีนี้ได้อาศัยท่อแก้วเป็นตัวนำทาง ท่อแก้วนั้นความกว้างประมาณครึ่งหนึ่งของเมล็ดข้าว ถูกฝังลงในสมองส่วนลึกของหนู(anaesthetized mice) ไมโครออพติคอลที่เรียกว่า microendoscope จะถูกสอดลงไปตามท่อแก้วนั้นลงไป ทำให้นักวิจัยสามารถติดตามดูสมองในตำแหน่งเดิมซ้ำในช่วงสัปดาห์ หรือในรอบเดือนได้


ภาพ a : ตำแหน่งของท่อแก้วนำทางที่ถูกฝังลงไปในสมองของหนู b: microendoscope probes หลายขนาด c: แผนภาพการทำงานของกล้อง การเดินทางของแสงผ่านไมโครออพติค

ทีมวิจัยจากสแตนฟอร์ดได้ยืนยันหลักการนี้ โดยติดตามการเจริญของเซลล์มะเร็งสมอง(glioma brain cancer cells) วีดีโอที่แสดงเป็นภาพแบบ 3 มิติ สร้างจาก 220 ภาพซ้อนกัน ในขนาดประมาณ 3 ไมโครเมตร แสดงการเจริญของเส้นเลือดในสมองส่วนไฮโปธาลามัสของหนู

Google Body Browser แสดง anatomy แบบ 3 มิติบนเว็บ

Google ได้ปล่อย web application ตัวใหม่ ที่ใช้ความสามารถของ WebGL ในการทำภาพ 3 มิติ ของร่างกายมนุษย์ ใช้ชื่อเรียกว่า Body Browser ซึ่งเป็นเว็บที่แสดงร่างกายตั้งแต่ภายนอก ลึกลงจนถึงกระดูกและเส้นประสาทโดยแบ่งเป็นชั้นๆ ใช้ UI คล้ายกับโปรแกรม Google Earth น่าจะถูกนำขึ้น Web Store ในไม่ช้านี้

ตอนนี้สามารถทดลองใช้ได้แล้วที่ Google Body Browser แต่ต้องใช้ browser ที่รองรับ WebGL ด้วย ตัวที่รองรับ ณ ตอนนี้ได้แก่ Google Chrome 8 (ต้องเข้าไป enable เองที่ about:flags), Chrome 9 dev กับ Canary ใช้ได้เลย และ Firefox 4 beta




ความสามารถของ Google body browser คือ สามารถค้นชื่ออวัยวะต่างๆในร่างกายได้ แสดงชื่อของอวัยวะส่วนต่างๆ โดยแบ่งตามชั้นความลึกของร่างกาย แสดงตั้งแต่ผิวหนังชั้นนอก ลึกจนถึงกระดูก เส้นประสาทและสมอง จะเลือกให้แสดงเป็นบางชั้นหรือแสดงตามความลึกก็ได้ ซูมเข้าออกได้ หมุนภาพได้ทุกทิศทาง

นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษา anatomy หรือทบทวนความรู้ได้เป็นอย่างดี

อุปกรณ์เสริมทำให้ iPhone, iPod touch เป็นเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด



บริษัท Sanofi-aventis และ AgaMatrix ได้พัฒนาเครื่อง iBGStar™ Blood Glucose Meter เป็นอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone หรือ iPod touch โดยเครื่องตรวจจะทำการตรวจวัดน้ำตาลในเลือดผ่าน strip แล้วอ่านค่าและรายงานผลให้ iPhone หรือ iPod touch ซึ่งสามารถแสดงผล และจัดการกับข้อมูลที่ได้มา ผ่านทาง Application ที่ชื่อ iBGStar™ Diabetes Manager App โดยสามารถบันทึกข้อมูล สั่งพิมพ์ หรือส่งผลการตรวจผ่านทางอีเมลให้หมอได้


อุปกรณ์นี้ยังรอการพิจาณาจาก FDA องค์การอาหารและยาของอเมริกา ซึ่งมีปัญหาอีกอย่างคือ iPhone หรือ iPod touch นั้นไม่ผ่านการพิจารณาเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ถ้าไม่ผ่านการพิจารณาก็ไม่มีสิทธิทำการค้าในอเมริกา แต่อาจจะมีการทำตลาดในประเทศอื่นๆ คาดว่าราคาจะอยู่ที่ประมาณ $80 (2,454 บาท)