25 ส.ค. 2554

ขนมปังชิ้นที่ 3(ตัน อิชิตัน) ชอบความคิดเขาจัง


มีลูก 3 คน มีบ้าน 2 หลัง จะแบ่งยังไงดีครับ? เพื่อนผมคนหนึ่งคิดยังไงก็คิดไม่ตก เกษียณอายุราชการแล้วยังต้องทำงานงกๆ

“สู้เพื่อลูก”ผ่อนบ้านหลังที่ 3 กลัวแบ่งสมบัติไม่ลงตัว เดี๋ยวจะนอนตายตาไม่หลับ

ผมบอกถ้าไม่อยากวุ่นวาย..ง่ายนิดเดียว

แค่ขายบ้านให้หมด แล้วใช้เงินให้มีความสุขกับชีวิตหลังเกษียณ

เหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น..

ตอนพ่อแม่ผมเสีย ไม่ได้มีเงินทองมากมาย

ผมเลือกพระหนึ่งองค์เป็นสมบัติจากพ่อ

หยิบแหวนวงเดียวจากกองมรดกของแม่

สมบัติสุดท้ายไม่กี่ชิ้นของพ่อกับแม่ที่เทกองบนโต๊ะ..ผมกับพี่น้องแบ่งกันยังไงก็ลงตัว

สำห รับผมในวันนี้สอนลูกตั้งแต่พวกเขายังเล็ก

ว่าการศึกษาเท่าที่เขาต้องการคือสมบัติที่ผมจะให้

น้องกิฟท์ลูกสาวคนโตรู้ดีและเขาเข้าใจว่าผมไม่มีนโยบายเก็บเงินให้ลูก

วันหนึ่งเขาบอกผมว่า “ป่าป๊า ไม่ต้องห่วงกิฟท์ ธุรกิจและเงินที่ป่าป๊าทำมาไม่ต้องเผื่อกิฟท์ หนูรับผิดชอบตัวเองได้”

ผมให้เงินเขาก้อนหนึ่ง ไปตั้งต้นร้านอาหารชื่ออิซีลี่ บริหารไม่นานก็เจ๊ง

เขาใช้โอกาสอีกครั้งกับเงินทุนที่เหลืออยู่ตั้งใจทำร้านอาหารใหม่ชื่อแซ่บอีลี่

คราวนี้เขาไม่ประมาทและตั้งใจกว่าเดิมอีกหลายเท่า จนวันนี้ร้านแซ่บอีลี่ก็อยู่ได้

ลูกทุกคนของผมรู้ดีว่าสมบัติทุกอย่างที่ผมให้ ถ้าไม่ตั้งใจทำย่อมมีวันหมด

ผมให้โอกาสการศึกษาเต็มที่..ที่เหลือเขาต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวของเขาเอง

ไม่ใช่ผมไม่รักลูก แต่ใช่ว่ามีเงินเยอะๆ แล้วจะดีสำหรับเขา

ผมอยากให้ลูกได้รู้จักกับความยากลำบาก ไม่อยากให้เคยชินกับความสบาย

ไปต่างประเทศด้วยกันทุกครั้ง ลูกๆ ทุกคนต้องนั่งเครื่องบินชั้นอิโคโนมี

บางครั้งน้องเก็ตลูกชายยังเป็นเด็ก เขาเคยแผลงฤทธิ์ไม่พอใจทำไมไม่ได้นั่งบิซิเนสคลาสด้วยกัน

วันนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ทำงานหาเงินเองได้เมื่อไหร่

วันนั้นเขาจะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง

ประสบการณ์สอนให้ผมรู้ว่าเงินเป็นได้ทั้งความทุกข์และความสุข

ในวันที่ต้องดิ้นรน เงิน คือ สิ่งจำเป็น

เป็นขนมปังชิ้นแรกที่ประทังชีวิต

ขนมปังชิ้นที่สอง คือ ความอร่อย มีชีวิตที่สุขสบาย หายเหนื่อย

มากกว่านั้น...กินเท่าไหร่ก็เป็นส่วนเกิน

ขนมปังชิ้นที่สาม คือ ยาพิษ

อะไรที่มากเกินไปมักจะไม่มีประโยชน์ กลายเป็นให้โทษมากกว่าคุณ..

เงินก็เช่นกัน...

ถ้าคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีบุญหล่นทับร่ำรวยเป็นพันๆ ล้าน

คุณอาจไม่รู้จักคุณค่าของความพยายาม

ชีวิตนี้อาจไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องออกแรงดิ้นรนอะไรอีกต่อไป

เงินถ้าไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักหา ไม่รู้จักคุณค่า...มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ

ถ้าหน้าที่ของพ่อแม่คือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก

เราควรรักลูกแบบไหน?

ลองถามตัวเองดูว่าเรากำลังยื่นขนมปัง "ชิ้นที่สาม" ที่เต็มไปด้วยยาพิษให้ลูกหรือเปล่า




10 เคล็ดลับกู้แบต iPhone ยามฉุกเฉิน


คุณผู้อ่านเคยเจออาการแบบผู้เขียนบ้างไหมครับ คือเวลาที่ออกมาทำงาน หรือ เรียนหนังสือ เผลอเล่นเจ้า iPhone ซะเพลิน จนลืมคำนวนแบตเตอรี่ให้พอใช้ได้ตลอดทั้งวัน พอนึกขึ้นได้ ก็เจอกับไอค่อนแบบเตอรี่สีแดง พร้อมกับจำนวนของแบตเตอรี่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อยู่ข้างนอกบ้าน จะหาที่ชาร์ตก็เป็นได้ยากแน่ๆ ทีนี้ล่ะก็งานเข้ากันอย่างแน่นอน วันนี้เออาร์ไอพีเลยขอเสนอวิธีประหยัดแบบเตอรี่ยามฉุกเฉิน 10 วิธีด้วยกัน จะมีอะไรบ้างลองไปดูกันเลยครับ

1.ปิดการค้นหาสัญญาณ 3G
เพราะการเปิดการทำงานผ่านระบบ 3G ต้องใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าปกติ ทางที่ดีถ้าไม่ได้ใช้งาน หรือ ใช้งานที่ไม่ได้ต้องการความเร็วมากๆ ลองปิดระบบ 3G โดยเข้าไปที่ Setting > General > Network > Enable 3G = OFF


2.ปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi
แม้จะไม่ได้ใช้สัญญาณ Wi-Fi อยู่ แต่ถ้าหากเปิดการเชื่อมต่อ Wi-Fi ไว้ โดยปกติแล้ว iPhone จะมีการค้นหาสัญญาณ Wi-Fi อยู่เป็นระยะ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เข้าไปปิดได้ที่ Setting > Wi-Fi = OFF


3.ปิด Personal Hotspot
ในหัวข้อนี้คุณผู้อ่านบางท่านอาจจะเจอบ้างไม่เจอบ้าง เนื่องจาก Personal Hotspot จะมีเพิ่มเข้ามาใน Firmware 4.3 ขึ้นไป ดังนั้นหากท่านใดที่เปิดไว้ แล้วไม่ได้ใช้งาน ควรปิดไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ที่เคยต่อกับ iPhone ไว้แล้วมีการต่อสัญญาณไปยังอินเตอร์เน็ตโดยไม่รู้ตัว โดยเข้าไปที่ Setting > Personal Hotspot = OFF


4.เลือกเปิดเฉพาะ Noticfication ที่จำเป็น
การที่เครื่อง iPhone ต้องเช็คกับ Server ของทาง Apple เพื่อขึ้นข้อความ Noticfication ตลอดเวลา ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่หมดใหม่ ควรเลือกเปิดเฉพาะ Noticfication ที่จำเป็น หรือหากไม่ต้องการใช้จะปิดไปเลยก็ได้ โดยเข้าไปที่ Setting > Noticfications = OFF (หรือเลือกเปิด-ปิดเฉพาะ Application ที่ต้องการ)


5.ปิดการใช้ Location Service
Location Service คือการอ้างอิงตำแหน่งของเครื่อง ตามตำแหน่งดาวเทียม GPS หรือ Cell site ในกรณีที่เปิด Application ที่ต้องการร้องขอตำแหน่งของตัวเครื่อง แน่นอนว่าก็เป็นการเปลืองพลังงานแบตเตอรี่อีกเช่นกัน ในกรณีที่คุณไม่ต้องการใช้งานให้เข้าไปปิดได้ที่ Setting > Location Services = OFF (หรือเลือกเปิด-ปิดเฉพาะ Application ที่ต้องการ)


6.ปรับระดับความสว่างของจอให้พอเหมาะ
ปกติแล้วหน้าจอของ iPhone จะมีเซ็นเซอร์ที่คอยวัดแสงของสภาพแวดล้อม และปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม แต่ในกรณีที่แบตใกล้หมดจริงๆ การปิดโหมดการวัดแสง ก็ช่วยรักษาระดับพลังงานแบตเตอรี่ได้เช่นกัน โดยเข้าไปปรับได้ที่ Setting > Brightness > Auto-Brightness = OFF (แต่ควรปรับระดับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมด้วยตนเอง ซึ่งถ้าเป็นสว่างกว่าความจำเป็น ก็เป็นการเปลืองแบตเตอรี่อีกเช่นกัน)


7.ปรับรอบการเช็ค Push เมล์
ถ้าคุณผู้อ่านเปิดระบบ Fetch ไว้ (การแจ้งเตือน Email ใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน) ซึ่งจะมีรอบของการเช็คให้เลือก 15 นาที, 30 นาที และ Hourly ด้วยกัน ถ้าไม่ได้รอรับอีเมล์สำคัญจริงๆ ก็ควรเปลี่ยนระบบนี้ไปที่ Manually คือจะเช็คก็ต่อเมื่อมีการเปิด Application ของ Email เท่านั้น โดยเข้าไปที่ Setting > Mail, Contacts, Calendars > Fetch New Data > Fetch = Manually


8.ปิด Applicaiton ที่ค้างใน Multitask
แม้ว่าจะไม่ได้เปิด Application นั้นไว้แล้วก็ตาม แต่ถ้า App ใดที่สนับสนุนการทำงานแบบ Background ก็ย่อมทำให้เครื่องต้องรับภาระประมวลผลเพิ่มเช่นกัน จึงยิ่งทำให้ต้องศูนย์เสียพลังงานโดยปล่าวประโยชน์ ดังนั้นก็ควรปิด App ที่ไม่จำเป็นซะ โดยกดที่ปุ่มโฮมไวๆ 2 ครั้ง จากนั้นกดที่ไอค่อนข้างไว้ 2-3 วินาที และกดปุ่มเครื่องหมายลบ


9.ปิด Bluetooth
Bluetooth ของ iPhone นั้น เป็นแบบ Discoverable (สามารถมองเห็นจากเครื่องอื่นได้ตลอดเวลา) ดังนั้นย่อมใช้พลังงานในการส่งสัญญาณออกไปตลอดเวลา จึงควรปิดเมื่อไม่ต้องการใช้ โดยเข้าไปที่ Setting > General > Bluetooth = OFF


10.ไม้ตายสุดท้าย ปิดสัญญาณ Cellular Data
ถ้าหากฉุกเฉิน ถึงขั้นที่แบตใกล้หมดเต็มที แต่ยังจำเป็นต้องใช้ iPhone โทร-เข้าออกอยู่ ก็ต้องเสียสละในส่วนของสัญญาณ Internet ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ (Cellular Data) เพราะถึงแม้จะใช้งาน Internet ไม่ได้ แต่ก็ยังต่ออายุให้ iPhone สามารถโทร-เข้าออกได้ไปอีกระยะหนึ่ง โดยเข้าไปที่ Setting > General > Network > Cellular Data = OFF


23 ส.ค. 2554

หาหมอกูเกิลดีไหม

เมื่อ 20 ปีก่อน แหล่งข้อมูลด้าน การแพทย์ของคุณคือหมอเท่านั้น กลับจากโรงพยาบาลศัพท์แปลกๆที่ หมอวินิจฉัยมายังคงวนเวียนอยู่ใน หัว ถ้าอยากรู้ก็ต้องหยิบพจนานุกรม แพทย์ประจำบ้านมาปัดฝุ่นค้นหาอาการ หากไปร้านหนังสือหรือเข้าห้องสมุดค้นคว้าจากวารสารวิชาการแล้วยังไม่จุใจ ก็ไม่มีทาง อื่นที่จะรู้ว่าคุณป่วยเป็นอะไรกันแน่

แต่ทุกวันนี้นะหรือ แค่มีอาการปวดแปล๊บ ก็สามารถออนไลน์ได้ หลายคนใช้อินเทอร์ เน็ตเป็นประจำเพื่อดูข้อมูลสุขภาพ พิมพ์ อาการลงไปก็สามารถค้นรายงานผลการวิจัย ดูวิธีการบำบัดแบบทางเลือก ได้กำลังใจจากเครือข่ายผู้ป่วย อ่านเรื่องที่เป็นแรงบันดาล ใจ จะซื้อยาหรือแสดงความเห็นของตนเอง ก็ยังได้ ความลี้ลับของศัพท์ทางการแพทย์ มลายหายไป เอกสารทางการแพทย์ฉบับ เต็มและข้อมูลสำหรับผู้บริโภคหลายล้าน หน้าสามารถหาอ่านได้เพียงแค่คลิกเท่านั้น

ทุกอย่างฟรี สะดวก และทันใจ บาง ครั้งเร็วยิ่งกว่าปรึกษาแพทย์เสียอีก ดร. ลี วิง คิง ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช วิทยาลัย จิตเวชศาสตร์ฮ่องกง เล่าว่า “เพื่อนของ อาจารย์ท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยของผม สงสัยว่าลูกชายเขาจะป่วยด้วยโรคหายากจึง ถามอาจารย์ท่านนั้น พออาจารย์ตอบอีเมล ไป หนึ่งชั่วโมงต่อมา เพื่อนคนนั้นก็บอก ว่าได้รับข้อมูลมากพอแล้วจากกูเกิลและ ตัวอย่างวิดีโอบนยูทูป”

พญ. อรพิชญา ไกรฤทธิ์ อายุรแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ คณะ แพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ ความเห็นต่อการหาข้อมูลสุขภาพทางเว็บไซต์ ว่า “มีข้อดีหลายอย่าง อย่างแรกแสดงว่า คนเราดูแลตัวเองดีขึ้น หมออาจไม่มีเวลา ให้ความรู้ก็หาเพิ่มเติมได้ และคนไข้รู้จัก ทางเลือกอื่นในการดูแลที่ไม่ต้องใช้ยามาก ขึ้น คนสมัยก่อน หมอสั่งอย่างไรก็ต้องทำ อย่างนั้น คนไข้ของหมอเองเป็นผู้สูงอายุ ลูกๆคนไข้มักพิมพ์ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หนาเป็นเล่มมาถามเกี่ยวกับการใช้ยาและ สมุนไพร” หมออรพิชญาเสริมว่า “การศึกษา เพิ่มเติมถือเป็นสิทธิของผู้ป่วย ถ้าไม่เชื่อ ความเห็นของหมอ คุณก็เช็กดูได้จากทาง อินเทอร์เน็ต แล้วนำสิ่งที่คุณรู้นั้นมาคุยกัน”

ผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำอย่างสุทัศน์ สอนบาลี ช่างภาพและนักเขียนอิสระวัย 45 ก็ได้ประโยชน์จากการค้นหาข้อมูลสุขภาพ “เวลาจะต้องกินยาที่ไม่เคยกินมาก่อน ผมจะ เข้าเน็ตหาดูข้อมูลประกอบค่อยตัดสินใจ อ่าน ตามเว็บบอร์ดก็ได้ความรู้ค่อนข้างละเอียด แต่เป็นประสบการณ์ของคนที่ เขียนไว้ มีคนแลกเปลี่ยนกับเรา บางครั้งเป็นหมอ ก็มี หรือเมื่อหลายเดือน ก่อน หัวเข่าของผมบวม เดินไม่ได้ ก็เข้ากูเกิล หาร้านขายอุปกรณ์การ แพทย์ดูไม้ค้ำว่ามีขายที่ ไหน ราคาเท่าไหร่”

ข้อมูลล้นหลามจะเชื่ออะไรดี

ให้ลองพิมพ์คำว่า “ปวดหัว” แล้วคุณจะพบ สาเหตุของอาการ ตั้งแต่ไมเกรน, ความ เครียด, การควบคุมอาหาร, มาลาเรีย, การ บาดเจ็บที่ศีรษะ ไปจนถึงเนื้องอกในสมอง โปรแกรมค้นหาจะแสดงลำดับของเว็บไซต์ โดยอาศัยสูตรคำนวณที่ซับซ้อน จำนวน ผู้เยี่ยมชม และคำสำคัญที่ผู้เขียนเว็บไซต์ เตรียมไว้ หมายความว่าคุณอาจสับสนแล้ว เข้าใจผิดว่าอาการของโรคที่หายากและร้าย แรงนั้นเป็นอาการของคุณเอง

แต่รานชิต เการ์ ประธานสมาคมสงเคราะห์ มะเร็งเต้านมของมาเลเซีย เห็นว่าการรับข้อมูลจาก สื่ออื่นอย่างหนังสือพิมพ์ และหนังสือก็ทำให้เข้าใจ ผิดได้เช่นกัน เธอกล่าว ว่า “ข้อมูลบนเว็บไซต์ที่ เกี่ยวกับมะเร็งส่วนใหญ่ เป็นประโยชน์มากกว่า โทษ” และ “เป็นหน้าที่ของ ผู้อ่านที่ต้องตรวจสอบ ความถูกต้องและน่าเชื่อถือ ของข้อมูลและแหล่งที่มา” ที่สำคัญคือต้องพิจารณา ว่าข้อมูลไหนมีประโยชน์ อย่างแท้จริง

วาสนา ประเสริฐเวช- ทนต์ คุณแม่วัย 42 มี ลูกสาวอายุหนึ่งขวบครึ่ง เธอเป็นผู้หนึ่งที่ชอบท่องเน็ตเพื่อค้นข้อมูล ด้านสุขภาพ “เวลาหมอบอกว่าลูกควรฉีด วัคซีนอะไร ดิฉันจะเสิร์ชดูก่อน บางเว็บไซต์ มีบอกว่าวัคซีนนี้เป็นอย่างไร ผลิตจากอะไร ใครนำเข้า หรือดูข่าวโทรทัศน์แล้วมีอะไร ใหม่ๆ อย่างเช่นมะรุมที่บอกว่าป้องกันมะเร็ง ดิฉันก็เข้าเน็ตหาอ่านเพิ่มเติม บางครั้งพบ ข้อมูลที่ขัดแย้งกัน อย่างเว็บแนวการกินอยู่ เพื่อสุขภาพบางเว็บบอกว่าควรกินโปรตีน จากถั่วเหลือง อีกเว็บบอกไม่ควรกิน ซึ่งมา จากแหล่งที่น่าเชื่อถือทั้ง สองฝ่าย ไม่ได้ปักใจเชื่อ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะ ความรู้ที่ขัดแย้งกันอาจ เป็นเรื่องใหม่ ยังไม่มีการ ศึกษาอย่างละเอียด เรา อ่านเก็บเป็นความรู้ไว้ก่อน แล้วรอดูต่อไป”



เทคโนโลยีล่าสุดด้านการแพทย์ ประจำปี 2554

รีดเดอร์ส ไดเจสท์ติดต่อสอบถามไปยังแพทย์และนักวิจัยชั้นนำทั่วโลกเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข่าวใหม่ด้านการแพทย์ที่น่าสนใจตลอดรอบปีที่ผ่านมา มีการค้นพบอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นยา หรืออุปกรณ์การแพทย์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดไหม มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆอะไรที่มีผลเปลี่ยนแปลงการรักษาหรือไม่ คำตอบที่เราได้รับก็คือความตื่นเต้นและแรงบันดาลใจใหม่ เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษาโรคและอาจช่วยชีวิตคุณไว้ได้

หัวใจที่เติมพลังได้ใหม่

แอลเจโล ทิกาโน วัย 50 ปี เป็นชาวออสเตรเลียรายแรกที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเทียมชนิดเต็มรูปแบบ (Total Artificial Heart implant) เขากลายเป็นความหวังใหม่ให้กับผู้ป่วยอีก 86 รายที่กำลังรอคอยการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจอยู่ในขณะนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ทิกาโนจากเขตแฟร์ฟิลด์ในซิดนีย์ได้รับการผ่าตัดหัวใจเก่าออกและใส่หัวใจเทียมเพื่อให้สูบฉีดเลือดแทนหัวใจห้องขวาล่างและซ้ายล่าง หัวใจเทียมรุ่นนี้สามารถสูบฉีดเลือดได้มากถึง 9.5 ลิตรต่อนาที ก่อนผ่าตัด ทิกาโนเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดพักหายใจหอบ และท้ายที่สุดเขาเหนื่อยมากกระทั่งกินและนอนไม่ได้ นายแพทย์พอล แจนซ์ ศัลยแพทย์หัวใจจากโรงพยาบาลเซนต์ท์วินเซนต์ในซิดนีย์ กล่าวว่า “เขาจำเป็นต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจทันที ไม่อย่างนั้นอาจอยู่รอดอีกไม่ถึงสองสัปดาห์”

“หัวใจเทียมรุ่นนี้ใช้ได้ผลดีมากและช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ป่วยหลายคนที่อยู่ระหว่างพิจารณาการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ” หมอแจนซ์กล่าว เขาวางแผนจะผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเทียมให้กับผู้ป่วยปีละห้าราย “หัวใจเทียมรุ่นนี้มีขนาดเล็กลงจึงสามารถใช้ได้กับผู้ป่วยรูปร่างเล็ก และยังใช้ลิ้นหัวใจรุ่นใหม่ซึ่งไม่มีปัญหาลิ่มเลือดเกาะผิว ผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องกินยาละลายลิ่มเลือดหลังผ่าตัด”



หัวใจเทียมชนิดเต็มรูปแบบไม่ใช่อุปกรณ์ใหม่แต่อย่างใด ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป มีผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเทียมไปแล้วกว่า 900 ราย ที่บังคาลอร์ ผู้ป่วยชาวอินเดียวัย 54 ปีซึ่งมีโรคเบาหวานร่วมด้วย เป็นผู้ป่วยชาวเอเชียรายแรกที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเทียม แพทย์ผ่าตัดใส่อุปกรณ์สูบฉีดเลือดทดแทนหัวใจห้องล่างซ้ายให้กับเขาเพื่อรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว ที่สิงคโปร์ แพทย์ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเทียมลักษณะคล้ายคลึงกันชื่อฮาร์ตเมตทูให้กับผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว การผ่าตัดวิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นระหว่างรอเปลี่ยนหัวใจ

แต่ก่อนเครื่องหัวใจเทียมรุ่นเดิมเป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยจึงต้องนอนโรงพยาบาลและไม่สามารถอยู่ห่างจากเครื่องมือได้เลย หัวใจเทียมรุ่นใหม่มีขนาดเล็กมาก น้ำหนักเพียงหกกิโลกรัม ทำงานด้วยไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่ ผู้ป่วยจึงสามารถเดินไปมาได้ หัวใจใหม่พร้อมแบตเตอรี่สำรองพลังงานมอบชีวิตใหม่ให้แก่ทิกาโนและผู้ป่วยอีกสองรายที่เพิ่งได้รับการผ่าตัด “ผมรู้สึกสบายดีและยังกลับไปทำกิจกรรมโปรดสองอย่างได้อีก นั่นคือทำสวนและทำอาหารให้ครอบครัว” ทิกาโนกล่าว ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างรอรับบริจาคหัวใจใหม่

สถานะ: หัวใจเทียมชนิดเต็มรูปแบบมีใช้แล้วในขณะนี้

แมลงสาบช่วยชีวิตเราได้หรือ

ได้สิ คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมในอังกฤษยืนยันว่า สมองของแมลงสาบและตั๊กแตนมีฤทธิ์เหมือนยาปฏิชีวนะประสิทธิภาพสูง สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในมนุษย์ได้มากกว่าร้อยละ 90 รวมถึงเชื้อสแตฟโลค็อกคัส ออเรียส สายพันธุ์ดื้อยาเมทิซิลลิน และเชื้ออี โคไลชนิดก่อโรค โดยไม่ทำอันตรายเซลล์ปกติของมนุษย์

การค้นพบครั้งนี้นำเสนอในที่ประชุมของสมาคมจุลชีววิทยาในเมืองนอตทิงแฮมเมื่อปี 2553 ในอนาคตอาจพัฒนาไปสู่แนวทางใหม่สำหรับรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียประเภทดื้อยาหลายชนิด

สถานะ: ออกสู่ตลาดได้ภายใน 5-10 ปี

ยาป้องกันเลือดแข็งตัวชนิดใหม่

ปัจจุบันมีผู้คนในแถบเอเชียแปซิฟิกป่วยเป็นโรคหัวใจเต้นรัวเพิ่มมากขึ้น เฉพาะจีนประเทศเดียวมีผู้ป่วยโรคนี้ถึงแปดล้านคน สำหรับชาวออสเตรเลียพบโรคนี้ประมาณร้อยละหนึ่ง ยาป้องกันเลือดแข็งตัววาร์ฟารินมีทั้งประโยชน์ในการช่วยชีวิตและมีข้อเสียด้วย ประโยชน์คือช่วยป้องกันลิ่มเลือดอุดตันเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนที่น่ากลัวที่สุดของโรคหัวใจเต้นรัวคือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเกิดจากลิ่มเลือดอุดตันและอาจมีอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องกินยาป้องกันเลือดแข็งตัววาร์ฟาริน ซึ่งมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันโรคแทรกซ้อนดังกล่าว แต่ยามีข้อเสียตรงที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อประกอบการปรับขนาดยาให้เหมาะสม บางรายจำเป็นต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปจนกว่าระดับในเลือดจะลดต่ำลง ยาดาบิกาแทรนเป็นยาชนิดใหม่ เมื่อใช้ขนาดสูงจะมีประสิทธิภาพป้องกันโรคหลอดเลือดสมองเหนือกว่าวาร์ฟาริน หากใช้ขนาดต่ำจะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แต่ผลข้างเคียงน้อยกว่า

สถานะ: อาจมีใช้ในออสเตรเลียอีก 2-3 ปีข้างหน้า



10 ที่พักโรแมนติกใกล้กรุงเทพฯ

สำหรับใครที่อยากหาเวลาพักผ่อนแบบเป็นส่วนตัว หรือเติมความหวานให้ชีวิตคู่ แต่ก็ไม่อยากเสียเวลากับการเดินทาง เรามี 10 ที่พักโรแมนติกใกล้กรุงเทพฯ มาฝากกันจ้า

1. เซนทารา ชานทะเล รีสอร์ทแอนด์วิลล่าส์ ตราด
เหมาะกับคู่รักที่ต้องการการพักผ่อนแบบเงียบสงบ ในบรรยากาศสุดโรแมนติก ของทะเล จ.ตราด ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ที่นี่ CHAAN TALAY RESORT & VILLAS TRAT http://www.facebook.com/chaantalay



2. บ้านเรือปราณรีสอร์ท ประจวบคีรีขันธ์
ทะเลที่ใครๆก็ฮิตไปกัน คงหนีไม่พ้นทะเลหัวหิน แต่ถ้าอยากใช้วันหยุดพักผ่อนของคุณและคนที่คุณรักไปกับความเป็นส่วนตัว ขอแนะนำบ้านเรือปราณรีสอร์ท เพราะที่นี่มีบ้านพักเพียง 9 หลัง แถมได้ใกล้ชิดทะเลประจวบฯ อีกด้วย


3. รายาบุรี รีสอร์ท กาญจนบุรี
รีสอร์ทสุดหรูที่มีกลิ่นอายสไตล์บาหลี ตั้งอยู่เหนือเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี เหมาะสำหรับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ที่หลงใหลในบรรยากาศแห่งท้องน้ำและป่าเขา


4. ณดล วิลล่า มวกเหล็ก สระบุรี
เหมาะกับคู่รักที่ชอบธรรมชาติแบบร่มรื่นและเป็นส่วนตัว และยังได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของบ้านทรงไทยเดิมและความวิจิตรบรรจงของสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ๆ มาที่นี่เหมือนกับได้ย้อนยุคไปด้วย เที่ยวธรรมชาติไปด้วย คุ้มสุดๆไปเลยทีเดียว


5. Belmont Village เขาใหญ่
เดินทางไม่ถึงสองชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ก็จะถึง เบลมอนท์ วิลเลจ เขาใหญ่ บ้านพักที่แต่ละห้องจะมีดีไซน์ไม่ซ้ำกัน ยามกลางคืนทั้งรีสอร์ทจะถูกตกแต่งไปด้วยแสงไฟ เหมาะกับคู่รักที่อยากจะออกมาเดินเล่นสวีทหวานกันในยามค่ำคืน ตามคอนเซ็ปท์ของรีสอร์ทแห่งนี้ที่ว่า “Your precious memory starts here!” www.belmontkhaoyai.com


6. บึงฉวากรีสอร์ท สุพรรณบุรี
บึงฉวากรีสอร์ท ที่ไม่ได้เป็นแค่รีสอร์ทบนดิน แต่เป็นบ้านบนต้นไม้เพื่อให้ผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติอย่างสุดๆ บ้านพักทุกหลังติดริมบึงน้ำกว้างใหญ่ ชื่นชมธรรมชาติสายน้ำและต้นไม้และรับลมเย็นอ่อนๆได้ตลอดทั้งวัน เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างแท้จริง


7. บ้านอัมพวา
พาคู่ของคุณมาผ่อนคลายสุดๆ ด้วยสปาแบบไทยๆ ที่บ้านอัมพวา ยามค่ำ คู่รักสามารถเพิ่มความสวีท ด้วยการรับประทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกริมแม่น้ำแม่กลอง www.baanamphawa.com


8. เทวมันตร์ตรา รีสอร์ทแอนด์สปา
โรงแรม 5 ดาวสไตล์โคโลเนียล อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการพักผ่อนของคู่รัก ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำแควใหญ่ และมีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์


9. ต้นน้ำลำตะคอง ปากช่อง
หลบไอร้อน นอนดูดาวกันที่ ต้นน้ำลำตะคอง จุดเด่นของที่นี่คงเป็นห้องอาหารติดริมน้ำ ให้คู่รักสามารถรับประทานอาหารในบรรยากาศสุดโรแมนติกอย่างสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน


10. ระเบียงดาว ปากช่อง
ทิวทัศน์สวยงาม รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ และที่โดดเด่นคือตัวที่พัก ที่ถูกดัดแปลงมาจากเรือจริงๆ พร้อมดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแบบสบายๆกับความเป็นส่วนตัว เหมาะกับคู่รักที่ต้องการการพักผ่อนแบบเงียบสงบ http://www.rabiangrua.biz/RD_mainpage_th.php




50 ความจริงของโรงเรียนนานาชาติ

บางคนอาจจะเห็นโรงเรียนนานาชาติมันดูดีมีสกุล แต่มันก็ไม่ได้ต่างจะโรงเรียนสามัญสักเท่าไรนักหรอก...รึเปล่า?
เพราะเราเองก็เคยเรียนโรงเรียนสามัญแค่ถึงตอน อ.2 แล้วก็ย้ายไปนานาชาติ ฉะนั้น เลยไม่ค่อยรู้ว่าระบบไทยเป็นยังไงนะค่ะ งั้นที่อยู่ในลิสจะเป็นแค่ที่เรารู้มานะค่ะ

เริ่มเลยละกันนะ...

1. พูดภาษาอังกฤษกันอย่างไม่ต้องคิดแปล เพราะใช้ทุกวันแทนภาษาไทย

2. บางคนเรียนตั่งแต่เล็กพูดภาษาไทยไม่ได้ก็มี

3. การเรียนก็เป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ ถ้าคำไหนไม่เข้าใจเปิดดิก ดิกก็เป็นภาษาอังกฤษ

4. นานาชาติแบบที่สอนภาษาอังกฤษมีสามหลักสูตรหลัก ๆ คือ แบบเมกา อังกฤษ กับ ออส

5. ปิดเทอมก็จะปิดแบบประเทศของหลักสูตร เมกามี 2 เทอม อังกฤษมี 3 เทอม ออสมี 4 เทอม

6. วิชาเรียนส่วนมากจะวิชาละ 40-45 นาที วัน 8 วิชา เริ่ม 8-9 โมง เสร็จ 2.30-3.00

7. มีวิชา PE (พละ) อาทิตย์ละ 2 ครั้ง บางโรงเรียนมี 4

8. ถ้าเทอมไหนเรียนกอล์ฟก็จะไปเช่าสนามตี

9. วิชาภาษาไทยก็มี ถ้าเด็กเป็นต่างชาติก็สอนวิชานี้เป็นภาษาอังกฤษซะ

10. ม.ปลายไม่มีสายให้เลือก อยากลงวิชาอะไรก็ลง มีเยอะที่เรียนวิทย์แล้วเรียนศิลป์ไปด้วย

11. แน่นอนไม่มีสอบ O-Net A-Net แต่จะเป็นพวก SAT รึ IGCSE แทน

12. การสอน ไม่มีการเขียนบนกระดานให้จด เพราะมีชีทแจก

13. ไม่ก็อาจารย์จะพูด ๆ ๆ ๆ แล้วให้เราจดย่อ

14. หลัง ๆ ประหยัดค่าพิมพ์เลยส่งเมลไปให้นักเรียนพิมพ์กันเอง รวมไปถึงการบ้านด้วย

15. อาจารย์ก็ฝรั่งนี้แระ พูดได้อย่างต่ำ 3 ภาษาทั้งนั้น

16. ภาษาที่เจอจารย์พูดได้บ่อย ๆ ก็ สเปน กับ ฝรั่งเศส คนไหนอยู่นานหน่อยก็ไทย

17. ชอบมาเล่นกับเด็กด้วย นิยมเปิดเพลงในห้องตอนให้เด็กทำงาน

18. มีครูเอา PSP ไปเล่นตอนคุมเด็กสอบด้วย

19. ถ้าใครไม่พูดออกความคิดเห็นในคลาสจะจับตก =___=

20. วิชา Health Class (สุขศึกษา) มีสอนใส่ถุงยาง...เริ่มสอนเรื่องเพศตอน Grade6 / Year7

21. เด็กส่วนมากก็รู้อยู่แล้วเลยไม่ตื่นเต้นอะไร

22. ทัศนศึกษาชอบไปที่กระบี่ เชียงใหม่ และ การจะนะบุรี

23. แล้วก็ไปพักโรงแรม...

24. รุ่นพี่รุ่นน้องถ้าสนิทกันแล้วตบหัวกันเล่นเป็นเรื่องธรรมดา อายุก็แค่ตัวเลข

25. เด็กจะติดการพูดจาตรง ๆ แสดงความคิดเห็นกับอาจารย์และผู้ใหญ่

26. ถ้าอาจารย์สอนตรงไหนผิดก็ยกมือบอก แล้วไปแก้ให้ จารย์ก็จะหัวเราะที่ตัวเองทำผิด

27. ไม่มีแยกกลุ่มกว่ากลุ่มไหนเด็กรวย กลุ่มไหนเด็กจน เพราะถือว่าฐานะที่นี้เท่ากันหมด

28. การที่มีบ้านพักตากอากาศเป็นเรื่องธรรมดา ตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยคือมีบ้านอยู่ต่างประเทศ

29. มีแต่เด็กที่มาจากครอบครัวเศรษฐีใหม่ที่อวดรวย

30. ส่วนคุณที่รวยมาก ๆ ก็โครตขี้เหนียวติดดินสุด ๆ (ถ้าไม่ได้ไปเห็นบ้านมันจะไม่รู้เลยว่ารวย)

31. ดร่าม่าที่เห็นในหนังฝรั่งรึละครไทยแทบไม่มีเกิดขึ้น

32. พอจะเกิดเด็กมันก็คุยกันจนเข้าใจก่อนเกิดทุกครั้ง เซง

33. มี Benz กับ BMW ขับถือเป็นเรื่องธรรมดา อู้อ้าาาา หน่อยจะเป็น แฟรารี่

34. มีล็อกเกอร์ส่วนตัวให้เก็บหนังสือ

35. พวกสาว ๆ เลยถือกระเป๋าแบรนเนมกัน

36. หนังสือต้องซื้อแยกไม่รวมค่าเรียน

37. แน่นอนหนังสือก็นำเข้า...อย่างต่ำเล่มละ 600 บาท

38. ค่าหนังสือตอนขึ้น ม.ปลาย เหยียบหมื่นอยู่

39. โรงเรียนนานาชาติดี ๆ ค่าเรียนปีนึงพอส่งโรงเรียนสามัญตั่งแต่อนุบาลจนจบมหาลัยได้

40. การบ้านก็ไม่เยอะมาก แต่โหด

41. โหดแบบให้อ่าน Shakespeare แล้วมานั่งแปลความหมาย ยากที่ว่าภาษาที่มันใช้เป็นอังกฤษโบราณ

42. ใครไม่ทำก็โดนทำโทษ...ก็นั่งอยู่เฉย ๆ...ให้เสียเวลา

43. ไม่มีการยกของรึล้างห้องน้ำทั้งนั้น เพราะนั้นคือหน้าที่แม่บ้านกับพี่ยาม

44. เด็กในห้องนึงมีแค่ 30 คน แล้วจะให้นั่งกันเป็นกลุ่มทำงาน แน่นอนครูจับกลุ่มให้

45. เด็กเกเรนั่งหลังห้องแต่ดันเรียนเก่ง เพราะงานส่วนมากให้ออกความคิดเห็น มันเลยถนัดกัน

46. เรียนเสร็จก็จะไป Hang out ที่ห้างใกล้ ๆ กัน ดูหนังร้องเกะเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป

47. แต่จะนอยมากเวลาเด็กสามัญพูดว่า "ดูสิตัว! เด็กอินเตอร์!" แล้วตื่นเต้น

48. พอรู้ตัวว่าถูกพบ ก็จะเปลี่ยนไปพูดภาษาอังกฤษกันทันที ไม่ได้โชว์เทพนะ แต่กันการเข้ามาทัก

49. ถ้าเอาเด็กอินเตอร์ไปปล่อยในกลุ่มเด็กสามัญ ก็คุยตามปกติได้ แต่จะหลุดภาษาอังกฤษเป็นคำ ๆ

50. ไม่ได้กระแดะโกหกอวดรู้นะ แต่นึกคำไทยไม่ออกก็พูดอังกฤษ อังกฤษไม่ออกก็พูดไทย

ความจริงมีอีกหลายอย่าที่อยากเขียนลงอีก ทั้งเรื่องระบบการเรียนแบบ เมกา กับ อังกฤษ สังคม กิจกรรม...หน้าท้องสิกแพคของครูสอนพละตอนเรียนว่ายน้ำ

พืชแปลกที่เกาะโซโคตร้า (Socotra Island) ประเทศเยเมน


เกาะที่ดูเหมือนอยู่บนดาวดวงอื่น


เกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งในสี่ของเกาะที่แยกจากแผ่นดินใหญ่แอฟริกาในช่วง 6 หรือ 7 ล้านปีก่อน เช่นเดียวกับหมู่เกาะกาลาปากอส โดยเกาะนี้อุดมไปด้วยทั้งพืชและสัตว์กว่า 700 ชนิด และกว่า 1 ใน 3  ก็มีลักษณะที่ไม่สามารถพบที่ไหนในโลก


ด้วยสภาพอากาศที่รุนแรงทั้ง ร้อน และ แห้ง แต่ก็น่าประหลากใจที่มีพืชและสิ่งมัชีวิตที่ยังดำรงอยู่ได้ เกาะโซโคตร้าอยู่ในมหาสมุทรอินเดียห่างจากโมาเลีย 250 กิโลเมตร ห่างจากประเทศเยเมน 340 กิโลเมตร ชายหาดกว้าง มีถ้ำหินปูนอยู่มากมายและภูเขาที่สูงถึง 1,525 เมตร


ชื่อ Socotra มาจากภาษาสันสกฤตหมายถึง "เกาะแห่งความสุข" อาจจะมาจากชายหาด ความโดดเดี่ยวและสงบ หรือความแปลกประหลาดของพืชพันธุ์ เหมือนอยู่ต่างดาว ก็อยู่ที่จินตนาการ


ต้นไม้และพืชของเกาะนี้ที่คงอยู่ผ่านสภาวะแวดล้มอันโหดร้าย บางชนิดก็มีอายุ 20 ล้านปี เริ่มต้นที่ต้น dracena cinnibaris หรือต้นเลือดมังกร เป็นแหล่งยางไม้สำหรับทำน้ำมันขัดเงา และยาสารพัดโรคที่เคยใช้ในยุคโบราณ


กุหลาบทะเลทราย (adenium obesium)


Dorstenia gigas ที่ไม่ต้องการดิน มีรากที่ยั่งลึกลงไปในหิน



จะมีประโยชน์อะไรถ้า IQ และ EQ สูง แต่ HQ ต่ำ


เรารู้จัก IQ (Intelligence Quotient) หรือความฉลาดทางสติปัญญาแล้ว ซึ่งการวัด IQ เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในหลายๆคณะ รวมถึงคัดเลือกพนักงานในหลายๆบริษัท และเราเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า EQ (Emotional Quotient) คือความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการวัดความสามารถในการดำรงชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น ทั้งIQ และ EQ สองสิ่งมีความสำคัญในฐานะเครื่องชี้วัดความสามารถในเรื่องศักยภาพการเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์กับคนอื่น แต่คงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อยหากเรารู้จักใครสักคนหนึ่งที่ฉลาดล้ำเป็นที่พึ่งได้ในยามมีปัญหา รับผิดชอบ ทำงานหนัก และมีมนุษย์สัมพันธ์สูงแต่..เขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆ หากเราจะตัดสินว่านั่นเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดมาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเราจะไม่กระตือรือร้นที่จะรั้งให้ผู้คนอันเป็นที่รักเหล่านี้มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ยาวนาน เพื่อสร้างสิ่งที่ดีแก่สังคมจาก IQ และ EQ ที่เขามีอยู่สิ่งที่เข้ามาเติมเต็มในเรื่องนี้คือ HQ (Health Quotient)

HQ (Health Quotient) คือเชาว์สุขภาพ หรือ ความฉลาดทางสุขภาพ หมายถึงความรู้ ความสามารถ และความตระหนัก ในการเลือกสิ่งที่ดีให้กับสุขภาพ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องของวิถีชีวิต รูปแบบในการใช้ชีวิต(life style) เช่น การเลือกอาหาร การเลือกกิจกรรม ความพอดีระหว่างการทำงานและการใช้เวลาว่างการเลือกสถานที่ท่องเที่ยว งานอดิเรก เป็นต้น

องค์ประกอบของเชาว์สุขภาพ มี 9 ประการ คือ

1.การสร้างความสมบูรณ์พร้อมทางร่างกาย (Health related fitness) ก็คือการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายกล้ามเนื้อ และหัวใจ ซึ่งแสดงออกในเรื่องความสามารถในการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมต่างๆ ความยืดหยุ่นและความทนทานของกล้ามเนื้อ ซึ่งกิจกรรมที่เสริมสร้างร่างกายก็คือการออกกำลังกาย

2. โภชนาการ (Nutrition) ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้และความสามารถในการเลือกอาหารที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับสุขภาพของตน รวมถึงการลดและเลิกพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพ

3. การหลีกเลี่ยงสารเคมีและสารเสพติด (Avoiding chemical dependency) ซึ่งก็คือการตัดสินใจและการแสดงออกที่เป็นการปฏิเสธสารเสพติด รวมทั้งการหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะไปเสพสารเสพติด หรือสารเคมีต่างๆ ซึ่งในผู้ที่มีความสามารถในระดับสูงในด้านนี้ ยังสามารถเป็นผู้ที่สามารถชักนำเพื่อนฝูงให้ห่างไกลจากสารเสพติด

4. สุขอนามัยส่วนบุคคล (Personal hygiene) คือการดูแลสุขอนามัยในชีวิตประจำวัน เช่น การแปรงฟันอย่างถูกวิธีการล้างมือก่อนรับประทานอาหาร การล้างมือก่อนและหลังเข้าห้องน้ำ การทำความสะอาดร่างกาย การดูแลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องนอน เป็นต้น

5. การป้องกันโรค (Disease prevention) เช่นความตระหนักและการปฏิบัติ ในเรื่องการตรวจสุขภาพประจำปีตามอายุและความเสี่ยงตามวัย หรือความเสี่ยงตามอาชีพ การฉีดวัคซีน การใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากโรคต่างๆเป็นต้น

6. ความปลอดภัยส่วนบุคคล (Personal safety) เช่น ความตระหนักในเรื่องการใช้หมวกกันน็อคหรือหมวกนิรภัย การใช้เข็มขัดนิรภัย การปฏิบัติการกฎความปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ เช่น ไม่ก้าวล้ำเส้นขณะยืนรอรถไฟฟ้า การไม่ลงจากเครื่องเล่นในสวนสนุกหากยังไม่หยุดสนิท ฯลฯ

7. อนามัยสิ่งแวดล้อม (Environmental health and protection) ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาพดีประกอบด้วยสิ่งแวดล้อมทางด้านวัตถุ และทางด้านสังคม ด้านวัตถุ เช่น การอยู่ในชุมชน แหล่งที่อยู่อาศัยที่ดี การรักษาความสะอาดของครัวเรือน การทำกิจกรรม 5ส ในสถานประกอบการ ส่วนสิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น การเลือกคบเพื่อน การเลือกทำกิจกรรม การเลือกรับสื่อและข้อมูลข่าวสาร

8. การจัดการความเครียด (Stress Management) คือความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่คับขันต่างๆ ซึ่งหากตอบสนองได้ดี สิ่งเร้าเหล่านั้นจะเป็นสิ่งผลักดันให้เราสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากการตัดสินใจและการตอบสนองไม่ดีอาจกลายเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต คนที่สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆได้ดี ควรจะต้องมีบุคลิกที่สำคัญประการหนึ่งนั่นคือ การมองโลกในแง่ดี

9. ความสุขทางอารมณ์ (Emotional well being) แม้ว่าความสุขทางอารมณ์จะมีการตรวจวัดได้ยาก แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามวัดออกมาในรูปของดัชนีความสุข ซึ่งความสุขทางอารมณ์อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในตนเอง และระดับทางศีลธรรม ดังนั้นการมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งในรูป ศาสนาหรือปรัชญา หรือแม้กระทั่งกลุ่มกิจกรรมต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพ

การมีความรู้ การตระหนักรู้ และความสามารถในการปฏิบัติทั้ง 9 องค์ประกอบ มีผลต่อภาวะของสุขภาพของคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าขอบเขตและความหมายของสุขภาพ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องจิตใจ(mind) สังคม(social) และจิตวิญญาณ(Spiritual)หรือที่เรียกกันว่าระดับพุทธิปัญญา แม้ว่าในประเทศไทยการวัด HQ ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่เชื่อว่าในอนาคตเมื่อเราตระหนักถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี การตรวจวัด HQ จะมีประโยชน์ไม่น้อยในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และสังคม

คงจะดีไม่น้อย ถ้าในสังคมของเรา มีคนที่ IQ EQ และ HQ สูงอย่างสมดุล เพื่อที่คนเก่งและคนดี จะมีชีวิตยืนยาว สร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างเต็มที่ มาร่วมกันสร้างสังคมที่ดี ส่งเสริมจิตใจที่ดี เพื่อสุขภาวะที่ดีของทุกคนในสังคมร่วมกัน



รวบรวมนามบัตรแปลกๆและแหวกแนว






ทำไมไม่สบายต้องให้น้ำเกลือ


หลายคนเข้าใจผิดเอาจริงๆ จังๆ ในเรื่องน้ำเกลือ คือไปนึกทึกทักว่าน้ำเกลือเป็นยาวิเศษ ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาล หรือ แม้แต่ไปพบหมอ ต้องขอร้องให้ ให้น้ำเกลือ โดยให้เหตุผลร้อยแปดพันเก้า เช่น จะได้อ้วนท้วนแข็งแรงสุขภาพดี กินได้ นอนหลับ เป็นต้น ส่วนบางคนเข้าใจผิดไปอีกด้านหนึ่งเลย คือเชื่อว่าการให้น้ำเกลือเป็นสัญญาณว่าคนไข้อาการหนักแล้ว อย่างนี้ต้องอธิบายให้ฟังทั้งคู่เสียแล้วละ
เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

ตาม ปกติแล้วร่างกายของคนเราจะเสียน้ำออกไปจากร่างกาย โดยการขับถ่ายเป็นน้ำปัสสาวะ หรือเป็นเหงื่อ หรือเป็นไอน้ำออกมาทางลมหายใจ รวมแล้วจะมีน้ำที่ขับออกมาจากร่างกายวันหนึ่งราว ๒ ลิตรครึ่ง เราจึงต้องการน้ำเข้าไปแทนที่โดยการดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ



แต่เมื่อผู้ป่วยเสียน้ำมากกว่าปกติ เช่น ท้องเดิน อาเจียน เหงื่อออกมาก ไข้สูง เสียเลือดจากอุบัติเหตุ เป็นต้น

แพยท์จึงต้องให้น้ำเข้าไปทดแทน โดยให้น้ำเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง แต่เนื่องจากน้ำกับเลือดมีความเข้มข้นต่างกัน จึงเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับเลือด นอกจากนั้นน้ำเกลือยังช่วยเปิดเส้นเลือดไว้ เพื่อให้เลือดหมุนเวียน จนยาที่ผสมอยู่สามารถไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงเส้นเลือดดำได้อย่างราบรื่น



น้ำเกลือจึงไม่ใช่ทั้งยาวิเศษ และสัญญาณอันตรายอะไรเลย เป็นขั้นตอนที่มีเหตุผลของการฟื้นฟูร่างกายของเราเท่านั้นเองครับ

โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด



โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะเป็นๆ หายๆ โดยมีพยาธิสภาพอยู่ที่หูชั้นใน โดยอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน มักสัมพันธ์กับการเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ โรคนี้พบได้ในคนอายุ 30-70 ปี (พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก) และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในอัตราส่วน 1.5-2 : 1 และมักพบในคนสูงอายุ (อายุ 60 ปี) โรคนี้สามารถเกิดในหูทั้งสองข้างได้ประมาณร้อยละ 15 และอาจพบร่วมกับโรคไมเกรนได้


สาเหตุ
ปกติภายในหูชั้นใน (labyrinth) ของมนุษย์มีอวัยวะควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว (utricle, saccule, semicircular canal) และการได้ยิน (cochlea) ในอวัยวะควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว utricle มีตะกอนหินปูน (otoconia) ที่เคลื่อนไปมาโดยไม่หลุดเพื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของศีรษะ เมื่อมีสาเหตุให้ตะกอนหินปูนดังกล่าวหลุด (เช่น จากความเสื่อมตามวัย, อุบัติเหตุโดยเฉพาะการบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุบริเวณศีรษะ, โรคของหูชั้นใน, การผ่าตัดหูชั้นกลาง หรือหูชั้นใน, การติดเชื้อ, หลังผ่าตัดใหญ่ที่ต้องนอนนานๆ, การเคลื่อนไหวศีรษะซ้ำๆ เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ต้องก้มๆ เงยๆ หรือทำความสะอาด หรือเช็ดฝุ่นที่ต้องก้มๆ เงยๆ บ่อยๆ) ไปอยู่ในอวัยวะควบคุมการทรงตัวอีกชนิดหนึ่งคือ semicircular canal เมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะจะทำให้ตะกอนหินปูนดังกล่าวเคลื่อนที่ไปมาใน semicircular canal (canalithiasis) และส่งสัญญาณไปยังระบบประสาทส่วนกลาง และกระตุ้นให้เกิดอาการเวียนศีรษะแบบหมุนขึ้นมาได้

สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคนี้ในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 50 ปี คือ อุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคนี้ในผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปี คือ ความเสื่อมของอวัยวะควบคุมการทรงตัวในหูชั้นในตามอายุ อย่างไรก็ตาม ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคนี้ไม่ทราบสาเหตุ

อาการ

ผู้ป่วยมักมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน รู้สึกโคลงเคลง หรือเสียการทรงตัว เมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยเฉพาะในแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว เช่น ล้มตัวลงนอน หรือลุกจากที่นอน ก้มหยิบของ หรือเงยหน้ามองที่สูง ก้มหน้ามองที่ต่ำ เอียงคอ ซึ่งท่าเหล่านี้แรงดึงดูดของโลกจะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของตะกอนหินปูน อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตามมาได้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการเวียนศีรษะไม่นาน มักเป็นวินาที หรือนาที หลังมีการเคลื่อนไหว หรือการเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ และมักจะมีตากระตุก ทำให้มองหรืออ่านไม่ชัดขณะมีอาการ แต่ตามักจะกระตุกอยู่นาน 30 วินาทีถึง 1 นาทีเท่านั้น และอาการเวียนศีรษะดังกล่าว จะค่อยๆ หายไป แต่เมื่อผู้ป่วยเคลื่อนไหวศีรษะในท่าเดิมอีกก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการ เวียนศีรษะได้อีก แต่อาการมักจะไม่รุนแรงเท่าครั้งแรกๆ ผู้ป่วยอาจมีอาการเวียนศีรษะได้หลายครั้ง เป็นๆ หายๆ ใน 1 วัน และอาจมีอาการเวียนอยู่ได้เป็นวันหรือสัปดาห์ แล้วจะค่อยๆ ดีขึ้นได้ในเวลาเป็นวัน หรือสัปดาห์ หรือเดือน หลังจากหายแล้วผู้ป่วยบางรายอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกในเวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี

ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักไม่มีอาการหูอื้อหรือเสียงดังในหู ไม่มีแขนขาชาหรืออ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด ไม่มีอาการหมดสติ หรือเป็นลม ยกเว้นจะมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย บางภาวะอาจกระตุ้นทำให้ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้นได้ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของความดันบรรยากาศ เช่น ฝนตก, หิมะตก, มีพายุ, ลมแรง, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, เครียด

การวินิจฉัย
1.การซักประวัติลักษณะอาการที่เฉพาะ ได้แก่ อาการเวียนศีรษะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงท่าทางของศีรษะ และเป็นช่วงสั้นๆ ไม่มีการสูญเสียการได้ยิน หรือหูอื้อ, ไม่มีเสียงดังในหูที่ผิดปกติ

2.การตรวจร่างกาย เมื่อให้ผู้ป่วยล้มตัวลงนอนอย่างเร็วในท่าตะแคงศีรษะ และห้อยศีรษะลงเล็กน้อย (Dix-Hallpike maneuver) ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะ และมีการกระตุกของลูกตา (nystagmus) ซึ่งเกิดเฉพาะในบางท่าทาง ซึ่งก่อนที่จะมีตากระตุกจะมีระยะเว้นก่อนหน้า (latency of onset) ประมาณ 5-10 วินาที ตากระตุกมักจะมีไม่นาน ประมาณ 5-60 วินาที ถ้าให้ผู้ป่วยจ้องวัตถุ หรือจุดใดจุดหนึ่ง ตากระตุกจะไม่ลดน้อยลง ถ้าให้ผู้ป่วยล้มตัวลงนอนท่าเดิมซ้ำๆ อีกจะทำให้อาการเวียนศีรษะและตากระตุกน้อยลง และหายไปได้ การทดสอบนี้จะทำทั้ง 2 ข้าง โดยทำทีละข้าง และพบความผิดปกติเมื่อหูข้างที่มีพยาธิสภาพอยู่ด้านล่าง

3.การสืบค้นเพิ่มเติม อาจส่งเพื่อวินิจฉัยแยกจากสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ เช่น
- การตรวจการได้ยิน มักปกติ ยกเว้นในรายที่มีความผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) มักทำในรายที่สงสัยว่ามีพยาธิสภาพของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สมอง ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ

การรักษา

1.รักษาด้วยยา ได้แก่ ให้ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะเวลาผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ และผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงจากท่าที่กระตุ้นให้เกิดอาการเวียนศีรษะ อาจให้ยาก่อนจะทำกายภาพบำบัดในข้อ 2 เพื่อลดอาการเวียนศีรษะที่อาจจะเกิดขึ้นขณะทำกายภาพบำบัดทำให้ผู้ป่วยทนต่อ การทำกายภาพบำบัดได้ดีขึ้น

2.การทำกายภาพบำบัด (physical therapy) เป็นการขยับศีรษะและคอโดยใช้แรงดึงดูดของโลกเพื่อเคลื่อนตะกอนหินปูนออก จากอวัยวะควบคุมการทรงตัว semicircular canal ที่ตะกอนหินปูนเคลื่อนไปรบกวนจนเกิดอาการให้เข้าที่เดิมคือ utricle ซึ่งไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ (canalith repositioning therapy) การเคลื่อนไหวจะเป็นการเคลื่อนไหวแบบง่ายๆ และช้าๆ ของศีรษะในแต่ละท่า หลังจากอาการเวียนศีรษะ หรือการเคลื่อนไหวแบบผิดปกติของลูกตา หยุดหรือหายไปแล้ว จะทำให้ผู้ป่วยคงอยู่ในท่านั้นอีกประมาณ 30 วินาที ได้แก่ วิธีของ Semont และ Epley (canalith repositioning procedure) ซึ่งแนะนำให้ทำขณะผู้ป่วยมีอาการ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการเวียนศีรษะได้เร็วกว่าการไม่ทำกายภาพบำบัด การทำเพียง 1-2 ครั้ง ก็มักจะได้ผล วิธีดังกล่าวนี้อาจให้แพทย์ทำให้ หรือผู้ป่วยทำเองก็ได้ นอกจากนั้นแพทย์อาจจะแนะนำการบริหารและฝึกระบบประสาททรงตัว (vestibular rehabilitation) เพื่อให้อาการเวียนศีรษะดีขึ้นด้วย

3.การผ่าตัด มักจะทำในกรณีที่ผู้ป่วยรักษาด้วยยาและทำกายภาพบำบัดแล้วไม่ได้ผล คือ ยังมีอาการเวียนศีรษะอยู่ตลอด และรุนแรง ไม่ดีขึ้น หรือกลับเป็นซ้ำบ่อย จุดประสงค์ของการผ่าตัดคือ ทำให้อาการเวียนศีรษะน้อยลงหรือหายไป การผ่าตัดที่นิยมทำคือ canal plugging surgery คือใช้ชิ้นส่วนของกระดูกอุดอวัยวะควบคุมการทรงตัว semicircular canal ซึ่งจะทำให้ semicircular canal ไม่สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนตัวของหินปูนได้



ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้แก่

๐ ถ้าอาเจียนมาก อาจมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายมาก อาจถึงขนาดช็อกได้
๐ ถ้าเวียนศีรษะมากอาจล้มไป ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ ดังนั้น
*เมื่อเริ่มเวียนศีรษะควรรีบนั่งลง หรือนอนบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น พื้น อาจนอนศีรษะสูงเล็กน้อยได้
*ถ้าอาการเวียน ศีรษะเกิดขณะขับรถ หรือขณะทำงาน ควรหยุดรถข้างทาง หรือหยุดการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกล ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้
*เมื่อตื่นกลางดึกไม่ควรเดิน ขณะมืดๆ ควรเปิดไฟให้ความสว่างเต็มที่
*ถ้าผู้ป่วยทรงตัวไม่ ค่อยดี มีอัตราเสี่ยงที่จะล้มสูง ควรใช้ไม้เท้าช่วยเดิน
*ไม่ ควรว่ายน้ำ, ดำน้ำ, ปีนป่ายที่สูง, เดินบนสะพานไม้แผ่นเดียว หรือเชือกข้ามคูคลอง, ขับรถ, ทำงานในที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ขณะมีอาการเวียนศีรษะ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรืออันตราย

โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุดเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แม้ให้การรักษาจนผู้ป่วยไม่มีอาการเวียนศีรษะแล้ว แต่ผู้ป่วยอาจกลับมามีอาการได้อีก ซึ่งก็สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยาและกายภาพบำบัด ประมาณ 1/3 ของผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการกลับเป็นซ้ำอีกภายในปีแรกหลังให้การรักษา และประมาณ 1/2 ของผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการกลับเป็นซ้ำอีกภายใน 5 ปี

การปฏิบัติตัวบางอย่างในชีวิตประจำวันอาจช่วยป้องกันไม่ให้อาการของโรคนี้กำเริบได้เช่น
๐ เวลานอนควรหนุนหมอนสูง (เช่น ใช้หมอนนอน 2 ใบ) หรือใช้เตียงนอนปรับระดับให้ศีรษะสูง หลีกเลี่ยงการนอนราบ
๐ หลีกเลี่ยงการนอนที่เอาหูด้านที่กระตุ้นให้เกิดอาการลง
๐ ตอนตื่นนอนตอนเช้าควรลุกขึ้นจากเตียงนอนช้าๆ และนั่งอยู่ตรงขอบเตียงสัก 1 นาที
๐ หลีกเลี่ยงการก้มเก็บสิ่งของ หรือเงยหยิบสิ่งของที่อยู่สูง
๐ ระวังเวลาไปทำฟันและต้องนอนบนเก้าอี้ทำฟัน หรือไปสระผมและต้องนอนบนเตียงสระผม อาจกระตุ้นให้เกิดอาการเวียนได้
๐ ไม่ควรออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวของศีรษะหรือลำตัวมาก
๐ เวลาหยอดยาหยอดตา พยายามหยอดโดยไม่เงยศีรษะไปข้างหลัง
๐ เวลานอนหลีกเลี่ยงการนอนหงายในท่าเงยคอ และหันไปทางหูด้านที่จะทำให้เกิดอาการ
๐ เวลาจะทำอะไรควรค่อยๆ ทำอย่างช้าๆ




ประโยชน์ดี ๆ จากฟักทอง (pumpkin)

หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ
ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง"
สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง"
จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน



แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว
ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก
"ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง"
มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ


ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ
เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ
"ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ



เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม
วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน"
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง


สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้
แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง
บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี



เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก
จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย
ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต
บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป
ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ



ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง
แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ



ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย



เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน
รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine)
ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ
ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้


น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี
และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น
และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ



ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย
ถอนพิษของฝิ่นได้


เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้




ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ
"ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก
และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน


นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง
จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล
แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก



นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น
จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ
แก้ปวดได้อีกด้วย



ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"



เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน"
คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก
เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป


เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ
การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
ไม่สบายท้องได้เช่นกัน



เมื่อได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ








ปวดหลัง - แขนขาชา สัญญาณกระดูกเคลื่อน


โดย : จุฑารัตน์ ทิพย์นำภา

นพ.ธีรชัย ผาณิตพงศ์
ศัลยแพทย์ศูนย์ระบบประสาทไขสันหลัง โรงพยาบาลพญาไท 3
ภาพประกอบข่าว more


ปวดเมื่อยเนื้อตัวทั่วไป นอนนวดประคบประหมงสักพักก็หายเป็นปลิดทิ้ง หากปวดเป็นประจำย้ำด้วยอาการขาชาแขนชา รีบไปหาแพทย์เชี่ยวชาญด้านกระดูกดีกว่า

พออายุมากขึ้น อาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเริ่มถามหา บางคนอาจคิดว่าอาการปวดเกิดมาจากความเสื่อมตามวัยที่ร่วงโรย แต่แท้จริงแล้วการปวดหลังเป็นเวลานาน อาจแฝงมาด้วยภัยเงียบที่เปราะถึงแกนกระดูก เมื่อกระดูกสันหลังอ่อนแอ เคลื่อนตัว นำมาสู่โรคยอดฮิตขณะก้าวเข้าสู่วัยกลางคน

นพ.ธีรชัย ผาณิตพงศ์ ศัลยแพทย์ศูนย์ระบบประสาทไขสันหลัง โรงพยาบาลพญาไท 3 กล่าวว่า โรคกระดูกสันหลังเคลื่อนเกิดจากใช้งานของหลังที่ผิดประเภท ส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุ ในวัย 45 ปีขึ้นไป จาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่ ความเสื่อมของกระดูกเอง และการอ่อนแอของกระดูกสันหลังมาตั้งแต่เกิด

อาการของโรคกระดูกเคลื่อนมักพบในผู้หญิงมากกว่าชาย อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อของผู้หญิงไม่แข็งแรงเท่าผู้ชาย ภาวะการเคลื่อนของกระดูกเริ่มตั้งแต่หมอนรองกระดูกเสื่อม ทำให้ข้อต่อมีแรงกดเยอะขึ้น จากนั้นกระดูกก็จะค่อยๆ เคลื่อนออกจากกันในที่สุด

“โรคนี้พบบ่อย แต่เป็นโรคที่ซ่อนอยู่ บางคนมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลัง พอได้ตรวจ จึงได้รู้ว่ากระดูกอ่อนแอ เราสามารถยืนยันแนวการเคลื่อนของกระดูกได้จากฟิล์มเอ็กซ์เรย์ช่วยวินิจฉัย” คุณหมอ กล่าวยืนยัน

กระดูกสันหลัง เป็นส่วนที่รับน้ำหนักมากที่สุด โดยมีหมอนรองกระดูก และข้อต่อของกระดูกสันหลัง 2 อันทำหน้าที่ยึด ถ้าหากมีแรงกระทำเกิดขึ้นมีส่วนให้รอยเชื่อมฉีกขาด กระดูกสันหลังจะเคลื่อนในที่สุด

อาการของโรคที่พบชัดเจนส่วนใหญ่จะเกิดการชาในตำแหน่งที่เส้นประสาทถูกกดทับ และเป็นหนักขึ้นเวลาเดินต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาการที่แสดงออกชัดเจนคือปวดหลัง และเมื่อกระดูกเสียดสีจากการเคลื่อนจะเกิดอาการชา ก่อปัญหากับระบบขับถ่ายเมื่อเส้นประสาทตามมา

กระดูกสันหลังคนเราแต่ละส่วนมีลักษณะเป็นข้อๆ ในแต่ละข้อมีเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนต่างๆ ของร่างกาย

แพทย์ประสาทศัลยศาสตร์อธิบายว่า ตามหลักที่ถูกต้องความสมดุลระหว่างความแข็งแรงของกระดูกสันหลังกับกล้ามเนื้อต้องสัมพันธ์กัน หากนั่งผิดท่า ยกของหนัก หรือออกกำลังกายท่ากระโดดเป็นประจำ

อาจมีผลทำให้แนวของแรงไปกระทำต่อกระดูกสันหลัง บางส่วนผิดปกติไป ประกอบกับผู้ที่กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ไม่ได้ออกกำลังกาย คงมีโอกาสพบกับอาการข้อเสื่อมเร็ววัน

“อาการของคนไข้ที่มาพบค่อนข้างจะตรงไปตรงมา กระดูกเสื่อมก็จะมาด้วยอาการปวดหลัง แต่เมื่อมีแรงกดมากขึ้น เริ่มมีอาการปวดตามแนวของเส้นประสาทส่วนที่ถูกกดทับ หากเส้นประสาทรับความรู้สึกถูกกดทับ กล้ามเนื้อที่เส้นประสาทความคุมอยู่ก็จะเกิดอาการชาให้เห็น” คุณหมอกล่าว

แพทย์จะตรวจวินิจฉัยในเบื้องต้นจากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นภายนอก เช่น กล้ามเนื้อมัดที่อ่อนแรงเรียงตัวอยู่แนวเส้นประสาทใด กระดูกข้อไหน เช่น หากพบอาการปวดชาไปด้านนอกของขา คาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นกระดูกข้อที่ 5

ส่วนอาการปวดด้านในของขา กระดูกสันหลังส่วนคอ ปวดร้าวไปที่แขน ปวดเอวร้าวไปที่ขา อาการที่พบเหล่านี้เกิดจากการเคลื่อนของกระดูกในตำแหน่งที่ต่างกันไป

โดยทั่วไปแพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการคนไข้เป็นหลัก ด้วยวิธีการฉายรังสี หรือเอ็กซ์เรย์ ในท่าก้ม กับท่าแอ่นตัว เพื่อดูความผิดปกติ ซึ่งจะยืนยันได้ว่ากระดูกเคลื่อนหรือไม่ ขณะที่การทำเอ็กซ์เรย์แม่เหล็กจะสามารถบ่งบอกถึงแรงกดทับของเส้นประสาทกระดูกสันหลังได้ชัดเจนขึ้น

“การผ่าตัดไม่ได้แปลว่าภาวะกระดูกเคลื่อนจะหายขาด เพราะมีโอกาสกลับมาเป็นอีกในข้อต่อกระดูกตำแหน่งอื่น ต้องยอมรับก่อนว่ากระดูกเคลื่อนไปแล้ว แต่จะเคลื่อนรุนแรงถึงขนาดที่ต้องผ่าตัดไหม อาจจะไม่ คนไข้อาจจะใช้ชีวิตอยู่กับกระดูกสันหลังเคลื่อนต่อไปได้โดยไม่ต้องผ่าตัด” คุณหมอ กล่าวยืนยัน

ถ้าคนไข้มาด้วยปัญหาแค่ปวดอย่างเดียว แพทย์จะแนะนำว่าทนปวดได้ไหม ถ้าทนได้อาการปวดไม่รุนแรงมาก ไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันมากนัก แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยยาแก้ปวด และกายภาพบำบัด เพื่อดูว่าอาการทุเลาลงหรือไม่ โดยยืนยันว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำกายภาพบำบัดจะช่วยให้อาการปวดดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด

สำหรับข้อควรระวังในการใช้หลังง่ายๆ คือ การปรับสมดุลให้แรงกระทำกับกระดูกสันหลังบาลานซ์กัน แรงกระทำที่ว่านี้ คือการใช้งานหลัง เช่น การยกของ แบกหาม ขณะที่แรงพยุง คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ น้ำหนักตัว ซึ่งต้องพยายามทำให้ทั้ง 2 แรงเกิดความสมดุล โดยลดแรงกระทำ และเพิ่มแรงพยุงเข้าไป ไม่ให้กระดูกสันหลังต้องรับโหลดมากเกินไป

“หากแรงกระทำมากกว่าแรงพยุง แรงที่กดลงไปที่กระดูกมากจะเกิดอาการปวด ถ้าคนไข้เพิ่มแรงพยุงให้มากกว่าแรงกระทำได้ อาการปวดก็จะลดน้อยลงได้” คุณหมอ อธิบาย

สำหรับท่าออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกเคลื่อน คือ การออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกระแทก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดินสายพาน ช่วยเพิ่มแรงพยุง โดยละเว้นกิจกรรมที่มีแรงกระแทก เช่น การออกกำลังด้วยท่ากระโดด วิ่งสปริงตัว ขณะเล่นบาสเกตบอล ท่าออกกำลังกายประเภทนี้ถือว่าเป็นข้อห้ามด้สำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกเคลื่อน

กรณีของผู้ที่น้ำหนักตัวมากอยู่แล้ว หรือเป็นโรคอ้วน เมื่อกระดูกถูกกดทับเยอะแล้ว จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อดึงกระดูกไม่ให้เส้นประสาทถูกกดทับไปมากกว่านี้ เพราะหากเกิดการกดทับเป็นเวลานาน เส้นประสาทมีโอกาสเสียถาวร

ดังนั้น ถ้าคนไข้เริ่มมีอาการเส้นประสาทกดทับ แพทย์มักแนะนำให้ผ่าตัดทันทีก่อนที่เส้นประสาทจะเสียไป และไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ใหม่อีก

“การผ่าตัดจะผ่าเอากระดูกส่วนที่กดโดนเส้นประสาทออก ก่อนที่จะเอาเหล็กใส่เข้าไปในกระดูกสันหลัง 2 ข้าง เพื่อยืดเอาไว้ไม่ให้กระดูกเคลื่อน ในอดีตแผลผ่าตัดใหญ่กระดูกเคลื่อนมีลักษณะค่อนข้างใหญ่ ประมาณ 1 คืบ เนื่องจากต้องเปิดบาดแผลใส่อุปกรณ์ช่วยผ่าตัด แต่ปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดได้ถูกพัฒนาขึ้นจนกระทั่งสามารถผ่าตัดแบบแผลเล็ก 3-4 เซนติเมตร แผลหายไว และฟื้นตัวได้เร็วกว่าปกติ” เขา กล่าว



พิลาทีส คืออะไร


ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบพิลาทีส

- ปรับความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจในการเคลื่อนไหว
- สร้างความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ทำให้มีบุคลิกที่ดีและมีการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติอย่างสวยงาม
- เน้นเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัว โดยจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแบนราบสวยงามและกล้ามเนื้อลำตัวที่แข็งแรงจะทำให้ความเสี่ยงต่อโรคปวดหลังลดน้อยลง
- กระตุ้นการเรียนรู้การเคลื่อนไหว และท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน และหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อที่ไม่จำเป็น
- มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามธรรมชาติและมีการกระแทกของข้อต่อน้อย
- ฟื้นฟูร่างกายหลังความเจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ผู้ที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายแบบพิลาทีส

- ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทุกเพศทุกวัย
- ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระชับสัดส่วนและหน้าท้อง
- ผู้ที่มีปัญหาปวดหลัง จากกล้ามเนื้อลำตัวที่อ่อนแอและทำงานไม่สมดุลย์
- นักกีฬาที่ต้องการออกกำลังกายเฉพาะ ให้เหมาะสมกับกีฬาที่เล่นอยู่
- นักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาฟื้นฟูด้านการเคลื่อนไหว
- ผู้ที่มีสุขภาพอ่อนแอที่ต้องการการออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป


รูปแบบของการออกกำลังกายแบบพิลาทีส

- การออกกำลังกายบนแมต โดยไม่ใช้อุปกรณ์หรือใช้อุปกรณ์เพียงเล็กน้อย
- การใช้เครื่องมือเฉพาะทางพิลาทีส เช่น เครื่องรีฟอร์มเมอร์ คาดิแลค วุนดาแชร์ เป็นต้น
- พิลาทีสบนลูกฟิตบอล
- การใช้เทคนิคพิลาทีสร่วมกับการออกกำลังกายอื่น เช่น โยคะ ยกน้ำหนัก เต้นแอโรบิค ฯลฯ


การออกกำลังกายแบบพิลาทีส ในศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู

- สถานที่เฉพาะเป็นส่วนตัวในการออกกำลังกายแบบพิลาทีส
- บุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกเทคนิคการออกกำลังกายแบบพิลาทีสมาโดยเฉพาะ จากสถาบันระดับสากล Physicalmind Institute
- อุปกรณ์พื้นฐานของพิลาทีสที่ทันสมัยและครบถ้วน ได้แก่ เครื่อง Reformer, Cadillac, Wunda chair และอุปกรณ์ทางแมต
- โปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสฟื้นฟูในผู้ป่วย
- โปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสสำหรับนักกีฬาและฟื้นฟูนักกีฬาที่บาดเจ็บ
- โปรแกรมการออกกำลังกายแบบพิลาทีสเพื่อสุขภาพและความสวยงาม


ปวดหัวรุนแรงระวังไข้กาฬหลังแอ่น!


รู้ไว้ให้ทันระวัง 'ไข้กาฬหลังแอ่น' โรคเก่า-เล่าซ้ำ แนะอย่าวางเฉย ปวดศีรษะรุนแรง ตายได้ในไม่กี่วัน


สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าว 'น้องกาว-น.ส.สโรชา เนียมบุญนำ' นักศึกษาปี 4 ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งเดินทางไปทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตและฝึกภาษาอังกฤษกับโครงการ เวิร์ค แอนด์ เทรเวล ที่สหรัฐอเมริกา ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 19 พ.ค. เธอป่วยอย่างกะทันหัน ด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจนหมดสติ หลังเข้ารับการรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. ด้านแพทยสภา มีความเห็นว่า อาการป่วยดังกล่าวมีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคไข้กาฬหลังแอ่น ที่ผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียที่สมอง ทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว


โรคไข้กาฬหลังแอ่น นับเป็นอีกโรคที่อันตรายเป็นแล้วอาจไม่รู้ตัว เสี่ยงเสียชีวิตได้ในไม่ช้า เราไปทำความรู้จักกัน


ไข้กาฬหลังแอ่น เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ ไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส การตั้งชื่อโรคนี้เกิดจากความรุนแรงของโรคที่ทำให้ผู้ป่วยตายได้อย่างรวด เร็ว จึงใช้คำว่า ไข้กาฬ ส่วนคำว่าหลังแอ่นนั้น มีที่มาจากผู้ป่วยบางราย อาจเกิดอาการชักเกร็งจนหลังแอ่นนั่นเอง


โรคนี้ติดต่อได้จากคนสู่คน ผ่านทางน้ำลายหรือเสมหะ ลมหายใจกรณีที่หายใจใกล้กัน มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และในช่วงอายุ 15-24 ปี


ในคนปกติอาจตรวจพบเชื้อนี้ได้ภายในลำคอโดยไม่ทำให้เกิดโรค แต่ถ้าติดเชื้อนี้ในกระแสเลือด หรือที่เยื่อหุ้มสมองทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ยิ่ง ถ้ามีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ อาเจียน คอแข็ง ซึม มีจุดหรือผื่นแดงหรือสีคล้ำขึ้นตามตัว โดยเฉพาะบริเวณแขนและขา แม้กดไปตามจุดหรือผื่นเหล่านั้นก็จะไม่จางหาย


อาการข้างต้น หากเกิดขึ้นกับผู้ใด ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นครบทั้งหมด หากมีอาการเข้าสัดส่วน 2 ใน 3 ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษา เพราะหากเป็นไข้กาฬหลังแอ่น ซึ่งมีระยะฟักตัวรวมกับการแสดงอาการไม่เกิน 10 วัน อาจเสี่ยงเสียชีวิตได้หากปล่อยไว้ เช่นเดียวกับผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย เช่น คนที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นไข้กาฬหลังแอ่น เมื่อทราบแน่ชัด ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดควรให้แพทย์ตรวจหาเชื้อด้วย


สำหรับการรักษา แพทย์จะใช้ยาต้านจุลชีพ และมีวัคซีนป้องกัน หากรักษาตัวทัน สามารถหายเป็นปกติ แต่ถ้าปล่อยอาการดังที่กล่าวไว้ อาจเสียชีวิตได้.


ทานมื้อเย็นอย่างไรให้สุขภาพดี


มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า "เช้าทานอย่างราชา กลางวันทานอย่างคนธรรมดา เย็นทานอย่างยาจก" นั่น ก็เพราะว่าเราต้องให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเช้ามากเป็นพิเศษ ส่วนอาหารเย็นนั้นควรรับประทานแต่พอดี ไม่หนักมากนัก เพราะว่าช่วงเย็นเป็นช่วงที่เราไม่ต้องใช้พลังงาน และเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนแล้วนั่นเอง ครั้งนี้เรามาทำความเข้าใจถึงความจำเป็นของอาหารเย็นต่อร่างกายว่ามีมากน้อย เพียงใด และหลักที่ถูกต้องในการทานอาหารเย็นว่าเราจะทานอย่างไรให้มีสุขภาพที่ดีไป นานๆ

1. ไม่ควรงดอาหารมื้อเย็น

สาวๆ หลายท่านชอบลดน้ำหนักด้วยวิธีการงดอาหารเย็น ซึ่งไม่ควรค่ะ เนื่องจากเมื่อถึงเวลาอาหาร โดยปกติร่างกายจะหลั่งกรดออกมาเพื่อทำการย่อยอาหาร ดังนั้น เมื่อไม่มีอาหารในกระเพาะ น้ำย่อยก็จะมาย่อยกระเพาะแทน เราจึงควรลดมากกว่างด เลือกทานอาหารเบาๆ หรืออาหารที่ให้พลังงานน้อยที่สุด อย่างเช่น เน้นผักและผลไม้ ส่วนเนื้อสัตว์ติดไขมัน ของมันๆ ทอดๆ ควรงดจะดีกว่านะคะและเวลาที่ควรทานคือหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ไม่ควรทานดึกกว่านี้

2. หลังทานอาหารเย็นไม่ควรออกกำลังกายต่อทันที

บางท่านกลัวอ้วน หลังทานอาหารเย็นจึงออกกำลังกายทันที ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ควรนัก ถ้าเราทานอาหารภายในเวลา 1-2 ช.ม. แล้วไปออกกำลังกายทันที อาจทำให้เราเกิดอาการจุกได้ ถ้าเป็นไปได้ควรเดินเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่ง เพราะเวลาเราเดินลำไส้จะมีการขยับตัว อาหารก็จะย่อยง่ายและยังเป็นการใช้พลังงานไปในตัวอีกด้วย เป็นแนวทางที่ดีในการปฏิบัติจะได้ไม่อ้วนนะคะ...ส่วนสาวๆ ที่ต้องการออกกำลังกายหลังเลิกงาน เป็นต้นว่าไปเข้าฟิตเนส จะมีหลักการทานมื้อเย็นอย่างไร ความจริงแล้วถ้าคิดจะออกกำลังกายในช่วงเย็น พอเลิกงานควรทานอาหารเบาๆ อาหารที่ย่อยง่าย เคี้ยวให้ละเอียด เว้นประมาณ 1-2 ช.ม. ก่อนการออกกำลังกาย งดอาหารย่อยยาก เช่น ของมัน ของทอด อาหารที่มีกะทิเหล่านี้จะย่อยยาก

3. หลังอาหารเย็นไม่ควรอาบน้ำในทันที

เพราะเมื่อเราทานอาหาร ขณะที่อาหารกำลังย่อย กระเพาะต้องทำงาน เลือดต้องถูกไปหล่อเลี้ยงกระเพาะเพื่อช่วยในการย่อย ถ้าเราไปอาบน้ำทันทีหลังอาหาร ซึ่งโดยปกติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น เมื่อร่างกายโดนน้ำเย็นๆ ก็จะทำให้เลือดจำเป็นต้องมาที่บริเวณผิวหนัง เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ดังนั้นแล้วเลือดจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งแน่นอนว่า มันต้องถูกแบ่งมาที่ผิวหนังก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้เลือดส่งไปที่กระเพาะได้น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นคือระบบการย่อยทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ท้องจะอืด แน่นท้อง จุก จึงควรเว้นอย่างน้อยที่สุด 30 นาที และทางที่ดีที่สุดต้องประมาณ 1 ชม. สำหรับอาหารที่ย่อยง่าย และ 2 ช.ม. ถ้าเรารับประทานอาหารที่ย่อยยาก

4. หากสาวๆ ต้องการลดความอ้วนด้วยให้ทานผักหรือผลไม้ในมื้อเย็น

ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มื้อเย็นอาจทานเป็นผักผลไม้ และจะต้องไม่เลือกผลไม้ที่เป็นกรด เพราะขณะท้องว่างร่างกายจะมีกรดมากอยู่แล้ว และเลี่ยงการทานผักหรือผลไม้ดิบขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้ท้องอืดได้ แนะนำว่าให้ทานผักสุก เช่น การลวก การต้ม แกงจืด หรือยำที่รสชาติไม่จัดมาก เช่น ยำแตงกวา ยำวุ้นเส้น ที่ไม่เผ็ดหรือ เปรี้ยวเกินไป

5. อาหารมื้อเย็นที่ควรหลีกเลี่ยง

ได้แก่ อาหารที่ย่อยยาก เช่น ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ถ้าต้องทานควรทานในปริมาณเล็กน้อย อาหารที่เป็นกรดมาก เพราะอาจทำให้เกิดภาวะกรดย้อนหลอดอาหารได้ สำหรับวัยผู้ใหญ่ แนะนำว่าอาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารย่อยง่าย มีโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตบ้าง แต่ไม่ต้องมาก เช่น ข้าว ข้าวซ้อมมือ (จะทำให้อยู่ท้องกว่า) ผักลวก ผักต้ม และต้องคำนึงถึงสารอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่ด้วยนะคะ

อย่าคิดว่าอาหารมื้อเย็นไม่สำคัญนะคะ ควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับการเลือกทานมื้อเย็นให้มาก แต่ต้องทานแค่พอเหมาะไม่ทานจุเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้วยังมีอีกหลายโรคตามมาจากการทานอาหารมื้อเย็นที่ ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ นอกจากนี้แล้วยังส่งผลถึงคุณภาพการนอนอีกด้วย อย่าลืมว่าตอนกลางคืนเราแทบจะไม่ได้ใช้พลังงานเลย อดก็เป็นโรค ทานมากเกินไปก็เป็นโรค ควรทานให้พอเหมาะพอดีนะคะ ดังคำกล่าวที่ว่า "อโรคยา ปรมา ลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ





14 เคล็ดลับออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างปลอดภัย


การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายมีความแข็งแรง ที่สำคัญยังทำให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย แต่การจะออกกำลังกายให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อต้องไปออกกกำลังกายในที่กลางแจ้งด้วยแล้ว คุณยิ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่หากคุณยังนึกไม่ออกว่าต้องเตรียมตัวให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมยังไง เราไปดูกันค่ะ

1. ดื่มน้ำเปล่าเรียกความสดชื่น

แน่นอนว่าการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายของคุณต้องเสียน้ำไปมากมายและจะ ทำให้ คุณเกิดอาการกระหายน้ำขึ้นมาได้ ดังนั้นแล้วหาน้ำดื่มที่เป็นน้ำเปล่าธรรมดาๆ มาดื่มทดแทนน้ำที่เสียไป ที่สำคัญจะต้องดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายได้ปรับสภาพได้ดียิ่งขึ้น

2. ทานอาหารที่ให้พลังงาน

ก่อนจะไปออกกำลังกายสัก 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง คุณควรจะทานอาหารที่ให้พลังงานไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ข้าวโพด ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ หรือผลไม้ที่มีแป้งและน้ำตาลสูง เพื่อร่างกายจะได้มีแรงในการออกกำลังได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าทานในปริมาณที่มากเกินไป หรือในเวลาที่กระชั้นเกินไป ไม่งั้นคุณอาจจะเกิดการจุกเสียดแน่นท้องได้


3. เลือกใส่เสื้อผ้าที่สบายๆ

คุณควรเลือกชุดที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับการออกกำลังกาย โดยเลือกเนื้อผ้าที่มีการระบายอากาศและซึมซับเหงื่อได้ดี เพื่อการออกกำลังกายมีความคล้องตัวและไม่ทำให้คุณต้องอึดอัดแต่อย่างใด เพราะหากชุดแน่นไป หรือระบายอากาศไม่ดี จะส่งผลเสียต่อระบบการเดินหายใจของคุณโดยตรง

4. ป้องกันแดดซะบ้าง

คุณรู้หรือไม่ว่าการที่คุณต้องสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงนั้น อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวคุณหรือใครๆ แน่ ลองหาหมวกสักใบ หรือเสื้อแขนยาวที่มีความโปร่งสบายมาใส่ในระหว่างการออกกำลังกาย หรืออีกหนึ่งวิธีกับการทาโลชั่นกันแดด ก็จะช่วยให้ลดการสัมผัสแสงแดดได้มากขึ้นกว่าเดิม

5. ทานอาหารเสริมที่ต้านอนุมูลอิสระ

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า สารต่างๆ ที่อยู่ในอาหารเสริมบำรุงร่างกายนั้น เป็นตัวช่วยสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างดี ที่สำคัญเมื่อตัดสินใจทานอาหารเสริมแล้ว ต้องพิจารณาด้วยว่าอาหารเสริมที่ทานนั้นมีคุณภาพสูง และมีปริมาณที่เหมาะสม อีกทั้งต้องทานในสัดส่วนที่ถูกต้องอีกด้วย เพื่อให้อาหารเสริมนั้นๆ ออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ


6. ใส่แว่นกันแดด

แสงแดดอาจจะทำให้คุณเกิดอาการสายตาพล่ามัวได้ แล้วยิ่งคุณต้องออกกำลังกายด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้สายตาของคุณต้องทำงานหนักมากขึ้น ฉะนั้นแล้วหาแว่นกันแดดมาใส่ไว้บ้าง จะได้เป็นการป้องกันการเจอกับแสงแดดโดยตรง

7. ดูอุณหภูมิอากาศด้วย

เข้าใจว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากวันไหนมีอุณหภูมิของอากาศที่สูงเกินไป หรือวันใดมีอุณหภูมิที่ต่ำมากจนผิดปกติ ก็งดออกกำลังกายบ้างก็ได้ ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะหายใจไม่ทัน เหน็ดเหนื่อยเกินความจำเป็น และอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

8. จำไว้เสมอว่าร่างกายสะสมความร้อน

ตามปกติแล้วอุณหภูมิในร่างกายคนเราก็มีสูงอยู่พอสมควร แล้วถ้ารวมกับการออกกำลังกายไปด้วยแล้วล่ะก็ จะยิ่งทำให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเข้าไปอีก เพราะฉะนั้น หากคุณรู้สึกเหนื่อย หรือเริ่มหายใจได้ไม่สะดวก หรือรู้สึกมีลมร้อนออกจากการหายใจแล้วล่ะก็ หยุดพักสักนิด นั่งในที่อากาศถ่ายเทสะดวกๆ ก็จะดีมากๆ เลย


9. เลือกรองเท้าให้เหมาะสม

เพื่อสุขภาพเท้าของคุณ ควรเลือกรองเท้าที่มีแผ่นรองชั้นในและมีหมอนรองที่ปลายเท้าส่วนโค้งเว้ารวม ไปถึงบริเวณส้นเท้า เพื่อช่วยรองรับการกระแทก เท้าจะได้ไม่พลิก อีกทั้งจะต้องไม่รัดแน่นจนเกินไปด้วย การเลือกรองเท้าที่ดีจะมีผลต่ออาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับข้อเท้า เข่า กล้ามเนื้อเท้า ว่าจะมีความรุนแรงได้มากน้อยขนาดไหน และยังจะช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

10. หลีกเลี่ยงมลภาวะ

เรื่องสถานที่ที่ใช้ออกกำลังกายก็เป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้โดย เด็ด ขาด เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของคุณโดยตรง ขอให้หลีกเลี่ยงสถานที่ที่อยู่ติดกับแหล่งมลภาะวะ เช่น หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อยู่ติดกับถนนที่มีรถสัญจรไปมาอยู่เป็นประจำ เพราะคุณอาจจะสูดเอาควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ แทนอากาศที่ควรจะบริสุทธิ์เข้าร่างกายไปแทน

11. ระวังเป็นภูมิแพ้

สืบเนื่องจากข้อที่ 10 ที่ได้กล่าวไป การที่คุณต้องออกกำลังกายท่ามกลางมลภาวะต่างๆ นั้น นอกจากจะส่งผลเสียอย่างแน่นอนแล้ว อีกหนึ่งผลเสียที่จะตามมาแน่ๆ ก็คือการเป็นภูมิแพ้ และหากเป็นโรคภูมิแพ้ขึ้นมาล่ะก็เตรียมทำใจไว้ได้เลย เพราะโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้สามารถหายขาดได้ หาผ้าปิดปากมาสวมไว้ในระหว่างการออกกำลังกาย จะช่วยป้องกันได้อย่างดี

12. มีปัญหาก็ปรึกษาแพทย์

เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วย การบาดเจ็บที่เกิดจากการออกกำลังกาย และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งที่คุณต้องทำและห้ามดื้อหรือหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาดคือการพบแพทย์เพื่อทำ การรักษาและปรึกษาให้เกิดความกระจ่าง อีกทั้งยังเป็นการป้องกันโรคภัยต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อีกด้วย

13. อบอุ่นร่างกายให้เข้าที่เข้าทาง

ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามละเลยเป็นอันขาด เพราะจู่ๆ จะไปออกกำลังกายเลยโดยที่ไม่มีการอบอุ่นร่างกายก่อนไม่ได้ ไม่งั้นมีหวังกล้ามเนื้อๆ ได้ฉีกขาดกันพอดี ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนการออกกำลังกายทุกครั้ง โดยเฉพาะส่วนที่เป็นข้อเท้า ข้อเข่า สะโพก หลัง ไหล่ คอ ควรจะเน้นเป็นพิเศษ การอบอุ่นร่างกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำเลือดสูบฉีดมากขึ้น ที่สำคัญยังเป็นการลดปัญหาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดจากการออกกำลังกายได้เป็น อย่างดี

14. อย่าหักโหมจนเกินเหตุ

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่ชอบเร่งรีบออกกำลังกาย จนบางทีถึงขั้นหักโหมมากเกินเหตุ ถ้าคุณเป็นเช่นนั้นเราขอให้เลิกทำแบบนั้นโดยเด็ดขาด เพราะการออกกำลังกายชนิดที่ว่าหักโหมอย่างหนัก จะส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณมากกว่าผลดี ดีไม่ดีอาจจะส่งผลต่อระบบการเดินหายใจของคุณอีกด้วย ออกกำลังกายให้พอเหมาะ ให้เท่ากับกำลังของตัวเองเท่าที่จะทำไหว จะเข้าท่ากว่าเยอะเลย

ได้ รู้เคล็ดลับดีๆ ทั้ง 14 ข้อนี้แล้ว ก็ขอให้ลองนำไปใช้กับการออกกำลังกายของคุณด้วย ซึ่งเรารับรองได้เลยว่าจะทำให้การออกกำลังกายของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่ง ขึ้นอย่างแน่นอน..ฟันธง!!




โฮลเกรน อาหารเสริมของสาวหุ่นสวย


ถ้าเอ่ยถึง "โฮลเกรน" หลายๆ คนคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์กันมาบ้างแล้วว่า อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย อีกทั้งยังสามารถช่วยให้หุ่นของสาวๆ สวยเด้งได้อีก ยิ่งในปัจจุบัน เทรนด์การบริโภคอาหารที่หวนคืนสู่ธรรมชาติกำลังมาแรง

โฮลเกรนคืออะไร

โฮลเกรน หรือธัญพืชเต็มเมล็ด คือ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยยังคงส่วนประกอบสำคัญของธัญพืชอยู่ครบถ้วน ซึ่งได้แก่...

1. เยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) คือส่วนนอกสุด อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร แถมยังมีวิตามินบี แร่ธาตุ โปรตีน และธาตุเหล็ก

2. เนื้อเมล็ด (Endosperm) ส่วนนี้เป็นส่วนหลักของธัญพืชเลยทีเดียว จะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นส่วนใหญ่ มีโปรตีนและวิตามินบีเล็กน้อย ถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ

3. จมูกข้าว (Germ) เป็นส่วนที่เล็กที่สุด แต่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย เช่น วิตามินบี วิตามินอี แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์ต่างๆ

โฮลเกรน vs ธัญพืชที่ผ่านการขัดสี

ถ้าเปรียบเทียบธัญพืชที่ผ่านการขัดสีแล้ว ส่วนเยื่อหุ้มเมล็ด และจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจะหลุดออกไป เมื่อผ่านกระบวนการขัดสี เหลือเพียง แต่เนื้อเมล็ดเท่านั้น ในขณะที่โฮลเกรนจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระต่างๆ

ฉะนั้น เราจึงไม่ควรเชิดใส่โฮลเกรน ตรงกันข้ามควรจะหาเวลากินโฮลเกรนให้บ่อยๆ ตัวอย่างโฮลเกรนที่เรารู้จักกันดีก็คือ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ลูกเดือยที่ผ่านการขัดสีน้อย

ไดเอ็ตด้วยโฮลเกรน

จากการสำรวจของ The Harvard Nurses Health Study ในกลุ่มผู้หญิงอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป จำนวน 75,000 คน พบว่าผู้หญิงที่กินโฮลเกรนเป็นประจำ น้ำหนักจะน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่กินโฮลเกรนเลย แต่กินแป้งขัดขาวมากกว่า นอกจากนี้ ผู้หญิงที่กินอาหารที่มีเส้นใยสูงและโฮลเกรนเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ถึง 49%

ในขณะที่ผลการศึกษาอีกแห่งหนึ่ง ได้มีการศึกษากับผู้ชายอายุ 40-75 ปี จำนวน 27,082 คน พบว่า ในช่วงระยะเวลา 8 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างการกินโฮลเกรน กับการลดลงของน้ำหนักเป็นไปอย่างชัดเจน การกินโฮลเกรนทุกๆ 40 กรัม จะช่วยลดน้ำหนักได้ 0.49 กิโลกรัม และถ้าหากกินเยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) เพิ่มอีก 20 กรัม จะช่วยลดน้ำหนักได้ถึง 0.36 กิโลกรัมเลยทีเดียว (น่าสนมั้ยล่ะ) ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในโฮลเกรน จะทำให้ร่างกายย่อยอย่างช้าๆ ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ทำให้เราไม่กินจุบกินจิบ จึงสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้

นอกจากนี้ หากเรากินโฮลเกรนเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ อย่าง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งในทางเดินอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ช่วยป้องกันท้องผูก และช่วยให้สุขภาพดีขึ้นด้วย

โฮลเกรน - อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ

สำหรับใครที่ต้องการจะควบคุมน้ำหนัก อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุดที่ไม่ควรจะละเลย เพราะถ้าคุณไม่กินมื้อเช้าเมื่อผ่านไป 12 ชั่วโมง ระดับพลังงานของร่างกายจะลดต่ำลง

จากการศึกษาในยุโรปแสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารเช้าที่สมดุลจะช่วยคงน้ำหนักที่ดีได้ โดยช่วยลดความต้องการในการรับ ประทานอาหารที่มีไขมันระหว่างวัน นอกจากนี้ การกินโฮลเกรนอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบ และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดีอีกด้วย

สำหรับใครที่ไม่เคยหันมามองตัวช่วยสุดเวิร์กอย่างโฮลเกรนนี้ เห็นทีคงจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หันมาให้ความสนใจกับมันมากขึ้นกว่านี้ เสียแล้วละ เพื่อสุขภาพที่ดีและหุ่นที่ผอมเพรียวไงล่ะ




เดอร์มาโรมา คืออะไร


หากอารมณ์ขุ่นมัว เพราะมีแต่เรื่องซีเรียสเสียจนคิ้วผูกโบว์ ยิ่งขมวดมากๆ พาลแต่จะเกิดริ้วรอยให้ปรากฏบนใบหน้า ‘TK TakeCare’ จะบอกให้ว่า อารมณ์บูดๆ นอกจากจะนำตีนเป็ด
ตีนกามาฝากไว้ที่ใบหน้าแล้ว ความเครียดที่สะสมยังทำให้ผิวพรรณดูหม่นหมอง

ยังไงซะ ปัญหาเรื่องความสวยความงามและอารมณ์ย่อมมีทางแก้ เพราะ ‘TK TakeCare’ ไปพบเจอศาสตร์ที่ช่วยดูแลทั้งผิวและอารมณ์ไปพร้อมๆ กัน นั่นคือ เดอร์มาโรมา (Dermaroma)

ศาสตร์เดอร์มาโรมา คือการรวมตัวกันของ เดอร์มา (Derma) ซึ่งก็คือ ผิวหนัง จับคู่กับ อโรมา (Aroma) ที่หมายถึง กลิ่นหอมละมุน กลายเป็นศาสตร์การดูแลผิวบนพื้นฐานของอารมณ์ที่ผ่อนคลายช่วยคืนความสมดุลให้กับผิว นิยมนำผลไม้รสเปรี้ยวอันอุดมด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นประโยชน์ต่อผิว รวมกับสมุนไพรให้กลิ่นหอมเข้ามาช่วยปรับอารมณ์

ลองมาดูตัวอย่าง ผลไม้และสมุนไพรหอมๆ ที่ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดนำมาจับเข้าคู่กันช่วยปรนนิบัติเรือนกาย ผ่อนคลายอารมณ์ อย่าง 'แบล็กเบอร์รี่กับแบล็กที' ช่วยให้ผิวเรียบกระชับ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

โดย แบล็กเบอร์รี่ อุดมด้วยวิตามินซี เสริมสร้างการรวมตัวของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง และสามารถต้านการก่อตัวของอนุมูลอิสระบริเวณชั้นผิวต่างๆ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ผิวกระจ่างใส สุขภาพดี แลดูอ่อนกว่าวัย

ส่วน แบล็กที ใบชาที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และส่งกลิ่นหอมละมุน ช่วยให้คลื่นสมองสงบ เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ล้างพิษให้ผิว นำมาซึ่งความนุ่มลื่น สะอาดสดใส และบรรเทาผดผื่นสำหรับผิวแพ้ง่าย

อีกคู่ 'สตรอว์เบอร์รี่กับซินนามอน' ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และอารมณ์สดชื่น ซึ่งสตรอว์เบอร์รี่ มีสรรพคุณกระตุ้นให้เซลล์ผลัดผิวเร็วขึ้น เปลี่ยนผิวหมองคล้ำให้ดูมีชีวิตชีวา รอยแผลจางลง ผิวตึงกระชับ ลดความมันบนผิว

สำหรับ ซินนามอน สมุนไพรแห่งการชำระล้าง ช่วยต่อต้านแบคทีเรีย ทำความสะอาดรูขุมขน ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยและแผลเป็นให้ดูจางลง

หนหน้า หากอยากผ่อนคลายความตึงเครียดให้อารมณ์และเติมคุณประโยชน์ให้ผิวพรรณ อย่าลืมนึกถึง เดอร์มาโรมา นะจ๊ะ.