15 พ.ค. 2551

เกร็ดความรู้ : กลเม็ดแก็งค์ล้วงกระเป๋า

จากข่าวเบื้องหลังการล้วง......."มนตรี รุ่งรัศมี" หรือ "อ๊อด" หนุ่มใหญ่วัย 32
ปี ชาวกรุงเก่า
ผู้พลิกผันจากงานชิปปิ้งมาเป็นแก๊งล้วงกระเป๋าตั้งแต่เขามีวัยเพียง 18 ปี
หลังจาก 'จุดประกาย'
ได้ติดต่อขอให้เขาเปิดเผยเรื่องราวไว้เป็นอุทาหรณ์เพื่อป้องกันไม่ให้คนในสังคม­ต้องตกเป็นเหยื่อ


เขาทำงานเป็นชิปปิ้งในการท่าเรือแห่งประเทศไทย รายได้ก็ตกราวเดือนละ
8,000-9,000 บาท ซึ่งก็พออยู่ได้ เพราะเขาพักอาศัยอยู่ในชุมชนคลองเตย "อ๊อด"
บอกแล้วก็เล่าต่อว่าพอเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ชีวิตก็ผกผัน รายได้ก็ลดน้อยลง
จากจุดนี้เองทำให้เขาได้รู้จักเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่พักอาศัยอยู่ใกล้กันในชุ­มชนคลองเตยนั่นเอง
ทุก ๆ วันเพื่อนรุ่นพี่คนนี้จะแต่งกายภูมิฐาน มีเงินใช้สอยไม่ขาดมือ ทั้ง ๆ
ที่เขาไม่ได้ทำงานอะไรเลย


กระทั่งวันหนึ่ง หลังจากรู้จักกันมากขึ้นแล้ว
เพื่อนรุ่นพี่คนนี้ก็เอ่ยปากชักชวนให้เขาเข้าร่วม "แก๊งล้วงกระเป๋า" ผมกำลังตกงาน
ไม่มีเงินใช้ ก็เลยตกลงรับปากเข้าร่วมแก๊งทันที
หัวหน้าแก๊งก็จะสอนวิธีการล้วงกระเป๋าในเบื้องต้นให้
ก่อนที่จะให้เข้าร่วมปฏิบัติการล้วงกระเป๋า
งานชิ้นแรกในการปฏิบัติการล้วงกระเป๋าที่ "อ๊อด"
ได้รับมอบหมายก็คือ"'กัน-ยืนบังเหยื่อไม่ให้รู้สึกตัว"
โดยหัวหน้าจะเป็นคนล้วงกระเป๋าเอง


"อ๊อด" บอกว่าก่อนออกปฏิบัติการแต่ละครั้ง หัวหน้าแก๊งจะเรียกสมาชิกราว 5-6 คน
มาประชุมหารือนัดแนะวิธีการทำงานก่อนที่จะแบ่งหน้าที่กันทำว่าใครต้องล้วง
ใครต้องบัง ใครต้องรับของที่ล้วงมาได้แล้วหลบหนี
เขาบอกว่าทุกครั้งที่พวกเขาออกปฏิบัติการ ทุกคนจะสวมเสื้อแขนยาว ผูกเนคไท
ดูแล้วสะอาด ภูมิฐาน บางคนใส่สร้อยคอทองคำ สวมสร้อยข้อมือทองคำ
ทำให้เห็นว่าเป็นคนมีฐานะ มีเงิน
เพื่ออำพรางตัวเองไม่ให้คนสงสัยว่าเป็นพวกแก๊งมิจฉาชีพ


ช่วงเวลาลงมือก็จะเริ่มตั้งแต่ตีห้าไปจนถึงประมาณเจ็ดโมงเช้า
อีกรอบตั้งแต่สี่โมงเย็นเป็นต้นไปจนถึงค่ำ เพราะทั้งสองช่วงนี้ มีคนพลุกพล่าน
ทุกคนจะรีบเดินทางกลับบ้าน
จุดที่มีคนพลุกพล่านจะเป็นป้ายรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้า สยามสแควร์ มาบุญครอง
เซ็นทรัล หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง รวมทั้งสถานีรถไฟ สถานีขนส่งทุกจุดในกรุงเทพฯ
พูดง่ายๆ ทุกจุดที่เป็นแหล่งชุมชน
ย่านที่คนอยู่หนาแน่นและพลุกพล่าน


สำหรับอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ในการล้วงกระเป๋าก็จะมีกระดาษหนังสือพิมพ์ สมุด
เอกสารขนาดใหญ่ ถุงกระดาษ อย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับใช้ปิดบังตอนล้วงกระเป๋า
เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น เป้าหมายของพวกเราจะเน้นผู้หญิงแต่งตัวดี
สะพายกระเป๋ามีราคา ดูแล้วมีฐานะ ไม่จำกัดอายุว่าจะต้องเท่าใด
โดยหัวหน้าจะเป็นคนคอยเล็งดูเหยื่อว่าคนไหน
ถ้าเจอเหยื่อแล้วก็จะส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมทีมปฏิบัติการรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นใ­ส่เสื้อสีอะไร
แล้วลูกทีมก็จะเดินทางตามประกบ


ถ้าเหยื่อขึ้นรถเมล์ ลูกทีมก็จะขึ้นตามไปยืนประกบทั้งข้างหน้าข้างหลัง
เพื่อไม่ให้เหยื่อขยับตัวได้
จากนั้นหัวหน้าทีมผู้มีความชำนาญการล้วงกระเป๋าก็จะเดินเข้ามาหาเหยื่อแล้วใช้ก­ระดาษที่เตรียมมายกขึ้นบัง
มืออีกข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินออกมา
"ผมบอกได้เลยว่าคนล้วงกระเป๋าเป็นคนมือเบาและรวดเร็วมาก
จนเหยื่อไม่รู้ตัวเลย"
อ๊อดยืนยันพร้อมกับบอกว่าเมื่อทำสำเร็จแล้วทุกคนก็ทะยอยกันลงจากรถเมล์ตามจุดต่­าง
ๆ ก่อนที่จะมาพบกันที่บ้านเพื่อแบ่งเงินกัน
ทุกครั้งที่ทำสำเร็จหัวหน้าแก๊งจะไม่ยอมบอกว่าได้มาเท่าไร
แต่จะแบ่งให้ลูกน้องคนละ 500.- - 1,000.- บาทเท่านั้น
ก็แล้วแต่จำนวนเงินล้วงมาได้มากน้อยแค่ไหน
บางครั้งล้วงกระเป๋ามาแล้วไม่ได้เงินเลยก็มี
"รายที่ได้มากที่สุดมาจากบัตรเอทีเอ็มที่อยู่ในกระเป๋า
มีหมายเลขรหัสมาด้วย ตอนนั้นไปกดเงินได้เกือบหนึ่งแสนบาท"


อ๊อดเล่าถึงปฏิบัติการล้วงกระเป๋าครั้งแรก โดยเขาบอกว่า เป็น
'การเริ่มต้นฝึกน้องใหม่' ว่า เกิดขึ้นที่ป้ายรถเมล์ ถนนพระราม 4
เพราะใกล้บ้านแล้วก็มีคนน้อย "ผมเริ่มทำงานครั้งแรกตื่นเต้น กลัวมาก
ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่ก็ต้องทำเพื่อเงิน ตอนนั้นทำกันเพียง แค่ 2 คน
แต่จะมีหัวหน้าคอยสอนและชี้ให้จับเหยื่อว่าเป็นใคร คนไหน แต่งกายอย่างไร"
เมื่อได้ 'เหยื่อ' ซึ่งเป็นผู้หญิงแล้ว เขาจะเดินตามประกบขึ้นรถเมล์ยืนอยู่ข้าง
ๆ ตลอดเวลา เมื่อหัวหน้าเดินถือกระดาษหนึ่งแผ่น เข้ามายืนข้าง ๆ
เหยื่อแล้วใช้มือล้วงกระเป๋าเงินไป
กระทั่งเขาเองยังไม่รู้เลยว่าหัวหน้าล้วงกระเป๋าเงินไปตั้งแต่ตอนไหน
"ครั้งแรกผมได้ส่วนแบ่งเพียง 500.- บาทเท่านั้น
แต่ไม่รู้ว่าเงินที่ล้วงมาได้มีท่าไหร่"
อ๊อดบอกพร้อมกับเล่าว่ากระเป๋าส่วนใหญ่ที่เขาล้วง
ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อมักจะสะพายไว้ข้างลำตัวหรือไม่ก็ไพล่ไว้ข้างหลัง


ข้อมูลนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ชั้นดีสำหรับคุณผู้หญิงเวลาขึ้นรถเมล์
แก๊งของอ๊อดจะปฏิบัติการล้วงกระเป๋าโดยไม่มีการกำหนดเวลาว่าวันละกี่ครั้ง
บางวันทำงานแค่ครั้งเดียวได้เงินจำนวนมากก็พอใจแล้ว
บางวันล้วงกระเป๋าแล้วไม่ได้เงินก็จะออกไปทำใหม่จนกว่าจะได้เงินเพียงพอ
แต่จะไม่ล้วงกระเป๋าในสถานที่เดียวกันภายในวันนั้น ต้องเปลี่ยนไปทำที่อื่นแทน
ถ้าล้วงกระเป๋าที่ป้ายรถเมล์หน้าห้างมาบุญครองแล้วจะไม่กลับไปทำอีก
ต้องไปทำที่อื่นก่อน
พอผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนค่อยกลับมาหากินที่เดิมจะทำอย่างนี้เ­ป็นประจำ


ถ้าทำที่เดิมเป็นประจำจะมีคนจำหน้าได้ หรือบางทีจะมีตำรวจสายสืบอยู่
พวกมิจฉาชีพจะรู้ว่านี่คือตำรวจ ก็จะไม่ลงมือทำงาน 'อ๊อด'
ยอมรับว่าเคยมีบ้างเหมือนกันที่ล้วงกระเป๋าแล้วมีตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุ
แต่จะมีวิธีการหลบหนีด้วยการโยนกระเป๋าที่ล้วงมาได้ให้กับเพื่อนร่วมทีมอีกคนวิ­่งหลบหนีไปก่อน
เพื่อนร่วมทีมที่เหลือก็จะแกล้งเดินชนตำรวจ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
หรือถ้าถูกจับก็ไม่มีของกลางแล้ว ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้


"ตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานกับแก๊งล้วงกระเป๋ามาเกือบ 10 ปี
ไม่เคยโดนถูกตำรวจหรือเหยื่อจับได้เลย ลูกพี่ผมเคยโดนตำรวจจับมาหลายครั้ง
สุดท้ายพอออกมาได้แล้วก็มาทำเหมือนเดิมอีก
เพราะพวกแก๊งล้วงกระเป๋าส่วนใหญ่จะติดเฮโรอีน เคยติดคุกมาก่อน เช่น พี่ยุทธ
พี่ศักดิ์ พี่เป็ด พี่แดง พี่ปุ๊" อ๊อดยืนยัน
เขาบอกว่าแก๊งล้วงกระเป๋าส่วนใหญ่พอได้เงินมาก็ซื้อผงขาว
บางคนตายเพราะฉีดเฮโรอีนเกินขนาด บางคนมีเงินซื้อบ้านหลังใหญ่โต บางคนติดคุก
บางคนแก่ตาย แต่เด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามายึดอาชีพแก๊งล้วงกระเป๋าก็ทำได้ไม่ดี
เพราะไม่มีใครสอนวิชาให้ ประกอบกับเด็กรุ่นใหม่ใจไม่กล้าพอที่จะทำงาน
อ๊อดบอกด้วยเสียงหนักแน่นว่าตอนนี้เขาหันหลังให้กับแก๊งล้วงกระเป๋าในชุมชนคลอง­เตยอย่างเด็ดขาดนานแล้ว
เพราะถูกเอาเปรียบจากหัวหน้าแก๊ง เนื่องจากทุกครั้งจะแบ่งให้ลูกน้องแค่คนละ
500.- -1,000.- บาทเท่านั้น โดยไม่มีโอกาสรู้เลยว่าหัวหน้าได้เท่าไร
ลูกน้องจะถูกเอาเปรียบตลอด


เขาบอกทิ้งท้ายเพื่อเตือนหญิงสาวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งล้วงกระเป๋าว่าควรสั­งเกตผู้ชายแต่งตัวดี
ดูมีฐานะ ถือหนังสือตำราเรียน กระดาษ เอกสารขนาดใหญ่
ถ้าหากเดินเข้าใกล้ให้รีบหนีทันที โดยเฉพาะช่วงเวลาเย็น จะต้องระวังเป็นพิเศษ
เพราะเป็นช่วงเวลาของแก๊งล้วงกระเป๋าออกปฏิบัติการ
ถ้าอยู่บนรถเมล์หรือยืนรอรถเมล์ ถ้าหากมีคนมายืนเบียดข้าง ๆ ตลอดเวลา
จะต้องระวังให้ดี นักล้วงกระเป๋ากำลังเริ่มปฏิบัติการแล้ว


ปฏิบัติการล้วงกระเป๋าที่ได้รับการถ่ายทอดจากประสบการณ์ของ 'อ๊อด'
จะเป็นอุทาหรณ์เตือนให้ผู้หญิงได้มีความระมัดระวัง
ก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อของจิ้งจอกสังคมเมืองหลวง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น