แก๊งโจรเลว!! ชนแล้วปล้น เหยื่อครูสาว ปางตาย
เดี๋ยวนี้เวลาจะเดินทางไปมาไหนต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี
เพราะนอกจากแก๊งปาหินที่อาละวาดไปทั่วแล้ว ยังมีภัยร้ายในอีกรูปแบบ
"ชนแล้วปล้น" เขย่าขวัญคนใช้รถใช้ถนนเกิดขึ้น
วิธีการคือคนร้ายจะขับรถพุ่งชนเหยื่อที่ขับมอเตอร์ไซค์จนล้ม
ก่อนจะลงไปทำร้ายร่างกายซ้ำแล้วปลดทรัพย์สินหลบหนีไป
โดยไม่สนใจว่าเหยื่อจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
พวกนี้ใจคอโหดร้ายผิดมนุษย์!!
ไม่นานมานี้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับครูสาวซี 7
ที่ขับรถมอเตอร์ไซค์มาตามถนนสายพระยาบันลือ-ลาดบัวหลวง เขต ต.พระยาบันลือ
อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
ระหว่างทางถูกคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นขับรถกระบะพุ่งชนจนได้รับบาดเจ็บ
ก่อนที่คนร้ายจะลงมาทุบหน้าจนเละแล้วชิงทรัพย์เอากระเป๋าถือหลบหนีไป
ทำได้ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน
ย้อนไปดูเหตุคราวเคราะห์ของครูสาวเกิดขึ้นตอนบ่ายวันที่ 20 พ.ค.
ขณะที่นางพิจิตรา พิณมณี อายุ 43 ปี อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนสอนดี
ต.พระยาบันลือ อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า
ดรีม สีเปลือกมังคุด ทะเบียน ธ 3169 พระนครศรีอยุธยา
มาตามสายพระยาบันลือ-ลาดบัวหลวง เขต ต.พระยาบันลือ อ.ลาดบัวหลวง
จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อมุ่งหน้าไปโรงเรียน ระหว่างทางได้มีรถยนต์กระบะนิสสัน
บิ๊กเอ็ม สีเขียว ทะเบียน บจ 4819 นนทบุรี
ซึ่งขับตามมาด้านหลังเร่งเครื่องพุ่งชนเข้าใส่ ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ของนางพิจิตรา
เสียหลักล้มลง
หลังจากนั้นคนร้ายได้ขับรถย้อนกลับมา
ซึ่งตอนแรกนางพิจิตราคิดว่าจะกลับมาให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อมาถึง 1
ในแก๊งคนร้ายรูปร่างผอมสูง ผิวดำแดง อายุไม่เกิน 30 ปี แต่งกายแบบวัยรุ่น
ไว้ผมยาวแบบดาราเกาหลี สวมหมวก ได้ลงมาจากรถตรงเข้ามาทำร้ายด้วยการทุบใบหน้า
ทั้งๆ ที่เหยื่อก็ได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถชนแทบปางตายอยู่แล้ว
ก่อนที่คนร้ายจะแย่งเอากระเป๋าสะพายซึ่งภายในมีเงินสดประมาณ 4,000 บาท
และเอกสารบัตรเอทีเอ็ม บัตรประจำตัวจำนวนหนึ่งกลับขึ้นรถหลบหนีไป
ยังดีสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทขาดตอนรถล้ม คนร้ายไม่เห็นจึงไม่ได้เอาไป
ขนาดกลางวันแสกๆ ยังกล้าทำได้!?!
ห้วงนั้น "พิจิตรา" ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากพยายามช่วยเหลือตัวเอง
ให้รอดพ้นจากความตาย เธอพยายามค้นหาโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ใกล้ๆ
ตัวโทร.หาสามีซึ่งเป็นตำรวจสันติบาลอยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี และเพื่อนๆ ครู
ละล่ำละลักบอกว่าถูกคนร้ายชิงทรัพย์
ทำให้ทุกคนรีบเดินทางมาช่วยเหลือนำส่งร.พ.ศุภมิตรเสนาได้ทันท่วงที
โดยแพทย์ต้องเย็บบาดแผลบริเวณใบหน้าที่โดนคนร้ายทุบรวม 15 เข็ม
ยังดีที่อาการบาดเจ็บจากการถูกรถชน ไม่เป็นอันตรายมากมายนัก
วันรุ่งขึ้นนางพิจิตราจึงพาร่างกายอันบอบช้ำเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.โชติกานต์
คงรอด พนักงานสอบสวน สภ.ลาดบัวหลวง เพื่อให้ติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี
พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายไปสเกตช์ภาพคนร้ายทันที
คดีนี้เป็นที่สนใจของนายตำรวจชั้นระดับสูง เพราะเป็นภัยที่เกิดกับประชาชนโดยตรง
และที่สำคัญ คนร้ายลงมืออย่างอุกอาจ
ทำได้แม้กระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้ขณะที่เหยื่อได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถชน
พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ
ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะผู้บังคับบัญชาตำรวจท้องที่
จึงได้มอบหมายให้พ.ต.ต.รามณรงค์ บุญเกิด
สว.กลุ่มงานสืบสวนบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.ลาดบัวหลวง
เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี และให้เจ้าหน้าที่ตามหาเบาะแสรถกระบะนิสสัน
บิ๊กเอ็มของคนร้าย
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับรายงานว่าคนร้ายได้นำรถคันดังกล่าวไปจอดทิ้งไว้ที่บริเวณสะพานพระราม
4 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เนื่องจากน้ำมันหมด เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจสอบหาเจ้าของรถ
ทราบว่าเป็นรถของนางวิรัตน์ รอดทองคำ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43/3 ม.5
ต.บางตะนัย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
โดยก่อนหน้านี้นางวิรัตน์ก็ได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด
จ.นนทบุรี ว่ารถคันดังกล่าวก็เพิ่งถูกคนร้ายโจรกรรมไปจากเขต จ.นนทบุรี เช่นกัน
กระทั่งคนร้ายได้นำมาก่อเหตุโจรกรรมทรัพย์อีกครั้ง
สำหรับการตามล่าตัวคนร้ายรายนี้
ตำรวจพระนครศรีอยุธยาร่วมมือกับตำรวจนนทบุรีจัดชุดไล่ล่าคนร้ายทันที โดยมี
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 ลงมาสั่งการวางแผนด้วยตนเอง
และตรวจสอบคดีที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งในเขต จ.นนทบุรี ปทุมธานี
และพระนครศรีอยุธยา ที่คาดว่าคนร้ายจะออกอาละวาด
ผลการตรวจสอบพบว่ามีหลายคดีที่เชื่อว่าเกี่ยวโยงกัน
และสันนิษฐานว่าเกิดจากฝีมือคนร้ายคนเดียวกับในภาพสเกตช์
เริ่มจากก่อเหตุโจรกรรมรถยนต์กระบะคันนี้
แล้วนำไปก่อเหตุขับรถพุ่งชนรถจักรยานยนต์และชิงทรัพย์เหยื่อที่ อ.ลาดบัวหลวง
และเมื่อก่อเหตุเสร็จจึงขับรถกลับมาในเขต จ.นนทบุรี
จนรถน้ำมันหมดที่เชิงสะพานพระราม 4 ในเขต อ.ปากเกร็ด จึงทิ้งรถหลบหนี นอกจากนี้
ยังมีการตรวจสอบคดีชิงทรัพย์ที่เกิดในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
พบว่ามีคดีชิงทรัพย์ที่คนร้ายรูปร่างหน้าตาและมีพฤติกรรมการก่อเหตุชิงทรัพย์คล้ายๆ
กับกรณีดังกล่าว คือที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ขับประกบรถจักรยานยนต์เหยื่อและถีบให้ล้มจากนั้นชิงทรัพย์ไป
และที่เขต อ.ลาดบัวหลวง ก็มีคดีในลักษณะนี้เช่นกัน
พล.ต.ต.นเรศ กล่าวว่า สั่งการให้ชุดสืบสวนโดย พ.ต.ท.ประภาวิน ฉายโฉมเลิศ รอง
ผกก.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด
เริ่มจากประสานงานไปยัง สภ.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนร้ายโจรกรรมชิงรถยนต์และหลังก่อเหตุก็ขับรถกลับมาในเขต
อ.ปากเกร็ดอีก โดยต้องเริ่มเกะรอยอย่างละเอียดในทุกคดี
และให้ประสานงานกับตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบคดีนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
โดยคดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญ สังคมเฝ้ามองการทำงานของตำรวจ
ซึ่งพบว่าคนร้ายก่อเหตุในช่วงกลางวันโดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครมาพบเห็น
อย่างไรก็ตาม จากภาพสเกตช์นั้นตำรวจได้นำมาตรวจสอบกับแฟ้มคดีอาชญากรรมเก่า
พบว่ามีลักษณะใบหน้าคล้ายกับบุคคลที่เคยถูกทำประวัติอาชญากรรมจำนวน 4-5 คน
ซึ่งจะต้องให้ผู้เสียหายมาดูตรวจสอบอีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น