สำหรับสัปดาห์นี้ เดลินิวส์ออนไลน์ ขออัพเดทภัยร้ายของการขโมยรถรูปแบบใหม่ ที่อันตรายและเข้า ถึงตัวคุณได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเหยื่อช่างสงสัย?!
ชายผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่ง เผย ตนแวะไปซื้อของที่ตลาดนัดกลางคืนแห่งหนึ่งเพียงคนเดียว เขาจอด รถไว้ไม่ห่างจากที่นั่น เมื่อจะเดินทางกลับบ้าน เขาขึ้นรถ ล็อคประตู สตาร์ทเครื่อง และเตรียมออก รถ เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่า มีชายคนหนึ่งยืนขวางอยู่ด้านหน้ารถและมองเข้ามาที่เขา
ด้วยความที่เป็นผู้ชายจึงไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายใดขึ้น เขาจึงกดปุ่มเปิดกระจกอัตโนมัติ แล้วยื่นหน้า ออกไปถามชายคนดังกล่าวด้วยความสงสัยว่า "มีอะไรหรือครับ?"
ทันใดนั้น ชายอีก 3 คน วิ่งกรูเข้ามาที่ประตูรถด้านคนขับ พร้อมกับช่วยกันกดกระจกรถลงจนสุด ปลดล็อค และลากชายเจ้าของรถลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้ง 4 รุมทำร้ายเขา ก่อนนำตัวขึ้นรถ ขับรถ ออกไปย่านชานเมืองในบริเวณเปลี่ยว
จากนั้น กลุ่มคนร้ายพูดคุยกันถึงวิธีการจัดการกับเหยื่อ ระหว่างที่พวกเขาตกลงกันอยู่ คนร้ายรายหนึ่ง บังคับให้เหยื่อส่งของมีค่าที่มีอยู่ให้ สุดท้ายเขาก็ถูกปล่อยตัว เพราะไม่ขัดขืน แต่คนร้ายก็ขับรถยนต์ พร้อมทรัพย์สินของเขาหลบหนีไป
อีกกรณี เกิดขึ้นกับชายวัยกลางคน ที่ได้ยินภัยร้ายหลายรูปแบบมาก่อนหน้า เขาจึงไม่ต้องเสียทรัพย์สิน ใดๆ ให้กับแก๊งโจรร้าย เมื่อเขาเดินกลับมาที่รถ และพบว่ามีซองเอกสารวางอยู่ด้านหลัง ลักษณะซอง นั้นบรรจุสิ่งของเสียจนบวมแน่น เขาจึงใช้โทรศัพท์มือถือเขี่ยซองดังกล่าวทิ้งไป และรีบขึ้นรถ ล็อคประตูทันที
ในขณะที่เขาอยู่ในรถ เขามองผ่านกระจกที่สะท้อนภาพด้านหลังตัวรถ จึงพบว่า รถคันที่จอดต่อหลัง ซึ่ง ติดฟิล์มกรองแสดงสีดำสนิท และเหมือนถูกจอดทิ้งไว้ ก็ถูกสตาร์ทขึ้นและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ที่ สำคัญรถคันดังกล่าวไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน
เขาได้แต่คิดว่า หากตนเองสงสัยซองเอกสารที่พบแล้วหยิบมาเปิดดู คนร้ายคงจะอาศัยจังหวะนั้นเข้า ลงจากรถ และมาทำร้ายเขาแน่ๆ
ดังนั้น เมื่อคุณพบความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าที่เดินเข้ามาใกล้ หรือมีวัตถุสิ่งของวางอยู่ บริเวณรถของคุณ ไม่ควรเปิดกระจก ลงจากรถไปพูดคุยกับคนแปลกหน้า หรือหยิบสิ่งของเหล่านั้นมาดู เพราะคนร้ายอาจใช้ความสงสัยของคุณเป็นช่องทางในการก่อเหตุร้ายได้ ทางที่ดี เมื่อขึ้นรถควร ล็อคประตูทันที กดแตรเพื่อเรียกร้องความสนใจ และทำให้คนร้ายตกใจกลัว.
27 มิ.ย. 2551
เรื่อง...องค์หญิงโดนของแข็ง (ขำขำ)
*อย่า! คิด ลึกกก..*
เรื่อง...องค์หญิงโดนของแข็ง
กาลครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่หรอกหญิงนางหนึ่งถูกสาปไว้
ถ้าจับสิ่งใดขอให้หลอมละลายกลายเป็นไอน้ำ พระราชาเป็นห่วงบุตรี หาวิธีแก้ไขอย่างไรก็มิหาย หมดหนทางที่จะช่วยบุตรี แต่จู่ ๆ ก็มีนางฟ้ามาปรากฏกายขึ้น และก็จะถอนคำสาปให้หายโดยพลัน แต่นางมีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า จะต้องมีชายคนหนึ่งหาสิ่งใดก็ได้มาให้บุตรีจับ แล้วไม่ละลาย คำสาปนั้นจึงจะหายไป พระราชาไม่รอช้ามุ่งหน้าป่าวประกาศโดยพลัน หากชายใดสามารถถอนคำสาปได้ใน 1 วัน ฉันจะยกลูกสาวให้เจ้าไป
จนสามารถคัดเลือกเหลือ 3 คน
คนที่หนึ่งจึงเริ่มเอาของดีมาแก้ไข หยิบโครตเพชรเม็ดงามให้ ทรามวัย เจ้าหญิงจึงยื่นมือไปแล้วแตะในทันที ยังไม่ทันจะแตะได้เต็ม มือ เพชรก็หายละลายไปสิ้น 'ฉันเสียใจด้วยจริงๆ เพชรเม็ดนี้ต้องละลายไป' เจ้าหญิงกล่าว
ชายคนที่สองรองถัดมา ก็เดินมาเบื้องหน้าของเจ้าหญิง ยื่นเหล็กแหลมแข็งแกร่งไม่อ่อนนิ่ม ให้เจ้าหญิงลองจับสัมผัสดู
แต่แล้วมันก็ละลายหายไปหมด 'เธอก็อด ตกรอบไปเสียสิ้น'
คนสุดท้ายเดินมาตัวปล่าวไม่มีทรัพย์สิน บอกเจ้าหญิงจงเอามือล้วงลงไปในกางเกง เจ้าหญิงจึงล้วงลงไปในกางเกงของชายผู้นั้น หน้าเจ้าหญิงก็เริ่มแดง ด้วยความเขินอาย แล้วจึงรีบดึงมือออกโดยพลัน หันมาบอกราชา 'เสด็จพ่อเพคะ ...มัน.... มัน..มันยังแข็งอยู่เลยค่ะ' ในที่สุดชายคนที่ 3 ก็ได้เป็นผู้ชนะไป พระราชาสงสัย มันคืออะไร อยู่ในกางเกงของชายผู้นั้น .....?
ชายคนที่ 3 ไม่ยอมตอบ ได่แต่อมยิ้ม และก็ได้ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขา แล้วหยิบมันออกมา
มันคือ
M&M ช็อคโกแลต ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ
เรื่อง...องค์หญิงโดนของแข็ง
กาลครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่หรอกหญิงนางหนึ่งถูกสาปไว้
ถ้าจับสิ่งใดขอให้หลอมละลายกลายเป็นไอน้ำ พระราชาเป็นห่วงบุตรี หาวิธีแก้ไขอย่างไรก็มิหาย หมดหนทางที่จะช่วยบุตรี แต่จู่ ๆ ก็มีนางฟ้ามาปรากฏกายขึ้น และก็จะถอนคำสาปให้หายโดยพลัน แต่นางมีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า จะต้องมีชายคนหนึ่งหาสิ่งใดก็ได้มาให้บุตรีจับ แล้วไม่ละลาย คำสาปนั้นจึงจะหายไป พระราชาไม่รอช้ามุ่งหน้าป่าวประกาศโดยพลัน หากชายใดสามารถถอนคำสาปได้ใน 1 วัน ฉันจะยกลูกสาวให้เจ้าไป
จนสามารถคัดเลือกเหลือ 3 คน
คนที่หนึ่งจึงเริ่มเอาของดีมาแก้ไข หยิบโครตเพชรเม็ดงามให้ ทรามวัย เจ้าหญิงจึงยื่นมือไปแล้วแตะในทันที ยังไม่ทันจะแตะได้เต็ม มือ เพชรก็หายละลายไปสิ้น 'ฉันเสียใจด้วยจริงๆ เพชรเม็ดนี้ต้องละลายไป' เจ้าหญิงกล่าว
ชายคนที่สองรองถัดมา ก็เดินมาเบื้องหน้าของเจ้าหญิง ยื่นเหล็กแหลมแข็งแกร่งไม่อ่อนนิ่ม ให้เจ้าหญิงลองจับสัมผัสดู
แต่แล้วมันก็ละลายหายไปหมด 'เธอก็อด ตกรอบไปเสียสิ้น'
คนสุดท้ายเดินมาตัวปล่าวไม่มีทรัพย์สิน บอกเจ้าหญิงจงเอามือล้วงลงไปในกางเกง เจ้าหญิงจึงล้วงลงไปในกางเกงของชายผู้นั้น หน้าเจ้าหญิงก็เริ่มแดง ด้วยความเขินอาย แล้วจึงรีบดึงมือออกโดยพลัน หันมาบอกราชา 'เสด็จพ่อเพคะ ...มัน.... มัน..มันยังแข็งอยู่เลยค่ะ' ในที่สุดชายคนที่ 3 ก็ได้เป็นผู้ชนะไป พระราชาสงสัย มันคืออะไร อยู่ในกางเกงของชายผู้นั้น .....?
ชายคนที่ 3 ไม่ยอมตอบ ได่แต่อมยิ้ม และก็ได้ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขา แล้วหยิบมันออกมา
มันคือ
M&M ช็อคโกแลต ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ
อาหารบางอย่างกินแล้วทำให้ง่วงได้ด้วยนะ
มั้ยอาหารบางอย่างกินแล้วทำให้ง่วงได้ด้วยนะ เคยเป็นกันค่ะ ที่บางวันโอ้ .... โห กระปรี้กระเปร่า ทำงานดี ไม่มีติดขัด ในขณที่บางวันโอ้ย ... ง่วงหง่าวหาวนอนตั้งแต่ยังไม่เข้างานเลย ที่มันเป็นอย่างนั้นเป็นเพราะว่าบางครั้งอาหารที่คุณทานเข้าไปอาจจะส่งผลให้คุณง่วงโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นอาหารดังต่อไปนี้
กาแฟ ค่ะ กาแฟคุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะ การดื่มกาแฟทั้ง ๆ ที่ท้องยังว่าง นั้น กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้น จากนั้นความง่วงจะมาเยือนคุณค่ะ
ครัวซองต์ เพราะในครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากแถมยังมีไขมันอีกด้วย ซึ่งไขมันนั้นไม่ต้องหารพลังงานในการย่อย ทำให้มีการเบียดเบียนเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองไปอยู่กระเพาะแทน ทำให้รู้สึกง่วงได้ ถ้าคุณไม่มีเวลาจริง ๆ อนุญาตให้ทานครัวซองต์ชิ้นเล็ก ๆ ได้เท่านั้นค่ะ
ของหวาน ไม่ว่าจะเป็นขนมเค้ก คุ้กกี้ หรือเครื่องดื่มหวาน ๆ เพราะว่ามันมีน้ำตาลแทรกอยู่แล้วเจ้าน้ำตาลนี่ล่ะค่ะที่เป็นตัวทำให้เราง่วง
โยเกิร์ต ทั้ง ๆ ที่ในโยเกิร์ตนั้นทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีนแท้ ๆ มันก็น่าจะเป็นผลดีใช่มั้ยค่ะ แต่ว่าโปรตีนที่เราได้รับเข้าไปนี้มันจะไปแยกกรดอะมิโนจากร่างกาย แล้วก็ส่งผลให้เราง่วงได้นั่นเองค่ะ
ฟังดูแล้วก็ลำบากเหมือนกันเน๊อะ ... จะกินอะไรแต่ละทีต้องระวังนู่น ระวังนี้ ถ้าอย่างนั้นก็อ่านเอาไว้ประดับความรู้ดีกว่าค่ะ ถ้าอยากทานของที่พูดถึงมาก็ทานเข้าไปเลย ถ้าง่วงก็ออกไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยแล้วค่อยมาทำงานต่อดีกว่าเน๊อะ .... ว่าป่ะ
กาแฟ ค่ะ กาแฟคุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะ การดื่มกาแฟทั้ง ๆ ที่ท้องยังว่าง นั้น กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้น จากนั้นความง่วงจะมาเยือนคุณค่ะ
ครัวซองต์ เพราะในครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากแถมยังมีไขมันอีกด้วย ซึ่งไขมันนั้นไม่ต้องหารพลังงานในการย่อย ทำให้มีการเบียดเบียนเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองไปอยู่กระเพาะแทน ทำให้รู้สึกง่วงได้ ถ้าคุณไม่มีเวลาจริง ๆ อนุญาตให้ทานครัวซองต์ชิ้นเล็ก ๆ ได้เท่านั้นค่ะ
ของหวาน ไม่ว่าจะเป็นขนมเค้ก คุ้กกี้ หรือเครื่องดื่มหวาน ๆ เพราะว่ามันมีน้ำตาลแทรกอยู่แล้วเจ้าน้ำตาลนี่ล่ะค่ะที่เป็นตัวทำให้เราง่วง
โยเกิร์ต ทั้ง ๆ ที่ในโยเกิร์ตนั้นทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีนแท้ ๆ มันก็น่าจะเป็นผลดีใช่มั้ยค่ะ แต่ว่าโปรตีนที่เราได้รับเข้าไปนี้มันจะไปแยกกรดอะมิโนจากร่างกาย แล้วก็ส่งผลให้เราง่วงได้นั่นเองค่ะ
ฟังดูแล้วก็ลำบากเหมือนกันเน๊อะ ... จะกินอะไรแต่ละทีต้องระวังนู่น ระวังนี้ ถ้าอย่างนั้นก็อ่านเอาไว้ประดับความรู้ดีกว่าค่ะ ถ้าอยากทานของที่พูดถึงมาก็ทานเข้าไปเลย ถ้าง่วงก็ออกไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยแล้วค่อยมาทำงานต่อดีกว่าเน๊อะ .... ว่าป่ะ
มุมมองต่างชาติกับการทำงานแบบไทย
บ้านเราเดี๋ยวนี้มีคนต่างชาติเข้ามาทำงานหลายพันชีวิต พอฝรั่งกับไทยมาเจอกัน ความอลเวงก็เลยเกิดขึ้น เพราะนอกจากภาษาและความเคยชินจะต่างกันชนิดฟ้ากับเหวแล้ว นิสัยการทำงานก็ยังไม่เหมือนกันอีกด้วย *ฝรั่งจะนินทาคนไทยว่ายังไรบ้าง *มาแอบฟังกันดีกว่า....
เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:
1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
- เจฟฟรีย์ บาร์น
2. การโต้แย้ง เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า ' ขี้เกรงใจ ' แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ
3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
- ไมเคิล วิดฟิล์ค
4. ความรับผิดชอบ 1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนานก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร 2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน
5. วิธีแก้ไขปัญหา คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก
6. บอกแต่ข่าวดี คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ 1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา 2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า จะทำงานเสร็จทันเวลาๆหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย
- โจนาธาน ธอมพ์สัน
7. คำว่า ' ไม่เป็นไร ' เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า ' ไม่เป็นไร ' มาแก้ปัญญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์
8. ทักษะในการทำงาน 1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า 2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด 3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม
- เดวิด กิลเบิร์ก
9. ความซื่อสัตย์ พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์
10. ระบบพวกพ้อง คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์
11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่อง?่วนตัว พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร 1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน 2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน 3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที 4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ 5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย
- วิลเลี่ยม แมคคินสัน
12. นับถือระบบอาวุโส คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
- เนลสัน ฟอร์ด
เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:
1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
- เจฟฟรีย์ บาร์น
2. การโต้แย้ง เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า ' ขี้เกรงใจ ' แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ
3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
- ไมเคิล วิดฟิล์ค
4. ความรับผิดชอบ 1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนานก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร 2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน
5. วิธีแก้ไขปัญหา คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก
6. บอกแต่ข่าวดี คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ 1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา 2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า จะทำงานเสร็จทันเวลาๆหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย
- โจนาธาน ธอมพ์สัน
7. คำว่า ' ไม่เป็นไร ' เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า ' ไม่เป็นไร ' มาแก้ปัญญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์
8. ทักษะในการทำงาน 1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า 2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด 3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม
- เดวิด กิลเบิร์ก
9. ความซื่อสัตย์ พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์
10. ระบบพวกพ้อง คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์
11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่อง?่วนตัว พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร 1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน 2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน 3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที 4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ 5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย
- วิลเลี่ยม แมคคินสัน
12. นับถือระบบอาวุโส คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
- เนลสัน ฟอร์ด
เรื่องฮาๆ (ห้ามส่งให้หัวหน้างานนะ)
ชายคนหนึ่งไปซื้อนกแก้วที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง
เห็นนกแก้วตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และเคาะแป้นคีย์บอร์ด
อยู่จึงเกิดสนใจถามคนขายว่านกแก้วตัวนั้นราคาเท่าไหร่
ชายคนนั้น : ลุงๆไอ้ตัวนั้นราคาเท่าไหร่
คนขาย : 15,000 บาท
ชายคนนั้น : แล้วมันทำไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ใช้ window,mac,unix แล้วก็พวกซอฟแวร์ office ต่างๆ
ชายคนนั้น : แล้ว ไอ้ตัวข้างๆมันล่ะ
คนขาย : 25,000 บาท
ชายคนนั้น : โอ้โห อย่างนี้มันคงเขียนโปรแกรมได้ด้วยมั้ง ( หัวเราะ)
คนขาย : ก็ใช่ แต่มันยังดูแล server แล้วก็เขียนโปรแกรมจัดการกับ
>Database ของร้านได้ด้วยนะ ชายคนนั้น : แล้วไอ้ตัวนั้นล่ะ ทำไมมันนั่งเฉยๆไม่เห็นมันทำอะไร
คนขาย : ไอ้ตัวนั้นอะนะ วันๆไม่เห็นมันทำอะไร แหกปากด่าไอ้สองตัวที่นั่งอยู่หน้าคอมอยู่ได้ ผมโครตรำคาญมันเลยคุณ
ชายคนนั้น : แล้วมันราคาเท่าไหร่ล่ะ
คนขาย : 100,000 บาท
ชายคนนั้น : เฮ้ย ทำไมล่ะ
คนขาย :ผมก็ไม่รู้ แต่เห็นไอ้ 2 ตัวนั้น เรียกมันว่า ผู้จัดการ!!!
เห็นนกแก้วตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และเคาะแป้นคีย์บอร์ด
อยู่จึงเกิดสนใจถามคนขายว่านกแก้วตัวนั้นราคาเท่าไหร่
ชายคนนั้น : ลุงๆไอ้ตัวนั้นราคาเท่าไหร่
คนขาย : 15,000 บาท
ชายคนนั้น : แล้วมันทำไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ใช้ window,mac,unix แล้วก็พวกซอฟแวร์ office ต่างๆ
ชายคนนั้น : แล้ว ไอ้ตัวข้างๆมันล่ะ
คนขาย : 25,000 บาท
ชายคนนั้น : โอ้โห อย่างนี้มันคงเขียนโปรแกรมได้ด้วยมั้ง ( หัวเราะ)
คนขาย : ก็ใช่ แต่มันยังดูแล server แล้วก็เขียนโปรแกรมจัดการกับ
>Database ของร้านได้ด้วยนะ ชายคนนั้น : แล้วไอ้ตัวนั้นล่ะ ทำไมมันนั่งเฉยๆไม่เห็นมันทำอะไร
คนขาย : ไอ้ตัวนั้นอะนะ วันๆไม่เห็นมันทำอะไร แหกปากด่าไอ้สองตัวที่นั่งอยู่หน้าคอมอยู่ได้ ผมโครตรำคาญมันเลยคุณ
ชายคนนั้น : แล้วมันราคาเท่าไหร่ล่ะ
คนขาย : 100,000 บาท
ชายคนนั้น : เฮ้ย ทำไมล่ะ
คนขาย :ผมก็ไม่รู้ แต่เห็นไอ้ 2 ตัวนั้น เรียกมันว่า ผู้จัดการ!!!
ความชั่วร้ายของรถ Taxi บางคัน --ต้องอ่านนะ!!!!
สวัสดีเพื่อน ๆ พี่ๆ ทุกคน
ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิง หมวยมีประสบการณ์ภัยใกล้ตัวที่น่ากลัวและเมื่อนึกขึ้นทีไร ก็เป็นเรื่องน่ากลัวในจิตใจทุกที จึงอยากจะมาเล่าประสบการณ์ให้ได้รู้และได้ระวังกัน ในความชั่วร้ายของรถ Taxi เรื่องมีอยู่ว่า
คืนวันพุธที่ 30 เม.ย. 2551 ที่ผ่านมา หมวยไปยืนรอรถ taxi ที่หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ (ข้าง MBK) เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ หมวยยืนรอ taxi อยู่นานมากๆๆ แต่ก็ไม่มี taxi คันไหนไปซักคัน (หมวยจะไปปิ่นเกล้า) ซักพักก็มี taxi (ยี่ห้อ toyota soluna รุ่นเก่า สีฟ้า ถ้าจำไม่ผิด) วิ่งมาจอดตรงหน้า และมันก็รับหมวยขึ้นรถไปโดยเส้นทางที่มันพาเราไปก็คืน วิ่งตรงไปตรงสะพานยศเส แล้วก็เลี้ยวขวาผ่านตรงตลาดโบ๊เบ๊ ก็นึกในใจว่าเราเป็นผู้หญิงคนเดียวขึ้น taxi ดึก ๆ คนเดียวก็อันตรายเหมือนกันนะ (นึกถึงเรื่องที่เคยอ่าน mail ว่ามีคนถูก Taxi รมยาสลบ และล่าสุดน้องอุ๋ม (เพื่อนที่ทำงานปัจจุบัน) นั่ง taxi ตอนกลางวันแล้วเจอ taxi มันเร่งเครื่องยนต์ขณะรถติดก็อาจเป็นได้ว่ามันกำลังคิดการไม่ดี น้องอุ๋มก็เลยลงรถ ) หมวยก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาแฟน ก็บอกแฟนว่า 'ขึ้นรถ taxi แล้วนะอีกประมาณครึ่งชั่วโมงคงถึงบ้านแล้วล่ะ' ในใจก็หันไปมอง กท รถที่เคยเห็นในรถ taxi ทั่วไปมี จะบอกแฟนว่าขึ้นรถ taxi กท อะไร ก็เห็นแค่ว่า ' ทพ ' แต่ไม่มีเลยทะเบียน ก็เริ่มเอะใจ
แล้วในขณะที่หมวยพูดกับแฟน ไอ้คนขับ taxi ชั่ว มันก็เหมือนสะดุ้งตกใจ แล้วก็หันมามองเรา ซึ่งขณะนั้น taxi วิ่งผ่านตรงตลาดโบ๊เบ๊ พอรถเลี้ยวซ้ายเข้าตรง ธ.กรุงไทยสะพานขาว เพื่อที่จะมุ่งหน้าตรงไปสะพานผ่านฟ้า (ราชดำเนิน) ไอ้ taxi มันก็หันมามองหมวยอีกที แล้วมันก็หันกลับไป
ทันใดนั้นมือที่มันจับที่เกียร์รถยนต์ก็เหลือแค่ 3 นิ้ว (กลาง นาง ก้อย) ส่วนอีก 2 นิ้ว (นิ้วชี้กับนิ้วโป้ง) มันไปกดอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องแอร์พิเศษที่รถ taxi คันอื่น ไม่มี (เท่าที่เคยสังเกตได้)แล้วมันก็เร่งแอร์ขึ้น เราเห็นพฤติกรรมมันเราก็เริ่มเตรียมตัวแล้วว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน เท่าที่จำความได้ประมาณ 1 นาทีผ่านไป ก็รู้เลยว่าถูกไอ้ taxi ชั่วมันรมยาสลบแน่ๆ
ความรู้แรกเลยคือ ความชามันเริ่มมาจากตรงท้อง ไล่มาตรงหน้าอก และสุดท้ายที่จำความรู้สึกได้คือรู้สึกหน้ามืด หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก หายใจถี่ เหมือนจะหมดสติในทันใด แต่ก็ตั้งสติได้ก็บอกไอ้คนขับว่าให้จอดข้างหน้าเลย (ก่อนที่จะบอกคนขับให้จอด มือก็เปิดที่ล็อกประตูแล้วก่อนที่จะบอกมัน) แล้วมันก็ชะลอรถแล้วถามว่าทำไม หมวยก็บอกว่า ' จอดแล้วกัน หายใจไม่ออก ถ้าไม่จอดจะกระโดดลงแล้วนะ' มันก็ไม่ถึงกับจอดสนิทหรอก แต่หมวยก็ดันประตูรถออกมาแล้วก็กึ่ง ๆ กระโดดลงออกมาจากรถ และจากสติที่ใกล้จะหมดแล้วได้ยินมันพูดว่า ' จะลงทำไมล่ะครับ ผมไม่ได้ทำไรคุณนะ แอร์รถผมก็เย็น' แล้วก็เหมือนได้ยินมันทวงค่า taxi ก็เลยโยนให้มัน จำได้ว่า 50 บาท (ทุกคนที่ฟังเราเล่าบอกว่าไปให้มันทำไม)
ในขณะที่กระโดดลงรถ ก็ลงมานั่งยองๆ เพื่อตั้งสติ มองเห็นอีกทีก็เห็นตัวเองอยู่กลางสี่แยกหลานหลวง และฝั่งตรงข้ามที่ลงมีป้อมเล็ก ๆ ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นป้อมตำรวจ ก็แข็งใจวิ่งข้ามทางม้าลายไปตรงป้อมนั้น ปรากฎว่าเป็นแค่ป้อมจราจรที่ไม่มีตำรวจอยู่เลย และแล้วก็มีชายคนนึงเดินผ่านหน้า เราก็ร้องให้เค้าช่วย เค้าก็เข้ามาถามว่าเป็นอะไร ก็เล่าเหตุการณ์ให้เค้าฟัง เค้าก็นั่งเฝ้าเราซักฟักจนเราเริ่มมีสติ หมวยก็กด 191 ก่อนเลยเป็นอันดับแรก ไม่ต้องหวังเลยค่ะว่าจะโทรติด แต่ในขณะนั้นร่างกายอ่อนแรงมาก ๆ ผู้ชายคนนั้นก็เลยบอกว่าโทรหาแฟนคุณดีกว่าไม๊ ผมจะรอเป็นเพื่อน (จริง ๆ แล้วผู้ชายคนนั้นก็หน้าตาน่ากลัวเหมือนกัน) ก็เลยโทรหาแฟน
แฟนก็บอกให้พ่อของแฟนมารับกลับบ้าน (บ้านพ่อแฟนอยู่โบ๊เบ๊) ในระหว่างรอพ่อแฟนมารับ ผู้ชายคนนั้นเค้าก็รอเป็นเพื่อนนะ แล้วก็บอกให้หมวยไปรอตรงที่คนเยอะ ๆ สว่าง ๆ แต่จะบอกว่าแถวนั้นเป็นบริเวณที่เปลี่ยวมาก ๆ เพราะเป็นย่านค้าขาย ทุกคนปิดบ้านหมดและเงียบสนิท ดีหน่อยก็เพราะว่ายังมีรถวิ่งพลุกพล่าน แต่ก็ไม่มีอะไรดีกว่าไปยืนริมถนน ก็เลยไปยืนให้ใกล้ริมถนนที่สุดซึ่งมีรถวิ่งผ่านไปมา (ในใจก็แอบกลัวผู้ชายคนที่นั่งอยู่ด้วย)
พอมีสติก็เลยบอกเค้าว่าไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวรอพ่อมารับกลับบ้าน แค่ 15 นาทีพ่อก็มาถึง แล้วผู้ชายคนที่เค้ารอเป็นเพื่อนเค้าก็เดินจากไป แล้วก็ยืนรอดูเราอยู่ไกลๆ (เหมือนเค้าจะรีบไปแต่เค้าก็ยังรอดูเราก่อนด้วยความเป็นห่วง เราคิดไปเองว่าเค้าอาจไม่ดี)
พ่อแฟนก็รับกลับบ้าน แล้วก็กะว่าจะพาไปแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง (พื้นที่เกิดเหตุ) แต่สภาพหมวยตอนนั้นก็แย่มาก เพราะเหลือแค่สติอันน้อยนิด ส่วนร่างกายหมดแรงไปเลย และในที่สุดก็ไม่ได้ไปแจ้งความ เพราะหมวยก็จำ กท.รถไม่ได้เลย
เช้าวันที่ 2 เมษายน เปิดทำงานหลังจากหยุดวันแรงงานไป 1 วัน ก็ได้มาเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ ทำงานฟัง ทุกคนลงความเห็นว่าให้ไปแจ้งความ เพราะอาจมีวงจรปิดบริเวณแถวสี่แยกก็ได้ ก็กะว่าตอนเย็นจะไป (ตกเย็นก็นั่งเขียนเรื่องเตือนภัยนี้) กะว่าจะส่งให้เพื่อน ๆ พี่ๆ ที่รู้จักอ่านเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ
นายที่อยู่ในห้องได้ฟังเรื่องก็เลยอาสาพาไปแจ้งความ นายบอกว่ารู้จักกับรอง ผกก. ก็เลยไปแจ้งความในเย็นวันนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้รอง ผกก.ท่านนั้นฟัง ท่านก็ให้ร้อยเวรทำการบันทึกประจำวันไว้ให้ แล้วในขณะนั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีคนมาแจ้งความเรื่องแบบนี้บ่อยในช่วงนี้ ซึ่งก็เป็น taxi ที่รับผู้โดยสารจากบริเวณเดียวกัน ท่านก็เห็นว่าเรื่องของหมวยน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ท่านก็เลยต่อสายโทรศัพท์ไปยัง สถานีวิทยุรายการ สวพ.91 เพื่อที่จะให้หมวยเล่าประสบการณ์ออกรายการวิทยุ แต่พอดีวันนั้นฝนตกและการจราจรติดมาก ๆ เค้าไม่มีช่วงเวลาให้ออกรายการ ก็เลยไม่ได้เล่า ท่านก็เล่าว่าน่าเสียดายที่หมวยไม่ได้ไปแจ้งความตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ เพราะถ้ามาแจ้งความก็อาจจะพาไปตรวจร่างกายว่า ยาสลบที่คนร้ายใช้ เป็นยาสลบประเภทไหน จะได้เป็นข้อมูลให้ตำรวจต่อไป (เพราะยาสลบที่คนร้ายใช้ หมวยรู้สึกได้เลยว่ามันเร็วมากหลังจากที่มันเอื้อมมือไปกดยาประมาณแค่ไม่ถึง 1 นาที หมวยก็หมดแรงแล้ว ไม่อยากคิดต่อเลยว่า ถ้าหมวยตัดสินใจช้ากว่านั้น ไม่ตัดสินใจที่จะกระโดดลงมา ก็คงหมดสติไปในทันใดแน่เลย)
ก็เลยแอบเป็นห่วงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่รู้จัก และช่วยบอก ๆ ต่อๆ เพื่อจะได้เป็นข้อเตือนภัยให้กับคนรู้จักต่อไป (เพราะที่หมวยรอดมาได้ก็เพราะจาก mail ที่ได้รับมาในทำนองนี้ที่เคยได้อ่านเหมือนกัน)
ข้อสังเกตและข้อควรระวัง 1. ถ้าไม่จำเป็นอย่าขึ้น taxi คนเดียว แต่ถ้าจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ก็ให้โทรหารคนรู้จัก แล้วก็บอกเลข กท taxi ที่เราขึ้นให้เค้าได้รู้ 2. จากสถิติที่ได้นั่งคุยกับตำรวจ ถ้าเป็น taxi เก่าก็ควรระวัง และให้สังเกตป้าย กท. บนรถ ถ้าไม่มีให้พึงระวังว่าไม่ควรขึ้น 3. จากการสังเกตเอง taxi ต้องสงสัยจะมีช่องแอร์พิเศษ อยู่บริเวณใกล้ ๆ เกียร์เพื่อเวลาเค้ากดยาแล้ว เราจะได้ไม่ทันสังเกต 4. ขณะนั่งรถอยู่ถ้าคนขับมีปรับเร่งแอร์ หรือเร่งเครื่องยนต์ (ขณะที่รถติด) ให้ตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่าไม่น่าไว้วางใจ สุดท้ายหากใครได้รับ mail นี้ช่วยส่งต่อ ๆ ให้ทุกคนที่รักและรู้จักด้วยนะคะ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีใครอีกกี่คนที่โชคไม่ดีเหมือนหมวยที่รอดชีวิตมาได้
ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิง หมวยมีประสบการณ์ภัยใกล้ตัวที่น่ากลัวและเมื่อนึกขึ้นทีไร ก็เป็นเรื่องน่ากลัวในจิตใจทุกที จึงอยากจะมาเล่าประสบการณ์ให้ได้รู้และได้ระวังกัน ในความชั่วร้ายของรถ Taxi เรื่องมีอยู่ว่า
คืนวันพุธที่ 30 เม.ย. 2551 ที่ผ่านมา หมวยไปยืนรอรถ taxi ที่หน้าสนามกีฬาแห่งชาติ (ข้าง MBK) เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ หมวยยืนรอ taxi อยู่นานมากๆๆ แต่ก็ไม่มี taxi คันไหนไปซักคัน (หมวยจะไปปิ่นเกล้า) ซักพักก็มี taxi (ยี่ห้อ toyota soluna รุ่นเก่า สีฟ้า ถ้าจำไม่ผิด) วิ่งมาจอดตรงหน้า และมันก็รับหมวยขึ้นรถไปโดยเส้นทางที่มันพาเราไปก็คืน วิ่งตรงไปตรงสะพานยศเส แล้วก็เลี้ยวขวาผ่านตรงตลาดโบ๊เบ๊ ก็นึกในใจว่าเราเป็นผู้หญิงคนเดียวขึ้น taxi ดึก ๆ คนเดียวก็อันตรายเหมือนกันนะ (นึกถึงเรื่องที่เคยอ่าน mail ว่ามีคนถูก Taxi รมยาสลบ และล่าสุดน้องอุ๋ม (เพื่อนที่ทำงานปัจจุบัน) นั่ง taxi ตอนกลางวันแล้วเจอ taxi มันเร่งเครื่องยนต์ขณะรถติดก็อาจเป็นได้ว่ามันกำลังคิดการไม่ดี น้องอุ๋มก็เลยลงรถ ) หมวยก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาแฟน ก็บอกแฟนว่า 'ขึ้นรถ taxi แล้วนะอีกประมาณครึ่งชั่วโมงคงถึงบ้านแล้วล่ะ' ในใจก็หันไปมอง กท รถที่เคยเห็นในรถ taxi ทั่วไปมี จะบอกแฟนว่าขึ้นรถ taxi กท อะไร ก็เห็นแค่ว่า ' ทพ ' แต่ไม่มีเลยทะเบียน ก็เริ่มเอะใจ
แล้วในขณะที่หมวยพูดกับแฟน ไอ้คนขับ taxi ชั่ว มันก็เหมือนสะดุ้งตกใจ แล้วก็หันมามองเรา ซึ่งขณะนั้น taxi วิ่งผ่านตรงตลาดโบ๊เบ๊ พอรถเลี้ยวซ้ายเข้าตรง ธ.กรุงไทยสะพานขาว เพื่อที่จะมุ่งหน้าตรงไปสะพานผ่านฟ้า (ราชดำเนิน) ไอ้ taxi มันก็หันมามองหมวยอีกที แล้วมันก็หันกลับไป
ทันใดนั้นมือที่มันจับที่เกียร์รถยนต์ก็เหลือแค่ 3 นิ้ว (กลาง นาง ก้อย) ส่วนอีก 2 นิ้ว (นิ้วชี้กับนิ้วโป้ง) มันไปกดอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องแอร์พิเศษที่รถ taxi คันอื่น ไม่มี (เท่าที่เคยสังเกตได้)แล้วมันก็เร่งแอร์ขึ้น เราเห็นพฤติกรรมมันเราก็เริ่มเตรียมตัวแล้วว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน เท่าที่จำความได้ประมาณ 1 นาทีผ่านไป ก็รู้เลยว่าถูกไอ้ taxi ชั่วมันรมยาสลบแน่ๆ
ความรู้แรกเลยคือ ความชามันเริ่มมาจากตรงท้อง ไล่มาตรงหน้าอก และสุดท้ายที่จำความรู้สึกได้คือรู้สึกหน้ามืด หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก หายใจถี่ เหมือนจะหมดสติในทันใด แต่ก็ตั้งสติได้ก็บอกไอ้คนขับว่าให้จอดข้างหน้าเลย (ก่อนที่จะบอกคนขับให้จอด มือก็เปิดที่ล็อกประตูแล้วก่อนที่จะบอกมัน) แล้วมันก็ชะลอรถแล้วถามว่าทำไม หมวยก็บอกว่า ' จอดแล้วกัน หายใจไม่ออก ถ้าไม่จอดจะกระโดดลงแล้วนะ' มันก็ไม่ถึงกับจอดสนิทหรอก แต่หมวยก็ดันประตูรถออกมาแล้วก็กึ่ง ๆ กระโดดลงออกมาจากรถ และจากสติที่ใกล้จะหมดแล้วได้ยินมันพูดว่า ' จะลงทำไมล่ะครับ ผมไม่ได้ทำไรคุณนะ แอร์รถผมก็เย็น' แล้วก็เหมือนได้ยินมันทวงค่า taxi ก็เลยโยนให้มัน จำได้ว่า 50 บาท (ทุกคนที่ฟังเราเล่าบอกว่าไปให้มันทำไม)
ในขณะที่กระโดดลงรถ ก็ลงมานั่งยองๆ เพื่อตั้งสติ มองเห็นอีกทีก็เห็นตัวเองอยู่กลางสี่แยกหลานหลวง และฝั่งตรงข้ามที่ลงมีป้อมเล็ก ๆ ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นป้อมตำรวจ ก็แข็งใจวิ่งข้ามทางม้าลายไปตรงป้อมนั้น ปรากฎว่าเป็นแค่ป้อมจราจรที่ไม่มีตำรวจอยู่เลย และแล้วก็มีชายคนนึงเดินผ่านหน้า เราก็ร้องให้เค้าช่วย เค้าก็เข้ามาถามว่าเป็นอะไร ก็เล่าเหตุการณ์ให้เค้าฟัง เค้าก็นั่งเฝ้าเราซักฟักจนเราเริ่มมีสติ หมวยก็กด 191 ก่อนเลยเป็นอันดับแรก ไม่ต้องหวังเลยค่ะว่าจะโทรติด แต่ในขณะนั้นร่างกายอ่อนแรงมาก ๆ ผู้ชายคนนั้นก็เลยบอกว่าโทรหาแฟนคุณดีกว่าไม๊ ผมจะรอเป็นเพื่อน (จริง ๆ แล้วผู้ชายคนนั้นก็หน้าตาน่ากลัวเหมือนกัน) ก็เลยโทรหาแฟน
แฟนก็บอกให้พ่อของแฟนมารับกลับบ้าน (บ้านพ่อแฟนอยู่โบ๊เบ๊) ในระหว่างรอพ่อแฟนมารับ ผู้ชายคนนั้นเค้าก็รอเป็นเพื่อนนะ แล้วก็บอกให้หมวยไปรอตรงที่คนเยอะ ๆ สว่าง ๆ แต่จะบอกว่าแถวนั้นเป็นบริเวณที่เปลี่ยวมาก ๆ เพราะเป็นย่านค้าขาย ทุกคนปิดบ้านหมดและเงียบสนิท ดีหน่อยก็เพราะว่ายังมีรถวิ่งพลุกพล่าน แต่ก็ไม่มีอะไรดีกว่าไปยืนริมถนน ก็เลยไปยืนให้ใกล้ริมถนนที่สุดซึ่งมีรถวิ่งผ่านไปมา (ในใจก็แอบกลัวผู้ชายคนที่นั่งอยู่ด้วย)
พอมีสติก็เลยบอกเค้าว่าไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวรอพ่อมารับกลับบ้าน แค่ 15 นาทีพ่อก็มาถึง แล้วผู้ชายคนที่เค้ารอเป็นเพื่อนเค้าก็เดินจากไป แล้วก็ยืนรอดูเราอยู่ไกลๆ (เหมือนเค้าจะรีบไปแต่เค้าก็ยังรอดูเราก่อนด้วยความเป็นห่วง เราคิดไปเองว่าเค้าอาจไม่ดี)
พ่อแฟนก็รับกลับบ้าน แล้วก็กะว่าจะพาไปแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง (พื้นที่เกิดเหตุ) แต่สภาพหมวยตอนนั้นก็แย่มาก เพราะเหลือแค่สติอันน้อยนิด ส่วนร่างกายหมดแรงไปเลย และในที่สุดก็ไม่ได้ไปแจ้งความ เพราะหมวยก็จำ กท.รถไม่ได้เลย
เช้าวันที่ 2 เมษายน เปิดทำงานหลังจากหยุดวันแรงงานไป 1 วัน ก็ได้มาเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ ทำงานฟัง ทุกคนลงความเห็นว่าให้ไปแจ้งความ เพราะอาจมีวงจรปิดบริเวณแถวสี่แยกก็ได้ ก็กะว่าตอนเย็นจะไป (ตกเย็นก็นั่งเขียนเรื่องเตือนภัยนี้) กะว่าจะส่งให้เพื่อน ๆ พี่ๆ ที่รู้จักอ่านเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ
นายที่อยู่ในห้องได้ฟังเรื่องก็เลยอาสาพาไปแจ้งความ นายบอกว่ารู้จักกับรอง ผกก. ก็เลยไปแจ้งความในเย็นวันนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้รอง ผกก.ท่านนั้นฟัง ท่านก็ให้ร้อยเวรทำการบันทึกประจำวันไว้ให้ แล้วในขณะนั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีคนมาแจ้งความเรื่องแบบนี้บ่อยในช่วงนี้ ซึ่งก็เป็น taxi ที่รับผู้โดยสารจากบริเวณเดียวกัน ท่านก็เห็นว่าเรื่องของหมวยน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ท่านก็เลยต่อสายโทรศัพท์ไปยัง สถานีวิทยุรายการ สวพ.91 เพื่อที่จะให้หมวยเล่าประสบการณ์ออกรายการวิทยุ แต่พอดีวันนั้นฝนตกและการจราจรติดมาก ๆ เค้าไม่มีช่วงเวลาให้ออกรายการ ก็เลยไม่ได้เล่า ท่านก็เล่าว่าน่าเสียดายที่หมวยไม่ได้ไปแจ้งความตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ เพราะถ้ามาแจ้งความก็อาจจะพาไปตรวจร่างกายว่า ยาสลบที่คนร้ายใช้ เป็นยาสลบประเภทไหน จะได้เป็นข้อมูลให้ตำรวจต่อไป (เพราะยาสลบที่คนร้ายใช้ หมวยรู้สึกได้เลยว่ามันเร็วมากหลังจากที่มันเอื้อมมือไปกดยาประมาณแค่ไม่ถึง 1 นาที หมวยก็หมดแรงแล้ว ไม่อยากคิดต่อเลยว่า ถ้าหมวยตัดสินใจช้ากว่านั้น ไม่ตัดสินใจที่จะกระโดดลงมา ก็คงหมดสติไปในทันใดแน่เลย)
ก็เลยแอบเป็นห่วงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่รู้จัก และช่วยบอก ๆ ต่อๆ เพื่อจะได้เป็นข้อเตือนภัยให้กับคนรู้จักต่อไป (เพราะที่หมวยรอดมาได้ก็เพราะจาก mail ที่ได้รับมาในทำนองนี้ที่เคยได้อ่านเหมือนกัน)
ข้อสังเกตและข้อควรระวัง 1. ถ้าไม่จำเป็นอย่าขึ้น taxi คนเดียว แต่ถ้าจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ก็ให้โทรหารคนรู้จัก แล้วก็บอกเลข กท taxi ที่เราขึ้นให้เค้าได้รู้ 2. จากสถิติที่ได้นั่งคุยกับตำรวจ ถ้าเป็น taxi เก่าก็ควรระวัง และให้สังเกตป้าย กท. บนรถ ถ้าไม่มีให้พึงระวังว่าไม่ควรขึ้น 3. จากการสังเกตเอง taxi ต้องสงสัยจะมีช่องแอร์พิเศษ อยู่บริเวณใกล้ ๆ เกียร์เพื่อเวลาเค้ากดยาแล้ว เราจะได้ไม่ทันสังเกต 4. ขณะนั่งรถอยู่ถ้าคนขับมีปรับเร่งแอร์ หรือเร่งเครื่องยนต์ (ขณะที่รถติด) ให้ตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่าไม่น่าไว้วางใจ สุดท้ายหากใครได้รับ mail นี้ช่วยส่งต่อ ๆ ให้ทุกคนที่รักและรู้จักด้วยนะคะ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีใครอีกกี่คนที่โชคไม่ดีเหมือนหมวยที่รอดชีวิตมาได้
21 มิ.ย. 2551
สูตรช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์
ส่งต่อกันครับ ส่งต่อ ส่งต่อ โลกธุรกิจ ถ้าไม่ทันข้อมูล ย่อมตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว(O_O)
*สูตรช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์** *
สำหรับ COST DOWN (ประหยัด) ให้ตนเอง
1.หากท่านใช้โทรศัพท์ มือถือ*โทรไปหามือถือค่าย **AIS* ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ถ้าคุณวางสายก่อนสัญญาณเสียงตู๊ดจะไม่มีการคิดเงินหากวางสายหลังหรือจนสายตัดไปเอง จะเสียค่าโทรตามเวลา 1นาที
2.หากท่านใช้โทรศัพท์ *โทรไปหามือถือค่าย **DTAC* ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเส ียงตู๊ด จะเสียงค่าโทรตามเวลา 1นาที ดังนั้น หากไม่มีใครรับสายเกิน 4 ตู๊ด ให้กดสายทิ้งทันที ก่อนฝากเสียง จะได้ไม่เสียเงิน
3.หากท่านใช้โทรศัพท์*โทรไปหามือถือค่าย **Orange* ไม่มีคนรับ ได้ยินเสียงให้ฝากข้อความไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเสียงตู๊ด จะเสียงค่าโทรตามเวลา 1นาที ค่าโทรที่เกิดขึ้น ทศท. จะแบ่งกับ DTAC,AIS, ORANGE ในอัตราส่วนที่ตกลงกันโดย 70%จะเป็นของ DTAC,AISและ ORANGE เป็นของ ทศท. 30% *
4. แต่ที่แย่กว่านั้นหากใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์บ้านหรือมือถือโทรเข้าไปโทรศัพท์ของTA ** * *หากไม่มีคนรับแล้วได้ยินเสียงเรียกตู๊ด เกินกว่า 3ครั้งจะเสียค่าบริการทันที ครับอย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆด้วย *
5. อย่าเกิน 4 ตู๊ด คุณว่าทุกวันนี้คุณจ่ายค่าโทรศัพท์ แพงเกินไปรึป่าว เราเป็นคนนึงที่ใช้โทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์และสงสัยกับค่าโทรศัพท์ที่ขึ้น มาในบิลแต่ละเดือนว่าทำไมมันมากผิดปกติ ทั้งๆ ที่เรานึกๆ ดูแล้วก็ไม่ได้คุยบ่อยเท่าไหร่
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเราก็เริ่มสังเกตดูจากบิลค่าโทรศัพท์ที่บ้านเรา เวลาบิลที่ส่งมาจะมีบอกเบอร์มือถือที่เราโทรออก เราก็เห็นว่าทำไมเราถึงโทรหาเพื่อนคนเดิมเบอร์เดิมติดต่อกันในช่วงเวลาเดียวกัน คือมันจะขึ้นมาเป็นแถบเลยว่าโทรเบอร์นี้เวลานี้อาจจะห่างกันสัก 5นาที แต่ว่ายังเป็นเบอร์เดียวกันอยู่ แล้วแต่ละครั้งก็จะโทรนาน1นาที คิดเป็นเงิน 3บาทเราก็รู้สึกแปลกๆว่าเราจะโทรติดๆกันทำไม โทรติดคุยกันก็เลิกแล้ว ไม่ต้องโทรติดๆ กันหลายครั้งแล้ว
เวลาเราโทรเราจะรอจนกว่าสายจะตัดตลอด จนมีอยู่วันนึง เราก็บ่นๆเรื่องนี้อยู่ พี่เราเค้าได้ยิน เค้าก็เลยบอกว่า ถ้าโทรไปไม่มีคนรับ แล้วเรารอโทรศัพท์เรียกเกิน 4 ครั้ง มันก็จะคิดตังค์เรา ไม่ว่าจะมีคนรับหรือไม่รับก็ตามเราก็เฮ้ยจริงเหรอ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะยังไม่ได้คุยเลยนะ
พอเดือนต่อมาเราก็เลยลองด?? โทรเข้าเบอร์มือถือเรานี่แหละโทรเข้าไปแล้วรอจนสายตัดเลยหลายๆครั้งติดๆกัน พอบิลค่าโทรมาโอ้โฮ จริงๆ ด้วย เบอร์เราขึ้นมาเป็นแถบเลย เราก็เลยเซ็งๆมากๆว่าทำไมถึงทำกันอย่างนี้เราก็เลยอยากจะมาบอกทุกคนว่าให้ระวังเอาไว้ อย่าโทรเกิ น 4 ตู๊ดแล้วกัน เดี๋ยวเสียตังค์
หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดที่ทำให้กระจ่าง ก็มาจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2551 ที่ผ่านมา
*สูตรช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์** *
สำหรับ COST DOWN (ประหยัด) ให้ตนเอง
1.หากท่านใช้โทรศัพท์ มือถือ*โทรไปหามือถือค่าย **AIS* ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความ ถ้าคุณวางสายก่อนสัญญาณเสียงตู๊ดจะไม่มีการคิดเงินหากวางสายหลังหรือจนสายตัดไปเอง จะเสียค่าโทรตามเวลา 1นาที
2.หากท่านใช้โทรศัพท์ *โทรไปหามือถือค่าย **DTAC* ไม่มีคนรับได้ยินเสียงให้ฝากข้อความไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเส ียงตู๊ด จะเสียงค่าโทรตามเวลา 1นาที ดังนั้น หากไม่มีใครรับสายเกิน 4 ตู๊ด ให้กดสายทิ้งทันที ก่อนฝากเสียง จะได้ไม่เสียเงิน
3.หากท่านใช้โทรศัพท์*โทรไปหามือถือค่าย **Orange* ไม่มีคนรับ ได้ยินเสียงให้ฝากข้อความไม่ว่าคุณวางสายก่อนหรือหลังสัญญาณเสียงตู๊ด จะเสียงค่าโทรตามเวลา 1นาที ค่าโทรที่เกิดขึ้น ทศท. จะแบ่งกับ DTAC,AIS, ORANGE ในอัตราส่วนที่ตกลงกันโดย 70%จะเป็นของ DTAC,AISและ ORANGE เป็นของ ทศท. 30% *
4. แต่ที่แย่กว่านั้นหากใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์บ้านหรือมือถือโทรเข้าไปโทรศัพท์ของTA ** * *หากไม่มีคนรับแล้วได้ยินเสียงเรียกตู๊ด เกินกว่า 3ครั้งจะเสียค่าบริการทันที ครับอย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆด้วย *
5. อย่าเกิน 4 ตู๊ด คุณว่าทุกวันนี้คุณจ่ายค่าโทรศัพท์ แพงเกินไปรึป่าว เราเป็นคนนึงที่ใช้โทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์และสงสัยกับค่าโทรศัพท์ที่ขึ้น มาในบิลแต่ละเดือนว่าทำไมมันมากผิดปกติ ทั้งๆ ที่เรานึกๆ ดูแล้วก็ไม่ได้คุยบ่อยเท่าไหร่
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเราก็เริ่มสังเกตดูจากบิลค่าโทรศัพท์ที่บ้านเรา เวลาบิลที่ส่งมาจะมีบอกเบอร์มือถือที่เราโทรออก เราก็เห็นว่าทำไมเราถึงโทรหาเพื่อนคนเดิมเบอร์เดิมติดต่อกันในช่วงเวลาเดียวกัน คือมันจะขึ้นมาเป็นแถบเลยว่าโทรเบอร์นี้เวลานี้อาจจะห่างกันสัก 5นาที แต่ว่ายังเป็นเบอร์เดียวกันอยู่ แล้วแต่ละครั้งก็จะโทรนาน1นาที คิดเป็นเงิน 3บาทเราก็รู้สึกแปลกๆว่าเราจะโทรติดๆกันทำไม โทรติดคุยกันก็เลิกแล้ว ไม่ต้องโทรติดๆ กันหลายครั้งแล้ว
เวลาเราโทรเราจะรอจนกว่าสายจะตัดตลอด จนมีอยู่วันนึง เราก็บ่นๆเรื่องนี้อยู่ พี่เราเค้าได้ยิน เค้าก็เลยบอกว่า ถ้าโทรไปไม่มีคนรับ แล้วเรารอโทรศัพท์เรียกเกิน 4 ครั้ง มันก็จะคิดตังค์เรา ไม่ว่าจะมีคนรับหรือไม่รับก็ตามเราก็เฮ้ยจริงเหรอ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะยังไม่ได้คุยเลยนะ
พอเดือนต่อมาเราก็เลยลองด?? โทรเข้าเบอร์มือถือเรานี่แหละโทรเข้าไปแล้วรอจนสายตัดเลยหลายๆครั้งติดๆกัน พอบิลค่าโทรมาโอ้โฮ จริงๆ ด้วย เบอร์เราขึ้นมาเป็นแถบเลย เราก็เลยเซ็งๆมากๆว่าทำไมถึงทำกันอย่างนี้เราก็เลยอยากจะมาบอกทุกคนว่าให้ระวังเอาไว้ อย่าโทรเกิ น 4 ตู๊ดแล้วกัน เดี๋ยวเสียตังค์
หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดที่ทำให้กระจ่าง ก็มาจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2551 ที่ผ่านมา