28 พ.ย. 2552

ระวังเนื้อปลาแซลมอน

จากบรรณาธิการ sarakadee.com
ผมเป็นคนชอบกินปลาครับ
ปลาในดวงใจที่ชอบก็คือปลาจะละเม็ด ปลาทู และปลาแซลมอน
จำได้ว่ากินปลาแซลมอนครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนในต่างแดน
อาหารเย็นมื้อนั้นเพื่อน
ฝรั่งพาไปกินปลา
แซลมอนรมควัน
ผมยังนึกสงสัยอยู่ในใจว่า ปลาอะไรหนอ เนื้อสีส้มอมชมพูแสนสวย พอได้ชิมเนื้อปลา
แล้วก็เริ่มติดใจใน
รสชาติขึ้นมา
เมื่อกลับมาเมืองไทยก็ยังหาโอกาสกินปลาแซลมอนบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก เพราะตอนนั้น
ราคาปลา
แซลมอนในเมืองไทยจัดว่าค่อนข้างแพง


นาน ๆ ครั้ง เพื่อนพาไปกินอาหารญี่ปุ่น
อันดับแรกที่ต้องสั่งคือซาชิมิปลาแซลมอนจิ้ม
วาซาบิ เพื่อนสั่งปลา
ดิบมาให้กิน
กี่จาน ๆ ก็กินหมดจนพุงกาง หากวันไหนเพื่อนพาไปร้านอาหารฝรั่ง ก็จะต้องสั่งปลา
แซลมอนรมควัน จน
กลายเป็นอาหารจานโปรดไปเสียแล้ว


เพื่อนผมเคยบอกว่า สงสัยชาติที่แล้วผมคงเกิดเป็นหมีสีน้ำตาลแถวอะแลสกา ที่ชอบ
กินปลา
แซลมอนตามลำธารเวลาที่มันอพยพขึ้นมาวางไข่


ผมชอบกินปลาแซลมอนเพราะเนื้อไร้กลิ่นคาว เวลาเคี้ยวก็รู้สึกได้ถึงความลื่นมัน
ได้รส
ธรรมชาติแสน
เอร็ดอร่อย
และต้องกินแบบไม่ปรุงแต่ง ถ้าเอาปลาไปนึ่งหรือทอด รสชาติก็สู้กินแบบดิบ ๆ
ไม่ได้


จนกระทั่ง ๔-๕ ปีให้หลัง ผมสังเกตเห็นว่ามีการนำเนื้อปลาแซลมอนเข้ามาจำหน่ายใน
บ้านเรามากขึ้น
ราคาก็ไม่แพงเหมือนในอดีต
สมัยก่อนอาจมีจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำไม่กี่แห่ง
แต่ตอนนี้ตลาดติดแอร์แทบ
ทุกแห่งจะมีเนื้อปลา
แซลมอนวางขาย เคียงคู่กับเนื้อปลากะพง ปลาเก๋า ในราคาไม่แตกต่างกัน และดู
เหมือนว่าจะถูกกว่า
เนื้อปลาจะละเม็ดเสียอีก


กล่าวคือเนื้อปลาแซลมอนที่เคยขายกันกิโลกรัมละ ๗๐๐-๘๐๐ บาท บัดนี้เหลือเพียง
กิโลกรัมละ ๓๐๐-
๔๐๐ บาท
ขณะที่เนื้อปลาจะละเม็ดขนาดใหญ่ยังคงยืนราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ ๔๐๐-๕๐๐ บาทขึ้น
ไป


เมื่อเห็นว่าปลาแซลมอนส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศทางยุโรป ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
วันไหนพอมีเวลา
ก็
แวะซูเปอร์มาร์เกตซื้อปลาแซลมอนมากินเล่น พลางดูรายการสารคดีชีวิตปลา
แซลมอนที่ต้องว่ายน้ำข้ามทะเลหลายพันไมล์


เพื่อขึ้นมาวางไข่ออกลูกหลานที่ต้นลำธาร
ดูแล้วก็นึกเอาเองว่าปลาแซลมอนที่เรากิน
คงต้องเป็นปลาที่
พลานามัยแข็งแรงแน่
แถมยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา-๓ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ
อย่างนี้จะไม่ให้หลง
ใหลแซลมอนอย่างไรไหว


จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเหลือบไปเห็นบทความเกี่ยวกับปลาแซลมอนในวารสาร
ecologist ฉบับเดือน
ตุลาคมที่ผ่านมา ก็ตาสว่างขึ้นทันที


ปลาแซลมอนที่เรากินก็คงไม่ต่างจากกุ้งกุลาดำในฟาร์มเลี้ยง
ที่เราส่งไปขายเมืองนอก
จนติดอันดับโลก
คือถูกเลี้ยงให้เติบโตมา
ด้วยการใช้สารเคมีและอัดยาเยอะ ๆ ปลาแซลมอนที่ส่งมาขายบ้านเราส่วนใหญ่มาจาก
ฟาร์มเลี้ยงปลา
ในยุโรป ปลาแซลมอนเหล่านี้
อุดมไปด้วยเชื้อโรค เจ้าของฟาร์มจึงต้องใส่สารเคมีและยาปฏิชีวนะลงในบ่อปลา
เพื่อ
กำจัดแมลงรบ
กวนและเชื้อโรคหลายอย่าง


ปลาแซลมอนในธรรมชาติมีเนื้อเป็นสีชมพู เพราะมันกินพวกกุ้งตัวเล็ก ๆ และพืชทะเล
ปลา
แซลมอนในฟาร์มก็มีเนื้อสีชมพูน่ากินเช่นกัน
แต่เป็นเพราะมันกินอาหารปลาที่มีสารให้สีจำพวก astaxanthin และ canthaxanthin
ชนิดเข้มข้น
ซึ่งหากมนุษย์ได้รับสารเหล่านี้
มากเกินไป อาจจะมีผลต่อระบบประสาทตาของมนุษย์


นอกจากนี้ เนื้อของปลาแซลมอนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังยังอุดมไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัว
ซึ่งมีผลต่อการอุดตัน
ของเส้นเลือด
แถมยังมีกรดไขมันโอเมกา-๓ น้อยกว่าปลาแซลมอนในธรรมชาติถึง ๓ เท่า ดังนั้น
หากบริโภค
แซลมอนจากฟาร์มเหล่านี้มากเกินไป
ก็อาจส่งผลให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้


ในสหรัฐอเมริกายังมีการวิจัยพบว่า
เนื้อปลาแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงมีสารก่อมะเร็งที่มา
จากอาหารปลา
ในระดับที่สูงกว่า
ปลาแซลมอนจากธรรมชาติถึง ๑๖ เท่า มากกว่าเนื้อวัว ๔ เท่า ไม่นับรวมว่าปลา
แซลมอนบางตัวมี
พยาธิทะเลอาศัยอยู่ด้วย


ทุกวันนี้การเลี้ยงปลาแซลมอนกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพราะมีความต้องการ
ที่สูงขึ้นทั่วโลก
เมื่อไทยส่งกุ้งกุลาดำตีตลาดยุโรป ฝรั่งก็ส่งปลาแซลมอนมาเป็นบรรณาการบ้าง ทั้ง
สองล้วนเป็นอาหาร
ยอดฮิต และอุดมไปด้วย
สารเคมีชนิดต่าง ๆ ปีใหม่นี้คงต้องบอกตัวเองให้รักปลาแซลมอนน้อย ๆ
ครั้นจะเหลียว
มามองปลา
จะละเม็ด ก็อุดมไปด้วยฟอร์มาลีน
กลับมาหาปลาทูเพื่อนยากกันดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น