บนเส้นทางความงามแห่งทิวทัศน์ สระบุรี - นครราชสีมา - สระแก้ว - จันทบุรี - ตราด (ททท.)
นับเป็นความโชคดีของเมืองไทย ที่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมของธรรมชาติอันหลากหลาย เกิดกลายเป็นทรัพยากรท่องเที่ยวที่สำาคัญ ทั้งผืนป่า สายน้ำ ภูเขา และท้องทะเล แวดล้อมอยู่รายรอบทั่วทุกภูมิภาคของแผ่นดินไทย ซึ่งการเดินทางไปเยือนแต่ละแห่งนั้นก็เป็นเรื่องแสนง่ายดาย เพราะปัจจุบันมีการเดินทางหลายรูปแบบ ทั้งรถไฟ ล่องเรือ หรือจะเลือกขับรถเที่ยวไปเรื่อย ๆ เส้นทางถนนทั้งในเมือง นอกเมือง ก็ล้วนเชื่อมโยงต่อติดกันทุกหนแห่ง สะดวกสบายถูกใจคนชอบขับรถเที่ยวยิ่งนัก
การขับรถเที่ยวไปตามเส้นทางต่าง ๆ นอกจากผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว บนเส้นทางยังมีความงดงามของทิวทัศน์ที่แตกต่างกันในแต่ละวันเวลา และเรื่องราวความประทับใจ รวมถึงเส้นทางที่ท้าทายผู้ขับขี่อีกด้วย ในเมืองไทยมีเส้นทางขับรถเที่ยวอยู่มากมาย ขึ้นอยู่กับความสนใจและเวลาที่มีอยู่ของผู้เดินทาง
เส้นทางขับรถเที่ยวในเขตภาคกลาง โดยมากเป็นการขับรถระยะใกล้วันเดียวไป-กลับ ได้ แต่หากคนชอบธรรมชาติมีเวลาเดินทางหลายวัน ยังมีเส้นทางที่น่าสนใจ เป็นเส้นทางเชื่อมต่อจากเมืองหลวงสู่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สระบุรี ชมผืนป่ามรดกโลกเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ในเขต จ.นครราชสีมา จ.ปราจีนบุรี จ.นครนายก จ.สระแก้ว แล้วลัดเลาะออกสู่เขตจังหวัดผืนป่าตะวันออกใน จ.จันทบุรี และสิ้นสุดชายแดนไทยที่ จ.ตราด วกกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยทางมอเตอร์เวย์ ใช้เวลาราว 3-4 วัน จะได้สัมผัสครบทั้งทะเลหมอก ทุ่งดอกไม้ ผืนป่า สายน้ำตกกว้าง และท้องทะเลสวย เก็บกระเป๋าออกเดินทางกันเถอะ...แล้วคุณจะรู้ว่าเส้นทางสายนี้งดงาม น่าประทับใจเพียงใด...
วันแรก : ปฐมบทแห่งการเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่าน เขต อ.วังน้อย จ.อยุธยา แวะหาอาหารมื้อเช้า กินง่าย ๆ มีให้เลือกทั้งข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว และอาหารตามสั่ง รวมถึงของฝากรสเลิศ ขนมเค้กนมสด แล้วเข้าเขต จ.สระบุรี ผ่าน อ.แก่งคอย อ.มวกเหล็ก จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 2090 (ถ.ธนะรัชต์) มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติที่แรกของเมืองไทย มีพื้นที่ครอบคลุม 4 จังหวัด คือ สระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี และนครนายก เป็นหนึ่งในพื้นที่ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งได้รับการประกาศจากยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งที่ 2 ของไทย ภายในมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ สามารถเที่ยวชมได้ทุกฤดูกาล เช่น น้ำตกเหวนรก น้ำตกเหวสุวัต ซึ่งสวยงามที่สุดในช่วงปลายฤดูฝน ราวเดือนกันยายน เส้นทางเดินป่า แคมปิ้ง เหมาะสำหรับการเที่ยวชมในทุกฤดูกาล โดยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เก็บค่าเข้าชมอุทยานฯ ชาวไทย เด็กคนละ 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท ชาวต่างชาติ เด็ก 200 บาท ผู้ใหญ่ 400 บาท รถ 50 บาท
หมายเหตุ : อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีการจำกัดจำานวนนักท่องเที่ยวเข้าในพื้นที่ ควรติดต่ออุทยานฯ ก่อนการเดินทางที่หมายเลข 044-297-406 และ 044-297-426
เส้นทางก่อนขึ้นเขาใหญ่ช่วง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เป็นเส้นทางขึ้นลงเนินเขา ตลอดสองฟากทางรายรอบด้วยรีสอร์ทสวย ร้านกาแฟเก๋ ๆ บางช่วงผ่านไร่ข้าวโพดหวานกว้างไกลสุดสายตา หรืออาจเห็นฟาร์มเลี้ยงม้าและฟาร์มโคนมท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี ชมทิวทัศน์เหนือเขื่อนลำาพระเพลิง หากมีเวลาแวะไปส่องฝูงกระทิง หนึ่งในสัตว์ป่าสงวน 15 ชนิด ซึ่งอยู่ภายในเขตของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ. 4 คลองปลากั้ง ซึ่งการเข้าชมต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ ปัจจุบันดูแลโดยชมรมอาสาสมัครพิทักษ์กระทิง ต.วังหมี โทร. 08 4411 4941 ช่วงเวลาที่มีโอกาสพบเห็นได้มากที่สุดราวเดือนเมษายน-พฤษภาคม เวลา 16.00-18.30 น. หรือหากไปที่ เขาแผงม้าติดต่อมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ โทร. 08 4411 4941
เมื่อเข้าสู่ อ.วังน้ำเขียว ในเขต จ.นครราชสีมา จะสัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นสบายท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา ยิ่งยามสายลมหนาวพัดพาไอสายหมอกขาวลอยอ้อยอิ่ง จะยิ่งมีทัศนียภาพงดงามตา ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมมาพักแรมรับอากาศบริสุทธิ์ในเขตอำาเภอนี้เป็นจำานวนมาก เพราะนอกจากบรรยากาศจะดีแสนดี มีรีสอร์ทสวยหลากหลายสไตล์ให้ได้เลือกกันอย่างจุใจแล้ว ยังมีสิ่งอำานวยความสะดวกพร้อมท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามที่จะทำาให้นักท่องเที่ยวเพลิดเพลิน ได้รับความรู้ สุขภาพอนามัยดี อีกทั้งยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
วันที่สอง : เส้นทางโอโซนบริสุทธิ์
เช้าวันใหม่สูดรับอากาศบริสุทธิ์ แล้วไปชมทะเลหมอกบริเวณจุดชมวิวตรงลานกางเต็นท์ ภายในหน่วยพิทักษ์
อุทยานแห่งชาติทับลาน ทล.ที่ 13 (น้ำตกสวนห้อม) ช่วงฤดูฝนและหนาวที่นี่จะมองเห็นทะเลหมอกได้อย่างง่ายดายอยู่ใกล้ที่จอดรถ ทางเข้าหน่วย ทล.ที่ 13 อยู่บริเวณตลาดชุมชนร่วมใจพัฒนาเทศบาล ต.ศาลเจ้าพ่อ เข้าไประยะทางราว 6 กิโลเมตร หรือจะเดินเล่นรับลมเย็นใกล้ที่พัก อาจมีโอกาสทำบุญ ใส่บาตรพระบิณฑบาตบริเวณนั้น
ช่วงสายเที่ยวชมสวนไม้ดอกในเขต อ.วังน้ำเขียว ซึ่งมีอยู่หลายสวนหลายแปลง แปลงใหญ่ที่น่าสนใจมี 2 แห่ง คือ ที่ทำการกลุ่มผู้ปลูกเบญจมาศไทยสามัคคี โทร. 08 1265 7520 และที่สวนดอกเบญจมาศสวนวิภา โทร. 0 4422 8322 ในบริเวณพื้นที่ อ.วังน้ำเขียวจะปลูกดอกเบญจมาศเป็นหลัก ดอกไม้ชนิดนี้จะออกดอกได้ดีในช่วงฤดูหนาว หากเป็นฤดูร้อนและฝน ต้องคลุมแปลงไม้ดอกไว้เพื่อไม่ให้กลีบดอกช้ำ นอกจากนี้ ยังเพาะปลูกพืชที่สำคัญ อาทิเช่น ดอกหน้าวัว องุ่นไร้เมล็ด เห็ดหอม ผักปลอดสารพิษ เป็นต้น
ก่อนออกจาก อ.วังน้ำเขียว แวะชิมสเต็กและไวน์รสเยี่ยมในไร่องุ่นซึ่งมีอยู่หลากหลายแห่ง ไร่องุ่นที่ขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตไวน์บนเส้นทางนี้ คือวิลเลจฟาร์มแอนด์ไวน์เนอรี่ นอกจากไร่องุ่นทานสดที่ออกผลในช่วงฤดูหนาวแล้ว ที่นี่ยังมีโรงบ่มไวน์ซึ่งเปิดให้เข้าชมการสาธิต อีกทั้งยังมีบ้านพักรวมถึงเรือนสปาที่มองเห็นทิวทัศน์ของท้องทุ่งได้
รอบด้านโดยกว้างขวาง สนใจสอบถามได้ที่ โทร. 0 4422 8407-8
จาก อ.วังน้ำเขียว ไปตามทางหลวงหมายเลข 304 เข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติทับลาน อุทยานแห่งชาติซึ่งมีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีเนื้อที่กว่าสามหมื่นไร่เป็นป่าลาน ต้นไม้ตระกูลปาล์มดึกดำาบรรพ์ที่หาได้ยากในปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยราว 60-80 ปี เมื่อออกดอกต้นจะตาย...ที่นี่ไม่เพียงเป็นผืนป่าลานแห่งสุดท้ายของประเทศ ทว่ายังเป็นส่วนหนึ่งที่ประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ร่วมกันในเขตพื้นที่ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่อีกด้วย
ใช้ทางหลวงหมายเลข 33 มุ่งหน้าสู่ จ.สระแก้ว ซึ่งเคยเป็นอำาเภอหนึ่งของจ.ปราจีนบุรี และได้แยกมาเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2536 นับเป็นจังหวัดซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในเขตภาคตะวันออก มีแหล่งท่องเที่ยวโดดเด่นคืออุทยานแห่งชาติปางสีดา ซึ่งห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 2462 ราว 27 กิโลเมตร เป็นอุทยานหนึ่งที่อยู่ในเขตของมรดกโลกทางธรรมชาติในพื้นที่ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ มีพื้นที่ครอบคลุม จ.สระแก้ว และ จ.ปราจีนบุรี ที่นี่มีผีเสื้อมากมายกว่า 300 ชนิด จะพบเห็นได้มากในช่วงต้นฤดูฝน ที่อุทยานแห่งชาติปางสีดาเก็บค่าเข้าอุทยานผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
จากอุทยานเข้าไปพักในตัวเมืองสระแก้ว พลาดไม่ได้กับเมนูอาหารอีสานพื้นบ้าน ส้มตำรสจัด ไก่ทอดรสดี มีให้เลือกชิมหลายร้าน
วันที่สาม : มหัศจรรย์แห่งสายน้ำ
จาก จ.สระแก้ว ไปตามทางหลวงหมายเลข 317 ผ่าน อ.เขาฉกรรจ์ อ.วังน้ำเย็น อ.วังสมบูรณ์ เข้าสู่เขต อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ชมน้ำตกเขาสอยดาว ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ซึ่งมียอดเขาสูงที่สำคัญ คือ เขาสอยดาวเหนือ เขาสอยดาวใต้ เดินทางสู่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ตามทางหลวงหมายเลข 317 แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 3277
อุทยานแห่งชาติน้ำาตกพลิ้ว มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบชื้น การเที่ยวชมที่เหมาะที่สุดควรเป็นฤดูฝนไปจนถึงต้นฤดูหนาว มีจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ คือ น้ำตกพลิ้ว เป็นน้ำตกซึ่งมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่แหล่งอาศัยของปลาพลวงจำนวนมาก สถูปพระนางเรือล่มและอลงกรณ์เจดีย์ ที่สร้างขึ้นในสมัย ร.5 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้า
สุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ใกล้กับน้ำตกพลิ้ว ภายในพระสถูปบรรจุพระอังคารของพระนางอยู่ด้วย ค่าเข้าอุทยานฯ ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
ออกจากอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 318 เดินทางสู่ด่านพรหมแดนบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ที่นี่เป็นชายแดนด้านตะวันออกสุดของแผ่นดินไทย มีรอยต่อติดกับประเทศกัมพูชา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาจับจ่ายสินค้าปลอดภาษี เครื่องใช้ไฟฟ้า กระเป๋า และขนมจากเมืองจีน หากต้องการข้ามไปเที่ยวฝั่งกัมพูชาต้องใช้พาสปอร์ต
เส้นทางขับรถช่วงนี้ เป็นเส้นทางเล็กแคบขึ้นลงเนินเขาตลอด แต่สองข้างทางก็เต็มไปด้วยสีเขียวขจีของราวป่าอันสมบูรณ์ ขนานอยู่กับแนวหาดทรายขาวและน้ำทะเลใส บางช่วงจึงมองเห็นสีฟ้าสดใสของท้องทะเล เป็นเส้นทางขับรถที่ดูสดชื่นและท้าทายนักเดินทางยิ่งนัก...จับจ่ายสินค้ากันอย่างเพลิดเพลิน ก่อนใช้เส้นทางเดิมมุ่งหน้ากลับ
เข้าสู่ตัวเมืองตราด
เข้าเมืองตราด หากมีเวลาอาจแวะไปเที่ยวชมชุมชนเก่าแก่ริมทะเล ณ บ้านน้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ หมู่บ้านที่มีสินค้าโอท็อปขึ้นชื่อ "งอบ" (หมวก) ที่สร้างสรรค์จากภูมิปัญญาพื้นบ้านและวัตถุดิบพื้นถิ่น เช่น ใบจาก อีกทั้งยังเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประเภทชุมชนดีเด่นด้านท่องเที่ยว ในปี พ.ศ. 2550 และหากอยากเดินทางไปเที่ยวชมทะเลอย่างจุใจ จากบ้านน้ำเชี่ยวไปไม่ไกล คือท่าเรือที่จะต่อไปยังหมู่เกาะช้าง แห่งท้องทะเลตราดได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ค่ำคืนในเมืองตราดนั้นมีที่พักหลากสไตล์ หลายบรรยากาศให้เลือกตามความชอบ
วันที่สี่ : สู่จุดหมายอย่างประทับใจ
จากตัวเมืองตราดไปตามทางหลวงหมายเลข 3 (ถ.สุขุมวิท) มุ่งหน้าสู่ จ.จันทบุรี ผ่าน อ.ขลุง แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 3149 เข้าสู่ อ.แหลมสิงห์ เป็นเส้นทางขับรถเลียบชายทะเล แวะเที่ยวชมการแสดงของโลมาในโอเอซิสซีเวิลด์ ซึ่งเก็บค่าเข้าชม เปิดเวลา 09.00 -18.00 น. โทร. 0 3936 3238-9 จากนั้นไปศึกษาประวัติศาสตร์ ชมหลักฐานสมัยอาณานิคม ที่คุกขี้ไก่ และตึกแดง หลักฐานสำาคัญทางประวัติศาสตร์เมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสเข้ายึดครองเมืองจันทบุรี
กินอาหารทะเลสด ๆ ริมทะเลบริเวณชายหาดชื่อดังของจันทบุรี หาดเจ้าหลาว แหลมเสด็จ แล้วไปเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ในศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำาริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พลาดไม่ได้กับเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนสะพานไม้ยาวกว่า 850 เมตร ซึ่งได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประเภทองค์กรส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว ในปี พ.ศ. 2545
เมื่อแยกเข้าสู่ อ.ท่าใหม่ ด้วยสะพานตากสินมหาราช ข้ามแม่น้ำจันทบุรี เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3 แล้วแยกขึ้นทางหลวงหมายเลข 7 หรือมอเตอร์เวย์ กลับสู่กรุงเทพฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น