20 มี.ค. 2553
ไขมันทรานส์ อันตรายใกล้ตัว
ของทอด ขนมขบเคี้ยว เค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ ขนมปัง ทั้งหลายที่เรียงรายกันอยู่บนชั้นซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ นั้น ทั้งสีสันและรสชาติของมัน ใครเห็นก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างยั่วน้ำลายเสียนี่กระไร แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า ภายใต้หน้าตาและรสชาติที่ทำให้คุณติดอกติดใจนั้น มันซ่อนอันตรายต่อสุขภาพที่มากกว่าแค่ทำให้คุณอ้วน (คุณอาจไม่สนใจนัก หากคุณไม่ได้กังวลเรื่องรูปร่างสักเท่าไหร่) แต่มันยังบั่นทอนชีวิตที่คุณรัก ให้สั้นลงโดยไม่รู้ตัว...
คุณอาจจะนึกไม่ถึงว่า ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารนั้นมีการแข่งขันกันสูงเพียงไร ยิ่งลดต้นทุนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเก็บกำไรเข้ากระเป๋าได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จึงมีการใช้ส่วนผสมราคาถูกเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์คงรูปร่างได้นานและเก็บได้นานมากยิ่งขึ้น นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดเจ้า "ไขมันทรานส์ (Trans fatty acids)" จึงได้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปประเภทต่างๆ เพราะไขมันทรานส์ ก็คือ ไขมันพืชที่ถูกนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "ไฮโดรจิเนชั่น (Hydrogenation)" ซึ่งจะทำให้ไขมันชนิดนี้คงตัวอยู่ได้นานมากขึ้น ดังนั้น อาหารที่ทำจากไขมันทรานส์จึงเก็บได้นาน ไม่เสียง่าย ไม่มีกลิ่นหืน มีรสชาติถูกปาก แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย
ไขมันทรานส์ พบมากในอาหารพวกทอด ๆ ทั้งหลาย รวมทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมเบเกอรี่ เช่น คุกกี้ ขนมปังที่มีส่วนผสมของ เนยขาว (shortening) และมาการีน (margarine) รวมไปถึงพวกขนมสำเร็จรูปกรุบกรอบต่างๆ ที่เรามักจะซื้อติดไม้ติดมือเสมอตอนไปซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง
ในบรรดาไขมันทั้งหลาย นักโภชนาการจัดให้ไขมันทรานส์นั้นอันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เพราะนอกจากมันจะเข้าไปเพิ่มระดับ LDL (low-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด เช่นเดียวกับการบริโภคไขมันอิ่มตัว (ไขมันจากสัตว์และน้ำมันปาล์ม) แล้วมันยังลดระดับ HDL (high-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือดอีกด้วย ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลกเลยทีเดียว
หากจะกล่าวว่า ขณะนี้ ไขมันทรานส์ ได้กลายเป็นศัตรูอันดับต้น ๆ ของคนรักสุขภาพทั่วโลกก็คงจะไม่เกินความจริงไปนัก เพราะในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างออกข้อบังคับเกี่ยวกับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ และให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนี้ บางรัฐในสหรัฐอเมริกา เช่น นิวยอร์กได้ออกมาประกาศว่า จะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดไขมันทรานส์ โดยออกมาตรการให้บรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งหลาย ค่อย ๆ ลดการใช้ไขมันชนิดนี้ในการปรุงอาหาร และหยุดใช้โดยเด็ดขาดทั่วทั้งนิวยอร์ก
สำหรับในประเทศไทย เนื่องจากยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายใด ๆ มาควบคุมการใช้หรือบังคับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ ในฐานะผู้บริโภค เราจึงควรดูแลตัวเองด้วยการระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอด ซึ่งใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ จนหนืด พวกขนมขบเคี้ยวที่เก็บไว้นาน ๆ ก็ยังกรุบกรอบ รวมทั้ง ที่มีส่วนประกอบของเนยขาวและมาการีน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น