หลากโรคจากความเครียด (Modernmom)
โดย อณู
จะว่าไปแล้วการทำงานในยุคปัจจุบัน คงจะหลีกเลี่ยงความเครียดยากมากนะคะ สภาพเศรษฐกิจอย่างนี้พนักงานในบริษัทหลายแห่ง อาจต้องทำงานหนักเท่ากับ 2 หรือ 3 คนด้วยซ้ำ มีกำหนดเส้นตายการทำงานกระชั้นขึ้น ไหนยังต้องเข้าประชุมไม่เว้นแต่ละวัน โทรศัพท์ติดต่องาน จัดการเคลียร์เรื่องจุกจิกรายวัน ฯลฯ เรียกว่าทำเอาความเครียดถามหาเอาได้ง่าย ๆ เชียว
สัญญาณเตือน "เครียด" คุกคาม
ความเครียดเป็นต้นตอของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ สารพัด ทุกวันนี้ถึงวิทยาการทางการแพทย์ทันสมัย เราต่อสู้เอาชนะเชื้อโรคต่าง ๆ ได้มากมายหลากหลายชนิดก็จริง แต่กลับกลายเป็นว่าโรคที่อันตรายหลายต่อหลายโรคที่เอาชนะได้ยากนั้น เป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตบนความเครียดนี่เอง
วิธีหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่คุณพอจะรู้ตัวว่าเครียดได้ง่าย ๆ ก็คือ การสังเกตอาการต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเครียดได้ด้วยตัวเองค่ะ ซึ่งจะมีทั้งอาการที่แสดงออกทางกาย จิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ร่างกาย : อาการทางร่างกายที่เมื่อเกิดความเครียด ก็มีตั้งแต่รู้สึกมึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย ท้องผูก เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย มีเสียงดังให้หู หายใจไม่เต็มอิ่ม ฯลฯ
จิตใจ : ส่วนอาการทางจิตใจ เช่น รู้สึกวิตกกังวล การตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม ไม่มีสมาธิ ไอเดียหดหาย เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ยาก
อารมณ์ : ทางด้านอารมณ์ของคุณ ดูแล้วไม่น่าอยู่ใกล้เอาซะเลย มีแต่อารมณ์ติดลบ เช่น โกรธง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด มองโลกในแง่ร้าย อาจเผลอกัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง
พฤติกรรม : ส่วนด้านพฤติกรรม ก็จะมีพฤติกรรมแปลกไปกว่าที่เคย เช่น กินเก่งขึ้น หันไปพึ่งเหล้าหรือบุหรี่ พูดจาโผงผาง หรือไม่อยากพบปะสังสรรค์กับใคร
เครียดต้นตอ...หลากโรครุมเร้า
ถ้าสังเกตตัวเองดูแล้วว่ามีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ อย่าปล่อยปละละเลยค่ะ นานไปอาจเป็นปัญหาเรื้อรังโรคไม่ได้รับเชิญต่าง ๆ อาจมารุมเยี่ยมเยียนจนคุณย่ำแย่ เมื่อความเครียดสะสมนานวันเข้า ระบบการทำงานในร่างกายจะแปรปรวน เพราะถูกกระตุ้นให้ทำงานหนักอยู่บ่อย ๆ เป็นระยะเวลานาน ในขณะที่เรากำลังเครียดหัวใจจะเต้นเร็วขึ้น หลอดเลือดหดตัว ปอดและหลอดลมตีบทำให้หายใจลำบาก กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ลำไส้กับกระเพาะปัสสาวะบีบตัว กล้ามเนื้อเกร็ง ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อออกมามาก ภูมิคุ้มกันลดลง
อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายที่ทำงานหนักเกินไปอยู่เป็นประจำ จะนำไปสู่โรคต่าง ๆ ทางกาย เช่น
ความดันโลหิตสูง เกิดจากหลอดเลือดหดตัว เลือดไหลเวียนไม่สะดวกทำให้หัวใจต้องออกแรงดันเลือดเพิ่ม ความดันโลหิตในร่างกายที่เคยอยู่ในระดับปกติจึงเพิ่มระดับสูงขึ้น ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ก็จะนำไปสู่ปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา
โรคแผลในกระเพาะอาหาร ถ้าเกิดความเครียดเมื่อใดก็ตามกรดในกระเพาะอาหารจะหลั่งออกมา นานไปจะทำให้มีอาการปวดท้องเวลาหิว และปวดท้องหลังกินอาหาร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารรสจัด เปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ และของหมักดอง
ภูมิแพ้ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติอ่อนแอลง อันเนื่องมาจากความเครียด รวมทั้งไข้หวัดก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อไวรัสสาเหตุของหวัดก็จะทำร้ายร่างกายของเราได้ง่าย
หอบหืด เป็นผลมาจากปอดและหลอดลมตีบ รวมทั้งผลจากโรคภูมิแพ้
ปวดศีรษะ เกิดจากกล้ามเนื้อตึงตัวบริเวณท้ายทอยและต้นคอ และลามไปบริเวณศีรษะ ถ้านวดก็จะช่วยให้อาการคลายลงได้
ไมเกรน จะมีอาการปวดตุ้บ ๆ หรือปวดจี๊ดที่ขมับข้างเดียว ทั้งสองข้างหรือตรงท้ายทอย เป็นความปวดอย่างรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนด้วย
ปวดหลัง เกิดจากกล้ามเนื้อตึงตัวเป็นเวลานาน และทำให้มีอาการอ่อนล้า
มะเร็ง ความเครียดทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราอ่อนแอลง ไม่สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งที่อยู่ภายในร่างกาย เซลล์มะเร็งจึงเจริญเติบโตได้อย่างสบาย ๆ
นอกจากนั้นก็ยังมีโรคทางด้านจิตใจอย่างเช่น โรคประสาทวิตกกังวล ฯลฯ ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะมีอาการวิตกกังวลมากกว่าปกติ และเป็นอาการเรื้อรังอีกด้วย
หากไม่อยากให้โรคเหล่านี้มาเยือนแล้วละก็ ควรจะหาวิธีป้องกัน และแก้ไขให้ทันท่วงทีดีกว่านะคะ
เครียด...ป้องกันได้
เราอย่าตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวเลยค่ะ นอกจากการแก้ไขเมื่อเครียดแล้วควรจะหาทางป้องกันเอาไว้ด้วย เพื่อเตรียมตัว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดความเครียดขึ้นได้ทุกเมื่อ ลองวิธีเหล่านี้ดูนะคะ
1.มีสติ
รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเวลานั้นรู้สึกอย่างไร รู้สึกว่าเครียดเมื่อไหร่ ก็คอยเตือนตัวเองว่าเครียดไปแล้วนะ เพลา ๆ ลงเสียบ้าง ถ้าเครียดจัดต้องรีบพาตัวเองออกมาหามุมพักใจบ้าง
2.ฝึกเผชิญหน้า
เผชิญหน้ากับปัญหาเล็กน้อยหรือปัญหาใหญ่บ้าง เพื่อให้จิตใจเข้มแข็งและพร้อมรับมือกับปัญหาง่ายขึ้น ความเครียดก็น้อยลงเพราะรู้สึกว่าจัดการได้
3.วางแผนการทำงาน
จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง ถ้างานล้นมือปรึกษาเจ้านายเพื่อขอคำแนะนำ หรือขอคนช่วยแบ่งเบา เลิกกดดันตัวเองด้วยการตั้งเป้าผลสำเร็จของงานไว้สูงมาก ในขณะที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาหรือข้อจำกัดเรื่องอื่น ๆ ความคาดหวังควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงด้วยค่ะ
4.ยอมรับความเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาโลกค่ะ ฝึกตัวเองให้เป็นคนปรับตัวง่าย ช่วงเศรษฐกิจตก มักจะมีความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้น ตั้งแต่ลดจำนวนพนักงาน ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการ การควบรวมกิจการ หรือบริษัทอื่นเข้ามาเทคโอเวอร์ ถ้าคาดการณ์ไว้บ้าง เตรียมตัวเตรียมใจก็จะโฟกัสที่การแก้ปัญหามากกว่านั่งเครียดนะคะ
5.เป็นนางเอกดีกว่านางร้าย
หมายความถึงให้ผูกมิตรกับทุก ๆ คนในที่ทำงาน ให้ความร่วมมือและมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น ๆ เมื่อถึงเวลามีปัญหา หรือมีงานล้นมือก็จะมีคนเต็มใจช่วยเหลืออยู่เสมอ
6.สื่อสารเชิงบวก
พูดกับทุกคนอย่างเป็นมิตร หัดชมคนอื่นอย่างจริงใจ พูดให้คนอื่น ๆ เข้าใจบ้างว่า คิดเห็นอย่างไร ต้องการอะไร หรือไม่เข้าใจก็ซักถาม
7. อย่าจมจ่อมกับความท้อแท้
เมื่อทำงานผิดพลาด หรือผิดหวังจากตำแหน่งหรือความก้าวหน้า อย่ามัวจมอยู่กับความท้อแท้ ให้ถือว่าเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขปรับปรุงพัฒนาตัวเองดีกว่า มองโลกแบบมีความหวังโอกาสจะมีมาอยู่เสมอค่ะ
8.ฝึกมองโลกในแง่ดี
คิดและพูดถึงคนอื่นในแง่ดีบ่อย ๆ พยายามเลิกจดจ่ออยู่กับข้อบกพร่องของคนอื่น และพยายามลดความอิจฉาคนอื่นและหัดชื่นชมกับความสำเร็จของเขาบ้าง คุณจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้น
9.หาเวลาผ่อนคลาย
ช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างวัน ควรพักสายตา ลุกเดินจากโต๊ะทำงานยืดเส้นยืดสายบ้าง พักเมื่อถึงช่วงเวลาพัก พูดคุยเล่นกับเพื่อนในที่ทำงาน หาเวลาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ และอย่าลืมใช้วันพักร้อนประจำปี เพื่อชาร์จแบต กลับมาจะสดชื่นและพร้อมลุยงานต่ออย่างมีพลัง
10.สร้างบรรยากาศให้น่าทำงาน
จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ วางกระถางต้นไม้ แจกันดอกไม้ ภาพสวย ๆ ของตกแต่งที่ชอบ เพื่อพักสายตามองหาสิ่งเพลินใจได้ง่าย ๆ
11.พูดคุยระบายกับเพื่อนสนิท
หาเพื่อนคุยหรือหรือมีใครเป็นต้น แบบในการทำงานก็อาจขอคำแนะนำดี ๆ จากเขาบ้าง ขบคิดอยู่คนเดียวบางทีก็ตื้อตันและหาทางออกไม่ได้ เพราะมัวแต่เครียดอยู่
แน่นอนว่า ความเครียดเกิดขึ้นได้กับเราทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่ถ้าเครียดแล้วรู้จักผ่อนคลายลงบ้าง มันก็จะไม่สามารถทำร้ายร่างกาย หรือจิตใจของเราให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ได้เลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น