*ปัจจุบันในวงการอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์ แม้เราจะรู้จัก รุ่น ยี่ห้อ
หรือแบบรถที่ชอบ แต่วงการรถยนต์นั้นมันซับซ้อนกว่าที่เราคาดอย่างมาก
และในวันนี้ถ้าใครกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน คุณเคยทราบหรือไม่ว่า
เจ้ารถ**4 ล้อใช้งาน
ที่จะเป็นพาหนะการเดินทางนั้น แท้ที่จริงมันมีกี่แบบกันแน่?*
มีคนจำนวนมากที่ไม่เคยคิดคำถามนี้กับตัวเองก่อนจะเดินเข้าโชว์รูม
เพียงเพื่อตอบสนองต่อตัวเองถึงความสวยงามภายนอกที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานจริงของคุณก็เป็นไปได้
แล้วรถแบบไหนเหมาะกับความเป็นคุณ สรุป มันมีกี่ประเภทวันนี้
เราจะพาคุณๆไปรู้จักกัน
*Micro Car *
อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมาในหมู่บ้านเรา
แต่ถ้าเราแปลตรงตัวจากภาษาอังกฤษนั้น ก็จะได้ว่า "รถจิ๋ว"
ซึ่งบ้านเรามักจะเรียกตามวิธีของ Euro Car Segment
ที่ค่ายรถยนต์หลายเจ้าชอบเอามากล่าว
รถรุ่นนั้นมันจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม A-Segment Mini Car
รถประเภทนี้ความจริงในประเทศไทยก็มีวางจำหน่ายเหมือนกัน
โดยเฉพาะเจ้าเบนซ์สมาร์ท 2 ที่นั่ง
ที่รถในประเภทดังกล่าวจะถูกออกแบบให้ตอบสนองได้เป็นอย่างที่เขตเมืองที่มีถนนหนทางค่อนข้างแคบ
โดยเฉพาะในแถบยุโรป จึงไม่แปลกใจนัก หากเราจะพบว่า รถในกลุ่มนี้
โดยมากจะเป็นรถที่มาจากค่ายรถยนต์ทางยุโรป
รถกลุ่มนี้เดิมทีในช่วงปี 1940 มันถูกเรียกว่า "cycle Car" ก่อนที่ 20
ปีให้หลังมันจะถูกเรียกว่า" Bubble Car" โดยวิธีจำแนกว่ารถเป็นรถ Micro
Car หรือไม่
สามารถตัดสินได้ที่ จำนวนที่นั่งที่มีเพียง 2 ที่นั่งคนขับและผู้โดยสาร 1 คน
เครื่องยนต์มีขนาดไม่เกิน 500 cc ความยาวของตัวรถไม่เกิน 3 เมตร
และมิติในห้องโดยสารนั้น มีปริมาตร 2400 ลิตรเท่านั้น
*Sub Compact Car *
รถรุ่นนี้บ้านเราน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับรถกลุ่ม B-Segment Small
Car หรือที่เราเรียกันติดปากว่า
"ซิตี้คาร์" นั่นเอง ความจริงแล้ว City Car
นั้นเป็นรถเพียงรถประเภทหนึ่งที่อยู่ในประเภทนี้
ซึ่งหากจัดตามจริงแล้ว มันยังคงเป็นรถยนต์ที่ก้ำกึ่งระหว่าง Micro Car และ Sub
Compact Car ด้วยซ้ำ
ในกลุ่ม City Car
ปัจจุบันมีรถที่ถูกผลิตขึ้นในรถยนต์กลุ่มนี้มากมายหลายรุ่นและที่วางจำหน่ายในประเทศไทยก็มีอธิNissan
March
และ toyota Yaris
ซึ่งรถกลุ่มนี้ยังรวมไปถึงรถกลุ่มที่ทางประเทศญี่ปุ่นเรียกว่าK-Car
โดยเครื่องยนต์มักจะเริ่มตั้งแต่ 500 cc จนมาถึง 1000 cc
ถัดจาก City Car มา ก็จะเป็นกลุ่ม Super Mini Car
ที่คำนี้ถูกเรียกเป็นครั้งแรกในนิตยสารในประเทศอังกฤษ
เมื่อปี 1978 แม้เราอาจจะคุ้นเคยรถยนต์นั่งในกลุ่มนี้เช่นเดียวกับในกลุ่ม City
Car แต่เป็นที่น่าแปลกว่ารถในกลุ่มนี้มันถูกจัดให้อยู่ในประเภท B-Segment
ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ซึ่งได้แก่ Ford Fiesta,Nissan Tida หรือจะเป็น รถมินิ ออสตินปี 1963
ทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่ารถที่ถูกจัดไว้ในกลุ่มนี้จะเป้น
แฮทช์แบ็คแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดีปัจจุบันรถทั้ง 2 ประเภทที่ถูกจัดในประเภท Sub Compact
นั้นเราจะเรียกมันโดยรวมว่า City Car
ซึ่งเราจะจำแนกได้โดยปริมาตรภายในห้องโดยสารที่ต้องมีขนาดมวลรวมระหว่าง2407-2803ลิตร
และเครื่องยนต์ที่มีขนาดไม่เกิน 1.5 ลิตร
*Compact Car *
รถยนต์นั่งเล็กเหล่านี้เป็นรถที่ขายดีที่สุดแทบจะในทุกตลาดเลยก็ว่าได้กับกลุ่มรถนั่งครอบครัวขนาดเล็ก
ที่บ้านเรายังขายดี
รถรุ่นนี้สามารถจำแนกได้จากโครงสร้างตัวถังที่มีขนาดใหญ่กว่ารถใน 2-3
กลุ่มแรกอย่างชัดเจนด้วยความยาวของตัวถังที่เริ่มต้นที่ 4.1 เมตร
และยาวสุดที่4.4 เมตร
สำหรับรุ่น 4 ประตู และ 4.45 เมตร สำหรับ 5 ประตู
รถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็คคาร์โดยมากจะพกเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1.5 -2.4 ลิตร
มีกำลังระหว่าง 100 แรงม้า - 170 แรงม้า
ซึ่งในบางครั้งมันจะมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.3 และ 1.4ลิตร
หรือบ้างก็ถูกปรับโฉมสไตล์แบบสปอร์ตมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 2.0 2.5
หรือบางครั้งก็พกขุมพลัง V6 3.2 ลิตรมาจากโรงงานเลยทีเดียว
สำหรับรถยนต์ประเภทนี้ที่จำหน่ายในตลาดบ้านเรามีมากมายหลายรุ่นได้แก่ Honda
civic,Mitsubishi Lancer EX,Toyota Altis และอีกมากมายหลายรุ่น
ซึ่งบางครั้งค่ายรถหลายเจ้าเรียกรถยนต์กลุ่มนี้ว่า C -Segment
*Mid-Size Car และ Entry Excutive Car *
เริ่มใหญ่ขึ้นมาอีกขั้น สำหรับรถยนต์นั่งในขนาดกลาง
หรือที่หลายคนเรียกว่า "Mid-size
Car" รถนั่งขนาดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในทวีปยุโรปบางครั้งเราจะได้ยินพวกฝรั่งเรียกว่า "Large Family Car
หรือExcutive Car"
รถประเภทนี้สามารถจำแนกได้จากระยะฐานล้อเป็นหลักที่อยู่รหว่างที่ 2667 มม.-2794
มม. และพื้นที่ในห้องโดยสาที่กว้างขวางมีปริมาตรรหะว่าง 110 คิวบิคฟุต -
119 คิวบิคฟุต
รถประเภทนี้ที่วางจำหน่ายในบ้านเราก็ได้แก่ Honda Accord,Hyundai Sonata,
Toyota Camry ,BMW Series 5 เป็นต้น โดยถ้ามองในเรื่องราคาจะมีระดับตั้งแต่ 1
ล้านบาทขึ้นไป
ทั้งนี้รถในกลุ่มนี้ยังมีอีกประเภทที่เรียกว่า "Entry Excutive Car"
ซึ่งเป็นประเภทรถที่เกิดขึ้นในแถบทวีปยุโรป
ซึ่งรถในกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีขนาดเล็กกว่ารถขนาด Mid-Size เล็กน้อย
แต่ทางด้านสมรรถนะแล้วมันกลับมาพร้อมระบบช่วงล่างสุดหนึบ เครื่องยนต์ทรงพลัง
และการตบแต่งภายที่ดีกว่า
รถในกลุ่มทั่วไปที่เราอาจจะพอเคยเห็นในรถระดับพรีเมียม อาทิ รถยี่ห้อ Lexus
ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ถูกจัดในกลุ่ม D-Segment
*Full Size- Car *
บางครั้งรถยนต์กลุ่มนี้เราก็มักจะได้ยินหลายคนเรียกว่า " Family Car"
ที่ถูกจำกัดความขึ้นในประเทศ
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
รถเก๋งขนาดใหญ่นี้มีมานานแล้วและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน
ช่วงปี 1970 หลังวิกฤติน้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าว
รถประเภทนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงไปตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน
นี่เองเป็นจุดแปรผันที่ทำให้รถยนต์นั่งประเภทนี้พัฒนาตัวเองกลายเป็นรถยนต์กลุ่มรถหรูไปในตัว
หากอยากรู้ว่ารถที่ใช้เป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่หรือไม่
ก็เพียงมองหาแคตตาล็อกแล้วลองดูว่ารถคุณมีขนาดความยาวตั้งแต่ 5,000 มม.
ขึ้นไปหรือไม่
หากเป็นในรุ่นรถหรูอาจจะยาวถึง 5,250 มม. และมีระยะระหว่างฐานล้อที่ 2,790 มม.
นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังต้องมีขนาดกว้างขวางมากถึง 3,300 ลิตรอีกด้วย
เหล่านี้เป็นเพียงประเภทรถโดยรวมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
ที่แม้จะจำแนกด้วยขนาดแต่ก็ยังมีรถยนต์ในกลุ่มรถนั่งอีก 2 ประเภทพิเศษ
ที่ถือว่าไม่เข้ากลุ่มเหล่านี้ คือ Luxury Car หรือรถยนต์หรู
ที่ถูกกำหนดให้เป็นรถยนต์ที่มีความแตกต่างพิเศษจากรถรุ่นอื่นๆในตลาด
มีการใช้วัสดุต่างๆที่ดีกว่า และรถแบบนี้เป็นรถยนต์นั่งในกลุ่ม F-Segment ของตลาด
ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับการกำหนดพิเศษขึ้นมานั้นเป็นรถยนต์ในกลุ่มรถสปอร์ตทุกประเภท
ตั้งแต่ธรรมดา ทัวร์ริ่งคาร์ โรดสเตอร์ หรือกระทั่งซุปเปอร์มูลค่าหลายล้านบาท
รถเหล่านี้ เป็นรถยนต์กลุ่มพิเศษที่เรียกว่า S-Segment Sport Coupe
*ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการจำแนกประเภทรถที่ถูกต้อง
ซึ่งมีประโยชน์ในเชิงการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพ
รวมถึงความคุ้มค่าในการตัดสินใจเลือกซื้อ
ซึ่งแม้บางครั้งจะมีความใกล้เคียงกันในเชิงราคา
แต่มูลค่าเม็ดเงินและประโยชน์ใช้สอยที่ได้กลับมานั้น
นับว่าแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว**....ในคราวหน้าเราจะกลับมาพร้อมประเภทรถที่เหลือ
โดยเฉพาะในกลุ่มรถพิเศษที่ต้องไม่ควรพลาดกัน *
ประเภทรถยนต์เหล่านี้เป้นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อต้องการจะเลือกซื้อรถยนตืที่มีราคาต่างกันผ่อนแล้วเหลือส่วนต่างไม่ถึง5000
บาท
นับว่าบางครั้งเป้นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ
การที่เรารู้จักประเภทรถยนต์อย่างถ่องแท้นั้น
ช่วยให้เรารู้ว่าเม็ดเงินที่จะเป็นค่าตัวเจ้า 4 ล้อ เหล่านี้มันคุ้มค่าหรือไม่
ซึ่งหากคุณได้รู้จักประเภทรถยนต์และศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว
ราคาและความคุ้มค่าที่จะช่วยเลือกรถยนต์คู่ใจนั้น
จะคุ้มค่ากว่าแค่เพียงฟังคำบอกเล่าจากเซลล์รถยนต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น