ตอนที่ 2 โน้ต-อุดม ดังจริง แต่ไม่รวยสักที
โน้ต อุดมแต้พานิช เจ้าพ่อOne Stand Up Comedy หมายเลขหนึ่งของเมืองไทย ตอนที่ทำ “เดี่ยวไมโครโฟน 1” ถือว่าเปลี่ยนโฉมของการฟังความบันเทิงอย่างแท้จริง แต่ก่อนเราจะมีเจ้าพ่อทอล์คโชว์อย่างอาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ อาจารย์สุขุม นวลสกุล ฯลฯ แต่มีกลุ่มผู้ฟังเฉพาะเจาะจง ไม่อาจจะขยายฐานออกไปในระดับMassได้ และก็ต้องร่วงโรยไปตามกาลเวลา คงสถานะไว้ในฐานะอาจารย์ผู้ฝึกสอนแทน
แต่โน้ต อุดมสร้างปรากฎการณ์ในการโชว์ของเขา เพราะเขาไม่ได้แค่พูดอย่างเดียว แต่มีการเคลื่อนไหว ลีลา จังหวะ ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ติดกับรูปแบบที่เป็นทางการเหมือนนักพูดทั่วไป ทำให้การโชว์ของเขาเป็น “ศิลปะ” ทางการแสดงที่โดนใจคนส่วนใหญ่
อีกทั้งโน้ตอุดมยังเริ่มต้นในวัยหลักยี่สิบ เรื่องที่เกี่ยวกับเขาคือเรื่องใกล้ตัวอย่างวงการบันเทิง ยิ่งทำให้เนื้อหาที่นำเสนอเป็นเรื่องที่ครอบคลุมทั้งวัยรุ่น และกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งสามารถกระจายความ “ดัง” ของโน้ตอุดมได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยการบอกต่อแบบต่อปาก( Word of Mouth)
พอดังแล้ว หนังสือที่เคยเขียนไว้เล่นๆ อย่าง “โทษฐานที่รู้จักกัน” ก็ขายดี ออกหนังสือเล่มใหม่ๆคนก็ติดตามอ่าน พิมพ์ซ้ำเป็นสิบรอบ วีดีโอเดี่ยวไมโครโฟนก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ออกเดี่ยว 2 เดี่ยว 3 มาก็มีแต่ต้องเพิ่มจำนวนรอบมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นยุคทองของโน้ตอย่างแท้จริง นายอุดม แต้พานิช ควรจะเป็นเศรษฐีร้อยล้านในยุคก่อนปี 40 ได้ไม่ยาก
แต่ทำไมโน้ตถึงไม่เหลืออะไรเลย จากผลงานที่ออกมามากมายในช่วง 5 ปีแรก
เพราะโดนเพื่อนโกงนั่นเอง
โน้ตเป็นคนที่ทำธุรกิจไม่เป็น แต่ไว้ใจเพื่อน มองโลกนี้อย่างสวยงามในตอนแรก โน้ตเคยกล่าวไว้ในหนังสือ NOTE BOOK ซึ่งเป็นไดอารี่ส่วนตัวว่า ให้พี่คนหนึ่งเป็นคนดูแลเรื่องพิมพ์หนังสือและจัดจำหน่ายให้ ถึงเวลาเขาก็เอาเงินมาให้ และเขียนกระดาษกันให้ดูแผ่นหนึ่งว่าพิมพ์ไปกี่เล่ม และได้เงินเป็นจำนวนเท่าไหร่ให้โน้ตดู
เชื่อใจกันง่ายๆแบบนั้น หารู้ไม่ว่าหายนะจากคนรอบตัวกำลังจะมาเยือน
คนที่ดูแลเรื่องผลงานของโน้ต โกงเงินไปไม่คืน ด้วยเหตุผลส่วนตัวของเขา แต่มันก็ทำให้โน้ตไม่พูดคุยกับเพื่อนคนนี้ตลอดกาล และเริ่มมองผู้คนที่เข้ามารอบตัวเปลี่ยนไป ระมัดระวังมากขึ้น แต่ก็ยังโดนขโมยขึ้นมาอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็คงต้องเป็น “คนใน” เท่านั้นที่จะสามารถทำการอุกอาจได้ในสถานที่เดิมโดยไม่หวั่นเกรงอันตราย
นอกจากชื่อเสียงที่มากขึ้น ชีวิตที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่ตามติดโน้ตมาเป็นเงาตามตัวก็คือ “ความติสต์” หมายถึงทำอะไรตามใจKUเป็นหลัก โน้ต อุดมไปเที่ยวไหนก็มีแต่คนอยากเข้ามาคุยด้วย เรื่องสาวๆไม่ต้องพูดถึง ผับไหนที่โน้ตไปเที่ยวมีแต่สาวๆมารุมโต๊ะนั้น ในยุคนั้นยังใช้เพจเจอร์กันอยู่ และมือถือก็ยังไม่มีกล้อง คนดังจะทำอะไรก็ไม่ต้องระวังตัวให้มากเหมือนสมัยนี้
ถ้าไม่นับเรื่องเงินทองที่พลาดไปบ้าง เพราะความประมาท และไม่มีความสามารถในการบริหารเงินจำนวนมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องการงาน และชีวิตส่วนตัวโน้ต อุดมก็อยู่ในจุดสูงสุดที่ใครๆก็อยากจะร่วมงานด้วย
ท่านมุ้ยยอมควักเงินเป็นค่าตัวโน้ตสำหรับหนังเรื่อง “กล่อง” เป็นเงินจำนวน 2 ล้านบาทถ้วน ซึ่งนับว่ามหาศาลมากในยุคก่อนปี40 ตอนนั้นทองคำยังราคาแค่บาทละประมาณ 4000 บาทเท่านั้นเอง ถึงหนังจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่โน้ตก็ได้รับการจารึกว่าเป็นดาราไทยที่มีค่าตัว “แพงที่สุด” สำหรับการเล่นภาพยนตร์ในยุคนั้น จากการเล่นหนังแค่เรื่องเดียว แถมยังได้เล่นกับนางแบบที่ฮอตที่สุดใน พ.ศ. นั้นอย่างลูกเกด เมทินีด้วย
ชีวิตส่วนตัวก็เคยมีแฟนเป็นอดีตนางสาวไทยปี2540อย่างน้องป๊อป อารียา และไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่เชียงใหม่ด้วยกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลิกรากันไป ถ้าโน้ต อุดมเป็นเพียงคนธรรมดา ก็น่าคิดว่าจะสามารถมีแฟนสวยระดับนางงามได้หรือเปล่า โน้ตในตอนนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่า “ไม่หล่อ แต่เลือกได้”
ความสนุกของโน้ต อุดมเริ่มลดลงจากเดี่ยว 4 ที่เริ่มเอาโชว์อะไรมาประกอบจนล้นเกินไป โน้ตจึงเว้นวรรคไปคิดมุกเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่หลายปี จนกลับมาสร้างชื่อใหม่ได้จากเดี่ยว 5 ซึ่งทุกคนยังจดจำลีลาการพากย์หนังล้อเลียนการเมือง เรื่องจัดระเบียบสังคมในตอนนั้นได้ดี
เดี่ยว 6 ตามมาติดๆในปีถัดมา และอาจจะด้วยความเร่งรีบ และไม่มีเวลาบ่มเพาะมุกให้เพียงพอ ก่อนเดี่ยวจะเริ่ม โน้ตหมดมุกจนต้องไปญี่ปุ่นเพื่อเปิดหูเปิดตา จนเป็นที่มาชื่อโชว์ว่า “ตูดหมึก” หลังจากจบโชว์สุดท้ายที่เชียงใหม่ โน้ตประกาศบนเวทีว่าขอพักจากการเดี่ยวไมโครโฟนไป 5 ปี แล้วจะกลับมาใหม่
โน้ตกลับมาอีกครั้งตามสัญญา ในเดี่ยว 7 และไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง คำว่า "ARTตัวแม่ ดังทั่วบ้านทั่วเมือง" โน้ตได้รับเชิญให้ไปเปิดเดี่ยวที่ต่างประเทศทั้งในญี่ปุ่น และอเมริกา แต่ด้วยความติสต์แตก ทำให้ต้องมีเรื่องกับผู้จัดที่อเมริกาจนได้ เป็นคดีฟ้องร้องกัน เพราะว่าโน้ต อุดมไปพูดในรายการตีสิบว่าโดนเบี้ยวค่าตัว
ทำให้ผู้จัดโกรธ เพราะโน้ต อุดมเล่าความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว และสร้างเงื่อนไขมากมายก่อนการเดินทางไป เช่นบังคับว่าต้องเอาพี่ปั่นไพบูลย์ เกียรติเขียวแก้วไปด้วย ต้องมีสินเจริญอีก 3 คน และอีก 3 คนที่คอยตีฉิ่งฉาบในดนตรี “ฉ่อย” ในเดี่ยว 8 ตลอดทริปทีมงานต้องเอือมกับโปรแกรมที่เปลี่ยนทุกวันตามอารมณ์ของก๊วนเพื่อนโน้ตตลอดเวลา
โน้ต อุดมเล่าในเดี่ยว8 ล้อเลียนถึงการขอวีซ่าในอเมริกา แต่ความเป็นจริงทีมผู้จัดจ่ายค่าบริการวีซ่าแบบพิเศษ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกคนละหมื่นกว่าบาท ทำให้การขอวีซ่ามีความสะดวกและรวดเร็วกว่าปกติ
โน้ตอุดมเล่าให้รายการตีสิบว่า ต้องโดนบังคับนั่งรถข้ามรัฐ ทั้งๆที่ทีมงานจองตั๋วเครื่องบินไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว แต่พอไปถึงโน้ตขอเปลี่ยนเอง โดยให้เหตุผลว่าอยากจะไปแบบชิวๆ ดูวิวอเมริกาไปเรื่อยๆ
โน้ตอุดม ขึ้นเวทีตอนเที่ยงคืน ทั้งที่การแสดงตามกำหนดเริ่ม 4 ทุ่ม ทั้งที่นัดกันอย่างดีแต่ก๊วนเพื่อนโน้ตกลับไปเที่ยวเล่น ชอปปิ้งกันจนไม่สนเวลาที่แสดง
ผู้จัดก็อาจจะแกล้งโน้ต ที่เบี้ยวค่าตัวงวดสุดท้ายไว้ แต่โน้ตก็ปากเสียเองที่ไปบอกว่าต้องไปเดี่ยวฟรี ไม่ได้อะไรเลย ออกอากาศ พูดจิกกัดให้มันเป็นเรื่องตลก แล้วสิ่งเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง
(ถ้าเรื่องเดี่ยวที่อเมริกาจริงหรือไม่จริงอย่างไร ผมไม่ทราบ แต่ผมไม่เคยพบเจอSTAFFคนไหนที่ร่วมงานกับโน้ตแล้ว รู้สึกประทับใจเลยสักคน ต่างกับซูเปอร์สตาร์ตัวจริง อย่างทาทายัง บี้ เดอะสตาร์ เบิร์ด ธงไชย)
ถึงโน้ตจะมีชื่อเสียงระดับที่คนดังในประเทศไทย ทั้งหลายต้องมาดูโชว์ของเขา แต่เขาอาจจะพบว่าทำไมเขาทำอะไรมาตั้งมากมายขนาดนี้ ดังขนาดนี้ แต่ไม่รู้เรื่องเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจเลย แถมยังไม่รวยเหมือนที่ควรจะรวยด้วย อาจจะมีกินมีใช้ แต่ก็มีค่าใช้จ่าย และความรับผิดชอบที่ต้องดูแล ถ้าไม่ทำเดี่ยว ไม่แสดงหนัง เงินที่มีอยู่ก็หมดอยู่ดี
โน้ต จึงเริ่มมีความสนใจธุรกิจมากขึ้น เพราะรู้ว่าเดี่ยวไมโครโฟนนั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ยั่งยืน สักวันก็ต้องมีคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ อายุของโน้ตก็มากขึ้น คงไม่สามารถทำแบบนี้ไปจนอายุ 60 ได้แน่นอน จึงเริ่มมองหาความมั่นคงทางการเงิน สะสมทรัพย์สินอย่างที่ดิน และอยากมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่สามารถใช้เงินทำงานได้
การมาพบกับคุณตัน จึงเหมือนตอบโจทย์ของเขาได้อย่างลงตัว กับคนที่มีความลุ่มลึกในธุรกิจ และการตลาดขั้นเทพ เหมือนคนที่อยู่บนจุดสูงสุดแล้ว แต่กลับได้พบอาจารย์ที่จะชี้นำทางเขาต่อได้ ย่อมมีความสุขใจยิ่งนัก
ตอนต่อไปจะเล่าถึงการวางแผน และจังหวะในการมาเป็นคู่หู ตัน-โน้ต ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
ที่มา www.blogger.com โดย assuming
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น