15 พ.ค. 2551

ความสุขในการทำงาน กับพื้นฐาน บุคลิกภาพ

ความมุ่งหมายหนึ่งในชีวิตของเราทุกคน คือ การทำงานอย่างมีความสุข คล้ายๆ กับว่า งานเป็นภารกิจหลักๆ ของชีวิต ที่มีน้ำหนักกระทบต่อความรู้สึกของผู้คน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่ามีปัญหาต้องคอยสะสาง วิตกกังวลจนถึงขั้นเครียด และเป็นทุกข์ พ้นไปจากอีกด้านหนึ่งของมันที่ให้ทั้งผลตอบแทน ความมั่นคง ความก้าวหน้า เกียรติยศ ความสำเร็จ และความสุข

ทราบไหมคะ ว่าบุคลิกภาพนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้คนทำงาน ต้องเผชิญกับความทุกข์หรือความสุขได้ หากรู้จักพื้นฐานของบุคลิกภาพที่ดี และทำให้พื้นฐานเหล่านี้มีอยู่เป็นเบื้องต้นในตัวเอง โอกาสที่จะย้ายจากฝั่งความทุกข์ ไปสู่ฝั่งความสุข ก็เป็นเรื่องไม่ไกลเกินจริง

พื้นฐานบุคลิกภาพที่ดี ที่จะมีผลต่อความสุขในการทำงานนั้น มีอะไรบ้าง

เป็นคนมองโลกในแง่ดี

การมีพื้นฐานของการมองโลกในแง่ดี จะทำให้เรามองเห็นความปกติของความวุ่นวาย ความปกติของการทำงานแล้วมีปัญหา และความปกติในความไม่ปกติอื่นๆ อีกมาก ก็เพราะนี่คือการทำงานไงคุณ ทำร่วมกับคนหมู่มาก มีหลายเรื่องเป็นเรื่องยาก และอีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่อยู่เกินความควบคุม หรือนอกเหนือจากการควบคุมของเรา ฉะนั้น มันก็ต้องมีปัญหาบ้าง นำความไม่สบายใจหรือความไม่พึงพอใจมาสู่เราบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

ปัญหามันอยู่กับที่ สิ่งที่เราสามารถควบคุมและจัดการได้ต่างหาก เราทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้อยู่ ทำอย่างดี อย่างเต็มที่ ทำอย่างถูกต้องและละเอียดรอบคอบเพียงใด ถ้าเรารับผิดชอบในส่วนของเราเต็มที่แล้ว ก็มาดูว่าปัญหาเกิดในลำดับใดถัดไป และจะแก้ไขอย่างไร
คนที่มีพื้นฐานการมองโลกในแง่ดีจะไม่หยุดอยู่กับปัญหา พร่ำบ่น คร่ำครวญ ฟูมฟาย หรือเอาแต่ไล่เบี้ยหาตัวคนผิด เขาจะมองมันเพื่อพิจารณาว่าอะไรทำให้เกิดปัญหา หรือปัญหาเกิดมาจากไหน เพื่อที่จะได้แก้ไขและจบปัญหา พื้นฐานเช่นนี้ทำให้เขาเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ น่านับถือ และมีความสุขได้ท่ามกลางการทำงาน ที่แม้จะมีปัญหาติดขัดเกิดขึ้นเป็นระยะๆ

เป็นคนที่รู้จักขอโทษและรับกับความผิดพลาดได้

เราไม่ใช่ผู้วิเศษกันทั้งนั้น มีโอกาสที่จะผิดพลาด แต่ต้องรู้จักยอมรับและขอโทษได้ หลายคนเป็นพวก ผิดไม่ได้ คนพวกนี้มีความทุกข์มาก เพราะทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดในการทำงานขึ้นมา เขาจะต้องหาวิธีลากตัวเองให้พ้นผิด ผิดไม่ได้ ผิดไม่เป็น จนบางครั้งแก้ตัวข้างๆ คูๆ คนประเภทนี้โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมีน้อยมาก หรือหากมีก็มักจะเป็นติฉินนินทาของลูกน้อง และเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ

เมื่อ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรไปที่เราจะผิดสักครั้ง แต่ผิดแล้วต้องเป็นนักเรียนรู้ ผิดแล้วต้องรู้สึกผิดแล้วขอโทษ จากนั้นช่วยกันหาวิธีแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำขึ้นมาได้ เท่านี้เราก็สามารถข้ามปัญหาที่เกิดขึ้นไปสู่เรื่องอื่นๆ ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องจมอยู่กับความผิด การโทษกันไปโทษกันมา และความพยายามที่จะเอาตัวรอดเท่านั้นเอง

เป็นคนมีอัธยาศัย

หมายถึงการเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และใจกว้าง คนที่มีบุคลิกลักษณะอย่างนี้ จะอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ จะเข้าใจคน รู้ว่าแต่ละคนมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร จะรู้จักเห็นอกเห็นใจและคอยสนับสนุนช่วยเหลือผู้อื่นได้ตรงจุด ความมีมนุษย์สัมพัน์ดีจะทำให้เขาออกปากขอความช่วยเหลือผู้อื่นได้ง่าย โดยเฉพาะในงานที่เกินกำลังหรือไม่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญ เขาสามารถขอความช่วยเหลือ โดยมีคนพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาได้ทันที เพราะติดค้างในความเป็นคนดี คนน่ารักของเขา

ความยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้บรรยากาศในการทำงานดี สมองปลอดโปร่ง อารมณ์แจ่มใส คิดอะไรออกง่าย ทำอะไรทั้งหนักและเบาได้อย่างราบรื่น

ส่วนความใจกว้าง จะทำให้เขาเปิดรับคนทุกระดับอายุ ทุกระดับความรู้ และทุกระดับการบังคับบัญชา คนทั่วไปจะรักและชื่นชมเขา ให้ความสนิทสนม ความไว้วางใจ เขาจะกลายเป็นที่ต้องการของทุกๆ ที่ ดังนั้น อัธยาศัยไมตรีจึงเป็นประตูสู่โอกาสที่ดีในอนาคต

เป็นคนมีกาลเทศะ

คนที่รู้จัก กาลเทศะ จะสามารถวางตัวและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างปัญหา การไม่สร้างปัญหาให้เกิด ถือเป็นหน้าที่พื้นฐานของคนทำงานทุกคน ขณะที่การมีประสิทธิภาพคือ แต้มต่อ ในการทำงาน มันคือการ เปล่งแสง ของตัวคุณเอง แล้วจะไปเข้าตาผู้บริหาร โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานจะมีมาก

กาลเทศะ ที่ว่า ไม่ใช่แค่มารยาทในการเข้าสังคมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเคารพระเบียบวินัยของบริษัท การแต่งเนื้อแต่งตัว พูดจาพาที ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม พอเหมาะพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ไม่เป็นที่เดือดร้อนรำคาญของใคร และมีคุณค่าในทุกๆ ที่ที่เขาปรากฏตัว

นอกจากนี้ยังรวมถึงการตรงต่อเวลา การใช้เวลาทำงานสร้างคุณค่าแก่เนื้องาน แก่ความรับผิดชอบ และแก่องค์กรด้วย

เป็นคนที่มีพัฒนาการ

หัวใจสำคัญข้อหนึ่งของบุคลิกภาพ คือ เป็นคนที่มีพัฒนาการ เปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป โดยเน้นการเปลี่ยนแปลงในทางบวกหรือทางสร้างสรรค์ เช่น เปลี่ยนแปลงการแต่งกาย ทรงผม และการแต่งหน้าให้รับกับสมัยนิยมอย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่โอเว่อร์หรือเชยเฉิ่ม

เปลี่ยนแปลงการพูดการจา โดยการพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ พูดให้คนฟังฟังรู้เรื่อง พูดไม่มากหรือน้อยเกินไป พูดอย่างสุภาพ มีเสน่ห์จับใจ เปลี่ยนแปลงความรู้ความสามารถ โดยการหาความรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเรียนต่อ เทคคอร์ส เข้ารับการฝึกอบรม ฟังบรรยาย ร่วมการเสวนา หรือแม้แต่ซื้อหาหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม กับการฝึกฝนตัวเองจนชำนาญในการงานที่ทำมาโดยตลอด เรียกว่าเรียนรู้จากการปฏิบัติ หรือ Learning by doing

ทั้งหมดที่ว่ามานี้จะนำความเปลี่ยนแปลงในทางดีหรือทางก้าวหน้ามาสู่ตัวคุณ และคุณจะเป็นที่สะดุดตาของเพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดจนเจ้านายของคุณเอง พื้นฐานบุคลิกภาพที่ดีที่ส่งเสริมความสุขและความก้าวหน้าในการทำงานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องยากที่แต่ละคนจะฝึกฝนและปฏิบัติ หากรักที่จะให้ชีวิตมีความสุขและก้าวหน้าไปตามลำดับขั้น ก็โปรดปฏิบัติตามนั้นและเพิ่มเติมสิ่งที่ดีอื่นๆ เข้าไปอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น