24 พ.ค. 2552

การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ผึ้งต่อย

ภาวะที่เกิดขึ้นจากแมลงกัด หรือผึ้งต่อย อาจมีแค่ผื่นคันเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งมีอาการแพ้รุนแรง จนอันตรายถึงแก่ชีวิต ก็สามารถพบเห็นได้ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับสารบางอย่างจากแมลงเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งความรุนแรงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลไป

ผึ้งเป็นแมลงสังคมที่มีการแบ่งเป็นวรรณะต่าง ได้แก่ ราชินี ผึ้งตัวผู้ และผึ้งงาน ผึ้งงานเป็นผึ้งตัวเมียที่มีหน้าที่ดูแลรัง และหาอาหาร ผึ้งงานจะมีอวัยวะที่เรียกว่าเหล็กไน (sting) ซึ่งดัดแปลงมาจากอวัยวะที่ใช้ในการวางไข่ (ovipositor) โดยจะต่อกับถุงพิษ (venom sac) ซึ่งอยู่ภายในช่องท้อง ในระหว่างที่ผึ้งต่อย กล้ามเนื้อในช่องท้องจะบีบให้พิษออกมาจากถุงพิษเข้าสู่เหล็กไน เมื่อผึ้งต่อยมันจะปล่อยเหล็กไนรวมทั้งถุงพิษออกมา แล้วตัวมันก็ตาย

พิษของผึ้งจะประกอบไปด้วยโปรตีนที่เรียกว่า melitin เป็นองค์ประกอบสำคัญ ประมาณร้อยละ 50 ของพิษ สาร melitin มีผลทำให้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และไลโซไซม์แตก ผลตามมาก็คือมีการหลั่งของเอ็นไซม์ต่างๆ และรวมทั้งฮิสตามีน (histamine) จากเซลล์ที่มีการแตกนี้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนชนิดอื่นๆ เป็นองค์ประกอบอยู่ เช่น apamine ซึ่งมีพิษต่อระบบประสาท hyluronidase ซึ่งมีผลทำให้พิษแพร่กระจายได้เร็วขึ้น และ phospholipase ซึ่งเชื่อว่าเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากผึ้งต่อยนั้น
ส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะพิษของผึ้ง แต่เสียชีวิตจากปฏิกิริยาการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis)

สาเหตุ

การถูกผึ้งหรือต่อต่อย มักเกิดขึ้นจากการเดินผ่านเข้าไปใกล้แมลงพวกนี้ บางครั้งอาจถูกต่อยในช่องปากขณะกลืนอาหารที่แมลงปะปนอยู่โดยบังเอิญ กรณีถูกผึ้งหรือต่อรุมต่อยทั้งรัง มักเกิดจากการตั้งใจเข้าไปทำลายรัง โดยไม่รู้จักวิธีป้องกัน หรือเด็กๆ เล่นซนไปแหย่หรือทำลายรังผึ้งรังต่อด้วยความคะนอง

อาการไม่รุนแรง

สำหรับกรณีไม่รุนแรง อาจมีอาการแค่ปวดเล็กน้อย ผื่นแดง และคันตรงตำแหน่งที่กัด ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยการล้างด้วยน้ำ และสบู่ ถ้าบวมแดง และคันมากๆ อาจใช้ครีมที่มีส่วนผสมยาสเตียรอยด์ทาเพื่อแก้แพ้แก้คัน หากมีอาการปวดศรีษะ ง่วงซึม มีไข้ กล้าม เนื้อเกร็งตัว หรือ อาการใดๆ ที่ท่านสงสัย และไม่แน่ใจ ควรไปพบแพทย์

อาการแพ้รุนแรง

สำหรับกรณีแพ้อย่างรุนแรงต่อพิษของแมลงที่กัดหรือผึ้งที่ต่อย อาจมีอาการดังนี้ ลิ้น ริมฝีปาก และตาบวม มีอาการอ่อนแรงของแขนขา ไอหรือหายใจลำบาก มีเสียงเหมือนคนเป็นโรคหอบหืด คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ และบางรายอาจหมดสติได้ สำหรับการรักษา หากเริ่มที่จะมีอาการรุนแรง ท่านควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจจำเป็นต้องรับการรักษาโดยการฉีดยาแก้แพ้ และเฝ้าระวังอันตรายอันอาจเกิดตามหลังดังกล่าวได้

อาการช็อกที่เกิดจากปฏิกิริยาแพ้ชนิดเฉียบพลัน

1ไม่สบายและอ่อนเพลียมาก
2แน่นหน้าอก
3หายใจลำบาก หายใจหอบ หายใจมีเสียงดัง
4หน้าบวม คอบวม ลิ้นบวม
5คันผิวหนัง แสบร้อน โดยเฉพาะบริเวณหน้า หน้าอก หลัง
6คลื่นไส้ เวียนศีรษะ
7อาจเป็นลม ไม่รู้สึกตัว
8ชีพจรเต้นเร็ว แต่เบามาก ความดันโลหิต ตอนแรกอาจสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ต่อมาจะลดลงถึงระดับช็อก
9ริมฝีปากบวม ซีด หลังเขียวคล้ำ บริเวณรอบปากซีดขาว ลิ้นซีดขาว
10ผิวหนังทั่วไปอาจขาวซีดเป็นดวงๆ หรือแบบลมพิษคือ บางส่วนบวมนูน บางส่วนขาวซีด

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายหลัง

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายหลัง (delayed reaction) อาจเกิดขึ้น 10-14 วันหลังจากถูกแมลงต่อย อาการที่พบได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เกิดเป็นผื่นลมพิษ ต่อมน้ำเหลืองโต และข้ออักเสบแบบหลายข้อ บางครั้งผู้ป่วยลืมเหตุการณ์ที่ถูกผึ้งต่อยไปแล้ว

บางรายปฏิกิริยาภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นช้า ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังถูกต่อย ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดตามข้อ และกล้ามเนื้อ ข้อบวมเจ็บ ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วตัว บางรายอาจเกิดไตอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ เลือดจางจากเม็ดเลือดแดงแตก เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย มีจ้ำเขียวตามตัว ประสาทตาอักเสบ ตามัว ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น

การปฐมพยาบาล

1บางท่านที่มีประวัติแพ้สารพิษจากแมลงกัดหรือผึ้งต่อย และมีอาการรุนแรง หากโดนกัดบริเวณแขนหรือขา ท่านอาจจะให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นคล้ายกับกรณีงูกัดด้วยก็ได้ โดยพันผ้าเหนือบริเวณที่ถูกกัด 2-4 นิ้ว และทำความสะอาดตรงตำแหน่งที่ถูกกัดด้วยน้ำ และสบู่

2ผู้ที่เคยมีประวัติการแพ้พิษผึ้งอย่างรุนแรง ควรมีป้ายหรือเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าเคยแพ้พิษผึ้งติดตัวไว้ตลอดเวลา และเมื่อต้องออก นอกบ้าน ควรพกชุดปฐมพยาบาลซึ่งมีกระบอกฉีดยาซึ่งบรรจุ epinephrine 1:1000 พร้อมสำหรับฉีด เมื่อมีอาการแพ้หลังถูกผึ้งต่อย ผู้ป่วยต้องฉีดยาเข้าในชั้นใต้ผิวหนังทันที

3ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่า เมื่อถูกผึ้งต่อยไม่ควรใช้ปลายนิ้วหยิบเหล็กไนออก เพราะจะเป็นการบีบถุงพิษ ทำให้พิษไหลเข้าไปในบาด แผลมากขึ้น ควรใช้วัสดุแบนๆ เช่นใบมีดหรือบัตรพลาสติกขูดออก แต่ปัจจุบันพบว่าไม่ว่าการใช้ปลายนิ้วหยิบหรือใช้วัสดุอื่นขูดเหล็ก ไนออก ก็ไม่มีผลในการทำให้พิษไหลเข้าไปในบาดแผลมากขึ้น การเสียเวลาหาวัสดุที่จะใช้ในการขูดเหล็กไนออกกลับจะยิ่งทำให้พิษ ถูกขับเข้าไปในบาดแผลมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น การขูดเหล็กไนออกมีโอกาสที่จะทำให้เหล็กไนตกค้างอยู่ในแผลมากกว่าด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

พิษผึ้งและต่ออาจทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะทั่วร่างกาย ที่สำคัญคือ ภาวะช็อก และไตวายเฉียบพลัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

การดำเนินโรค

1ถ้าถูกต่อยเพียงครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้ง และมีอาการที่บาดแผลเฉพาะที่ที่ถูกต่อย ก็มักจะหายได้ภายในไม่นาน

2แต่ถ้ามีปฏิกิริยาภูมิแพ้หรือเป็นพิษรุนแรงก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน

3บางรายปฏิกิริยาภูมิแพ้อาจเกิดหลังถูกต่อย 1-2 สัปดาห์

4รายที่มีภาวะช็อกจากการแพ้ หลังให้ยารักษาครั้งแรก อาการจะทุเลาไปได้ แต่หลังหยุดยาอาจเกิดภาวะช็อกกำเริบซ้ำได้ จึงต้องรับ ตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยแน่นอนแล้ว

ปรึกษาแพทย์

ควรรีบไปพบและปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

1อาการปวด บวม แดง คัน ไม่ยุบภายใน 6 ชั่วโมง
2แผลบวมขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการปวดมาก
3เป็นลมพิษทั่วตัว หรือริมฝีปากบวม หนังตาบวม
4มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน หรือเจ็บแน่นหน้าอก
5หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือมีอาการเป็นลม
6ถูกต่อยที่ลิ้น หรือภายในช่องปาก หรือที่ตา
7ถูกผึ้งหรือต่อรุมต่อยจำนวนมาก
8เคยมีประวัติถูกผึ้งหรือต่อต่อยมาก่อน เคยมีอาการแพ้แมลงพวกนี้มาก่อน หรือเป็นคนที่แพ้อะไรง่าย
9มีอาการผิดปกติ (เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อตามข้อ ตามัว จ้ำเขียวตามตัว เป็นต้น) เกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังถูกต่อย
10มีความวิตกกังวล หรือไม่แน่ใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

1กำจัดขยะและเศษอาหารบริเวณบ้าน เพื่อไม่ให้มีแมลงมาตอม

2กรณีที่ต้องเดินทางเข้าไปในที่ที่มีแมลงชุกชุมหรือออกไปกลางแจ้ง ไม่ควรใส่เสื้อผ้าฉูดฉาด ลายดอกไม้ หรือใส่น้ำหอม ซึ่งล่อให้ผึ้ง หรือต่อมาต่อยได้

3อย่าแหย่หรือทำลายผึ้ง และเตือนเด็กๆ อย่าไปแหย่รังผึ้งหรือรังต่อด้วยความคะนอง

4ถ้ามีรังผึ้งหรือรังต่อ ภายในบริเวณบ้าน ควรตามผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมากำจัดรังแทน

5ถ้าถูกผึ้งหรือต่อต่อย ควรวิ่งหนีโดยเร็วที่สุด ให้ห่างจากรังเกิน 7 เมตรขึ้นไป และควรใช้ผ้าคลุมศรีษะป้องกันไม่ให้ตัวต่อติดอยู่ใน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น