23 พ.ค. 2553

วิธีแก้เมื่อย 8 ท่า 3 นาที ที่โต๊ะทำงาน



นั่งปั่นงานหน้าคอมพ์ตั้งแต่เช้ายันเย็น แทบจะไม่ได้ลุกไปไหนเลย นอกจากเข้าห้องน้ำ และกินข้าวตอนกลางวัน ก็งานออกจะยุ่งขนาดนี้ ตอนนี้เริ่มไม่ไหวแล้วล่ะ... ปวดเมื่อยไปทั่วตัวเลย ตาก็ล้า คอก็เมื่อย หลังก็ปวด บ่นๆๆๆๆ งานก็ไม่เสร็จ... เครียดอีก อาการไมเกรนก็กำเริบ ทำอย่างไร


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจ้าวายร้ายตัวดีมันมาแล้วล่ะก็... ต้องรีบกำจัดอย่างเร่งด่วน ด้วยวิธีแก้เมื่อย 8 ท่า 3 นาที ที่โต๊ะทำงาน เริ่มจากวางงานตรงหน้า หลบสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วหลับตาผ่อนคลายสักครู่ หากรู้สึกเคืองตา ก็กระพริบตาถี่ๆ ให้น้ำตามาเคลือบตา หรือหยดยาหยอดตาแก้ตาแห้ง และที่สำคัญควรพักเพื่อขยับแข้งขยับขาทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันและลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย

ท่าที่ 1 แก้เมื่อยบ่า


นั่งหลังตรง มือสองข้างจับขอบเก้าอี้เอาไว้ แล้วค่อยๆ เอียงคอไปทางด้านใดด้านหนึ่งช้าๆ จนรู้สึกตึง ทำค้างไว้ 10 วินาที แล้วอย่าเพิ่งเอียงคอกลับ ให้เอียงคอเพิ่มต่อไปอีก 10 วินาที แล้วค่อยๆ เอียงคอกลับมาท่าตรง ทำสลับซ้ายขวา



ท่าที่ 2 แก้เมื่อยคอ


นั่งแบบท่าที่ 1 แล้วเปลี่ยนจากเอียงคอ เป็นหมุนคอไปทางด้านใดด้านหนึ่ง จนรู้สึกตึงที่บ่าหรือคอด้านตรงกันข้าม ทำค้างไว้ 10 วินาที แล้วอย่าเพิ่งหมุนคอกลับ ให้หมุนเพิ่มอีกนิดหน่อย แล้วค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นค่อยๆ หมุนกลับมาท่าตรง

หมายเหตุ : หากรู้สึกมึนงง ให้พักประมาณ 5 นาที ลองทำซ้ำอีกครั้ง หากมีอาการอีก ต้องไปหาหมอ


ท่าที่ 3 คลายกล้ามเนื้อบริเวณบ่า


ยักไหล่ขึ้น ค้างไว้ 5 วินาที แล้วยักไหล่ลง ทำสลับกัน 2 - 3 ครั้ง จะรู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณบ่ามากขึ้น



ท่าที่ 4 คลายกล้ามเนื้อแขน


ใช้มือซ้ายจับฝ่ามือขวา ชูมือทั้งสองข้างเหยียดตรงไปข้างหน้า แล้วดัดข้อมือขวาเข้าหาตัว จนรู้สึกตึงบริเวณข้อศอกขวาด้านใน ทำค้างไว้ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนข้างทำ

หมายเหตุ : ถ้าทำท่านี้แล้วมีอาการชาที่ฝ่ามือ ให้พักประมาณ 5 นาทีแล้วลองทำซ้ำอีกครั้ง หากไม่หายต้องไปพบนักกายภาพบำบัดหรือปรึกษาคุณหมอ




ท่าที่ 5 นวดฝ่ามือ


นวดฝ่ามือซ้ายโดยใช้นิ้วโป้งขวากดไปตรงๆ บนฝ่ามือ หมุนนิ้วโป้งเป็นวงกลม 3 รอบ (ไม่ใช่การถูผิวหนัง) แล้วก็เลื่อนนิ้วโป้งไปกดจุดอื่นๆ จนทั่วฝ่ามือ จากนั้นสลับไปทำอีกข้าง



ท่าที่ 6 บริหารอุ้งมือ


ใช้มือขวาดึงนิ้วโป้งซ้ายเข้าหาตัว จนรู้สึกตึงบริเวณอุ้งมือและข้อนิ้วโป้ง ทำค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นสลับไปทำอีกข้าง

ท่าที่ 7 ผ่อนคลายบริเวณนิ้วและฝ่ามือ


กำมือทั้งสองข้างให้แน่นที่สุด กำค้างไว้ 5 วินาที แล้วคลายออกช้าๆ เหยียดและกางนิ้วมือออกให้มากที่สุด กางค้างไว้ 5 วินาที แล้วกลับมาอยู่ท่าเดิม ทำซ้ำแบบนี้ 2-3 รอบ




ท่าที่ 8 แก้เมื่อยหลัง


ยืนหันหน้าเข้ามุมห้อง ยันฝ่ามือไปที่ผนังในแนวระดับอก ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า แล้วค่อยๆ โน้มตัวเข้าหามุมห้องจนศอกชนกำแพง จะรู้สึกตึงบริเวณหน้าอกทั้งสองข้าง ทำค้างไว้ 10 วินาที แล้วทำซ้ำอีก 2-3 รอบ


อีกท่าหนึ่งคือ กำมือทั้งสองข้าง ไขว้กันไว้ด้านหลัง แล้วเหยียดไปให้ตึง ค้างไว้ 10 วินาที หรือง่ายๆ เพียงแค่ยืนแอ่นหลัง 5 วินาที ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง อาการปวดเมื่อยหลังก็จะทุเลาลง


นอกจากจะทำกายบริหารแบบง่ายๆ นี้แล้ว ก็พยายามลุกเดินบ้าง ขยับร่างกายไปมาบ้าง อย่านั่งอยู่กับที่นานๆ อย่าจ้องคอมพิวเตอร์นานๆ เหนื่อยนักก็พัก เครียดนักก็ปล่อยวางซะบ้าง สุขภาพกายดี สุขภาพใจก็พลอยดี งานก็โลดเล่น ลองนำไปใช้ดูนะคะ

เขามีความรักแบบไหน ดูได้จากอายุ



คุณเคยรู้ ไหมว่า คู่รักของคุณจะมีความรักแบบไหนเมื่อเขาอายุมากขึ้น เรามีข้อมูลจากแพทย์ซึ่งเขาได้แจกแจงวัยแต่ละวัยไว้ดังนี้



วัยรุ่น

เป็น ช่วงที่ฮอร์โมนคลุ้มคลั่งก็ว่าได้ ทั้งฝ่ายชายและหญิงต่างก็ต้องการที่จะรับรู้รส การสัมผัส การกระตุ้นและแรงปราถนาลึกๆ วัยรุ่นบางคนอาจจะรู้สึกชื่นชอบเซ็กซ์มากจนเกินขนาดนั้น แพทย์ได้ให้ความว่าอาจจะเป็นเพราะพวกเขามีฮอร์โมนที่สูงกว่าอัตราปกติ ด้วยเหตุที่เป็นช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ทำให้ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนแปลง วุ่นวาย แต่บางครั้ง "ความรักที่แท้จริง" ก็กอบกู้สถานการณ์ได้เช่นกัน

วัย 20 - 29 ปี

ผู้ชายและผู้หญิงในวัยนี้ ส่วนมากจะยังไม่ค่อยเข้ากันได้ในเรื่องอารมณ์ ทำให้คู่รักบางคู่ที่อายุในช่วงนี้อาจจะเปลี่ยนคู่บ่อยกว่าวัยอื่นๆ


วัย 30 -39 ปี

ด้วยวัยนี้ ผู้หญิงวัยสามสิบยังแจ๋วนั้น ฮอร์โมนต่างๆ จะปรับตัว ซึ่งจะส่งผลให้สามารถถึงจุดสุดยอดได้เร็วขึ้น ทำให้เธอตื่นตัวเรื่องเซ็กซ์ได้มากกว่าเดม ผู้หญิงบางคนอาจจะเป็นฝ่ายรุกและมุ่งความสนใจกับตัวเองมากขึ้น แต่ฝ่ายชายกลับตรงข้ามกัน ผู้ชายในวัยนี้เริ่มที่จะต้องการมีชีวิตแบบคู่สามีภรรยาเดียว

วัย 40 -49 ปี

เป็นครั้ง แรกที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงได้ปรับสมดุลได้มากขึ้น เพราะผู้ชายจะเริ่มให้คุณค่ากับการพูดคุย แสดงออกถึงความรักและการสัมผัส ส่วผู้หญิงก็จะรู้สึกมั่นใจ รู้สึกมั่นคงและพึ่งตัวเองได้มากขึ้น


วัย 50 - 59 ปี

ในวัยนี้ แพทย์บอกว่า "เป็นช่วงเวลาที่ชายและผู้หญิงจะเข้ากันได้ดีมากกว่าที่เคยเป็นมา" ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ผู้ชายจะเติบโตเต็มที่ทางอารมณ์ ทำให้เขาเป็นคู่รักที่ยิ่งใหญ่ เขาจะเพลินกับบท "โหมโรง" การโอบกอด เช่นเดียวกับฝ่ายหญิงที่อาจจะเป็นฝ่ายที่เป็นคนนำบทรัก และแสวงหาความแปลกใหม่มากขึ้น เพราะความมั่นใจและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ข้อเสียเพียงข้อเดียวของฝ่ายหญิงในวัยนี้ก็คือ เนื่องจากหมดประจำเดือนทำให้เธออาจจะรู้สึก หดหู่ รู้สึกร้อนตามผิวและขาดสารหล่อลื่นในช่องคลอด ทำให้เรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้น แต่ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยการปรึกษากับแพทย์


วัย 60 - 69 ปี

ความรักของคนวัยนี้จะสืบต่อมา จากช่วงที่แล้ว และเพราะฮอร์โมนต่างๆ เริ่มที่ลดลงมาก ทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับความรักมากกว่าเซ็กซ์ เน้นความสุขจากการใกล้ชิดและโอบกอด รวมไปถึงการพูดคุยและแบ่งปันซึ่งกันและกันมากขึ้น แต่ก็มีอีกหลายๆ คนที่ยังพอใจกับเซ็กซ์ที่ร้อนแรงอยู่


แล้วคุณละ อยู่ในช่วงไหนของวัย และ "เขา" อยู่ในช่วงไหนในตอนนี้

รุกตลาดขนมไทยบนโลกออนไลน์



ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบเดิมๆ อาจไม่ใช่ทางออกเสมอไป การจัดจำหน่ายแบบไหนล่ะที่จะเข้าถึงผู้บริโภคได้รวดเร็วที่สุด? สาวออฟฟิศอย่างคุณปทิตตา จันทร์เพ็ญ จึงคิดรูปแบบการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์ ซึ่งก็ดูไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เมื่อสินค้าที่ขายเป็นขนมไทย การจัดจำหน่ายแบบนี้จึงต้องจับตามอง


ค้นสูตรจากโลกไซเบอร์


"จุดเริ่มต้นคือ ลูกชายเขาชอบทานขนมมาก พี่ก็อยากให้เขาทานขนมที่สะอาด และถูกสุขอนามัย ก็เลยลองทำเอง พี่เริ่มจากขนมที่ตัวเองชอบก่อนก็คือวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ให้เขาชิมดูซึ่งเขาก็ชอบ หลังจากนั้นก็เลยลองเอาขนมที่เราทำไปให้เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศชิมกัน ทุกคนก็บอกว่าอร่อยรสชาติถูกปาก คราวนี้พี่ก็เริ่มมั่นใจกับฝีมือตัวเอง จึงเริ่มค้นหาสูตรขนมไทยอื่นๆ เพิ่ม และมาลองทำดู เนื่องจากเรามีงานประจำต้องทำตลอดทั้งวัน จึงไม่สะดวกที่จะไปเรียนตามโรงเรียนสอนทำขนมต่างๆ คราวนี้ต้องใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ ค้นหาในเว็บไซต์ง่ายและสะดวกกว่า ค้นไปค้นมาจนได้อยู่หลายสูตร นำมาลองผิดลองถูกเอาเองจนได้รสชาติที่ถูกปาก"


ตีตลาดบนอินเทอร์เน็ต

"พี่ยังไม่พอใจกับสูตรที่ได้มาสักเท่าไหร่ ก็เลยไปปรึกษาญาติที่เป็นคนสุพรรณบุรี ซึ่งเขาทำขนมไทยกันเป็นอยู่แล้ว และแนะนำให้รู้จักญาติที่ย้ายไปอยู่เพชรบุรี ท่านทำขนมไทยขายอยู่แล้ว จึงได้คำแนะนำและเคล็ดลับดีๆ แต่ขนมเมืองเพชรค่อนข้างหวาน แล้วคนสมัยนี้โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ไม่ทานหวานมาก เราจึงลองปรับรสชาติให้ถูกปากลูกค้ามากขึ้น หลังจากลองทำอยู่นานพี่เลยนำสินค้าลงขายในเว็บไซต์ออนไลน์ โดยเลือกลงเว็บไซต์ที่ให้เราประกาศขายฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ พี่จะทำขนมเฉพาะลูกค้าสั่งเท่านั้น จะไม่มีการพรีออเดอร์ในเว็บ แต่จะให้ลูกค้าโทร.มาสั่งโดยตรงกับพี่ เนื่องจากพี่ไม่สามารถรับออเดอร์ลูกค้าได้ทุกคน โดยเฉพาะลูกค้าที่สั่งจำนวนมาก พี่จึงเลือกรับออเดอร์ด้วยตัวเอง"


การถนอมอาหารและการจัดส่งสินค้า

"พี่จะทำวันต่อวัน หมายถึงว่าลูกค้าจะโทร.มาสั่งขนมกับพี่ พี่ก็จะทำเองตอนหลังเลิกงาน แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะเอาไปจัดส่ง ซึ่งตอนนี้ทางร้านขายขนมอยู่หลายประเภทมาก การจัดส่งก็จะแตกต่างกัน ถ้าเป็นวุ้น ลูกชุบ พี่จะไปส่งที่ขนส่งเอง เพื่อให้มั่นใจว่าเขามีห้องสำหรับเก็บขนมของเรา (เก็บที่ห้องแอร์ ไม่ใช่ห้องเก็บกระเป๋า) สำหรับลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัดจะต้องส่งตอนเย็น เพื่อเลี่ยงอากาศร้อนตอนกลางวัน และลูกค้าจะได้รับของวันรุ่งขึ้น หลังจากถึงมือลูกค้าแล้ว ลูกค้าต้องเก็บขนมตามคำแนะนำของพี่ ซึ่งจะเก็บไว้ได้นาน ขึ้นอยู่กับชนิดของขนม พี่จะไม่ใส่สารกันบูดลงไปในขนมเด็ดขาด เพราะมันคงไม่ดีต่อร่างกาย ส่วนขนมไทยประเภทอบแห้ง เช่น ฝอยทองกรอบ วุ้นกรอบ อาลัวและครองแครงกรอบ พี่จะทำตามออเดอร์ลูกค้า และจัดส่งทางขนส่งเช่นกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องแอร์ ปกติขนมไทยอบแห้งจะสามารถเก็บไว้ได้นานหลายสัปดาห์อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยพบกับปัญหาของบูดหรือเสียเลย ส่วนเรื่องการแพ็คสินค้า พี่จะแพ็คใส่ถุงแก้วขยายข้าง ห่อถุงให้ตึง และใส่ลังกระดาษอีกชั้นเพื่อกันการกระทบกระเทือนของสินค้า ลูกค้าจะได้สินค้าในแบบที่สมบูรณ์ที่สุด"


ผลกำไรที่ได้รับ

"พอสินค้าเป็นที่ต้องการของลูกค้ามากขึ้น การสั่งสินค้าจึงยิ่งต้องควบคุม โดยพี่จะรับสั่งทำพวกขนมไทยอยู่ที่ครั้งละ 5 กิโลกรัมเป็นอย่างต่ำ ไม่รับการสั่งออเดอร์จำนวนน้อยๆ ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพื่อคำนวณหาจุดคุ้มทุนที่สุด เมื่อเทียบกับเวลาและแรงที่เราเสียไป ถ้าลูกค้าสั่งน้อยก็จะได้ไม่คุ้มเหนื่อย และลูกค้าเองก็จะไม่คุ้มกับค่าขนส่งที่ต้องจ่ายเองด้วย นี่เป็นวิธีการคิดของพี่เองเพื่อลดปัญหาการแบกรับภาระเรื่องต้นทุนทั้งของตัวเองและลูกค้า ในแต่ละเดือนพี่จะได้รายได้เสริมจากการขายขนมนี้ประมาณเดือนละหนึ่งหมื่นบาท แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ พี่ก็จะได้รายได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณสามถึงสี่เท่า ถ้าเราขยันก็จะยิ่งได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นรายได้เสริมที่มากพอสมควรกับเวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัด จากการทำงานประจำ และการดูแลลูกด้วย เท่านี้ก็เพียงพอกับการใช้ชีวิตของพี่แล้ว"


เพิ่มจุดต่างด้วยการบรรจุหีบห่อ

"พี่ลองคิดทำขนมอาลัวดอกกุหลาบ กับลูกชุบรูปหัวใจขายในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ผลตอบรับดีมาก แต่พี่คิดว่าถ้าเราเพิ่มการบรรจุหีบห่อที่น่าสนใจเข้าไป สินค้าเราน่าจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น เลยลองไปหากล่องรูปหัวใจกับถุงมาใส่ขนมเพื่อเพิ่มมูลค่า ผลตอบรับคือยอดการสั่งซื้อมากขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อไปจะนำไปขายต่ออีกที เพราะฉะนั้นการบรรจุหีบห่อให้ลูกค้าเอาไปขายต่อได้ง่ายและสะดวกขึ้นจึงเป็นที่ต้องการของลูกค้า ถึงแม้เราจะเพิ่มค่าบรรจุหีบห่อไปอีกนิดหน่อยลูกค้าก็ยอมจ่าย เพราะเขาจะได้สินค้าที่พร้อมที่จะเอาไปขายต่อทันที แต่จะรับบรรจุหีบห่อให้เฉพาะเทศกาลสำคัญๆ เท่านั้นนะคะ"


สนใจอุดหนุนได้ที่ บ้านขนมสองพี่น้อง http://www.siamonlineshop.com/market/shop.asp?id=16945 หรือโทร.085 321 3891

8 เทคนิคดื่มเหล้าเพื่อสุขภาพ



นักดื่มคอเหล็ก คอทอแดง ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดู อาจเคยถามตัวเองบ่อยๆ ว่าเมื่อคืนดื่มหนักไปหรือเปล่า เชื่อว่ามีหลายคนตั้งใจว่าต่อไปจะดื่มให้น้อยลง แต่ก็เชื่อเถอะว่าพอถึงเวลามีงานปาร์ตี้สังสรรค์ ทีไร เอาเข้าจริงๆ คุณก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ตั้งใจไว้ 2 แก้ว ก็เผลอเป็น 2 กลมทุกที ไม่ต้องเสียใจไปกับความผิดพลาดในอดีต แต่เราลองมาให้ความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคตดีกว่า ด้วยเทคนิคการดื่มเพื่อสุขภาพ



ข่าวการวิจัยของแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบัน ยืนยันว่าคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ และมีโอกาสอยู่ในโลกได้ยาวนานกว่าคนที่ไม่ดื่มเหล้าด้วยซ้ำ สิ่งนี้อาจพอจะทำให้นักดื่มยิ้มออกกันได้บ้าง แต่คำถามที่ตามมาคือ ดื่มแค่ไหนได้สุขภาพ ดื่มแค่ไหนเสียสุขภาพ



คนดื่มเหล้าเป็นประจำประมาณ 1-2 แก้ว มีอัตราเสี่ยงตายจากโรคภัยไข้เจ็บ อย่าง โรคหัวใจ, เส้นเลือดอุดตัน น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มเหล้าถึง 20-40 เปอร์เซ็นต์

1 แก้วในที่นี้ หมายถึง เบียร์ขนาด 12 ออนซ์ ไวน์ 4-6 ออนซ์ ส่วนอย่างอื่นที่แรงกว่าก็ประมาณ 1.5 ออนซ์ แต่อย่าลืมว่า ไลท์เบียร์จะเบากว่าเบียร์ทั่วไปนิดหน่อย ส่วนเบียร์อิมพอร์ตบางยี่ห้อ ก็อาจจะหนักกว่าเล็กน้อย คนที่นิยมดื่มประเภทมิกซ์ อย่าง ไฮบอลล์, มาร์ตินี่ ก็อาจจะดื่มได้มากเป็น 2-3 เท่า


ดื่ม 2 แก้วต่อวัน ไม่เมา ปริมาณการดื่มให้พอดี มักจะคิดคำนวณจากน้ำหนักตัวเป็นหลัก โดยทั่วๆ ไป ร่างกายจะเจือจางแอลกอฮอล์แก้วหนึ่งก็ประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่หนัก 180 ปอนด์ที่ดื่มเหล้าไป 2 แก้วใน 2 ชั่วโมง จะมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดประมาณ 0.016 ฤทธิ์แอลกอฮอล์แค่นี้ยังไม่แรงพอที่จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของคุณเปลี่ยนแปลง เรียกง่ายๆ ว่าอาการยังไม่ออก

สตาร์ทก่อนเมาด้วยอาหาร น้ำ ถ้าดื่มชั่วโมงละ 2 แก้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะเพิ่มเป็น 0.03 ดีกรีสูงขึ้นมาอีกหน่อย ร่างกายของคุณก็จะเริ่มสตาร์ทเครื่องแค่อุ่นๆ รีแล็กซ์และเป็นกันเองมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งร่าเริงหยิบแก้วต่อไป เพราะถ้าปริมาณแอลกอฮอล์ถึง 0.03 เมื่อไหร่ คุณจะตกที่นั่งลำบากเวลาขับรถกลับบ้าน เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย ควรทานอาหารหรือน้ำสักแก้วเพื่อเป็นการสตาร์ทเครื่อง


จากการศึกษาวิจัยผู้ชายวัย 40 ขึ้นไป พบว่าคนที่กินเหล้าวันละ 2-4 แก้ว ยังไงก็มีสิทธิเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่ไม่กิน นั่นเป็นเพราะการดื่มเหล้าเป็นประจำ ทำให้ร่างกายใช้อินซูลิน (ฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด) ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดนี่เอง ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน แต่ขณะเดียวกัน มันก็คงยังมีโทษเป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ดี ถ้าคุณยังยืนยันเจตนารมณ์เดิม กิน 2-3 แก้วเป็นประจำ ผลร้ายก็ตกอยู่ที่กระดูก เพราะแอลกอฮอล์นั้นเป็นตัวทำลายเซลล์สร้างกระดูก ถ้าลดปริมาณการดื่มลงเหลือ 1-2 แก้วต่อวัน ก็จะลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ได้เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมะเร็งที่กระเพาะอาหารด้วย


การดื่มเหล้าชั่วโมงละ 3-4 แก้วจะเริ่มมึนหัว ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะเพิ่มเป็น 0.056 ถึงตอนนี้คุณจะมีอาการมึนหัวเล็กน้อย มือใหม่สมัครเล่นบางคนถึงกับมีปัญหาเรื่องการทรงตัวและเรื่องสายตาเลยทีเดียว และถ้าดื่มเหล้า 4 แก้วภายใน 2 ชั่วโมง ค่าแอลกอฮอล์ในเลือดจะเพิ่มเป็น 0.064 ฤทธิ์แอลกอฮอล์ระดับนี้แรงพอที่จะทำร้ายสมองบางส่วน และสร้างปัญหาให้คุณมาก โดยเฉพาะเรื่องของการตัดสินใจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาขับรถ


ดื่มวันละ 4 แก้ว เริ่มอันตราย ถ้ากินเหล้าวันละ 4 แก้ว แสดงว่าคุณดื่มหนักเกินไป ที่สำคัญมันไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย ผู้ชาย 4 ใน 10 คนที่กินเหล้าวันละ 4 แก้วหรือมากกว่า จะต้องทนทุกข์ทรมานกับเจ้าโรคตับอักเสบ เพราะว่าแอลกอฮอล์เป็นตัวทำลายเซลล์ในตับ ถ้าคุณดื่มติดต่อกันนาน 15-20 ปี รับรองจะเป็นโรคตับแข็ง โรคหัวใจ บางรายก็ถึงขั้นมะเร็งในปอด อีกโรคฮิตติดอันดับอันเนื่องมาจากแอลกอฮอล์ก็คือโรคความดันโลหิตสูง การดื่มเหล้ามากกว่า 3 แก้วต่อวัน อาจทำให้ฮอร์โมนซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เส้นเลือดตีบตันได้ง่าย ระดับความดันของเลือดสูงเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบถึงสมองตรงส่วนซีรีเบลลัม อันเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมความรู้สึก การเคลื่อนไหว ความคิด และเหตุผลต่างๆ คนที่กินเหล้าน้อยกว่า 3 แก้วต่อวัน จะมีเซลล์ส่วนนี้มากกว่าคนที่กิน 3-6 แก้วทุกวัน


ดื่มมากกว่าวันละ 6 แก้วภายใน 4 ชั่วโมง หัวหมุน ขาดสติ สำหรับคนที่หนัก 180 ปอนด์ ปริมาณแอลกอฮอล์จะสูงถึง 0.08 ถึงขั้นนี้แล้ว คุณก็อย่าหวังเลยว่าระบบการทำงานของร่างกายจะเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับรู้ การตัดสินใจ และความทรงจำต่างๆ ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อจะช้าลง เลือดหมุนเวียนไม่ทั่ว คุณจะรู้สึกหน้าชามากขึ้น แถมยังทำให้โลกทั้งโลกแกว่งไปมาจนคุณรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้

22 พ.ค. 2553

ฝึกโยคะหลังมะเร็ง เสริมภูมิคุ้นกันแข็งแกร่ง



ผลการศึกษาในสหรัฐพบว่า ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งหากฝึกโยคะอาจช่วยให้นอนหลับสนิทและมีกำลังมากขึ้น



คณะนักวิจัยศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ศึกษากับผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง 400 คน ส่วนใหญ่รับการรักษามะเร็งเต้านมด้วยเคมีบำบัด จากนั้นสุ่มแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกฝึกหฐโยคะและโยคะแบบผ่อนคลายสัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นเวลา 1 เดือน อีกกลุ่มปฏิบัติตัวตามปกติ ปรากฏว่ากลุ่มแรกสามารถลดการใช้ยานอนหลับและหลับได้สนิทขึ้นร้อยละ 22 นอกจากนี้ยังรู้สึกเหนื่อยลดลงถึงครึ่งหนึ่ง


นักวิจัยยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เหตุใดโยคะจึงให้ผลดังกล่าว สันนิษฐานว่าการฝึกโยคะอาจช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้พบว่า โยคะช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนความเครียดลดลง อย่างไรก็ดี แนะนำให้ฝึกกับครูสอนที่ได้รับการรับรอง พร้อมย้ำว่าไม่ใช่การฝึกโยคะทุกรูปแบบจะให้ผลเช่นนี้ คณะนักวิจัยจะนำผลการศึกษานี้ไปเสนอต่อที่ประชุมประจำปีของสมาคมมะเร็งวิทยาอเมริกันในต้นเดือนหน้า

ดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ระวังมะเร็งลำไส้



ดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ระวังมะเร็งลำไส้ (Lisa)



มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่รับประทานอาหารแล้ว กลั้วคอด้วยน้ำเย็น ๆ หรือตบท้ายด้วยน้ำชาเย็น ๆ เพราะคิดว่ามันจะช่วยขจัดไขมัน และแก้เลี่ยนได้


แต่รู้ไหมว่า ชาเย็น ๆ นี่แหละที่จะทำให้ไขมันในกระเพาะอาหารจับตัวเป็นก้อนสีขาว เหมือนน้ำมันหมูในตู้เย็น และไขมันที่จับตัวเหล่านี้เมื่อเจอกับกรดในกระเพาะอาหารก็จะอ่อนตัว กลายเป็นสภาพกึ่งของเหลวที่เหนียวข้น จากนั้นจะไหลเข้าสู่ลำไส้ก่อนอาหาร


ดังนั้น ลักษณะที่เป็นน้ำก็ไม่ใช่ ไขมันก็ไม่เชิง เหนียว ๆ ข้น ๆ นี้ก็จะถูกลำไส้ดูดซึมเป็นอันดับแรก แต่ว่าลำไส้ไม่อาจดูดซึมกำจัดก้อนไขมันนี้ได้หมด จึงทำให้ผนังลำไส้เต็มไปด้วยคราบไขมัน เมื่อมีพฤติกรรมอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นานวันเข้า ก้อนที่ว่านี้จะฝังเข้าไปในผนังลำไส้ เมื่อสะสมนานเข้า ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่อาจนำมาซึ่งโรคมะเร็งลำไส้ได้


ดังนั้น หลังอาหารจึงควรดื่มน้ำแกงร้อน ๆ หรือน้ำอุ่น ๆ จะดีกว่านะคะ

ข้อควรปฏิบัติสำหรับสาวไดเอท



ข้อควรปฏิบัติสำหรับสาว ไดเอท (Woman's story)



สำหรับผู้หญิงเราแล้วเรื่องรูปร่างหน้าตานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยบางคนก็จะให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้ดูดีอยู่เสมอ และต่อมาเมื่อหน้าตาผิวพรรณสวยแล้ว เรื่องรูปร่างก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้หญิงให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของน้ำหนักตัวที่จะส่งผลถึงสรีระของร่างกาย ซึ่งหากมีส่วนเกินโผล่ออกมาจากส่วนไหน ก็ต้องร้อนใจรีบลดน้ำหนักกันเป็นการใหญ่เลยทีเดียว


ดังนั้นเราจึงมีคำแนะนำดี ๆ ที่จะช่วยให้การลดน้ำหนักง่ายขึ้น และทำได้ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะจริง ๆ แล้วแล้วหลักง่าย ๆ ในการลดน้ำหนักโดยทั่วไปก็คือ...


ต้องควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ซึ่งในส่วนของอาหารนั้นควรควบคุมการทานอาหารให้กลายเป็นนิสัย หรือปฏิบัติให้เคยชิน โดยลดปริมาณการรับประทานไขมันลง ให้หันมาทานโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตแทนในปริมาณที่พอเหมาะกับที่ร่างกายต้องกาย เพราะไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากไขมัน โปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต หากเหลือจากที่ร่างกายต้องการนำไปใช้ก็จะถูกสะสมในรูปของไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเช่นกัน และควรเลือกทานอาหารที่มีมันต่ำ หรือมีใยอาหารสูงในแต่ละมื้อ


การออกกำลังกายก็ควรออกเป็นประจำอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว ซึ่งช่วงแรกของการลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่น้ำหนักที่ลดลงจะเป็นส่วนของน้ำก่อน แล้วในระยะต่อมาถึงจะเป็นส่วนของไขมัน และที่ลดลงอย่างไม่ได้ตั้งใจตามมาก็คือส่วนของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นโปรตีน จากนั้นน้ำหนักก็จะคงที แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเพราะถ้าหยุดไป จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้

อาหารเช้าช่วยลดความอ้วน และบำรุงหัวใจ


อาหารเช้าช่วยลดความอ้วน และบำรุงหัวใจ (Lisa)



ดร.สิติมา จิตตินันทน์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัย มหิดล เน้นถึงอาหารเช้าว่า มีความสำคัญต่อสุขภาพและช่วยลดความอ้วนได้ เพราะกลไกของร่างกายควบคุมปริมาณการกินในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น


ถ้าอดอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะร่างกายอดอาหารมาประมาณ 10-12 ชม. กว่าจะถึงมื้อเช้า ดังนั้น หากงดอาหารเช้า จะทำให้แนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น จนเป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วน


นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 ยังพบว่าการกินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจด้วย

เปลี่ยนมาวิ่งถอยหลังกันบ้างดีไหม


เปลี่ยนมาวิ่งถอยหลังกันบ้างดีไหม (Slim up)



ถ้าคุณกำลังเบื่อการออกกำลังกายด้วยการวิ่งแบบเดิม ๆ ลองหันมา วิ่งถอยหลัง กันบ้างดีไหม


เพราะประโยชน์ของการวิ่งถอยหลัง ไม่เพียงแต่จะช่วยบำรุงหัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ ข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสะโพก ขา และลำตัวของคุณให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้หลักและประสาทการได้ยิน รวมไปถึงการมองเห็นสิ่งรอบ ๆ ข้างของคณทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย


แต่ขอแนะนำสักนิดว่า เพื่อความปลอดภัย คุณควรจะวิ่งถอยหลังในสนามว่าง ๆ หรือบริเวณที่คุ้นเคยสักหน่อยนะคะ

ปวด เจ็บ แน่นหน้าอก นำไปสู่โรคร้ายอะไรบ้าง


อาการปวด เจ็บ แน่นหน้าอก อาจนำไปสู่โรคร้ายอะไรได้บ้าง (Slim up)


ที่มาจาก : โรงพยาบาลพญาไท1


เจ็บแน่นหน้าอก นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของคนไทย รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุ (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขปี 49-50)


ผู้ป่วยจะมีอาการจุกเสียดแน่นตรงกลางหน้าอก อึดอัด หายใจไม่สะดวกเหมือนมีอะไรมีบีบรัด หรือกดทับ อาจปวดร้าวไปที่คอ แขนซ้าย หรือกราม ร่วมกับอาการคลื่นไส้ เหงื่อออกท่วมตัว อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่ออกกำลังกาย และดีขึ้นเมื่อพักหรืออมยาใต้ลิ้น ถ้าหลอดเลือดหัวใจตีบมาก อาการแน่นหน้าอกอาจรุนแรง และอาการไม่ดีขึ้น แม้หยุดพักหรืออมยาใต้ลิ้น เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หัวใจอาจหยุดเต้นอย่างกะทันหันหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน


พฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน


อายุที่เพิ่มขึ้น


เพศชายจะมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง ซึ่งเพศหญิงวัยหมดประจำเดือนจะมีโรคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


ภาวะไขมันในเลือดสูง


ความดันโลหิตสูง

การสูบบุหรี่


โรคเบาหวาน


เราจะป้องกันโรคหัวใจได้อย่างไร


หยุดสูบบุหรี่ หากท่านสูบบุหรี่ต้องหยุดสูบทันที หรือหากคิดจะสูบบุหรี่ก็ให้เลิกความคิดนี้ การหยุดสูบบุหรี่จะเป็นการป้องกันโรคหัวใจได้ดี การสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่ไร้ควัน หรือบุหรี่ที่มีนิโคตินต่ำ หรือซิการ์ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ


สำหรับท่านที่ไม่ได้สูบบุหรี่หากท่านอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่ ท่านอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเหมือนคนที่สูบบุหรี่ เนื่องจากเป็นผลจากการสูบบุหรี่มือสอง

บุหรี่มีสารเคมีมากกว่า 4,800 ชนิด ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบได้ง่าย


บุหรี่จะทำให้หัวใจท่านทำงานมากขึ้น เนื่องจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตีบ หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น


ผู้หญิงสูบบุหรี่ร่วมกับการกินยาคุมกำเนิด จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น


ข่าวดีสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ หากท่านหยุดสูบบุหรี่ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจจะลดลงอย่างรวดเร็ว โดยประมาณว่าจะเหมือนคนปกติใน 1 ปี การออกกำลังกาย ทุกท่านทราบว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี แต่มีเพียงจำนวนไม่มากที่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้ 1 ใน 4 หากร่วมกับปรับพฤติกรรมอื่นจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้มากขึ้น


ผลดีของการออกกำลังกาย


ทำให้หัวใจแข็งแรง

ควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้น


ลดระดับความดันโลหิต


ลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานและไขมันในเลือด


แนะนำให้ออกกำลังกายปานกลางวันละ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน หากไม่สามารถออกกำลังกายดังกล่าวได้ ท่านสามารถออกกำลังกายโดยการทำงานบ้านเพิ่ม เช่น การทำสวน การล้างรถ การเดินไปตลาด การขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์


การรับประทานอาหารสุขภาพ หลักการรับประทานอาหารสุขภาพง่าย ๆ มีดังนี้


หลีกเลี่ยงอาหารมันบางชนิดที่มีผลเสียต่อหัวใจ เช่น ไขมันอิ่มตัว (Saturated far), Tran fatty acid ได้แก่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ไขมันจากสัตว์ เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาหมึก ไก่ทอด พิซซ่า กล้วยแขก เนย มาการีน


ให้รับประทานผักและผลไม้เพิ่มขึ้น เพราะผักและผลไม้จะช่วยป้องกันหลอดเลือดของท่าน

รับประทานปลาเพราะเนื้อปลามี Omega-3 fatty acid

หมั่นตรวจสุขภาพ ท่านที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ โรคอ้วน หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือท่านที่อายุมากกว่า 35 ปี โดยไม่มีความเสี่ยง ให้ท่านได้รับการตรวจ


ความดันโลหิต

ระดับไขมันในเลือด


ระดับน้ำตาล


ซึ่งเป็นการตรวจประจำปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตรวจสมรรถภาพหัวใจโดยการเดินสายพาน (EST) หรือเมื่อแพทย์สงสัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แพทย์จะตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการเดินสายพาน หรือาจใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยีสูง เช่น 64-slice CT Scan หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI ซึ่งผู้ป่วยอาจได้รับการตรวจเพียงบางอย่าง หรือหลายอย่างเพื่อที่จะวินิจฉัยให้ได้ว่า มีหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ และควรวางแผนการรักษาอย่างไร

การรักษานั้นขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค เช่น หากไม่รุนแรงนักสามารถรักษาหายได้ด้วยยา วิธีการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน หรืออาจใช้การผ่าตัด Bypass


การตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจละทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ (CAG&PCI) ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก และตรวจพบว่า มีความผิดปกติของคลื่นหัวใจผิดปกติหรือการตรวจสมรรถภาพหัวใจ ด้วยการเดินสายพานทำให้สงสัยว่าอาจมีสภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน


การตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ เป็นวิธีการตรวจที่สำคัญในการวินิจฉัยหลอดเลือดหัวใจตีบ และยังทำการรักษาต่อด้วยการทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ ตรงตำแหน่งที่ตีบได้ด้วย โดยจะสามารถบอกถึงข้อมูลตำแหน่งของหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่บริเวณใดและตีบกี่เส้น (เส้นเดียวหรือมีหลายเส้น) และตีบกี่เปอร์เซนต์ และยังดูการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายได้ด้วย โดยจะใช้เวลาในการตรวจวินิจฉัยเพียง 15-20 นาที และเป็นข้อมูลบอกถึงแนวทางการรักษาด้วยยา (ในกรณีที่ตีบไม่มาก) บอลลูน หรือการผ่าตัดและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยได้ต่อไป


ผู้ป่วยบางรายที่ทำการตรวจด้วยวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล สามารถมาตรวจตอนเช้าและนอนพักพื้นประมาณ 6-8 ชม. ก็สามารถกลับบ้านได้ และมาพบแพทย์ในวันรุ่งขึ้น เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป

เพิ่มแรงต้านโรค ด้วยผลไม้


เพิ่มแรงต้านโรค ด้วยผลไม้ (Lisa)




อาหารที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านโรค หาได้ง่ายในบ้านเรา แถมยังอร่อยน่ารับประทานด้วย เช่น ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรเลือกรับประทานผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อร่างกายได้รับวิตามิน และเกลือแร่อย่างเพียงพอ

มะเฟือง มีกรดผลไม้สูงซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน

สับปะรด ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีกรดผลไม้และเอนไซม์ เช่น Bromelin ซึ่งช่วยในการย่อยโปรตีน


ทับทิม มีแคลเซียม ช่วยกำจัดสารพิษและช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกายให้สมดุล มีไนอาซินสูงซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีการเผาผลาญพลังงาน


ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง รวมทั้งวิตามินบี (ช่วยบำรุงประสาท)โปรวิตามินเอและแร่ธาตุต่างๆซึ่งจะให้พลังงานใหม่ๆ


กีวี เต็มไปด้วยวิตามินซี ธาตุเหล็ก แคลเซียม เกลือแร่จำเป็น และกากใย ซึ่งจะช่วยในการย่อยอาหารได้ดี


มะพร้าว มีวิตามินอีสูงซึ่งช่วยในการปกป้องเซลล์ และมีแมกนีเซียมซึ่งช่วยต้านความเครียด


ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่ย่อยง่าย มีกลุ่มวิตามินบีซึ่งช่วยบำรุงประสาท และแคลเซียม


มะม่วง มีสารอาหารที่ช่วยในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ นั่นคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก และช่วยในการย่อยอาหาร


เสาวรส มีวิตามินซีและบี 12 สูง (ช่วยให้จิตใจสงบ) รวมทั้งมีแคลเซียมและธาตุเหล็ก


แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีกากใยมาก ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีธาตุเหล็กสูงและมีแคลเซียมบำรุงกระดูก มีฟอสฟอรัส


มะละกอ มีเอนไซม์มากมาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีการเผาผลาญ มีวิตามินบี 2 วิตามินซี และโปรวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ


ส้มโอ เต็มไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแคลเซียม


ลูกพลับเต็มไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีนและแคลเซียม

Exercise อย่างไรไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ



Exercise อย่างไรไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ (Slim up)



หลังออกกำลังกาย คุณเคยรู้สึกอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หรือเป็นตะคริวบ้างหรือเปล่าคะ


ถ้าเคย นั่นหมายความว่า คุณกำลังเผชิญกับภาวะร่างกายขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการออกกำลังกายลดลง หรือดีไม่ดีอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายซะอีก


เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีวิธีป้องกันภาวะดังกล่าวมาฝากค่ะ เพียงแค่คุณดื่มน้ำประมาณ 3 แก้ว ในช่วง 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกายและดื่มอีก 2 แก้วก่อนออกกำลังกาย ประมาณ 15 นาที


เพียงเท่านี้ คุณก็จะสดชื่นตลอดเวลาแล้วล่ะค่ะ

สิววัยผู้ใหญ่ แก้ไขอย่างไรดี


สิววัยผู้ใหญ่ แก้ไขอย่างไรดี (Lisa)



ประมาณ 40% ของชายหญิงที่พ้นช่วงวัยรุ่นก็ยังมีปัญหาสิว


ทั้งนี้ อันเดรอา โฮพเพอ แพทย์ผิวหนังจากเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี อธิบายว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นสิวในวัยผู้ใหญ่ ก็เนื่องมาจากภาระครอบครัวและการงาน ซึ่งไปกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด และฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตไขมันออกมามากเกินไป จึงก่อให้เกิดรูขุมขนอุดตัน และทำให้เกิดสิวหัวดำบนใบหน้า ที่แผ่นหลัง ต้นคอ หรือเนินอก ซึ่งมักเกิดในช่วงวัย 25-45 ปี


นอกจากนี้ การนั่งอยู่ในออฟฟิศแล้วออกไปตากแดดข้างนอก ก็สามารถก่อให้เกิดสิวและคันได้ หากเกาก็อาจทำให้เกิดแผลเป็น


นอกจากนี้ ในเพศชายก็มักเป็นโรคผิวหนังที่เรียกว่า Rosacea ที่ใบหน้า โดยเฉพาะในบริเวณจมูก ซึ่งทำให้ผู้ชายมีจมูกเป็นตุ้มใหญ่ และมักเป็นกับผู้ใหญ่มากกว่าวัยรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มชา กาแฟ และอยู่ในอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงบ่อย สิ่งเหล่านี้ก่อให้ต่อมไขมันขยายตัว และเกิดการอักเสบ และผู้ที่เป็นสิวส่วนใหญ่ก็มักแกะเกาสิว ซึ่งเป็นการก่อให้เกิดแบคทีเรียที่ผิวหนัง และอาจเข้าไปใต้ผิวและตำแหน่งอื่นได้


ข้อแนะนำก็คือ อย่าไปแตะต้องสิวด้วยนิ้วมือ ควรไปแพทย์ผิวหนัง และใช้ครีมแอนตี้แบคทีเรียควบคู่กันไปด้วยก็เพียงพอ

ฟังเพลงจากหูฟังให้ปลอดภัย


ฟังไอพอดอย่างไรให้ปลอดภัย (ชีวจิต)



ถ้าคุณเป็นหนึ่งในสองร้อยยี่สิบล้านคนที่ฟังไอพอด และฟังเพลงผ่านหูฟัง หากต้องการจะฟังอย่างปลอดภัย ปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ค่ะ


1. ฟังเสียงดังถึง 80 เดซิเบล ควรฟังวันละ 90 นาที


2. ลดเสียงดังลงมาแค่ 70 เดซิเบล ก็สามารถฟังได้นานถึงวันละ 4 ชั่วโมงครึ่ง


3. หากฟังเสียงดังถึง 100 เดซิเบล คุณควรฟังเพียงวันละ 5 นาที (หรือน้อยกว่า)


คนรักเสียงเพลงทั้งหลาย รู้แล้วก็ลองนำไปใช้ดูนะคะ จะได้ไม่มีปัญหาต่อสุขภาพหูตามมานั่นเอง

15 พ.ค. 2553

3 เรื่องสุขภาพที่สาว ๆ ต่างจากหนุ่ม ๆ


เราไม่ได้ต่างกันแค่รูปลักษณ์ภายนอกหรือระบบสืบพันธุ์ แต่ยังมีบางอย่างภายในร่างกายของชายและหญิงที่ไม่เหมือนกัน แม้ความแตกต่างนี้อาจแสดงให้เห็นเมื่อเราอายุมาก แต่การดูแลสุขภาพไม่มีคำว่าเร็วไปหรอกค่ะ!

1.สมอง

ข่าวดีก็คือ โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงเรามีอายุยืนกว่าผู้ชายถึง 5 ปี ส่วนข่าวร้ายคืออายุที่มากขึ้น มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคหลงลืม ซึ่งผู้หญิงเสียชีวิตจากโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า

What to do?

Mind & Body Workout เชื่อมั้ยว่า การออกกำลังแบบแอโรบิกไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง มันยังช่วยเพิ่มปริมาตรเนื้อเยื่อสมองด้วย เพียงเดินเร็ว ๆ 50 นาที สัปดาห์ 3 วัน ก็จะพบว่าช่วยเพิ่มเนื้อสมองได้แล้ว ถ้ายังไม่พอลองเดินในสวนสิ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนค้นพบว่า เมื่อเดินท่ามกลางหมู่ต้นไม้จะทำให้ความจำและสมาธิดีขึ้น 20%

ปรับอารมณ์ให้ดี ลองชมคนอื่นดูนะ ยิ่งคุณสานสัมพันธ์อันอบอุ่นกับผู้อื่นมากเท่าไหร่ ร่างกายของคุณก็จะต่อสู้กับความเครียดได้ดีเท่านั้น ดังนั้น อาจจะได้เวลาร้องเย้! เมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณหาลูกค้ารายใหม่ได้ ทั้งคุณและเพื่อนก็จะรู้สึกดีและสดชื่น หากคุณปล่อยอารมณ์เข้าสู่ด้านมืด ไม่ว่าจะโกรธ เศร้า หรือวิตกกังวล ก็ล้วนเร่งให้สมองเสื่อมทั้งนั้น

2.ปอด

ผู้หญิงเรามักจะห่วงเรื่องมะเร็งเต้านมมากกว่ามะเร็งปอด แต่ผู้หญิงก็สามารถเป็นโรคนี้ได้ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่สูบบุหรี่ จะเสี่ยงกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังมากกว่าผู้ชายอีกด้วย

What to do?

เลิกบุหรี่ด้วยตัวเอง โดยการค่อย ๆ ลดจำนวนบุหรี่ที่สูบ ให้วางแผนว่าในแต่ละวันจะสูบบุหรี่กี่มวนจนกว่าจะถึงวันที่คุณเลิกสูบไปเลย คุณอาจจะเปลี่ยนยี่ห้อบุหรี่ ซึ่งจะทำให้รู้สึกแปลกและไม่น่ารื่นรมย์เท่าเดิม หรือลองฝากบุหรี่ไว้กับคนอื่น เพื่อที่คุณจะต้องขอบุหรี่ทุกครั้งที่อยากสูบ

หลีกเลี่ยงควันบุหรี่จากคนอื่น ถ้าคนใกล้ตัวสูบบุหรี่ก็ต้องมีเทคนิคบอกให้เลิกสูบกันหน่อย จำไว้ "5 อย่า" ก็คือ อย่าจิกกัด ขู่ โมโห บังคับ และหักดิบ แต่จนเอาสายสัมพันธ์ในครอบครัวเข้าสู้ และเน้นเรื่องข้อดีของการเลิกบุหรี่เข้าไว้






ป้องกันกลิ่นตัว ในหน้าร้อน



ร้อนนี้จะป้องกันไม่ให้มี กลิ่นตัวอย่างไร (ไอเอ็นเอ็น)

กลิ่นตัว ส่วนใหญ่เกิดจากการรวมตัวกันของแบคทีเรีย ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบุคคลและภาวะอากาศค่ะ


อาหารก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัว ด้วยค่ะ เครื่องเทศบางชนิด เช่น แกงกะหรี่ และกระเทียม จะมีกลิ่นปนอยู่กับกลิ่นเหงื่อของเราค่ะ ทีนี้มาดูวิธีป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นตัวที่ไม่น่าพึง ประสงค์กันดีกว่า


วิธีป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหงื่อ อันดับแรกก็คือ ทำความสะอาดร่างกาย โดยอาบน้ำถูสบู่ให้สะอาด โดยเฉพาะบริเวณซอกหลืบต่าง ๆ เช่น ขาหนีบ รักแร้ อาจจะใช้สบู่ที่มีสารดับกลิ่นช่วยด้วยก็ได้ค่ะ จากนั้นใช้โรลออนหรือโคโลญจน์ หรือน้ำหอมอ่อน ๆ ช่วยในการดับกลิ่นอีกทีค่ะ


ในวันที่อากาศร้อนจัดจะมีเหงื่อออกมากเป็นพิเศษ จึงควรใส่เสื้อผ้าที่เป็นผ้าฝ้าย เพราะทำให้เหงื่อระเหยได้ดี หากยังมีกลิ่นอีก ก็ควรอาบน้ำในช่วงกลางวันก็ได้ค่ะ (ถ้าทำได้)


หากคนที่มีกลิ่นตัวที่ไม่สามารถกำจัดได้จริง ๆ ก็ต้องใช้ยายับยั้งการขับเหงื่อ หรือยาที่มีสรรพคุณยับยั้งและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้

ฮีตเวฟ ... คลื่นความร้อนที่ควรระวัง



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


ด้วยสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก อันเป็นผลจากความวิปริตแปรปรวนของปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้อุณหภูมิแทบจะทุกตารางนิ้วของประเทศไทยพุ่งพรวดเหยียบ 40 องศาเซลเซียส ติดต่อกันมาหลายวัน ส่งผลให้อากาศร้อนอบอ้าวผิดปกติ โดยเฉพาะที่จังหวัดลำปาง อุณหภูมิสูงถึง 43 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน


นอกจากนี้ ยังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจาก "ภาวะคลื่นความร้อน" หรือ "ฮีตเวฟ" ไปแล้ว 15 ราย ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ "ฮีตเวฟ" อย่างหนัก


เอ่ยมาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยและยังไม่รู้ว่า "ฮีตเวฟ" คืออะไร น่ากลัวอย่างไร วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบดี ๆ มาอธิบายกันค่ะ...


ภาวะคลื่นความร้อน หรือ ฮีตเวฟ (Heat wave) หมายถึง อากาศร้อนจัดที่สะสมอยู่พื้นที่บริเวณหนึ่ง แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ


- แบบสะสมความร้อน เกิดในพื้นที่ซึ่งสะสมความร้อนเป็นเวลานาน อากาศแห้ง ลมนิ่ง ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ เมื่ออุณหภูมิร้อนสะสมหลายวันจะเกิดคลื่นความร้อนมากขึ้น เช่น หากพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิ 38-41 องศาเซลเซียส แล้วไม่มีลมพัดต่อเนื่อง 3-6 วัน ไอร้อนจะสะสมจนกลายเป็นคลื่นความร้อน


- แบบพัดพาความร้อน ซึ่งคลื่นความร้อนชนิดนี้เกิดจากลมแรงหอบความร้อนจากทะเลทราย ขึ้นไปในเขตหนาว ซึ่งมักเกิดในยุโรป


ทั้งนี้ ประเทศไทยเรียกว่าแทบจะไม่มีโอกาสเกิด "คลื่นความร้อน" หรือ "ฮีตเวฟ" ได้เลย เนื่องจากไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่มีมวลอากาศร้อนจัด ประกอบกับไม่มีทะเลทราย นอกจากนี้ ฮีทเวฟจะเกิดได้ก็ต่อเมื่ออุณหภูมิร้อนเกิน 40 องศาต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ แต่สภาพอากาศของไทยมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาทุก 7-10 วัน ทำให้เกิดฝนตก ช่วยลดอุณหภูมิไม่ให้ไต่ระดับสูงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ปี 2553 ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น อันเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ทำให้ฤดูร้อนปีนี้ของประเทศไทยอุณหภูมิเฉลี่ย 42-43 องศา ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อนยืนยันว่า ไทยเสี่ยงต่อปรากฏการณ์ "ฮีตเวฟ" เป็นอย่างมาก


เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า สภาพอากาศของไทยช่วงนี้มีความแปรปรวนสูง โดยเฉพาะอากาศร้อนจัดและที่มีแนวโน้มจะร้อนเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะอุณหภูมิสูงติดต่อกันเกิน 3 วันขึ้นไปจะทำให้เกิด "คลื่นความร้อน" และคนที่ได้รับคลื่นความร้อนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และตามรายงานมีผู้เสียชีวิตจากความร้อนแล้ว 15 คน ซึ่งถือว่าเยอะเป็นประวัติการณ์ จึงขอฝากบอกไปยังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้รีบออกประกาศเตือนภัย เพราะหากปรับสภาพร่างกายไม่ทัน อาจทำให้หัวใจวายและเสียชีวิตในที่สุด หากทุกคนยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ แนวโน้มความรุนแรงของสภาพอากาศจะยิ่งสูงขึ้นอีกในปีต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะในปี 2554 จะมีปรากฏการเอลนินโญ่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ก็ยิ่งจะทำให้สภาพอากาศเลวร้ายและประชาชนจะต้องประสบกับปัญหาภัยแล้ง และเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรงมากขึ้นอีก


อย่างไรก็ตาม ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นที่กำลังเผชิญหน้ากับ "ฮีตเวฟ" อันเนื่องมาจากผลของภาวะโลกร้อน เพราะทั่วโลกก็กำลังได้รับผลกระทบเหมือน ๆ กัน ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ... ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันมาศึกษาและป้องกันภัยจาก "ภาวะโลกร้อน" อย่างจริงจัง


สำหรับวิธีปฏิบัติตัวเพื่อบรรเทาความร้อน ได้แก่...


1. ให้หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดที่ร้อนจัด พยายามอยู่ในที่ร่มโดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว


2. ให้ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่น้อยกว่าวันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตรต่อวัน มีวิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าร่างกายได้รับน้ำเหมาะสมหรือไม่ คือสังเกตจากสีของปัสสาวะ ถ้าปัสสาวะมีสีเหลืองจาง ๆ แสดงว่าได้รับน้ำเพียงพอ แต่ถ้าปัสสาวะสีเหลืองเข้มและปัสสาวะออกน้อย แสดงว่าได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะต้องดื่มน้ำให้มาก ๆ


3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง


4. หากร้อนจัดแล้วเหงื่อไม่ออกให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว เพื่อระบายความร้อนในตัวออกมา และเป็นการลดความร้อนออกจากร่างกาย


5. หากมีอาการของโรคลมแดด คืออาการกระหายน้ำ ตัวร้อนแต่ไม่มีเหงื่อออก หายใจถี่ ปากคอแห้งและอาจวิงเวียนศีรษะ ขอให้รีบไปพบแพทย์

แปลกแต่จริง 12 ซี่ความรู้ เรื่องฟัน ๆ


แปลกแต่จริง 12 ซี่ความรู้ เรื่องฟัน ๆ (Twenty-four Seven)



ไม่ปวดก็ไม่สำนึก นี่คือเรื่องจริงที่เรามักจะมองข้ามความใส่ใจดูแลเรื่องสุขภาพปาก ใครอยากมียิ้มสวยไปจนแก่ต้องรีบอ่านด่วน เพราะฟันซี่เดียว มันเกี่ยวกับความสุขทั้งชีวิต และนี่คือเรื่องแปลกแต่จริง กับ 12 ซี่ความรู้เรื่องฟัน ๆ


1.โรคเหงือกเริ่มต้นมาจากอาการเหงือกอักเสบ


ซึ่งถ้ารักษาแต่เริ่มแรกก็จะหายขาดได้ อาการของเหงือกอักเสบคือ การบวม แดง และเหงือกนุ่ม เกิดเลือดออกเวลาแปรงฟัน ถ้าคุณพบอาการเหล่านี้ ให้พบทันตแพทย์ก่อนที่อาการจะลุกลามร้ายแรงขึ้น ระยะสุดท้ายของโรคเหงือกอาจนำไปสู่การต้องสูญเสียฟัน สุขภาพของเหงือกมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างโรคเหงือกชนิดหนึ่ง กับโรคภัยอื่น ๆ อาทิเบาหวาน หัวใจ และการคลอดก่อนกำหนด


2.อาการเสียวฟันเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น


เหงือกของเราจะเริ่มร่นตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้บริเวณที่ไม่มีสารเคลือบฟันถูกเปิดออก ซึ่งบริเวณเหล่านี้จะเกิดอาการปวด เมื่อสัมผัสกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็น ในรายที่เป็นมาก อากาศเย็น หรืออาหารที่เปรี้ยวหรือหวานก็สามารถทำให้เกิดการเสียวฟันได้ ถ้าคุณมีอาการเสียวฟัน ควรใช้ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน และถ้ายังไม่หาย ควรพบทันตแพทย์ เพราะอาการเสียวฟันอาจเป็นสัญญาณของอาการร้ายแรงอื่น ๆ ได้ เช่นฟันผุ หรือฟันหัก/แตก


3.เลือกรับประทานอาหารที่มีความจำเป็นต่อเหงือกและฟัน
ผักผลไม้ที่มีความแข็งและเส้นใย ก็จะช่วยทำความสะอาดฟันและเนื้อเยื่อด้วย แต่อาหารที่มีความนุ่มและเหนียว มีโอกาสที่จะติดอยู่ตามซอกฟันและทำให้เกิดคราบแบคทีเรียได้ง่าย ทุกครั้งที่คุณรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาล แบคทีเรียจะทำให้เกิดกรดที่ทำลายฟันได้เป็นระยะเวลา 20 นาทีหรือนานกว่านั้น เพื่อที่จะลดความเสียหายต่อเคลือบฟัน ควรจำกัดความถี่ในการรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อ และควรจะเลือกรับประทานอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น เนยแข็ง ผักสด โยเกิร์ต หรือผลไม้


4.น้ำอัดลม ตัวการสำคัญของปัญหาสุขภาพช่องปาก


สมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกประกาศเตือนถึงพิษภัยของการบริโภคน้ำอัดลม โซดา ว่าเป็นแหล่งสำคัญในการทำให้เกิดอาการฟันผุ เพราะกรดและกรดที่เกิดจากน้ำตาลในน้ำอัดลม จะไปทำให้สารเคลือบฟันอ่อนบางลง ซึ่งส่งผลให้เกิดการก่อตัวของฟันผุ ในกรณีร้ายแรง สารเคลือบฟันที่อ่อนบางลง ประกอบกับการแปรงฟันที่ไม่ถูกวิธี จะทำให้เกิดการผุกร่อนของฟัน ควรเปลี่ยนมาดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลน้อย ๆ เช่น น้ำเปล่า นม น้ำผลไม้ 100% และหลังจากดื่มน้ำที่มีรสหวาน ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเสมอ


5.การดูแลแปรงสีฟัน และการเปลี่ยนแปรงสีฟัน


แปรงสีฟันสามารถเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้หากปล่อยให้ก่อตัวขึ้น และเวลาผ่านไปอาจพัฒนาไปเป็นเชื้อที่ร้ายแรงขึ้นได้ หลังจากการใช้แปรงสีฟันทุกครั้ง ควรสะบัดแปรงอย่างแรงให้น้ำก๊อกไหลผ่าน และเก็บแปรงสีฟันให้อยู่ในลักษณะแนวตั้ง วางแปรงเอาหัวตั้งตรงเพื่อให้แปรงแห้งได้ง่าย ควรเก็บแปรงสีฟัน ไม่ให้แปรงสีฟันของคุณไปสัมผัสกับแปรงสีฟันของคนอื่น


จากการศึกษาพบว่า แปรงสีฟันที่มีการใช้งานมานานกว่า 3 เดือนจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบพลัคที่อยู่บนเหงือก และฟันได้ต่ำกว่าแปรงสีฟันอันใหม่ เพราะขนแปรงจะเริ่มหมดสภาพ และมีคุณภาพต่ำในการซอกซอนเข้าไปตามซอกหลืบต่าง ๆ ของฟัน หลังจากที่ป่วย ติดเชื้อในช่องปาก หรือเจ็บคอ ควรเปลี่ยนแปรงสีฟัน เนื่องจากเชื้อโรคอาจยังหลงเหลือแอบซ่อนอยู่ตามขนแปรง และอาจนำไปสู่การติดเชื้อใหม่อีกครั้ง


6.แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง


ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เพื่อที่จะกำจัดคราบแบคทีเรีย หรือแผ่นฟิล์มเหนียวที่เกาะอยู่บนฟันของเราและทำให้เกิดฟันผุ


7.ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน


เพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียระหว่างซอกฟัน และร่องเหงือก ก่อนที่มันจะจับตัวแข็งเป็นหินปูน เพราะเมื่อเกิดเป็นหินปูนแล้ว จะต้องอาศัยทันตแพทย์เท่านั้นที่จะเอาออกได้
8.จำกัดการรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล
โดยเฉพาะอาหารที่มีความเหนียว ยิ่งรับประทานบ่อยมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดโอกาสที่จะกรดในคราบแบคทีเรีย จะเข้ามาทำลายฟันเท่านั้น


9.รับประทานส้มทุกวัน


เพราะจะทำให้คุณได้รับวิตามินซี ซึ่งมีการวิจัยมาแล้วว่าจะช่วยลดอาการอักเสบบวมของเหงือก ที่มาของปัญหาทางช่องปากและฟัน


10.เคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาล


ระหว่างเคี้ยวหมากฝรั่งจะมีน้ำลายออกมา จะช่วยล้างคราบกรดและทำให้เคลือบฟันแข็งแรง ควรแปรงฟันหลังดื่มเครื่องดื่มที่เป็นกรด แต่อย่าแปรงทันที ต้องทิ้งช่วงห่างอย่างน้อย 20 นาที


11.ใช้หลอดดูดกาแฟ หรือไวน์


ฟังดูแปลกหน่อย แต่เขาบอกว่าช่วยลดการทิ้งคราบลงบนฟันขาวได้ดี


12.พบทันตแพทย์ ทุก 6 เดือน เป็นประจำ
เพื่อทำการตรวจและทำความสะอาดช่องปาก

ไขมันทรานส์ อันตรายใกล้ตัว


ไขมันทรานส์ อันตรายใกล้ตัว (ไทยโพสต์)

ของทอด ขนมขบเคี้ยว เค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ ขนมปัง ทั้งหลายที่เรียงรายกันอยู่บนชั้นซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ นั้น ทั้งสีสันและรสชาติของมัน ใครเห็นก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างยั่วน้ำลายเสียนี่กระไร แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า ภายใต้หน้าตาและรสชาติที่ทำให้คุณติดอกติดใจนั้น มันซ่อนอันตรายต่อสุขภาพที่มากกว่าแค่ทำให้คุณอ้วน (คุณอาจไม่สนใจนัก หากคุณไม่ได้กังวลเรื่องรูปร่างสักเท่าไหร่) แต่มันยังบั่นทอนชีวิตที่คุณรัก ให้สั้นลงโดยไม่รู้ตัว...


คุณอาจจะนึกไม่ถึงว่า ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารนั้นมีการแข่งขันกันสูงเพียงไร ยิ่งลดต้นทุนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเก็บกำไรเข้ากระเป๋าได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จึงมีการใช้ส่วนผสมราคาถูกเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์คงรูปร่างได้นานและเก็บได้นานมากยิ่งขึ้น นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดเจ้า "ไขมันทรานส์ (Trans fatty acids)" จึงได้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปประเภทต่างๆ เพราะไขมันทรานส์ ก็คือ ไขมันพืชที่ถูกนำไปผ่านกระบวนการแปรรูปทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "ไฮโดรจิเนชั่น (Hydrogenation)" ซึ่งจะทำให้ไขมันชนิดนี้คงตัวอยู่ได้นานมากขึ้น ดังนั้น อาหารที่ทำจากไขมันทรานส์จึงเก็บได้นาน ไม่เสียง่าย ไม่มีกลิ่นหืน มีรสชาติถูกปาก แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย


ไขมันทรานส์ พบมากในอาหารพวกทอด ๆ ทั้งหลาย รวมทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมเบเกอรี่ เช่น คุกกี้ ขนมปังที่มีส่วนผสมของ เนยขาว (shortening) และมาการีน (margarine) รวมไปถึงพวกขนมสำเร็จรูปกรุบกรอบต่างๆ ที่เรามักจะซื้อติดไม้ติดมือเสมอตอนไปซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง


ในบรรดาไขมันทั้งหลาย นักโภชนาการจัดให้ไขมันทรานส์นั้นอันตรายเป็นอันดับหนึ่ง เพราะนอกจากมันจะเข้าไปเพิ่มระดับ LDL (low-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด เช่นเดียวกับการบริโภคไขมันอิ่มตัว (ไขมันจากสัตว์และน้ำมันปาล์ม) แล้วมันยังลดระดับ HDL (high-density lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือดอีกด้วย ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลกเลยทีเดียว


หากจะกล่าวว่า ขณะนี้ ไขมันทรานส์ ได้กลายเป็นศัตรูอันดับต้น ๆ ของคนรักสุขภาพทั่วโลกก็คงจะไม่เกินความจริงไปนัก เพราะในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างออกข้อบังคับเกี่ยวกับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ และให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนี้ บางรัฐในสหรัฐอเมริกา เช่น นิวยอร์กได้ออกมาประกาศว่า จะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดไขมันทรานส์ โดยออกมาตรการให้บรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งหลาย ค่อย ๆ ลดการใช้ไขมันชนิดนี้ในการปรุงอาหาร และหยุดใช้โดยเด็ดขาดทั่วทั้งนิวยอร์ก


สำหรับในประเทศไทย เนื่องจากยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายใด ๆ มาควบคุมการใช้หรือบังคับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ ในฐานะผู้บริโภค เราจึงควรดูแลตัวเองด้วยการระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอด ซึ่งใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ จนหนืด พวกขนมขบเคี้ยวที่เก็บไว้นาน ๆ ก็ยังกรุบกรอบ รวมทั้ง ที่มีส่วนประกอบของเนยขาวและมาการีน

โรค มะเร็งผิวหนัง คุณเสี่ยงแค่ไหน?



โรคมะเร็งผิวหนัง ...คุณเสี่ยงแค่ไหน? (Lisa)
การโดนแดดมากๆ ผิวไหม้แดดบ่อยตั้งแต่เด็ก การเปลี่ยนไปของภาวะโลกร้อน ยาสมุนไพรที่มีสารหนู พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นปัจจัยให้เป็น มะเร็งผิวหนัง ได้ทั้งนั้น
ดาราสาว นิโคล คิดแมน เคยเป็น มะเร็งผิวหนัง ชนิด Melamoma ที่ขา แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็จำเป็นต้องเอาออกเพื่อไม่ให้ลุกลามต่อไป ทั้งนี้ โรค มะเร็งผิวหนัง มักพบในชาวตะวันตกที่มีผิวขาว แต่ก็พบได้ในคนไทยและพบในคนที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้น พญ.ประภาวรรณ เชาวะวณิช แพทย์ผู้ชำนาญการพิเศษ สถาบันโรคผิวหนัง จึงได้ตอบข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ
Q : โรคมะเร็งผิวหนัง เกิดขึ้นได้อย่างไร
A : เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม อาหารและยา รวมทั้งแสงแดดด้วยในเรื่องพันธุกรรมนั้นก็คือ ปกติเมื่อผิวโดนแสงแดดผิวหนังก็จะมีการซ่อมแซมนี้เสียไป ก็จะมีความเสี่ยงกับ มะเร็งผิวหนัง มากกว่าปกติ
Q : ยาเกี่ยวข้องกับ มะเร็งผิวหนัง อย่างไร
A : คือสมัยก่อนมีการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งมีสารหนูปนเปื้อน เมื่อคนใช้กินไปนานๆ ก็จะปรากฏที่ผิวหนัง แล้วก็กลายเป็น มะเร็งผิวหนัง ได้ เพราะจากการชักประวัติคนไข้มักพบว่าคนไข้เคยกินยาสมุนไพร ยาหม้อ หรือยาต้มมาก่อน
Q : คนไทยมักเป็น มะเร็งผิวหนัง ในช่วงวัยใด
A : เมื่อก่อนมักพบในคนไข้ที่มีอายุมาก แต่ปัจจุบันพบคนไข้โรค มะเร็งผิวหนัง อายุน้อยลง คืออายุประมาณ 30 กว่าปี และยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร แต่ก็พบประวัติว่าเคยโดนแสงแดดมามากทั้งๆ ที่เป็นคนมีผิวค่อนข้างคล้ำ จึงเป็นข้อเตือนใจว่าคนผิวคล้ำก็เป็น มะเร็งผิวหนัง ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนผิวขาวเท่านั้น ส่วนคนทั่วไปเมื่อมีอายุมากขึ้น กลไกร่างกายจะไม่ดีเหมือนคนวัยหนุ่มวัยสาว คนวัยชราจึงมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าคนอายุน้อย คือไม่จำเป็นต้องโดนแสงแดดมากเท่านั้น





Q : นอกจากผู้สูงอายุแล้ ยังมีบุคคลประเภทใดที่เสี่ยงกับ มะเร็งผิวหนัง ได้อีก
A : ส่วนใหญ่มักเป็นคนผิวขาวอย่างขาวตะวันตกผู้ที่มีผิวไหม้แดดบ่อยเมื่อตอนเป็นเด็ก หรือผู้ที่มีไฝจำนวนมาก คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง หรือในกรณีที่ไฝเปลี่ยนไป ทั้งสี ขนาด หรือมีเลือดออกและรักษาไม่หาย ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง

Q : แล้วคนไทยควรป้องกัน มะเร็งผิวหนัง อย่างไรดี

A : ต้องพยายามหลบแดดในช่วงที่รังสียูวีแรง คือช่วงเวลา 10.00-15.00 น. โดยเฉพาะในเมืองไทยแสงแดดจะแรงตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงเย็น จึงควรหลบแดด เช่นใส่เสื้อแขนยาว กางร่ม เพราะถึงแม้จะทาครีมกันแดดก็ยังต้องป้องกันตัวเองจากรังสียูวีอีกชั้นหนึ่ง โชคดีที่คนไทยไม่นิยมอาบแดดก็จะมีความปลอดภัยกว่าในขณะที่ผิวของฝรั่งมีเม็ดสีเมลานินน้อยกว่าคนไทยคือเม็ดสีเมลานินจะช่วยกรองแสงยูวีระดับหนึ่ง เมื่อฝรั่งมีเม็ดสีเมลานินน้อยกว่าแล้วชอบอาบแดด ก็จะยิ่งทำให้เสี่ยงกับการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้น

Q : ลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็น มะเร็งผิวหนัง

A : มะเร็งผิวหนัง หลักๆ ที่พบคือ Basal Cell Carcinoma และ Squamous Cell Carcinoma เมื่อชักประวัติคนไข้บางรายก็จะพบว่าเป็นตุ่มเหมือนเม็ดสิวนานหลายปี แล้วก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น มะเร็งผิวหนังชนิด Basal Cell Carcinoma จะเป็นแบบช้าๆ ไม่ค่อยอันตรายมาก แต่ถ้าทิ้งไว้นานก็จะทำให้เป็นมากขึ้นหรืออีกชนิดหนึ่งคือไฝกลายเป็นมะเร็ง โดยสังเกตจากไฝที่โตเร็ว สีไฝเปลี่ยนไป เจ็บ หรือมีเลือดออกต้องสงสัยไว้ก่อนและควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดู คือถ้าเป็นตุ่มที่ผิดปกติ เป็นนานและขยายใหญ่ขึ้น ไม่หาย ไม่ว่าจะเป็นตุ่มที่มีสีหรือไม่ก็ตาม ให้สงสัยไว้ก่อน เพราะมะเร็งบางชนิดเป็น Melanoma ที่ไม่มีสีก็มี มะเร็งผิวหนังชนิด Squamous Cell Carcinoma และ Basal Cell Carcinoma ที่พบส่วนใหญ่มักพบนอกร่มผ้า บริเวณที่โดนแดดแต่ก็พบในร่มผ้าได้โดยเฉพาะคนที่เคยได้รับสารหนู

Q : การใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดป้องกัน มะเร็งผิวหนัง ได้มากน้อยแค่ไหน

A : ครีมกันแดดไม่อาจป้องกัน มะเร็งผิวหนัง ได้รอยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งโดยที่เราควรต้องหลบแดดในช่วงที่แดดร้อนแรง นอกจากโรค มะเร็งผิวหนัง แล้ว แสงแดดแรงๆ ยังทำให้เป็นฝ้า กระรอยด่างดำ จึงควรทาครีมกันแดดและหลบแดดด้วย

Q : มีวิธีรักษา มะเร็งผิวหนัง มีกี่อย่าง

A : มีวิธีรักษาหลายวิธีซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและระยะที่เป็น คือถ้าเป็น มะเร็งผิวหนัง ส่วนบนอาจจะพ่นไอเย็น (Cryotherapy) หรือตัดรอยโรคทิ้ง หรือถ้าบางคนเป็นในตำแหน่งที่อันตราย หรือเป็นแบบลึกก็จะมีวิธีพิเศษที่เรียกว่า Mohs Surgery

Q : มะเร็งผิวหนัง จะลุกลามและเป็นอันตราย

A : ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง คือถ้าเป็นชนิด Basal Cell Carcinoma ก็จะใช้วิธีรักษาแบบ Mohs Surgery ได้ผลดี 99% ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาด ชนิด และตำแหน่งคือแค่ตัดออกเท่านั้น แต่ถ้าเป็น Melanoma แบบไฝดำหรือ Squamous Cell Carcinoma จะค่อนข้างอันตรายคือมีการดำเนินโรคเร็ว แพร่กราจายเร็วไปยังอวัยวะภายในได้ จึงต้องตัดออกและตรวจคัดกรองขั้นต่อไป

Q : การมีไฝบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น บริเวณขอบเสื้อใน ขอบกางเกง ควรเอาออกดีมั้ย
A : เอาออกก็ดี คือไฝบางชนิดควรตัดออกเพราะมันมีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้ แต่ถ้าเป็นไฝเม็ดเล็กเม็ดน้อยก็ไม่ค่อยมีความเสี่ยง ไฝที่มีความเสี่ยงสูงก็คือไฝที่มีลักษณะแบบปานดำตั้งแต่เกิดและมีขน
Q : ภาวะโลกร้อนมีผลทำให้เป็น มะเร็งผิวหนัง มากขึ้นมั้ย
A : อาจมีผลในแง่ที่ว่า แสงยูวีจะลงมาบนพื้นโลกมากขึ้น เพราะชั้นบรรยากาศบางลง ถ้าเรารับแสงยูวีมากขึ้น ก็จะมีความเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นด้วย
Q : แล้วสารเคมีทำให้เป็น มะเร็งผิวหนัง ได้มั้ย
A : เป็นได้โดยเฉพาะสารหนู
Tips
วิธีสังเกตไฝ
หากไฝเปลี่ยนไป เป็นสัญญาณอันตราย คุณควรตรวจไฝที่ผิวหนังเป็นประจำสม่ำเสมอ รวมทั้งไฝที่เท้าและนิ้วเท้าด้วย
หากเป็นไฝต้องมีสีเดียว หากมีสีน้ำตาลปนดำหรือสีแดงให้สงสัยไว้ก่อน
ไฝต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน
หากไฝมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 5 มม. หรือโตขึ้นเรื่อยๆ ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง
อาหารปกป้องผิวหนัง

ผักช่วยป้องกันผิวจากอันตรายของแสงแดดได้ส่วนหนึ่ง เช่น...
มะเขือเทศ มีสารไลโคปืนในการต่อสู้กับรังสีอัลตร้าไวโอเลตและปกป้องผิวได้บ้าง ควรหุงต้มมะเขือเทศหรือกินซอสมะเขือเทศ และรับประทานร่วมกับไขมันก็จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลปืนได้ดียิ่งขึ้น
แครอต มีเบต้าแคโรทีนซึ่งจะช่วยป้องกันรังสียูวี และมีกรดโฟลิกที่จะช่วยสร้างเซลล์ผิวข้อแนะน้ำก็คือ ควรนึ่งแครอตและและเหยาะน้ำมันเล็กน้อยเพื่อช่วยในการดูดซึม

ข้อแนะนำจาก พญ.ประภาวรรณ เชาวะณิช
ครีมกันแดดปกป้องผิวได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องหลบแดดด้วย ถ้ามีอาการผิดปกติก็ต้องรีบไปพบแพทย์ คือถ้าพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก็จะง่ายต่อการรักษาเพราะคนไข้บางคนจะอาย ไม่ยอมมาตรวจหรือบางคนไม่แน่ใจ คิดว่าเป็นเม็ดสิว เป็นมานาน โตช้า จึงไม่สนใจควรต้องหมั่นมาตรวจเพราะพบมะเร็งผิวหนังมากขึ้นและพบในคนอายุน้อยลง ส่วนเรื่องสมุนไพรก็ควรเลือกที่มีมาตรฐานรับรอง ไม่ซื้อยาหม้อหรือยาต้มกินเองเพราะเราไม่รู้ว่ามีสายหนูหรือไม่

5 ปฏิบัติการ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง



5 ปฏิบัติการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง! (Lisa)
จะปีใหม่แล้วยิ่งต้องรักษาสุขภาพให้ดี เพราะถ้าไม่สบายขึ้นมาอดไปเที่ยววันหยุดกันพอดีนะ ฉบับนี้เราจึงเอาวิธี UP! ภูมิคุ้มกันในร่างกายมาฝากกันค่ะ
1.กินผักผลไม้เยอะ ๆ
ดร.ซาร์ลส์ สตีเวนสัน จาก University of California บอกว่า วิตามิน (โดยเฉพาะวิตามินเอและซี) และไฟโตเคมิคอลที่ทำให้ผลไม้มีสีสันสวยงามนั้น มีหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เขาเสริมว่า "สารอาหารเหล่านี้จะช่วยในการผลิตและกระจายเม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกาย เพื่อต่อต้านไวรัส แถมยังช่วยให้ Neutrophils และเซลล์ Macrophage ทำหน้าที่ผ่านแบคทีเรียแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
Check List : ในแต่ละวันให้กินผักผลไม้ 5-9 ส่วน โดยเลือกผักผลไม้สีต่าง ๆ กันออกไปทุกมื้อเพื่อเพิ่มความหลากหลายของวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ

2.อย่าลืมโปรตีนนะจ๊ะ
ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์นับไม่ถ้วน และส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์เหล่านี้ก็คือกรดอะมิโนนี่เอง ดังนั้น หากเราไม่บริโภคโปรตีนให้เพียงพอ ร่างกายจะไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาว เพื่อมาต่อสู้กับแอนติเจน (สิ่งแปลกปลอมนอกร่างกาย เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันได้) ดร.ซีมิน นิคบิน เมดานี ผช.ผอ.ของ Jean Mayer Human Nutrition Research Center on Aging ที่ Tufts University ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ กล่าวว่า "วิธีหนึ่งที่เซลล์ภูมิคุ้มกัน ต่อสู้กับเชื้อโรคคือการเพิ่มจำนวนเซลล์มากขึ้น ดังนั้น การเพิ่มจำนวนเซลล์ โปรตีน และกรดอะมิโนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก"
Check List : หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวจากเนื้อสัตว์ โดยเลือกโปรตีนไม่ติดมันอย่าง เนื้อปลา อาหารทะเล เป็ด ไก่ (ไม่ติดหนัง) ไข่ Lentils ถั่ว และผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง
3.กินไขมันซะบ้าง
ประเภทของไขมันที่รับประทานสำคัญพอ ๆ กับปริมาณ หากบริโภคไขมันแปรรูป (พบมากในมาร์การีนและสินค้าเบเกอร์ที่วางขายทั่วไป) จะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ระบบภูมิคุ้มกันของเราจึงง่วนอยู่กับการเสียหายของเซลล์ และเนื้อเยื่อที่อักเสบในจุดนั้น ๆ มากกว่าจะต่อสู้กับเชื้อโรค
Check List : จำกัดปริมาณแคลอรีที่ได้รับจากไขมันให้อยู่แค่ร้อยละ 30 เท่านั้น เป็นไขมันอิ่มตัวร้อยละ 5-10 ส่วนร้อยละ 20-25 ที่เหลือ เป็นไขมันไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก ถั่ว อะโวคาโด และเมล็ดพืชต่าง ๆ พร้อมกับกินกรดไขมันโอเมก้า -3 จากปลาไขมันสูงอย่างแซลมอน ปลาฮาลิบัต และปลาซาร์ดีน จะช่วยลดอาการอักเสบ
4.กินอย่างพอดี
ปริมาณแคลอรีต้องไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป เพราะมีหลักฐานชี้ให้เห็นว่าการอดอาหาร โรคอะนอเร็กเชีย หรือการขาดสารอาหารทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมลง และทำให้เราติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย แต่การได้รับแคลอรีมากไปจะส่งผลต่อการสร้างเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน นี่อาจเป็นเพราะว่าเมื่อเราได้รับแคลอรีมากเกินไป ร่างกายจะผลิตสารชนิดหนึ่งชื่อว่า Prostaglandin ซึ่งกดกระบวนการผลิต T-Cell และเมื่อ T-Cell ลดน้อยลง ก็จะเพิ่มโอกาสให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามายืดครองได้ง่ายขึ้น
Check List : ปกติแล้วน้ำหนักตัว 1 กก. จะต้องการประมาณ 35 แคลอรี ถ้าคุณหนัก 60 กก. ก็หมายความว่าคุณควรจะได้รับแคลอรีวันละ 2,100 แคลอรี นั่นเองค่ะ
5.ออกกำลังกายกันเถอะ
จำไว้ให้ขึ้นใจว่าระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ไม่เต็มที่ หากเราน้ำหนักเกินหรือมีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูงเกินไป การออกกำลังกายนี่เองคือหัวใจสำคัญของการเอาน้ำหนักส่วนเกินออกไป นอกจากนี้ การวิจัยจาก University of South Carolina ยังชี้ให้เห็นว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ มีโอกาสเป็นไข้หวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ถึงร้อยละ 25 ทั้ง ๆ ที่การออกกำลังกายเป็นแค่การเดินก้าวเร็ว ๆ เท่านั้น แต่การออกกำลังกายมากเกินไป จะทำให้ร่างกายหลั่งอะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันชั่วคราว
Tip อาหารว่างแบบคนรักสุขภาพ
ยามบ่ายคลายเครียด แทนที่จะดื่มกาแฟเปลี่ยนมาดื่มชาเขียวดีกว่า ใจเย็น ๆ แล้วแช่ถุงชาไว้สัก 3 นาที จะดึงเอาสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่า Catechin ออกมาได้มากที่สุด ถ้าไม่ชอบชา เราขอแนะนำโยเกิร์ตหรือนมเปรียวที่อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีชีวิต จะช่วยเร่งการผลิต T-Cell และชะล้างลำไส้ค่ะ

5 เคล็ดลับ กินผักผลไม้ให้มากขึ้น



5 เคล็ดลับ กินผักผลไม้ให้มากขึ้น (ชีวจิต)
ผักผลไม้คือสุดยอดอาหารสุขภาพ เชื่อไหมคะว่า พืชชนิดเดียวอาจประกอบด้วยสารอาหารที่เรียกว่า พฤกษเคมีหรือไฟโตเคมิคัล (phytochemical) หลายร้อยชนิดที่ช่วยเราต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ ที่จะทำให้รับประทานผักผลไม้ได้มากขึ้นค่ะ
กินผลไม้หลังอาหารมื้อเช้าทุกวัน ฝึกรับประทานผลไม้หลังอาหารมือเช้าให้เป็นนิสัย เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากสารอาหารแล้ว ยังช่วยเติมความสดชื่นสดใสได้ตลอดวันค่ะ
พยายามกินผักเพิ่มเป็น 2 เท่าทุกมื้อ แล้วลดอาหารประเภทแป้งหรือไขมันลง เมื่อทำจนเป็นนิสัยก็สามารถกินผักได้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ
ใส่ผักผลไม้ลงไปในส่วนผสมหนึ่งของอาหาร อาหารหลายชนิดสามารถใส่ผัก หรือผลไม้หลายอย่าง ลองดัดแปลงทำดู ก็จะได้อาหารจานอร่อยที่มีคุณค่าอาหารสูง
ลองผักผลไม้ใหม่ ๆ ลองรับประทานผักและผลไม้ชนิดใหม่ที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน รสชาติที่แปลกใหม่จะช่วยให้อยากรับประทานและมีตัวเลือกมากขึ้น
กินสแน็คผลไม้ สแน็คผัก ผลไม้ ไทย ๆ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้รับคุณค่าจากผัก ผลไม้มากขึ้น ที่สำคัญ ไม่ทำให้อ้วนด้วย

กินกล้วยต้านโรค



กินกล้วยต้านโรค (Lisa)

กล้วย มีกำเนิดอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงได้หลายพันปี หลายปีมาแล้ว เชื่อกันว่ากล้วยเป็นผลไม้ชนิดแรกที่คนปลูก เพื่อเป็นอาหาร ประเทศไทยเราชื่อแน่ว่าปลูกกล้วยกินมานานมากแล้ว จดหมายในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 300 กว่าปีมาแล้วก็กล่าวถึงเรื่องของกล้วย และยังมีผู้สำรวจและกล่าวว่ากล้วยหลาย 10 พันธุ์มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่คนไทยกลับนิยมกินกล้วยกินน้อยมาก บางคนดูถูกด้วยซ้ำว่าเป็นผลไม้ของคนยาก เนื่องจากราคาถูก จึงถูกจัดให้เป็นผลไม้เกรดต่ำ นำมาขึ้นโต๊ะรับแขกไม่ได้ แขกจะถูกแย่ว่าเลี้ยงกล้วย ต้องไปหาผลไม้แพงๆ ซึ่งความจริงผลไม้ไทยๆ อย่างกล้วยนี้ สุดยอดวิตามินเชียวล่ะ

กินกล้วย-ต้านโรค


ฟังดูชื่อเรื่อง บางคนอาจจะคิดว่า เกินเลยความจริงไปมั้ง


จริง ๆ แล้ว ไม่เกินเลยความจริงเลย กล้วยผลไม้ไทย ๆ ของเรานี่แหละใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค และยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ คือมีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย ทางการแพทย์จึงได้เลือกให้กล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหารเสริมในวัยทารก


น้ำตาลที่เกิดขึ้นจากขบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้ง ขณะที่กล้วยสุกก็มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อกล้วยตกไปถึงลำไส้จะทำให้ลำไส้มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้แคลเซียมถูกดูดซึมง่ายและสมบูรณ์ขึ้น จึงนับว่าน้ำตาลในกล้วยมีคุณค่ากว่าน้ำตาลที่ได้จากธัญพืชอื่น ๆ


สารอาหารโปรตีนที่มีอยู่ในกล้วยน้ำว้า เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับเราอยู่หลายชนิด โดยเฉพาะมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า อาร์จินิน และ ฮีสติดีน ซึ่งกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก


นอกจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ในกล้วยแต่ละชนิดยังมีไขมันแม้จะอยู่ในปริมาณที่น้อยก็ตาม


กล้วยแต่ละชนิดจะให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ในปริมาณที่แตกต่างกัน จะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนจากตาราง โดยเปรียบเทียบจากเนื้อกล้วยในปริมาณ 100 กรัม เท่าๆ กัน


ส่วนวิตามินนั้น มองดูผิวเผิน กล้วยแต่ละชนิดสีขาวๆ ทั้งนั้นไม่น่าจะให้วิตามินเอเลย แต่ในกล้วยก็มีวิตามินเออยู่ด้วย แม้จะไม่มากเท่าวิตามินเอที่ได้จากมะละกอหรือมะม่วงสุก แต่ก็มีวิตามินเอมากกว่าผลไม้อีกหลาย ๆ ชนิด เช่น ชมพู่ ส้มโอ น้อยหน่า เป็นต้น ในบรรดากล้วยทุกชนิดนั้น กล้วยน้ำว้าจะมีวิตามินเอมากกว่าเพื่อน สำหรับวิตามินตัวอื่น กล้วยก็มีอยู่ครบทุกชนิดเช่นกัน ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอะซิน


เกลือแร่สำคัญ ๆ ที่มีอยู่ในกล้วยก็คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก


เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้อื่น ๆ แล้ว กล้วยนับเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัส หรือเหล็กก็ตาม กล้วยทุกชนิดมีแร่ธาตุมากกว่าผลไม้ชนิดต่าง ๆ ดังนี้


มีธาตุเหล็กมากกว่าแตงโม พุทรา ระกำ ลำไย ลิ้นจี่ แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ


มีแคลเซียมมากกว่าชมพู่ มะเฟือง มะไฟ มะยม มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย ฯลฯ


มีฟอสฟอรัสมากกว่าลูกเงาะ ชมพู่ แตงไทย แตงโม มะเฟือง มะม่วง มังคุด ระกำ ละมุด แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ


ปริมาณสารอาหารที่ได้รับจากเนื้อกล้วย 100 กรัม



หมายเหตุ
จากตารางแสดงคุณค่าอาหารไทย ของกองโภชนาการ กรมอนามัย กรมอนามัย กรกฎาคม 2530





จากตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยของกองโภชนาการ กรมอนามัย กรกฎาคม 2530

ปริมาณวิตามินในเนื้อกล้วย 100 กรัม





จากตารางแสดงคุณค่าอาหารไทย ของกองโภชนาการ กรมอนามัย กรกฎาคม 2530
(คัดลอกข้อมูลจาก กินต้านโรค โดย พรพรรณ รพี)

ระวัง....โรค "กระดูกสันหลังคด"

Scoliosis คือ โรคกระดูกสันหลังคด

กระดูกสันหลังมีหน้าที่รับน้ำหนักและช่วยพยุงร่างกายให้สามารถตั้งตรงได้ ในคนปกติหากมองจากด้านหลังจะเห็นกระดูกสันหลังเป็นแนวเส้นตรง แต่ในคนที่เป็นโรคกระดูกสันหลังคด เมื่อมองจากด้านหลังจะเห็นแนวกระดูกโค้งไปทางซ้ายหรือขวา ไม่เป็นเส้นตรงเหมือนคนปกติ โรคกระดูกสันหลังคดพบประมาณ 2-3 % ของประชากร พบได้เท่ากันในผู้ชายและผู้หญิง แต่ผู้หญิงมักจะมีการคดงอของกระดูกมากกว่าผู้ชาย โรคกระดูกสันหลังคดเกิดได้ในทุกอายุ พบได้ตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากมักเกิดในช่วงที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกอย่างรวดเร็ว คืออายุประมาณ 10-15 ปี



สาเหตุ โรคกระดูกสันหลังคด


ผู้ป่วย 85% ไม่ทราบสาเหตุ มีเพียงส่วนน้อยที่ทราบสาเหตุ เช่น กระดูกสันหลังคดจากขาที่ยาวไม่เท่ากัน กระดูกสันหลังคดจากสมองพิการ หรือเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นต้น

อาการ โรคกระดูกสันหลังคด

อาการในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกัน ขึ้นกับว่ากระดูกคดเป็นมุมมากน้อยเพียงใด อาการต่างๆที่พบได้มีดังนี้

- การเดินผิดปกติ
- ไหล่หรือสะโพก 2 ข้าง สูงไม่เท่ากัน
- ปวดหลัง
- มีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติเวลาออกแรงหรือทำกิจกรรมต่างๆ

การตรวจ โรคกระดูกสันหลังคด

แพทย์จะตรวจกระดูกสันหลังของผู้ป่วยในท่ายืน โดยให้ผู้ป่วยก้มตัว เอานิ้วแตะปลายเท้าตัวเอง ในท่านี้แพทย์จะเห็นลักษณะความผิดปกติของแผ่นหลังได้ชัดเจนมากขึ้น การตรวจเพิ่มเติมด้วย x-ray มีประโยชน์ในการช่วยวัดมุม และช่วยติดตามการดำเนินไปของโรคว่าแย่ลงหรือไม่

การรักษา โรคกระดูกสันหลังคด

การรักษาขึ้นกับมุมการคด การเปลี่ยนแปลงของมุม และอายุของผู้ป่วย

- มุมการคดน้อยกว่า 25 องศา : ยังไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาใดๆ ให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของมุม ทุก 4-6 เดือน

- มุมการคดมากกว่า 25 องศา : รักษาโดยการใส่เสื้อเกราะ(Brace) เสื้อเกราะเป็นอุปกรณ์ค้ำจุน เพิ่มความแข็งแรง ช่วยป้องกันหรือชะลอไม่ให้มุมการคดมีการเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิม

- มุมการคดมากกว่า 45 องศา : อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อจัดแนวกระดูกสันหลังใหม่ การผ่าตัดนี้ใช้หลักการเดียวกับการรักษากระดูกหักคือการใช้โลหะช่วยดามกระดูกสันหลังให้ตรง

แพทย์ทางเลือก

สำหรับการรักษาด้วยวิธีอื่น ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยรับรองว่าประสบผลสำเร็จ

- Chiropractic manipulation
- Electrical stimulation of muscles
- Biofeedback

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ เสื้อเกราะ

- เสื้อเกราะช่วยป้องกันไม่ให้มีการคดมากขึ้น แต่มักไม่ช่วยแก้ไข้การคดให้กลับมาเป็นปกติ

- ควรใส่เสื้อเกราะเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ

- เริ่มแรกอาจใส่เสื้อเกราะนานวันละ 2-3 ชั่วโมง บางรายอาจต้องใส่ตลอดวัน ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์

- อายุของผู้ป่วยมีความสัมพันธ์กับการดำเนินไปของโรค โดยพบว่า เมื่อกระดูกของผู้ป่วยหยุดการเจริญเติบโตเมื่อใด การเปลี่ยนแปลงของมุมการคดมักจะหยุดตาม ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยสามารถเลิกใส่เสื้อเกราะได้เมื่อแพทย์เห็นว่าผู้ป่วยไม่มีการเจริญเติบโตของกระดูกอีกต่อไป

- เสื้อเกราะไม่ใช้รักษาโรคกระดูกสันหลังคดในผู้ใหญ่

- ระหว่างใส่เสื้อเกราะ ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตได้ตามปกติ เช่น เล่นดนตรี เล่นกีฬา เป็นต้น

- เสื้อเกราะจะถูกสวมใส่ไว้ด้านใน และเสื้อผ้าปกติจะถูกใส่ทับด้านนอกเสื้อเกราะ ดังนั้นผู้ป่วยควรเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อความสบายตัว เสื้อชั้นในควรเป็นผ้าฝ้าย 100% ไม่มีตะเข็บ ไม่มีรอยจีบย่น และพอดีตัว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเสียดสีกับผิวหนัง ซึ่งทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้

ทำไมสีม่วง ถึงเป็นสีของเพศที่ 3


ทำไมสีม่วง ถึงเป็นสีของเพศที่ 3 ' สีม่วงเป็นสี 2 วรรณะ คือเป็นได้ทั้งร้อนและเย็น

สีม่วงเป็นสีที่บอกถึงความไม่แน่นอน เป็นสีที่ให้ควารู้สึกเศร้าและร่าเริงได้ในสีเดียวกัน
นอกจากเกย์ใช้สี ม่วง แล้วสีม่วงก็เป็นสีแม่ม้ายด้วย '

'ว่าด้วยสีม่วงมีการใช้แทนชายรักร่วมเพศ มาตั้งกะตอนสมัยอีตาฮิตเลอร์
พวกนาซีใช้ สีม่วงในการติดเป็นสัญลักษณ์ของชายรักร่วมเพศในค่ายกักกัน
ส่วน กลุ่มอื่นๆอย่างชาวอารยัน ยิว ก็ใช้สีอื่นๆไปอีก เพื่อแบ่งหมวดหมู่
สี ม่วงเริ่มใช้กันแพ่หลายมากขึ้นในยุค'60 ซึ่งมีเหตุการณ์สโตนวอลล์*

(*เหตุการณ์ที่ตำรวจบุกเข้าไปในบาร์เกย์แล้วทำร้ายทอมคนหนึ่งเข้า
ทำให้ชาวเพศที่3ไม่พอใจ ออกมาเรียกร้องจนได้รับชัยชนะที่สุด)

แล้วสีม่วงก็มาฮิตจริงๆในช่วงยุค'80 ทั้งในหมู่เกย์และคนทั่วไป
ซึ่งใครได้เห็นสีม่วงเนี่ย ร้องอ๋อ...กันเลย
ว่า เป็นสีของชาวโฮโมเซ็กชวลแน่นอน

ความหมายของสีม่วง

' สีม่วง เป็นสีที่ผสมระหว่างสีน้ำเงินและสีแดง โดยปกติสีจะมีอยู่สองโทน คือ สีโทนร้อน
และ สีโทนเย็น แต่สีม่วงเป็นสีที่อยู่ตรงกลางระหว่าง สีโทนร้อน และ สีโทนเย็น
ซึ่งนอก จากสีม่วงแล้วยังมีสีเหลืองอีกสีหนึ่งที่มีลักษณะดังกล่าว
จึงสามารถ เลือกใช้สีม่วงเข้าไปผสมผสานได้กับสีทั้งสองโทน

สัญลักษณ์

สี ม่วง เป็นสีแทนสัญลักษณ์ของความลึกลับ

เป็นสัญลักษณ์สีของวันเสาร์ และดาวเสาร์

เป็นสัญลักษณ์ของบาปอัตตา ... '

ประโยคปวดใจยอดฮิต ใครเคยเจอแบบไหนกันมาบ้าง

ประโยคปวดใจยอดฮิต ใครเคยเจอแบบไหนกันมาบ้าง


1." เราต่างกันเกินไป"

( แหม!!!ประโยคนี้อยากถามกลับว่าแล้ว...มาจากดาวไหนล่ะ ?)

2." เราไปด้วยกันไม่ได้หรอก"

(แล้วไมเมื่อก่อนไปด้วยกันมาได้ตั้งนานสองนาน.......

ถึงเวลานี้ไปด้วยกันไม่ได้แ ล้วซะงั้น)

3." ยังมีคนอื่นที่ดีกว่าฉันนะ"

(เป็นคนดีมาตั้งนมตั้งนาน..มาถึงตอนนี้...อยากเป็นคนเลวเอาดื้อๆเลยนะ)

4." เธอยังไม่ใช่"

(แต่ก่อนหน้านี้...บอกว่ากรูใช่ที่สุด....กรูจำได้)

5." เธอไม่ใช่คนนั้น"

(อืม....แต่เมื่อก่อนกรูเคยเป็นคนนั้นนะ....)

6." ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะ"

(ไม่ต้องก้อได้.....แค่เอาทุกสิ่งทุกอย่างมาคืนกรูก้อพอ)

7."ฉันอยากมีพี่ชาย( น้องสาว)"

(แต่กรูไม่ได้อยากได้น้องสาว)

8." ฉันชอบเธอแบบพี่ชาย(น้องสาว) มากกว่า"

(งั้นกรูคงเป็นพี่ชายคนที่ 8 ,9,10 ฯลฯ ของ...)

9." มันสายไปแล้วล่ะ"

(กรูว่ามันบ่ายแล้ว)

10." เราจบกันแค่นี้นะ"

(อ้าว! แค่นี้แค่ไหนวะ)

11." เธอเป็นคนดีเกินไป"

(คือ....จะบอกกรูว่า ...ชอบคนเลวว่างั้นเถอะ ด้ายยยเชิญ..)

12." เธอก็น่าจะรู้"

(กรูไม่ได้มีพลังจิตอ่านใจคนได้นี่)

13." เธอไม่เข้าใจฉัน"

(ไหนเมื่อก่อนบอกกรูเป็นคนที่เข้าใจ...ที่สุดไง)

14." เราเป็นแค่เพื่อนกันดีกว่านะ"

(เพื่อนมีเยอะแล้ว.....เพื่อนมีเยอะแล้วโว๊ย)

15." เธอตัดใจซะเถอะ"

(ตัดใจ....แม่งทำง่ายๆก้อดีสิ)

16." เราเหมือนเส้นขนานกันนะ"

(เส้นขนานอย่างน้อยก็ไปด้วยกันได้)

17." นึกถึงความจริงบ้างซิ"

( แล้วนี่กรูฝันอยู่รึไงวะ)

ภาษาเหนือ...ที่แตกต่าง

ใครว่าคนเหนือพูดช้า บ่ใช่ละ คนเมียงอู้โวยจะตาย (คนเหนือพูดไวหรอก)


ที่เห็นว่า คนเหนือจะพูด เจ้า ช้าๆ เป็น จ้าวว นั้น เป็นเผื่อการ ทำให้สำเนียงดูเพราะขึ้น ต่างหากละ ลองจับคนเหนือมาคุยกันสิ ยิ่งตอนเถียงกัน คุณจะยิ่ง งง และบอกว่า มันคุยอะไรกันฟร่ะ

ภาษาเหนือบ่ใช่มีสำเนียงเดียว

จังหวัดที่ใช้ภาษาเหนือจริงๆ มีอยู่แค่ไม่กี่จังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่ เป็นต้น และในแต่ละจังหวัด สำเนียงก็แตกต่างกันออกไป(บ่ใช่คนเมียง แยกบ่ใช่ออกหรอก) อาจมีบางจังหวัดที่เหมือนกัน ข้อแตกต่างนี้ ยกตัวอย่างได้จาก จังหวัด เชียงใหม่ กับ ลำปาง(บ้านผมเอง) คนเจียงใหม่ จะพูด สำเนียงอ่อนๆ หวานๆ ช้านิดหน่อย แต่ลำปาง จะพูด รวดเร็ว สำเนียงหนักแน่น จนมี ประโยคหนึ่งออกมา “เจียงใหม่บาง ลำปางหนา” **เสริมหน่อย ถ้าคุณเจอคนเหนือ ที่ชอบพูดลงท้ายด้วยหนา น่านแหละ คนลำปาง

คำไทย คำเมือง บางคำ เปลี่ยนแค่ ตัวอักษร

ถ้าคุณ ต้องการแปล ภาษาเหนือ เป็นภาษาไทย คำบางคำ นั้นแปลง่ายมาก แถมยังใช้เป็นหลักในการแปล ไปแปลคำอื่นได้อีกด้วย หลักการจากที่สังเกตมาครับ

จ ในภาษาเหนือ จะเทียบได้กับ ช หรือ ฉ ในภาษาไทย(แต่ไม่ทุกคำ) เช่น

จาด = ชาติ, จ่วย=ช่วย, แจะ=แฉะ, ใจ่=ใช่ เป็นต้น

ฮ ในภาษาเหนือ จะเทียบได้กับ ร ในภาษาไทย(ไม่ทุกคำ) เช่น

ฮัก=รัก, ฮู้=รู้, ฮ้อง=ร้อง, ฮับ=รับ แฮง=แรง, เฮา=เรา เป็นต้น

ต ในภาษาเหนือ จะเทียบได้กับ ท ในภาษาไทย(ไม่ทุกคำ) เช่น

ตี่=ที่, ต่า=ท่า, แต้=แท้ ตุก=ทุกข์ เตียน=เทียน เป็นต้น

คำเฉพาะ ของ เพศ ของภาษาเหนือ

ในภาษาเหนือ ผู้หญิง ผู้ชาย จะมีคำลงท้าย ที่บอกลักษณะเพศ อยู่ สองคำ

คือ “บะ” ผู้ชายใช้ “อิ” ผู้หญิงใช้ เช่น

ชาย “วันนี้คิงจะไปแอ่วไหนบะ”(วันนี้...จะไปเที่ยวไหน) หรือ “คิงไปไกลๆteenฮาเลยหนาบะ”(...ไปไกลๆteenกูเลยนะ)

หญิง “แห่นแต๊อิ”(ร่านจริงๆนะ) หรือ “ฮาก็ว่าจะอั้นเนอะอิ” (กรูก็ว่าอย่างนั้นแหละ)…ยกตัวอย่างแรงไปไหมตู

คำสรรพนาม ของภาษาเหนือ

ภาษาเหนือ ก็มีความสรรพนาม ที่เป็นทั้งคำแบบหยาบคาย แหละสุภาพ เหมือนกับ ภาษาไทย

สรรพนามแบบสุภาพ เปิ้น=ฉัน, ตัว=เธอ, เฮา=เรา, เปิ้น=เขา(บุคคลที่สาม คำเหมือนกับ เปิ้นที่แปลว่า เรา จะแยกแยะ ของคำนี้ ออก ต้องดูจากเหตุการณ์)

สรรพนามแบบหยาบคาย (ซึ่งคนไทยดูว่ามันไม่หยาบเลย) ฮา=กู, คิง=...

เพิ่มเติม สรรพนามแบบบ้านๆ

สู หรือ หมู่สู=พวกเธอ อะไรประมาณนี้

สุดท้ายละ เป็นคำที่ ประกอบประโยค (ขำๆนะ)

ประโยค คำถาม เช่นคำว่า ไหม=บ๋อ เช่น

“เฮามาเป็นแฟนกันบ๋อ” (เรามาเป็นแฟนกันไหม)

คำว่า ก๊ะ,อิ๊,แหล๊=หรอ เช่น

“บ่าวอกนั้นอู้จะอั้นแต๊ก๊ะ” (ไอ้ลิงนั้นมันพูดอย่างนั้นจริงๆหรอ)

A: “ตะวาฮาไปกินเค้กร้านนั้นมาเอ๊ะ จ้าดลำเลยบะเฮ้ย”

B: “อิ๊”

แปล

A:”เมื่อวานกรูไปกินเค้กร้านนั้นมา อร่อยโครตๆเลยว่ะ”

B: “หรอ” (ออกแนวไม่เชื่อ หรือประชด อ่ะนะ)

A: “หมู่สูๆ เจื่อก่อ แถวบ้านฮาหนา มีโต๊กโตหลวง แปงฮางอยู่บนเก๊าลำไยเอ๊ วันนั้นฮาไปป๊ะใส่ มันกำลังกินงูเขียวเอ๊ะสู”

B: “แหล๊.......”

แปล

A: “พวกเธอๆ เชื่อไหม แถวบ้านกูอ่ะ มีตุ๊กแกตัวใหญ่ ทำรังอยู่บนต้นลำใยอ่ะ วันนั้นกู ไปเจอเข้า มันกำลังกินงูเขียวแหละพวกเธอ”

B: “หรออออ” (ท่านหารู้ไม่ว่า การตอบแบบนี้ เป็นเชิง บอกว่า ตอแxล ด้วยแหละ เหอะๆ)