25 ก.ย. 2553
เทรนด์กล้อง-มือถือ-ทีวี ปี 2010 แบบไหนจะมา รุ่นไหนกำลังเอาต
ถ้าอยากรู้ว่ากล้องแบบไหนกำลังมาแรง มือถือรุ่นไหนกำลังเอาต์จากตลาด ผลสำรวจจาก
GFK บริษัทวิจัยตลาดค้าปลีกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไอที และโทรคมนาคม
ล่าสุดของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีคำตอบ
*แอลซีดีสดใส-บลูเรย์ดาวรุ่ง*
คนยุคใหม่ที่ต้องการสนุกกับชีวิต แบบ Work Hard Play hard
ทำให้ความบันเทิงในบ้านคือสิ่งจำเป็น
ส่งผลให้ตลาดรวมของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบด้วย Audio
หรือเครื่องเสียงในบ้าน เครื่องเล่นเพลงพกพา และในรถยนต์ และ Visual
หรืออุปกรณ์แสดงภาพ ซึ่งมีทีวี ดีวีดี เครื่องอัดวิดีโอ ในปี 2010 มีมูลค่าถึง
42,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีที่แล้ว
ตลาด Visual Product ยังคงเติบโต
โดยทีวีสีจอแบนเป็นตัวขับเคลื่อนซึ่งมีมูลค่าตลาด 85% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
โดยเครื่องเล่นดีวีดี Blu-ray เป็นของเล่นเพื่อความบันเทิงในบ้านที่น่าจับตา
ขณะที่ตลาด Audio มีแนวโน้มมูลค่าตลาดลดลง
เพราะคนเริ่มมองหาความคุ้มค่าในการหาความบันเทิง และเลือกทีวีมากกว่า
ขณะเดียวกันกลุ่มเอ็มพี 3 -4 ยังถูกแย่งตลาดจากมิวสิกโฟน
กลุ่มทีวี มีไฮไลต์คือผู้บริโภคยังคงมีแนวโน้มโละทีวีแบบเก่า (CRT-TV)
มาเป็นทีวีจอแบน ทั้งแอลซีดี แอลอีดี และพลาสม่า ที่มีราคาลดลงเรื่อยๆ
และดีไซน์สวยขึ้น ตลาดยังคงเป็นผู้ผลิตสร้างดีมานด์ให้ผู้บริโภค
ด้วยการผลิตทีวีให้เข้าถึงทุกเซ็กเมนต์ โดยแอลซีดียังครองตลาดส่วนใหญ่อยู่ 36%
แต่แอลอีดีก็มีแนวโน้มเติบโตดี
ทั้งที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นแม้จะมีส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 2% ก็ตาม
ส่วนพลาสม่ายังได้เปรียบเรื่องราคา ถูกกว่าแอลซีดี
จึงเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อน้อยกว่า โดยคาดว่าตลาดแอลซีดีจะมีถึง
1.2 ล้านเครื่อง แอลอีดี 80,000 เครื่อง พลาสม่า 170,000 เครื่อง
*แอลซีดี 40 นิ้วเบียด 32 นิ้ว*
ขนาดทีวีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในไตรมาส 2 ปี 2010 คือแอลซีดีขนาด 30-33
นิ้ว ส่วนที่น้อยที่สุดคือขนาดน้อยกว่าหรือ 20 นิ้ว
แต่จอที่ใหญ่ขึ้นทั้งแอลซีดีและพลาสม่า ขนาดมากกว่า 40 นิ้ว
เติบโตเพราะมหกรรมฟุตบอลโลกที่ผ่านมา และจากแคมเปญลดราคาจากซื้อ 1 แถม 1
และร่วมโปรโมชั่นผ่อนกับเครดิตการ์ดจะทำให้จอขนาด 40 นิ้วมียอดขายมากขึ้น
ในด้านราคาที่ลดลง เกิดขึ้นเพราะผู้บริโภคเน้นความต้องการโดยเลือกขนาดจอ
แต่ผู้ผลิตพยายามทำตลาดทีวีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้แอลซีดีและพลาสม่า ขนาด 40-42
นิ้ว ในไตรมาส 2 ปี 2010 ราคาลดลงจากไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ประมาณ 20% อยู่ที่
27,135 บาท และ 20,801 บาท จอขนาด 50 นิ้ว ลดลง 25%
สำหรับกลุ่มเครื่องดีวีดีมีแนวโน้มยอดขายลดลง เพราะมีการนำเข้าในราคาถูกลง
ขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มเน้นเครื่องเล่น Blu-ray ที่กำลงเติบโต
เพราะผู้ผลิตเริ่มปรับราคาลงมา และแถมกับทีวี จากไตรมาส 3 ปี 2009
ราคาเคยอยู่ที่ 15,894 บาท มาไตรมาส 2 ปี 2010 ราคาหล่นมาที่ 8,654 บาท
*กล้องเปลี่ยนเลนส์มาแรง*
ชีวิตพกกล้องมีให้เห็นตั้งแต่ไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นไปจนถึงผู้บริหารองค์กรต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกระแสอวดรูป และคอมเมนต์ทางออนไลน์
ผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค GFK คาดว่าตลาดกล้องดิจิตอลจำนวนจะเติบโต 13% ในปี 2010
ส่วนมูลค่าอยู่ที่ 6% แต่ที่น่าจับตา คือยุคนี้ต้องเล่นกล้อง DSLR
ที่คาดว่าจะโตถึง 28% คาดว่าจะทำยอดขายได้ถึง 73,000 ตัวเพราะแบรนด์ใหญ่ๆ
ทำตลาดมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่มือโปรลงมาเล่นเท่านั้น แต่คนทั่วไปก็สนใจ
โดยการแข่งขันของผู้ผลิตเริ่มเล่นในเรื่องของสีเพื่อดึงกลุ่มเป้าหมาย
ที่เห็นชัดเช่น เพนแท็กซ์ k-x
ต้องจับตากล้อง MirrorLessซึ่งเป็นกล้องคอมแพคที่เปลี่ยนเลนส์ได้ก็มาแรง
ที่เริ่มจากโอลิมปัส พานาโซนิค และตามด้วย ซัมซุง ริโค โซนี่ แคนอน และนิคอน
จะตามมาในปี 2011 ซึ่งคาดว่าในปีหน้าตลาดนี้จะมียอดขายประมาณ 12,000 ตัว
สตนลีย์ คี ผู้อำนวยการเชิงพาณิชย์ระดับภูมิภาค GFK Asia บอกว่า
กล้องคอมแพคที่เปลี่ยนเลนส์ได้กำลังมีอนาคตสดใส
ส่วนDSLRที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้แม้ว่าราคาเริ่มลดลงและยอดขายเติบโต
แต่ยังติดปัญหาเรื่องของการใช้งานที่ค่อนข้างยาก
เมื่อคอมแพคที่เปลี่ยนเลนส์ได้สามารถซูมได้มากขึ้น มีความสามารถมากขึ้น
จึงเป็นส่วนสำคัญในตลาดกล้องต่อไป
"ในอีก12เดือนข้างหน้านี้จะเห็นตลาดเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
และจะมาแทนกล้องคอมแพคธรรมดาเช่นเดียวกับมือถือแบบธรมมดาจะลดลงและสามร์ทโฟนมาแทนมากขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาตลาดและราคาที่ไม่แพงมากและเราคิดว่าน่าจะทำตลาดได้ดี"
กราฟิกในพาวเวอร์พอยท์แผ่นที่ 15 4 Figure 14: (Total Market Demand of Digital
Still Camera.) ส่วนแบ่งตลาดประเภทกล้องดิจิตอล
*10 ไม่พอต้อง 14 ล้านพิกเซล*
สำหรับแนวโน้มคุณสมบัติความละเอียดภาพ กำลังมุ่งไปที่ 12 MP (ล้านพิกเซล)
ด้วยส่วนแบ่ง 57% แทนที่ส่วนใหญ่ที่ 10 MP แต่ที่ต้องจับตาคือ 14 MP
ที่คาดว่าในปี 2011 จะเป็นขนาดที่ลูกค้ากล้องส่วนใหญ่ต้องการ
สำหรับราคากล้องที่ผู้บริโภคนิยมซื้อคือต่ำกว่า 5,000 บาท มีถึง 56% ของตลาด
ส่วนการแข่งขันแบรนด์ใหญ่ๆ จะเน้นไปที่ตลาดกลาง โดยรักษาระดับราคาไว้ที่
5,000-10,000 บาท ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 29%
GFK สรุปว่าราคาเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดกล้องดิจิตอล
ที่ถูกลงจนสามารถขับเคลื่อนการเติบโตจากกลุ่มแมสที่แม้จะเริ่มอิ่มตัว
แต่ตลาดรวมยังเติบโตเพราะแบรนด์ต่างๆ พยายามเพิ่มเทคโนโลยี
ฟีเจอร์และความต่างจากคู่แข่งให้มากที่สุด
ส่วนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอยู่บันพื้นฐานจาก 3 ปัจจัยอันดับแรกราคา
แบรนด์ และฟีเจอร์
*มือถือไทยทะลุ 10.9 ล้านเครื่อง 3 พันบาท ตลาดใหญ่สุด*
GFK คาดว่าปี 2010 โทรศัพท์มือถือจะมียอดขาย 10.9 ล้านเครื่อง
หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2009 7% เป็นสมาร์ทโฟน 760,000 เครื่อง และปี 2011 จะสูงถึง
12 ล้านเครื่อง เป็นสมาร์ทโฟน 920,000 เครื่อง
แม้แบรนด์ใหญ่ก็ยังคงครองตลาด แต่แบรนด์ในประเทศ หรือเฮาส์แบรนด์ในไทย
จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น เพราะราคาถูก และบริหารช่องทางจำหน่ายได้ดีในต่างจังหวัด
แนวโน้มที่เห็นชัดคือ โนเกีย ซัมซุง แอลจี โซนี่ อิริคสัน ต่างเปิดตัวรุ่นใหม่
โดยเน้นไปที่กลุ่มล่างถึงกลาง ด้วยกลยุทธ์ราคา และฟีเจอร์เพียบ
ขณะที่เฮาส์แบรนด์ อย่าง ไอ-โมบาย เวลคอม และจีเนท ต่างแข่งตลาดล่าง
ด้วยฟีเจอร์มากมาย ที่ต้องมีคือสองซิม ดูทีวี วิทยุ กล้อง ทัชสกรีน
ด้วยราคาอยู่ที่ 3,000-4,000 บาท
กลุ่มของฟีเจอร์ทีวีนั้น 3 ไตรมาสที่ผ่านมามีส่วนแบ่ง 15% ผู้เล่นหลักๆ
คือไอ-โมบาย จีเนท เวลคอม ในปีนี้ผู้เล่นระดับบิ๊กอย่างซัมซุง
ก็โดดลงมาด้วยซัมซุงสตาร์ทีวี และวันทีวี
สำหรับราคาที่ลูกค้านิยมมากที่สุดคือต่ำกว่า 3,000 บาท ที่ 3
ไตรมาสที่ผ่านมาได้ส่วนแบ่ง 60% ของตลาด โมเดลที่ได้รับความนิยมในระดับนี้คือ
โนเกีย 1202 1661 ซัมซุง E250 แอลจี KP 105 ส่วนราคาสูงกว่า 1 หมื่นบาท มีแค่
8% ในตลาด ส่วนสมาร์ทโฟนที่นิยมคือต่ำกว่า 5,000 บาท มีโนเกีย 5233
ที่เป็นที่นิยม
แนวโน้มที่สำคัญคือการแข่งขันจะรุนแรงขึ้น เมื่อ 3G เป็นจริง
มีการติดตั้งเครือข่ายสำเร็จ GFK
มองว่าจะยิ่งทำให้การดูทีวีผ่านมือถือยิ่งเพิ่มขึ้น
เพราะเครือข่ายมือถือส่งสัญญาณเร็วขึ้น ไม่ใช่แค่ดูทีวี ยังดูวิดีโอ
เอชดีได้อีกด้วย
ในกลุ่มสมาร์ทโฟนนั้น เทรนด์ของคนถือสมาร์ทโฟนคือใช้ต่ออินเทอร์เน็ต
เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัว จากความสามารถของระบบปฏิบัติ
ทำให้เจ้าของสมาร์ทโฟนใช้ในเรื่องงานและแสดงความเป็นตัวของตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน
ผลวิจัยของ GFK ระบุว่าซิมเบียนของโนเกียครองส่วนแบ่งมากสุดคือ 6% บีบี 1%
เท่ากับวินโดวส์โมบายล์ แอนดรอยด์ และไอโฟน
อนาคต อีเมลบนโมบายล์ ส่งข้อความ และโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้สมาร์ทโฟนเป็นที่ต้องการต่อเนื่อง
โดยผู้ที่จะสำเร็จในธุรกิจนี้คือสามารถเชื่อมต่อโปรดักต์ และบริการได้
โดยทั้งตัวเครื่อง ตัวธุรกิจใหม่ๆ จากความสามารถของสมาร์ทโฟน
โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค คือแม่เหล็กสำคัญที่จะถึงกลุ่มเป้าหมายได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น