9 ม.ค. 2551

เหตุทำร้ายร่างกายภายในห้างหรูกลางกรุง

วันที่ 20 ธันวาคม 2550

ดิฉันมีเรื่องนำแจ้งเกี่ยวกับภัยในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นจริงกับตัวดิฉันและผู้เสียหายอีกท่านซึ่งเป็นนายแพทย์ศัลยกรรมสมอง โรงพยาบาลรัฐบาลชื่อดังใจกลางเมือง เพื่อรบกวนสื่อมวลชนได้นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อเตือนภัยให้เพื่อนท่านอื่นๆได้มีความระมัดระวังภัยคุกคามจากบุคคลอันตรายต่างชาติรายนี้

เหตุเกิดประมาณเวลา 13.00น.เศษของวันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2550 ที่ชั้น 7 บริเวณ Food Loft ภายในห้างสรรพสินค้า Zen Central World ขณะที่ดิฉันกำลังสั่งอาหารจากร้าน Gianni ได้มีชายผิวขาว ลักษณะเป็นชาวจีน แต่งกายแบบนักท่องเที่ยวคือนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบและสะพายกระเป๋าพาดเฉียงไหล่ รูปร่างกำยำ (ซึ่งต่อมาภายหลังทราบว่าเป็นชาวสิงคโปร์ที่อาศัยและทำงานอยู่ในเมืองไทยเนื่องจากมี Work Permitและใบขับขี่ในประเทศไทย และอ้างว่าเคยเป็นครูสอนออกกำลังกายอยู่ที่ฟิตเนสชื่อดัง)ได้เดินตรงมาที่ดิฉันและไออย่างแรงใส่หน้า พร้อมทั้งจ้องแบบหาเรื่องไม่พอใจ หลังจากนั้นดิฉันได้เดินไปซื้อน้ำ ชายดังกล่าวได้เข้ามายืนข้างๆและไอแบบขากเสลดใส่หน้าดิฉัน และยังขึ้นมากระทืบเท้าของดิฉันจนเกิดบาดแผล ดิฉันจึงถามว่ามาเหยียบเท้าทำไม เขาตอบเป็นภาษาไทยว่า”จะทำ เพราะยูเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงชั้นต่ำ” พร้อมกันนั้นได้ยกหมัดซึ่งในมือกำกระป๋องชาเขียวยี่ห้อ Pokka ซึ่งยังไม่ได้เปิดดื่มชกเข้ามาที่ใบหน้าดิฉัน ดิฉันจึงผลักชายคนนั้นออกห่างตัว โชคดีที่มีชาวต่างชาติซึ่งบังเอิญซื้อน้ำอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้วิ่งเข้ามาช่วยล็อคตัวชายชาวสิงคโปร์คนนั้นไว้ หลังจากได้ตามหน่วยรักษาความปลอดภัยของห้างและนายตำรวจ191พร้อมทั้งพยานบุคคลซึ่งเป็นพนักงานขายน้ำบริเวณบู๊ธน้ำ 2 ท่านมาให้การถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพยานทั้งสองเห็นเหตุการณ์ตรงกันว่าชายชาวสิงค์โปร์คนดังกล่าวทำร้ายดิฉันก่อน โดยในระหว่างนั้นชายคนนั้นได้พยายามพูดจาข่มขู่พยานต่างๆนานา กล่าวหาว่าพยานเข้าข้างดิฉัน ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจและหัวหน้าร.ป.ภ.ของห้าง ทั้งยังได้หยิบนามบัตรของใครก็ไม่ทราบมาโชว์เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดิฉันต้องการดำเนินคดีให้ถึงที่สุดจึงตกลงให้ไปแจ้งความโดยนำผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งพยาน 1 ท่าน ไปที่ส.น.ปทุมวัน

ร้อยเวรเจ้าของคดี คือร.ต.ท. สิทธิเดช หาญจิง เมื่อเห็นชายชาวสิงคโปร์ผู้นั้นได้แสดงสีหน้าตกใจ และอุทานว่าไอ้นี่อีกแล้วเหรอ? ดิฉันได้สอบถามจึงทราบว่าชายคนดังกล่าวได้เคยก่อคดีที่คล้ายคลึงกันมาก่อนหน้านั้นแล้วถึง 3 ครั้งภายในห้างหรูชื่อดังตรงข้ามสยามสแควร์ ครั้งล่าสุดก่อนหน้าคือเมื่อประมาณ 5-6เดือนก่อน และบังเอิญเจ้าของคดีเป็นนายร้อยเวรท่านเดียวกัน ส่วนเจ้าทุกข์ผู้เสียหายเป็นนายแพทย์ศัลยกรรมสมอง โรงพยาบาลรัฐบาลชื่อดังใจกลางเมือง ในครั้งนั้นได้ทำร้ายนายแพทย์ผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บหนักถึงขนาดถูกชกต่อยจนมีเลือดออกในตาดำ ต้องนอนพักรักษาตัวที่ร.พ. เป็นสัปดาห์ ทางนายแพทย์ผู้เสียหายได้แจ้งความแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจว่าขณะที่ตนกำลังพูดโทรศัพท์และลงบันไดเลื่อนภายในห้างซึ่งมีงาน Watch Fair อยู่ จู่ๆชายสิงค์โปร์ดังกล่าวและพวกอีก 2 คน(ชาย 1คน หญิง 1 คน)ได้เข้ามากระชากข้อมือ พยายามปลดนาฬิกายี่ห้อ Britling และรุมทำร้ายร่างกายโดยไม่รู้ตัวมาก่อน ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้มีลงในเว็บไซท์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลแจ้งเตือนภัยกับสังคม(ดิฉันได้ทราบข้อมูลโดยละเอียดในภายหลังจากนายแพทย์ผู้เสียหายด้วยตนเอง โดยขอเบอร์โทรติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นแพทย์และทำงานอยู่ที่เดียวกันกับนายแพทย์ท่านนั้นในวันรุ่งขึ้น และขอความกรุณาสงวนนามนายแพทย์ท่านนั้น เนื่องจากเหตุผลทางหน้าที่ในราชการ) เมื่อเรื่องราวไปถึงที่ส.น. กลุ่มชายชาวสิงค์โปร์คนดังกล่าวก็แต่งเรื่องว่ามีการไอรดศีรษะกัน ทำให้ไม่พอใจแล้วเกิดการทะเลาะวิวาท ทั้งที่ตามลักษณะนั้นเป็นการพยายามชิงทรัพย์ แต่เนื่องจากไม่มีพยานบุคคลรู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกและทางห้างดังกล่าวไม่ให้ความร่วมมือโดยอ้างว่าไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ ทำให้ไม่สามารถเอาผิดกลุ่มมิจฉาชีพในคราบนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ผลสรุปของคดีจึงเป็นเรื่องของการทะเลาะวิวาท

ส่วนกรณีของดิฉัน ชายชาวสิงค์โปร์ดังกล่าวได้พยายามใช้รูปแบบคล้ายเดิมที่เคยทำครั้งก่อน คือเมื่อไปถึงที่ส.น. ก็บอกว่าตนเป็นเจ้าของธุรกิจฟิตเนสย่านพระราม 9 มีฐานะดี ขับรถแคมรี่ เป็นนักธุรกิจ โดยแต่งเรื่องว่าดิฉันกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ไปด้วยกัน กับชายฝรั่ง (ซึ่งก็คือคนที่เข้าไปช่วยล็อคกันเขาเข้ามาทำร้ายดิฉันเพิ่ม)ช่วยกันล็อคตัวและรุมทำร้ายเค้า ทำให้เค้าได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เนื่องจากมีพยานรู้เห็น หลักฐานต่างๆมัดแน่น ตลอดจนบาดแผลจากการถูกทำร้ายที่ดิฉันได้รับมันแจ่มแจ้งชัดเจนมากคือตาและโหนกแก้มบวมช้ำไปครึ่งหน้า ในขณะที่บาดแผลที่ตัวเขากล่าวอ้างมีเพียงรอยแดงที่แขนซึ่งเกิดจากดิฉันผลักเขาออกไปตอนที่เขาเข้ามาทำร้าย และรอยแผลภายในริมฝีปากด้านใน(ที่เกิดจากอาการร้อนในเดิม) ชายสิงค์โปร์ดังกล่าวจึงต้องยอมรับความผิดที่ก่อขึ้น

เมื่อได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายแพทย์ผู้นั้นโดยคร่าวๆจากร้อยเวรเจ้าของคดี ดิฉันสันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้ที่ชายชาวสิงค์โปร์ผู้นั้น อาจต้องการทำร้ายร่างกายเพื่อชิงทรัพย์คือนาฬิกาข้อมือ(Frank Muller)และกระเป๋าสะพายไหล่ (Louis Vuitton)ของดิฉันเช่นกัน ในระหว่างอยู่ที่ส.น. ชายดังกล่าวได้ตามเพื่อนซึ่งเป็นคนไทย เป็นชาย 1 คน ลักษณะผอมสูงดำ ก้องแก้ง ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นอายุประมาณ20ปี และหญิง 1คน ลักษณะผอมสูง ผิวสองสี หน้าแหลมเรียว อายุประมาณ40ปี มาเพื่อเจรจาต่อรองกับดิฉันให้เป็นรูปคดีแบบเดิมกับที่เกิดกรณีกับนายแพทย์ศัลยกรรมสมองคือทะเลาะวิวาท ไม่มีผู้เสียหาย และในที่สุดตัวชายสิงค์โปร์คนนั้นได้เข้ามาเจรจาต่อรองขอยอมความและลดค่าเสียหายเอง ซึ่งในตอนนี้ท่าทีเขาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน กลายเป็นพูดจาสุภาพ ขอโทษขอโพย พยายามเข้ามาทำท่าทีสนิทชิดเชื้อ ราวกับว่าไม่ใช่แค่คนรู้จักแต่เป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อดิฉันถามเขาว่ามาชกทำร้ายดิฉันทำไม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักหรือแม้แต่เห็นหน้ากันมาก่อน เขาไม่ตอบและอ้างว่าคุณเป็นคนไทย คนไทยใจดี รักสงบ เรื่องที่ผ่านมาแล้ว อย่าไปพูดถึงมันเลย ดิฉันย้อนกลับว่าไม่รู้สึกละลายบ้างหรือที่ทำร้ายผู้หญิง ไม่มีใครเค้าทำกัน ตอนนี้เขาเปลี่ยนท่าทีดูก้าวร้าวขึ้น จ้องเข้าไปในตาและพูดเสียงกดต่ำใส่ดิฉันว่า ถ้าดิฉันเป็นผู้ชาย ดิฉันก็จะรู้ดีว่าผลมันจะเป็นอย่างไร ถึงตอนนี้ดิฉันก็เลยตะโกนเรียกนายตำรวจร้อยเวรซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆให้เข้ามาดูแลคดีต่อ เพราะไม่ต้องการเจรจากับชายวิปลาสคนนี้ต่อไป

กรณีทีเกิดขึ้นนี้ ดิฉันถือว่าเป็นภัยใกล้ตัวของคนเมืองหลวง ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะ เกิดจากคนป่วยทางจิต, มิจฉาชีพในคราบนักท่องเที่ยว หรือทั้งสองอย่างผสมกัน ล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อร่างกายและทรัพย์สินของพวกเราด้วยกันทั้งสิ้น ประการสำคัญคือผู้ก่อเหตุมีความย่ามใจ ไม่ให้เคารพหรือเกรงกลัวใดๆก่อกฎหมายบ้านเมืองของเรา ก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้อื่นขึ้นหลายครั้งในระยะเวลาไล่เลี่ยกันก็ยังไม่ต้องรับโทษหนักใดๆทั้งสิ้นเสียเพียงค่าปรับหรือค่าเสียหายซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับผลจากความรุนแรงที่ผู้เสียหายได้รับ หากเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ไปเกิดขึ้นในประเทศของชายผู้นั้น แต่ผู้ก่อเหตุเป็นคนไทย คงไม่ต้องคาดเดาว่าการลงโทษที่ได้รับจะหนักหนาเพียงใด

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มสูงที่กลุ่มของชายดังกล่าวจะก่อเหตุขึ้นอีกในเร็วๆนี้ซึ่งใกล้เทศกาลขึ้นปีใหม่ ทางห้างสรรพสินค้าต่างๆโดยเฉพาะห้างหรูที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งของคนเมือง สมควรที่จะมีมาตรการในการป้องกัน ระแวดระวังกลุ่มคนโรคจิต / มิจฉาชีพในมาดนักท่องเที่ยวเหล่านี้ให้รัดกุมและจริงจังมากกว่านี้ เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าคนร้ายเลือกกลุ่มเป้าหมาย โดยเลือกลงมือภายในห้างหรูกลางเมืองทุกครั้ง โชคดีที่กรณีของดิฉันนี้ทางห้างเซ็นทรัลเวิล์ดได้ช่วยดูแล ให้ความร่วมมือทั้งยังส่งพนักงานของตนที่รู้เห็นเหตุการณ์ไปให้การตามจริงที่ส.นในฐานะพยาน ทำให้ผู้ก่อเหตุต้องยอมจำนนต่อหลักฐาน

ขอให้ทุกคนช่วยกันแจ้งข่าวนี้แก่ผู้ที่ท่านรู้จักเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและเพื่อช่วยกันระแวดระวังป้องกันการก่อเหตุซ้ำอีก

ขอแสดงความนับถือน.ส.ขนิษฐา ภู่ตระกูล

ไม่มีความคิดเห็น: