วงการแพทย์แผนปัจจุบันหรือแผนตะวันตก (WESTERN MEDICINE) เริ่มยอมรับอย่างกว้างขวางขึ้นแล้วว่าวิธีการรักษามะเร็งของฝ่ายตน ไม่สามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้ทุกชนิด จากเดิมที่เคยตั้งข้อรังเกียจวิธีรักษาอื่นๆ ทั้งแบบกลางบ้าน ภูมิปัญญาโบราณ ธรรมชาติบำบัด ก็กลับเปิดใจกว้างยอมรับฟังแนวทางรักษา และมีแนวโน้มว่าจะสามารถนำมาผสมผสานให้เกิดการรักษาร่วมกันได้ อย่างในเดือนมิถุนายนปีนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมประขุมกันที่กรุงวอชิงตันในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า "การบำบัดมะเร็งประจำปีครั้งที่ 2 การใช้เวชศาสตร์ทางเลือกร่วมกับเวชศาสตร์เสริมในการรักษา" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาบูรณาการทางวิธีรักษามะเร็งทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน อันเป็นที่ยอมรับได้ทั้ง 2 ฝ่าย
ปีที่แล้วมีผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NCI) และสมาคมปราบมะเร็งอเมริกาไปร่วมงานประขุมหลายคน ปีนี้ NCI ใจป้ำถึงขนาดร่วมอุปถัมภ์การประชุมเลยทีเดียว มีรายงานว่าทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติกำลังศึกษาวิจัยประสิทธิภาพผลของชาเขียว ในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งอยู่ ส่วนสมาคมปราบมะเร็งยังกล้าๆ กลัวๆ ยังไม่ยอมกระโดดเข้ามาเต็มตัว โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความระมัดระวังในการใช้วิธีรักษา ที่ยังพิสูจน์ยืนยันไม่ได้แน่ชัดและขอให้ช่วยกันจัดหาข้อมูลการรักษาวิธีต่างๆ มานำเสนอ
ในระดับคลินิกและศูนย์มะเร็งต่างๆ ของโรงพยาบาลหลายแห่งของสหรัฐอเมริกา ยังถกเถียงกันอยู่ โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ละฝ่ายก็เชื่อในวิธีการของตน บางคนกล่าวหาว่าการรักษา แบบเวชศาสตร์ทางเลือกเหมือนหมอตำแย ขณะที่ฝ่ายเวชศาสตร์ทางเลือกโจมตีเวชศาสตร์ตะวันตก ว่า เป็นแผนร้ายของวงการแพทย์ แผนปัจจุบันร่วมกับบริษัทยา ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตน
คำตอบที่แท้จริงขึ้นอยู่กับว่าท่านผู้อ่านถามใคร ?
แน่นอนล่ะว่า วงการแพทย์แผนปัจจุบันใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ หมอมะเร็งส่วนใหญ่จึงไม่ยอมรับวิธีการนอกรูปแบบแต่ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดัน จากคนไข้ที่รุมเร้าขอลองวิธีแปลกๆ บ้าง
จะอย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้มีประชาชนราวร้อยละ 40 ที่ใช้เวชศาสตร์ทางเลือก (ALTERNATIVE MEDICINE) ในการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บของตน ส่วนคนไข้มะเร็งก็มีตั้งแต่ร้อยละ 10-50 ที่ใช้วิธีการดังกล่าวอยู่หลายต่อหลายโรงพยาบาล จึงเปิดศูนย์เวชศาสตร์ทางเลือกไว้บริการท่ามกลางความไม่ค่อยสบอารมณ์ ของหมอมะเร็งแผนใหม่
มีรายงานตัวอย่างผู้หญิงวัย 48 ปี ชื่อ คารอล โลเปซ ซึ่งตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่รัฐฟลอริดา เมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ เธอไปรับการถ่ายภาพเอกซเรย์ของเต้านมที่เรียกว่า "แมมโมแกรม" (MAMMOGRAM) และรังสีแพทย์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ศัลยแพทย์ใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อมาตรวจก็ยังยืนยันไม่ได้ว่า เป็นจริงหรือเปล่า แต่หมอมะเร็ง (ONCOLOGIST) ประจำตัวของเธอบอกว่าควรเริ่มการรักษาเสมือนว่า เป็นมะเร็งจะดีกว่า คุณโลเปซได้ยินเข้าก็แทบช็อก เพราะนั่นหมายความว่า เธอจะต้องถูกจับฉายแสงและให้เคมีบำบัดจะหัวโกร๋นเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลยขอปฏิเสธไว้ก่อน หมอคนนั้นกลับโกรธจัดแล้วแสดงอารมณ์กับเธอเพราะนานๆ ทีจึงจะมีคนไข้ซักถาม เหมือนไม่เชื่อในความสามารของท่าน
เธอจึงดอดไปที่เมโยคลินิกในมลรัฐมินเนโซตา ซึ่งศัลยแพทย์ตัดเฉพาะก้อนที่สงสัยว่า จะเป็นมะเร็งออกโดยยังเก็บเต้านมเอาไว้ หมอบอกว่าเป็นมะเร็งจริงๆ แต่เป็นชนิดที่ไม่ร้ายแรงนัก อย่างไรก็ตาม เธอควรจะได้รับการฉายแสง ซึ่งเธอปฏิเสธ ด้วยเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อหัวใจที่อยู่ใต้เต้านม แล้วหันไปรับประทานอาหารมังสวิรัตร่วมกับวิตามินที่ไปอ่านเจอมา แต่ยังใจดีสู้เสือแวะไปหาหมอมะเร็งเป็นระยะๆ เพื่อเจาะเลือดตรวจดูว่ามะเร็งกำเริบหรือยัง เวลาผ่านไป 18 เดือนหลังผ่าตัดครั้งแรก แม้ว่าผลเลือดจะยังปกติอยู่ แต่เธอคลำก้อนใหม่ได้ที่บริเวณแผลผ่าตัดเดิม หมอตัดชิ้นเนื้อดังกล่าวไปตรวจแล้วบอกว่า เป็นมะเร็งชนิดเดิมพร้อมทั้งเสนอให้ฉายแสง
ด้วยการมุ่งมั่นที่จะปฏิเสธการฉายแสง เธอจึงย้ายไปรักษาที่สถาบันวิจัย เบอร์ซินสกี้ (BURZYNSKI RESEARCH INSTITUTE) ที่เมืองฮุสตันในมลรัฐเท็กซัส เพื่อรับการรักษาด้วยวิธีเบอร์ซินสกี้ โดยใช้ยาราคาแพงชื่อแอนตี้นีโอพลาสตอน (ANTINEOPLASTONS)
ความที่มัวเทียวไปเทียวมาเปลี่ยนหมอหลายแห่ง ทำให้เวลาผ่านไป 2 ปีเศษกว่า เธอจะได้รับการถ่ายภาพคอมพิวเตอร์เอกซเรย์เป็นครั้งแรกตามที่กำหนดไว้ในวิธีเบอร์ซินสกี้ว่า คนไข้ต้องถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลังการรักษาด้วยวิธีนี้ 6 เดือน ผลปรากฏว่า มะเร็งได้ลุกลามไปที่ตับของเธอแล้ว แต่เธอก็ยังเถียงตัวเองว่า มะเร็งที่ตับอาจมีมาก่อน ใช้ยาแอนตี้นีโอพลาสตอนก็ได้ อย่างไรก็ตามเธอต้องเข้ารับการผ่าตัดช่องท้อง เพื่อให้ศัลยแพทย์ตัดตับส่วนที่มีมะเร็งออก หมดเงินส่วนตัวไป 120,000 เหรียญสหรัฐ เพราะบริษัทประกันสุขภาพปฏิเสธที่จะจ่ายต่ายาแอนตี้นีโอพลาสตอน เพราะเป็นเวชศาสตร์ทางเลือกที่ไม่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันสุขภาพ
ขณะนี้เธอเทียวไปเทียวมาที่รัฐอิลลินอยส์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ทุกๆ เดือน เพื่อรับการรักษาแบบผสมผสานจากสถาบันแห่งใหม่ชื่อ INSTITUE FOR INTERATIVE CANCER CARE AND BLOCK MEDICAL CENTER ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์มะเร็งไม่กี่แห่ง ที่ยอมใช้วิธีผสมผสานระหว่างเคมีบำบัด แบบแผนปัจจุบันฉีดเข้าเส้นขนาดน้อยหน่อยทุกวัน เป็นเวลา 5 วันเพื่อลดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ สารอาหารและพืชผักไม้ใบหญ้า การบำบัดแบบจีนที่เรียกว่า การบริหารกายจี้กง, การนวด, การให้คำปรึกษา และคำแนะนำด้านโภชนาการ
เธอรู้สึกว่าร่างกายทั่วไปอยู่ในสภาพดี ภาพรังสีของกระดูกและคอมพิวเตอร์เอกซเรย์ ไม่ส่อเค้าของมะเร็งที่ใดๆ ในร่างกาย ก้อนที่เต้านมที่ยังอยู่ก็ไม่โตขึ้น
ท่านผู้อ่านที่สนใจอยากจะรักษาโรคด้วยวิธีการผสมผสานในเมืองไทยอาจจะต้องคอยถามไถ่ สดับตรับฟังเพราะเพราะ "ใกล้หมอ" เองก็ไม่รู้ว่าที่ศูนย์ไหนในบ้านเราที่รักษาตามใจคนไข้ แต่ขอเรียนว่าค่อยๆ แสวงหาไปเพราะส่วนใหญ่ไม่มีอะไรรีบด่วนอยู่แล้วเรื่องอย่างนี้
วิธีเผื่อเลือกที่มีบันทึกไว้มีอาทิ เช่น
อาหารและโภชนาการบำบัด มีอาหารและสารอาหารบางชนิด ที่กำลังเป็นที่สนใจวิจัยและจัวตามองด้วยความตื่นเต้นว่าจะมีศักยภาพในการรักษามะเร็ง เพราะมะเร็งบางชนิดอย่างเช่นมะเร็งเต้านมในหญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว มะเร็งมดลูกและมะเร็งต่อมลุกหมาก อาจชะลอการเติบโตได้ถ้าเลือกบริโภคอาหารได้ถูกต้อง อาหารที่ว่านี้ก็ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย เช่น อาหารจากถั่วเหลือง, เห็ดชิตาเกะ
งานวิจัยจากศูนย์มะเร็ง เมโมเรียล สโลน เค็ทเทอริ่ง ในกรุงนิวยอร์คบอกว่า วิตามิเอ ร่วมกับเคมีบำบัดสามารถทำให้คนไข้มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Promyelocytic หายชั่วคราวได้ในผู้ป่วย 70% ขณะเดียวกันการรับประทานวิตามินอี วันละ 200 หน่วย (INTERNATIONAL UNIT) จะชะลอการลุกลามของมะเร็งต่อมลูกหมาก และอาจรวมถึงมะเร็งเต้านมด้วย
น้ำมันปลาซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า 3 เห็ดชิตาเกะและไมตาเกะช่วยชะลอการเติบโต ของมะเร็งโดยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายนี่เป็นรายงานจากญี่ปุ่น
หมอแผนทางเลือกหลายคนจึงคิดค้นอาหารพิเศษต่างๆ ไว้เป็นตำรับเฉพาะตัว เพื่อมุ่งต่อต้านการเกิดออกซิเดชัน อันก่อพิษต่อร่างกายและนำไปสู่การเป็นมะเร็ง บ้างก็ใช้วิตามิน เกลือแร่และน้ำย่อยจากตับอ่อน เรื่องอาหารจึงเปิดกว้างเพราะยังไม่มีข้อสรุปยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์ คงยังเป็นเรื่องของความสังเกตความเชื่อแล้วบอกต่อ อย่างข้าวกล้อง+น้ำแครอท และผักกาดสู้มะเร็งเต้านม ก็มีการลอง
โรสแมรี่ เป็นพืชที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่าโรสมารินัส อ๊อฟฟิซซินาลีส Rosemarinus officinalis L. ในทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบและได้ทำการศึกษาวิจัย โรสแมรี่โดยเฉพาะสารสกัดที่เราได้จากส่วนใบของ โรสแมรี่ (Rosemary Extract) โดยพบว่าสารเหล่านี้จะให้ผลในการกำจัดสารพิษชนิด ต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่มีผลในการทำลายเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะมะเร็ง และจากผลการศึกษาวิจัยของคณะนักวิทยาศาสตร์ ที่ประกอบด้วยDr.Aruoma OI และ คณะฯจากมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสาร ซีโนไบโอติค (Xenobiotic)ได้แสดงไว้อย่างชัดเจนว่าสารสกัด กรดคาร์โนซิคและคาร์นาโซล ให้ผลในการลดการทำลาย เยื่อหุ้มเซลล์และสารพันธุกรรม DNA จากความเป็นพิษของอนุมูลอิสระและยังให้ผลในการลดฤทธิ์การทำลายเซลล์ของอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ไลปิดเปอร์อ๊อกไซด์ (Lipidperoxide) เปอร์ร๊อก ซิลเรติคัล (PeroxylRadicals)และไฮดร๊อกซิลเรติคัล (Hydroxyl Radicals) ฯลฯ
และจากผลการวิจัยของDr.Singletary K จากภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและสารอาหารสำหรับมนุษย์(DepartmentofFoodScienceand Human Nutrition) มหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยด์ ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Cancer letter ปี 1996 ก็ได้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดคาร์นาโซล และ กรดเออร์โซลิค (Ursolic Acid) จาก โรสแมรี่มีส่วนที่สามารถให้ผลในการต้านภาวะมะเร็งหรือ ทูเมอร์ (Antitumerigenic Activity)ได้ในสัตว์ทดลองโดยเฉพาะในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและจากบทความทางวิชาการและการศึกษาของDr.al - Seriti MR. และคณะฯ มหาวิทยาศาสตร์การแพทย์เมืองตริโปลีประเทศลิเบียที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารIndian Journal Experimental Biology ปี 1999 ก็แสดงให้เห็นว่าสารสกัด กรดโรสมารินิค จากโรสแมรี่ ยังให้ผลในการป้องกันภาวะหอบหืด ภาวะการเกร็งของทางเดินอาหาร โรคแผลในกระเพาะอาหารภาวะการอักเสบ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะต้อกระจก ภาวะมะเร็ง และภาวะที่ตัวอสุจิในเพศชายมีความบกพร่อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผลต่างๆ ที่กล่าวถึงนี้พบว่า ป็นผลจากฤทธิ์ในการต้านความเป็นพิษจากอนุมูลอิสระ (Free Radicals) นั่นเอง ซึ่งสารสกัดจากโรสแมรี่ ที่ให้สารสำคัญที่ได้รับการศึกษาวิจัยทั้งในทางการแพทย์และโภชนาการแล้วว่าเป็นสารที่ให้ผลในการกำจัด สารพิษอนุมูลอิสระได้อย่างดี และมีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติจึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และกำลังได้รับความ นิยมอย่างสูง
ชาเขียว งานวิจัยจาประเทศญี่ปุ่นตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยโรคมะเร็ง รายงานว่าคนไข้มะเร็งเต้านม ซึ่งดื่มชาเขียววันละ 5 แก้วขึ้นไปจะมีการกำเริบของมะเร็ง น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม ยิ่งถ้าเคยดื่มมาก่อนเป็นมะเร็งยิ่งได้เปรียบชาเขียว จะไปเสริมฤทธิ์ของเคมีบำบัด งานวิจัยที่สหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับชาเขียว จะออกไปใน 2 ปีข้างหน้า
เมลาโตนิน (MELATONIIN) ฮอร์โมนธรรมชาติตัวนี้ หลายปีก่อนฮิตมากกว่าจะช่วยในการนอนหลับและมีผู้อ้างว่าเป็นยาอายุวัฒนะ เสร็จแล้วก็ฝ่อหายหน้าไป เดี๋ยวนี้กลับมาใหม่โดยมีผู้อ้างว่าช่วยยืดชีวิตของคนเป็นมะเร็ง ระยะสุดท้ายได้ งานวิจัยจากประเทศอิตาลีเมื่อเร็วๆ นี้ รายงานว่าร้อยละ 40 ของคนไข้มะเร็ง ที่รับประทานเมลาโตนินวันละ 10 มิลลิกรัมจะมีขนาดมะเร็งคงที่หลังจากนั้น 3 เดือน นักวิจัยคาดว่าเมลาโตนินอาจช่วยเสริมฤทธิ์ของเคมีบำบัดได้
วิธีบำบัดแบบเบอร์ซินสกี้ มีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อที่ว่า ร่างกายของคนปกติจะสร้างสารต้านมะเร็งชื่อแอนตี้นีโอพลาสตอน (ANTINESPLASTON) ซึ่งเป็นสารที่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ในห้องทดลอง อย่างไรก็ตาม การใช้สารแอนตี้นีโอพลาสตอน ยังอยู่ในระหว่างการวิจัย แต่ก็เป็นสารที่แพงเอาการ ปีหนึ่งๆ ต้องเสียเงิน ถึง 35,000-60,000 เหรียญสหรัฐ
กระดูกอ่อนฉลาม มีหลักฐานว่ากระดูกอ่อนจากครีบฉลาม สามารถยับยั้งการเกิดเส้นเลือดในสัตว์ทดลองตามทฤษฎีจึงอาจใช้รักษามะเร็ง โดยทำให้มะเร็งอดอยากจนการขาดเลือดหล่อเลี้ยง งานวิจัยที่ใช้ลองรับประทานกระดูกอ่อนฉลาม ในคนไข้มะเร็งระยะสุดท้ายเป็นเวลา 12 สัปดาห์ไม่เกิดผล แต่ก็มีผู้เถียงว่า ถ้าจะให้ได้ผลต้องรับประทานแต่ระยะแรกๆ ของมะเร็ง
การใช้ความร้อนทำลายมะเร็ง (Hyperthermia) การทำให้ร่างกายร้อนขึ้นกว่าปกติจะช่วยทำลายมะเร็งได้นั้น เป็นความเชื่อที่ฮือฮามากเมื่อ 20 ปีก่อน ข้อควรระวังคือ ความร้อนอาจฆ่าเจ้าของร่าง ที่เป็นมะเร็งได้ด้วย นอกจากว่าจะควบคุมอุณหภูมิได้ตามที่กำหนด ขณะนี้จึงมีการวิจัยราว 10 งานภายใต้การอุปถัมภ์ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ยาเลทรีล (LAETRILG) นี่ก็เป็นสารเคมีที่ปรากฏอยู่ ในผลไม้อปริคอท (APRICOT) ซึ่งเชื่อว่าทำลายมะเร็งได้ ในหลายมลรัฐของสหรัฐอเมริกา จะมีการห้ามจำหน่ายเพราะกลัวคนไข้ถูกหลอก แต่ก็ยังเป็นยาฮิตติดอันดับในหมู่คนไข้มะเร็ง ที่หมดทางรักษาแม้ว่าผลการทดลองบอกว่าไม่ได้เรื่องก็ไม่ฟัง
โดยสรุปแล้ว คนเราเวลาหมดหนทางแต่ไม่หมดสิ้นความหวังก็ย่อมดิ้นรนหาทางไปเรื่อยๆ ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่ ความเชื่อความศรัทธาและกำลังใจบ่อยครั้ง ก็เป็นปัจจัยต่อสู้โรคที่ทรงพลังอย่างประหลาด
ขอให้มีกำลังใจและอย่างสิ้นหวังครับ นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ ข้อมูลจากหนังสือใกล้หมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น