ความลับของรอยยิ้ม
คนเรามักละเลยที่จะหาความสุขจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
"มันเป็นเช้าที่หม่นหมองที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของฉัน หลังจากมีปัญหากับสามีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่เขาตกงาน ในที่สุดเราก็แยกทางกันอีกครั้ง (ถ้านับจากครั้งล่าสุดเมื่อสองปีที่แล้ว) ปัญหาเศรษฐกิจสำหรับตัวฉันและลูกชายที่เพิ่งครบขวบคงไม่เลวร้ายไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่สามีตกงาน เงินทั้งหมดที่ใช้จ่ายในบ้าน ก็คือรายได้จากเงินเดือนเสมียนของฉัน การเลิกร้างกับสามีครั้งนี้ทำให้ฉันปวดร้าวลึกซึ้งกว่าสมัยสาวๆ เสียอีก ถ้าจะพูดให้โอเวอร์ก็เรียกได้ว่าหัวใจสลายโดยสิ้นเชิง"
ปลายเสียงของพิมาลาแผ่วเบา เมื่อเล่าถึงความทรงจำที่เจ็บปวดในครั้งนั้น แต่สิ่งที่เธอตั้งใจจะเล่าไม่ใช่ความขมขื่นในชีวิต แม่ลูกหนึ่งวัยสามสิบปลายๆ คนนี้ เล่าตอนสำคัญของเรื่องด้วยดวงตาที่แจ่มใสขึ้น
"ไม่รู้สิ..อะไรๆ มันดูแย่ไปหมด ฟ้าขมุกขมัวทั้งๆ ที่เป็นตอนเช้าแท้ๆ บ้านก็ดูสกปรกรกรุงรัง สิ่งแรกที่ฉันคิดได้ในเช้าวันนั้นก็คือ ต้องทำความสะอาดบ้าน แล้วฉันก็ลงมือตามใจคิด คว้าเครื่องดูดฝุ่นได้ก็ไถๆๆๆ กลับไปกลับมาทั่วห้อง และจมอยู่กับงานเต็มที่"
ไม่น่าเชื่อว่าดวงตาของเธอมีประกายของความสุขเห็นชัดเมื่อเล่าถึงตรงนี้
"ตอนนั้นล่ะค่ะ พอฉันเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ ฉันก็เห็นลูกชายที่เพิ่งหัดเดินของฉันยืนอยู่ใกล้ๆ ในมือแกมีเครื่องดูดฝุ่นของเล่นที่คงจะใช้ถูเลียนแบบฉันอยู่ ลูกจ้องฉันด้วยดวงตาใสแจ๋วอย่างไร้เดียงสา วินาทีนั้นแหละที่ฉันรู้สึกว่า ไม่อยากได้อะไรจากชีวิตอีกแล้ว นอกจากความสุขจากการใช้ชีวิตชั่วขณะนั้นกับลูกชายของฉัน"
รู้ตื่น รู้เบิกบาน
คนเราส่วนใหญ่เป็นเหมือนพิมาลา คือเหมาเอาว่า เราไม่มีความสุขตลอดเวลา เมื่อคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้ไม่มีความสุขเข้าจริงๆ ลองทบทวนดูอีกทีว่า มีใครที่ไหนที่จะมีความสุขทั้ง 24 ชั่วโมง ความสุขจะค่อยๆ ปะติดประต่อจากเศษเล็กเสี้ยวน้อยในแต่ละวันต่างหากเล่า ความลับของความสุขอยู่ตรงนี้ อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของการดำเนินชีวิต ณ ขณะปัจจุบัน เหมือนความสุขที่เจ้าหนูวัยเตาะแตะ ได้จากการทำงานด้วยเครื่องดูดฝุ่นของเล่น
ศาสนาพุทธเรียกการตระหนักรู้ในปัจจุบันว่า "สติสัมปชัญญะ" คือการดำรงอยู่อย่างตระหนักรู้เท่าทันปัจจุบัน หรืออยู่อย่างมีชีวิตจิตใจ รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ และรู้สึกอย่างไร เป็นภาวะที่จิตไม่คิดกังวลถึงสิ่งใดเว้นแต่ขณะที่เรากำลังเป็นอยู่เท่านั้น "ชีวิตมีอยู่จริงในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น ปัจจุบันเป็นที่รวมทั้งอดีตและอนาคต ทำปัจจุบันให้ดีก็หมายถึงเราแก้อดีตได้ที่ผลของอดีต คือปัจจุบัน เราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็ไม่ต้องกังวลใจ
เรามีกายที่เคลื่อนไหวแต่ใจนิ่งจากความขุ่นมัว ในเมื่อชีวิตมันมีอยู่จริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้จึงเป็นขณะที่เราควรจะดูแลมันให้มีความสุขที่สุด" แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ผู้ปฏิบัติธรรมที่มุ่งใช้แนวคิดทางศาสนาเพื่อพัฒนาบุคคลและชุมชน ให้ความหมายที่กระจ่างชัดของจิตที่เป็นสุข ซึ่งอาศัยหลักคิดจากพุทธศาสนา
เมื่อปัจจุบันเต็มเปี่ยมและจิตใจไม่ถูกรบกวนจากอะไรก็ตาม นอกเหนือจากนั้น การรับรู้ถึงการสัมผัสกับธรรมชาติ ตลอดจนผู้คนที่อยู่รอบตัว นั่นคือความสุข ถ้าจะมีกุญแจใดๆ ในการนำไปสู่ความสุข มันก็คือการใส่ใจและเต็มอิ่มต่อปัจจุบัน และสร้างสรรค์โอกาสเช่นนี้ในชีวิตให้มากขึ้นเรื่อยๆ คนมักเข้าใจความหมายของความสุขผิดไปอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังที่เกินจริง หรือการวิ่งหาความสุขจากสิ่งอื่นๆ ภายนอกจิตใจตัวเอง จึงเป็นเรื่องเศร้าเมื่อคิดว่าชีวิตคู่ที่ใกล้จะล้มเหลวคงจะมีความสุขขึ้น ถ้าได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่กลับไม่เคยเป็นสุขเลยเมื่อเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตัวเอง
ความสุขอยู่หนใด
นักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูงคนหนึ่ง ค้นพบว่าความสุขที่แท้จริงของเธอไม่ได้อยู่ที่การขึ้นสู่จุดสูงสุดของหน้าที่การงาน แต่กลับเป็นเรื่องเล็กน้อยจนน่าแปลกใจ "ตอนเย็นเมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน และยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้กลมในครัว เฝ้ามองลูกสาววัย 11 ขวบ กำลังอุ้มเจ้าหนูแฮมสเตอร์ไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับแปรงขนยาวนุ่มของมันอย่างทะนุถนอม ข้างๆ เธอคือ น้องชายวัย 8 ขวบ ที่มีดวงตาถอดแบบมาจากฉัน มันเหมือนกำลังดูภาพฉายจากภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นความจริง เวลาเหมือนถูกทำให้นิ่งสนิท ฉันมองดูเด็กๆ และตระหนักว่าไม่มีสถานที่ใดในโลกจะมีความหมายมากกว่าที่นี่"
ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
สัญญาณของภาวะไร้สุขนั้นอาจเบาบางจนเกือบสังเกตุไม่เห็น แต่สัญญาณนั้นก็มีอยู่จริง ความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อชีวิต อาจแสดงออกในรูปแบบของการทำให้ตัวเองยุ่งอยู่เสมอ เพื่อกลบเกลื่อนความเศร้านั้นไว้ หรือทำลายความเงียบด้วยการเปิดโทรทัศน์หรือวิทยุไว้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องการรับรู้อย่างแท้จริง เป็นแต่เพียงการเหนี่ยวรั้งตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อาการอื่นๆ ที่สังเกตได้ ยังออกมาในรูปของความผิดปกติในการกิน เช่น อาจจะกินหรือดื่มมากเกินไปเพื่อขจัดความเครียด หรือแม้แต่การมีชีวิตอยู่อย่างซังกะตายกับสามีและลูกๆ
และส่วนที่ปรากฏทางความคิด อาจเกิดขึ้นในรูปของการมีมุมมองที่เย้ยหยันต่อโลก คือมองมันในแง่ร้ายทั้งหมด สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากความผิดหวังหรือสูญเสียในอดีต ซึ่งความปวดร้าวนั้นทำให้จมจ่อมอยู่กับมันจนลืมสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ความรู้สึกอบอุ่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อการได้ยืนจ้องลูกๆ ที่รักในห้องครัว ดังกรณีของนักธุรกิจหญิงผู้เป็นแม่ คงเกิดขึ้นไม่ได้หากเธอเป็นแม่ที่มีปัญหาหรือมีความโกรธต่อบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ
น.พ.บัณฑิต ศรไพศาล จิตแพทย์ประจำศูนย์สุขภาพจิต กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และคอลัมนิสต์ตอบปัญหาสุขภาพจิตผู้มีชื่อเสียง อธิบายถึงสาเหตุและการสังเกตสัญญาณต่างๆ ของภาวะไร้สุขไว้ว่า "คนเราจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความต้องการ คือมีความสมดุลระหว่างความต้องการกับความสามารถ เมื่อไหร่ที่ความต้องการมีมากกว่าความสามารถก็ไม่มีความสุข"
แต่ถ้าความต้องการไม่มากกว่าความสามารถ หมายความว่าสามารถไปถึงความต้องการได้ ก็จะได้ความสุข มันคล้ายกับการยกของ ถ้าเกินกำลังก็ไม่มีความสุข เพราะมันหนักเกินกว่าร่างกายและจิตใจจะรับไหว เหมือนยกของหนักมากมันก็จะกดดันเป็นธรรมดา ซึ่งจะเกิดปรากฏการณ์ที่แสดงออกทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ มีตั้งแต่ปวดหัว นอนไม่หลับ ใจสั่น ท้องผูก กินไม่ได้ น้ำหนักลด หรืออาจจะกินมากเกินไปก็ได้ รวมทั้งอาจจะมีอาการชา ตามมือตามเท้า ตาพร่า คือมันเกิดขึ้นได้กับทุกระบบ เพราะมันมาจากจิตใจซึ่งส่งผลต่อสมอง แต่ถ้าเป็นเฉพาะระบบใดระบบหนึ่งก็อาจเป็นโรคทางกาย แต่ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยทางกายอะไรแล้วแสดงอาการพร้อมกันหลายอย่าง ก็เป็นได้ว่าอาจมาจากจิตใจ ซึ่งแต่ละคนก็แสดงออกมาไม่เหมือนกัน
บางคนออกด้านอารมณ์ หงุดหงิด งุ่นง่าน เซ็ง โมโหง่าย หรือเศร้าซึมท้อแท้ แต่ถ้าเป็นด้านพฤติกรรมก็อาจจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือกินอยู่ตลอดเวลา มันก็แล้วแต่ว่าจริตใครจะออกแบบไหน ลองถามตัวเองว่า ความพลาดหวังในอดีตหรือความปวดร้าวใดๆ ก็ตาม คุกคามเราอยู่กี่ปี สอง สาม หรือสิบปี ทำไมต้องปล่อยให้มันมีอิทธิพลมากมายถึงเพียงนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ใจเศร้าหมองจนพลาดโอกาสสำคัญๆ ที่งดงามในชีวิตปัจจุบันไปเท่านั้น มันยังส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายให้แปรปรวนได้อย่างน่ากลัว ให้มันจบลงเสียทีดีไหม
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อเติมปัจจุบันให้เต็ม และสามารถรื่นรมย์กับชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น คือการแก้ปัญหาที่ส่งผลมาจากความเศร้าในอดีตเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบำบัด การออกกำลังกาย หรือวิธีใดๆ ก็ตาม ที่จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ในชีวิต สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ใจเป็นสุขได้ คือ การช่วยเหลือผู้ที่กำลังอยู่ในความทุกข์ หรือแม้แต่การให้เล็กๆ น้อยๆ ต่อผู้คนรอบข้างในชีวิตประจำวัน เพราะนอกจากจะทำให้ความเจ็บปวดเบาบางลงแล้ว คุณค่าความหมายจากการได้ให้ ยังเป็นความสุขที่ส่งต่อกันได้เหมือนการล้มของโดมิโน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น