> ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง 16 ประการ
>
> 1. ทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย
> เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่อง
> มืออทางการแพทย์
> จนกว่าจะมีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์
>
> หากไปพบหมอ แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกายหลังจากการตรวจ
> นั่นแค่หมายความว่า เ ครื่องมือทางการพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้
> เนื่องจากขนาดของเซลล์มะเร็งยังไม่มากพอ
> หรือขาดยังไม่ใหญ่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ
>
> 2. เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้นมาก ถึง 6 -10 ครั้ง ใน 1 ช่วงชิวิตของมนุษย์
>
> 3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์มะเร็งก็จะถูกทำลาย
> เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย
>
> 4. เมื่อคนไข้ ถูกบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด
> หรือ โภชนาการไม่ดี
>
> ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม อาหาร หรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต
>
> 5. การเอาชนะเซลล์มะเร็ง
> สามาถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือ
> ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย
>
> 6. การให้คีโม หรือสารเคมีบางชนิด เป็นทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
> แต่ในขณะเดียวกัน
> ก็ทำลายเซลล์ที่ดี
> ของร่างกายไปด้วยอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอาจทำลายระบบของอวัยวะสำคัญไปด้วย
> เช่น ตับ ไต
> หัวใจ หรือปอด
>
> 7. การฉายรังสี ก็จะทำลายเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื่อบางส่วนไหม้
> เป็นแผลเป็น และทำลาย
> เซลล์ เนื่อเยื่อที่ดีไปด้วยเช่นกัน
>
> 8. โดยทั่วไปแล้ว การให้คีโม หรือการฉายรังสี
> อาจจะทำให้ขนาดของก้อนเซลล์มะเร็ง ลดลง
>
>
> แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีผลทำลายก้อนเนื่อไปมากกว่านั้น
>
> 9. เมื่อร่างกายต้องรับสารพิษจำนวนมาก จากการให้คีโมหรือการฉายแสง
> ระบบภูมิคุ้มกันของ
> ร่างกายก็จะถูกทำลายไปด้วย
> ดังนั้นร่างกายก็ง่ายต่อการติดเชื้อ หรือพ่ายแพ้เซลล์มะเร็ง
>
> 10. การให้คีโม หรือการฉายแสง อาจเป็สาเหตุให้เซลล์มะเร็ง
> มีการกลายพันธุ์ หรือดื้อยา
> ทำให้ยากแก่การทำลาย การผ่าตัด ก็อาจสามารถทำให้
> เซลล์มะเร็งกระจายไปยังส่วนอื่น
>
> 11. วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง คือ
> หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
>
>
> โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์มะเร็งจำเป็นต้องนำไปใช้
>
>
> สารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการ
>
> 1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว equal
> โดยใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง
> แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมากมาก
> เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือในปริมาณน้อย
>
> 2. นม ควรดื่ม นำนมถั่วเหลืองทดแทน
>
> 3. เซลล์มะเร็ง เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด
> การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด
> ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์ มีแบคทีเรีย
>
>
> ใช้โฮโมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง
>
> 4. 80 % ของผักและนำผลไม้สด ถั่งเมล็ดแห้ง ธัญญาพืช
> จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง
> 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว
> น้ำผักและนำผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
> เพื่อไปเสริมสร้างความ
> แข็งแรงให้เซลล์ที่ดี
> ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2 -3 ครั้งต่อวัน
> เพราะเอนไซม์จะถูกทำลายที่ 40 c
>
> 5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ชอกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง เป็นดื่มชาเขียวที่มี
> สารต้านมะเร็ง
> ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปา
> และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีสภาพเป็น
> กรด
>
> 6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก
> และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง
>
> 7. เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน
> การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง
> จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น
>
> 8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้งความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน
> เพื่อไปทำลายเซลล์
> มะเร็ง เช่น วิตามินอี วิตามินซี
>
> 9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาน
> การควบคุมอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
> อารมณ์โกรธ ขมขื่น หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย
> ควรเรียนรู้ที่จะรัก และให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต
>
> 10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจิญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้
> การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ
> ออกซิเจนในเซลล์
> การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง
>
>
>
>
>
>
> วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็ง ชนิดต่างๆ
>
>
> อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
>
> 1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ
> ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ
>
> อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
> หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
> การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าว ไป ตรวจด้วยกล้อง
> จุลทรรศน์จะรู้ได้
>
> 2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
> หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามี
> ก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
>
> 3. มะเร็งรังไข่ อาการ
> ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศ
> สัมพันธ์
> มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย
> น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
>
> 4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)
> อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ
> มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
> หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
> และมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
> บางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
>
> 5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ
> มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย
> น้ำหนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก
> หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่
> ไม่เคยเป็นมาก่อน
>
> 6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
> ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ ชัด
>
> 7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
>
> 8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย
> เช่น อาเจียน หรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง
> ๆ ลอยไป
> มาเวลาปวดศีรษะ
> อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหัน
> อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชา และเป็น อัมพ
> าตชั่วคราว
> ควรให้ความระวังเป็นพิเศษ
> หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
>
> 9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก
> หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่
> ได้รับการรักษา
> หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ
> หรือ เป็นเวลานาน
>
>
> 10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันที
> ทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหาร
> ได้ลำบาก
> หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้น จนสามารถจับ และรู้สึกได้
>
> 11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
> อาเจียนออกมาเป็นเลือด
> ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย บ่อย
> รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับ
> ประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
>
> 12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือด
> หรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิว
> เนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้
> เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้น
> ที่เต้านมเป็นเวลานาน
> ควรระวังเพราะผู้ หญิง 9 ใน 10
> คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบ
> สาเหตุ
>
>
> เมื่อมีอายุมากขึ้น
> เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า
> ซีสต์
>
>
> ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน
> ว่าคืออะไรกันแน่
>
> 13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
> มีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
>
> **** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว
> คือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับ แล้วเลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร
> แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
>
> 14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
> อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ
> โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง
> อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน
> ตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้น
>
> และมีการเปลี่ยนสี หรือรูปร่าง ขนาด
>
> นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma) คือ
> เนื้องอกที่
> ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่
> เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย
> หรือ มีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน คุณจะ มี
> อัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น