กระแสฮิตติดตลาดในระยะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เมื่อเดือนที่ผ่านมานี้ก็มีข่าวคราวที่ น่าสะ เทือนใจที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนัก และกินยาเพื่อลดน้ำหนักเกินขนาด จนเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลายๆ ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวคราวในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ น่าเสียดายที่เรามองข้ามความปลอดภัยของการใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในการลดน้ำหนัก ทำให้แทนที่จะมีสุขภาพดีกลับกลายเป็นอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินเพิ่มขึ้นไปอีก
หมอลองค้นหาใน Google โดยใช้คำว่า ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักหรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก มีรายชื่อ Website เป็นล้าน นี่ขนาดว่าเป็นแค่ Web ภาษาไทยเท่านั้นนะ และจำนวนไม่น้อยเป็นผลิตภัณฑ์ชาหรือกาแฟเพื่อลดน้ำหนัก อันเป็นที่มาของคำถามในวันนี้ที่มีคนไข้มาถามหมอว่าเธอซื้อชายี่ห้อหนึ่งมา คนขายบอกว่าให้กินหลังอาหาร 3 มื้อ จะช่วยลดน้ำหนักได้และยังจะช่วยลดระดับ น้ำตาลในเลือดซึ่งเธอกำลังมีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มผิดปกติ
ก็มีแต่ ‘เขาว่า’ ทั้งนั้นแหละค่ะที่จะเห็นผล(ดี) พอเป็น ‘เราว่า’ บ้างมักจะกลายเป็นเห็นผลตรงกันข้ามไปเสียนี่จริงๆ แล้ว ที่ชาหรือกาแฟมาฮิตมากในช่วงหลังๆ ในการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักนั้นมีที่มาที่ไปนะคะ มีการศึกษาทางการแพทย์มาเป็น 10 ปี ที่พบว่ากาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมหลักในชาหรือกาแฟนั้น เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีผลในด้าน Thermogenesis ทำให้ร่างกายมีการ เผาผลาญใช้พลังงานมากขึ้น เคยมีการศึกษาของชาเขียว พบว่าถ้าดื่มชาเขียววันละ 5แก้ว ร่างกายจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ70-80 แคลอรี (ซึ่งสำหรับชาเขียวแล้วผลของการเพิ่มการใช้พลังงานของร่างกายเมื่อดื่มชา อาจจะเป็นผลพวงขององค์ประกอบอื่นๆ ในชานอกเหนือจากกาเฟอีน)การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากการดื่มชา/กาแฟนี้เองที่ทำให้ผู้ผลิตนำชา/กาแฟมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก
อันที่จริงหลักการลดน้ำหนักนั้นง่ายมากเลยค่ะ คือกินให้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ เมื่อร่างกายมีการใช้พลังงานมากกว่าที่กินก็จำต้องสลายเอาไขมันที่สะสมตามร่างกายมาเป็นพลังงานแทน แต่การจะเอาไขมันที่พอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายให้หายไป 1 ปอนด์ หรือเกือบครึ่งกิโลกรัมนั้น เราต้องใช้พลังงานมากกว่าที่ได้จากการกินเข้าไป (Calories Deficit) ถึง 3,500 แคลอรี! สมมติว่าเราต้องการลดน้ำหนัก 1/2 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์ นั่นหมายถึงใน 1 สัปดาห์หรือ 7 วันนี้เราต้องมี Calories Deficit ประมาณ 3,500 แคลอรี หรือคิดง่ายๆ ว่าวันละ 500 แคลอรี ซึ่งเราจะประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานมากกว่าที่ร่างกายได้รับวันละ 500 แคลอรีได้ 3 ทางคือ
1.กินให้น้อยลงวันละ 500 แคลอรี โดยใช้พลังงานหรือทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลมที่เคยดื่มวันละ 2 ขวด กับเปลี่ยนจากกินข้าวมันไก่มาเป็นสุกี้น้ำไก่ ก็จะลดแคลอรีจากอาหารที่กินได้ประมาณ 500 แคลอรี วิธีนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ และน้ำหนักที่ลดได้มักจะคงอยู่ได้ไม่นาน
2. กินลดลงบ้าง ร่วมกับการออกกำลังกาย เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลม 2 ขวด แต่ยังขอกินข้าวมันไก่ แต่ยอมไปออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ 1 ชั่วโมง วิธีนี้ดีต่อสุขภาพที่สุด และจะลดน้ำหนักได้ถาวรที่สุด (แต่อย่างไรข้าวมันไก่ก็ไม่ควรกินบ่อยนะคะ)
3.ไม่ยอมอดอาหารเลยแต่ยอมออกกำลังกายแทน ซึ่งถ้าเราหนัก 80 กิโลกรัม ต้องการออกกำลังกายเพื่อจะเผาผลาญให้ได้ 500 แคลอรี ต้องพยายามอย่างสูง เช่น วิ่งเหยาะ 1 ชั่วโมง หรือเดินเร็ว 1 ชั่วโมงครึ่ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จยกเว้นเป็นนักกีฬาที่ต้องออกกำลังกายทั้งวัน
สำหรับชา/กาแฟ ที่มีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายดังกล่าวจะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายที่ร่างกายใช้พลังงานเพิ่ม ลองดูว่าถ้าเราเลือกทำตามข้อ 3 คือ ดื่มแต่ชา/กาแฟเพื่อช่วยลดน้ำหนักแทนการไปออกกำลังกาย อาจจะต้องดื่มชาถึงวันละกว่า 30 แก้ว (ชา 5 แก้วเพิ่มการใช้พลังงานประมาณ 70-80 แคลอรี) ซึ่งคงจะไม่ไหว นอกจากนี้กาเฟอีนในชากาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นๆถ้าดื่มมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหาใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน เป็นต้น
ดังนั้นหมอก็เลยแนะนำคนไข้ของหมอว่าถ้าอยากจะลดน้ำหนักให้สุขภาพดี คงต้องลงทุนลงแรงด้วยการคุมอาหารบ้าง ออกกำลังกายบ้าง และถ้าตนเองไม่มีข้อห้ามกับการดื่มชา/กาแฟ ก็อาจจะดื่มได้ เช่น วันละ 1-3 แก้ว ไม่ใช่แค่ดื่มชาหรือกาแฟ (โดยไม่ทำอะไรอื่นอีกเลย) แล้วหวังว่าน้ำหนักตนเองจะลดลงได้ แต่ทั้งนี้ระวังนมและน้ำตาลที่ใส่ลงในชา/กาแฟด้วยนะคะ น้ำตาล 2 ช้อนชา ให้แคลอรีเท่ากับข้าว 1/2 ทัพพี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น