7 มี.ค. 2553

9 ความเชื่อปราบเซียนสุขภาพ


"9 ข้อเท็จจริง" เรื่องสุขภาพที่ใคร ๆ ก็รู้ แต่กลับเป็นแค่ความเชื่อผิด ๆ



ความเชื่อบางเรื่องก็จับไต๋ได้ง่าย ๆ อย่างความเชื่อเกี่ยวกับเทพอาตุของชาวอียิปต์ ผู้ให้กำเนิดชีวิตด้วยอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ แต่ความเชื่ออื่น ๆ โดยเฉพาะความเชื่อที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่พลังของเทพอียิปต์ อาจจับไต๋ได้ยากกว่านิดหน่อย และอาจเป็นอันตราย หากความเชื่อนั้นคือวิธีรักษาสุขภาพที่เรายึดถือมาโดยตลอด


อย่างเรื่องของการยึดกล้ามเนื้อก่อนการแข่งขัน ซึ่งไม่อาจช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังได้ดีไปกว่าการหวังพึ่งแต่กระจับ แต่เมื่อตอนก่อนหน้านี้ แค่เพียงไม่กี่ปี หนุ่ม ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ยังชอบยืดกล้ามเนื้ อและต้องเจ็บตัวเพราะหลงเชื่อถือวิธีผิด ๆ นี้



เอาล่ะ ผมจะชี้ทางสว่างให้คุณเอง ผมนี่แหละจะทำให้คุณต้องเปลี่ยนความเชื่อใหม่ และมีมุมมองที่แตกต่างออกไป เราจะลบล้าง 9 ความเชื่อปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่า ความเป็นจริงจะช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้นอย่างไรบ้าง เริ่มเลยนะครับ


ความเชื่อ: การกินอาหารที่มีกากใยสูง จะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่


ไม่ใช่ครับ ถึงคุณจะกินกระทั่งต้นสน ลูกสนและทุกส่วนที่เหลือ ก็ยังป้องกันไม่ได้ การวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of the National Cancer Institute พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าผู้รับการทดสอบจะบริโภคกากใย 10-27 กรัมต่อวัน หรือเยอะแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยลดโอกาสเสี่ยง ที่จะเกิดติ่งเนื้อในระยะก่อนเป็นมะเร็งได้ "สมมติฐานเรื่องกากใยนี่ ได้มาจากการศึกษาด้านระบาดวิทยาสมัยก่อนน่ะครับ" นพ.เจมส์ อี. แอลลิสัน ศาสตราจารย์ด้านเวชกรรมที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานฟรานซิสโก กล่าว "เขาสันนิษฐานกันว่า อาหารที่มีกากใยสูงจะเดินทางผ่านลำไส้โดยใช้เวลาที่น้อยกว่า ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารก่อมะเร็ง"


ความจริง: กินอาหารที่มีกากใยสูงต่อไปนะครับ เพราะจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันโรคเบาหวาน แต่อย่าหวังว่าจะทำให้ลำไส้ใหญ่ของคุณปลอดมะเร็งได้ ถ้าอยากหลีกเลี่ยงโรคนี้คุณต้องกินกรดโฟลิค เพราะมีผลวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า วิตามินบีชนิดนี้ช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ผู้ชายเราจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตทระบุว่า ลดได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ถ้าวิตามินรวม (หรือซีเรียล) ที่คุณกินมีกรดโฟลิคไม่ถึง 400 ไมโครกรัม คุณก็ซื้อยี่ห้ออื่นที่มีปริมาณเท่านั้นมากินแทนสิครับ


ความเชื่อ: เบอร์เกอร์ถั่วเหลืองดีต่อสุขภาพมากกว่าเบอร์เกอร์เนื้อ


ปัญหาของความเชื่อนี้คือ ถั่วเหลืองทุกรูปแบบมีไฟโตเอสโตรเจน หรือเอสโตรเจนที่ได้จากพืช และถึงการมีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ในร่างกายของเราบ้างจะปลอดภัย และถือว่าปกติดีด้วยซ้ำ แต่การมีฮอร์โมนเพศหญิงในรูปแบบที่ได้จากพืชในปริมาณสูง กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ที่จริงแล้วทีมวิจัยออสเตรเลียพบว่า ผู้ชายที่เน้นการบริโภคถั่วเหลือง มีระดับเทสทอสเทอโรนต่ำกว่าผู้ชายที่ชอบกินเนื้ออย่างมีนัยสำคัญ และสำหรับความเชื่อที่ว่า เนื้อแดงจะทำให้หลอดเลือดแดงอุดตันนั้น การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Joumal of the American College of Nutrition ชี้ให้เห็นว่า การกินเนื้อไม่ติดมันช่วยลดระดับ LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) ได้ แถมยังช่วยเพิ่มระดับ HDL (คอเลสเตอรอลดี) ด้วย


ความจริง: เนื้อสะโพกบดที่มีไขมันแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ คือเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ที่ไร้มันที่สุดในท้องตลาด และน่าจะมีรสชาติแย่ที่สุดด้วย เพราะโดยทั่วไปแล้วไขมันที่น้อยลง มักจะแปลว่ารสชาติต้องแย่ลงด้วย ให้เลือกเนื้อหัวไหล่บดแทนซึ่งมีไขมัน 15 เปอร์เซ็นต์ และยังจัดว่าเป็นเนื้อไม่ติดมันด้วย และต้องเลือกถาดที่มี "น้ำ" ในถาดโฟมน้อย ๆ "มันมาจากน้ำในโมเลกุลของโปรตีนที่เรียกว่า "น้ำในรูปอิสระ" (Free Water) ซึ่งจะถูกขับออกมาเมื่อเก็บเนื้อไว้นาน ๆ น่ะครับ" ดร.ไมค์ เด ลา เซอร์ดา ผู้จัดการด้านคุณภาพเนื้อของ Texas Beef Council กล่าว "ยิ่งมีน้ำในรูปอิสระนองอยู่ในถาดมากเท่าไร เบอร์เกอร์ของคุณก็จะยิ่งชุ่มฉ่ำน่ากินน้อยลงเท่านั้น"


ความเชื่อ: แปะก๊วยทำให้ความจำคุณดีขึ้น


ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสมุนไพร ซึ่งเป็นที่นิยมชนิดนี้มีกิตติศัพท์ว่าทำให้ฉลาด หลังจากที่การวิจัยทางการแพทย์บางชิ้นแนะนำว่า จะช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และก็ช่วยได้จริง ๆ ครับ แต่เฉพาะในกรณีของผู้ป่วยอัลไซเมอร์เท่านั้น สำหรับคนที่ไม่ได้เป็น "เราไม่พบหลักฐานเลยนะครับ ว่าแปะก๊วยจะมีผลใด ๆ ต่อความจำ หรือบทบาทในด้านของความคิดและสติปัญญา" ดร.พอล อาร์ โซโลมอน ผู้อำนวยการคลินิกความจำ ที่ศูนย์การแพทย์เซาท์เวสเทิร์นเวอร์มอนต์ กล่าว การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of the American Medical Association ทีมวิจัยของโซโลมอนพบว่า เมื่อให้ผู้ที่กินแปะก๊วยในรูปของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเป็นเวลา 2 สัปดาห์ และผู้ที่กินยาหลอก ทำแบบทดสอบ 14 ชุดที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ความจำ ความสนใจและสมาธิ ไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทั้งสองแต่อย่างใด "การวิจัยของเราไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้เลยว่า การกินแปะก๊วยจะช่วยได้" โซโลมอนกล่าว

ความจริง: งีบสัก 10 นาทีดีกว่า ทีมวิจัยชาวออสเตรเลียศึกษาผลของการงีบเป็นระยะเวลาแตกต่างกัน 3 ระยะ และพบว่ากลุ่มที่ได้งีบนาน 10 นาทีจะมีสมาธิดีกว่า และมีความจำที่แม่นยำมากกว่ากลุ่มที่เหลือ ถ้ายังรู้สึกงุนงงคงต้องไปพบแพทย์แล้วล่ะครับ เพราะคุณอาจกำลังเผชิญกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือความผิดปกติของการหายใจที่เกิดขึ้นในช่วงกลางคืน ซึ่งจะทำให้สมองไม่ได้รับการฟื้นฟูจากการนอนในช่วงหลับฝัน


ความเชื่อ: สบู่ยาฆ่าเชื้อโรคใช้ดีกว่าสบู่ธรรมดา


ก็เหมือนกับอาวุธนำวิถีต่อสู้รถถัง กับรังสีที่มีอำนาจทำลายล้างสูงนั่นล่ะ สบู่ยาหรือสบู่ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ก็แค่ดูจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีกว่าสบู่ธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง เพราะเชื้อโรคมันไม่เห็นความแตกต่างหรอก ในการศึกษาที่สนับสนุนเงินทุนโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ทีมวิจัยได้ขอให้แม่บ้านในนิวยอร์กซิตี้จำนวน 222 คน ล้างมือด้วยสบู่ยาและสบู่ธรรมดา จากนั้นได้ทำการสำรวจปริมาณแบคทีเรียที่มือของผู้หญิงกลุ่มนี้ ทั้งก่อนและหลังล้าง ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่แตกต่างกันเลย "เราพบว่าสบู่ยาไม่ได้มีภาษีเหนือกว่าเลยค่ะ" ดร.อีเลน ลาร์สัน ผู้เขียนหลักของงานวิจัยนี้ อธิบาย ที่ยิ่งน่าวิตกคือการล้างมือด้วยสบู่ยาอย่างเดียว อาจทำให้แบคทีเรียดื้อต่อสารฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็นส่วนผสมของสบู่ก็เป็นได้


ความจริง: ถ้าจะฆ่าเชื้อโรคด้วยสบู่ธรรมดา คุณต้องล้างมือนาน ๆ หน่อย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแนะนำให้ถูมือนานอย่างน้อย 15 วินาที และถูให้นานเป็นพิเศษตรงบริเวณข้างใต้และรอบ ๆ เล็บ "นี่คือจุดที่มักจะมีแบคทีเรียสะสมอยู่มากที่สุดครับ" หมอโฮวาร์ด ดอนสกี อาจารย์ผู้ควบคุมการฝึกปฏิบัติงานทางการแพทย์ ด้านโรคผิวหนังที่มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ กล่าว ส่วนตอนที่มือไม่ได้ดูสกปรกอะไรนัก คุณจะใช้เจลฆ่าเชื้อที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบพื้นฐานทำความสะอาดมือแทนก็ได้ โดยกดหรือบีบเจลออกมาจำนวนหนึ่ง และถูกมือนาน 30 วินาที แล้วทำซ้ำอีกครั้ง


ความเชื่อ: ยิ่งครีมกันแดดมีค่า SPF สูงเท่าไรก็ยิ่งดี

แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นครับ "อัตราผลตอบแทนที่ได้จะลดลงน่ะครับ" นพ.ดร.มาร์ติน เวนสตอก ผู้อำนวยการกลุ่มที่ปรึกษาด้านมะเร็งผิวหนังของสมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน กล่าว ตัวเลขที่ได้คือ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ช่วยป้องกันการแผดเผาของรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดได้ 93.3 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ป้องกันได้ถึง 96.7 เปอร์เซ็นต์ แต่พอค่า SPF เพิ่มเป็น 45 กลับป้องกันได้มากขึ้นแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ (97.8 เปอร์เซ็นต์) และพอเพิ่มเป็น SPF 60 ก็ป้องกันได้มากขึ้นแค่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ (98.3)


ความจริง: การป้องกันที่เพิ่มขึ้นแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้จำเป็นอะไรเล ยหากคุณไม่มีประวัติครอบครัวในเรื่องของโรคมะเร็งผิวหนัง หรือดูเหมือนจะอยู่ในกลุ่มผิวไหม้ง่าย คือผิวขาว ผมแดงหรือบลอนด์ ตาสีเขียวหรือฟ้าและตกกระ "การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ซ้ำตลอดทั้งวัน คือวิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้ ขอแค่โปะลงไปให้เยอะ ๆ เป็นพอ" ดร.เวนสตอกกล่าว ที่สำคัญพอ ๆ กันคือ คุณต้องดูให้แน่ใจว่าครีมที่เลือกมีพาร์ชอล 1789 (หรืออะโวเบนโซน) ซิงค์ออกไซด์ หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ซึ่งทำให้อนุภาคเล็กลง เพราะสารประกอบพวกนี้จะช่วยป้องกันรังสียูวีเอที่มีอานุภาพร้ายแรง ซึ่งครีมกันแดดบางยี่ห้อไม่สามารถป้องกันได้


ความเชื่อ: มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่เป็นมะเร็งเต้านม


ผู้ชายไม่มีเต้านมนี่นา ดังนั้นผู้ชายจึงไม่น่าจะเป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่เราก็เป็นกัน โดยมีจำนวนผู้ป่วยใหม่ปีละ 1,500 ราย (และมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคนี้ถึงปีละ 400 คน) "ปัญหาสำคัญที่สุดคือ ผู้ชายส่วนใหญ่ และแม้กระทั่งหมอหลาย ๆ คนก็ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้" นพ.ชารอน เอช. จิออร์ดาโน ศาสตราจารย์ด้านมะเร็งเต้านมวิทยาที่ศูนย์มะเร็งเอ็ม.ดี.แอนเดอร์สันในเทกซัส กล่าว "พวกผู้ชายไม่สนใจก้อนเนื้อ ขณะที่ผู้หญิงรู้ดีว่ามันคืออะไร" และพวกผู้ชายก็ยังไม่เข้าใจด้วยว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 3 ประการ คืออายุ (60 ปีขึ้นไป) ประวัติครอบครัวว่าเคยมีคนเป็นโรคนี้ (ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องเพศชายหรือเพศหญิง) และโรคอ้วน (น้ำหนักที่มากเกินไปจะเป็นผลร้ายต่อระดับฮอร์โมนของผู้ชาย)


ความจริง: ถึงจะมีปัจจัยเสี่ยงแค่อย่างเดียว คุณก็ควรจะตรวจหาก้อนเนื้อด้วยตัวเองทุก 3 เดือน โดยทำตอนอาบน้ำ "ให้คุณใช้ปลายนิ้วคลำที่บริเวณใต้หัวนมและรอบ ๆ หน้าอกเพื่อหาดูว่ามีก้อนเนื้อแปลก ๆ บ้างหรือเปล่า" ดร.จิออร์ดาโนบอก "ก้อนเนื้อที่ว่านี้จะเป็นก้อนเล็ก ๆ แข็ง ๆ เหมือนกับปมเชือกหรือเมล็ดถั่ว" และไม่ว่าจะพบก้อนเนื้อหรือไม่ก็ตาม ถ้ามีของเหลวหรือเลือดไหลออกมาจากหัวนม ก็คงต้องให้คุณหมอส่งตัวคุณไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านมในเพศชายแล้วล่ะ


ความเชื่อ: แอโรบิกคือ การออกกำลังกายเพียงแบบเดียวที่จะช่วยคงความแข็งแรงของหัวใจ


ไม่ว่าใครจะชักจูงให้คุณคิดอย่างไร การยกเวตก็อาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้เช่นกัน ในการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ชายจำนวน 44,000 คน ทีมวิจัยของฮาร์วาร์ดพบว่า คนที่ยกเวตสัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 30 นาที มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ยกเวตเลยถึง 23 เปอร์เซ็นต์ "การยกเวตจะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และอัตราเมทาบอลิซึมขณะหลับ ซึ่งทั้งคู่มีส่วนช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ" นพ.มิเฮลา ทานาเซสคูหนึ่งในผู้เขียนผลการศึกษา กล่าว "มันยังทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น และดื้ออินซูลินน้อยลง ซึ่งจะทำให้โอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจลดลงไปอีก"


ความจริง: ถ้าคุณยกเวตอยู่แล้ว ก็ต้องยกในระดับหนักขึ้น (ทางเลือกหนึ่งคือแบบซูเปอร์เซ็ต ซึ่งเป็นการจับคู่การยกเวตสองชุดที่เน้นกล้ามเนื้อคนละกลุ่ม) ในการศึกษาเดียวกันของฮาร์วาร์ด ทีมวิจัยสังเกตได้ว่าการเพิ่มระดับความหนักของการยกเวตยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจด้วย "การเพิ่มนี้ไม่เกี่ยวกับประเภทของการยกเวตนะครับ" ดร.ทานาเซสคูบอก "และถึงเราจะไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้กัน ผมคิดว่าการยกเวตเกินสัปดาห์ละ 30 นาที จะเป็นผลดีมากขึ้นด้วย"


ความเชื่อ: ค่า PSA ตั้งแต่ 4 ขึ้นไป หมายถึงมะเร็งต่อมลูกหมาก


นั่นคือสิ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะบางคน ทำให้เราเชื่อ "ผู้ชายส่วนใหญ่คิดว่า ระดับ PSA ที่สูงขึ้นหมายถึงมะเร็งต่อมลูกหมากเท่านั้น" ดร.วิลเลียม คาทาโลนา ศาสตราจารย์ด้านระบบทางเดินปัสสาวะที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์ กล่าว "แต่การบาดเจ็บหรือการอักเสบอาจทำให้ PSA ซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อรอบ ๆ (ของต่อมลูกหมาก) ซึ่งเป็นจุดที่ตรวจพบได้ในกระแสเลือด" จริง ๆ แล้วทุกสาเหตุ ตั้งแต่การติดเชื้อแบคทีเรียไปจนถึงการขี่จักรยานนาน ๆ อาจทำให้ระดับ PSA เพิ่มขึ้นเล็กน้อยได้ทั้งนั้น


ความจริง: ค่า PSA ระหว่าง 4 ถึง 10 เป็นช่วงที่วินิจฉัยแน่นอนไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน วิธีเดียวที่จะยืนยันได้ว่าเป็นมะเร็งคือการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ แต่เดี๋ยวนี้แพทย์สามารถที่จะยืนยันผลโดยตรวจวัดค่า complexed PSA ซึ่งเป็นการตรวจที่ดร.คาทาโลนาบอกว่าใช้วัดค่า PSA ที่มีรูปแบบของโมเลกุลแตกต่างออกไป "นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะใช้ตัดสินว่า ค่า PSA เพิ่มขึ้นเพราะมะเร็งหรือภาวะที่ไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงอะไร" ถึงจะวัดค่า PSA ได้แค่ 2.5 คุณก็น่าจะขอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะตรวจวัดค่า complexed PSA ให้ด้วย


ความเชื่อ: มีเพียงคนแก่เท่านั้นที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ส


ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่คุณคิดว่าตัวเองรู้เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์สไปได้เลย ในแต่ละปีร้อยละ 5 ของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ส จำนวนสี่ล้านคนคือคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี ซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์สชนิดที่พบในคนอายุน้อย และมันก็จู่โจมกระทั่งคนวัย 30 และ 40 ปี "อาการของโรคนั้นไม่ได้แตกต่างจากอัลไซเมอร์สชนิดที่พบในคนสูงอายุเลยครับ" ดร.บิล ทายส์ รองประธานฝ่ายกิจการทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ของสมาคมอัลไซเมอร์ส กล่าว "ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ คนที่ต้องทนทุกข์กับโรคอัลไซเมอร์สชนิดที่พบในคนอายุน้อย ยังคงต้องทำงานและพยายามหาเลี้ยงครอบครัวอยู่"


ความจริง: "ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ ประวัติครอบครัวที่ชัดเจน (มีสมาชิกที่เคยเป็นอัลไซเมอร์สชนิดที่พบในคนสูงอายุ หรือชนิดที่พบในคนอายุน้อย)" ทายส์บอก ถ้ามีญาติเป็นโรคนี้ ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท ด้วยเรื่องของการตรวจสอบทางพันธุกรรมแล้วล่ะครับ ถ้าผลออกมาว่าคุณมียีนกระตุ้นหนึ่งในสามอย่างที่รู้จักกันดี คุณอาจจะอยากเริ่มกินแปะก๊วยที่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือดื่มไวน์แดงสักแก้วแบบนาน ๆ ทีซึ่งให้ผลดีกว่าเสียอีก จากการศึกษาที่ดีพิมพ์ในวารสาร Neurology ทีมวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แค่เดือนละครั้ง มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์สน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กระดกแก้วเลยตั้งครึ่งหนึ่ง ที่ต้องเป็นไวน์แดงไม่ใช่ไวน์ขาว เพราะว่าไวน์แดงมีฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารประกอบที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีผลทำให้สมองจดจำได้ดีขึ้นมากกว่าไวน์ขาวตั้งเยอะ

ไม่มีความคิดเห็น: