1.
เหตุเกิดเมื่อวาน ที่คิงพาวเวอร์ ดิวตี้ฟรี ชั้นสาม สนามบินสุวรรณภูมิ
ขณะที่ผมเดินออกจากเลาจน์ของบางกอกแอร์เวย์จะไปที่ขึ้นเครื่องที่เกท C
ไม่รู้อะไรมันดลใจ ให้ผมเลี้ยวซ้ายเข้าไปในร้านดิวตี้ฟรีแบบไม่มีเหตุผล
คือผมไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไร และไม่มีใครฝากซื้ออะไร
แต่คิดว่า เอาน่ะ... จะไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่เกทให้เย็นตูดทำไม
ไปเดินดูของนู่นนี่ก่อนก็แล้วกัน ... ได้เรื่องเลยทีนี้ ...
เดินไปจนถึงแผงแว่นกันแดด เห็นป้ายตัวหนังสือสีแดงใหญ่มาก
มันเขียนคำที่ทรงอานุภาพที่สุดในวงการการตลาด ...
SALE
ที่สำคัญคือ มันไม่ได้ SALE แค่ 5-10%
หรือ sales แล้วมีคำห้อยท้ายเล็กๆว่า on selected items
หรือมีคำสั้นๆเล็กๆแปะไว้ว่า up to ...
มันเขียนตัวใหญ่ๆเป้งๆจะๆว่า
SALE 30-50%
จนผมต้องหันไปถามเจ๊คนขายว่า “เซลล์ทั้งแผงเลยเหรอครับ”
เจ๊ก็ตอบว่า “ค่ะ... เซลล์ทุกอันค่ะ บางอันไม่มีป้ายติด เพราะป้ายหมดค่ะ ”
ผมเองไม่ใช่คนชอบใส่แว่นกันแดดครับ ...
แต่ผมกำลังหาแว่นกันแดดดีๆสำหรับใส่ขับรถมานานมาก
แต่ผมก็ตัดใจไม่ได้ซะที ที่จะจ่ายเงินหลายพันเพื่อซื้อแว่นอันเดียว
จนวันนี้แหละครับ ถึงจะเป็นนักการตลาด ก็โดนอานุภาพของคำว่า SALE
เล่นงานแบบทะลุทะลวงไปถึงบัตรเครดิตในกระเป๋าได้เหมือนกัน
ผมเห็นตู้ใส่แว่นของ Oakley แยกออกมาอีกตู้นึง เลยถามเจ๊ว่า
“ของโอ๊กลี่ย์ลดด้วยหรือเปล่าครับ?”
“ลดค่ะ ... 40% ทั้งตู้ค่ะ”...
ในขณะที่ตาผมลุกวาวเพราะตัวเลขสี่สิบนั้น
ผมสังเกตได้ว่า ผู้ชายวัยรุ่นคนนึงที่เลือกแว่นอยู่ข้างๆกำลังหรี่ตามองผมแบบแปลกๆ
...ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเพราะผมพูดคำว่า “โอ๊กลี่ย์” แน่ๆ
ผมไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรกับสายตาแปลกๆแบบเหยียดๆของผู้ชายคนนั้น
เพราะต้องรีบเลือกแว่น แล้วรูดบัตรจ่ายตังค์ก่อนที่ผมจะตกเครื่อง...
...เสียตังค์ไป 2,400 บาทแบบไม่ตั้งใจ ...
2.
การตั้งชื่อแบรนด์เป็นศาสตร์อย่างนึงของการตลาดครับ
เขาบอกว่า การตั้งชื่อแบรนด์ควรเป็นคำที่จำง่าย ออกเสียงง่าย
จะสามารถสื่อหรือไม่สื่อความหมายถึงคุณสมบัติของสินค้าก็ได้
เขาบอกว่า consumer brand ที่ดังๆในโลกเกือบ 90% มีไม่เกิน 3 พยางค์
(เช่น Sony, Samsung, Nike, Reebok, Canon, Toyota)
แต่มันจะมีแบรนด์อยู่กลุ่มนึงครับ ที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ทฤษฎี
แบรนด์กลุ่มนั้นคือ fashion brand และ designer brand ครับ
เพราะชื่อพวกนี้มักเป็นชื่อของคน หรือตระกูลอันเก่าแก่ หรืออะไรสักอย่างของยุโรป
มันจึงจะออกเสียงยากผิดปกติตามสำเนียงภาษาที่เราไม่คุ้นเคย ...
ขนาดที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่บ้าสินค้าแบรนด์เนมโคตรๆ
ถึงกับมีหนังสือสอนการออกเสียงชื่อแบรนด์เนมอย่างถูกต้องมาวางขาย
ซึ่งคงมีพวกป้าๆไฮโซแห่กันซื้อไปฝึกออกเสียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
(รู้มั้ยครับว่ายอดขายกระเป๋า LV กว่าครึ่งบนโลกนี้อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นนะครับ)
3.
กลับมาที่เรื่อง “โอ๊กลี่ย์” ของผมอีกครั้งนึง ...
ผมยังยืนยันอีกครั้งนะครับว่าแบรนด์ Oakley นั้นอ่านว่า โอ๊กลี่ย์
...หาได้อ่านว่า “โอ๊ก-เล่ย์” อย่างที่คนส่วนใหญ่อ่านกันนะครับ
ผมอาจจะกระแดะเองมั้งครับ ที่เลือกอ่านออกเสียงแบรนด์ให้ถูกต้อง
แทนที่จะเลือกอ่านตามที่คนไทยส่วนใหญ่เขาอ่านกัน ...
ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าการอ่านแบบไทยๆจะเป็นเรื่องผิดนะครับ
ก็บางชื่อมันอ่านยากซะเหลือเกิน ... อ่านให้สะดวกปากดีกว่าเนอะ
ลองมาดูกันครับ ว่าเราอ่านชื่อแบรนด์ดังๆข้างล่างนี้ถูกต้องกันหรือเปล่า?
ผมว่าบางชื่อนี่แม่งโคตรยากครับ ต้องไปศึกษากันอย่างจริงจังถึงจะอ่านถูก
ซึ่งจะว่าไปผมว่ามันก็สนุกดีนะ ...โดยเฉพาะอีชื่อดีไซเนอร์ ...จะยากไปไหน
เพื่อความสนุกสนาน เมื่ออ่านชื่อแบรนด์ภาษาอังกฤษแล้ว
ให้ลองนึกออกเสียงในใจก่อน แล้วค่อยไฮไลท์บรรทัดสีเทาใต้ชื่อ
เพื่อเห็นวิธีอ่านที่ถูกต้องนะครับ จดคะแนนไว้ด้วยยิ่งสนุกครับ ฮ่าๆ
(อนึ่ง, ผมเขียนคำอ่านที่ถูกต้องในสไตล์ไทยๆนะครับ ไม่มีแอ๊กเซ่น
ประเด็นคือต้องการจะชี้ให้เห็นจุดที่เรามักจะอ่านผิดกันแค่นั้นเอง)
Harley Davidson
อ่านว่า ฮาร์ -ลี่ย์-เด-วิด-สัน
อันนี้มาแนวเดียวกับ โอ๊กลี่ย์ เลยละครับ ...
คนไทยอ่าน “ฮาร์เล่ย์” คนอเมริกาอ่าน “ฮาร์ลี่ย์” ครับ
Mercedes Benz
อ่านว่า เมอร์ -ซิ-ดีส์-เบนซ์
บ้านเราจะเรียกกันติดปากว่า “รถเบนซ์” กันทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่นอกบ้านเรา เขามักจะเรียกรถยี่ห้อนี้ว่า “เมอร์ซิดีส์” กันมากกว่า
ซึ่งเคสนี้ก็ใกล้เคียงกับคำว่า “โอ๊กเล่ย์” อีกแล้วครับ เอๆอีๆกันเนี่ยแหละ
Louis Vuitton
อ่านว่า ลุย -วิต-ตอง
คำว่า Louis ไม่ต้องมี ส์ นะครับ หลุยไปเลยครับ หลุย ไม่ต้องหลุยส์
Hermes
อ่านว่า แอร์ -เมส
อีร้านส้มๆที่อยู่ตรงทางเข้าพารากอนนั่นแหละครับ แพงชิบหาย
กระเป๋าใบละเป็นแสน แบรนด์นี้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สุดยอดของกระเป๋าครับ
ผมต้องทำงานสักสองปี ถึงจะซื้อกระเป๋าร้านนี้ได้สักใบนึง
(แอร์เมสในเทพนิยายกรีก เป็นเทพเมสเซนเจอร์ครับ
ถ้าในชื่อแบบโรมัน เราจะรู้จักกันในชื่อว่า “เมอคิวรี่” ครับ)
Dolce & Gabbana
อ่านว่า ดอล -เช่-แอนด์-แก๊บ-บา-น่า
อีร้านนี้ก็ร้านดำๆมืดๆในพารากอน ตรงทางเข้าฝั่งอังรีดูนังต์อะครับ
เป็นแบรนด์ดีไซเนอร์อิตาลี แพงชิบหายเช่นกัน กางเกงยีนส์ตัวละหกหมื่น
สูทตัวละเหยียบแสน ...บ้าไปแล้วครับ บ้าไปแล้ว ...
(อนึ่ง, dolce ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า ของหวาน ครับ
แปลชื่อแบรนด์นี้เป็นภาษาไทย จะได้ว่า ของหวาน กลับบ้านนา)
BVLGARI
อ่านว่า บูล -แก-รี่
แบรนด์นี้แค่สับขาหลอก เอาตัว V มาใส่แทนตัว U แค่นั้นแหละครับ
(ได้ยินมาว่าที่สลับก็เพียงเำพราะความเก๋ไก๋เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง)
เป็นแบรนด์ที่เน้นขายจิวเวลรี่และเครื่องประดับครับ แพงชิบหายเช่นกัน
แต่ที่ผมชอบคือ น้ำหอมครับ น้ำหอม BVLGARI แม่งหอมมากๆๆๆๆๆๆ
เคยมีเพื่อนฝากซื้อน้ำหอมโดยให้ผมเลือกกลิ่นให้
ผมเลือกกลิ่น BVLGARI extreme ให้ ...แล้วก็ไม่ผิดหวังด้วย
(อนึ่ง, ลูกเล่นสลับ UV ยังลามไปถึงชื่อน้ำหอมรุ่นฮิตๆชื่อ AQVA ด้วยนะครับ)
Cartier
อ่านว่า การ์ -ติ-เย่ร์
...คล้ายๆกับที่อ่านชื่อเครื่องสำอาง “การ์นิเย่ร์” นั่นแหละครับ
ร้านนี้ก็ขายเพชรพลอยอัญมณีและเครื่องประดับราคามโหฬารเช่นเดียวกัน
เคยเห็นโลโก้ของ Cartier มั้ยครับ ที่เป็นตัว C สองตัวไขว้กันน่ะครับ
โลโก้นี้มีชื่อว่า Must de Cartier ครับ ...
Comme des Garcons
อ่านว่า กอม -เด-กา-ซอง
บอกตามตรงว่าผมเพิ่งรู้จักชื่อแบรนด์นี้เมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง
ดูทั้งการสะกดและการออกเสียง คงนึกว่าเป็นแบรนด์ยุโรปใช่มั้ยครับ
แต่ผิดครับ! แบรนด์นี้เป็นแบรนด์สัญชาติโตเกียวนี่เอง ...
เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่สไตล์การออกแบบโดดเด่นและเปรี๊ยวจี๊ดมาก
เคยไปร่วมออกแบบให้สินค้าหลายยี่ห้อตั้งแต่ลีวายส์ ไนกี้ จนถึงหลุยส์
...อ๊ะ ...หลุย วิตตองมาแล้ว (...เขียนคำว่า “หลุย” เฉยๆมันดูห้วนๆเนอะ รู้สึกมะ)
แบรนด์นี้กำลังมีคอลเลกชั่นเสื้อผ้าออกขายร่วมกับแบรนด์ H&M ด้วยนะครับ
Longines
อ่านว่า ลอน -จิน
สารภาพว่าผมอ่านแบรนด์นี้ครั้งแรกว่า ลอง-จิ-เนส ครับ ฮ่าๆ
อันนี้เป็นแบรนด์นาฬิกาครับ ผมชอบมาก แต่ไม่มีปัญญาซื้อของจริงครับ
ตอนนี้เลยซื้อของปลอมจากเขมรใส่ ราคา 900 บาท (ก็ของจริงมันแปดหมื่น!!!)
Piaget
อ่านว่า เปีย -เจ้
แบรนด์นาฬิกาอีกแล้วครับ ...อันนี้ผมว่า เปีย-เก็ท เลยครับ...ฮ่าๆ
ฟังชื่อแบรนด์แล้วนึกถึงอาเจ้ผูกเปียยังไงชอบกลเนอะ ...
FAUCHON
อ่านว่า ฟู -ชง
ร้านอาหารกึ่งร้านน้ำชาสุดหรูแห่งกรุงปารีส โด่งดังเรื่องของหวานและชามาก
ร้านฟูชงที่ญี่ปุ่นก็ดังนะครับ เป็นแบรนด์ชาฝรั่งที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว
ใครที่บินกับสายการบิน Singapore airlines ซึ่งมีต้นทางจากประเทศญี่ปุ่น
จะมีของหวานเสิร์ฟเป็นไอศกรีมถ้วยของ FAUCHON ขอบอกว่า อร่อยเหาะ!!!
(อนึ่ง, ใครนึกภาพร้านนี้ไม่ออก ลองคิดซะว่าถ้าเป็นเมืองไทยก็คงประมาณ
greyhound café น่ะครับ ... จะเป็นร้านอาการที่บูติกๆ หรูๆนิดนึง ประมาณนั้น
ถ้าที่อังกฤษ ที่ดังๆก็ร้าน Fortnum & Mason ที่คุ้กกี้ใบชาอร่อยโคตรๆเช่นกัน
ถ้าเป็นที่อเมริกา ก็น่าจะพอๆกับร้าน Dean & DeLuca ครับ)
IKEA
อ่านว่า อิ -เกีย
แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านสัญชาติสวีดิชครับ
แบรนด์นี้ผมชอบมากกกกก แต่ยังไม่เข้ามาเมืองไทยซะทีนึง
นี่ก็ได้ข่าวว่าจะเข้าไทยเร็วๆนี้แล้ว หวังว่าเข้ามาแล้วจะขายไม่แพงนะครับ
แบรนด์นี้หลายคนชอบอ่านว่า “ไอเกีย” เหมือนที่อ่าน “ไอพอด” ครับ
แต่คอนเฟิร์มชัดเจนว่า ที่ถูกต้องต้องอ่านว่า “อีเกีย” นะครับ
(ใครไปสิงคโปร์ ขอแนะนำให้ลองแวะไปอีเกียนะครับ อลังการมากๆ
มีขายทุกอย่างตั้งแต่อาหาร แผ่นรองเม้าส์ ยันตู้เสื้อผ้า...)
ชื่อที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นภาษาอิตาเลี่ยนและฝรั่งเศสครับเหตุเกิดเมื่อวาน ที่คิงพาวเวอร์ ดิวตี้ฟรี ชั้นสาม สนามบินสุวรรณภูมิ
ขณะที่ผมเดินออกจากเลาจน์ของบางกอกแอร์เวย์จะไปที่ขึ้นเครื่องที่เกท C
ไม่รู้อะไรมันดลใจ ให้ผมเลี้ยวซ้ายเข้าไปในร้านดิวตี้ฟรีแบบไม่มีเหตุผล
คือผมไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไร และไม่มีใครฝากซื้ออะไร
แต่คิดว่า เอาน่ะ... จะไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่เกทให้เย็นตูดทำไม
ไปเดินดูของนู่นนี่ก่อนก็แล้วกัน ... ได้เรื่องเลยทีนี้ ...
เดินไปจนถึงแผงแว่นกันแดด เห็นป้ายตัวหนังสือสีแดงใหญ่มาก
มันเขียนคำที่ทรงอานุภาพที่สุดในวงการการตลาด ...
SALE
ที่สำคัญคือ มันไม่ได้ SALE แค่ 5-10%
หรือ sales แล้วมีคำห้อยท้ายเล็กๆว่า on selected items
หรือมีคำสั้นๆเล็กๆแปะไว้ว่า up to ...
มันเขียนตัวใหญ่ๆเป้งๆจะๆว่า
SALE 30-50%
จนผมต้องหันไปถามเจ๊คนขายว่า “เซลล์ทั้งแผงเลยเหรอครับ”
เจ๊ก็ตอบว่า “ค่ะ... เซลล์ทุกอันค่ะ บางอันไม่มีป้ายติด เพราะป้ายหมดค่ะ ”
ผมเองไม่ใช่คนชอบใส่แว่นกันแดดครับ ...
แต่ผมกำลังหาแว่นกันแดดดีๆสำหรับใส่ขับรถมานานมาก
แต่ผมก็ตัดใจไม่ได้ซะที ที่จะจ่ายเงินหลายพันเพื่อซื้อแว่นอันเดียว
จนวันนี้แหละครับ ถึงจะเป็นนักการตลาด ก็โดนอานุภาพของคำว่า SALE
เล่นงานแบบทะลุทะลวงไปถึงบัตรเครดิตในกระเป๋าได้เหมือนกัน
ผมเห็นตู้ใส่แว่นของ Oakley แยกออกมาอีกตู้นึง เลยถามเจ๊ว่า
“ของโอ๊กลี่ย์ลดด้วยหรือเปล่าครับ?”
“ลดค่ะ ... 40% ทั้งตู้ค่ะ”...
ในขณะที่ตาผมลุกวาวเพราะตัวเลขสี่สิบนั้น
ผมสังเกตได้ว่า ผู้ชายวัยรุ่นคนนึงที่เลือกแว่นอยู่ข้างๆกำลังหรี่ตามองผมแบบแปลกๆ
...ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเพราะผมพูดคำว่า “โอ๊กลี่ย์” แน่ๆ
ผมไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรกับสายตาแปลกๆแบบเหยียดๆของผู้ชายคนนั้น
เพราะต้องรีบเลือกแว่น แล้วรูดบัตรจ่ายตังค์ก่อนที่ผมจะตกเครื่อง...
...เสียตังค์ไป 2,400 บาทแบบไม่ตั้งใจ ...
2.
การตั้งชื่อแบรนด์เป็นศาสตร์อย่างนึงของการตลาดครับ
เขาบอกว่า การตั้งชื่อแบรนด์ควรเป็นคำที่จำง่าย ออกเสียงง่าย
จะสามารถสื่อหรือไม่สื่อความหมายถึงคุณสมบัติของสินค้าก็ได้
เขาบอกว่า consumer brand ที่ดังๆในโลกเกือบ 90% มีไม่เกิน 3 พยางค์
(เช่น Sony, Samsung, Nike, Reebok, Canon, Toyota)
แต่มันจะมีแบรนด์อยู่กลุ่มนึงครับ ที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ทฤษฎี
แบรนด์กลุ่มนั้นคือ fashion brand และ designer brand ครับ
เพราะชื่อพวกนี้มักเป็นชื่อของคน หรือตระกูลอันเก่าแก่ หรืออะไรสักอย่างของยุโรป
มันจึงจะออกเสียงยากผิดปกติตามสำเนียงภาษาที่เราไม่คุ้นเคย ...
ขนาดที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่บ้าสินค้าแบรนด์เนมโคตรๆ
ถึงกับมีหนังสือสอนการออกเสียงชื่อแบรนด์เนมอย่างถูกต้องมาวางขาย
ซึ่งคงมีพวกป้าๆไฮโซแห่กันซื้อไปฝึกออกเสียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
(รู้มั้ยครับว่ายอดขายกระเป๋า LV กว่าครึ่งบนโลกนี้อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นนะครับ)
3.
กลับมาที่เรื่อง “โอ๊กลี่ย์” ของผมอีกครั้งนึง ...
ผมยังยืนยันอีกครั้งนะครับว่าแบรนด์ Oakley นั้นอ่านว่า โอ๊กลี่ย์
...หาได้อ่านว่า “โอ๊ก-เล่ย์” อย่างที่คนส่วนใหญ่อ่านกันนะครับ
ผมอาจจะกระแดะเองมั้งครับ ที่เลือกอ่านออกเสียงแบรนด์ให้ถูกต้อง
แทนที่จะเลือกอ่านตามที่คนไทยส่วนใหญ่เขาอ่านกัน ...
ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าการอ่านแบบไทยๆจะเป็นเรื่องผิดนะครับ
ก็บางชื่อมันอ่านยากซะเหลือเกิน ... อ่านให้สะดวกปากดีกว่าเนอะ
ลองมาดูกันครับ ว่าเราอ่านชื่อแบรนด์ดังๆข้างล่างนี้ถูกต้องกันหรือเปล่า?
ผมว่าบางชื่อนี่แม่งโคตรยากครับ ต้องไปศึกษากันอย่างจริงจังถึงจะอ่านถูก
ซึ่งจะว่าไปผมว่ามันก็สนุกดีนะ ...โดยเฉพาะอีชื่อดีไซเนอร์ ...จะยากไปไหน
เพื่อความสนุกสนาน เมื่ออ่านชื่อแบรนด์ภาษาอังกฤษแล้ว
ให้ลองนึกออกเสียงในใจก่อน แล้วค่อยไฮไลท์บรรทัดสีเทาใต้ชื่อ
เพื่อเห็นวิธีอ่านที่ถูกต้องนะครับ จดคะแนนไว้ด้วยยิ่งสนุกครับ ฮ่าๆ
(อนึ่ง, ผมเขียนคำอ่านที่ถูกต้องในสไตล์ไทยๆนะครับ ไม่มีแอ๊กเซ่น
ประเด็นคือต้องการจะชี้ให้เห็นจุดที่เรามักจะอ่านผิดกันแค่นั้นเอง)
Harley Davidson
อ่านว่า ฮาร์ -ลี่ย์-เด-วิด-สัน
อันนี้มาแนวเดียวกับ โอ๊กลี่ย์ เลยละครับ ...
คนไทยอ่าน “ฮาร์เล่ย์” คนอเมริกาอ่าน “ฮาร์ลี่ย์” ครับ
Mercedes Benz
อ่านว่า เมอร์ -ซิ-ดีส์-เบนซ์
บ้านเราจะเรียกกันติดปากว่า “รถเบนซ์” กันทั่วบ้านทั่วเมือง
แต่นอกบ้านเรา เขามักจะเรียกรถยี่ห้อนี้ว่า “เมอร์ซิดีส์” กันมากกว่า
ซึ่งเคสนี้ก็ใกล้เคียงกับคำว่า “โอ๊กเล่ย์” อีกแล้วครับ เอๆอีๆกันเนี่ยแหละ
Louis Vuitton
อ่านว่า ลุย -วิต-ตอง
คำว่า Louis ไม่ต้องมี ส์ นะครับ หลุยไปเลยครับ หลุย ไม่ต้องหลุยส์
Hermes
อ่านว่า แอร์ -เมส
อีร้านส้มๆที่อยู่ตรงทางเข้าพารากอนนั่นแหละครับ แพงชิบหาย
กระเป๋าใบละเป็นแสน แบรนด์นี้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สุดยอดของกระเป๋าครับ
ผมต้องทำงานสักสองปี ถึงจะซื้อกระเป๋าร้านนี้ได้สักใบนึง
(แอร์เมสในเทพนิยายกรีก เป็นเทพเมสเซนเจอร์ครับ
ถ้าในชื่อแบบโรมัน เราจะรู้จักกันในชื่อว่า “เมอคิวรี่” ครับ)
Dolce & Gabbana
อ่านว่า ดอล -เช่-แอนด์-แก๊บ-บา-น่า
อีร้านนี้ก็ร้านดำๆมืดๆในพารากอน ตรงทางเข้าฝั่งอังรีดูนังต์อะครับ
เป็นแบรนด์ดีไซเนอร์อิตาลี แพงชิบหายเช่นกัน กางเกงยีนส์ตัวละหกหมื่น
สูทตัวละเหยียบแสน ...บ้าไปแล้วครับ บ้าไปแล้ว ...
(อนึ่ง, dolce ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า ของหวาน ครับ
แปลชื่อแบรนด์นี้เป็นภาษาไทย จะได้ว่า ของหวาน กลับบ้านนา)
BVLGARI
อ่านว่า บูล -แก-รี่
แบรนด์นี้แค่สับขาหลอก เอาตัว V มาใส่แทนตัว U แค่นั้นแหละครับ
(ได้ยินมาว่าที่สลับก็เพียงเำพราะความเก๋ไก๋เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง)
เป็นแบรนด์ที่เน้นขายจิวเวลรี่และเครื่องประดับครับ แพงชิบหายเช่นกัน
แต่ที่ผมชอบคือ น้ำหอมครับ น้ำหอม BVLGARI แม่งหอมมากๆๆๆๆๆๆ
เคยมีเพื่อนฝากซื้อน้ำหอมโดยให้ผมเลือกกลิ่นให้
ผมเลือกกลิ่น BVLGARI extreme ให้ ...แล้วก็ไม่ผิดหวังด้วย
(อนึ่ง, ลูกเล่นสลับ UV ยังลามไปถึงชื่อน้ำหอมรุ่นฮิตๆชื่อ AQVA ด้วยนะครับ)
Cartier
อ่านว่า การ์ -ติ-เย่ร์
...คล้ายๆกับที่อ่านชื่อเครื่องสำอาง “การ์นิเย่ร์” นั่นแหละครับ
ร้านนี้ก็ขายเพชรพลอยอัญมณีและเครื่องประดับราคามโหฬารเช่นเดียวกัน
เคยเห็นโลโก้ของ Cartier มั้ยครับ ที่เป็นตัว C สองตัวไขว้กันน่ะครับ
โลโก้นี้มีชื่อว่า Must de Cartier ครับ ...
Comme des Garcons
อ่านว่า กอม -เด-กา-ซอง
บอกตามตรงว่าผมเพิ่งรู้จักชื่อแบรนด์นี้เมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง
ดูทั้งการสะกดและการออกเสียง คงนึกว่าเป็นแบรนด์ยุโรปใช่มั้ยครับ
แต่ผิดครับ! แบรนด์นี้เป็นแบรนด์สัญชาติโตเกียวนี่เอง ...
เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่สไตล์การออกแบบโดดเด่นและเปรี๊ยวจี๊ดมาก
เคยไปร่วมออกแบบให้สินค้าหลายยี่ห้อตั้งแต่ลีวายส์ ไนกี้ จนถึงหลุยส์
...อ๊ะ ...หลุย วิตตองมาแล้ว (...เขียนคำว่า “หลุย” เฉยๆมันดูห้วนๆเนอะ รู้สึกมะ)
แบรนด์นี้กำลังมีคอลเลกชั่นเสื้อผ้าออกขายร่วมกับแบรนด์ H&M ด้วยนะครับ
Longines
อ่านว่า ลอน -จิน
สารภาพว่าผมอ่านแบรนด์นี้ครั้งแรกว่า ลอง-จิ-เนส ครับ ฮ่าๆ
อันนี้เป็นแบรนด์นาฬิกาครับ ผมชอบมาก แต่ไม่มีปัญญาซื้อของจริงครับ
ตอนนี้เลยซื้อของปลอมจากเขมรใส่ ราคา 900 บาท (ก็ของจริงมันแปดหมื่น!!!)
Piaget
อ่านว่า เปีย -เจ้
แบรนด์นาฬิกาอีกแล้วครับ ...อันนี้ผมว่า เปีย-เก็ท เลยครับ...ฮ่าๆ
ฟังชื่อแบรนด์แล้วนึกถึงอาเจ้ผูกเปียยังไงชอบกลเนอะ ...
FAUCHON
อ่านว่า ฟู -ชง
ร้านอาหารกึ่งร้านน้ำชาสุดหรูแห่งกรุงปารีส โด่งดังเรื่องของหวานและชามาก
ร้านฟูชงที่ญี่ปุ่นก็ดังนะครับ เป็นแบรนด์ชาฝรั่งที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว
ใครที่บินกับสายการบิน Singapore airlines ซึ่งมีต้นทางจากประเทศญี่ปุ่น
จะมีของหวานเสิร์ฟเป็นไอศกรีมถ้วยของ FAUCHON ขอบอกว่า อร่อยเหาะ!!!
(อนึ่ง, ใครนึกภาพร้านนี้ไม่ออก ลองคิดซะว่าถ้าเป็นเมืองไทยก็คงประมาณ
greyhound café น่ะครับ ... จะเป็นร้านอาการที่บูติกๆ หรูๆนิดนึง ประมาณนั้น
ถ้าที่อังกฤษ ที่ดังๆก็ร้าน Fortnum & Mason ที่คุ้กกี้ใบชาอร่อยโคตรๆเช่นกัน
ถ้าเป็นที่อเมริกา ก็น่าจะพอๆกับร้าน Dean & DeLuca ครับ)
IKEA
อ่านว่า อิ -เกีย
แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านสัญชาติสวีดิชครับ
แบรนด์นี้ผมชอบมากกกกก แต่ยังไม่เข้ามาเมืองไทยซะทีนึง
นี่ก็ได้ข่าวว่าจะเข้าไทยเร็วๆนี้แล้ว หวังว่าเข้ามาแล้วจะขายไม่แพงนะครับ
แบรนด์นี้หลายคนชอบอ่านว่า “ไอเกีย” เหมือนที่อ่าน “ไอพอด” ครับ
แต่คอนเฟิร์มชัดเจนว่า ที่ถูกต้องต้องอ่านว่า “อีเกีย” นะครับ
(ใครไปสิงคโปร์ ขอแนะนำให้ลองแวะไปอีเกียนะครับ อลังการมากๆ
มีขายทุกอย่างตั้งแต่อาหาร แผ่นรองเม้าส์ ยันตู้เสื้อผ้า...)
แต่อีกภาษานึงที่อ่านยากชิบหายเช่นเดียวกันคือ ภาษาเยอรมัน
PORSCHE
อ่านว่า พอช-ชึ่
...รถสปอร์ตยอดนิยมจากเยอรมันที่หนุ่มๆใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ
มันไม่ได้ออกเสียงว่า พอช-เช่ ซะทีเดียวครับ มันจะออก ชึ่ๆ ครึ่งพยางค์นิดนึง
แต่ยังไงก็ไม่ได้ออกเสียงพยางค์เดียวว่า “พอช” แน่ๆละครับ
หรือแม้แต่แบรนด์เอเชีย บางอันแม่งก็ออกเสียงงงๆนะครับ
ASUS
อ่านว่า อา-ซุส
แบรนด์คอมพิวเตอร์สัญชาติไต้หวันเจ้านี้อ่านว่า “อา-ซุส” จริงๆครับ
หลังจากที่คนไทยค่อนประเทศเคยอ่านว่า “เอ-ซัส” กันมาพักใหญ่
หรือหลายคน (เช่นผม) อ่านว่า “...” เลยก็มี...
................................................................................
เป็นไงครับ ได้กันคนละกี่คะแนน ...สนุกชิม้าาาาา...
ถึงจะสนุก แต่ผมเหนื่อยว่ะ ... เพราะแค่แว่นตาอันเดียว ถึงขนาดต้องมาหาข้อมูลเขียนเอนทรี่
แต่เขียนๆไปก็เพลินๆดี บางแบรนด์นี่อ่านชื่อผิดมาตลอด ก็เพิ่งมารู้วันนี้แหละ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คำอ่านของผมมันอาจจะเพี้ยนจากของจริงไปเล็กน้อยนะครับ
เพราะจะให้ตรงเป๊ะ มันควรจะเขียนเป็นภาษาโฟเนติกส์เลยน่ะ เว่อร์ไป...
จริงๆยังมีชื่อแบรนด์อีกเยอะมาก ที่ออกเสียงยากกว่าที่ยกมาวันนี้อีก
ส่วนมากก็เป็นแบรนด์ดีไซเนอร์ กับแบรนด์รถยุโรปทั้งนั้นล่ะครับ
หลายแบรนด์นี่ขนาดฝรั่งหัวทองมันยังออกเสียงไม่ค่อยจะเหมือนกันเลย
บางแบรนด์ถึงขนาดทะเลาะตบตีตั้งโหวตในกระทู้กันเลยทีเดียวเชียว
ขอขอบคุณบทตวามสนุก..สนุก bongtao.exteen
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น