19 ก.ย. 2554

ยาสีฟันฟลูออไรด์ : สาเหตุของของการเกิดตุ่มคล้ายสิวบริเวณคาง


สิวที่ขึ้นบริเวณมุมปากไปจนถึงคางและบางครั้งก็จะขึ้นเลยไปที่ใกล้ ๆ แก้ม สิวลักษณะนี้ค่อนข้างรักษายากและไม่ค่อยตอบสนองต่อวิธีการรักษาทั่ว ๆ ไป และหลาย ๆ คนก็เป็นสิวลักษณะนี้ จึงได้มีการประเมินความคิดและสัมภาษณ์ผู้เป็นสิวในกลุ่มนี้ พร้อมกับการสังเกตผลที่ได้ ข้อสันนิษฐานที่เคยสงสัยก็คือน้ำลายของแต่ละคน หรือสารเคมีที่ปนอยู่ในน้ำลาย อาจไหลเข้าไปที่รูขุมขนในขณะที่หลับ ทำให้เกิดลักษณะคล้ายสิวขึ้น สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้เหมือนกันในผู้ที่เป็นสิวลักษณะนี้ (ประมาณ 65 คน) คือพวกเขาเหล่านั้นต่างใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ นั่นทำให้นึกได้ถึงข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่เคยมีการชี้แจงไปแล้วว่า การใช้สเตียรอยด์ ฟลูออริเดททาลงบนผิวหน้าจะทำให้เกิดอาการผื่นคล้ายกับสิวขึ้นรอบ ๆ ปาก

จะเห็นได้ว่ายาสีฟันผสมฟลูออไรด์นั้นเป็นประเภทหนึ่งของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฟัน และสิ่งที่ค้นพบก็มีเหตุผลที่ประจวบเหมาะกันพอดี เมื่อผู้ป่วยทำการเปลี่ยนจากยาสีฟันผสมฟลูออไรด์มาเป็นสูตรไม่ผสมฟลูออไรด์ ภายใน 2-4 สัปดาห์ พบว่าโดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมีอาการลดลง อีก 50% พบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่แย่ลง ไม่ดีขึ้น ระหว่างการทดลองนี้ ผู้ป่วยไม่ได้ใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากเปลี่ยนยาสีฟัน จากจุดนี้จึงทำให้แน่ใจว่าข้อเท็จจริงที่เคยสันนิษฐานนั้นน่าจะถูก

และมีข้อสังเกตด้วยว่าผู้ป่วยเหล่านี้ที่เข้ารับการทอลองได้เคยรักษาอาการคล้ายสิวลักษณะนี้ด้วยวิธีการรักษาสิวทั่ว ๆ ไป เช่นการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพิเศษ, การควบคุมอาหาร, การรับประทานยาแก้อักเสบในขนาดความแรงหลาย ๆ ระดับ, การใช้โลชั่นทารักษาหลายประเภทและหลายระดับความเข้มข้น แต่ระหว่างการทดลองนี้ผู้ป่วยไม่ได้ใช้อะไรรักษาเลยนอกจากการเปลี่ยนยาสีฟัน

ยังมีประเด็นที่น่าสนใจที่สังเกตได้ว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีพฤติกรรมที่เหมือนกันคือการนอนตะแคง ทำให้สารเคมีในน้ำลายไหลออกมาทางด้านข้างและย้อนเข้ารูขุมขน

หวังว่าข้อสังเกตต่าง ๆ เหล่านี้คงจะมีประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ ในแง่ของผิวหนัง และบางทีอาจเป็นข้อมูลที่ใช้ในการเก็บสถิติในการประเมินงานวิจัยก็เป็นได้

ทายนิสัยจากขนาดของศรีษะ

ลักษณะและขนาดของ ศีรษะ ของ คนเรานั้นสามารถบอกถึงนิสัยใจคอของผู้นั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะศรีษะเล็ก หรือ ขนาดใดๆก็ตาม สามารถบอกได้หมดเลยค่ะ อยากรู้แล้วล่ะสิว่าศรีษะของคุณเป็นแบบใน วันนี้เรามีมาฝากกันถึง 14 แบบ ไปดูกันเลย ดีกว่า....

1. ศีรษะใหญ่ - ถ้าใหญ่กว่ามาตรฐานจะเป็นคนฉลาด มีเหตุผล มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงและจะประสบความสำเร็จในชีวิต

2. ศีรษะใหญ่มาก - กรณี ที่ใหญ่มากขนาดเรียกว่า "หัวโต" ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงจะเป็นคนดื้อรั้นและไม่ค่อยยืนหยุ่นบางครั้ง เป็นผลจากต่อมในร่างกายบางอย่างผิดปกติ

3. ศีรษะเล็ก - เป็นคนที่มีสัญชาตญาณระวัง เตรียมตัวล่วงหน้าได้ดี อารมณ์ขึ้นลงง่ายไร้ความคิด หุนหันพลันแล่น

4. ศีรษะเล็กมาก - เป็นลักษณะของคนเฉื่อยชา อ่อนแอและถูกชักจูงได้ง่าย เหมือนขาดการพัฒนาถึงขีดสุด ทั้งที่บางคนเป็น คนฉลาด แต่ขาดพลังในตัว

5. ศีรษะกว้างมากระหว่างสองหู - เป็นคนคล่องแคล่ว มีหัวทางธุรกิจ ไม่ค่อยสนใจขัดเกลาจิตใจเท่าไร

6. ศีรษะกว้างและเป็นโหนก - ถ้าด้านหน้า และส่วนบนของศีรษะดูกว้างเป็นลักษณะของคนที่ชอบศึกษาอาหารทางใจ พวกนี้จะอยู่ในโลกแห่งความฝัน บางครั้งสับสนระหว่างโลกความจริงกับจินตนาการ

7. คนที่มีลักษณะหัวแหลม - คนที่มีศีรษะกว้างมาก หากวัดจากส่วนบนใบหูทั้ง 2 ข้างเป็นหลัก คือ วัดจากหูด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งแล้วยาวมากกว่า 16 ซม. และศีรษะส่วนบนแคบมากจนแหลม คนที่มีลักษณะเช่นนี้จะเป็นคนกระด้าง ชอบใช้อำนาจคิดจะเป็นคนขี้อิจฉาหวงของโลภมากและเป็นคนประเภทวัตถุนิยม

8. ศีรษะรูปไข่ - หากศีรษะมีลักษณะยาวรีกลมคล้ายรูปไข่ จะเป็นคนฟุ้งซ่านสนใจเรื่องศาสนา และทุ่มเทเพื่ออุดมคติ ลักษณะเช่นนี้ ทำให้เกิดศัพท์แสลงว่า "Egg head" ขึ้น

9. ศีรษะโหนกมาก - ลักษณะเช่นนี้ เป็นลักษณะของคนที่ปล่อยให้จิตใจเป็นใหญ่ แต่ถ้าต้นคอก็โหนกนูนด้วย แสดงว่าเป็นคนมาก ในกามเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา

10. รูปศีรษะปกติ - หมายถึง ศีรษะขนาดธรรมดา ได้สัดส่วนกับร่างกาย และส่วนบนสุดของศีรษะจะกว้างกว่าเล็กน้อย เป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความสมดุลในจิตใจและร่างกาย

11. ศีรษะด้านหน้ากว้างด้านหลังแบน - มีความกว้างและความยาวกว้างเกือบเท่ากัน คนที่มีลักษณะแบบนี้จะเป็นคนที่มีกำลัง มีเสน่ห์ปรับตัวเข้ากับหมู่คณะได้ดี ของสังคม

12. ศีรษะด้านบนแบน - ถ้าพบคนที่มีลักษณะศีรษะด้านบนแบนจะเป็นคนมองอะไรผิวเผินมาก พูดจากขวานผ่าซาก สามารถ ถากถาง คนได้เจ็บแสบ

13. ศีรษะด้านหลังโหนกมาก - ลักษณะแบบนี้ มักจะพบกับคนที่มีนิสัยยึดมั่น เชื่อมั่นเปลี่ยนความเชื่อยาก

14. ศีรษะบริเวณท้ายทอยมีลักษณะลาดต่ำ - ถ้าศีรษะด้านหลังบริเวณท้ายทอยมีลักษณะนูนโหนก เป็นลักษณะของคนที่สามารถจะฝ่าฝันอุปสรรคชีวิตได้ดี มีนิสัยชอบประนีประนอมถ่อมตนเพื่อความสงบ


ครบทั้ง 14 แบบแล้วลองสังเกตุตัวเองและคนรอบข้างดูบ้างแล้วหรือยังจะได้ทราบว่าคุณหรือเค้าแท้จริงเป็นอย่างไร ???

18 ก.ย. 2554

ข้อดี และข้อเสีย ของ Notebook แต่ละยี่ห้อ และความรู้ล้วนๆ


Asus

ข้อดี: เด่นเรื่องการรับประกัน จะยาวนานกว่ายี่ห้ออื่น (รับประกัน 2 ปีทุกรุ่น ยี่ห้ออื่น 1 ปีครับ) จึงน่าวางใจกว่ายี่ห้ออื่น เพราะ Notebook หากเสียมักเปลี่ยนยก Board ค่าเปลี่ยนแพงมากๆ (หลักหมื่น)
เป็นผู้ผลิต Mainboard ชื่อดัง การออกแบบจัดวางอุปกรณ์ภายในทำได้ดี
ปัจจุบันได้เริ่มผลิต Notebook บางรุ่นที่มีความโดดเด่นเรื่องการ์ดจอ เช่น รุ่น F8SG
เป็นยี่ห้อที่มักนำ CPU รุ่นใหม่ๆ และ การ์ดจอรุ่นใหม่ๆ มาผลิตเป็น Notebook
มี Notebook หลากหลาย Spec และราคาให้เลือก ตั้งแต่รุ่น VX , รุ่น G
, ที่โดดเด่นทุกด้าน ราคานับแสนบาท ลงมาจนถึงรุ่น X80LE ราคาไม่ถึงสองหมื่น

ข้อด้อย: Optical Drive และ แกนพับจอในบางรุ่นในอดีตเสียง่าย แต่ปัจจุบันน่าจะได้รับการแก้ไขแล้ว
และ Chip set ที่ใช้ใน Mainboard Notebook บางรุ่นได้ลดต้นทุนนำ Chip set ของ SIS มาใช้แทน Chip set ของ Intel บอกไว้เผื่อบางคนอาจไม่ชอบ SIS

Acer

ข้อดี: เด่นเรื่อง Spec ต่อราคา และรูปทรง
คือถ้าราคาเท่ากัน ก็มักจะได้ Spec เครื่องที่สูงกว่า
หรือ Spec ที่เท่ากันจะราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
รูปทรงก็ดูสวยงาม โดนใจวัยรุ่น
จึงมียอดขายเป็นอันดับ 1 ในไทย
หลายคนที่ใช้หลักการซื้อแบบเทียบ Spec แล้วซื้อตัวที่ถูกกว่า
ก็จะได้ยี่ห้อนี้

ข้อด้อย: มักมีปัญหาที่หลากหลายหลังนำมาใช้ โดยเฉพาะเรื่องวัสดุที่นำมาผลิตประกอบเป็น Notebook ในรุ่นที่ราคาไม่สูงมักแตกหักง่าย ซึ่งทั้งหมดก็อาจจะเป็นเพราะราคาที่ถูกกว่ายี่ห้ออื่นก็เป็นได้

Toshiba

ข้อดี: เป็นยี่ห้อแรกๆ ที่ร่วมบุกเบิกการผลิต Notebook
เด่นเรื่องความทนทาน และความเสถียรของ Software ยี่ห้อนี้จึงมักขายพร้อม Windows ลิขสิทธิ์ (แม้ในรุ่นราคาถูก)
เมื่อก่อนเน้นขายตลาดบนราคาเฉียดแสน
ตอนนี้เปิดตลาดระดับล่างควบคู่กัน ด้วยราคา 2-3 หมื่นบาทก็มีขาย
เทียบ Spec. แล้วดูเหมือนจะแพง แต่ถ้าคิดราคา Software ลิขสิทธิ์แบบ OEM ราว 2-3 พันบาทก็จะพอๆ กับยี่ห้ออื่น

ข้อด้อย: Notebook ค่ายนี้จะไม่เน้นเรื่องการ์ดจอ จะใช้การ์ดจอรุ่นเทียบเท่า Onboard ทั่วไป เช่น GMA X3100 (ยกเว้นรุ่น Qosmio AV notebook, รุ่น M300 ในบางรุ่นย่อย, รุ่น A200 ในบางรุ่นย่อยที่ใช้การ์ดจอแยก)

Lenovo

ข้อดี: ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่สัญชาติจีน
มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 4 ของโลกรองจาก HP, Dell, Acer
เดิมเป็นผู้ผลิต Notebook และ PC ให้กับ IBM
ตอนหลังซื้อกิจการส่วน PC/Notebook มาทำตลาดเอง
เป็น Notebook ที่เน้นความทนทาน โดยเฉพาะรุ่น ThinkPad
ภายหลังออกเป็นรุ่น IdeaPad

ข้อด้อย: การออกแบบภายนอกยังคงมีรูปลักษณ์ที่รับมาจาก IBM มาก
รูปทรงอาจเชยๆ ไม่โดนใจวัยรุ่น

HP/Compaq (ค่ายเดียวกัน)

ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก
ส่วนแบ่งการตลาดมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลก
ทำตลาดระดับบนด้วย Notebook HP รุ่น Pavillion
ขายระดับล่างด้วยยี่ห้อ Compaq
เป็น Notebook ที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้งานได้ดีมากยี่ห้อหนึ่ง
โดดเด่นเรื่อง Chip เสียง และลำโพงในรุ่นราคาสูง
มีศูนย์บริการค่อนข้างครอบคลุมทั่วไทย
ส่วนรูปทรงการออกแบบเป็นอเมริกันจ๋า อาจไม่ค่อยโดนใจวัยรุ่นไทย
แต่ปัจจุบันก็ดูมีความโครงมนกลมกลืนสวยไม่แพ้ยี่ห้ออื่นถูกใจวัยรุ่นมากขึ้น
ยี่ห้อ Compaq ปัจจุบันถ้าออกแบบมาสำหรับติดตั้ง Windows Vista
หากผู้ใช้ต้องการเปลี่ยนเป็น Windows XP มักประสบปัญหาในการติดตั้ง
แต่ก็สามารถทำได้โดยใช้เทคนิคเล่นกับ BIOS
User อย่างเราๆ ก็เสี่ยงที่จะทำเองนะ
และ Driver ต่างๆ สำหรับ Notebook Compaq ถ้าเป็นรุ่นออกใหม่ๆ
อาจยังไม่ได้ลง Support ไว้ใน Web HP ก็อาจหายากในช่วงแรกหน่อย

BenQ

เคยเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ร่วมกับ Acer
ในต่างประเทศจะมีชื่อเสียงมาก่อนไทย
ในไทยพึ่งเริ่มเข้าทำตลาด ด้วย Notebook ที่เน้นเรื่องการ์ดจอ
เช่น รุ่น Joybook S41 ,S42
และการออกแบบภายนอกที่ค่อนข้างโดนใจวัยรุ่น
แต่หลายท่านจะบ่นเรื่องต้องรอนานเมื่อเคลมประกัน (บางชิ้น เช่น Mainboard ต้องสั่งจากนอก)
ซึ่งอาจจะเกิดจากการ Support/Service ยังไม่เข้าที่เข้าทางจากการเริ่มเข้าทำตลาดใหม่ๆ ในประเทศไทย

Sony

เป็น Notebook สัญชาติญี่ปุ่น
ที่เน้นทำตลาดระดับบนด้วยการออกแบบที่สวยงาม น้ำหนักเบา น่าใช้
เนื่องจากเป็น Notebook ที่สวย จึงอาจจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า
ก็ถือว่าเป็นยี่ห้อที่เน้นการผลิตเครื่องที่สวยงามลงตัวและเน้นผลิต Notebook ที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยยี่ห้อหนึ่ง
ทำให้ราคากสูงตามไปด้วย รวมทั้งอะไหล่ที่จะต้องซื้อแพงกว่ายี่ห้ออื่น
ช่วงหลังเปิดตลาดระดับกลางด้วย Notebook ระดับราคาประมาณ 4-5 หมื่นบาท
หากเน้นภาพลักษณ์/การออกแบบ/ประสิทธิภาพ ไม่เกี่ยงราคา
ก็ถือว่าน่าใช้มากๆ อีกยี่ห้อนึง

Fujitsu

เป็น Notebook สัญชาติญี่ปุ่นเช่นกัน
ใช้สีเทาเงินเป็นเอกลักษณ์
เป็น Notebook ที่จับตลาดระดับบนเช่นเดียวกับ Sony
ถ้าเป็นผู้ชาย หากมอง Notebook ที่เน้นภาพลักษณ์ ออกแบบดี ประสิทธิภาพสูง
ก็มักจะมองที่ยี่ห้อนี้ส่วนใหญ่
แต่ราคาและอะไหล่ก็จะสูงตามไปด้วย
ปัจจุบันก็แตก line มาผลิต Notebook ระดับราคากลางๆ (ประมาณ 3-4 หมื่นบาทขายด้วยแล้ว

Dell

เป็น Notebook ที่มีวิธีการจำหน่ายแบบแตกต่างจากยี่ห้ออื่น
ไม่มีขายตามร้านจำหน่ายทั่วไป ถ้าเห็นมีขายแสดงว่าร้านนั้นโทรฯ สั่งซื้อจาก Dell มาอีกที
ถ้าต้องการสั่งซื้อที่ร้าน(ที่ๆ ต้องการ)จะโทรฯ ติดต่อกับ Sale เพื่อกำหนด Spec ตามที่เราต้องการ
หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการผลิตและจัดส่ง
Notebook ของ Dell เด่นเรื่องความทนทานและการบริการ
ถ้าเครื่องมีปัญหาช่างจาก Dell จะให้บริการแบบ Onsite Service (บริการถึงบ้าน/สำนักงานในวันทำการถัดไป)
การสั่งซื้อลักษณะนี้หากเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ หรือผู้ใช้หลายๆ ท่านรวมกันสั่งซื้อคราวละมากๆ ราคาที่จะถูกกว่า Notebook ยี่ห้ออื่นที่ Spec ใกล้เคียงกันมากแต่การขายแบบนี้คนไทยเราไม่ค่อยคุ้นเคย
และไม่เห็นสินค้าก่อนการโอนจ่ายเงิน
ดังนั้นอาจได้เครื่องที่รูปทรงไม่ถูกใจได้
รวมทั้งเราต้องมีความรู้เรื่อง Spec อยู่บ้างในการสั่งซื้อ
หลายท่านไม่อยากสั่งซื้อเองจึงหาซื้อผ่านร้านค้า
จุดนี้ก็ให้ Check ระยะเวลารับประกันด้วย
โดยจด Service Tag แล้ว Check ที่ Web ของ Dell
เพราะถ้าเครื่องมาอยู่ที่ร้านนาน เราก็จะได้ระยะการประกันที่ลดลง
เพราะการรับประกันจะเริ่มต้นเมื่อร้านซื้อมา
และสุดท้ายยี่ห้อนี้ยังเคยเป็นอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว

SVOA ,Atec

เป็น Notebook ที่เรียกว่า Local Brand ได้เลย หรือเป็นยี่ห้อของไทยนั่นเอง
SVOA เป็นของบริษัทสหวิริยาโอเอซึ่งเดิมเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อ Acer เมื่อ Acer เป็นที่นิยมในไทยบริษัทแม่เลยเข้ามาทำตลาดเอง สหวิริยาโอเอจึงหันมาทำตลาดคอมพิวเตอร์ในชื่อของตนเองคือ SVOA
เป็น Notebook ที่เมื่อเทียบ Spec/ราคา ก็คล้ายๆ Acer คือ Spec เท่ากันราคาจะถูกกว่า หรือ งบเท่ากันจะได้ Spec ที่ดีกว่า เป็น Notebook ที่เน้นในเรื่องการออกแบบรูปลักษณ์
แต่ในการนำมาใช้งานก็เห็นผู้ใช้บ่นกันในเรื่องการบริการหลังการขายพอสมควร

Mac Book

จากค่าย Apple คอมพิวเตอร์ที่มีความโดดเด่นเรื่องการใช้งานด้าน Graphic
และการออกแบบที่ถือว่าอยู่ในขั้นเทพ
ผลิตภัณฑ์จากค่ายนี้การออกแบบจะใส่ใจทุกรายละเอียด
จึงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามลงตัว
สะดวกในการใช้งาน(ถ้าคุ้นเคยแล้ว)
ปัจจุบันได้ใช้ CPU จาก Intel ในผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถลง Windows ได้
หรือจะลง OS X Leopard กับ Windows ในเครื่องเดียวกันแล้วเลือก Boot ใช้ก็ได้
แต่ถ้าลง Windows บางท่านก็อาจจะมองว่าเป็นการเสียของ
เพราะประสิทธิภาพที่ได้จะสู้ Notebook ยี่ห้ออื่นที่ลง Windows ไม่ได้
ผู้ใช้ Mac Book จะดูภาพลักษณ์ดี ไวรัสไม่ค่อยกวนใจ ป้องกันไวรัสได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ
แต่ถ้าเครื่องมีปัญหาก็อาจมองหาผู้รู้ยากหน่อย รวมทั้งราคาก็ยังถือว่าสูงกว่า PC หรือ Notebook ยี่ห้ออื่นๆ อยู่บ้าง ก็แล้วแต่คนชอบ และสไตล์

10 ความเชื่อเรื่องสุขภาพ... ที่ไม่เคยจริง


เคย มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของตัวเองและคนรอบตัวบ้างไหม เชื่อว่ากินอะไรแล้วจะไม่สบาย อยู่ในที่แบบไหนแล้วจะป่วย หรือยาแบบไหนไม่ดีต่อสุขภาพ หลาย ๆ ความเชื่อเป็นจริงค่ะ แต่อีกหลาย ๆ ความเชื่อก็เป็นเหมือนนิทานหลอกเด็ก และเพื่อไม่ให้โดนหลอก วันนี้ Momypedia จะมาช่วยยืนยัน 10 ความเชื่อเรื่องสุขภาพที่ไม่เป็นจริงให้ได้รู้กันค่ะ

1.การฉีดวัคซีนทำให้เป็นออทิสติก

เหตุของความเชื่อนี้มาจากเมื่อปี 1998 มีผู้ปกครองของเด็กกลุ่มนี้ยื่นเรื่องฟ้องโรงพยาบาลที่พาลูกไปฉีดวัคซีน ป้องกันโรคหัดและคางทูม หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็เริ่มมีอาการของโรคออทิสติก ซึ่งทำให้มีการศึกษาถึงผลข้างเคียงของวัคซีนมาตลอดแต่ก็ไม่พบปัจจัยอะไรที่ ทำให้เกิดโรคดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่าการเกิดโรคออทิสติกในเด็กกลุ่มนั้นน่าจะเกิดจากการเลี้ยงดู หรืออาการแฝงที่มีมาตั้งแต่กำเนิดมากกว่า


2.วิตามินเสริมทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้น

หลายคนกินวิตามินเสริมมื้อละหลายอย่าง เช่น วิตามินบี ซี อี รวมไปถึงแคลเซียม เป็นต้น โดยเชื่อว่ายิ่งกินมากจะยิ่งทำให้สุขภาพดีมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะโดยปกติแล้วเราได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ พอดีกับความต้องการของร่างกายอยู่แล้วหากในแต่ละวันเรากินอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และการกินอาหารเสริมอาจจะยิ่งทำให้ร่างกายได้รับอันตรายจากการได้รับวินามิ นและแร่ธาตุบางอย่างเกินความจำเป็น เช่น ได้รับวิตามินซีมากไปอาจทำให้ท้องเสีย มีกรดในกระเพาะสูง ปวดตามข้อ กระดูกพรุน ปวดศีรษะโลหิตจาง การลดลงของฮอร็โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน เป็นต้น


3.อากาศหนาวเย็นทำให้ไม่สบาย

จริง ๆ อากาศหนาวเย็นไม่ได้ทำให้เราป่วยหรือเป็นหวัดอย่างที่คิด แต่การที่เราเป็นหวัดก็เนื่องมาจากร่างกายอ่อนแอและได้รับเชื้อไวรัสที่มี อยู่แทบทุกที่รอบตัว สังเกตได้จากหลาย ๆ คนที่อยู่ในที่หนาวเย็นโดยส่วนใหญ่ก็ยังสุขภาพดีได้ แต่เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคนั้นแท้จริงอยู่ภายในบ้าน และในช่วงที่อากาศหนาวเย็นเราก็มักจะอยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อยออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการรัไม่สบายได้ จริง ๆ แล้วมีผลการวิจัยว่าการได้รับอากาศหนาวเย็นบ้างยิ่งดีต่อสุขภาพ เพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการเร่งของหัวใจ ทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายได้ทำงานนั่นเอง


4.สมองของเราทำงานเพียง 10%

มีการทดสอบด้วยการสแกนสมองในขณะที่มีการทำงาน ทำกิจกรรม หรือแม้แต่การหัวเราะ ผลปรากฏว่าสมองแทบทุกส่วนยังคงทำงานประสานกันเป็นปกติและตลอดเวลา ซึ่งไม่พบว่าจะมีสมองส่วนใดเลยที่หยุดนิ่ง ไม่ทำงาน หรือไม่ถูกกระตุ้น ดังนั้นความเชื่อนี้จึงไม่เป็นความจริง แต่การที่ยังคงมีความเชื่อนี้ ก็เนื่องมาจากความพยายามที่จะกระตุ้นให้เราพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเอง ให้ถึงขีดสุด มากกว่าการหยุดขี้เกียจอยู่กับที่


5.น้ำตาลทำให้เด็กอาละวาด

เชื่อกันว่าถ้าให้เด็ก ๆ กินของหวานเมื่อไหร่ เขาจะกระตือรือร้นจนเข้าขั้นอาละวาดไม่หยุดเลยทีเดียว ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง แม้ว่าน้ำตาลทำให้เด็กตื่นตัวก็จริง แต่ก็ทำให้เด็กมีความสงบลงมากกว่าอารมณ์รุนแรง มีการวิเคราะห์ว่าความเชื่อดังกล่าวน่าจะมาการที่พ่อแม่เห็นเด็ก ๆ มารวมตัวกัน กินขนมและของหวาน และเล่นกันแบบควบคุมไม่อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้มาจากผลของน้ำตาลโดยตรง แต่เป็นผลมาจากความกระตือรือร้นของเด็ก ๆ เองที่ได้กินขนมและได้สนุกกับเพื่อน ๆ มากกว่า


6.ต้องตื่นอยู่เสมอเมื่อได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนรุนแรง

ไม่ใช่ทุกอุบัติเหตุที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองที่เราจะต้องตื่นอยู่ ตลอดเวลา หากได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ในเบื้องต้น เช่น การตรวจการการได้ยิน การเบิกตัวของม่านตา การพูดจา และการรับรู้ความรู้สึก เราก็สามารถหลับหรือหมดสติได้ตลอดเวลาโดยไม่มีอันตราย ซึ่งจะต่างจากการที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนจากรถชน หรือล้มหัวฟาดอย่างรุนแรงที่มักจะได้รับการวินิจฉัยว่าจะต้องทำให้ตื่นตัว อยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการขั้นโคม่าได้หากหมดสติไป


7.หมากฝรั่งจะอยู่ในท้องนานถึง 7 ปี หากเผลอกลืนเข้าไป

หมากฝรั่งก็ไม่ต่างจากอาหารทั่วไปที่เรากินค่ะ แต่ที่ต่างคือ เมื่อกลืนลงท้องไปแล้วจะไม่ถูกย่อยเพราะน้ำย่อยในร่างกายไม่เหมาะกับการย่อย หมากฝรั่ง และหมากฝรั่งก็ไม่มีสารอาหารให้ร่างกายได้ดูดซึม สิ่งที่ร่างกายทำได้คือ การขับหมากฝรั่งออกมาพร้อมกับของเสียต่าง ๆ ตามกระบวนการขับถ่ายตามปกตินั่นเอง




8.อ่านหนังสือในที่มืด หรือนั่งดูทีวีใกล้ทำให้เสียสายตา

จริง ๆ แล้วการทำเช่นนั้นไม่ใช่สาเหตุของการเกิดอาการสายตาสั้นอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ แต่อาการปวดตา แสบตา หรือปวดหัวจากการอ่านหนังสือในที่มืดหรือดูทีวีใกล้ ๆ มาจากการที่เราต้องเกร็ง หรือเพ่งเพื่อปรับโฟกัสในการใช้สายตาได้อย่างเต็มที่ และมองเห็นได้ชัดเจน แต่การนั่งดูทีวีใกล้ ๆ กลับเป็นอาการบ่งชี้ว่าเราอาจจะสายตาสั้นเสียมากกว่า


9.ควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว

ความเชื่อนี้ดูจะทำให้คนทั่วโลกต้องทำตาม แต่จริง ๆ แล้วการที่ร่างกายต้องการน้ำวันละ 2.5 ลิตร (หรือประมาณ 8 แก้ว) นั้นไม่ใช่จากการดื่มน้ำสะอาดเพียงอย่างเดียว น้ำปริมาณ 2.5 ลิตรที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันนั้นยังรวมถึงน้ำจากอาหารต่าง ๆ ที่เรากินในแต่ละวันด้วย เช่น ข้าว ผลไม้ เป็นต้น แต่หากใครยังอยากดื่มน้ำวันละ 8 แก้วอยู่ก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น


10.ว่ายน้ำหลังจากกินอิ่มทันทีจะทำให้เป็นตะคริว

ความเชื่อนี้ทำให้หลายคนถึงกับเซ็ง เพราะแทนที่จะลงว่ายน้ำได้ทันทีหลังจากกินข้าวหรือของว่างได้เลย แต่กลับต้องรอจนหายอยาก ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะตะคริวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่ว่าเราจะกินอิ่มหรือไม่ก็ตาม ตะคริวเกิดจากการที่กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งหรือใช้กำลังมาก ๆ ดังนั้นควรวอร์มร่างกายก่อนลงน้ำทุกครั้ง การว่ายน้ำหลังจากกินอิ่มทันทีมักจะทำให้เกิดอาการเดียวคือ จุก เพราะคุณอาจจะกระโดดลงน้ำอย่างแรง หรือโหมว่ายหรือเล่นมากไปจนแรงดันของน้ำอาจทำให้เกิดอาการจุกได้มากกว่าเป็น ตะคริว

กลิ่นปาก บอกอะไรเรา


ปัญหากลิ่นปาก ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ เพราะทุกครั้งที่พูด ลมหายใจบวกกับกลิ่นไม่ดีที่ลอยออกจากช่องปาก อาจสร้างความรังเกียจให้กับบุคคลทั่วไป แถมทำให้เจ้าตัวเสียบุคลิกภาพได้อย่างง่าย ๆ อีกด้วย

ศูนย์ทันตกรรม Dentalis โรงพยาบาลเวชธานี ที่เปิดให้การรักษาปัญหากลิ่นปากพบว่าร้อยละ 80-90 ของผู้ที่มีปัญหากลิ่นปากเรื้อรังมักมีสาเหตุมาจาก ปัญหาภายในช่องปาก ที่มีทั้งลิ้นเป็นฝ้า ร่องเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์หรืออวัยวะรอบฟันอักเสบ แผลในช่องปาก ฟันผุ ฟันคุด ฟันซ้อนเก ฟันปลอมหรือวัสดุอื่น ๆ ที่ใส่เพื่อจัดแต่งฟันไม่สะอาดมีเศษอาหารติดค้าง


ส่วนปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดกลิ่นปากคือ อาหาร แม้จะไม่ใช่ตัวการก่อกลิ่นที่เรื้อรัง คุณก็ควรรู้ไว้ว่าการรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนสูงอย่าง กระเทียม เครื่องเทศ หัวหอม รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ จะนำพากลิ่นตุ ๆ ให้เกิดขึ้นในปาก รวมทั้งการสูบบุหรี่ด้วย

นอกจากนี้ ปัจจัยที่เราจะมองข้ามไม่ได้ นั่นคือสาเหตุที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายส่งสัญญาณบอกความเจ็บป่วยจากอวัยวะภายใน เช่น ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น การอักเสบหรือมะเร็งในโพรงจมูก ไซนัส ทอนซิล คอหอย กล่องเสียง หรือปอด โรคของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ การอักเสบของหลอดอาหาร โรคกระเพาะ โรคลำไส้

ทั้งนี้ยังมีการวิจัยพบว่า โรคกรดไหลย้อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุผิวทางเดินหายใจ มีผลให้น้ำมูกข้นเหนียวกว่าปกติ และจะไหลลงลำคอด้านหลังจมูก (Post Nasal Drip) ซึ่งเป็นอาการเดียวกับผู้ที่ทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง


และยังมีโรคอื่น ๆ ที่ส่งกลิ่นเฉพาะอย่าง เพื่อแสดงอาการของโรคนั้น ๆ ได้แก่ โรคตับ โรคไต และโรคเบาหวาน ดังนั้น หากรู้ตัวว่า ตัวเองเริ่มมีกลิ่นปาก และเป็นกลิ่นแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานและเรื้อรัง ให้ไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการบ่งบอกโรคร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นกับเราได้


กลิ่นปาก เป็นเรื่องไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก สำหรับบางคน ที่มีสาเหตุมาจากการทานอาหารบางประเภท ให้ลดกลิ่นด้วยยาอม หรือหมากฝรั่ง หรือการแปรงฟันหลังมื้ออาหารก็ช่วยลดกลิ่นได้เช่นกัน


หมั่นตรวจเช็คร่างกายให้ดี และดูแลให้ดีอย่างสม่ำเสมอ แม้สิ่งเล็กน้อยก็อย่ามองข้าม เพื่อที่จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดไป

ความเชื่อผิด!ป่วยมะเร็งต้องกินแค่ผัก-ปลา


มะเร็ง โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเป็น แต่เป็นแล้วใช่ว่าจะจบชีวิตลงทันทีเสียที่ไหน

หนทางรักษามีมากมาย ทั้งกินยา ผ่าตัด ฉายรังสี หรือยาเคมีบำบัด ซึ่งในช่วงการรักษาหรือตั้งแต่ที่ผู้ป่วยทราบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็ง ก็มักจะได้รับการบอกกล่าวและเชื่อตามกันมาว่า ต้องกินแต่ปลากับผักเท่านั้น เนื่องจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์อื่นที่ไม่ใช่ปลาจะมีผลให้เซลล์มะเร็งเติบโต

นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ และอุปนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวระหว่างเสวนา "อาหารนั้นสำคัญไฉนในผู้ป่วยมะเร็ง" ว่า ความเชื่อดังกล่าว เป็นความเข้าใจที่ผิด! เพราะแม้ไม่กินอะไรเลย เซลล์มะเร็งก็ยังเจริญเติบโตได้อยู่ดี ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับสารอาหารหรือโปรตีนอย่างถูกต้องเพียงพอ จะทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร น้ำหนักตัวลดลง ร่างกายทนต่อการรักษาได้น้อยลง ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร

โดยเฉพาะช่วงหลังจากที่ป่วยผ่านการผ่าตัด ฉายรังสี หรือเคมีบำบัดไป ร่างกายยิ่งต้องการโปรตีนมากกว่าปกติ เพื่อรักษาเนื้อเยื่อในร่างกายและต่อสู้กับการติดเชื้ออักเสบ ดังนั้น การขาดโปรตีนจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวช้า ความต้านทานการอักเสบต่ำ

ส่วน พญ.สิรกานต์ เตชะวนิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โภชนการ เผยว่า ผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับสารอาหารได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำ และวิตามินกับเกลือแร่ เพื่อต่อสู้กับมะเร็ง

โปรตีนที่ควรกินนั้น ประกอบด้วย เนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วฝักแห้ง ถั่วฝักเมล็ดกลมหรือพี และถั่วเมล็ดแบนหรือเลนทิลส์ รวมถึงอาหารจากเต้าหู

ส่วนคาร์โบไฮเดรต อันเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ควรกินจากผัก ผลไม้ โฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ด ขณะที่ไขมันหรือน้ำมัน ควรเลือกที่ผลิตจากกรดไขมัน เว้นแต่ผู้ที่ปัญหาโรคหัวใจและคอเลสเตอรอลสูง ให้เลือกไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันพืช น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วพีนัท น้ำมันดอกทานตะวัน

สำหรับน้ำ ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เนื่องจากเป็นตัวช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น สุดท้ายวิตามินและเกลือแร่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและแข็งแรง ที่จำเป็นต้องได้รับ คือ วิตามิน A C และ E ธาตุเหล็ก แคลเซียม และโซเดียม

ทั้งนี้ ยังมีอาหารที่ควรจำกัด อย่ากินมาก คือ ประเภทไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ และอาหารที่ผ่านกระบวนการหมักเกลือ รมควัน ดอง ควรเลือกใช้วิธีอบหรือต้มในการปรุงอาหาร และที่สำคัญคือ งดดื่มแอลกอฮอล์

ทว่าผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดแล้วมีอาการข้างเคียงอย่างภาวะเม็ดเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แนะให้งดอาหารไม่สุก ของหมักดอง เฉพาะกรณีที่เม็ดเลือดขาวต่ำ ให้งดผักและผลไม้สดไปชั่วคราว

10 อันดับของฝากยอดนิยมในญี่ปุ่น

อันดับ 10 Tako Yaki (たこ焼き) จากจังหวัด Osaka ถ้าพูดถึง Tako Yaki แล้วก็ต้องที่ Osaka เท่านั้น


อันดับ 9 Haginotsuki (萩の月) แห่งจังหวัด Miyagi(宮城)เป็นเค้กฟองน้ำคุณภาพเยี่ยม (カステラ:Kasutera) ที่สอดไส้ครีมคัสตาร์ดรสหวานกำลังพอเหมาะ เป็นของฝากที่พลาดไม่ได้ของเซนได เลยทีเดียว


อันดับ 8 Marusei Butter Sando (マルセイバターサンド) ของจังหวัด Hokkaido (北海道) เป็นบิสกิต สอดไส้ครีม White Chocolate และลูกเกด


อันดับ 7 Momiji Manju (もみじまんじゅう) ของฝากจากจังหวัด Hiroshima (広島) เป็นขนม Manju ไส้ถั่วแดงที่คนญี่ปุ่นนิยมทานกับน้ำชา นอกจากความหวานอร่อยของขนมแล้ว ความน่ารับประทานของขนมที่เป็นที่ออกแบบเป็นรูปใบเมเปิ้ล ก็ทำให้ Momijimanju เป็นของฝากขึ้นชื่อของ Hiroshima ไปเลย


อันดับ 6 Shiroikoibito (白い恋人) ของฝากจาก Hokkaido (北海道) ที่คนไทยรู้จักกันดี เป็นคุ้กกี้สอดไส้ White Chocolate ซี่งเนื้อคุ้กกี้จะถูกอบด้วยความเกรียมที่กำลังพอดี บวกกับ White Chocolate ที่ทำจากน้ำนมอันเลื่องชื่อของ Hokkaido ทำให้ Shiroi Koibito เป็นที่ติดอกติดใจทั้งของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามสนามบินแทบจะทุกแห่งในประเทศญี่ปุ่น


อันดับ 5 Uirou (ういろう) ของฝากจากจังหวัด Aichi (愛知) เป็นขนมขึ้นชื่อของเมือง Nagoya (名古屋) ที่เป็นที่รู้จักกันดีของคนญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นขนมที่มีมาตั้งแต่สมัยแรกในยุคเอโดะ (江戸時代) ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าที่นำไปนึ่ง รสหวานอ่อน ๆ นุ่ม ๆ มีทั้งรสน้ำตาลขาว น้ำตาลดำ ถั่วแดง และชาเขียว เป็นขนมที่คนญี่ปุ่นนิยมทานกับน้ำชาเป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว


อันดับ 4 Jagapokkuru (じゃがポックル) ของฝากจากจังหวัด Hokkaido รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นแค่มันฝรั่งแท่งทอดกรอบทั่วไป แต่รสชาตินั้นสุดยอด ผลิตโดยคาลบี้ ที่พวกเรารู้จักกันดี ภายใต้แบรนด์ Potato Farm ออกวางขายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2006 ในช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้มีการโฆษณาแต่อย่างใด ด้วยความอร่อย และเสียงปากต่อปากจากผู้ชิมทั้งหลาย ทำให้ขายดีถึงขนาดที่จะต้องจำกัดจำนวนซื้อต่อคนต่อครั้งกันเลยทีเดียว ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น ทำให้สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น ตามสนามบินและร้านตัวแทนจำหน่ายบางแห่ง


อันดับ 3 Akafuku (赤福 )ของฝากจากเมือง Ise (伊勢) จังหวัด Mie (三重) เป็นขนมดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีมาตั้งแต่สมัย Houei (宝永) ประมาณปี 1707 คือขนมโมจิไส้ถั่วแดง ที่มีรสชาติแสนอร่อย และถือว่าเป็นขนมมงคลที่แสดงถึงความจริงใจของผู้ให้ที่จะมอบความสุขให้แก่ผู้รับ ขนมนี้จึงนิยมเป็นของฝากของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก


อันดับที่ 2 Gougouichi no Butaman (551の豚まん) ของฝากขึ้นชื่อของจังหวัด Osaka เป็นซาลาเปาไส้หมูบดรวมกับหอมหัวใหญ่ ผลิตโดยร้านอาหารจีนขึ้นชื่อของ Osaka ที่มีชื่อว่าร้าน 551 Horai (551蓬莱) ซึ่งมียอดขายเฉลี่ยถึงวันละ 140,000 ลูก


ส่วนขายซาลาเปาแบบซื้อกลับบ้านในตัวเมือง Osaka มีสาขาอยู่มากมาย ทั้งที่ Namba, Shinzaibashi, และ Umeda

ภัตตาคารอาหารจีนในสนามบินคันไซ


อันดับ 1 Karashi Mentaiko (辛子明太子) ของฝากจากจังหวัด Fukuoka (福岡) Mentaiko ก็คือไข่ปลาคอต Karashi คือรสเผ็ด Karashi Mentaiko เป็นการนำไข่ปลาคอตไปหมักกับเกลือแล้วปรุงรสเผ็ดด้วยพริกนั่นเอง เล่ากันว่า Karashi Mentaiko นั้นเกิดในช่วงสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี และเนื่องจากเมือง Fukushima เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น จึงทำให้ Karashi Mentaiko เป็นอาหารที่ดัดแปลงมาจากการหมักกิมจิของประเทศเกาหลีนั่นเอง และในปี Showa ที่ 50 เมื่อรถไฟ Shinkanzen สาย Sanyo ที่วิ่งระหว่างสถานี Shin Osaka ถึงเมือง Hakata เริ่มเปิดให้บริการ ทำให้ Karashi Mentaiko เป็นที่รู้จักมากขึ้น ปัจจุบันนิยมนำ Karashi Mentaiko ไปทำ Onigiri และสปาเกตตี้ รวมถึงอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย

11 ก.ย. 2554

'ท่านมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคพันธุกรรมมะเร็งลำไส้หรือไม่'


เป็นที่ทราบชัดเจนทั้งทางทฤษฎีที่พิสูจน์ได้ และในชีวิตจริงที่พบเห็นซ้ำซากก็คือปัญหามะเร็งที่พบสืบทอดกันมาในครอบ ครัวเดียวกัน หลาย ๆ ชั่วคนจึงมีการเรียนการสอนกันมาว่า มะเร็งหลายประเภทสืบทอดทางพันธุกรรมผ่านยีนมะเร็ง (ONCOGENE)แพทย์ที่ถ่ายทอดความรู้เหล่านี้มาปฏิบัติเรียกว่า “อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว” ดร.นายแพทย์โอบจุฬ ตราชู เป็นท่านหนึ่งซึ่งให้ความรู้เชิงทดสอบดังนี้

ท่านทราบหรือไม่ว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดขึ้นได้อย่างไร


• เกิดได้ทั้งทางพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ท่านอาจมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ ใหญ่เพิ่มขึ้น ถ้ามีญาติพี่น้องในครอบครัว เป็นโรคนี้

• สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ในครอบครัวจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง

• สามารถก่อโรคได้ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 25 ปี

• สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากพบ โรคในระยะเริ่มแรกท่านจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หากท่านมีประวัติ ดังนี้เมื่อญาติสายตรงของท่าน เช่น บิดา มารดา พี่น้อง มีประวัติดังนี้


• มีประวัติเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 45 ปี จำนวน 1 คน

• มีประวัติเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 60 ปี จำนวน 2 คนเมื่อสมาชิกในครอบครัวของท่าน เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ลูกพี่ลูกน้อง มีประวัติดังนี้

• มีประวัติเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จำนวน 3 คนขึ้นไป ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตาม

• มีประวัติเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ร่วมกับ โรคมะเร็งอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งลำไส้เล็ก โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งระบบทางเดินปัสสาวะ โรคมะเร็งสมอง โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นจำนวนหลายคน

• ถึงแม้ว่าจะไม่พบประ วัติการป่วยของสมาชิกในครอบครัว แต่เมื่อท่านมีอายุมากกว่า 50 ปี โอกาสความเสี่ยงนั้นจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีอาการร่วมดังนี้ ท้องผูกสลับกับท้องเสีย ซีดไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย ผอมลง น้ำหนักลด เบื่ออาหาร และเมื่อคลำไปที่บริเวณท้องจะพบก้อนเนื้อถ้าสมาชิกในครอบครัวของท่านมีประวัติ ดังกล่าวนี้ท่านควรทำอย่างไรหากไม่แน่ใจในโอกาสความเสี่ยงของตน การเข้ารับคำปรึกษากับอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคพันธุกรรมและโรคมะเร็งในครอบครัวจะช่วยท่านได้ แพทย์จะทำการซักถามถึงประวัติของสมาชิกในครอบครัวของท่านโดยละเอียด และทำการประเมินความเสี่ยงของท่านว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

ประโยชน์ที่ท่านจะได้รับหลังจากการมารับคำปรึกษาและแนะนำจากอายุรแพทย์โรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว

• ท่านจะมีความรู้สึกสบายใจ ลดความกังวลในการครุ่นคิด สง สัยว่าตนเองจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหรือไม่

• ท่านจะได้ทราบถึงกระบวนการตรวจคัดกรอง และการตรวจเช็กสุขภาพ ในวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง โดยไม่ต้องกังวลถึงการเลือกตรวจ

• ท่านจะได้ทราบถึงอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ของตนเองและคนที่ ท่านรัก รวมถึงสมาชิกทุกท่านในครอบครัว

• หากท่านได้ทำการตรวจคัดกรอง และพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ ท่านยังคงสามารถยืนหยัดเป็นกำลังที่สำคัญในการดูแลครอบครัวต่อไป ได้เหมือนบุคคลปกติ

ข้อมูลจาก ดร.นายแพทย์โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว ศูนย์อายุรกรรมโรงพยาบาลพญาไท 1 / http://www.phyathai.com

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

10 ก.ย. 2554

คนไทยใส่ใจปัญหาโลกร้อนเป็นอันดับ 3 ของโลก

COTTON USA Global Lifestyle Monitor การสำรวจวิถีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มผู้บริโภคใน 10 ประเทศทั่วโลก ชี้ผู้บริโภคทั่วโลกตระหนักและใส่ใจปัญหาโลกร้อนมากเป็นอันดับหนึ่ง โดยผู้บริโภคชาวไทยมีความตระหนักสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และ 1 ใน 3 ของคนไทยใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการเลือกซื้อ เสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายไกรภพ แพ่งสภา ตัวแทนคอตตอน ยูเอสเอ ประเทศไทย กล่าวว่า รายงานการสำรวจผลวิจัยตลาด Global Lifestyle Monitor ลำดับที่ 6 นี้ เป็นรายงานการสำรวจผลวิจัยตลาดที่จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกๆ 2 ปี เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบ ทัศนคติ พฤติกรรม วิถีการดำเนินชีวิต และกระบวนการจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าของผู้บริโภคใน 10 ประเทศทั่วโลก อันได้แก่ บราซิล จีน โคลัมเบีย เยอรมนี อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร ตุรกี และไทย โดยทางคอตตอน ยูเอสเอ ประเทศไทย ได้มอบหมายให้บริษัท ซิโนเวต (ประเทศไทย) จำกัด ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ที่เลือกซื้อเสื้อผ้าสวมใส่เอง จำนวน 500 คน โดยแบ่งเป็นเพศชาย 250 คน และเพศหญิง 250 คน ในช่วงอายุระหว่าง 15 - 54 ปี ที่พำนักอาศัยตามหัวเมืองใหญ่ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี หาดใหญ่ และนครราชสีมา ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา


Street Market แหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตของคนไทย

จากผลสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคเกี่ยวกับแหล่งช้อปปิ้งที่เป็นนิยมมากในประเทศไทย พบว่าร้านเสื้อผ้าตลาดนัดแผงลอย หรือ Street markets ยังคงความนิยมสูงสุดจากผู้บริโภคในทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้บริโภคเพศหญิง โดยในปีสำรวจล่าสุดเพิ่มสูงถึงร้อยละ 91 จากเดิมที่มีเพียงร้อยละ 80 ในปี 2551 ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่ทำการสำรวจที่มีความนิยมไม่เกินร้อยละ 10 ในขณะที่ห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตมีอัตราที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกันจากร้อยละ 41 ในปี 2549 เป็นร้อยละ 49 ในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 56 ในปีการสำรวจล่าสุด ส่วนห้างสรรพสินค้า แหล่งช้อปปิ้งอันดับที่ 3 มีอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น โดยเพิ่มขึ้นเป็น 54% และหากเปรียบเทียบจากระดับของรายได้ยังพบว่า ผู้บริโภคในระดับ C และ D นิยมจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าที่ร้านตลาดนัดแผงลอยบ่อยที่สุด ส่วนผู้บริโภคผู้มีรายได้ในระดับ AB จะนิยมซื้อเสื้อผ้าที่ห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตมากที่สุด โดยปัจจัยที่ผู้บริโภคคำนึงถึงมากที่สุดเวลาซื้อเสื้อผ้าจากร้านค้าประจำ คือ ความหลายหลายของเสื้อผ้า และ ราคาดี/ราคาถูก นอกจากนี้เมื่อถามถึงความถี่ในการซื้อเสื้อผ้าลดราคาอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ พบว่า ร้อยละ 20 ของผู้หญิงทำการซื้อเสื้อผ้าลดราคาอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผู้ชายซื้อเสื้อผ้าลดราคาอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์มีเพียงร้อยละ 14 โดยสถานที่ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเสื้อผ้าลดราคาอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์มากที่สุดคือ กลุ่มร้าน Chain Store (กลุ่มร้าน Chain stores: ได้แก่ ร้านที่มีกลุ่มภายใต้ยี่ห้อเดียวกัน เช่น ร้าน Marks Spencer เป็นต้น)


ดิสเพลย์หน้าร้าน ครองแชมป์แหล่งข้อมูลทรงอิทธิพลของสาวกนักช้อป

การจัดแสดงสินค้าที่หน้าร้าน (Display) ยังคงเป็นแหล่งข้อมูลแฟชั่นอันดับต้นๆ ที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มผู้บริโภคทั้งใน สหราชอาณาจักร อิตาลี บราซิล รวมไปถึงผู้บริโภคชาวไทยจากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ในประเทศไทย การจัดดิสเพลย์หน้าร้าน ได้รับความนิยมสูงถึงร้อยละ 56 เช่นเดียวกับในประเทศญี่ปุ่นที่มีอัตราสูงถึงร้อยละ 84 และร้อยละ 69 ในประเทศจีน นอกจากนี้อิทธิพลจาก เพื่อนและผู้ร่วมงาน และ เสื้อผ้าที่ซื้อมาสวมใส่แล้วรู้สึกชอบ ยังเป็นสื่อที่มีอิทธิพลรองลงมาตามลำดับ ในขณะที่สื่ออินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นและจีนที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลกว่าร้อยละ 50

ส่วนแหล่งข้อมูลที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบจากผลสำรวจครั้งก่อน คือสื่อโทรทัศน์ นิตยสาร รวมไปถึงดาราและนักร้องผู้มีชื่อเสียง ซึ่งสื่อเหล่านี้มีอิทธิพลมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเพศหญิง โดยเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 9 ร้อยละ 6 และร้อยละ 5 ตามลำดับ

ยีนส์ ไอเท็มสุดฮอตตลอดกาล

เมื่อถามถึงความสำคัญของเส้นใยในเสื้อผ้า พบว่า ผู้บริโภคชาวไทย อายุ 35-44 ปี และ 45-54 ปี จำนวน 62 เปอร์เซ็นต์ให้ความสำคัญกับเส้นใยมาก เช่นเดียวกับกลุ่มผู้บริโภคเพศหญิงจำนวน 65 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพฤติกรรมการตรวจสอบป้ายรายละเอียดเส้นใยเมื่อทำการซื้อเสื้อผ้า พบว่ากลุ่มวัยรุ่นในช่วงอายุ 15-24 ปี จำนวนถึงร้อยละ 27 เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญและใส่ใจกับการตรวจสอบป้ายที่บ่งบอกถึงส่วนประกอบของเส้นใยมากกว่าในช่วงอายุอื่นๆ ซึ่งเส้นใยที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้งในกลุ่มตัวอย่างเพศชายและหญิง คือ ผ้าฝ้าย โดยมีความนิยมสูงเกือบร้อยละ 60 และจากสถิติพบว่าคนไทยกว่าร้อยละ 43 ชื่นชอบการสวมใส่ยีนส์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเท่ากับผลสำรวจในปี 2551 โดยกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-24 ปีจะมีกางเกงยีนส์มากที่สุดเฉลี่ยถึงคนละ 6 ตัว


ปลุกกระแสหยุดโลกร้อนด้วย ฝ้าย เส้นใยจากธรรมชาติ

เมื่อเปรียบเทียบปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน พบว่าปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่คนทั่วโลกให้ความสนใจมากเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะกับผู้บริโภคชาวไทยที่มีจำนวนกว่าร้อยละ 80 ซึ่งสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากโคลัมเบียที่สูงเป็นอันดับ 1 ด้วยอัตราส่วนร้อยละ 85 ตามมาด้วยบราซิลและอินเดียที่มีอัตราส่วนเท่ากันคือ ร้อยละ 84 ทั้งนี้ผู้บริโภคชาวไทยกว่าครึ่งมองว่า เส้นใยธรรมชาติมีภาพลักษณ์ที่ดีและมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก และกว่า 1 ใน 3 ของผู้บริโภคชาวไทยจะใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการเลือกซื้อเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นจากผลสำรวจยังพบว่า ผู้ชายจะใช้เวลาและความพยายามเลือกซื้อเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้หญิงในอัตราส่วนร้อยละ 35 และร้อยละ 33 ตามลำดับ

คอลลาเจน ดีจริงหรือ? (2)

โฆษณามักใช้คำว่า "ช่วยเสริมสร้าง" คอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งไม่ใช่การโกหกแต่อย่างใด เพราะการกินคอลลาเจนร่างกายจะได้รับกรดอะมิโนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างโปรตีนทุกชนิด รวมทั้งคอลลาเจนด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ากรดอะมิโนที่ได้รับจะถูกนำไปสร้างเป็นคอลลาเจน ในผู้สูงอายุร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนที่ผิวหนังน้อยลง ไม่ได้เป็นเพราะขาดกรดอะมิโนที่เป็นวัตถุดิบในการสร้าง แต่เป็นเพราะกลไกต่างๆ ในการสร้างคอลลาเจนเสื่อมไปตามอายุ การกินกรดอะมิโนเพิ่มขึ้นจึง แทบจะไม่ "ช่วยเสริมสร้าง" คอลลาเจนในผิวหนังเลย

เมื่อสินค้าหลายๆ ชนิดต่างผสมของคอลลาเจนกันจนเกร่อ ผู้ผลิตแต่ละรายก็พยายามหาความ "ต่าง" เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของตน เช่น

คอลาเจน (จากหมู วัว) กรัมละ 10 บาท
คอลาเจนจากปลา กรัมละ 12 บาท
คอลาเจนจากปลาทะเล กรัมละ 15 บาท
คอลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก กรัมละ 17 บาท
คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อน้ำลึก กรัมละ 20 บาท
คอลลาเจน 3 สาย จากหอยเป๋าฮื้อสกัดเย็น กรัมละ 22 บาท
คอลลาเจน 3 สาย จากหอยเป๋าฮื้อสกัดเย็น ผสมอีลาสติน กรัมละ 25 บาท
คอลลาเจน 3 สาย จากหอยเป๋าฮื้อสกัดเย็น ผสมอีลาสตินเกรด A จากประเทศเกาหลี กรัมละ 30 บาท
คอลลาเจน 3 สาย จากหอยเป๋าฮื้อสกัดเย็น ผสมอีลาสตินเกรด A ผสมทองคำนาโน กรัมละ 50 บาท

สุดแท้แต่ผู้ผลิตแต่ละรายจะสรรค์หาถ้อยคำมาอวดอ้างสรรพคุณได้ แค่เพิ่มคำยากๆ ที่ผู้บริโภคอ่านแล้วไม่เข้าใจต่อท้ายสามารถทำให้ขายได้ราคาหลักพันต่อ 1 กระปุก (40 กรัม)

คำโฆษณาของคอลลาเจนหลากหลายรูปแบบเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ไม่มีแก่นสาร เป็นการใช้ถ้อยคำที่ฟังเข้าใจยากมาประกอบคำโฆษณาให้ดูหรูหราเพื่อเพิ่มมูลค่าเท่านั้น หากย้อนกลับไปที่ความรู้พื้นฐานข้างต้นจะเห็นว่าคอลลาเจนจากสัตว์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา ไม่ว่าจะมาจากน้ำลึกหรือไม่ ล้วนไม่สามารถใช้แทนคอลลาเจนในร่างกายเราเอง คอลลาเจนที่ถูกอ้างว่าผ่านกระบวนการสกัดเย็นทำให้มีโปรตีน 3 สาย หรือที่เรียกว่าคอลลาเจนสดเอง ก็ไม่ได้มีคุณค่าใดมากไปกว่าคอลลาเจนจากเนื้อหมู เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะเป็นโปรตีนชนิดใด เป็นคอลลาเจนกี่สายก็ตาม ล้วนแต่ถูกย่อยจนเหลือเพียงกรดอะมิโนก่อนจะดูดซึมทั้งนั้น


ซ้าย: โมเลกุลของคอลลาเจนประกอบด้วยโปรตีนหน่วยย่อย (โปรคอลลาเจน) 3 สาย พันกันเป็นเกลียวในทิศทางเวียนซ้าย การม้วนพันกันในลักษณะนี้ทำให้โมเลกุลคอลลาเจนมีความยืดหยุ่นและทนทานมาก คอลลาเจนจึงไม่เสียสภาพง่ายๆ แม้การสกัดคอลลาเจนจะไม่ใช้กระบวนการสกัดเย็น (การสกัดที่อุณหภูมิต่ำ 0-4 องศาเซลเซียส) โมเลกุลของคอลลาเจนส่วนใหญ่ก็ยังคงสภาพธรรมชาติที่มี 3 สาย การสกัดคอลลาเจนแยกออกเป็นสายเดี่ยวๆ อย่างสมบูรณ์อาจต้องใช้ความพยายาม ใช้พลังงานและต้นทุนมากกว่า การสกัดคอลลาเจนออกมา 3 สายด้วยซ้ำ

ขวา: ประติมากรรมคอลลาเจน มีชื่อว่า Unravelling Collagen สร้างโดย Julian Voss-Andreae ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากกระแสความนิยมคอลลาเจน จึงสร้างประติมากรรมสูง 3.4 เมตร จากสเตนเลสและไม้ไผ่ โดยเลียนแบบโครงสร้างโมเลกุลของคอลลาเจน

คุณค่าที่ได้จากการบริโภคคอลลาเจนจึงไม่ได้มากมายเหมือนกับคำโฆษณา หากเปรียบเทียบกับคุณค่าที่ได้จากการบริโภคโปรตีนชนิดอื่นๆ คอลลาเจนอาจมีคุณค่าน้อยกว่าด้วยซ้ำ คุณค่าหรือคุณภาพของโปรตีนนั้นพิจารณาจากชนิดและปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายที่มีอยู่ในโปรตีนนั้น ซึ่งในคอลลาเจนมีกรดอะมิโนที่จำเป็นอยู่น้อยมาก

กรดอะมิโนในสิ่งมีชีวิตมีชีวิตมี 20 ชนิด ในจำนวนนี้มี 8 ชนิด ที่เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ หรือสังเคราะห์ได้แต่ไม่เพียงพอ จึงต้องรับเอาจากการกินอาหาร เรียกกรดอะมิโนในกลุ่มนี้ว่ากรดอะมิโนจำเป็น ซึ่งได้แก่ ไอโซลูซีน (isoleucine) ลูซีน (leucine) ไลซีน (lysine) เมทไธโอนีน (methionine) เฟนนิลอลานีน (phenylalanine) ทริโอนีน (threonine) ทริปโตเฟน (tryptophan) และวาลีน (valine)

คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่เกิดจากกรดอะมิโนเพียงไม่กี่ชนิดเรียงตัวซ้ำไปซ้ำมา โครงสร้างส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอนคือ [Gly-Pro-X] หรือ [Gly-X-Hyp] ซึ่งเรียงตัวกันซ้ำๆ โดย Gly คือ ไกลซีน (glycine) Pro คือ โพรลีน (proline) Hyp คือ ไฮดรอกซีโพรลีน (hydroxyproline) และ X คือ กรดอะมิโนใดก็ได้ จะเห็นว่า 1 ใน 3 ของ กรดอะมิโนที่ประกอบเป็นคอลลาเจน คือ ไกลซีน อีก 1 ใน 3 เป็นโพรลีนและไฮดรอกซีโพรลีนรวมกัน ซึ่งกรดอะมิโนทั้งสามนี้ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรับจากภายนอกอีก ที่เหลือ (X) คือตำแหน่งที่มีโอกาสเป็นกรดอะมิโนใดๆ ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นเพียง 8 ใน 20 หรือประมาณครึ่งหนึง ดังนั้นเมื่อคำนวณออกมาจะเห็นว่าชนิดและปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นมีสัดส่วนน้อยมากในคอลลาเจน แต่กลับอุดมไปด้วกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นซึ่งเมื่อร่างกายได้รับมากขึ้นก็เพียงขับถ่ายออกไปเท่านั้น แล้วจะยอมจ่ายเงินแพงๆ เพื่อบริโภคกันไปทำไม

อย่างไรก็ตามคอลลาเจนไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ในทางการแพทย์แผ่นคอลลาเจนเป็นวัสดุที่เหนียว ยืดหยุ่น และอุ้มน้ำได้ดี เป็นคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับใช้ปิดปากแผล ใช้เป็นลิ้นหัวใจเทียม หรือใช้ในการศัลกรรมอวัยวะต่างๆ รวมทั้งเพื่อเสริมความงาม ในอุตสาหกรรมอาหารใช้คอลลาเจนในการเพิ่มเนื้อสัมผัสให้อาหาร โดยใช้คอลลาเจนที่ผ่านความร้อนเป็นเวลานานจนโปรตีนเสียสภาพ หรือที่เรียกว่า เจลลาติน ซึ่งเราเองก็บริโภคกันมานานในฐานะขนมชนิดหนึ่ง
คอลลาเจนมีคุณค่าเท่าที่มันจะมีได้ เราใช้ประโยชน์และบริโภคมันมานานแล้ว ก่อนที่จะมีผู้นำไปกล่าวอ้าง เสริมเติมแต่งสรรพคุณต่างๆ เข้าไป เมื่อเกิดกระแสความนิยมขึ้นแล้ว การเปลี่ยนความเชื่อของคนเป็นเรื่องยากยิ่ง แม้จะนำข้อเท็จจริงข้างต้นมาหักล้าง แต่หากตัวผู้บริโภคเชื่ออย่างฝังหัวไปแล้วย่อมมีข้อแก้ต่าง มีเหตุผลให้ตนเองเสมอ อย่างกรณี เครือง GT200 แม้จะแกะตัวเครื่องให้เห็นด้านในกลวงๆ แต่เหล่าทหารที่เชื่อสุดใจไปแล้ว ก็ยังโต้แย้งว่าเครื่อง GT200 ใช้การได้ และขออนุมัติให้ซื้อมาใช้เพื่อความสบายใจ (ด้วยราคาหลักล้าน)

เรื่องของคอลลาเจนก็เช่นกัน แม้จะมีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใดๆ มายืนยัน แต่สำหรับคนที่เชื่อว่า กินคอลลาเจนแล้วดี ก็คงจะมีข้อโต้แย้งเสมอ เป็นต้นว่า "เค้าใส่มาแล้วก็น่าจะมีประโยชน์บ้าง ดีกว่าไม่ใส่" หรือ "มีงานวิจัยว่ากินแล้วรู้สึกดีขึ้น ริ้วรอยลดลง" ข้ออ้างเหล่านี้แม้จะมาจากงานวิจัยแต่ก็มักเป็นงานวิจัยที่ทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อหาข้อมูลสนับสนุนด้านดีของผลิตภัณฑ์ เช่น งานวิจัยที่สรุปว่าทาครีมที่ผสมคอลลาเจนแล้วกลุ่มตัวอย่างรู้สึกผิวนุ่มมากขึ้น

คำว่า "รู้สึกผิวนุ่มมากขึ้น" หมายความว่าอย่างไร? ผิวนุ่มในงานวิจัยแบบนี้ เป็นความรู้สึกส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่างเล็กๆ ที่อาจถูกถามนำด้วยคำถามในแบบสอบถามว่า "หลังจากใช้ครีมแล้ว รู้สึกผิวนุ่มชุ่มชื้นมากขึ้นหรือไม่" แล้วมีตัวเลือกเช่น นุ่มมาก นุ่มเล็กน้อย เท่าเดิม นุ่มน้อยลง ให้เลือก การถามนำลักษณะนี้ย่อมได้คำตอบที่เอนเอียงไปในแนวทางที่ผู้วิจัยต้องการ นอกจากนี้ "ที่บอกว่านุ่มมากขึ้น" นั้น "มากขึ้น" เมื่อเทียบกับอะไร? ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นการทดลองเทียบระหว่างการทาครีมผสมคอลลาเจนกับการไม่ทาครีมใดๆ ซึ่งไม่แปลกที่สารให้ความชุ่มชื้นที่ใช้ในครีมทั่วไป รวมทั้งส่วนประกอบอีกนับ 10 ชนิด ที่อยู่ในเนื้อครีมจะทำให้ให้รู้สึกว่าผิวนุ่มมากขึ้น แต่งานวิจัยกลับสรุปเหมารวมว่าเป็นเพราะผลของคอลลาเจนล้วนๆ

งานวิจัยลักษณะนี้แค่กลุ่มตัวอย่าง 6 คน จาก 10 คน ตอบแบบสอบถามว่า "นุ่มเล็กน้อย" ก็สามารถเขียนโฆษณาได้แล้วว่า "จากการวิจัยผู้ใช้มากกว่าครึ่งใช้ครีมผสมคอลลาเจนเพียงครั้งเดียว ก็รู้สึก ผิวนุ่มชุ่มชื้น กระชับเต่งตึง หน้าเด้ง มีเลือดฝาด" งานวิจัยเหล่านี้ลำเอียงตั้งแต่เริ่มต้นทำ แล้วผลการทดลองจะเชื่อถือได้อย่างไร?

ทางเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้นคงไม่ได้คิดจะให้ข้อมูลครบทุกแง่มุมอยู่แล้ว เห็นได้จากการเลือกใช้ถ้อยคำในโฆษณาที่จงใจคัดสรรค์ถ้อยคำที่ทำให้ผู้ชมโฆษณาอนุมาน หรือคิดไปเองว่าผลิตภัณฑ์นี้ดีเลิศ รวมทั้งจงใจไม่นำเสนอข้อมูลบางอย่างที่เป็นผลเสียต่อยอดขาย ข้อมูลจากผู้ผลิตจึงเป็นความจริงเฉพาะที่เขาอยากบอกเท่านั้น อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในสัตว์ จึงมีอยู่เป็นจำนวนมาก หาได้ง่าย ด้วยต้นทุนราคาถูก หากสามารถทำให้เกิดกระแสนิยมบริโภคคอลลาเจนจนทำให้คอลลเจนขายได้ราคาสูงขึ้นอีกหลายเท่า คิดเป็นกำไรมูลค่ามหาศาล แล้วมีหรือที่ผู้ผลิตอาหารจะสนใจว่าประโยชน์ที่แท้จริงของคอลลาเจนมีมากแค่ไหน?

ถ้าจะมีหนทางใดที่ทำให้กระแสเรื่องคอลลาเจนจางหายไป น่าจะเป็นเพราะเจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเอง เมื่อความนิยมคอลลาเจนมาถึงจุดอิ่มตัว ไม่รู้จะขายสินค้าคอลลาเจนในรูปแบบใดแล้ว เจ้าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำเป็นต้องสร้างกระแสใหม่และค่านิยมใหม่ขึ้นมา ประโคมโฆษณา ให้ข้อมูลที่บิดเบือนแก่ผู้บริโภค เป็นไปตามวงจรเดิมๆ เมื่อมีแหล่งรายได้ใหม่แล้ว เมื่อนั้นเรื่องที่ว่า "กินคอลลาเจนแล้วมีประโยชน์หรือไม่?" ก็คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป




ที่มา วิชาการ.คอม

คอลลาเจน ดีจริงหรือ? (1)

อาหารบำรุงสุขภาพหรืออาหารเสริมที่คนส่วนใหญ่ "เชื่อ" ว่าดีต่อสุขภาพนั้นมักเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ตามกระแสสังคม ตามการนำเสนอของสื่อ เมื่อมีกระแสว่าสารใดมีคุณสมบัติบำรุงร่างกาย ผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายมักจะนิยมนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ฝ่ายผู้บริโภคเองก็เต็มใจซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาบริโภค โดยลืมคิดถึง "คุณค่า" ที่แท้จริง

ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา "คอลลาเจน" ได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะสารสกัดบำรุงสุขภาพ บำรุงผิวพรรณ มีอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ที่ผสมคอลลาเจนเพื่อดึงดูดผู้บริโภค มีตั้งแต่คอลลาเจนชนิดเม็ด ชนิดผง เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน กาแฟผงผสมคอลลาเจน รังนกผสมคอลลาเจน สบู่ผสมคอลลาเจน ครีมทาผิว-ทาหน้า ผสมคอลลาเจน มีแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นผสมคอลลาเจน อะไรๆ ก็คอลลาเจนทั้งนั้น เคยคิดกันหรือไม่ว่าทำไมคอลลาเจนมันถึงได้เป็นสารมหัศจรรย์ที่มีคุณสมบัติดีครอบจักรวาลขนาดนี้?


ผู้ผลิตสินค้าคอลลาเจนให้ข้อมูล (และโฆษณา) โปรตีนแห่งความงามที่ว่านี้ ว่า

"คอลลาเจน เป็นโปรตีนสำคัญของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนสปริงของผิวหนัง ในการสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้"
"คอลลาเจนมีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา จะอยู่ในผิวหนังชั้นหนังแท้ คอลลาเจนทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรง และเรียบเนียน"
"น่าเสียดายที่ภายหลังอายุ 20 ปี คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง ทำให้ชั้นผิวหนังมีการยุบตัวลง ต้นเหตุของความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณ"
"มีการนำสารสกัดโปรตีนจากปลาทะเลบางประเภท ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้างของคอลลาเจนของผิวคน โดยวิธีการ (Enzymatic Hydrolysis) ,มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วพบว่าภายหลังการรับประทานไประยะหนึ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน"

สรุป คือ คอลลาเจนเป็นโปรตีนในผิวหนังที่ทำให้ผิวเต่งตึง เมื่ออายุมากคอลลาเจนจะเสื่อม ดังนั้นควรบริโภคคอลลาเจนเข้าไปทดแทน ข้อมูลนี้เป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น

เป็นเรื่องจริงที่คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะคอลลาเจนไม่เพียงเป็นองค์ประกอบของผิวหนังเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ทุกๆ เซลล์ในร่างกายไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นเนื้อเยื่อ เป็นอวัยวะ และร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ คอลลาเจนจึงมีปริมาณถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย เพราะเป็นโครงสร้างในส่วนที่ยืดหยุ่นของร่างกาย


เป็นเรื่องจริงที่เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนในร่างกายและผิวหนังจะเสื่อมสภาพไป ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง จึงเป็นเหตุให้ผิวหนังเหี่ยวย่น แต่ข้อมูลเรื่องการบริโภคคอลลาเจนจากแหล่งอื่นจะเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้นั้น เป็นข้อมูลที่หมกเม็ดข้อเท็จจริงบางอย่างไว้ และเลือกใช้ถ้อยคำโฆษณาที่ฟังดูดีทำผู้ฟังคล้อยตาม

ข้อเท็จจริงประการแรกคือ การดูดซึมโปรตีนเข้าสู่ร่างกายจำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อยก่อน โปรตีนทุกชนิดจะถูกเอนไซม์หลายชนิดในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กย่อยสลาย จากโปรตีนที่เป็นสายยาวจะถูกเอนไซม์ตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหลือเพียงหน่วยย่อยที่เล็กที่สุด คือ กรดอะมิโน แล้วร่างกายจึงดูดซึมกรดอะมิโนเพื่อนำไปประกอบกันขึ้นใหม่เป็นโปรตีนที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ คล้ายๆ กับการประกอบตัวต่อเป็นรูปร่างต่างๆ ภายในขวด ที่เราไม่สามารถประกอบเป็นรูปร่างจากภายนอกขวดแล้วใส่เข้าไปได้ แต่จะต้องแยกตัวต่อเป็นชิ้นๆ ใส่ทางปากขวดทีละชิ้นแล้วประกอบภายในขวดเท่านั้น


คอลลาเจนเองก็ต้องถูกย่อยจนกลายเป็นกรดอะมิโน ไม่เหลือสภาพความเป็นคอลลาเจน ไม่แตกต่างจากโปรตีนชนิดอื่นๆ คอลลาเจนไม่ได้ถูกดูดซึมไปทั้งเส้นแล้วตรงไปประกอบเข้าเป็นผิวหนังอย่างที่หลายคนจินตนาการจากคำโฆษณา คอลลาเจนชนิดที่ทาผิวก็ไม่สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้เช่นกัน ด้วยตรรกะง่ายๆ ว่า ลำไส้ที่เป็นอวัยวะสำหรับดูดซึมสารต่างๆ จากภายนอกโดยเฉพาะยังไม่สามารถดูดซึมโปรตีนเล็กๆ สักโมเลกุล คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้น ผิวหนังย่อมไม่สามารถดูดซึมได้อย่างแน่นอน

ประการที่สอง คอลลาเจนไม่ได้มีเพียงชนิดเดียวแต่ เท่าที่ค้นพบในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 29 ชนิด แต่ละชนิดก็เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อแบบต่างๆ คอลลาเจนที่อยู่ในชั้นผิวหนังคือคอลลาเจน 1 นอกจากนี้คอลลาเจนของสัตว์แต่ละชนิดล้วนแตกต่างกัน สังเกตได้ง่ายๆ จากเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อปลา จะมีลักษณะและความยืดหยุ่นแตกต่างกัน ดังนั้นความแตกต่างของคอลลาเจนในสัตว์แต่ละชนิดจึงทำให้ ไม่สามารถนำคอลลาเจนจากสัตว์อื่นๆ มาทดแทน หรือรวมเป็นองค์ประกอบในโครงสร้างผิวหนังของคน

ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนไม่สามารถรับจากภายนอกได้ ไม่สามารถรับจากสัตว์อื่นๆ ได้ หากต้องการให้ร่างกายมีคอลลาเจนอย่างเพียงพอ มีเพียงการบำรุงรักษากลไกของร่างกายที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาจนเท่านั้น การบำรุงรักษานั้นเพียงแค่รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้นเอง วัตถุ ดิบที่จำเป็นในการสังเคราะห์คอลลาเจนเราได้รับอย่างเพียงพอจากอาหารอยู่แล้ว การออกกำลังกายเป็นการกระตุ้นให้กลไกทำงาน และการพักผ่อนช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายสึกหรอช้าลง
แม้จะเป็นวิธีการง่ายๆ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ชอบเท่าใดนัก มักอ้างว่าไม่มีเวลา ไม่สะดวก และไม่อยากทำอย่างต่อเนื่อง อยากได้ทางลัด ทางสบาย หรือวิธีการสำเร็จรูป จึงเป็นจุดอ่อนให้ผู้ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพทั้งหลายเอามาใช้




ที่มา วิชาการ.คอม

9 ความเชื่อเรื่องนาฬิกา


9 ความเชื่อเรื่องนาฬิกา



นาฬิกานอกจากเป็นเครื่องบ่งบอกเวลาแล้ว นาฬิกายังจัดได้ว่าเป็นวัตถุมงคล และเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภมากมายอีก เช่นกัน



บ้าง ก็ว่านาฬิกาเป็นลักษณะของความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรืองของพลัง ความสามารถหมุนเวียนไปได้อย่างทั่วถึง เสียงของนาฬิกาจึงเป็นพลังแห่งความตื่นตัว กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ โดยเฉพาะนาฬิกาโบราณ นายสรรเสริญ เล่ห์จันทร์พงษ์ ที่รู้จักกันในนาม " ช่างอั๋น " ผู้สืบทอดการซ่อมนาฬิกาโบราณจาก" ช่างเช็ง วัดคฤหบดี " บอกว่า ความเชื่อเรื่องนาฬิกา เริ่มตั้งแต่การจัดตำแหน่งของนาฬิกาในบ้านที่มีความสำคัญมาก ไม่ควรวางตำแหน่งของนาฬิกาที่ฝาผนังด้านขวาของบ้าน ไม่ควรแขวนนาฬิกาหรือเมื่อเปิดประตูเข้าบ้านต้องไม่เห็นนาฬิกาเผชิญหน้ากับ เราพอดี บ้างก็ว่า นาฬิกาตรงกับประตูบ้านเป็นสัญลักษณ์ของการหมดอายุขัย



ปัจจุบัน ยังมีคนที่เชื่อถือในความเชื่อสัญลักษณ์สิริมงคลที่แฝงอยู่ในนาฬิกา นาฬิกาที่ดีต้องไม่หยุดเดิน ที่เรียกว่า นาฬิกาตาย เมื่อนาฬิกาเดินจึงเป็นความหมายแห่งพลัง ความก้าวหน้า บ้างก็ว่าพลังที่ดีต้องมีการหมุนเวียนหยิน-หยาง พลังในทางมืดและทางสว่าง นาฬิกาน่าจะเป็นสัญลักษณ์ตรงนี้ได้ดี เมื่อสองพลังนี้สมดุลกันโบราณว่า จะนำโชคลาภมาให้



จากประสบการณ์การเป็นช่างซ่อมนาฬิกาโบราณ ช่างอั๋นได้รวบรวม 9 ความเชื่อเกี่ยวกับนาฬิกา พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า


1. นาฬิกาที่เดินนานที่สุด บางคนเชื่อว่านาฬิกาที่เดินนานที่สุดเป็นสัญลักษณ์แห่งอายุยืน ความปลอดโปร่ง สบายใจ ความเข้มแข็ง พลังแห่งความกระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา นาฬิกาประเภทที่เดินยาวนานที่สุดก็คือ นาฬิกาสี่ร้อยวันตั้งโต๊ะที่มีครอบแก้ว โดยไขลานเพียงครั้งเดียว

แต่ยังมีนาฬิกาที่เดินนานที่สุด ที่นักสะสมนาฬิกามักบอกว่าเดินกันชั่วชีวิต คือ นาฬิกา Almos เป็นนาฬิกาที่เดินด้วยความกดอากาศหรืออุณหภูมิ โดยใช้หลักการในทุก ๆ 4 นาที อุณหภูมิของอากาศจะเปลี่ยนขึ้นลงตลอดเวลา


2. เสียงดีของนาฬิกา เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ชื่อเสียงเกรียงไกร สร้างพลังที่ดีให้แก่บ้าน เกิดความสำราญบานใจ ทั้งยังดึงดูดพลังที่ดีเข้าบ้าน ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขและมีโชคลาภ นาฬิกาที่ค่อนข้างเงียบ ไร้เสียงกระดิ่งใส ไร้เสียงเพลง ถือว่าไม่ดีนัก คนในบ้านจะอับโชค ในขณะที่บางคนเชื่อว่า นาฬิกาไม่ตีเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความเหนื่อย ไม่มีเวลาพักผ่อน มีแต่ความเร่งร้อนแห่งการรอคอย


3. หน้าปัดนาฬิกาก็เหมือนคนความสง่างามก็อยู่ที่หน้า บ่งบอกถึงความมั่นคง หรือ หนักแน่น ความสมบูรณ์ เหมือนกับเด็กทารกที่อ้วนจ้ำม่ำ ดูแล้วเป็นมงคลในด้านโชคลาภ อุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรือง

บางคนเชื่อว่า หน้าปัดที่ดีคือ หน้ากระเบื้อง เพราะกระเบื้องจะมีความเงางามสดใส ไม่มัวหมองง่ายเหมือนหน้าประเภทอื่น ดูแลสบาย สีสันสดใส สวยงาม ให้เกิดความสุข โชคดี และความคงทนกว่าหน้าประเภทอื่น แต่ถ้าแตกก็เลิกกัน


4. สีมงคลประจำวันเกิด หลายคนเชื่อว่า สีประจำวันเกิดน่าจะเป็นสีที่ส่งผลต่อความเจริญ ประจำราศีเกิดของคนนั้น หน้าปัดของนาฬิกาที่มีสีต่าง ๆ นักสะสมเชื่อว่าน่าจะเลือกตามสีประจำวันเกิด เช่น สีเหลืองประจำวันจันทร์ วันอังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว


แต่ยังมีพิเศษอีกอย่างคือ หน้าครีม เหลืองอ่อน ระหว่างเลขที่หน้าปัดจะมีรูปสัญลักษณ์สีแดงคล้ายซิ่ว หรือ ตราลูกเสือ ตรงนี้นักสะสมเรียกว่าหน้ามีซิ่ว ซึ่งหมายถึง เทพแห่ง โชคลาภ หนึ่งในสาม คือ ฮก ลก ซิ่ว เชื่อว่าบันดาลโชคและความสุขให้ครอบครัว สุขภาพแข็งแรง


5. ม้าและนกอินทรี บางคนเรียกว่าหัวโขนบนนาฬิกาที่อยู่ด้านบนสุดของนาฬิกา มีความเชื่อว่า ม้าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี สำเร็จ แต่ต้องเป็นม้าสีทอง สีเงิน และ สีน้ำตาล บันดาลชัยชนะ ส่วนสีดำไม่เหมาะ นกอินทรี เป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม วาสนาสูง

การเริ่มต้นที่ดีของความรุ่งเรือง นกที่มีท่วงท่าว่ากำลังจะบินเข้าบ้าน หมายถึง โชคลาภเข้ามาสู่บ้านเรือน ถ้าเป็นรูปอื่น เช่น สิงโต จะให้มงคลด้านความเข้มแข็ง เป็นผู้นำ การนับถือจากคนรอบข้าง



6. กระจกเจียระไน หมายถึง กระจกที่นำไปเจียระไนลบเหลี่ยม หักเหแสงแวววาวเหมือนเพชร เหมือนคริสตัล มีความเชื่อว่าเป็นพลังของแสงสะท้อนกับแก้ว แล้วกระจายพลังที่ดีไปรอบ ๆ ขจัดพลังลบให้ออกไปจากบ้าน จะประสบความรุ่งเรือง เฟื่องฟู ฐานะการเงินมั่นคง ความสำเร็จอย่างสูง แต่ต้องเช็คทำความสะอาดกระจกให้เงางามอยู่เสมอ


7. พระจันทร์ยิ้ม เชื่อว่าพระอาทิตย์-พระจันทร์ เป็นตัวแทนแห่งพลังหยิน-หยาง หมุนเวียนสับ เปลี่ยนกัน ถือว่าเป็นมงคลนัก เต็มไปด้วยพลังแห่งความกระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่มเย็นจิตใจที่อ่อนโยน และจะนำเรื่องความรักความเมตตามาสู่ท่านด้วย ถึงว่าทำไมนาฬิกาพระจันทร์ยิ้มถึงแพงและหายาก ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง


8. นาฬิกาโป๊ยก่วย หมายถึง นาฬิกาแปดเหลี่ยม มีลักษณะเหมือนยันต์แปดทิศของคนจีนที่ใช้เป็นสัญลักษณ์สำหรับแก้อาถรรพณ์ ต่างๆ เช่น ทางสามแพร่ง ถนนพุ่งเข้าบ้าน จึงใช้ลักษณะแปดเหลี่ยม แก้ไข ฮวงจุ้ยที่เสีย นาฬิกาแปดเหลี่ยมคนสมัยก่อนจึงเชื่อว่า เหมือนยันต์ แปดทิศ แต่มีพลังหยิน-หยาง แฝงอยู่ในตัวสมบูรณ์ และเสียงตีตามความเชื่อที่กล่าวมาแล้ว จะสังเกตว่าคนจีนสมัยก่อนนิยมนาฬิกาแปดเหลี่ยมกันมาก นอกจากนาฬิกาแปดเหลี่ยมแล้ว คนจีนเชื่อว่านาฬิการูปทรงกลม คล้ายเหรียญสตางค์จะนำลาภผลมาให้


9. คำอวยพรอันเป็นมงคล สมัยก่อนเมื่อมีการเปิดกิจการร้านค้า ส่วนใหญ่จะนำนาฬิกาตั้งพื้น (ชิกโซ่) เป็นของขวัญที่ระลึกวันเปิดร้านใหม่


และกระจกด้านหน้าที่มีข้อความเขียนคำอวยพรเป็นภาษาจีน ซึ่งล้วนแต่เป็นคำมงคลเกี่ยวกับโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ร้อยละเก้าสิบของนาฬิกาประเภทนี้จะมีคำอวยพรทั้งนั้น นักสะสมบางคนชอบเก็บสะสมคำอวยพรไว้ ซึ่งเป็นความหมายที่ดี



นาฬิกาเซี่ยงไฮ้ของจีนจะมีกระจกเขียนลายสีหรือคำอวยพรตัวโต ๆ สวยงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง นาฬิกาเซี่ยงไฮ้จีนบางเรือนก็เขียนเป็นลายราศีประจำวันเกิด ที่เคยพบเห็นมี ปีวัว ปีเสือ ปีมังกร ปีงูเล็ก ปีลิง แต่หายากมาก นาฬิกาประเภทนี้กำลังตามเก็บรูปมาให้ท่านดูในโอกาสต่อไป น่าจะเป็นลักษณะมงคลที่ดีอีกแบบหนึ่ง


"9 ลักษณะนาฬิกาที่เป็นมงคลตามตัวอย่างที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงความเชื่อในส่วนหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วยังคงมีมากกว่านี้ ที่หลายท่านมองเห็นในสิ่งที่ดีที่เป็นมงคลของนาฬิกา ในท้ายสุดของปี เรื่องของสิริมงคลน่าจะเป็นเรื่องที่น่าพูดถึงกับทุกท่านมากที่สุด" ช่างอั๋น กล่าวทิ้งท้าย

โรคต่างๆของคนมีรัก


“ความรักทำให้คนตาบอด”

เป็นหนึ่งในคำเปรียบเปรยสำหรับคนมีรัก แสดงถึงอาการไม่ยอมรับความจริง เห็นผิดเป็นชอบ สมองส่วนของเหตุผลถูกทำลายลงด้วยอารมณ์ อันเป็นที่มาของความบกพร่องในระบบการตัดสินใจ ถ้าสาเหตุของโรคเป็นคนดี รักเดียวใจเดียว ซื่อสัตย์ อาการเหล่านี้จะไม่ลุกลามและหายวันหายคืน ถือว่าเป็นโชคดีของผู้ป่วย แต่ถ้าสาเหตุของโรคเป็นคนนิสัยไม่ดี เจ้าชู้ อาการของโรคมีแต่ทรุดกับทรุด เกิดความทรมานแก่ผู้ป่วย นอกจากความรักทำให้คนตาบอดแล้ว ยังมีโรคอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับความรัก ทำให้คนเราทำพฤติกรรมหรือการกระทำต่างๆที่คนธรรมดาไม่ได้อยู่ในภาวะอินเลิฟทำกันได้ จนเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มีโรคอะไรบ้างที่เกิดจากความรัก แล้วคุณผู้อ่านเคยเป็นโรคเหล่านี้กันบ้างรึเปล่า

โรคเข้าข้างตัวเอง

สาเหตุของโรคเกิดจากมีเพศตรงข้ามเข้ามาใกล้ หรือเข้ามารุกรานในพื้นที่ส่วนตัวที่เรียกว่าหัวใจ ทำให้เกิดอาการหลงผิด คิดว่าอีกฝ่ายมีใจให้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดจะทำอะไร มักคิดว่าเค้ามาชอบเราจีบเรา ผู้ป่วยที่มีหน้าตาดีเป็นทุนเดิมค่อนข้างเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ป่วยหน้าตาปานกลางถึงแย่ เนื่องจากเข้าใจว่าตนหน้าตาดีเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจนเป็นโรคนี้ได้ ในทางกลับกันถ้าสาเหตุของโรคเป็นคนหล่อหรือสวยยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการหวั่นไหวได้ง่ายกว่าปรกติ อีกกลุ่มบุคคลที่เสี่ยงเป็นโรคนี้ได้คือ พวกอ่อนต่อโลก มองโลกในแง่ดี เลยเหมาหรือสรุปว่าเค้ามาจีบตน วิธีป้องกันคือ วางใจเป็นกลาง ดูพฤติกรรมอีกฝ่ายให้แน่นอนว่าเค้าทำดีกับเราแค่คนเดียวหรือเหวี่ยงแหไปทั่ว หรือเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนอัธยาศัยดี มนุษยสัมพันธ์ดีต่อทุกคน วิธีรักษาให้หายขาดคือการถามตรงๆกับอีกฝ่ายว่าคิดยังไงกับตน เป็นวิธีที่ทำให้หายจากโรคเข้าข้างตัวเองได้ แต่ผลของคำตอบอาจนำมาซึ่งโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นได้ เช่นโรคอกหัก

โรคพิการซ้ำซ้อน

เกิดกับผู้ที่ได้รับไวรัสความรักใหม่ๆ โดยเกิดกับฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย อาการคือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คิดเองไม่เป็น ตัดสินใจไม่ได้ ต้องให้อีกฝ่ายให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา อาการของโรคจะรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับคู่กรณีของอีกฝ่ายว่าเป็นคนแบบไหน ถ้าเจอคนที่ชอบดูแลเทคแคร์เป็นผู้นำมากๆจะถูกใจกับคนที่เป็นโรคนี้เนื่องจากสามารถแสดงบทบาทของการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้อย่างเต็มที่ แต่สำหรับคู่กรณีที่ขี้รำคาญหรือชอบคนที่ดูแลตัวเองได้อาจไม่ค่อยชอบใจคนที่เป็นโรคนี้นัก ดังนั้นผู้ป่วยควรสังเกตพฤติกรรมของฝ่ายที่มาจีบว่าชอบแบบไหนมากกว่ากันเพราะถ้าคุณเป็นโรคนี้อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสาเหตุของการถูกทิ้งได้เช่นกัน

โรคสมาธิสั้น

เป็นอีกหนึ่งโรคที่เกิดกับคนที่ได้รับเชื้อไวรัสที่เรียกว่าความรัก อาการคือจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดถึงอีกฝ่ายตลอดเวลา ว่าทำอะไร อยู่กับใคร อยู่ที่ไหน คิดถึงเราบ้างรึเปล่า ทำให้สูญเสียสมาธิในการเรียนหรือการทำงาน มีผลทำให้ผลการเรียนแย่ลง ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ข้อดีเพียงเล็กน้อยของโรคนี้ในกรณีที่เรียนหรือทำงานที่เดียวกันทำให้รู้สึกอยากมาเรียนหรืออยากมาทำงาน ส่วนมาแล้วจะตั้งใจทำงานรึเปล่านั่นก็เป็นอีกเรื่อง สำหรับผู้ป่วยที่เสพย์ติด Social Network อย่าง Facebook หรือถ้าติดมือถือ Black Berry จิตใจของผู้ป่วยจะจดจ่อกับการอัพเดทสเตตัสของอีกฝ่ายหรือคอยแต่จะเมนท์หากันทั้งวัน วิธีรักษาควรรู้จักแยกแยะ จัดสรรเวลาให้เป็น มิฉะนั้นจะมีผลเสียต่อการเรียนและการทำงานได้

โรควิตกกังวล วิตกจริต

พบได้ในกลุ่มบุคคลที่ไวรัสความรักได้ซึมเข้าสู่กระแสเลือด อาการของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับพื้นเพของผู้ป่วยแต่ละคน โดยต้องเช็คประวัติย้อนหลังของผู้ป่วยว่ามีอดีตกับแฟนเก่าอย่างไรบ้าง ถ้าเคยมีแฟนเก่าเป็นคนเจ้าชู้มาก่อน โรควิตกกังวลวิตกจริตนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับแฟนใหม่ ด้วยความหวาดระแวงจากอดีตของตนเป็นทุนเดิม กลุ่มคนที่ขาดความมั่นใจในตนเองเป็นอีกกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้ เพราะเกิดจากความไม่มั่นใจในตนเองทำให้วิตกกังวลว่าอีกฝ่ายอาจนอกใจคิดตีจากตลอดเวลาเพราะตนไม่ดีพอ วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือรู้จักการใช้ยา “ปล่อยวาง” ซึ่งยาปล่อยวางนี้นิยมใช้เป็นที่แพร่หลายในการรักษาโรคหลายๆโรคที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ เมื่อรู้จักปล่อยวางอาการวิตกจริตหรือกังวลมากไปจะค่อยๆดีขึ้น

โรคนอนไม่หลับ

โรคนี้เป็นโรคต่อเนื่องที่มีผลมาจากโรควิตกกังวล มักเกิดกับฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงนั้นอาจอยู่ในฐานะของแฟนหรือถึงขั้นแต่งงานแต่งการกันไปแล้ว อาการนอนไม่หลับนั้นเกิดขึ้นเมื่อแฟนหรือสามีของตนกลับบ้านไม่ตรงเวลา ปิดมือถือ หนีเที่ยว หรือเที่ยวจนติดเป็นนิสัย โดยมีสาเหตุจากความเป็นห่วง เช่นเมื่อคนรักตน “เมาแล้วขับ”จะเกิดอุบัติเหตุรึเปล่า หรือเกิดจากความหึงหวงว่าอีกฝ่ายอาจนอกลู่นอกทาง วิธีป้องกันคือการตามไปคุม พูดง่ายๆว่าไปเที่ยวด้วยกันเลยจะได้ไม่ต้องห่วง หรือในกรณีที่ไม่ชอบเที่ยวอาจบังคับอีกฝ่ายไม่ให้ขับรถไป โดยให้ใช้บริการของแท็กซี่แทน เป็นการลดความกังวลว่าอีกฝ่ายอาจมีอันตรายจากการขับรถ สำหรับบางรายที่เฉยชาหรือว่าชาชินกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย โรคนอนไม่หลับนี้จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ เรียกว่า เกิดอาการช่างมันฉันไม่แคร์ ผู้ป่วยจึงสามารถกลับมานอนหลับเป็นปรกติดั่งเดิม

โรคหลงรักคนมีเจ้าของ

เป็นโรคที่ค่อนข้างอันตรายสำหรับคนที่เป็น การรักษาค่อนข้างยากขึ้นอยู่กับสถานะของสาหตุของโรคว่าเป็นแค่แฟนหรือแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว การไปหลงรักคนที่แต่งงานแล้ว มีแต่เสียกับเสีย นอกจากเจ้าตัวจะทุกข์ใจแล้ว ยังโดนสังคมประณามได้อีก ถ้าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยอาการจะหายเร็วกว่าปรกติ แต่ถ้าอีกฝ่ายดันสานสัมพันธ์กับเจ้าตัวด้วย อาจทำให้อาการบานปลายเป็นปัญหาครอบครัวได้ วิธีป้องกันคือสืบให้แน่ก่อนว่าอีกฝ่ายมีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนรึยัง ในกรณีที่มีการปกปิดอย่างมิดชิดหรือเนียนจนไม่สามารถจับได้ เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ถลำลึกจนไม่สามารถถอนตัวได้ วิธีรักษามีเพียงการใช้ยา”ตัดใจ”อย่างเดียว ผลของการใช้ยาขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ป่วยด้วย หรือการให้อีกฝ่ายเคลียร์พันธะของตัวเองให้หมด ก่อนกลับมาคบกันอีกครั้ง

โรคความจำเสื่อม

พบได้ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อความรักเข้าไปในอย่างรุนแรง ยากที่จะรักษา อาการของโรคคือ ไม่ว่าอีกฝ่ายทำผิดซ้ำซากจนเป็นสาเหตุของการทะเลาะกันรุนแรง หรือแม้ถึงขั้นเลิกรากันไป แต่เมื่อมาง้อขอคืนดีกลับยอมยกโทษให้ แล้วกลับไปคบกันเหมือนเดิม เรื่องจึงวนเวียนเป็นเรื่องราวเดิมๆ ปัญหาเดิมๆจนทำให้เจ้าตัวต้องเสียน้ำตาหรือบอบช้ำเพราะไวรัสความรักแบบไม่หายขาด สมองของผู้ป่วยมักสั่งให้ลืมเรื่องทุกอย่างๆ ให้อภัยอีกฝ่ายจนหมดสิ้น การเป็นโรคความจำเสื่อมมีทั้งข้อดีข้อเสีย ถ้าอีกฝ่ายกลับตัวได้ สามารถทำให้ผู้ป่วยกลับมารักกันดังเดิมอยู่กันอย่างยืดยาว แต่ถ้าอีกฝ่ายยังคงพฤติกรรมแย่ๆไว้ครบทุกระเบียบนิ้ว ผู้ป่วยคงต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีทางรักษา

โรคอกหักรักเป็นพิษ

เป็นโรคยอดฮิตที่เรียกได้ว่าถ้าใครมีความรักมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ โดยความรุนแรงของโรคนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยของคนที่เป็นโรคเช่น อายุ ระยะเวลาที่คบกัน สาเหตุของอาการอกหัก ฝ่ายบอกเลิกหรือฝ่ายถูกเลิก ยังรักอยู่หรือหมดรักแล้ว ซึ่งสามปัจจัยที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมด อายุมากหรือน้อยเกี่ยวข้องกับสภาวะการยับยั่งช่างใจหลังจากการอกหัก ถ้าเป็นรักแรกที่มีความคาดหวัง อาการของผู้ป่วยค่อนข้างรุนแรง ระยะเวลาที่คบกัน มีผลอยู่สองแบบคือ รักมากยิ่งช้ำมาก เหมือนกับเวลาที่ผ่านมาไม่มีผลต่อการตัดสินใจของอีกฝ่ายที่จะบอกเลิก แต่อีกกรณีที่พบคือ ผู้ป่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดรักอีกฝ่าย อาการของฝ่ายที่หมดรักไม่รุนแรงเท่ากับฝ่ายที่ยังรักอยู่ สาเหตุของการเลิกรา การเข้ากันไม่ได้ หรือเกิดจากบุคคลที่สามเข้ามาแทรกแซง อาการของผู้ป่วยที่ตรวจพบคือ ร้องไห้ เสียใจ ไม่เป็นอันกินอันนอน น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว โรคอกหักถือเป็นโรคร้ายแรงที่สุดที่มีสาเหตุจากความรัก

คุณผู้อ่านที่เคยมีความรักมาคงคุ้ยเคยกับโรคหรืออาการของโรคเหล่านี้มาแล้วไม่มากก็น้อย แต่ใช่ว่าความรักจะทำให้เราเป็นโรคได้อย่างเดียว สำหรับคนที่ได้เจอกับความรักที่สมหวัง คนรักที่ดี สิ่งที่คุณได้พบแน่นอนคือความสุขของการมีคนให้รัก และมีคนที่รักเรา ไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้ว่าความรักของคนแต่ละคนจะสิ้นสุดเมื่อไร ถ้ามัวแต่กลัวคงไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสความสุขของการมีรักได้ แต่เมื่อรักแล้วต่อให้เกิดอะไรขึ้น ขอให้คิดว่าเป็นความสมัครใจของเราเอง สิ่งที่ทำได้คือ ทำให้ทุกวันเป็นวันที่ดีที่สุดไงครับ

ผิวบาง.. สัญญาณอันตรายสู่ปัญหาผิวไม่รู้จบ


เชื่อว่าคุณผู้หญิงหลายคนมีปัญหาผิว เช่น แสบ แดง คันหรือเป็นผื่นเมื่อถูกแดด หรือบางรายอาจมีฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดขึ้นทั้งที่อายุยังน้อย คุณทราบหรือไม่ว่านี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าคุณมีแนวโน้มผิวบาง และอีกไม่นานหากปลอยทิ้งไว้คุณจะพบกับปัญหาผิวที่ยากจะแก้ไข

ปัญหาผิวบางเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ หากพูดถึงผิวบางจากการใช้ผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งแล้ว จะขอกล่าวถึงปัจจัยนอก

ปัจจัยภายนอก คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดผิวบาง

ผู้หญิงทุกคนอยากมีผิวหน้ากระจ่างใสแต่ลืมคิดไปว่าผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่ใช้อยู่ทำให้ผิวกระจ่างใสจริงและปลอดภัยหรือไม่ คุณหรือเพื่อนๆข้างกายหลายคน คงเคยพบปัญหาการใช้ไวเทนนิ่งแล้วผิวขาวขึ้นอย่างทันใจ ใครหลายๆคนก็ทักว่าคุณมีหน้าขาวใสขึ้นในช่วงแรก แต่...ไม่นานผิวกลับคล้ำเสียกว่าเดิมซ้ำยังเกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำอีกด้วย

คุณรู้หรือไม่...เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของคุณ

การที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมและไม่ปลอดภัยเพราะมีสารที่เป็นอันตรายอันตรายต่อผิว เนื่องจากมีส่วนผสมของสารที่มีความเป็นกรดมากเกินไป เช่น กรด BHA (Beta Hydroxyl Acid)กรดวิตามินซี กรดวิตามินเอ สารเหล่านี้ช่วยให้หน้าขาวขึ้นจริงในตอนแรกสุดท้ายกลับทำลายผิวหน้าและก่อปัญหาทิ้งไว้อีกด้วย เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เข้าไปเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้การผลัดเซลล์ผิวบริเวณหนังกำพร้าหลุดลอกเร็วและมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกราะปกป้องผิวอ่อนแอ ผิวบางลง ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายและนำไปสู่ปัญหา ผิวไวต่อแสงแดด ซึ่งเมื่อออกแดดจะทำให้เกิด อาการแดง แสบ คันหรือมีผื่น โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม และเมื่อ ผิวบางและไวต่อแดดปัญหาที่จะพบต่อมาคือ ฝ้า กระ จุดด่างดำ คล้ำเสียสะสม มากยิ่งขึ้น

ดูแลผิวอย่างไรหากคุณเป็นคนผิวบาง

ทุกๆครั้งของการเลื อกใช้ผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่ง คุณควรแน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวบาง เช่น กรดวิตามินซี กรดวิตามินเอ กรด BHA (Beta Hydroxyl Acid) เพราะสารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวได้ง่าย เร่งการผลัดเซลล์ผิวบริเวณหนังกำพร้ามากกว่าปกติ ทำให้เกราะปกป้องผิวอ่อนแอ ผิวจึงบางลง ถ้าเริ่มมีจุดด่างดำ กระ ฝ้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มไวเทนนนิ่ง ที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวได้ง่าย ปลอดสารทำให้ผิวบาง และไม่เร่งการผลัดเซลล์ผิวมากกว่าปกติ ไม่เช่นนั้นปัญหาจุดด่างดำ ผิวคล้ำเสียสะสมจะรุนแรงขึ้นและคล้ำเสียกว่าเดิม

ป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาผิวบาง

คุณควรแน่ใจว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่คุณใช้ผ่านการทดสอบทางคลีนิกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจากสถาบันการวิจัยที่น่าเชื่อถือและทดสอบแล้วว่าได้ผลจริงเหมาะสมกับสภาพผิวนอกจากนี้ต้องตรวจสอบแล้วว่า ส่วนผสมเป็นสารที่ปลอดภัยไร้สารทำให้ผิวบาง ซึ่งสารที่ปลอดภัยได้แก่

- สารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวและสามารถทำงานร่วมกับผิวได้ดี ทั้งนี้ต้องได้รับการพิสูจน์และทดสอบแล้วว่าปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิวและไร้สารทำให้ผิวบาง
- สารที่ได้รับการยอมรับหรือใช้ในการรักษาผิวพรรณโดยแพทย์ผิวหนัง
- สารที่ทำงานร่วมกับผิวเสมือนเป็นแหล่งอาหารหรือพลังงานให้ผิวทำงานตามกระบวนการธรรมชาติได้อย่างดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สารที่ปลอดภัยและเป็นสารอาหารสำคัญต่อผิว

เช่น Licochachone, Panthenol (vitamin B5), Vitamin E Acetate, Ubiquinone, Octadecenedioic Acid เป็นต้น โดยผ่านการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้จึงให้ประสิทธิภาพในการบำรุงและเติมสารอาหารให้กับผิว มีประสิทธิภาพยาวนานและปลอดภัย

สีสันกับสุขภาพจิต


อิทธิพลของสีสันต่อร่างกายเรา

เมื่อแสงของสีผ่านเข้าไปในร่างกาย มันจะส่งผลกระทบกับต่อมไร้ท่อสำคัญๆ เช่น ต่อม Pituitary ต่อมใต้สมองที่ขับฮอร์โมนที่มีผลต่อการทำงานหลายหน้าที่ในร่างกายคนเรา ควบคุมการทำงานของระบบต่อมไร้ท่ออื่นๆ ให้มีการสร้างฮอร์โมน เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ฮอร์โมนช่วยในการเจริญเติบโต (Growth hormone) และการทำหน้าที่ของระบบสืบพันธุ์ อัณฑะ รังไข่ รวมถึงควบคุมระดับพลังงาน (energy levels) การเผาผลาญ (metabolism) ความอยากอาหาร แรงขับทางเพศ (sex drive) การเจริญเติบโต และการนอนหลับ
ตัวอย่างเช่น...

สีแดง จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้น ตลอดจนกระตุ้นการหลั่ง Adrenaline ซึ่งทำให้คนเราอยากอาหาร และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ถ้าคุณอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่สีแดงนานๆ คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยหรือเครียดได้เหมือนกัน

สีเหลือง จะกระตุ้นคลื่นสมอง และทำให้จิตใจตื่นตัว กระฉับกระเฉง มองโลกในแง่ดี

สีฟ้า อิทธิพลของสีฟ้าจะทำให้คนเรารู้สึกสงบ เยือกเย็น รู้สึกผ่อนคลาย

ดังนั้นสีต่างๆ จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความสมดุลระหว่างจิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ของคนเรา เมื่อมีสีฟ้าเป็นสีเย็น และสีแดงเป็นสีร้อน การใช้ทั้งสองสีนี้ก็จะให้ความรู้สึกสมดุลขึ้น การที่คนเราจะเลือกใช้สีห้อง สีบ้าน หรือสีเสื้อผ้าอย่างไร จึงสะท้อนให้รู้ว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร มีความรู้สึกและอารมณ์ในช่วงขณะนั้นอย่างไรด้วย

ใช้สีที่แตกต่างกันอย่างไรดี

สีที่ทรงอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนเรามากที่สุด เห็นจะเป็นสีของห้องที่เราอยู่ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่ใดๆ ก็ตามที่เราได้เอาตัวเข้าไปอยู่ที่นั่น ในกรณีที่คุณเป็นผู้เลือกสีห้อง มีหลักอยู่ว่าควรให้มีความกลมกลืนระหว่างเฉดสีร้อนและสีเย็น หากดูในวงจรสีจะเห็นว่าคู่สีตรงข้ามกันบางครั้งกลับจะเข้าคู่กันได้ดี หรือเฉดสีตัวถัดไปก็จะเข้ากันได้ดีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น
สีแดงจะไปได้ดีกับสีส้ม และม่วง แต่งด้วยสีเขียวเล็กน้อยก็จะลงตัวยิ่งขึ้น
เมื่อสีส้มไปกันได้ดีกับสีแดงและเหลือง เติมด้วยสีฟ้าเล็กน้อยก็จะทำให้ดูครบยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกัน เมื่อใช้สีเหลือง เข้ากับสีส้ม และเขียว ลองเติมสีม่วงอีกนิด
สีเขียวไปกันได้ดีกับสีเหลือง และฟ้า เติมด้วยสีแดงนิดหน่อยกำลังดี
สีฟ้าเข้ากันกับสีเขียวและม่วง เติมสีส้มเล็กน้อยก็ให้ความรู้สึกที่ดี
สีม่วงไปกันได้ดีกับสีแดงและฟ้า ให้เพิ่มเหลืองนิดหน่อย


Keywords ของสี

ถ้าคุณช่างสังเกตสักหน่อยจะเห็นว่า สีแต่ละสีนั้นถูกนำมาใช้ในกาลเทศะตามความเหมาะสมต่างกัน เพราะโทนสีต่างๆ ให้ความรู้สึกหลากหลายซึ่งอาจตีความได้มากมาย

สีม่วง ดูเป็นสีผู้ดี แบบชนชั้นสูง สง่างามสง่างาม หรูหรา มีความวิจิตรบรรจง แสดงถึงสัญชาติญาณ ชวนฝัน ให้ความรู้สึกลึกลับถึงจิตวิญญาณ แต่ในบ้านคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เลือกใช้สีม่วงเป็นสีพื้นฐาน แต่กระนั้นมันก็ยังคงมีความสัมพันธ์กับจิตใจ เช่น หากว่าคุณต้องการสมาธิลึกล้ำ คุณอาจต้องการห้องที่มีบรรยากาศนิ่งขรึมหน่อย สีม่วงนี่แหละที่เหมาะที่สุด มันเป็นสีที่หนัก ดังนั้นควรใช้แต่น้อย เพราะถ้าใช้สีม่วงกับห้องทั้งห้องแทนที่จะดูสง่างามมีมนต์ขลังแต่กลับจะให้ความรู้สึกกดดันมากเกินไป

สีชมพู เป็นเฉดสีแดง แต่มีสีขาวผสมเล็กน้อย น่าทะนุถนอม สงบเยือกเย็น ให้ความรู้สึกถึงความเป็นแม่ แต่เป็นสีที่ให้พลังและอบอุ่นใจ มีการทดสอบกับนักโทษในราชนาวี สหรัฐในซีแอตเติล ในปี 1978 พบว่าคนเหล่านั้นจะมีอารมณ์สงบลงหลังจากถูกกักตัวให้อยู่ในห้องสีชมพูนาน 15 นาที และอารมณ์สงบนี้ยังอยู่ต่อเนื่องอีก 30 นาทีหลังจากถูกปล่อยตัวออกจากห้อง เนื่องจากสีชมพูจะทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอดรีนาลีนออกมา ซึ่งจะทำให้การเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจช้าลง ความเครียดและความก้าวร้าวก็น้อยลงไปด้วย สีชมพู จะช่วยประสานความรู้สึกให้อ่อนโยนลง บำรุงความรัก เป็นสีที่โรแมนติก ดังนั้นจะเห็นว่าคนที่กำลังมีความรักมักจะถูกล้อว่าหัวใจรักสีชมพู สีนี้จึงมีสรรพคุณเข้าท่าน่าลองใช้เป็นสีห้องนอนของคนที่หย่าร้างกัน

สีแดง เป็นสีอบอุ่น โรแมนติก ชวนหลงใหล และกระตุ้นความรู้สึกได้ดี ทำให้กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยชีวิตชีวา รุ่มร้อน สีแดงยังแสดงถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์ในความเชื่อของคนจีน
เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมสีแดงความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น ทำให้การเต้นของหัวใจเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น สมองก็แอคทีฟขึ้นด้วย เป็นการกระตุ้นกลไกการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย สีแดงนี้เองที่ทำให้คนเรา เร่าร้อน ปั่นป่วนหัวใจ สีแดงเป็นสีของธรรมชาติ เป็นสีของไฟ และเลือด เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และพลังชีวิต

สีแดงจึงเป็นสีแห่งอารมณ์สีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะช่วยเพิ่มการหลั่งของอดรีนาลีน เป็นสีที่ทำให้คนพลุ่งพล่านได้ง่ายๆ น่าระวังถ้าคุณใช้สีแดงกับบ้านของคุณ และตราบใดที่คุณอยู่ในห้องสีแดงคุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน

หากใช้สีแดงในการบำบัดด้วยสี (colour therapy) พลังของสีแดงจะช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ แข็งแกร่งขึ้น และยังช่วยเสริมให้คนที่เฉื่อยชามีความกระฉับกระเฉงขึ้นด้วย สีแดง สีส้ม และสีเหลืองมักจะทำให้คนฉุนเฉียวได้ง่ายกว่าสีฟ้า เขียวและม่วง

สีฟ้า เป็นสีเย็น ตรงกันข้ามกับสีแดง สีฟ้าสามารถทำให้ร่างกายคนเราปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์สงบลงได้ สีฟ้าช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายยามที่เรารู้สึกเครียด แต่ถ้าเราใช้มันมากมันก็จะทำให้เรากลายเป็นคนเฉื่อยไปแทน ถ้านั่งอยู่ในห้องสีฟ้าคุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว เพราะเรารู้สึกผ่อนคลายมาก

ห้องสีฟ้าเป็นสีที่ได้รับการยอมรับว่าจะช่วยให้นอนหลับได้ลึกดีที่สุด ผลการวิจัยพบว่า การใช้ยาหลอก (Placebo tablets) เม็ดสีฟ้าโดยหลอกว่าเป็นยานอนหลับนั้นได้ผลดีเยี่ยมมากกว่ายาเม็ดสีชมพู ซึ่งยังว่ากันว่าห้องสีฟ้าเหมาะจะใช้เป็นสีของห้องนอน โดยเฉพาะห้องของคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ เพราะให้ความรู้สึกสงบและเยือกเย็น สีฟ้าเป็นสีของน้ำ เป็นสีที่สงบ แต่มีความเคลื่อนไหว และดูฉลาด ให้ความรู้สึกถึงเสรีภาพและการปลดปล่อย

แต่ตรงกันข้ามสีฟ้าจะมีผลต่อเด็กเล็กๆ ไม่น้อยเลย เพราะเป็นสีที่สว่าง เจิดจ้า เด็กทารกจะสามารถมองสีสว่างๆ ได้นานๆ จึงไม่เหมาะที่จะใช้กับห้องนอนเด็กเล็ก

สีน้ำเงิน เป็นสีโทนเย็น ให้ความรู้สึกถึงความยึดมั่น จริงจัง สงบนิ่ง มีพลัง และมีเสน่ห์ สุภาพ สูงศักดิ์ เป็นสีที่ให้ความรู้สึกลึกล้ำ น่าค้นหา เช่น สีของท้องมหาสมุทร ท้องฟ้ายามเย็น เป็นสีอมตะที่อยู่เหนือกาลเวลา เพราะสีน้ำเงินเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสีฟ้า เจ้าแห่งความสงบ ผสานด้วยความอบอุ่นของสีแดง สีนี้เหมาะกับการใช้กับเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสีของสิ่งของชิ้นเล็กๆ แต่ถ้าต้องอยู่ในบรรยากาศห้องที่เป็นสีน้ำเงินกลับจะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่น เหมือนถูกกดบีบ ทำให้ที่กว้างดูแคบลงถนัดตา ดังนั้นสีนี้ไม่เหมาะที่จะเลือกใช้กับที่อยู่อาศัย

สีเขียว เป็นสีของธรรมชาติและเป็นสีแห่งความสมดุลเพราะเป็นสีที่อยู่ระหว่างกลางของสีรุ้ง มันสามารถสร้างความกลมกลืน มั่นคง และเยียวยาได้ เป็นสีที่สว่างและชัดเจน เป็นสีของคนที่เข้าใจอะไรง่าย ไม่เห็นแก่ตัว และเป็นคนที่มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นสีที่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด หากใช้กับสีห้องจะช่วยให้เชื่อมต่อกับธรรมชาติเขียวขจีภายนอกได้ดีที่สุด มันเป็นที่มาของสตูดิโอหรือโรงละครที่จะต้องมี ห้องสีเขียว เพื่อให้ศิลปินได้เข้าไปผ่อนคลายรวบรวมสมาธิก่อนการแสดง เพราะสีเขียวมีส่วนช่วยในการระงับความรู้สึกตื่นเต้น หรือ nervous ได้ดี

นอกจากนี้พืชผักสีเขียวที่เรากินก็ยังให้คุณค่าโภชนาการมหาศาล ทั้งสารอาหาร กากใยสูง ช่วยขจัดพิษต่างๆ ในร่างกายได้ และทำให้สุขภาพคงกระพัน สีเขียวยังมีความสำคัญทางการแพทย์ โดยช่วยคืนความสมดุลของจิตใจในผู้ป่วยโรคจิตด้วย สภาพแวดล้อมสีเขียวจะช่วยให้หายเหนื่อย บรรเทาอาการช็อค บำรุงขวัญ กำลังใจให้ดีขึ้นอีกด้วย คุณจึงสามารถใช้สีเขียวกับทุกๆ ห้องภายในบ้าน เพราะเป็นสีแห่งความสมดุลเป็นที่สุด

สีส้ม เป็นสีแห่งความกระตือรือร้น และมองโลกในแง่ดี เป็นสีแห่งความสนุกสนานจิตใจอบอุ่น และเป็นคนใจกว้าง เป็นสีของคนมีอารมณ์ขันและมิตรภาพ คนที่มักจะชอบใส่ชุดสีส้มมักจะเป็นคนที่มีชีวิตและจิตวิญญาณสนุกสนานเป็นเนืองนิตย์ แต่สีส้มก็เป็นสีที่ช่วยเบรคการกระตุ้นพลังงาน เป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกฮึกเหิมต่อสู้กับความยากลำบากได้ดี สีส้มสามารถใช้ได้โดดๆ เป็นสีของห้องอาหาร เพราะให้ความรู้สึกถึงการสังสรรค์ ทั้งช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดีด้วย

สีต่างๆ มีอิทธิพลต่อคนเราแตกต่างกันไป แต่มีเพียงสีฟ้าและสีแดงที่มีผลต่อความรู้สึกชัดเจนมากที่สุด ซึ่งสีส้มจะเป็นตัวเสริมให้เกิดความชื่นบาน และเร่งเร้าให้คนกระตือรือร้นในการทำงานจึงเหมาะกับการเลือกเป็นสีบริเวณทางเข้าของสำนักงานด้วยยิ่งนัก

สีเหลือง เป็นสีที่แสดงถึงความฉลาด ความสว่างไสว และความสำเร็จ หากว่าคุณต้องการกระตุ้นให้สมองคุณคิดอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการเขียนและการพูด ลองสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลือง ใช้ห้องเรียนสีเหลือง หรือตกแต่งบ้านด้วยดอกไม้สีเหลืองก็น่าจะดี เป็นสีที่แสดงให้เห็นถึงการมีจุดหมายที่ชัดเจน และไอเดียใหม่ๆ สีเหลืองเป็นสีที่ใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์ที่สุด ถ่ายทอดถึงความหวัง ความสนุกสนานเริงร่า และความเบิกบาน เป็นสีที่มีความเหมาะสมในการนำมาผสมผสานเข้ากับสีอื่นๆ หรือจะเลือกใช้เป็นสีตรงข้ามก็เยี่ยม ในการบำบัดทางจิตด้วยสี (colour therapy) สีเหลืองจะมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างความสมดุลแห่งจิตใจ ช่วยทำให้เกิดการตัดสินใจได้เร็วขึ้น และลดความลังเลลง สีเหลืองมักจะทำให้คนรู้สึกดี หากใช้เวลา 90% อยู่ภายในห้องสีเหลืองมันจะช่วยเสริมให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น และลดความรู้สึกผิดหวังลงได้บ้าง สีเหลืองจึงเป็นสีที่ช่วยกำจัดมลพิษของจิตใจด้วยการทำให้คนลดความคิดเชิงลบกับสิ่งต่างๆ ลงได้

สีน้ำตาล เป็นสีตัวแทนของผืนโลกเป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง และติดดิน เป็นสีเชื่อมต่อให้คนรู้สึกถึงผืนดิน แต่การที่จะเลือกใช้ ห้องเป็นสีน้ำตาลจะทำให้รู้สึกหนักเกินไป และกดดันได้ แม้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยก็ตามที
สีน้ำตาลเป็นสีแห่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นสีแห่งวงจรธรรมชาติ สีน้ำตาลไม่ใช่สีพื้นฐานของสีรุ้ง แต่เป็นสีที่ผสมไว้ด้วยสีแดง จึงให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่สีน้ำตาลยังเป็นนิยามของ การหยุดชะงัก แสดงถึงความมีสุขภาพไม่ดี

สีขาว คือสีของแสงที่ผสานทุกสีของแสงเข้าไว้ด้วยกัน จนไม่มีสี มันคือสีของแสงธรรมชาติ เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ และมีวัฒนธรรม ใสซื่อ สะอาด เปิดเผย มีความงดงามน่าหลงใหล สีที่หมายถึงการปกป้องคุ้มครองให้ จากนี้ไปคุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหมอ พยาบาลจึงใส่ชุดสีขาว กระทั่งบาทหลวงในศาสนาคริสต์ก็เช่นเดียวกัน

สีดำ เป็นสีที่นิ่ง มืด ทึบตัน และหนักแน่น มีพลังในตัวมันเอง สัมพันธ์กับความหมายของความตาย และการปฏิเสธ มีความลึกลับ และความไม่รู้ สีดำชวนให้น่าเกรงขาม หากใช้กับห้องจะให้ความรู้สึกถึงความหมดหวังและความกดดัน สีนี้จึงเหมาะกับเลือกใช้ในการสร้างสรรค์บรรยากาศ แต่สีดำก็มีบทบาทในการส่งเสริมให้สีอื่นๆ เด่นขึ้นเสมอ ขณะเดียวกันอิทธิพลของสีดำยังสามารถเบรกความแรงของสีที่เจิดจ้าลงได้อีกด้วย หากว่าเลือกใช้อย่างเหมาะสมสีดำจะเป็นสีที่มีเสน่ห์มากสีหนึ่ง

แน่ล่ะ คุณเองก็ไม่สามารถปฏิเสธอิทธิพลของสีสันที่มีต่อความรู้สึกนึกคิดได้เลย เรียนรู้ที่จะใช้มัน หรือผลสะท้อนต่อสุขภาพจิตของเราสี แล้วลองเลือกใช้ดู คุณอาจจะรู้สึกสนุกกับสีสันในชีวิตมากขึ้นก็ได้

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง


กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ(วิตามินซี วิตามิน. และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้" ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด


พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม


ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่


ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล


การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามิน.สูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่


ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามิน.น้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินีทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี
เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวันหรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี

เฉลยมายากลขั้นเทพ ทดลองเล่นเองได้ทันที

เฉลยมายากลหนังยาง

อุปกรณ์ก็สุดแสนจะหาง่าย คือหนังยาง 2 เส้น แต่ถ้าหนังยาง 2 สีจะดีมาก



เฉลยมายากลเสกเหรียญเข้าแก้วใส

แค่ใช้แก้วใส เหรียญ 1 เหรียญ และน้ำเปล่า ก็เล่นได้แล้ว



เฉลยมายากลไพ่กับเหรียญ

ดูโปรขึ้นมาอีกนิดนึง กับอุปกรณ์ที่แสดงความเก๋า อย่างไพ่กับเหรียญ ตัวอย่างที่นำมาให้ดูก็ต้องฝึกซักเล็กน้อย ก็เล่นโชว์เทพให้เพื่อนๆตะลึงได้แล้ว

8 ก.ย. 2554

ตัวเลขวันเกิดบอกถึงสไตล์การทำงานของคุณ


ท่านที่เกิดวันที่ 1 สไตล์การทำงาน : คุณมักเป็นเจ้าของความคิดใหม่ ๆ คุณมักนำพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวเองมาแก้ปัญหาด้วยวิธีที่คนอื่นคาด ไม่ถึงอยู่เสมอ สำหรับคุณแล้วการพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จริง ๆ แล้วมีทางเป็นไป ได้ จะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานและสะใจเป็นอันมาก ในการทำงาน คุณชอบที่จะเป็นผู้กำหนดอนาคต วางแผนทุกอย่างด้วยตนเอง นอกจากนี้เรื่องการแหกกฎก็เป็นเรื่องที่พบเห็นประจำในการทำงานของคุณ

อาชีพที่เหมาะสม : คุณเหมาะสมกับทุกอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประเภทนักประดิษฐ์ ดีไซเนอร์ ครีเอทีฟ หรืออย่างประเภทนักบิน ผู้กำกับฯ ที่ปรึกษาทางธุรกิจ นักขาย ศิลปิน งานใน ตำแหน่งหัวหน้าหรือผู้บริหารระดับสูง


ท่านที่เกิดวันที่ 2 สไตล์การทำงาน : ด้วยความยืดหยุ่นสูง การรู้จักวางตัว ผสมวาทศิลป์อันยอดเยี่ยม ทำให้การงานของคุณดำเนินไปด้วยดี และสำเร็จได้อย่างราบรื่นอยู่เสมอ การทำงานของคุณจะเป็นในลักษณะร่วมมือกับผู้อื่น เรื่องฉายเดี่ยว เป็นสิ่งที่คุณไม่สันทัด

อาชีพที่เหมาะสม : ทูต นักสังคมสงเคราะห์ ที่ปรึกษา เจ้าของร้านหนังสือ พนักงานขายประกัน เจ้าของ ร้านอาหาร เจ้าของโรงมหรสพต่าง ๆ นักกฎหมาย สถาปนิก ผู้รับเหมาก่อสร้าง พยาบาล แพทย์ เป็น อาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 3 สไตล์การทำงาน : คุณชอบทำงานประเภทที่ต้องพบปะผู้คน เหมาะมากกับการทำงานเป็นทีมเวิร์ก คือนอกจากจะต้อง ติดต่อประสานงานกับคนภายในองค์กรแล้ว ภายนอกองค์กรคุณก็สามารถจัดการได้เป็นอย่างดี และ ด้วยความคิดดีๆ ที่คุณจุดประกายได้เสมอ ทำให้ภาพรวมของงานเป็นไปในทางที่ดี ทีมงานก็จะแฮปปี้ มากๆ ที่ได้ร่วมงานกับคุณ

อาชีพที่เหมาะสม : ประชาสัมพันธ์ ฝ่ายดูแลลูกค้า ตัวแทนการขาย ประสานงาน ออร์แกไนเซอร์ เปิด ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย สปา ธุรกิจโรงแรม พนักงานต้อนรับโอเปอเรเตอร์


ท่านที่เกิดวันที่ 4 สไตล์การทำงาน : บางทีเพราะความใจกว้างเกินไป จึงทำให้บางครั้งการร่วมงาน หาหุ้นส่วน หรือการช่วยเหลือผู้อื่นของคุณ ไม่เหมาะสมได้ คือ ทำในสิ่งที่ไม่น่าจะทำหรือทำเกินไป ด้วยเหตุนี้ คำว่า ′ทำบุญคนไม่ขึ้น′เป็นคำที่ โดนใจคุณมาก การทำอะไรให้พึ่งตัวเองเป็นสำคัญ หรือไม่ก็เลือกพึ่งพาเฉพาะเพื่อนหรือคนในครอบ ครัวที่ไว้ใจได้จริง ๆ จะทำให้การงานคุณราบรื่นได้

อาชีพที่เหมาะสม : งานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โปรดิวเซอร์รายการต่าง ๆ ที่ปรึกษาด้านการเงิน ทนาย ความ สถาปนิก ผู้รับเหมา วิศวกร ศิลปินแขนงต่าง ๆ จะเป็นอาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 5 สไตล์การทำงาน : รวด เร็ว ว่องไว เกาะติด และมีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ ทุกครั้งที่คุณได้งาน ใหม่ ๆ คุณจะดีใจและมี ความสุขมาก แต่เมื่อไรได้งานที่ต้องใช้เวลาทำนาน ๆ จะไม่เหมาะกับคุณ เพราะคุณจะพาล เบื่อเอาซะ ก่อน

อาชีพที่เหมาะสม : คุณเป็นคนที่มีความคล่องแคล่วสูงมาก และมีความสามารถในการสื่อสารที่ดี ดังนั้น สายงานที่เหมาะกับคุณ คืองานในวงการโทรทัศน์ หรืองานประชาสัมพันธ์ เช่น นักเขียน นักบรรยาย อาจารย์มหาวิทยาลัย นักการศึกษา นักโฆษณา นักขาย ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง

ท่านที่เกิดวันที่ 6 สไตล์การทำงาน : ถ้าสังเกตตัวเองดี ๆ คุณจะพบว่า คุณมักจะมีพรสวรรค์อย่างน้อยหนึ่งอย่างติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตคุณจะ ก้าวหน้ากว่าคนอื่นมาก ถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ไม่ฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ การทำงานของ คุณจะไปได้อย่างเหนือความคาดหมายของคนอื่นอยู่เสมอ ๆ ถ้าคุณได้ทำในสิ่งที่คุณเต็มใจ รูปแบบการ ทำงานของคุณไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ

อาชีพที่เหมาะสม : สอนหนังสือ ที่ปรึกษาด้านชีวิตหรือความรัก นักบำบัด นักดนตรี ศิลปิน งานที่ต้องใช้ ความคิดสร้างสรรค์ อาชีพเพื่อสังคม งานบริการต่าง ๆ งานที่ต้องใช้อารมณ์และความ สุนทรีภาพสูง ๆ จะเป็นอาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 7 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนทำอะไรมีหลักการ ใช้ความคิดใคร่ครวญ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบมาก ๆ แล้วจึงทำ คุณจึง ชอบอยู่คนเดียว ทำงานคนเดียว ชอบหน้าที่หรือตำแหน่งที่มีความเป็นส่วนตัวสูง นอกจากนั้นคุณยังชอบ ความสันโดษและการทำสมาธิอีกด้วย เมื่อยามว่างจากงาน

อาชีพที่เหมาะสม : นักบำบัด นักเขียน นักกฎหมาย ช่างถ่ายรูป นักวิจัย นักวิเคราะห์ ครูบาอาจารย์ และ อาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจหรือจิตวิทยา เป็นสิ่งที่เหมาะกับคุณเหลือเกิน


ท่านที่เกิดวันที่ 8 สไตล์การทำงาน : ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่ทำงานได้ดี แต่คุณมักไม่ชอบอยู่ที่หนึ่งนาน ๆ อยู่ได้สักพักก็มักจะย้าย เพื่อไปหา เป้าหมายที่ท้าทายกว่า ยิ่งใหญ่กว่า และด้วยไฟในการทำงานอันร้อนแรงของคุณ คุณจะทำอะไรอย่าง รวดเร็วแบบสายฟ้าแลบ จนบางทีทำให้คนรอบข้างของคุณปรับตัวไม่ทัน รวมทั้งบางทีจังหวะไม่มา ทำ ให้คุณเหนื่อยเปล่าด้วย ดังนั้นไม่ต้องเร่งรีบไปให้ถึงจุดหมายมากเกินไป ให้ดื่มด่ำกับทุกย่างก้าวที่คุณ ได้ก้าวไป จะทำให้คุณมีความสุขและไม่เครียด และยังสามารถรักษา ศักยภาพในการทำงานให้คงอยู่ ได้นาน โดยไม่ต้องเหนื่อยกับงานมากเกินไป

อาชีพที่เหมาะสม : งานทางด้านการเงินการธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ฝ่ายติดต่อ ประสานงานต่าง ๆ นักลงทุนตลาดหลักทรัพย์ ผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางศาสนา นักกฎหมาย นักบุญ และธุรกิจบันเทิงทั้งหลาย เป็นอาชีพที่เหมาะกับคุณเหลือเกิน


ท่านที่เกิดวันที่ 9 สไตล์การทำงาน : การประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ของคุณมักไม่ค่อยมาจากการกระทำเท่าใดนัก แต่มักมาจากการที่คุณ มองเห็นอะไรได้ชัดกว่าคนอื่นทั้งในภาพรวมและเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทำให้คุณเหนือกว่าคนอื่นหนึ่ง ก้าวเสมอ อย่างไรก็ตาม ในการแก้ปัญหาเรื่องของการงาน คุณมักจะทำตามที่ใจคุณเรียกร้องเสมอ ไม่ ค่อยฟังคนอื่นเท่าใดนัก ประมาณว่าดื้อเงียบ

อาชีพที่เหมาะสม : นักบำบัด นักวางกลยุทธ์ นักแต่งหนังสือ นักขาย นักบริหาร ครูบาอาจารย์ นัก ปราชญ์ นักเขียน ช่างภาพ ศิลปิน คืออาชีพที่เหมาะกับคุณ


ท่านที่เกิดวันที่ 10 สไตล์การทำงาน : คุณมีความเชื่อมั่น ศรัทธาในตัวเอง คุณทำให้คนรอบข้างอุ่นใจ ถ้าคุณหันมามองรอบตัวคุณจะเห็นความ รู้สึกนึกคิดความต้องการของคนรอบข้าง

อาชีพที่เหมาะสม : ศิลปิน เทรนเนอร์ นักสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ นักบิน นักการศึกษา นักสื่อสารมวลชน จะเป็นอาชีพที่เหมาะกับคุณเหลือเกิน


ท่านที่เกิดวันที่ 11 สไตล์การทำงาน : ในการทำงาน คุณทำทุกอย่างในสิ่งที่คุณเชื่อและชอบอยู่เสมอ นั่นจึงทำให้คุณเป็นคนที่สามารถสนุก สนานกับทุกอย่างได้ แม้กระทั่งงานเบา งานหนัก งานยุ่ง ถึงจะมีแอบบ่นในใจลึก ๆ อยู่บ้าง แต่แท้จริง แล้วไม่เคยหวั่น คุณเปรียบประดุจได้กับไดนาโมของความคิดสร้างสรรค์และ จินตนาการ สไตล์การทำ งานของ คุณมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และคุณจะก้าวหน้ากว่าใคร ก็ด้วยในสิ่งที่เป็นตัวคุณนี่แหละ

อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน นักแสดง ศิลปิน นักปรัชญา ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ นักศาสนา นักธุรกิจ ไฟแรง นักประพันธ์ ที่ปรึกษาทางธุรกิจหรือด้านต่าง ๆ จะเหมาะอย่างยิ่ง


ท่านที่เกิดวันที่ 12 สไตล์การทำงาน : อะไรที่ว่าเป็นเรื่องยากต่อการปฏิบัติ หรือต่อการทำความเข้าใจ คุณสามารถย่อมัน สรุปมันได้ง่ายต่อ การคิดและปฏิบัติเสมอ ถ้าคุณเป็นหัวหน้า คุณก็จะสั่งลูกน้องได้อย่างกระชับ ชัดเจน ใครก็ตามที่ได้ฟัง จะสามารถนำไปทำได้ทันที ถ้าเป็นลูกน้อง คุณก็จะทำให้หัวหน้าประทับใจในการทำงานที่รวดเร็วและ ถูกต้องอยู่เสมอ ๆ

อาชีพที่เหมาะสม : เป็นที่แปลกมากที่ว่า คุณเป็นคนที่ทำอาชีพอะไรก็ได้ ขอให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่คุณชอบ และต้องเกี่ยวข้องกับการติดต่อกับผู้คนมาก ๆ ไม่ว่าจะทำอะไร คุณก็สำเร็จเด่นกินหน้าใครอย่างแน่นอน


ท่านที่เกิดวันที่ 13 สไตล์การทำงาน : ขอพูดสั้น ๆ แล้วกัน ช้าแต่ชัวร์ มั่นคงและแน่นอน นั่นละใช่เลย สไตล์ของคนที่เกิดวันที่ 13

อาชีพที่เหมาะสม : นักวางแผนทางการเงิน นักสังคมสงเคราะห์ งานก่อสร้าง งานประชาสัมพันธ์ ผู้ กำกับฯ พ่อครัวมือหนึ่ง หมอศัลยกรรม โปรแกรมเมอร์ คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 14 สไตล์การทำงาน : ใครว่าคนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือการเปลี่ยนแปลงนั้นทำยาก โอ๊ย ... สำหรับคุณแล้วการ เปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องง่ายหรือหมูมาก ๆ เพราะคุณเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก เข้าขั้นปรมาจารย์เลย ทีเดียว ดังนั้นอะไร ๆ ก็ตามที่มาใหม่ คุณมักจะเข้าใจและเรียนรู้ได้เร็วก่อนใครอยู่เสมอ ๆ เรื่อง ของกระแสไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแฟชั่น การเมือง ความรู้ คุณจะสามารถจับกระแสของสิ่งเหล่านั้นได้ ก่อนใคร รวมถึงคุณยังเป็นคนที่สื่อสารหรือพูดชักจูงให้คนอื่นเคลิบเคลิ้มหรือคล้อย ตามได้ดีอีกด้วย ทั้ง หมดนี้ทำให้การทำงานของคุณ เป็นลักษณะเล่นกับกระแส อิงกับกระแส แล้วใช้การต่อรอง แลกผล ประโยชน์อย่างรวดเร็วในการกำชัยชนะอยู่เสมอ ๆ

อาชีพที่เหมาะสม : นักเจรจาต่อรอง นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี นักสังคมวิทยา นักประมูล ผู้จัดการ ฝ่ายขาย โค้ชกีฬา เทรนเนอร์ นักข่าว นักพาณิชยศิลป์เป็นอาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 15 สไตล์การทำงาน : ความเด็ดเดี่ยว ความเชื่อในอุดมคติ ความภาคภูมิใจ สามสิ่งนี้คือจุดแข็งของคุณ คุณจึงมักทำอะไร ทุกอย่างโดยมีเป้าหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ๆ ไม่มีทางเลยที่คุณจะยอมเสียเวลาเปล่า ๆ ไปกับการ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ การทำงานในองค์กรต่าง ๆ คุณจะเป็นคนที่กระหายเรียนรู้เป็นอย่าง มาก เป็นนักดูดซับข้อมูลตัวฉกาจ เรียกได้ว่าอะไร ๆ คุณสามารถรู้ทันเกมได้หมด สร้างศาสตร์ใหม่ ๆ ทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของคุณเองได้ สิ่งเหล่านี้ดีเลิศจนบางครั้งอาจทำให้คนหมั่นไส้เอา ได้ แต่ช่างมันเถอะ เรื่องธรรมดาของคนมีความสามารถ

อาชีพที่เหมาะสม : ครูอาจารย์ นักวิชาการ นักออกแบบ มัณฑนศิลป์ สถาปนิก บรรณารักษ์ นักวิจัย นัก บำบัด นักเรียกร้องเพื่อสังคม ผู้นำทางสังคมเป็นอาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 16 สไตล์การทำงาน : ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์ ไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาคุณไปได้ เพราะการทำงานของคุณจะเป็นไปใน ลักษณะพุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วที่สุด ความอ้อมค้อมเป็นสิ่งที่คุณไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่ง เวลาคุณทำ อะไร คุณจะใช้ความตรงไปตรงมา บวกกับการวางแผนอย่างรัดกุม ทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณคิด เรียกได้ว่าเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว ดังนั้นโลกนี้ยังจะมีอะไรสามารถหลอกลวงคุณได้อีก

อาชีพที่เหมาะสม : นักประพันธ์เอก วิศวกร นักกฎหมาย นักวิจัย นักสืบ อาชีพที่ต้องใช้ประสาทสัมผัส พิเศษ คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 17 สไตล์การทำงาน : ด้วยความสามารถข้างต้น ถามว่าอะไรในการทำงานเป็นสิ่งที่คุณถนัดที่สุด ตอบได้เลยว่าคือเรื่องของ การเมืองในบริษัท ถึงแม้คุณจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ เพราะคุณเป็นคนที่มีความเคารพในตัวเองสูง มาก แต่คุณก็ทำมันได้ดีในระดับที่ไม่ธรรมดา แต่ถ้าไม่ชอบ ไม่เป็นไร งานอีกอย่างของคนที่เกิดวันนี้ถนัด นั่น คือ เป็นนักประสาน ประสานงานทุกอย่างไม่ว่าจะทางด้านความ คิดเห็น หรือเชิงปฏิบัติ คุณทำได้ดีมาก ใครมีความขัดแย้งอะไรขอให้เรียกหาคุณได้เลย

อาชีพที่เหมาะสม : นักแสดงเจ้าบทบาท นักการเมือง ทนาย นักเอนเตอร์เทน นักบริหาร นักการเงิน การธนาคาร ผู้นำทางศาสนา นายหน้า นักเล่นหุ้นมือฉกาจ ที่ปรึกษาด้านสุขภาพหรือความงาม คืออาชีพ ที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 18 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ชอบการเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตนเอง มากกว่าการรอใครมาสั่งมาสอน ถึงแม้กระนั้นก็แปลกที่ ว่าคุณก็สามารถรู้สิ่ง ๆ นั้นได้อย่างดีและรวดเร็วเสียด้วย ดังนั้นงานอะไรก็ตามคุณไม่เคยหวั่น เรียกได้ ว่า เป็นนักสู้งานตัวยงเลยทีเดียว นอกจากนี้ไม่ว่าบริษัทหรือการงานของคุณจะประสบปัญหาหรือวิกฤต เป็นเช่นไร ขอให้องค์กรนั้น บริษัทนั้น แต่งตั้งให้คุณเป็นคนที่สามารถจัดการหรือนำผู้คนฟันฝ่าไปจาก วิกฤตจะดีที่สุด เพราะคุณเกิดมาเพื่อเป็นนักจัดการกับวิกฤต หรือจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและ ใหญ่ ๆ ในเหตุการณ์เฉพาะ ๆ เท่านั้น โอ ... น่าดีใจ ยิ่งบ้านเมืองตอนนี้อยู่ในยามยาก คนอย่างคุณเป็นที่ ต้องการมาก

อาชีพที่เหมาะสม : การจัดการ นักกฎหมาย อัยการศาล นักปรัชญา ผู้นำทางความคิดหรือทฤ ษฎีใหม่ ๆ นักเล่าเรื่องหรือปรากฏการณ์ บรรณาธิการ นักสื่อสารมวลชนหัวก้าวหน้า นักกีฬา นักกรีฑา คืออาชีพ ที่เหมาะกับคุณ


ท่านที่เกิดวันที่ 19 สไตล์การทำงาน : ทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ เพราะคุณเป็นคนที่ชอบให้ความร่วมมือกับคนอื่นได้ ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ใช้ลงทุน ลงแรง ขอให้บอกคุณได้ คุณไม่เคยขัดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ในที่ทำงานหรือชีวิตประจำวันของคุณ มักจะไม่ค่อยมีศัตรูหรือถ้ามีก็น้อยมาก

อาชีพที่เหมาะสม : ผู้กำกับฯ นักดนตรี นักเขียน ที่ปรึกษา ผู้กำกับศิลป์ แดนเซอร์ นักออกแบบท่าเต้น นักเคมี เภสัชกร นักพัฒนาพื้นที่หรือองค์กร คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 20 สไตล์การทำงาน : ถ้าเล่นกีฬา คุณมักจะเป็น แมนออฟเดอะแมทช์ ถ้าเล่นการเมือง คุณมักจะเป็น ส.ส. แบบพลิกล็อกนั้น เป็นเพราะคุณเป็นคนสามารถฉกฉวยโอกาสจากช่องว่างต่าง ๆ ได้ยอดเยี่ยม ฟอร์มในเรื่องต่าง ๆ ของ คุณอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่พอช่วงเขาจะตัดสินกันหรือช่วงจังหวะสั้น ๆ ที่ใช้ตัดสินความเป็นความตาย คุณ มักจะหยิบชั้นปลามันได้เสมอ เป็นวีรบุรุษได้เสมอ น่าเลื่อมใส

อาชีพที่เหมาะสม : งานทุกอย่างที่ต้องทำกันเป็นทีม ที่ปรึกษาสุขภาพ ที่ปรึกษาทางด้านบุคลิกภาพ ครู บาอาจารย์ นักการทูต นักบริหาร นักจิตวิทยาเกลี้ยกล่อมให้โจรกลับใจ คืออาชีพที่เหมาะกับคุณ

ท่านที่เกิดวันที่ 21 สไตล์การทำงาน : ผู้ใหญ่ จะรักคุณมากเป็นพิเศษ คุณมักจะทำงาน หรือเลือกงานที่คุณได้ใช้ความคิด ใช้จินตนาการอย่าง เต็มที่ และที่สำคัญงานทุกชิ้นคุณจะทำมันออกมาจากใจจริง ๆ ดังนั้นไม่ว่างานอะไร หรือแม้กระทั่งงาน ช่าง งานเทคนิค ก็มักจะมีความงดงามเชิงศิลปะเข้าไปสอดแทรกอยู่ตลอด นับเป็นศิลปินด้วยจิต วิญญาณโดยแท้

อาชีพที่เหมาะสม : ทุกอย่างในวงการบันเทิง อย่างเช่น ดารา นักร้อง นางแบบ นักสื่อสารมวลชน นัก สร้างบุคลิก ผู้จัดการดารา วงการโฆษณา นักเขียน นักประชาสัมพันธ์ ไกด์นำเที่ยว หรือทุกอย่างที่เกี่ยว ข้องกับศิลปะ อย่างเช่น นักออกแบบบุคลิก นักวาดรูป นักออกแบบ นักประพันธ์ จะเหมาะกับคุณเหลือ เกิน

ท่านที่เกิดวันที่ 22 สไตล์การทำงาน : เรื่อง หัวเซ็งลี้ ต้องยกให้คุณ ที่ไหนมีกลิ่นของชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จ คุณสามารถรู้ทันได้หมด และฉกฉวยมาได้ก่อนใครเสมอ นั่นไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนโลภนะ แต่หมายถึง คุณไม่อยากเสียเวลา ไปทำในสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ได้สร้างความสำเร็จให้คุณ หรือพูดง่าย ๆ คุณเป็นคนที่กระหายความสำเร็จมาก

อาชีพที่เหมาะสม : สถาปนิก ครูบาอาจารย์ นักบริหาร ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ทนายมือหนึ่ง อัยการมือ ยอด นักการเงิน นักกีฬามือเซียน คืออาชีพที่เหมาะสมกิน

ท่านที่เกิดวันที่ 23 สไตล์การทำงาน : อาจจะเป็นเพราะความเมตตาที่คุณมี รวมกับผลบุญที่ได้สร้างสมมา ทำให้คุณมีความสามารถพิเศษ คือ คุณสามารถรู้ได้ว่าคนไหนจะดีกับคุณ คนไหนเป็นคนที่ช่วยเหลือคุณได้ และเป็นที่น่าแปลกว่า เรื่องบริวารของคุณจะมีปัญหาน้อยมากถ้าเทียบกับคนเกิดวันอื่น ๆ

อาชีพที่เหมาะสม : นักสังคมสงเคราะห์ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักเขียน ศิลปิน นักผลิตรายการโทรทัศน์ นักดนตรี คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 24 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ ฉะนั้นอะไรก็ตาม ถ้าคุณลองได้เชื่อแล้ว คุณทุ่มเทหมดทั้งกำลังกาย และกำลังใจทีเดียว การทำงานของคุณแม้ไม่รวดเร็ว ฉับไว แต่ผลลัพธ์ที่ได้มักมากกว่าที่จุดประสงค์ตั้ง ไว้ทีแรกเสมอ ๆ เรียกได้ว่าทำงานเกินเงินเดือน

อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน ปรมาจารย์ด้านใดด้านหนึ่ง นักดนตรี นักตกแต่งภายใน นักออกแบบ นักประพันธ์ นักสังคมสงเคราะห์ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้นำทางด้านศาสนา คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 25 สไตล์การทำงาน : คนประเภทที่ว่า มีไฟทำงานลุกโชติช่วงตลอดอย่างคุณ ถ้าจะทำงานก็ต้องเป็นงานประเภทเพิ่งจะบุกเบิก เริ่มต้น หรืองานประเภทที่ต้องใช้ความพยายาม ใช้ความสามารถอย่างสูงในการวางแผน หรือคิดค้นอะไรใหม่ ๆ เพราะนอกจากไฟอันร้อนแรงในตัวคุณแล้ว คุณยังเป็นคนที่มากความสามารถ

อาชีพที่เหมาะสม : นักบัญชี นักการเงิน นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักเขียน นักวาดรูป ศิลปิน นัก แสดงล้อเลียนต่าง ๆ คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 26 สไตล์การทำงาน : คนที่เกิดวันนี้มีเซ้นส์พิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถจับผิดหรือรู้สึกถึงความผิดปกติต่าง ๆ ได้เร็วกว่าคน อื่นเสมอ สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูกต้อง หรืออะไรคือเส้นทางที่ควรจะไปได้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ได้เร็ว สิ่งเหล่านี้คุณจะรู้ได้ก่อนใครเสมอ ๆ ดังนั้นการทำงานของคุณจะเป็นประเภทครบเครื่องและฉายเดี่ยว คุณชอบทำทุกอย่างตั้งแต่วางแผนยันลงมือทำเองหมด ใจค อจะไม่แบ่งงานให้คนอื่นบ้างเลยหรือ!!!

อาชีพที่เหมาะสม : ครูบาอาจารย์ นักเจรจา นักไกล่เกลี่ย นักสืบ นักตกแต่ง นักจัดงานทางการตลาด นักตัดต่อเสียง นักตัดต่อภาพยนตร์ ซาวด์เอนจิเนียร์ คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 27 สไตล์การทำงาน : เรื่องประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่คุ้นเคยและชินชามาก นั่นเป็นเพราะว่าเวลาคุณทำอะไร คุณจะคิด อย่างรอบคอบ คือคิดแล้วคิดอีกจนมั่นใจจึงทำ และเวลาทำเรื่องล้มเลิกเห็นจะไม่มี ฉะนั้นจึงทำให้คุณเป็นคนที่รักงานมาก ๆ เวลาเห็นใครทำอะไรชุ่ย ๆ กับงาน คุณจะอึดอัดใจเป็นอันมาก จริงไหมตัวเอง!!!

อาชีพที่เหมาะสม : นักอบรม นักจัดงานสัมมนา นักบริหาร นักแสดง นักดนตรี ศิลปิน นักวาดรูป วาทยกร คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 28 สไตล์การทำงาน : งานยาก ๆ เป็นของหวานอย่างหนึ่งของคุณ อะไร ๆ ที่คนอื่นว่ายาก ขอให้บอก ความสามารถพิเศษของ คุณคือ การอ่านสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและถูกต้องลึกซึ้ง

อาชีพที่เหมาะสม : ศิลปิน นักแสดง นักออกแบบเสื้อผ้า งานทุกชนิดที่ต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาพื้นที่ นักพัฒนาองค์กร หรืองานทุกอย่างที่ต ้องการการปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 29 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่มีความหลากหลายในตัวสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคม ศาสตร์ รัฐศาสตร์โอ๊ย แม้กระทั่งไสยศาสตร์ คุณมักมีความรู้หรือมีประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ มาแล้ว ทั้งนั้น ประมาณว่าพหูสูตร นอกจากนี้เวลาคุณทำงาน คุณมักจะชอบทำงานทีละหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน จนบางทีทำให้สับสนบ้าง อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของคุณ คือคุณสามารถทำงานที่ต้องใช้ทักษะหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ดี อย่างเช่น ประเภทพวกคอมพิวเตอร์กราฟิก หรือออกแบบบัญชีบนคอมพิวเตอร์ อะไรทำนองนั้น

อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน คอลัมนิสต์ บรรณาธิการนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ นักแต่งเพลง ลีดเดอร์ นักแสดงบนเวที นักมายากล นักกรีฑา หมอ ศัลยแพทย์ นักการเงิน นักธนาคาร นักสังคมสงเคราะห์ เรียกได้ว่าทำได้แทบทุกอาชีพ


ท่านที่เกิดวันที่ 30 สไตล์การทำงาน : คุณมักจะสามารถทำงานที่ต้องใช้ความอดทน ความเข้าใจคนอื่น ความรู้จักยืดหยุ่นได้ดีเสมอ อย่างไรก็ ตาม ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่มีจิตวิทยาสูง เข้าใจคนอื่นได้ดี แต่คุณมักจะไ ม่ค่อยเข้าใจในชีวิตความต้อง การ ความรู้สึกที่อยู่ลึก ๆ ข้างในตัวคุณเองสักเท่าไหร่ นั่นจึงทำให้ในช่ วงแรก ๆ ของชีวิตคุณมักจะเลือก เรียน หรือทำงานในสิ่งที่ไม่ใช่คุณอยู่เสมอ ๆ

อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน นักแสดง นักตกแต่งสวน นักประชาสัมพันธ์ หมอนวด แอร์โฮสเตส พนักงานต้อนรับ งานทุกอย่างที่ต้องใช้การสื่อสารและงานบริการ คืออาชีพที่เหมาะสม


ท่านที่เกิดวันที่ 31สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ตัดสินใจแล้วต้องทำให้ได้ ใครอย่ามาแย้งฉันนะ ไม่งั้นเดี๋ยวหัวขาด

อาชีพที่เหมาะสม : นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักระดมทุน นักกายภาพบำบัด นักกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญ ด้านคอมพิวเตอร์ แฮกเกอร์ นักกวนเมือง นักสื่อสารมวลชน นักข่าว โปรแกรมเมอร์ งานที่ต้องเกี่ยว ข้องกับการบันเทิง เป็นอาชีพที่เหมาะสมต้นไม้มงคลประจำวันเกิด สีประจำวันเกิด