24 ต.ค. 2553

ค่าจ้าง-สวัสดิการ ปี 53-54 สะท้อนนโยบายจ้างงานแนวโน้มดีขึ้น

ในขณะที่ภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังสาละวนกับการรื้อสูตรการปรับโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
โดยคนกลุ่มหนึ่งเห็นควรว่าค่าจ้างขั้นต่ำน่าจะอยู่ในระดับ 250
บาทเท่ากันทั่วประเทศ ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ออกมาโวยว่า ถ้าต้องจ่าย 250
บาทเท่ากันทั่วประเทศ อุตสาหกรรมย่ำแย่แน่

ข้อเท็จจริงการจ่ายค่าตอบแทนในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ในปีนี้และแนวโน้มปีหน้าเป็นอย่างไร

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยศรีปทุม
ได้จัดทำรายงานผลสำรวจค่าจ้างและสวัสดิการ ปี 2553-2554
แจงให้เห็นทุกรายละเอียดกว่า 16 ตาราง จากข้อมูลของ 302
สถานประกอบการที่กระจายอยู่ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมครบ ทุกขนาด
ทั่วทุกภาคของประเทศไทย

ที่น่าสนใจมีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์
และฉายภาพให้เห็นถึงการจ่ายค่าตอบแทนของภาคอุตสาหกรรมในมิติต่าง ๆ มากถึง 118
มุมมอง

โดยผลสำรวจค่าจ้าง ปี 2553-2554
ค่าจ้างขั้นต้นสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์จำแนกตามคุณวุฒิโดยเฉลี่ยรวมพบว่า วุฒิ
ปวช.จ่ายเฉลี่ย 6,590 บาท สูงสุด 12,000 บาท ต่ำสุด 4,680 บาท, วุฒิ
ปวส.จ่ายเฉลี่ย 7,697 บาท สูงสุด 15,000 บาท ต่ำสุด 5,100 บาท, วุฒิปริญญาตรี
จ่ายเฉลี่ย 11,518 บาท สูงสุด 28,000 บาท ต่ำสุด 6,000 บาท, วุฒิปริญญาโท
จ่ายเฉลี่ย 16,868 บาท สูงสุด 31,480 บาท ต่ำสุด 10,000 บาท, วุฒิปริญญาเอก
จ่ายเฉลี่ย 24,961 บาท สูงสุด 37,840 บาท ต่ำสุด 18,000 บาท

เมื่อจำแนกตามสาขาวิชาพบว่า วุฒิ ปวช.สาขาช่างเทคนิค จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 6,694
บาท สาขาคหกรรมศาสตร์ จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 6,196 บาท วุฒิ ปวส.สาขาช่างเทคนิค
จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 7,903 บาท สาขาคหกรรมศาสตร์ จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 7,169 บาท
วุฒิปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 15,056 บาท
สาขาคหกรรมศาสตร์ จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 10,133 บาท วุฒิปริญญาโท สาขาวิศวกรรมศาสตร์
จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 19,670 บาท สาขาคหกรรมศาสตร์ จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 14,051 บาท
วุฒิปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมศาสตร์ จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 37,840 บาท
สาขาเทคโนโลยีอาหาร จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 18,000 บาท

หากมองในมุมกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมจะพบว่า วุฒิ ปวช.กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า
จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 9,500 บาท ส่วนกลุ่มเซรามิก จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 5,771 บาท วุฒิ
ปวส.กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 12,369 บาท
กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 6,923 บาท วุฒิปริญญาตรี
กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 17,774 บาท กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ
จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 8,942 บาท วุฒิปริญญาโท กลุ่มยานยนต์ จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 21,074
บาท กลุ่มการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 11,167 บาท วุฒิปริญญาเอก
กลุ่มยางและผลิตภัณฑ์ยาง จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 30,000 บาท กลุ่มยาและเวชภัณฑ์
จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 20,068 บาท

ในส่วนของค่าจ้างสำหรับผู้มีประสบการณ์จำแนกตามระดับตำแหน่ง โดยเฉลี่ยรวมพบว่า
ผู้บริหารกลุ่มงานระดับสูง จ่ายเฉลี่ย 79,492 บาท สูงสุด 289,610 บาท ต่ำสุด
12,500 บาท ผู้บริหารกลุ่มงานระดับกลาง จ่ายเฉลี่ย 46,382 บาท สูงสุด 160,000
บาท ต่ำสุด 11,000 บาท ผู้บริหารกลุ่มงานระดับต้น จ่ายเฉลี่ย 26,092 บาท สูงสุด
117,000 บาท ต่ำสุด 8,000 บาท ผู้ชำนาญการ จ่ายเฉลี่ย 24,790 บาท สูงสุด
150,000 บาท ต่ำสุด 8,000 บาท ระดับเจ้าหน้าที่ จ่ายเฉลี่ย 15,748 บาท สูงสุด
62,500 บาท ต่ำสุด 11,000 บาท ระดับปฏิบัติการ จ่ายเฉลี่ย 9,788 บาท สูงสุด
30,421 บาท ต่ำสุด 4,500 บาท

เมื่อจำแนกตามกลุ่มงานพบว่า ผู้บริหารกลุ่มงานระดับสูง กลุ่มบัญชีการเงิน
จ่ายสูงสุด 90,116 บาท กลุ่มงานออกแบบ จ่ายต่ำสุด 56,400 บาท
ผู้บริหารกลุ่มงานระดับกลาง กลุ่มกฎหมาย จ่ายสูงสุด 59,507 บาท กลุ่มคลังสินค้า
จัดส่ง จ่ายต่ำสุด 40,613 บาท ผู้บริหารกลุ่มงานระดับต้น กลุ่มกฎหมาย
จ่ายสูงสุด 36,480 บาท กลุ่มคลังสินค้า จัดส่ง จ่ายต่ำสุด 22,353 บาท
ผู้ชำนาญการ กลุ่มกฎหมาย จ่ายสูงสุด 35,807 บาท กลุ่มงานออกแบบ จ่ายต่ำสุด
20,750 บาท ระดับเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานเลขานุการ จ่ายสูงสุด 20,083 บาท
กลุ่มคลังสินค้า จัดส่ง จ่ายต่ำสุด 13,392 บาท ระดับปฏิบัติการ กลุ่มกฎหมาย
จ่ายสูงสุด 14,660 บาท กลุ่มคลังสินค้า จัดส่ง จ่ายต่ำสุด 8,521 บาท

สำหรับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมพบว่า ผู้บริหารกลุ่มงานระดับสูง กลุ่มปิโตรเคมี
ก๊าซและพลังงานทดแทน จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 141,893 บาท กลุ่มรองเท้า
จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 31,208 บาท ผู้บริหารกลุ่มงานระดับกลาง กลุ่มปิโตรเคมี
ก๊าซและพลังงานทดแทน จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 78,173 บาท กลุ่มรองเท้า
จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 24,298 บาท ผู้บริหารกลุ่มงานระดับต้น กลุ่มปิโตรเคมี
ก๊าซและพลังงานทดแทน จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 46,816 บาท กลุ่มรองเท้า
จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 14,119 บาท ผู้ชำนาญการ กลุ่มปิโตรเคมี ก๊าซและพลังงานทดแทน
จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 58,666 บาท กลุ่มรองเท้า จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 10,658 บาท
ระดับเจ้าหน้าที่ กลุ่มยาและเวชภัณฑ์ จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 27,470 บาท กลุ่มรองเท้า
จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 10,937 บาท ระดับปฏิบัติการ กลุ่มปิโตรเคมี
ก๊าซและพลังงานทดแทน จ่ายเฉลี่ยสูงสุด 20,121 บาท กลุ่มยางและผลิตภัณฑ์ยาง
จ่ายเฉลี่ยต่ำสุด 7,017 บาท

ด้านผลการสำรวจสวัสดิการพบว่า
ทุกสถานประกอบการจัดสวัสดิการให้กับพนักงานตามที่กฎหมายกำหนด
และหลายแห่งยังจัดสวัสดิการที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดให้กับพนักงาน
โดยสวัสดิการที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่อุตสาหกรรมต่าง ๆ จะเน้นไปที่การให้ชุดทำงาน
คิดเป็นร้อยละ 86.75 เงินช่วยเหลือกรณีสามี ภรรยา บิดา
มารดาของพนักงานเสียชีวิต คิดเป็นร้อยละ 83.11 การตรวจร่างกายประจำปี
คิดเป็นร้อยละ 82.12 เป็นต้น

และประเด็นที่หลายคนรอฟังอยู่ นั่นคือการจ่ายโบนัสและการปรับเงินเดือน
ปรากฏว่าจากผลสำรวจค่าจ้างและสวัสดิการพบว่า ปี 2552 มีการจ่ายโบนัสในอัตรา 2.3
เดือน ด้านการปรับค่าจ้างประจำปีพบว่า ค่าเฉลี่ยการขึ้นเงินเดือนอยู่ที่ร้อยละ
5.05 ในขณะที่อัตราการเข้าออกของ พนักงานโดยเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 17.12

ส่วนนโยบายการจ้างงานเปรียบเทียบช่วงเดือนมกราคม-เมษายน กับ พฤษภาคม-ธันวาคม
2553 พบว่า การว่าจ้างปกติเป็นนโยบายที่บริษัทส่วนใหญ่เลือกใช้
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนวันทำงานปกติ ชั่วโมงการทำงานปกติ การปรับโบนัสปกติ
การปรับจำนวนกะปกติ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นโยบายการปรับค่าจ้างปกติที่ช่วงแรก คิดเป็นร้อยละ 3.0
แต่ในช่วงที่สองเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50.3 ในขณะที่นโยบายด้านลบ (negative
approach) บริษัท ส่วนใหญ่เลือกใช้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงแรก ตัวอย่างเช่น
การเลิกจ้าง พนักงานบางส่วน จากช่วงแรกคิดเป็น ร้อยละ 6.6
แต่ลดลงในช่วงที่สองเหลือเพียงร้อยละ 1.7
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาพการจ้างงานที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และมีแนวโน้มที่ดีขึ้น

"เทคโนโลยีผ่าตัดไซนัส แบบเสียเลือดน้อย"


การรักษาโรคไซนัสอักเสบมีทั้งการรักษาด้วยยาและการผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดในรายที่เป็นเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อยาที่ใช้รักษา มีความผิดปกติอื่นๆบริเวณรูเปิดไซนัส เช่น เป็นริดสีดวงจมูก เนื้องอกในโพรงจมูก หรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นต่อตา สมอง และกระดูกที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

พญ.วรรนธนี อภิวัฒนเสวี ศัลยแพทย์ด้าน หู คอ จมูก เชี่ยวชาญการผ่าตัดช่องจมูกและไซนัส โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า ณ ปัจจุบันการผ่าตัดด้วยกล้อง endoscope ผ่านทางรูจมูกถือเป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ มีเฉพาะในบางกรณีเท่านั้นที่แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดร่วมกับการเปิดแผลจากภายนอกส­ำหรับอุปกรณ์ที่ช่วยในการผ่าตัดไซนัสนั้นก็มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีให้มีความทันสมัยและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ผลลัพธ์คือ ผู้ป่วยเสียเลือดน้อย แผลผ่าตัดหายเร็ว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลนานและกลับคืนสู่ชีวิตประจำวันตามปกติได้อย่างรวดเร็ว

“ลองทำความรู้จักกับเครื่อง Microdebrider”

เครื่อง Microdebrider or soft tissue shaver หรือบางท่านอาจเรียกว่าเครื่อง ดูด, ปั่น, ตัด
ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง

เป็นเครื่องมือพิเศษที่ช่วยในการผ่าตัดไซนัสลักษณะเป็นแท่งโลหะ ส่วนปลายด้านหนึ่งมีอุปกรณ์คล้ายฟันเลื่อยทำหน้าที่ดูดเอาเนื้อเยื่อที่ต้องการเข้ามา แล้วจึงทำการปั่นและตัดเนื้อเยื่อให้เป็นชิ้นขนาดเล็กด้วยความเร็วเฉลี่ย 1500- 3000 รอบต่อนาที มีด้ามจับที่ง่ายต่อการควบคุมขณะผ่าตัดและมีความแม่นยำสูงเนื่องจากเครื่องจะตัดเฉพาะเนื้อเยื่อที่ถูกดูดเข้ามาในตัวเครื่องเท่านั้น จึงสามารถป้องกันการบาดเจ็บต่ออวัยวะสำคัญบริเวณข้างเคียงและยังสามารถเก็บรักษ­าเนื้อเยื่อปกติมิให้ถูกทำลายซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหายของแผลผ่าตัด

โดยหลักการของเครื่องนี้เป็นเครื่องที่อาศัยการดูดเป็นสำคัญ (suction-based power instrument) คือมีการต่อสายเข้ากับเครื่องดูดอยู่ตลอดระยะการผ่าตัด ซึ่งประโยชน์ก็คือช่วยดูดซับเลือดไปพร้อมๆกับการปั่นและตัดเนื้อเยื่อ ทำให้ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นบริเวณที่ทำผ่าตัดผ่านกล้องชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญหาที่พบบ่อยจากการผ่าตัดด้วยวิธีแบบเดิมก็คือ เมื่อมีเลือดออกปริมาณมากเข้ามาในโพรงจมูกมักบดบังทัศนวิสัยในบริเวณที่ทำผ่าตั­ดจนบางครั้งไม่สามารถดำเนินการผ่าตัดต่อได้หรือมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องมือชนิดนี้ต้องกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์เท่านั้น เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีความเร็วสูงในการดูดและตัดเนื้อเยื่อ ดังนั้นหากเกิดภาวะแทรกซ้อนก็มักเกิดได้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าการใช้เครื่องมือผ่าตัดแบบเดิม มีรายงานในต่างประเทศถึงอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะสำคัญประมาณร้อยละ 0.5 หรือน้อยกว่า ซึ่งได้แก่ การบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อหรือกล้ามเนื้อลูกตา การฉีกขาดของเยื่อหุ้มสมองส่งผลให้มีน้ำไขสันหลังรั่ว หรือบาดเจ็บต่อเนื้อสมอง

การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด

เช่นเดียวกับผู้ป่วยหลังผ่าตัดไซนัสทั่วๆไป คือ จะมีวัสดุห้ามเลือดใส่อยู่ภายในโพรงจมูกข้างเดียวหรือสองข้างแล้วแต่บริเวณที่ผ่าตัด ผู้ป่วยมักมีอาการปวดในโพรงจมูก คัดแน่น หูอื้อ หรืออาจมีน้ำมูก น้ำลายปนเลือดออกมาได้บ้างในช่วง 1-2 วันแรก
ประโยชน์อื่นๆของเครื่อง Microdebrider

นอกเหนือจากประโยชน์ที่ใช้ในการรักษาเพื่อผ่าตัดไซนัสอักเสบและริดสีดวงจมูกแล้ว เครื่องมือชนิดนี้สามารถนำมารักษาภาวะอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโรคของจมูก

1. โรคจมูกอักเสบเรื้อรังซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
เพื่อช่วยลดขนาดของเนื่อเยื่อบางส่วนที่อยู่ใต้เยื่อบุผิวและกระดูกเทอร์บิเนตชิ้นล่างให้มีขนาดเล็กลง ทำให้อาการคัดแน่นจมูกดีขึ้น
2. โรคเยื่อกั้นโพรงจมูกทางด้านหลังอุดตัน (Choanal atresia)
3. การรักษาท่อน้ำตาอุดตัน

http://www.thairath.co.th/content/life/120682

เรื่องน่าสนใจของญี่ปุ่น

1. ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะถนนจะโล่งแค่ไหน
หรือจะเป็นตอนดึกที่ถนนว่างไม่มีรถซักคันแค่ไหน
คน ญี่ปุ่นจะไม่ข้ามถนนเลย แต่จะเดินไปจนเจอ
ทางม้าลายและรอไฟเขียวให้คนข้ามถึงจะข้าม
(เป็น ระเบียบสุดยอดเลย)



2. การให้บริการลูกค้าใน ญี่ปุ่นเน้นเรื่อง Service Mind เป็นอย่างมาก
หาก ไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสไปห้างสรรพสินค้าหรือตามร้านต่างๆ
ก็ จะได้รับการบริการเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะ
หลังจากซื้อของเสร็จ พนักงานจะคอยยืนส่งลูกค้าไปจนลับสายตา
เพราะ ถือว่าหากลูกค้ามองกลับมาแล้วไม่เจอพนักงาน จะถือว่าเสียมารยาท



3. คนญี่ปุ่นมีอัตราการ ฆ่าตัวตายต่อปีที่สูง หนึ่งในวิธียอดนิยมคือ
การกระโดดให้รถไฟทับตาย
แต่ รู้มั้ยว่าถ้าหากกระโดดให้รถไฟทับตาย
พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล
เพราะ ถือว่าทำความเดือดร้อนให้กับบริษัทรถไฟที่ต้องหยุดวิ่ง
เพื่อทำความสะอาดรางและรถไฟ และ ต้องสูญเสียรายได้
(จะตายทั้งที ก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะ
ทางที่ดีอย่าตายดีกว่า)

4.ห้ามฟังเพลงจากหูฟัง ในขณะที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน
เพราะ ทำให้สมรรถภาพการขับขี่ลดลง ถ้าตำรวจพบ จะถูกปรับ



5. รวมถึงการซ้อนจักรยาน ถึงจักรยานจะมีเบาะให้ซ้อน ก็ห้ามซ้อน
เพราะตำรวจอาจเรียกได้เบาะซ้อนมีไว้วางของ ยกเว้นเด็กเล็กที่ซ้อนได้
แต่ต้องนั่งเบาะพิเศษของเด็ก
(หนุ่ม สาว อดซ้อนสวีทกันเลยล่ะสิ)

6.ที่ญี่ปุ่นไม่มีหมา จรจัด มีแต่แมวจรจัด ซึ่งก็มีน้อยมากๆ
เพราะ หมาจรจัด หรือที่ถูกทอดทิ้ง จะถูกเทศบาลจับไปหมด
ได้ ยินว่าถูกเอาไปฆ่าด้วย สงสารน้องหมาอ่ะ T^T



7. ถ้าลืมของไว้ที่ร้านอาหารหรือข้างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหาย
สอง วันผ่านไปมันจะยังคงอยู่ที่เดิม (หรือทางร้านจะเก็บ ไว้ให้)
เพราะ ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้ว เห็นมีหมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า
แขวนตามต้นไม้
เพราะ คนที่เก็บได้เขาจะนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับที่มีคนทำตก
เพื่อ ให้เจ้าของกลับมาตามหาเจอ (ที่ไทย สองวินาทีหายเรียบ 5555 )

8. ของแฮนด์เมดที่ ญี่ปุ่น ราคาแพงมากกกกกกกกกก
คน จะยกย่องและฮือฮามาก ถ้าคุณทำของแฮนด์เม ดได้ เพราะถือว่ามีฝีมือสุดยอด



9. คนท้องจะมีแท็กจากโรง พยาบาลให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
เพื่อ ที่คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้ท้อง และจะได้บริการให้เป็นพิเศษ
เช่น ลุกให้นั่งบนรถไฟใต้ดิน (เพราะบางคนก็อ้วนไง)



10. ห้องพักตามอพาร์ทเมนท์ คอนโด และโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น จะไม่มีห้องหมายเลข 4
เพราะ ถือว่าเป็นตัวเลขอัปมงคล เพราะอ่านออกเสียงพ้องกับคำที่แปลว่า ตาย



11. ร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านอื่นมา
ทานในร้าน แม้ กระทั่งน้ำเปล่าจาก 7-11

12. 7-11 หรือร้านสะดวกซื้อ อื่นๆ มีห้องน้ำให้เข้าฟรี (ดีจัง)



13. เวลาทิ้งขยะที่เป็น ขวดกล่องน้ำหรือนม
จะ ต้องล้างขวดหรือกล่องนั้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยทิ้ง
เพราะ หากทิ้งลงไปทั้งอย่างนั้น ของข้างในอาจบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น (สุดยอดๆ)



14. สามารถยืนอ่านหนังสือ โป๊หรือการ์ตูนโป๊ได้แจ่มๆ
ไม่ มีใครมองด้วยสายตาแปลกประหลาด (555555 จะดีเหรอ) โอ้.....
ไม่มียางอายกันแล้วท่าน



15. ผู้ชายญี่ปุ่นแทบทุก คน ชอบกันคิ้ว
เพราะผู้ชายที่นี่รักสวยรักงามไม่แพ้ผู้หญิง
ถ้า ไปทำผมในร้านเสริมสวย ช่างทำผมจะถามแน่นอน ว่าจะกันคิ้วเพิ่มด้วยมั้ย

วิธีพิมพ์งานตอนคีย์บอร์ดเสีย...มีประโยชน์มากๆ

วิธีพิมพ์งานตอนคีย์บอร์ดเสีย

คืนนั้นราวๆตีสามได้เรากำลังปั่นงานอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด อยู่ดีๆ ปุ่ม'ส.เสือ' มันเจ๊ง ทำไงดี
เราพิมพ์สอเสือไม่ได้ ขวัญกระเจิงเลยค่ะ โทรศัพท์ไปถามเพื่อนว่า
มีคีย์บ อร์ดให้ยืมสำรองไหม ปรากฎว่าเจ้าเพื่อนใจดีช่วยบอกเคล็ดวิชามา
ข้อหนึ่ง ทำให้คืนนั้นเราสามารถพิมพ์สอเสือได้ทั้งๆที่คีย์บอร์ดยังเสียอยู่

ก่อนอื่นให้คลิกที่ปุ่มสตาร์ท( start)
เลือกที่รัน( run)
เมื่อปรากฏรูปขึ้น มาแล้วให้พิมพ์คำสั่งว่า OSK ( เพื่อนเราบอกว่าย่อมาจากOn-Screen Keyboard)

ผลที่ได้คือคีย์บอร์ดเสมือนบนหน้าจอ บนหน้าจอจะแสดงโปรแกรมที่มีหน้าตาแป้นคีย์บอร์ด
คุณสามารถเลือกคลิกตัวอักษรหรือปุ่ม คำสั่งที่มา ช่วยส่งต่อ ๆ กันด้วยนะ

จุดอ่อนคนไทย 10 ประการ

6 โรคที่ควรระวังช่วงน้ำท่วม

แม้ว่าฤดูหนาวกำลังจะย่างเข้ามาแล้ว แต่ดูท่าว่าก่อนฤดูฝนจะผ่านไป มันยังส่งท้ายฤดูฝนด้วยภาวะน้ำท่วมที่หลายพื้นที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ซึ่งก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย และการคมนาคมไปตาม ๆ กัน

แต่นอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยและการคมนาคมที่ลำบากแล้ว สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับภาวะน้ำท่วม เห็นจะเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่มากับน้ำ ซึ่งมันส่งผลต่อสุขภาพของคนเราได้อย่างมากมาย กระปุกดอทคอมวันนี้จึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับโรคที่มากับน้ำท่วมมาฝากกัน เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้ระมัดระวัง และปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม 6 โรค ดังนี้

1. โรคฉี่หนู ฉี่หนูเป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า เลปโตสไปรา (Leptospira sp.) ที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ ตั้งแต่หนู วัว ควาย ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวเลยทีเดียว โดยคนจะสามารถรับเชื้อฉี่หนูนี้เข้าไปทางบาดแผล หรือผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงเยื่อเมือกอย่างตาและปากอีกด้วย

อาการของโรคฉี่หนู มี 2 แบบ คือแบบไม่รุนแรงจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากผู้ป่วยรู้ตัวและรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ กับอาการรุนแรงที่จะทำให้ตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ และเมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้เกิดอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และยิ่งไปกว่านั้นหากติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้เลือดออกในร่างกายจนเสียชีวิต

การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู หลีกเลี่ยงการเดินอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง การเล่นน้ำ โดยเฉพาะในเด็กที่มักจะสนุกสนานไปกับการย่ำน้ำหรือเล่นน้ำในช่วงน้ำท่วม แต่หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณน้ำท่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบเดิน อย่าแช่น้ำจนผิวหนังเปื่อยเพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และควรใส่รองเท้าบูททุกครั้งเมื่อเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดบาดแผลที่เท้า และป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลที่เท้าหรือน่อง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ที่หนีน้ำกัดได้ ส่วนในผู้ที่เริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ให้รีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน อย่ารอให้อาการหนักเพราะอาจจะรักษาไม่หายและเสียชีวิตก็เป็นได้

2. อหิวาตกโรค เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ที่แพร่กระจายอยู่ในน้ำดื่มและอาหาร โดยมีแมลงวันเป็นพาหะนำโรค และแน่นอนว่าโรคนี้แพร่ระบาดได้โดยการกินและดื่มอาหารที่มีแมลงวันตอมและมีเชื้ออหิวาตกโรคปะปนอยู่ รวมทั้งอาหารสุข ๆ ดิบ ๆ ด้วย

อาการของโรค ผู้ป่วยจะอุจจาระเหลวเป็นน้ำวันละหลายครั้ง แต่ไม่เกินวันละ 1 ลิตร อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนได้ ซึ่งถือว่าเป็นอาการในระยะแรกสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 1-5 วัน แต่หากติดเชื้อขั้นรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเดิน อุจจาระมากและมีลักษณะอุจจาระเป็นน้ำซาวข้าว มีกลิ่นเหม็นคาว และอุจจาระได้โดยไม่ปวดท้องและไม่รู้สึกตัว สามารถหายได้ภายใน 2-6 วันหากได้รับเกลือแร่และน้ำชดเชยน้ำที่เสียไป แต่หากได้รับไม่พอดีกับที่เสียไปแล้ว ผู้ป่วยก็จะมีอาการหมดแรง หน้ามืด อาจช็อคถึงเสียชีวิตได้

การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันอหิวาตกโรค ควรรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ๆ และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก รวมถึงรักษาสุขภาพอนามัยด้วยการล้างมือ และภาชนะใส่อาหารให้สะอาดทุกครั้ง แต่ไม่ควรนำน้ำท่วมมาล้าง หรือทำความสะอาดภาชนะ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค หรือหากติดเชื้ออหิวาแล้วก็ควรพบแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

3. ไข้ไทฟอยด์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ที่อยู่ในน้ำและอาหารเช่นเดียวกับอหิวาตกโรค แพร่ระบาดโดยการดื่มน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค

อาการของโรค เมื่อได้รับเชื้อนี้เข้าไปจะไม่แสดงอาการทันที แต่จะแสดงอาการหลังจากรับเชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัว เบื่ออาหาร มีไข้สูงมาก ท้องร่วง บางรายมีผื่นขึ้นตามตัว แน่นท้อง สามารถหายได้เองภายใน 1 เดือน แต่ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์หลังจากมีอาการแล้ว เพราะอาจจะเสียชีวิตจากภาวะปอดบวมได้

การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันไข้ไทฟอยด์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อโรคทุกชนิด และนั่นหมายถึงว่า ให้ทานอาหารที่สะอาด อยู่ในภาชนะที่สะอาด รวมถึงล้างมือให้สะอาดก่อนทานทุกครั้ง และควรจะหลีกเลี่ยงอาหารจากร้านค้าข้างถนนที่อยู่ในบริเวณที่ไม่สะอาด เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรืออีกทางหนึ่งคือฉีดวัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์

4. โรคตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบของเซลล์ตับ ทำให้ตับทำงานผิดปกติ จนทำให้มีอาการเจ็บป่วยได้ และไวรัสตับอักเสบที่มาจากภาวะน้ำท่วม ก็คือไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ที่มีสาเหตุมาจากการทานอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ทำให้สุก

อาการของโรค เมื่อแสดงอาการแล้วผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ปวดตัวแถวชายโครงขวา และมีปัสสาวะเป็นสีชาแก่ เริ่มมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองในสัปดาห์แรก และจะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์

การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตับอักเสบ คือ ทานอาหารที่สุกและสะอาด ไม่ใช้แก้วน้ำและช้อนร่วมกับผู้อื่น

5. ตาแดง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis และ Bacterial Conjunctivitis อาจมาจากภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา มักเกิดจากการเอามือที่สกปรกไปขยี้หรือสัมผัสดวงตา รวมถึงใช้ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าเช็ดหน้าไปสัมผัสกับดวงตา

อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการคันตาจนหลายรายต้องขยี้บ่อย หรือบางคนแค่เคืองตาเท่านั้น และมีขี้ตามากกว่าปกติ มีลักษณะเป็นหนองและมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้า และมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ตามัว หรืออาจปวดตา

การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตาแดง ควรล้างมือให้สะอาด ไม่ใช่เครื่องสำอาง ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับคนอื่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาในทุกกรณี และอย่าใช้ยาหยอดตาร่วมกับคนอื่น หากเริ่มเคืองตาหรือคันตา ให้รีบปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์

6. ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในเด็ก มักระบาดในฤดูฝน ที่มีการแพร่พันธุ์ของยุงลาย

อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีไข้สูงประมาณ 2-7 วัน เบื่ออาหาร อาเจียนออกมามีสีน้ำตาลปนอยู่ ปวดกล้ามเนื้อ ตัวแดง หรืออาจมีผื่นหรือจุดเลือดตามผิวหนัง หากเข้าสู่ภาวะวิกฤตผู้ป่วยจะไข้ลด มือเท้าเย็น ตัวเย็น ชีพจรเต้นเร็ว อาเจียนมาก ปัสสาวะน้อย ทำให้เข้าสู่ภาวะช็อคได้ หากมีอาการควรรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตาแดง พยายามอย่าให้ยุงกัดโดยทากันยุงเป็นวิธีที่ดีที่สุด และอย่าปล่อยให้ภาชนะต่าง ๆ ภายในบ้านมีน้ำขังนานเพราะจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง หรือหากเป็นไข้เลือดออกแล้วไม่ควรให้ยุงกัดเพราะจะทำให้แพร่เชื้อไปสู่คนใกล้ชิดได้ผ่านยุง

และนั่นก็คือ 6 โรคที่ระบาดเยอะในช่วงน้ำท่วมและฤดูฝน ดังนั้น ทุก ๆ คนที่ประสบภาวะน้ำท่วม รวมถึงคนทั่วไปก็ควรที่จะระวังการระบาดของโรคเหล่านี้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร การป้องกันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการรักษาเมื่อเป็นโรคแล้วเสมอ เพราะฉะนั้น อย่าลืมใส่ใจสุขภาพอนามัยและพิถีพิถันกับการใช้ชีวิตในช่วงน้ำท่วมและช่วงฤดูฝนมากขึ้นกันสักนิดนะคะ

ทำไม? น้ำลายมักไหลในเวลาหลับ


น้ำลายคั่งค้างอยู่ในปากเราทั้งวัน น้ำลายขับถ่ายจากต่อมน้ำลายข้างหูข้างคาง และคอหอยตลอดเวลา เนื่องด้วยต่อมน้ำลายได้ขับถ่ายออกมาไม่ขาดสาย ทำให้ปากและคอของเราชุ่มชื้น จึงทำให้เราไม่รู้สึกปากแห้งคอแห้ง


เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ปรากฏว่าน้ำลายไหลในเวลากลางวันเล่า ? อันที่จริงน้ำลายนั้นขับออกมาไม่ขาดสาย และยิ่งถ้าถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นเปรี้ยว น้ำลายที่ขับออกมาจะมากขึ้นและเร็วขึ้น น้ำลายก็จะอยู่แต่ในปาก โดยไม่ไหลออกนอกปาก เพราะว่าเราสามารถควบคุมไว้ได้โดยจิตสำนึกของเราเองแต่ในเวลากลางคืนจะไม่เป็นเช่นนี้ พอนอนหลับ กล้ามเนื้อตลอดทั้งตัวจะผ่อนคลาย สมองจะพักผ่อนโดยลืมทุกสิ่งทุกอย่าง การเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมการกลืนน้ำลายลงท้องโดยจิตสำนึกจะหยุดชะงัก

ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ที่น้ำลายจะไหลออกนอกปากได้โดยอิสระเสรี แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะนอนน้ำลายไหลไปเสียหมด จะเป็นมากกับเด็กๆ ที่เล่นในเวลากลางวันมากเกินไป หรือผู้ใหญ่ทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อย ในเวลากลางคืนนอนหลับสนิท ไม่กระดิกกระเดี้ย อาจทำให้ริมฝีปากปิดไม่มิดมีช่องว่างหรือบางทีคัดจมูกแล้วหายใจด้วยปาก ถ้าเป็นเช่นนี้ พอตื่นนอนก็จะพบว่ามีน้ำลายฟูมอยู่บนหมอนของตัวเองนะจ๊ะ

สถิติเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทย

เหตุการณ์สำคัญเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศไทยที่ผ่านมา ก่อนมาถึงครั้งล่าสุดท่วมจ.นครราชสิมาน้ำล้นคันกั้นน้ำเขื่อนลำพระเพลิง


น้ำท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ ปี2526 และปี2538

พ. ศ. 2526 เกิดเหตุการร์น้ำท่วมกรุงเทพอย่างหนัก สาเหตุจากมีพายุพัดผ่านภาคเหนือ-ภาคกลาง ประกอบกับพายุหลายลูกพัดผ่านกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนตุลาคมนานกว่า 4 เดือน จึงส่งผลกระทบเกิดปัญหาวิกฤตน้ำท่วมในปี 2526 โดยเฉพาะปัญหาจราจรที่รถกับเรือใช้เส้นทางเดียวกัน

ปี พ.ศ. 2538 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ประสบกับน้ำท่วม ในช่วงที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร น้ำเหนือหลากท่วมอยุธยา ปทุมธานี หมู่บ้าน white house ตอนเหนือของกรุงเทพฯ น้ำท่วมร่วม 2 เดือน

ส่วน ปี พ.ศ.2549 นั้นเกิดอุทกภัยทางภาคเหนือ ทำให้น้ำเหนือไหลเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดที่โดนหนักๆ เช่น พิษณุโลก นครสวรรค์ อ่างทอง แต่สำหรับกรุงเทพฯ นั้นน้ำท่วมเฉพาะบางส่วนที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งไม่รุนแรงเท่าปี พ.ศ.2538

ภัยพิบัติกะทูน ปี 2531
เวลา ตีสองของวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 ชาวบ้าน ต.กะทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ต้องประสบชะตากรรมเลวร้ายที่สุดในชีวิต เมื่อจู่ ๆ น้ำป่าจากภูเขาเหนือหมู่บ้านได้ซัดเอาดินโคลน หินและท่อนซุงขนาดใหญ่เข้าถล่มบ้านเรือนจนราพณาสูร ชั่ว ข้ามคืน หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นทะเลโคลน ซากปรักหักพังของบ้านเรือนนับพันหลังถูกทับถมอยู่ใต้ท่อนซุงกองมหึมา ชาวบ้านมากกว่า 700 ชีวิต ต้องสังเวยให้แก่ภัยพิบัติครั้งนี้


น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่ ปี2543 ปี2548

วัน ที่ 21-23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เกิดฝนตกหนัก 3 วัน 3 คืน ทำให้น้ำจากเขตเทือกเขาสันกาลาคีรี บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย ไหลบ่าเข้าท่วมตัวเมืองชั้นในซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งกะทะอย่างรวดเร็ว และถือเป้นเหตุการณ์น้ำท่วมมือครั้งที่เลวร้ายที่สุด สร้างความเสียหายเป็นมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท จำนวนผู้เสียชีวิตตามประกาศจากทางราชการ 35 คน แต่จำนวนผู้เสียชีวิตจริง ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ สูงถึง 233 คน ไม่รวมชาวต่างประเทศ

เกิด อุทกภัยซ้ำอีกครั้งใน 16 อำเภอของจังหวัดสงขลา และเขตรอบนอกของตัวเมืองหาดใหญ่ ระหว่างวันที่ 13-20 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งผลไม่รุนแรงเท่าในปี พ.ศ. 2543 แต่มีผู้ประสบความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก

น้ำป่าถล่ม อ.วังชิ้น แพร่ ปี 2544

กลาง ดึกของวันที่ 4 พฤษภาคม 2544 น้ำป่าจากอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัยไหลทะลักเข้าถล่มใส่หมู่บ้านหลายตำบลของ อ.วังชิ้น จ.แพร่ มีผู้เสียชีวิต 23 ราย สูญหาย 16 คน บาดเจ็บ 58 คน ถือเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ของจ.แพร่ จำได้จนขึ้นใจเลยว่า ฝนตกติดต่อกันถึง 3 วัน 3 คืนกระทั่งประมาณตีหนึ่งก็ไหลทะลักเข้ามาในพื้นที่อย่างรุนแรงจนถนน-สะพาน ถูกตัดขาด บ้านเรือนถูกน้ำพัดหายไป 45 หลังคาเรือน


น้ำท่วม-ดินถล่มบ้านน้ำก้อ เพชรบูรณ์ ปี2544

ขณะ ที่ฝนกำลังตกลงมาราวฟ้ารั่วในคืนวันที่ 11 สิงหาคม 2544 ณ บ้านน้ำก้อ ตำบลน้ำก้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ชาวบ้านกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข โดยไม่มีใครรู้สึกตัวว่าน้ำป่าบนภูเขาสูงกำลังเคลื่อนตัว ถาโถมเข้าใส่หมู่บ้านที่อยู่ในรัศมีทางน้ำอย่างรวดเร็ว ด้วยความบ้าคลั่งของน้ำป่าที่หอบเอาทั้งดินโคลน และต้นไม้ ได้ซัดเอาบ้านเรือนหลายสิบหลังหายไปในพริบตาในกลางดึกของวันนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นหลังสิ้นฤธิ์ของน้ำป่า บ้านน้ำก้อ เหลือแต่สิ่งปรักหักพัง และซากศพ เหตุการณ์ครั้งนี้ได้กลืนชีวิตคนหนุ่มสาว ไม่เว้นแม้เด็กและคนชราไปถึง 147 คน


ซุง-โคลนถล่มจมแม่ระมาด-ตากปี 2547

วัน ที่ 22 พฤษภาคม 2547 ฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา น้ำป่าจากบนเขาได้พัดเอาโคลนและท่อนซุงที่มีคนลักลอบตัดไว้ ลงมาถล่มเขตเทศบาลแม่ระมาด จ.ตาก ผู้คนหายไปกับสายน้ำและจมอยู่ใต้ทะเลโคลนจำนวนมาก บ้านถูกพัดหายไปทั้งหลังนับร้อย เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 4 ราย และสูญหายอีกนับ 10 ชาวบ้าน 6,019 คน จาก 2,113 ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน

เชียงใหม่น้ำท่วมหนัก ปี 2548

วัน ที่ 14 สิงหาคม 2548 ภายหลังฝนถล่มหนักในภาคเหนือตอนบน ทำให้หลายจังหวัดถูกน้ำท่วมจมบาดาล กระแสน้ำเหนือ ที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง ได้ทะลักเข้าท่วมตัวเมืองเชียงใหม่อย่างรวดเร็ว มีระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 50 ปี บ้านเรือนราษฎรในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่นับพันหลังถูกน้ำท่วมได้รับความเสีย หาย ตลาดวโรรส ตลาดลำไย ตลาดไนท์บาซาร์ระดับน้ำสูงร่วม 70 ซม. พื้นที่บางแห่งระดับน้ำสูงเกือบ 2 เมตร

ฝนถล่ม-น้ำท่วมภาคใต้ ปี2548

ข้อมูล จากกระทรวงมหาดไทย รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในภาคตั้งแต่วันที่ 14-24 ธ.ค.2548 มีพื้นที่ประสบภัยรวม 8 จังหวัด คือ สงขลา นครศรีธรรมราช ปัตตานี นราธิวาส พัทลุง ตรัง ยะลา และสตูล มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน 1.6 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 25 ราย แบ่งเป็น จ.สงขลา 13 ราย ตรัง 2 ราย ปัตตานี 1 ราย พัทลุง 3 ราย ยะลา 4 ราย นครศรีธรรมราชและสตูลจังหวัดละ 1 ราย และยังมีผู้สูญหายไปอีก 1 ราย ที่ จ.ยะลา มูลค่าความเสียหายประมาณ 600 ล้านบาท


อุทกภัยและโคลนถล่ม 5 จังหวัดในเขตภาคเหนือตอนล่าง ปี 2549

เหตุการณ์ ที่ฝนตกผิดปกติในพื้นที่เป็นเวลาหลายวัน ในบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 ทำให้ดินบนภูเขาไม่สามารถอุ้มน้ำฝนที่ตกลงมาได้ ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วม และดินถล่มในช่วงกลางคืนของวันที่ 22 พฤษภาคม 2549ต่อเนื่องถึงเช้ามืดของวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มากที่สุด มีผู้เสียชีวิตถึง 75 คน จากจำนวนผู้เสียชีวิตและสูญหายทั้งหมด 116 ราย ใน 5 จังหวัดที่ประสบเหตุการณ์อุทกภัยและโคลนถล่มครั้งนี้


"น่าน"วิกฤติ! น้ำท่วมหนักสุดในรอบ 43ปี

อิทธิพล ของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยตอนบน ประกอบกับร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้บริเวณภาคเหนือตอนบนมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ จ.น่าน เกิดน้ำท่วมหนักจนสถานการณ์เข้าสู่ขั้นวิกฤติ


น้ำ ในแม่น้ำน่านมีระดับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ ริมตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ อ.ท่าวังผา ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการวัดปริมาณน้ำในแม่น้ำน่านที่จุด อ.ท่าวังผา เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา พบว่าปริมาณน้ำขึ้นสูงถึง 9.30 เมตร ซึ่งเลยจุดวิกฤติที่ 7 เมตร ทำให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมในพื้นที่ลุ่มและพื้นที่ริมฝั่ง 2 ตำบล รวม 6 หมู่บ้าน คือ ต.ป่าคา และ ต.ศรีภูมิ บ้านเรือนกว่า 3,000 หลังคาเรือนจมอยู่ใต้บาดาล ระดับน้ำสูงถึง 3 เมตร เรียกว่าท่วมเกือบมิดหลังคาบ้าน ชาวบ้านต้องอพยพหนีตายขึ้นไปอยู่บนที่สูง


สำหรับ เขตเทศบาลเมืองน่าน ระดับน้ำในแม่น้ำน่านได้ทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนที่อยู่ริมแม่น้ำน่าน อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ บ้านท่าลี บ้านพวงพยอม และบ้านดอนศรีเสริม ขณะที่ นายธาดา สุขปุณพันธ์ ผอ.ศูนย์อุทกวิทยาและระดับน้ำ ภาคเหนือตอนบน กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ระดับน้ำที่วัดได้บริเวณสะพานผาขวาง อ.ท่าวังผา สูงถึง 13.50 ม. จากปกติ 6.50 เมตร และ น้ำท่วมครั้งนี้มีความรุนแรงเทียบเท่าเมื่อปี 2506 หรือ 43 ปีที่ผ่านมา


ต่อ มาปี 2553 ได้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันสองวันสองคืน ตั้งวันที่ 17 ก.ค. จนถึงเช้าวันที่ 18 ก.ค. 2553 ทำให้เกิดน้ำหลากเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร และดินถล่มปิดทางเข้าหมู่บ้าน อ.ปัว และ อ.ท่าวังผา ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมหนักอีกครั้งหนึ่งในจ.น่าน

7 เว็บค้นหาที่เก่งกาจกว่ากูเกิล

คนทั่วโลกรู้จักและติดใจ "กูเกิล" จนทำให้คำว่า "กูเกิล" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อแบรนด์ของบริษัทอินเทอร์เน็ตที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แต่กลับเป็นชื่อของ "กริยา" ในการค้นหาข้อมูลบนโลกไซเบอร์ไปเสียแล้ว จึงมีคำพูดติดปากชาวเน็ตเวลาที่หาข้อมูลใดๆ ไม่เจอว่า "ลองกูเกิลดูหรือยัง?"

แต่วันนี้เรามี เว็บค้นหาที่เป็นทางเลือกใหม่ (Alternative Search Engine) สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ ช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ของสิ่งที่ต้องการค้นหาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น หารูปก็จะได้รูป หาเพลงก็จะได้ฟังเพลง หาเอกสารก็จะได้ไฟล์ PDF โดยที่ไม่ต้องคลิกสารพัดลิงก์ไปมา พร้อมสแกนกันจนปวดตาอีกทีหนึ่ง

อย่างไรก็ดี สำหรับเซียนคอมฯ ที่รู้จักวิธีการ "แฮกกูเกิล" ด้วย การใส่โค้ดลับหลายสิบตัวลงไปในช่องค้นหาเพื่อที่จะได้ข้อมูลใดๆ จากกูเกิล ก็อยากให้มาลองใช้เว็บที่เราแนะนำในครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะติดใจวิธีค้นหาแบบบ้านๆ แต่ได้ผลชะงัดก็เป็นได้

เว็บที่เราจะแนะนำในครั้งนี้จะแบ่งผลการค้นหาออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ การค้นหา ภาพ เพลง วิดีโอ และเอกสาร

ถ้าคิดคีย์เวิร์ดเจ๋งๆ ได้แล้วก็ลุยกันเลย!


ค้นหาเพลง

www.songza.com

เป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายๆ ทุกครั้งที่พิมพ์คำค้นหาจะมีคำใกล้เคียงขึ้นมาแสดงให้ด้วย และทุกเพลงจะสามารถดูมิวสิกวิดีโอประกอบไปด้วยได้ เพราะเพลงที่ได้ฟังนั้นเป็นการดึงเสียงเพลงมาจากเว็บวิดีโอชื่อดังต่างๆ นั่นเอง สุดท้ายก็คือ สามารถคัดลอกโค้ดเพลงไปติดไว้ที่บล็อกของตัวเองได้อีกด้วย

www.midomi.com

สำหรับคนที่มักประสบปัญหาอยากฟังเพลงใดเพลงหนึ่ง กลับนึกชื่อเพลงไม่ออก แต่สามารถร้องเพลงนั้นได้ เว็บนี้ก็เหมาะกับคุณเป็นที่สุด เพียงแค่คอมพิวเตอร์ของคุณมีไมค์ และ เปล่งเสียงของตัวเองร้องเพลงนั้น ท่อนใดก็ได้ ประมาณ 10 วินาที ระบบก็จะค้นหาเพลงนั้นๆ หรือเพลงใกล้เคียงมาให้ด้วย

จากที่ทดลองสามารถหาเพลงทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และฝรั่งได้หมด นอกจากนี้แล้วคุณยังฟังเสียงร้องเพลงของผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ร่วมหาเพลงๆเดียวกับคุณได้ด้วย โดยคลิกที่ปุ่ม Play All Recordings

หมายเหตุ:
1. เมื่อใช้ครั้งแรก หลังจากคลิกที่ปุ่ม "Click and Sing or Hum" จะมีหน้าต่างเล็กๆ เปิดขึ้นมา โดยที่คุณจะต้องกด จะต้องกดปุ่ม "Allow" กับ Adobe Flash Player Setting ก่อน

2. ผู้ที่ใช้ไอโฟนสามารถโหลดโปรแกรมของ midomi มาลงที่เครื่องและใช้งานแบบเดียวกับการค้นหาเพลงผ่านเว็บด้วยการฮัม หรือร้องเพลงได้เลย ที่นี่


ค้นหารูป

ก่อนอื่นต้องเรียนก่อนว่า การค้นหารูปนั้นควรจะใช้คำค้นหา (keywords) ที่เป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะได้ผลลัพธ์มากกว่าภาษาไทย และเว็บที่เราอยากจะแนะนำสำหรับการค้นหารูป นั้น มี 2 รูปแบบ คือ ภาพถ่ายฝีมือช่างภาพมืออาชีพ และมือสมัครเล่น


www.compfight.com

เว็บไซต์นี้จะค้นหาภาพโดยการดึงเอารูปภาพจากคลังภาพออนไลน์อย่าง ฟลิกเกอร์ (Flickr) ที่เปิดให้ใครก็ได้มาเก็บภาพไว้ที่นี่ (จึงทำให้เว็บไซต์ฟลิกเกอร์เป็นเว็บไซต์แกลอรี่ภาพจากมือสมัครเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก)

โดยผลการค้นหาของ compfight จะต่างจากการค้นหาที่เว็บฟลิกเกอร์ต้นฉบับก็คือ การแสดงผลภาพเป็นร้อยๆ ภาพในคราวเดียว ทำให้เลือกภาพได้ไวยิ่งขึ้น และยังสามารถปรับแต่งการค้นหาได้มากมาย เช่น การค้นหาจากชื่อ และรายละเอียดของภาพ หรือการค้นหาจากป้ายกำกับภาพ (Tags),การค้นหาภาพตามรูปแบบลิขสิทธ์ (Creative Commons), การค้นหาเฉพาะภาพที่มีความละเอียดสูง, และการค้นหาเฉพาะภาพที่เหมาะสมกับเยาวชน เป็นต้น

www.spffy.com

เว็บนี้เป็นการค้นหาภาพที่ถ่ายจากมืออาชีพจริงๆ โดยค้นหาครั้งเดียว สามารถดูภาพจากคลังภาพออนไลน์เพื่อการใช้งานทางการค้า ที่มีชื่อเสียงอย่าง Getty Images, Corbis, Fotolia ฯลฯ ได้เลย ซึ่งเมื่อใดที่คุณพบภาพที่ต้องการสามารถสั่งซื้อภาพนั้นๆได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาภาพประกอบเพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์


ค้นหาเอกสาร

www.data-sheet.net

เว็บไซต์นี้มีหน้าตาเรียบๆ ไม่ต่างไปจาก "กูเกิล" แต่จะ แสดงผลการค้นหาเป็นไฟล์เอกสารนามสกุล PDF เท่านั้น คุณสามารถพิมพ์คำค้นหาทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษได้ เมื่อเจอผลการค้นหาใดที่ต้องการดาวน์โหลด ให้ คลิกขวา และเลือก Save Link As ได้ทันที ก็จะได้ไฟล์เอกสารมาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ทันที

เท่านั้นยังไม่พอเว็บไซต์นี้ยังมีผลการค้นหาในรูปแบบของภาพแถมเพิ่มมาที่ด้านล่างสุดของหน้าเพจแต่ละหน้าด้วย

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเว็บไซต์ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้าไปอัปโหลดไฟล์ เอกสารของตนเองที่ต้องการเผยแพร่สู่สาธารณะชนได้นำไปใช้ประโยชน์ นั่นคือ Scribd ( ที่เราเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ )


ค้นหาวิดีโอ
www.truveo.com

เป็นธรรมดาที่ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่จะคิดว่า "ยูทูบ (YouTube)" คือ สุดยอดเว็บวิดีโอสำหรับทศวรรษใหม่ในโลกอินเทอร์เน็ต แต่อีกหลายมุมของโลกนี้ก็มีการพัฒนาเว็บไซต์วิดีโอ ที่เปิดให้ใครก็ได้มาอัปโหลดผลงานวิดีโอของตนเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะชนได้ อาทิ Daily Motion (ของฝรั่งเศส), Tudou (ของจีน) และอื่นๆ อีกมาก

ดังนั้นจะดีแค่ไหนที่เราสามารถพิมพ์คำที่ต้องการหาแค่ครั้งเดียวแต่สามารถค้นหาได้ กว่า 40 เว็บไซต์ ที่เก็บวิดีโอเอาไว้!

ต้องขอบคุณ truveo จากบริษัทเอโอแอล (AOL) ที่ตั้งตนเป็นเว็บค้นหาวิดีโอโดยเฉพาะ โดยเว็บไซต์นี้จะดึงผลวิดีโอของกว่า 40 เว็บวิดีโอชื่อดังมาแสดงไว้ที่นี่ นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาวิดีโอคลิปของ หนัง กีฬา ซีรีส์ดัง อย่าง ฮีโร่ (Heroes), ลอส (Lost) หรือแม้กระทั่งเรียลริตี้อเมริกันชื่อดังอย่าง อเมริกัน ไอดอล (American Idol) และ เฮล คิทเช่น (Hell's Kitchen) ได้

อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ในทุกครั้งที่คุณต้องการชมวิดีโอใดๆ ก็จะมีการลิงก์กลับไปยังเว็บต้นตอวิดีโออีกครั้งหนึ่ง

ค้นหาแบบมีรสชาติ
www.viewzi.com

Viewzi คือ เว็บค้นหาที่จะทำให้คุณลืมหน้าตาของ "กูเกิล.คอม" ไปแทบจะทันที ด้วยการแสดงผลการค้นหาที่หวือหวาและน่าตื่นเต้น ทั้งภาพ ข้อมูล และวิดีโอ ที่แตกต่างกันไปถึง 16 แบบ ทำให้คุณเพลิดเพลินกับการเซิร์ฟเน็ตอย่างหยุดไม่อยู่ อาทิ การแสดงผลการค้นหาตามลำดับเวลา (Timeline) การค้นหาข่าวที่แสดงผลเหมือนหน้าหนังสือพิมพ์ การดูภาพแบบสไลด์โชว์ การค้นหาเมนูอาหารน่าหม่ำ เป็นต้น


ถึงแม้หลายเว็บไซต์ที่เราแนะนำไปข้างต้นจะอ้างอิงผลการค้นหาจากกู เกิล แต่ผู้ทำเว็บก็มีการตกแต่งผลการค้นหาให้แม่นยำ ตรงจุดมากยิ่งขึ้น โดยวิธีการใช้งานก็ยังง่ายเหมือนเดิม คือเพียงพิมพ์คำค้นหาลงไป

ฉะนั้นในโอกาสต่อไป ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอะไรๆ คุณก็จะหาเจอแน่นอน!

13 นิสัยเสียๆ ที่ทำให้ปวดหลังไม่เลิกรา


นักแสดงสาว Yvonne Yung Hung มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงอันมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ขณะซ้อมเต้นรำเมื่อครั้งยังเยาว์วัยจนถึงขั้นต้องหยุดการแสดงไปอย่างน่า เสียดาย

ส่วนนักร้องสาว ลิลี่ อัลเลน ก็เคยพลาดล้ม โดยเอาด้านหลังลงจนต้องขึ้นเวทีด้วยน้ำตา แม้เธอจะยืนกรานว่า The show must go on แต่น้ำตาที่รินไหลทำให้เธอต้องโกหกแฟน ๆ ไปว่าเธอตื้นตันใจกับการแสดงในครั้งนี้มาก

เรื่องอาการปวดหลังนี้มีใช่เรื่องที่อยู่ห่างตัวเราเสียทีเดียว เพราะแค่นั่งผิดท่าหรือเกิดอุบัติเหตุหกล้มก็สามารถทำเรื่องเล็กให้เป็น เรื่องใหญ่ได้ ฉะนั้น เราลองมาเช็กสุขภาพกันหน่อยดีมั้ยว่านอกจากอุบัติเหตุแล้ว พฤติกรรมอะไรบ้างที่อาจผลักดันให้มีอาการปวดหลังเช่นเดียวกัน…

1.ติดแหง็กอยู่กับโต๊ะทำงาน

สาว ๆ ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์อยู่ทั้งวี่ทั้งวัน แถมบางคนยังมีเดตไลน์มาจ่อคอหอยอยู่มิได้ขาด อย่างนี้อาการปวดหลังอาจเริ่มแสดงออกมา เพราะทั้งวันสาวเจ้าเล่นพิมพ์งานไม่ได้หยุดหย่อน ครั้นจะยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายก็กลัวจะเสียเวลา ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมแบบนี้นี่เองล่ะที่ทำให้เราทุกข์ทรมานกับอาการปวดหลังในระยะยาว

ทำยังไงดี : พนักงาน ออฟฟิศทั้งหลาย รวมทั้งคนที่นั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ โปรดจัดท่านั่งเสียใหม่ โดยนั่งให้หลังตรง และนั่งในท่าที่แผ่นหลังด้านล่างแนบชิดกับเก้าอี้ เพื่อช่วยรองรับแผ่นหลังไม่ให้โค้งงอ นอกจากนั้น ลำตัวและศีรษะต้องตั้งตรงไม่โน้ม

เอียงมาข้างหน้า แต่ถ้าเวลาพูดโทรศัพท์หรือเมาท์กับเพื่อนร่วมงาน สามารถพิงหลังติดกับพนักได้ เพื่อความผ่อนคลาย

อย่างไรก็ดี ควรจะหาเวลาพักสายตาทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง โดยการเดินไปเข้าห้องน้ำหรือไปหยิบเอกสารยังเครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังได้ผ่อนคลาย เพราะท่านั่งจะเพิ่มแรงกดดันให้แผ่นหลังมากกว่าท่ายืนถึง 40%

2.ขับรถผิดท่า

ชีวิตคนเมืองหลวงบ่อยครั้งต้องขับรถนานถึง 2-3 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่ทำงานหรือบ้าน ฉะนั้น ท่านั่งที่เอียงไปข้างหน้ามากเกินไปหรือเอนหลังมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการ ปวดหลังได้

ทำยังไงดี : ควร พยายามนั่งหลังตรง ๆ 90 องศา และยืดแขนได้ตามสะดวก ไม่ใช่แขนหดเกร็ง เพราะพนักเก้าอี้อยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป และถ้าเราทำท่านี้ได้เหมือนเป็นวิถีชีวิตประจำวัน รับรองว่าอาการปวดหลังจะไม่ถามหาอย่างแน่นอน

3.ไม่ออกกำลังกาย

บ่อยครั้งที่อาการปวดหลังทำให้เราไม่อยากเดินเหินไปไหนไกล ๆ ยิ่งต้องใช้พละกำลังอย่างการออกกำลังกายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ไม่อยากทำ แต่ตามหลักของงานวิจัยแล้ว เชื่อหรือเปล่าว่าคนที่แอ็กทีฟอยู่ตลอดเวลาจะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังผ่อนคลาย มากถึง 40%

ทำยังไงดี : การ ออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเดินจะช่วยให้สะโพกและเอ็นร้อยหวายทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งออกกำลังกายมากเท่าไหร่ กล้ามเนื้อจะไม่หดเกร็ง จึงช่วยลดอัตราความเจ็บปวดจากแผ่นหลังได้มากขึ้นเท่านั้น

4.ละเลยการเล่นโยคะ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ทดสอบกลุ่มคนไข้ 101 คนที่มีอาการปวดหลัง โดยแบ่งพวกเขาออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกให้เข้าคลาสเรียนโยคะทุก ๆ สัปดาห์ ต่อด้วยการกลับไปฝึกเองที่บ้าน ส่วนกลุ่มที่สองให้นักกายภาพบำบัดมาช่วยสอนเรื่องการออกกำลังกายเป็นเวลา หนึ่งสัปดาห์ แล้วให้กลับไปฝึกเองที่บ้าน และกลุ่มสุดท้ายให้แค่หนังสือที่ช่วยเหลือตัวเองในเรื่องอาการปวดหลัง ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกหายปวดหลัง เพราะได้เล่นโยคะคลายกล้ามเนื้อ ฉะนั้น ใครที่มีอาการปวดหลังอยู่ลองหันมาเล่นโยคะดูก็ดีนะคะ

ทำยังไงดี : ใคร ที่ออกกำลังกาย แต่เมินเฉยต่อการเล่นโยคะ โปรดรับรู้ไว้ว่ากีฬาประเภทนี้ เหมือนยาวิเศษที่ช่วยรักษาโรคปวดหลังได้ยังไงยังงั้นเลย ฉะนั้น ควรหาหนังสือหรือวิธีดี สอนโยคะ รวมทั้งเข้าคลาสเรียนโยคะอย่างจริงจัง ก็ดีเหมือนกันนะคะ

5.บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไป

ซึ่งท่ากายบริหารอย่างชิตอัพและครันช์ นอกจากจะไม่ช่วยให้แผ่นหลังแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดขึ้นมาได้ด้วย

ทำยังไงดี : ถ้า จะชิตอัพหรือทำท่าครันช์ควรทำช้า ๆ และทำอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นหากกล้ามเนื้อหน้าท้องที่มีหน้าที่พยุงกล้ามเนื้อหลังเกิดอักเสบ หรืออ่อนแอขึ้นมา จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดตามไปด้วย

6.กินแต่ของไม่มีประโยชน์

นักวิจัยชาวฟินแลนด์บอกว่าอาหารที่ดีและมีประโยชน์ จะช่วยให้หลอดเลือดลำเลียงสิ่งมีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย และช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ในทางกลับกันคนที่ชอบกินอาหารขยะ จะทำให้เส้นเลือดอุดตัน ยิ่งถ้าไปอุดตันบริเวณกระดูกสันหลังด้วยแล้วละก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้

ทำยังไงดี : หลีก เลี่ยงอาหารที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และหลีกหลี่ยงอาหารที่ผ่านการปรุงมาแล้วหลายขั้นตอน เช่น อาหารจำพวกแช่แข็ง และอาหารที่ใส่สารกันบูด แต่ควรหมั่นกินอาหารจำพวก ธัญพืช นมถั่วเหลือง ถั่ว และโปรตีน และผักสด และผลไม้สด




7.ถือกระเป๋าไซส์ใหญ่ยักษ์

ในความกิ๊บเก๋นั้นพ่วงมากับภัยจากการทำร้ายกล้ามเนื้อไหล่ และลามไปสู่แผ่นหลัง โดยเราอาจไม่เคยเฉลียวใจแม้แต่น้อย

ทำยังไงดี : แค่เปลี่ยนทรงกระเป๋าหรือใส่ของให้น้อยลงหน่อย ทางที่ดีถ้าแบ่งเป็นสองกระเป๋าได้ก็ยิ่งดีใหญ่


8.ใช้ฟูกเก่ายับเยิน

ถ้าฟูกบนเตียงมีอายุการใช้งานนานเกิน 10 ปี ก็ควรหาฟูกใหม่มาเปลี่ยนได้แล้วล่ะ ซึ่งฟูกที่ดีควรเป็นฟูกที่ไม่แข็งหรืออ่อนยวบจนเกินไป แต่ควรเลือกฟูกที่นอนแล้วทำให้หลับสบาย

ทำยังไงดี : เมื่อ ได้ฟูกที่ไม่แข็งหรืออ่อนมากเกินไปแล้ว เวลานอนราบควรใช้หมอนหนุนใต้เข่า เพื่อให้แผ่นหลังแนบชิดกับตัวฟูก เพื่อป้องกันอาการปวดหลังที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนใครที่ชอบนอนตะแคงก็เอาหมอนข้างมาเสียบกลางหว่างขา เพื่อความสะดวกสบายในการนอนของคุณ

9.ใส่ส้นสูงเดินทั้งวัน

จะทำให้หลังโค้งงอและกระดูกสันหลังทำงานหนักมากขึ้น นอกจากนั้นการยืนบนส้นสูงแบบเขย่งเท้าอยู่ตลอดเวลา จะทำให้แผ่นหลังมีอาการปวดได้

ทำยังไงดี : ควร หารองเท้าแตะมาเปลี่ยนเวลาอยู่ในที่ทำงาน รวมทั้งหาแผ่นรองเท้านุ่ม ๆ มาเสริมรองเท้าคัตชู หรือรองเท้ากีฬาเพื่อช่วยลดอาการปวดหลังที่มีอยู่ได้

10.ฝืนคิดว่าตัวเองยังสบายดีอยู่ ทั้ง ๆ ที่มีอาการปวดหลังเหลือเกิน

ทั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรสซาลินด์ แฟรงคลินระบุว่าคนที่ยอมรับความเจ็บปวดด้วยใจชื่นบาน มีแนวโน้มจะจัดการกับอาการปวดหลังได้ดีกว่าคนที่พร่ำบอกตัวเองว่ายังไหวอยู่

ทำยังไงดี : พยายามคิดในแง่ดีว่าอาการปวดหลังที่เป็นอยู่นี้จะค่อย ๆ หายไปในที่สุด แม้ตอนนี้จะเจ็บปวดและไม่สบายเนื้อสบายตัวเป็นที่สุดก็ตาม

11.เป็นคนประเภทแค้นฝังหุ่น

ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกร็ง เพราะความเครียดความทุกข์ และความชิงชังแล้ว แต่ยังทำให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดด้วย

ทำยังไงดี : ก็แค่ให้อภัย เพราะการให้อภัยและปล่อยวางความแค้น จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจเบาสบาย รวมทั้งกล้ามเนื้อทั่วร่างกายผ่อนคลายตามไปด้วย

12.เครียดมาราธอน

ดูเหมือนวิถีชีวิตคนเราในปัจจุบัน จะพ่วงมากับความเครียดอยู่ตลอดเวลา ไหนจะรถติด มีประชุม งานกองสุมเป็นพะเนิน ทั้งหมดจะส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงเครียดอยู่ตลอดโดยไม่เคยได้ผ่อนคลาย จึงทำให้ปวดหลังได้ง่าย ๆ

ทำยังไงดี : ก็ แค่หมั่นหัวเราะให้จิตใจเบาสบาย กล้ามเนื้อจะได้ผ่อนคลาย ส่วนคนที่มีเวลาหน่อยก็ไปออกกำลังกาย ไม่ก็หาหนังสือดี ๆ มาอ่าน ที่สำคัญควรหาเพลงสบาย ๆ มาฟัง เพราะการฟังเพลง จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และส่งผลให้อาการปวดหลังทุเลาลงไปได้

13.ดูทีวีทั้งวี่ทั้งวัน

บางคนอาจจะใช้เวลาจ้องหน้าจอได้ถึงครึ่งวันโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และการทำอย่างนี้จะทำให้แผ่นหลังของเราโค้งงอ เพราะนั่งในท่าที่ไม่ถูกสุขลักษณะเป็นเวลานาน ๆ

ทำยังไงดี : ควรจำกัดเวลาในการดูทีวีของตัวเองแล้วหาเวลาออกกำลังกายและสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกบ้านบ้าง

ต้านนิ่วในถุงน้ำดีด้วยอาหารกากใย


นิ่วในถุงน้ำดีเกิดขึ้นได้อย่างไร

นิ่วในถุงน้ำดี (gallstones) เกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) หรือคอเลสเทอรอลที่มีอยู่ในน้ำดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้ เชื่อว่าเกี่ยวกับการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี และความไม่สมดุลของส่วนประกอบในน้ำดี การตกผลึกของสารเหล่านี้ อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็ก ๆ หลายๆ ก้อนก็ได้ รวมทั้งคนที่มีระดับคอเลสเทอรอลในเลือดสูง หญิงที่มีบุตรแล้ว ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ทาลัสซีเมีย โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก จะมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนทั่วไป


อาการ
เราอาจแบ่งอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดีออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ไม่มีอาการกับประเภทที่มีอาการ

ประเภทที่ไม่มีอาการ - นิ่วในถุงน้ำดี ส่วนใหญ่ (มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์) ไม่มีอาการ และในกลุ่มนี้ จะมีโอกาสเกิดอาการขึ้นได้ ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย จะไม่มีอาการผิดปกติแสดงให้เห็นแต่อย่างใด และมักจะตรวจพบโดยบังเอิญ จากการตรวจเช็คร่างกายด้วยโรคอื่น

ประเภทมีอาการ - สามารถลำดับอาการตั้งแต่น้อยไปหามาได้ดังนี้

1.ท้องอืด แน่นท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังรับประทานอาหารมัน ซึ่งอาการแบบนี้ อาจเกิดจากโรคระบบทางเดินอาหารอื่น เช่น โรคกระเพาะอาหารหรือโรคของลำไส้ใหญ่ ก็ได้

2.ปวดเสียดท้อง อาการปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือลิ้นปี่ ซึ่งมักเป็นหลังรับประทานอาหารมัน แต่อาการอาจเป็นอยู่นานหลายชั่วโมง (แต่มักไม่เกิน 8 ชั่วโมง) แล้วค่อยกลับเป็นปกติ อาจร้าวไปสะบักขวา หรือที่หลัง

3.ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จะมีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงขวามากขึ้น และมีการตรวจพบการกดเจ็บบริเวณนี้ ร่วมกับมีไข้ และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนด้วย

4.มีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง


วิธีการรักษา
ในปัจจุบันไม่มียาที่รับประทานแล้วนิ่วหายไปได้ทันที คนที่รับประทานยารักษาโรคนิ่ว ต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต ที่สำคัญยาที่ใช้รักษามีราคาแพง วิธีนี้จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก นิ่วในถุงน้ำดีที่ไม่มีอาการ ส่วนใหญ่ไม่ต้องผ่าตัด เพราะอาจไม่มีอาการเลยตลอดชีวิต ยกเว้นในคนไข้บางกลุ่ม ที่แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัด เช่น อายุน้อย (เพราะมีโอกาสเกิดอาการขึ้นมาได้ในอนาคต) โรคโลหิตจางบางชนิด เป็นต้น

ส่วนนิ่วในถุงน้ำดีที่มีอาการ หรือมีภาวะแทรกซ้อนแล้วควรได้รับการผ่าตัด การรักษานิ่วในถุงน้ำดีในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว คือการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก ซึ่งวิธีมาตรฐานดั้งเดิมใช้วิธีการ ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง บริเวณใต้ชายโครงขวา แต่ปัจจุบันมีการผ่าตัดอีกวิธีคือ การผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกโดยใช้กล้องส่องผ่านหน้าท้อง

การป้องกัน โรคนี้อาจป้องกันได้ ด้วยการควบคุมระดับคอเลสเทอรอลในเลือด และรักษาโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งดูแลในเรื่องอาหารการกิน

อาหาร ยาดีป้องกันโรค
ส่วนอาหารที่ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ได้แก่ อาหารจำพวกแป้งที่ไม่ขัดสี , ผักและผลไม้สด , รำข้าวโอ๊ต และถั่ว
อาหารที่ควรงดเว้น ได้แก่ อาหารทอด และอาหารมันๆ

เครื่องดื่มสุดแปลก!!!

1.โซดารส... และ วาซาบิ


ที่ประเทศญี่ปุ่นเค้าเรียกโซดาว่า Ramune
ปกติโซดาที่ญี่ปุ่นจะมีรสชาดเหมือนสไปร์ทบ้านเรา แบบนี้ก็พอจะกินได้หน่อย
แต่ว่าไม่นานนี้ญี่ปุ่นออกโซดารสชาดใหม่มาคือรส...ขวดเหลือง และรสวาซาบิขวดเขียว เค้าบอกว่ามันเป็นการเอาน้ำมะมาน เลมอนเนดใส่ผล...เข้าไป สำหรับรสชาดนี่ยังไม่มีใครบอกกล่าวอะไรมา สงสัยว่าจะอึ้ง..!!

2. เครื่องดื่มชีส


เครื่องดื่มนี้ยี่ห้อ NEED มันมากกว่า Want อีก.. หาซื้อชิมได้ที่ประเทศญี่ปุ่น เหตุผลที่เค้าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชีส ก็เพราะว่าเค้าอยากขยายตลาดนมในญี่ปุ่นให้ใหญ่ขึ้นก็เลยสรรหาของแปลกๆออกมา
ขาย แต่มีคนบอกว่ารสชาดมันไม่เลี่ยนมาก คล้ายๆกับกินโยเกิร์ต
แต่จะแอบมีรสหวานๆ เค็มๆ มี 3 รสให้ลอง เบอร์รี่ , ส้ม และ รสดั้งเดิมครับ

3.เครื่องดื่มรสกิมจิ


อันนี้น่าจะเป็นของเกาหลี
แต่แค่รู้ว่าเป็นกิมจิก็รู้สึกถึงกลิ่นผักดองกระหล่ำหมักพริกขึ้นมาทันที
ก็รู้สึกเปรี้ยวคอขึ้นมามาทันที สำหรับน้ำกิมจินี้เป็นของยี่ห้อ Coolpis มันเป็นน้ำที่สกัดมาจากขั้นตอนการทำกิมจิ และเป็นของที่คนเกาหลีนิยมเอามากๆเลยทีเดียว


4.เครื่องดื่มนมโต


อันนี้ต้องถูกใจสาวกระดานโต้คลื่นแน่นอน
มันเป็นเครื่องดื่มถั่วเหลืองที่บริษัทผู้ผลิต Blue Coin
อ้างว่าจะช่วยทำให้นมอึ๋มขึ้น และมันก็ชื่อว่า Okkikunare แปลว่า ทำให้มันใหญ่ขึ้น มีด้วยกัน 3 รสชาด แอปเปิ้ล, พีช และมะม่วง ตกถุงละ 200 เยน ก็ประมาณ 60 บาทได้


5.เครื่องดื่มรกสัตว์


ที่ญี่ปุ่นเค้าอยากให้ทุกคนหน้าตาดี สวยมหัศจรรย์ เลยออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเจลลี่รกแกะและรกหมู มี 2 แบบให้เลือก แบบขวดเข้มข้น 400,000 และแบบถุง 10,000 ตัวเลข
นี้ก็มาจากมีสารสกัดเข้มข้นของรกที่จะช่วยให้คุณสวยเด้งในปริมาณ 400,000และ
10,000 มิลลิกรัม ราคาค่อนข้างแพงแบบถุงตกถุงละประมาณ 250 บาท

ผู้หญิงเบื่อไร....

1. ต่อมรับรู้อารมณ์ "เสื่อม"
ผู้ชายชอบยึดมั่นว่า ตัวเองนั้นเป็นเพศที่ใช้เหตุผล มากกว่าอารมณ์ จึงเห็นว่า การแสดงอารมณ์ของผู้หญิงไม่ว่า จะเป็นอาการน้อยใจ หึง โกรธ คิดมากนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ จึงทำตัวเฉยเสีย ไม่สนใจ คิดไปเองว่า เป็นได้ ก็หายเอง ... อ้าว ! คุณคะ ถ้าเค้าไม่รักคุณ เค้าจะน้อยใจ จะหึง จะโกรธคุณเหรอคะ ... ระวังนะคะ ถ้าแฟนสาวของคุณเริ่มมีอาการ เฉยๆ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ยิ้ม รับง่าย ๆ ไม่ว่าคุณจะไปทางไหนล่ะก้อ ขอให้รับทราบได้เลยว่า เจ้าหล่อนหมดรักคุณไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

2. ต่อมเสมอต้นเสมอปลาย "วาย"
ตอนจีบใหม่ ๆ เอาใจสารพัด เช้าถึง เย็นถึง จะทำอะไร จะไปไหนเนี่ย "อย่าลืมทานข้าวนะจ๊ะ" ... "อย่านอนดึกนะจ๊ะ" ... จะหันไปทางไหน ตามพันแข้งพันขา เรียกได้ว่า เป็นช่วงทองของคุณผู้หญิงเลยนะคะ เพราะหลังจากที่คุณตกลงปลงใจกับพ่อหนุ่มตัวดีเรียบร้อยแล้ว ขอให้พึงสังวรได้เลยว่า จะไม่ได้รับการปฏิบัติหรือ เอาใจเยี่ยงนี้อีกแล้ว เพราะต่อมความเสมอต้นเสมอปลายของพ่อตัวดีนั้น วาย ไปซะแล้ว

3. เริ่มแสวงหา "งู" มาเป็นสัตว์เลี้ยง
ก็เข้าใจนะคะว่า อาการเจ้าชู้ กับ ผู้ชายน่ะเป็นของคู่กัน แหม ... อยากให้เราปลง ทีเราหึง ซึ่งเป็นอาการปกติของผู้หญิง ก็มาว่าเราไร้สาระ ... อดไม่ได้หรอกค่ะ ช่วงเดือนแรก ไปไหนมาไหน กินอะไร นั่งมองแต่เรา จนเราเขิลลลล ... แต่นาน ๆ ไปชัก สอดส่ายสายตาไปทั่ว ถ้าไม่เรียกให้รู้สึกตัว ก็มองตามไปนู่น แม่สาวสายเดี่ยวที่เพิ่งเดินสวนกันไป นี่มันอะไรกันจ๊ะ ไหนว่าไม่อยากให้หึง แล้วทำตัวหัวงูทำไม ?

4. ต่อมวิเคระห์เหตุผล ผิดปกติ
ไม่รู้ไปฝังหัวความเชื่อกันมาจากไหนกันว่า "ผู้ชายชอบใช้เหตุผล ผู้หญิงชอบใช้อารมณ์" ยันกันได้เลย ดิฉันว่า เหตุผลที่พวกผู้ชายเค้าว่า ก็แค่ เหตุผลที่เค้าคิดขึ้นมาเองมากกว่า ยกตัวอย่างง่าย ๆ ผู้หญิงซื้อเสื้อผ้า ก็ว่า ... ไร้สาระ อ้าว !! ที่พวกคุณบ้า กอล์ฟ คอมพิวเตอร์ รถกระป๋อง นั้น มีสาระมาก ๆ ล่ะสิคะ คิดว่าคุณผู้หญิงบางท่าน บางครั้งต้องเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องถามตัวเองว่า เอ๋ ?? นี่ชั้นไร้เหตุผล หรือ เค้าไร้สาระกันแน่นะ ทำไมล่ะคะ ต่างตนต่างมีงานอดิเรกที่ชอบ มีสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ การที่คุณจะตีค่าว่า สิ่งที่อีกคนนั้นเป็นสิ่งไร้สาระนั้น ไม่แสดงว่าคุณใจแคบไปหน่อยเหรอคะ ถ้าคุณผู้ชายทั้งหลายคิดว่าตัวเองเป็นเพศที่มีเหตุผลแล้วไซร้ ดิฉันว่าน่าจะลองคิดตริตรอง และเปิดใจกว้างกว่านี้อีกสักนิด .. จะน่ารักมาก ๆ

5. ชอบวางอำนาจ ใจร้อน
สงสัยจะเข้าใจคำว่า "ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง" ผิด ... จึงได้ชอบออกคำสั่ง ผมต้องเป็นผู้นำ สิ่งที่ผมคิดเนี่ย ถูกที่สุดแล้ว !! เอ๋ ?? เข้าใจไรผิดไปเปล่าคะ (O_o) สำนวนข้างต้นเนี่ย มาจากธรรมชาติของช้างที่ว่า เวลาเดิน ช้างจะยกเท้าหลังก่อน แล้วเท้าหน้าจึงก้าว ... ดังนั้นโบราณเค้าหมายความว่า ผู้หญิงน่ะ เป็นผู้นำ เจ้าค่ะ มีอะไรต้องฝังเพศแม่บ้าง เพศหญิงเนี่ย เป็นเพศที่มีความละเอียด รอบคอบ ค่อยคิดค่อยทำ ไม่บ้าเลือด นี่ไงล่ะคะ ผลสำรวจถึงได้ว่า ผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย ก็ผู้ชายน่ะใจร้อน บางครั้งเลยเอาปากไปแหย่เท้า ผู้มีอำนาจ เลยซี้ม่องไปซะก่อนวัยอันควร ผู้หญิงเราบางครั้งก็ระอากับ อาการใจร้อน ยอมไม่ได้ของคุณ ๆ เหมือนกันนะคะ ... ขอบอก

6. ลำเอียง เข้าข้างตัวเอง
คิดว่าข้าเก่ง ... ข้าแน่ ... ผู้ชายชอบคิดเข้าข้างว่าตัวเอง เก่ง เจ๋ง ... แหม ไม่อยากจะพูดก็ต้องพูด เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายหลายคนเนี่ย มาจากการมีคู่คิด คู่เคียงที่ดีนะเจ้าคะ แต่ด้วยความเป็นผู้หญิง ก็ไม่อยากจะล้ำหน้า เดี๋ยวจะโดนใบแดงออกจากสนาม ... ก็ได้แต่ เป็นผู้สนับสนุน ปิดทองหลังพระ โดยไม่มีใครรู้ ... จนบางครั้งทำให้พวกหนุ่ม ๆ ลืมตัวไปว่า กว่าจะมีวันนี้ เพราะมีใครคอยช่วยหนุนหลัง คอยเป็นกำลังใจ ข้าได้ดี เพราะข้าเองนี่แหละ อันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง ...

สมัยที่ บิล คลินตัน ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งไปเยี่ยมประชาชนที่รัฐๆ หนึ่ง ขณะนั่งในรถและกำลังเดินทางกลับ ก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนโบกมือให้ และภรรยาของเขา ฮิลลารี่ คลินตัน ได้โบกมือตอบ จึงถามไปว่า
บิล : นั่นใคร ?
ฮิลลารี่ : อ๋อ แฟนเก่าชั้นเอง เค้าเป็นเจ้าของฟาร์ม อยู่ที่นี่
บิล : (หัวเราะ) นี่ถ้าคุณตกลงแต่งงานไปกับเค้า ตอนนี้คุณก็คงได้เป็นแค่ เมียเจ้าของฟาร์มล่ะสิ
ฮิลลารี่ : ไม่หรอก ถ้าชั้นแต่งงานกับเค้า ประเทศเราจะมีประธานาธิบดี ที่อดียเคยเป็นเจ้าของฟาร์มต่างหาก
บิล : !!???!!??!!

ว่ากันว่า ผู้นำหลายคนในโลกนี้ ล้วนประสบความสำเร็จได้ เนื่องจากมีผู้หญิงเป็นแรงหนุนที่ดี แต่สงสัยว่าบรรดาคุณผู้หญิงเหล่านี้ จะเห็นว่า บรรดาผู้ชายล้วนหลงตัวเอง และไม่เห็นบุญคุณ สมัยนี้เราจึงเห็น ผู้หญิง หลายคนก้าวขึ้นมามีบทบาทในตำแหน่งผู้นำกันเอง ไม่ว่า จะเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ ผู้นำประเทศก็ตาม

7. ต่อมรัก "เพื่อน" แตก !!
ประการที่ 7 นี้เป็นสิ่งที่คุณผู้หญิงทั้งหลายต่างทราบกันดี ว่าผู้ชายของเรานั้น ล้วนรักเพื่อนมากมายขนาดไหน แล้วจะไม่ให้เราเบื่อได้ไงล่ะคะ ก็นัดเราอยู่ดี ๆ พอเพื่อนโทรมา กลับเลื่อนนัดเราซะได้ หรือไม่เวลาเราชวนไปไหน บอกไม่ว่างร่ำไป แต่พอเพื่อนโทรมากริ๊งเดียว ถึงกับแล่นออกไปในทันที ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ขนาดนี้ ทีหลังก็ให้เพื่อนนั่นแหละค่ะ มาพัดมาวี มาเอาอกเอาใจแทนแล้วกัน แหม ... พูดแล้วหงุดหงิดใจ

เอาแค่เบาะ ๆ แค่ 7 ข้อแล้วกันนะคะ เพราะเค้าว่าพูดหญิงน่าเบื่อแค่ 7 ข้อ เราก็เบื่อคุณผู้ชายแค่ 7 ข้อ พอหอมปากหอมคอ อย่าเคืองกันแล้วกันนะ...พ่อคุณ ไหน ๆ คุณก็ว่าพวกเราว่า ขี้บ่น อยู่แล้วนี่นา บ่นแค่นี้ก็อย่าถือเลย ถือว่าเป็นแค่อารมณ์เล็ก ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งแล้วกันจ๊ะ

5 ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับเพชร และแหวนเพชร

ความเชื่อที่ 1 : เพชรที่มีสีขาวใสหรือเพชรที่มีความบริสุทธิ์มาก จะทำให้เพชรมีประกายระยิบระยับ เล่นไฟแลดูสวยงามมากยิ่งขึ้น

ความเป็นจริง : สีของ เพชร (Color) และ ความบริสุทธิ์ของเพชร (Clarity) มีความสำคัญกับประกายของเพชรน้อยกว่าการเจียระไนเพราะถ้าเพชรถูกเจียระไน ตื้นไปหรือลึกเกินไป จะทำให้สะท้อนแสงหรือเล่นไฟน้อย แต่ถ้าเพชรถูกเจียระไนแบบมีสัดส่วนที่เหมาะสม จะทำให้แสงนั้นสะท้อนขึ้นทางด้านบนของเพชร และทำให้เพชรมีประกายระยิบระยับมากขึ้น
ส่วนสีของเพชรหรือที่บ้านเราเรียกว่าน้ำ นั้นเป็นแค่ตัวบ่งบอกสีของเพชรเท่านั้นเองว่าเพชรเม็ดนั้นมีสีขาวใส เพชรเม็ดนั้นมีสีขาวอมเหลือง
ส่วนความบริสุทธิ์ของเพชร นั้นคือสิ่งที่บอกว่าเพชรเม็ดนั้นสมบูรณ์แบบแค่ไหน มีตำหนิมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง



ความเชื่อที่ 2 : เพชรที่มีน้ำหนักกะรัตเท่ากัน ย่อมมีขนาดเท่ากันเสมอ

ความเป็นจริง : เพชรสองเม็ดที่มีน้ำหนักกะรัตเท่ากันก็ดูมีขนาดแตกต่างกันได้ ถ้าเจียรเพชรให้มีหน้ากว้างจะทำให้เพชรดูมีขนาดใหญ่กว่าเพชรที่เจียรหน้าแคบ แต่ก็อาจทำให้เพชรเม็ดนั้นสะท้อนแสงหรือเล่นไฟได้น้อย ตรงกันข้ามถ้าเจียรให้มีหน้าแคบจะทำให้เพชรเล่นไฟดีแต่ก็ทำให้เพชรดูมีขนาด เล็กกว่าอีกเพชรอีกเม็ดหนึ่ง



ความเชื่อที่ 3 : เพชรแข็งแกร่งที่สุดไม่มีวันแตกหักได้

ความเป็นจริง : ถึงแม้ว่าเพชรจะเป็นธาตุที่มีความแข็งที่สุดในโลก และมีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถขูดขีดเพชรให้เป็นรอยได้ คือตัวของเพชรเองเท่านั้น แต่เพชรก็มีความเปราะ และยังสามารถบิ่นได้หากไม่ระวังและเก็บรักษาไม่ถูกวิธี นอกจากนี้เพชรถูกนำมาประกอบเป็นเครื่องประดับโดยมีตัวเรือนเป็นโลหะต่าง ๆ เช่น แพลททินัม ทอง ซึ่งอาจมีผลให้เพชรบิ่นได้เช่นกันหากมีรูปแบบการฝังที่ไม่เหมาะสมกับรูปทรง ของเพชร



ความเชื่อที่ 4 : เพชรที่มีน้ำหนักกระรัตมากกว่า ย่อมมีราคาที่แพงกว่าที่มีน้ำหนักกระรัตน้อยกว่าเสมอ

ความเป็นจริง : ไม่จำเป็นเสมอไปที่เพชรที่มีน้ำหนักกระรัตมากกว่า มีราคาที่แพงกว่าที่มีน้ำหนักกระรัตน้อยกว่า
เพราะถ้าในกรณีที่เพชรเม็ดใหญ่นั้น มีคุณสมบัติ 4C ที่ด้อยกว่าเพชรเม็ดเล็ก เพชรเม็ดใหญ่ก็อาจมีราคาที่น้อยกว่าเพชรเม็ดเล็กได้



ความเชื่อที่ 5 : เพชรหรือแหวนเพชรที่มีจำนวนเหลี่ยม (facet) มากทำให้เพชรเล่นไฟดีกว่าเพชรที่มีจำนวนเหลี่ยมน้อยกว่า

ความเป็นจริง : การที่เพชรจะเล่นไฟดีหรือสะท้อนประกายแสงที่ดีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวน เหลี่ยมเพชรที่มากกว่า หากแต่อยู่ที่ฝีมือการเจียระไนเพชรของช่างที่เจียรเพชรให้มีสัดส่วนของแต่ละ เหลี่ยมที่เหมาะสมที่สุดจึงทำให้เหลี่ยมของเพชรช่วยสะท้อนแสงออกมาด้านบนของ ตัวเพชรได้ดีที่สุด และทำให้เพชรที่คุณสวมใส่อยู่มีประกายมากยิ่งขึ้น

แนะนำร้านอร่อย ลูกชิ้นหมู ตากก ท่าเรือ เมืองกาญจน์

ล้ออยู่เฮง(กก) ลูกชิ้นหมูแสนอร่อย .... ท่าเรือ กาญจนบุรี

"ล้ออยู่เฮง" ร้านก๋วยเตี๋ยวหมู เจ้าเก่าแก่ ประจำ ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี .. ร้านนี้มีดีที่ลูกชิ้นหมู ที่สะอาด เหนียวนุ่ม อร่อยไม่เป็นรองใคร... ผู้คนจากทั่วสารทิศจากอดีตถึงปัจจุบัน ต่างเดินทางมาชิมลูกชิ้นหมูร้านนี้กันอย่างไม่ขาดสาย....

ร้านเป็นห้องแถว 1 คูหา ติดกับธนาคารกรุงเทพ สาขาท่าเรือ มีโต๊ะนั่งประมาณ 7-8 โต๊ะ มีเมนูก๋วยเตี๋ยว เส้นเล็ก เส้นหมี่ บะหมี่ เกี๊ยว แห้ง น้ำ ต้มยำ เลือกใส่ลูกชิ้น หมูแดง หมูกรอบ ตามต้องการ ...



มื้อนี้สั่ง "เส้นเล็กต้มยำ" กับ "เกี๊ยวต้มยำ" มาชิม ... เส้นเล็กร้านนี้มีขนาดใหญ่กว่าเส้นเล็กทั่วไป(เหมือนใช้ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ มาซอยให้มีขนาดเส้นที่เล็กลง) น้ำซุปต้มยำรสชาติไม่ถึงกับจัดจ้าน ถ้าใครชอบรสเข้มข้น ก็เติมเครื่องปรุงเพิ่มกันอีกนิดหน่อย ... ลูกชิ้นหมู อร่อยจริง กินแล้วรับรู้ได้ถึงเนื้อหมูแท้ๆ ไม่ใช่แป้งแต่งกลิ่น ... อีกสิ่งที่เป็นเคล็ดลับความอร่อยของร้านนี้ คือ "หมูกรอบ" ที่มีลักษณะค่อนข้างแข็ง แต่หากใส่ลงไปแช่ในน้ำซุปซักพัก ความแข็งกระด้างจะลดลง ความกรอบอร่อยจะเข้ามาแทนที่ ...


ร้าน ล้ออยู่เฮง (กก ลูกชิ้นหมู) ข้างๆ ธนาคารกรุงเทพ
ถ.แสงชูโต(สายเก่า) ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี
เปิดทุกวันเวลาประมาณ 9.00-14.00 น.

"ชาขาว" ชะลอความเสื่อมของผิวก่อนวัย?!

ความมหัศจรรย์ของ "ชาขาว" ได้รับการค้นพบมานานแล้ว โดยได้รับการยกย่องให้เป็น ราชินีแห่งชา เพราะเป็นชาที่หาได้ยาก แถมยังมีราคาแพงกว่าชาเขียวและชาดำหลายเท่าตัว โดย "ชาขาว" คือส่วนยอดสุดของต้นชาที่ยังตูมอยู่ มีลักษณะ คล้ายเข็ม และมีขนอ่อนสีขาวปกคลุมอยู่

ความโดดเด่นของ "ชาขาว" นอกจากจะมีรสอ่อนละมุน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะ EGCG สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งมีอยู่ในชาขาวมากกว่าชาชนิดอื่นๆ และด้วยคุณสมบัติพิเศษของชาขาวนี่เอง ทำให้โลกตะวันตกทุ่มงบวิจัยเรื่องชาขาวอย่างคึกคัก โดยล่าสุด ผลจากการศึกษาค้นคว้าของสถาบันลีนัส แห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน สเตท ประเทศสหรัฐ อเมริกา ค้นพบว่า "ชาขาว" มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในปริมาณที่สูงกว่าชาเขียวถึง 3 เท่าตัว

ขณะเดียวกัน สถาบันค้นคว้าวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโรงพยาบาลคลีฟแลนด์ ประเทศสหรัฐ อเมริกา ก็ค้นพบเช่นกันว่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในชาขาว ช่วยปกป้องผิวจากภายใน ด้วยคุณประโยชน์ 2 ประการ คือ ช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันผิวจากการถูกทำลาย และยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีสาเหตุมาจากรังสียูวี นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการสูญเสียโปรตีนในชั้นผิวจากกระบวนการออกซิเดชั่น และทำให้ต่อมน้ำเหลืองขจัดสารพิษออกจากผิว ทำให้ผิวไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตเครื่องสำอางชั้นนำ ทั้งในอเมริกาและยุโรป จึงนิยมนำชาขาวมาเป็นวัตถุดิบหลักในผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยและชะลอวัย

สำหรับประเทศอังกฤษ "ศาสตราจารย์ ดีแคลน นอตัน" จากมหาวิทยาลัยคิงสตัน ในกรุงลอนดอน ค้นพบว่าสารสกัดที่ได้จากชาขาว จะช่วยบำรุงผิวล้ำลึกถึงในระดับโครงสร้างชั้นในของผิวหนัง โดยการเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนังในชั้นอีลาสติน และช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวคงความยืดหยุ่นไม่หย่อนยาน จากการทดลองยังพบว่าสารประกอบในชาขาวจะช่วยหยุดยั้งการทำงานของเอนไซม์ ที่จะเข้าไปทำลายโครงสร้างภายในของผิวในระดับลึก เนื่องจากความเครียดและสภาวะเร่งรีบในการใช้ชีวิตยุคปัจจุบัน.

http://www.thairath.co.th/content/life/120924

16 ข้อที่ดูไร้สาระ แต่ว่าจริง

1.ขับรถมาตั้งนานหลายปีแต่พอเพื่อนขอให้ช่วยถอยรถให้ แปบบเดียว ชนซะแล้ว...

2.สังเกตมั๊ยว่าเวลาที่เราทำขนมปังทาเนยตก ด้านที่มีเนยจะคว่ำลงเสมอและโอกาสที่พื้นนั้นจะเป็นพ รมมีมากขึ้นและตามสัด ส่วยของราคาพรมซะด้วยล่ะ(งง)

3.การดูดวงนั้น หมอดูจะดูทั้งดีและไม่ดี แต่เรื่องที่แม่นที่สุดคือเรื่องไม่ดี (ซะงั้น)

4.ของ ที่วางอยู่ตรงหน้าโดยไม่คิดที่จะใช้ มันจะหายไปทันทีเมื่อต้องการใช้ทีเดียว

5.ถ้า เตะบอลสะเปะสะปะมักจะไปกระแทกเข้ากับหน้าต่างไม่ก็ศี รษะของใครบางคน

6.รอ รถเมล์ทุกวันเห็นแต่แท๊กซี่เต็มถนน พอจะขึ้นแท๊กซี่กลับไม่ผ่านมาสักคัน

7.หนังสือ ที่ปกหน้าสวย เนื้อหาข้างในมักจะห่วย หนังสือปกห่วย เนื้อหาข้างในยิ่งเน่ามาก

8.รถเลนข้างๆมักจะเคลื่อนตัวได้เร็วกว่า เลนเราเสมอ...

9.เวลาที่แก้ปัญหาบิ๊กบึ้มได้สำเร็จ ปัญหาเล็กๆมักจะขยายกลายเป็นปัญหาบิ๊กบึ้มอีกทันที

10.คนที่มีนาฬิกา เรือนเดียวจะรู้เวลาแน่นอน แต่คนที่มีสองเรือนจะสับสนว่าควรจะเชื่อเรือนไหนดี

11.เสื้อผ้าตัว เก่าจะดูไม่เข้าท่าทันทีเมื่อเราซื้อตัวใหม่มา

12.มนุษย์ 30% มองโลกในแง่ร้าย อีก70% มองโลกในแง่ที่ร้ายกว่านั้นอีก

13.ไฟชอบดับ เวลาที่เราจะดูถ่ายทอดสดหรือรายการโปรดของเราเสมอ ( จริง )

14.คอมฯ มัก จะแฮงค์ ตอนเรายังไม่เซฟงาน

15.สืบเนื่องจากข้อ 14 . ถ้าเซฟแล้วมักจะปรากฏภายหลังว่า File Error

16.คาบไหนที่เราโดดหรือขาด หรือลืมเอาหนังสือมา คาบนั้นจะต้องมีการเช็ดชื่อ หรือสอบ หรือ ตรวจงานทุกครั้งไป ( ก็จริงอีกแล่ะ )

วิธีทรมานตัวเอง

1.คันแล้วไม่เกา

2.ไม่ยอมตัดเล็บขบ

3.เอาเทปหนาแปะขาตัวเอง (ขาคนอื่นไม่แนะนำ) แล้วดึงออกแรง ๆ

4.อมลิสเตอร์รีนไว้ในปากนาน 30 วินาที ตามคำแนะนำที่ข้างขวด

5.ยืนอยู่ใกล้ ๆ ร้านอาหารที่กำลังผัดพริกแกงอยู่

6.เลือกดูหนังยาวสามชั่วโมงใน โรงหนังที่เปิดแอร์เย็นเฉียบ

7.สูดยาดมหลอดใหม่เฮือกเดียวให้ เต็มปอด

8.ป้ายยาหม่องที่หนังตา

9.เปิดพัดลมในหน้าหนาว

10.ดูรูปอาหารต่าง ๆขณะกำลังหิว (และยังไม่มีโอกาสที่จะได้กินอะไรเร็ว ๆ นี้)

11.ไปทานอาหารบุฟเฟ่ต์

12.กินวาซาบิเปล่า ๆ

13.กินกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล ..... และน้ำ

14.ยืนดมตดคนอื่น - -

ขำ ๆ อย่าซีเรียส

ติดน้ำตาล ได้ด้วยหรือ


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Princeton ชี้ให้เห็นว่าน้ำตาลอาจกลายเป็นสารเสพติดได้ เมื่อทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าน้ำตาลมีผลต่อสมองหนูทดลองเช่นเดียวกับสารเสพติดทั่วไป

ศาสตราจารย์ Bart Hoebel และคณะ จากภาควิชาจิตวิทยาและประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัย Princeton ศึกษารูปแบบการติดน้ำตาลในหนูทดลองมาเป็นเวลาหลายปี ขณะนี้มีสารเสพติดที่ทดลองใช้สองถึงสามชนิดโดยทั้งหมดล้วนทำให้หนูทดลองอยากยามากขึ้นและแสดงอาการเลิกยาให้เห็น

Hoebel กล่าวว่า หากน้ำตาลทำให้ติดได้ ก็น่าจะเห็นผลจากการติดน้ำตาลเป็นระยะยาวในสมองเหมือนกัน จุดสำคัญคืออาการอยากยาและเลิกยา ผลการทดลองที่ได้ก็แสดงพฤติกรรมเหล่านี้ออกมาเช่นกัน
Hoebel คาดว่าจะรายงานพฤติกรรมหนูที่เกิดขึ้นเมื่อให้หนูทานน้ำตาลมาก ๆ นี้ในงานประชุมประจำปีของวิทยาลัยอเมริกาด้านเภสัชประสาทและจิตวิทยาใน Scottsdale Ariz โดยคาดว่าผลการศึกษาที่ได้จะสามารถนำไปรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางการกินได้

เมื่อนำหนูทดลองที่เลิกน้ำตาลมานานแล้วมาให้น้ำตาลใหม่อีกครั้ง พบว่าหนูต้องการน้ำตาลมากขึ้นซึ่งบ่งบอกถึงอาการอยากและการกลับสู่สภาพเดิมนั่นเอง หนูต้องการน้ำตาลมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อหยุดน้ำตาลพบว่าหัวใจหนูอ่อนแรงลง

นอกจากนั้นยังพบว่าต้องการแอลกอฮอล์มากขึ้นหลังจากทานน้ำตาลอย่างหนัก แสดงให้เห็นว่าการทานน้ำตาลอย่างหนักส่งผลให้การทำงานของสมองเปลี่ยนไป การทำงานที่กล่าวถึงนี้เปรียบเสมือนประตูที่จะปลดปล่อยพฤติกรรมบ่อนทำลายออกมา เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อให้ยาม้าเพียงเล็กน้อยกลับพบว่าหนูกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัดซึ่งหมายความว่าหนูไวต่อยากล่อมประสาทมากขึ้นอันเป็นผลมาจากการสั่งการของสมองระยะยาว อาจกลายเป็นการติดยาถาวรได้

Hoebel ให้ความหมายของการทานน้ำตาลอย่างหนักว่าเป็นการทานน้ำตาลปริมาณมากเมื่อหนูหิว ส่งผลให้สารเคมีในสมองเปลี่ยนเป็นสารที่คล้ายกับสารเสพติดอย่าง โคเคน มอร์ฟีน นิโคติน และยังทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากสมองระยะยาวและนำไปสู่พฤติกรรมเลวร้ายอย่างการติดสารเสพติดหรือติดแอลกอฮอล์

พบว่าสารเคมีที่เกี่ยวข้องคือโดปามีน (โดปามีนเกี่ยวข้องกับความตื่นตัว สมาธิ สิ่งกระตุ้น) ซึ่งจะถูกปลดปล่อยในสมองบริเวณ nucleus accumbens เมื่อหนูที่กำลังหิวดื่มน้ำตาล สัญญาณจากสารเคมีจะทำให้อยากทำซ้ำและกลายเป็นการติดในที่สุด

การทานน้ำตาลอย่างหนักนี้ เกิดจากการจำกัดปริมาณอาหารในเวลานอนและหลังตื่นนอนสี่ชั่วโมง คล้าย ๆ กับการอดอาหารมื้อเช้าของเรานั่นเองครับ ซึ่ง Hoebel กล่าวว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผลก็คือ หนูทานอาหารและน้ำหวานปริมาณมากอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมที่เกิดขึ้นคือการทานอย่างหนักหรือการทานอาหารปริมาณมากในมื้อเดียว น้ำหวานที่หนูทานนี้คือสารละลายซูโครส 10%

การทานน้ำตาลอย่างหนักของหนูที่หิวเสมือนเป็นการปลุกโดปามีนในสมองให้ทำงานมากขึ้น หลังทดลองหนึ่งเดือนพบว่าสมองของหนูกลุ่มนี้มีโครงสร้างเปลี่ยนไปเพื่อปรับให้เข้ากับระดับของโดปามีนที่เพิ่มขึ้น แสดงว่าตัวรับ (receptor) โดปามีนในสมองมีน้อยลงและกลับมีตัวรับ opioid มากขึ้น (เป็นตัวรับชนิดหนึ่ง สารที่รับมีหลายชนิดเช่น เอนดอร์ฟิน) ทั้งโดปามีนและ opioid ล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งดลใจและรางวัล หรือคือระบบควบคุมความต้องการและความชอบในพฤติกรรมบางอย่าง การเปลี่ยนแปลงของสมองที่เกิดขึ้นนี้คล้ายคลึงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อให้โคเคนหรือเฮโรอีน

รู้จักกันไหม...เบาจืด


ไม่รู้จักใช่ไหมล่ะ! ก็ส่วนใหญ่เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า "เบาหวาน" ส่วน "เบาจืด" นั้นฟังดูแปลกหู จนหลายคนออกอาการ...งง???

ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับ โรคเบาจืด ไปพร้อมๆ กันเลย
โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus) เป็นโรคที่มีการสูญเสียหน้าที่การดูดกลับของน้ำที่ไต เนื่องจากมีระดับของฮอร์โมน ที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำลดลง
ส่วนสาเหตุที่ระดับฮอร์โมนลดลงนั้น อาจเกิดจากต่อมใต้สมองส่วนหลังถูกทำลาย มีเนื้องอกไปกด หรือเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม กะโหลกศีรษะแตกไปทำลายเนื้อต่อม เป็นต้น

ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาจืด ที่พบบ่อย
คือ ปัสสาวะมากและบ่อย (ในรายที่เป็นรุนแรงจะถ่ายปัสสาวะบ่อยทุกครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน) มีการกระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก เนื่องจากการสูญเสียของน้ำไปทางปัสสาวะมาก ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตามที่ต้องการ จะกระวนกระวาย คอแห้ง ท้องผูก อ่อนเพลียมาก และอาจหมดสติ อาการที่เกิดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันได้ค่ะ

ในการวินิจฉัยโรคเบาจืด
แพทย์จะซักประวัติและการตรวจพิเศษบางอย่าง ส่วนการรักษาโรคนี้ อาจจำเป็ฯต้องรักษาที่ต้นเหตุในสมอง หรือการให้ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำที่ไต ทดแทนในผู้ป่วยที่ยังมีฮอร์โมนออกมาบ้าง

ส่วนการดูแลผู้ป่วยโรคเบาจืดนั้น
นอกจากจะดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแล้ว ด้วยเหตุที่ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อยมาก จึงควรดูแลความสะอาดหลังการถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง

ในกรณีผู้สูงอายุจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการลุกเดินไปห้องน้ำบ่อยๆ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ และสังเกตว่ามีอาการของการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาลึกโหล เป็นต้น หากปรากฎอาการผิดปกติที่ไม่แน่ใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

9 ต.ค. 2553

ใครที่กำลังจะ..หรือเคยอกหัก มาทางนี้













มารู้จัก 'ศัพท์แชท' วัยรุ่นอเมริกันกันเถอะ!


หากคุณมีเพื่อนเป็นชาวต่างประเทศ คำต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณสื่อสารกับเพื่อนผ่านโลกออนไลน์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
บรรดาเหล่าวัยรุ่นวัยเรียนสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็คงเป็นนักท่องอินเตอร์เน็ตกันทั้งนั้น แถมยังมีกิจกรรมหลักที่ต้องทำทุกครั้งเมื่อเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ต ก็คือการแชทอีกด้วย ทำให้คุ้นชินกับภาษาแปลกๆที่เขียนรูป ผิดหลักไวยากรณ์หรือหลักการใช้ภาษาไทยกันจนเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้รวมถึงคำแสลงต่างๆที่มักใช้กันมากเวลาแชท คำประเภทนี้คงไม่ทำให้วัยรุ่นไทยอย่างคุณงุนงงและคงเข้าใจความหมาย อ่านได้คล่องกว่าผู้ใหญ่มาก แต่หากคุณเกิดมีเพื่อนเป็นวัยรุ่นอเมริกัน คุณก็ควรจะรู้จักคำต่อไปนี้ไว้สำหรับการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ด้วย

'A/S/L' คำนี้มักเจอบ่อยมาก กรณีที่แชทกับคนไม่รู้จักหรือต้องการชวนเพื่อนใหม่มาคุยด้วย ซึ่ง A/S/L นั้นหมายถึง Age/Sex/Location ก็คือการถาม อายุ-เพศ-ที่อยู่ นั่นเอง

'Aite' มาจากคำว่า Alright ที่แปลว่า ดี โอเค เช่น I'm aite

'BTW' มาจาก By the way (อย่างไรก็ตาม) ใช้เวลาต้องการเปลี่ยนเรื่องคุย เช่น I've been in USA for 2 years BTW , will you got to school today? แปลว่า ฉันอยู่อเมริกามาได้ 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ตามว่าแต่วันนี้เธอไปโรงเรียนหรือเปล่า

'Bush' แปลว่า บ้านนอก ความหมายเดิมของคำ แปลว่า พุ่มไม้ หย่อมหญ้า มักใช้ว่าหรือประณาม ...เช่น You're Bush !!

'Comfy' มาจากคำว่า Comfortable ที่แปลว่า สะดวกสบาย เช่น This shirt is so comfy (เสื้อเชิ้ตนี่มันใส่สบายมาก)

'Google' แปลว่า ค้นหา มีที่มาจากเว็บไซด์ Google นั่นเอง ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงการหาจาก Google ก็ได้ เช่น
A : what are you doing?
B : google for math presentation.

'Kewl' มาจากคำว่า Cool นั่นเองโดยออกเสียงเหมือนกัน ใช้เมื่องต้องการแปลว่า เจ๋ง ดี เท่

'Mate' ใช้เรียกแทนเชื่อเพื่อน หรือ แทนคำว่า you เช่น Hi Mate ! how are you doing? นอกจากนี้ยังอาจใช้คำว่า Mite แทนได้อีกคำหนึ่ง

'Ola' แปลว่า สวัสดี คำนี้นิยมมากในหมู่วัยรุ่นฮิพฮอพ มีที่มาจากพวกละตินอเมริกันที่เข้ามาอยู่ในนิวยอร์คที่เดิมทีพูดภาษาสเปน เลยนำคำว่า Hola ของสเปน ที่แปลว่า สวัสดี มาใช้จนเพี้ยนกลายเป็น Ola

Nah , Na มาจากคำว่า No ที่แปลว่า ไม่

IDC ใช้เป็นคำย่อ มาจาก I don't care หรือ ฉันไม่แคร์

'Ta' เป็นคำย่อ มาจากคำว่า Thank you ที่แปลว่า ขอบคุณ

'LOL' เป็นอีกคำที่เจอบ่อยมาก มาจาก Laughing out loud ใช้เพื่อสื่อว่าตนเองหัวเราะ เหมือนกับการพิมพ์ '555+' ของวัยรุ่นไทยนั่นเอง

คำต่างๆ ข้างต้นที่กล่าวไปนั้น เป็นเพียงคำส่วนหนึ่งที่วัยรุ่นอเมริกันนิยมใช้ในการแชท ซึ่งหากรู้ไว้เป็นความรู้รอบตัวก็คงจะทำให้การแชทของคุณกับเพื่อนชาวต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของภาษาแล้ว ยังทำให้เราเป็นคนที่ใช้คำได้ถูกต้องทั้งการพูดและการเขียนอีกด้วย

เคล็ดลับน่ารู้คู่บ้าน

ประวัติของ Vespa


เวสป้า (Vespa) เป็นรถมอเตอร์สกู้ตเตอร์ เริ่มผลิตที่ Pontedera ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1946 โดย Piaggio& Co,S.p.A เวสป้าแพร่หลายในช่วงปี 50s และ 60s เป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นอังกฤษ โดยเฉพาะพวก Mods

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและส่วนเครื่องบิน หันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายในแบบ Four - Part P 108 ให้กับรถเวสป้า ที่โรงงาน Pontedera จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็ก ๆไว้เดินทางขนส่งและสำรวจใน โรงงานคือ MP5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มันคือ Scooter รถจักรยานยนต์คันเล็ก ๆ ที่มีล้อต่ำ ๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพง

ในเดือนธันวาคมปีค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำกระเด็นใส่ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า"มันเหมือนตัวต่อ ร้องเลย" ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อ (Wasp)

รุ่นแรกมี scooterขนาดเล็กที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียวแทน หลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คัน จากนั้นจึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ออกมารถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามากทั้งในด้านรูปทรงและ ด้านวิศวกรรม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของVespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงกลางทศวรรษ1990 scooter รุ่นแรกที่มีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98cc.ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125cc. 150cc.และ 200cc. ตามลำดับ

ปัจจุบันเวสป้ามีออกมาทั้งหมด 138 รุ่น

ภาษาลาววันละหลายๆคำ

บทความนี่ เพื่อความสนุกในคำศัพท์ หาได้มีเจตนากับการดูถูกชนชาติลาวแต่อย่างใด

ร้านขายของ (ไทย) = ร้านขายประเวณี (ลาว)

กระดาษทิชชู่ (ไทย) = ผ้าอนามัย (ลาว)

ถุงยางอนามัย (ไทย) = เสื้อกันฝนตัวน้อย (ลาว)

ถุงยาง (ไทย) = ถุงพลาสติก (ลาว) เที่ยวลาวจงจำให้ขึ้นใจ เจอคนค้าประเวณี น้อง-พี่อย่าเรียกหา "ถุงพลาสติค" (ฮา)

ถุงเท้า (ไทย) = ลองเท้า (ลาว)

รองเท้า (ไทย) = เกิบ (ลาว)

รองเท้าฟุตบอล (ไทย) หรือ สตั๊ด (อังกฤษ) = เกิบมีตุ่ม (ลาว) เช่น ข้อยบ่ย่าน แม้ว่านักเตะไทย จะใส่เกิบมีตุ่มลงแข่ง (ฮา)
ยังมีคำอื่นๆ น่ารักอีกมากมาย อาทิ

โทรทัศน์ (ไทย) = โทละพาบ (ลาว)

จรวด (ไทย) =ลูกศรไฟ (ลาว)

ว่ายน้ำ (ไทย) = ลอยน้ำ (ลาว) (เออจริงของเค้าถ้า "จม" คงว่ายไม่ได้ (ฮา))


ประทับใจ (ไทย) = ออนซอน (ลาว)

การรายงานและรับรายงาน (ไทย) = ส่องแสง (ลาว)

ฉัน (ไทย) = ข้อย (ลาว) (ฉะนั้นคำว่า อย่าทำข้อย หมายถึงว่า อย่าทำ (ร้าย) ฉัน ไม่ใช่ให้ทำแรงๆ (ฮา)
ทำ (ไทย) = เฮ็ด (ลาว)

ช่วย (ไทย) = ซอยเหลือ (ลาว)

พูดคุยหรือการสนทนา (ไทย) = โอ้โลม (ลาว)

ไม่กลัว (ไทย) = บ่ย่าน (ลาว)

วันนี้ (ไทย) = มื่อนี้ (ลาว)

กี่โมงแล้ว (ไทย) = จั๊กโมงแล้ว (ลาว)

พริก (ไทย) = หมากเผ็ด (ลาว)

ผลไม้ (ไทย) = หมากไม้ (ลาว)

น้อยหน่า (ไทย) = หมากเขียบ (ลาว)

ข้าวต้ม (ไทย) = ข้าวเปียก (ลาว)

ฉันรักเธอ (ไทย) = ข้อยฮักเจ้า (ลาว)

สนุกสนาน (ไทย) = ม่วนซื่น (ลาว)

ผงซักฟอก (ไทย) = สบู่ฝุ่น (ลาว)

รักมาก (ไทย) = ฮักแฮง เช่น หนังไทย รักจริงๆ ให้ดิ้นตาย ถอดความเป็นภาษาฝั่งโน้นได้ว่า ฮักคักๆ ชักแหงกๆ (ฮา)
ทั้งระบบ (ไทย) = ทั้งพวง (ลาว)

ล้าง (ไทย) = มาง (ลาว)

ไดโนเสาร์ (ไทย) = กะปอมหลวง (ลาว) ภาพยนตร์ที่เคยโด่งดัง เมื่อหลายปีก่อน "จูราสสิค พาร์ค" พวกบักน่อย เรียก "กะปอมหลวงมางโลก" (ฮา)

...คนไทยคนลาว ใช่คนอื่นไกล ก็พี่น้องกันนั่นเอง
นี้เป็นชื่อภาพยนตร์นะครับ

ท=คำไทย ล=คำลาว จ้า
ท : Superman ล : บักอึดถลาลม

ท : Face Off ล : หน้าข้อยอยู่ปู๊น หน้าเปิ้นอยู่นี่

ท : Speed ล : เบรกบ่อยู่

ท : สองสิงห์ชิงบัลลังก์ ล : สองสิงห์ชิงตั่งนั่ง

ท : รักจริงๆ ให้ดิ้นตาย ล : ฮักคักคัก ชักแงกแงก

ท : โลกทั้งใบให้นายคนเดียว ล : โลกโม้ดม้วยให้โต๋ผู้ เดียว

ท : หนูน้อย พเนจร ล :**น้อย ตุหรั่ดตุเหร่

ท. ไททานิค ล: ชู้รักเรือ ล่ม

ท. ศรราม ออกอัลบั้ม อย่างนี้ต้องตีก้น ล: ศ่อนฮาม ออกแผงอย่างนี่ต้องตีดากกกกก

ท. ห้องผ่าตัด ล. ห้องปาด

ท.จู ราสสิคปาร์ค ล.กะปอมพยศ

ท.เชือด เชือด นิ่ม นิ่ม ล.ปาด ปาด เนิบ เนิบ

ท.หลอด ฟลูออเรสเซนต์ ล. ข้าวหลามแจ้ง

ท. รถไฟ ล.ห้องแถว ไหล

การควบคุมอารมณ์


การควบคุมอารมณ์ คือ การเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ของตนเองอย่างเหมาะสมสร้างสรรค์ และเป็นที่ยอมรับของสังคม นักเรียนอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่มีอารมณ์ไม่มั่นคงนัก จึงมักสูญเสียการวบคุมตนเองได้ง่าย

การควบคุมอารมณ์ไม่ใช่เป็นการเก็บกด ไม่แสดงออกทางอารมณ์เลย แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะจัดการกับสถานการณ์อย่างมีเหตุผล แสดงออกในทางที่สังคมยอมรับ และมีผลเสียต่อตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจน้อยที่สุด ฉะนั้นการที่วัยรุ่นแสดงความก้าวร้าว หรือเก็บกดอารมณ์เอาไว้ จึงมิใช่การควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม เพราะความก้าวร้าวนั้นสังคมไม่ยอมรับ ในขณะเดียวกันการเก็บกดอารมณ์ก็ย่อมเกิดผลเสียด้านจิตใจต่อตัววัยรุ่นเอง

ดังนั้นวัยรุ่นควรเรียนรู้ความเหมาะสมในการแสดงอารมณ์ในแบบที่สังคมยอมรับ

การควบคุมอารมณ์มี 2 ด้าน ได้แก่

1. การควบคุมวิธีการแปลความหมายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราให้เกิดอารมณ์

2. ควบคุมการแสดงออกต่อเหตุการณ์นั้นๆ

การช่วยให้วัยรุ่นควบคุมอารมณ์ มีแนวทางปฏิบัติ 3 ประการ คือ

1. ให้วัยรุ่นยอมรับว่ามีอารมณ์ และกำลังพยายามควบคุมอยู่

2. ใช้สติปัญญาพิจารณาการตอบสนองทางอารมณ์ตามความจริง เช่น ถ้ากำลังอิจฉาก็ให้ยอมรับว่าอิจฉา แม้ว่าจะพยายามปกปิดคนอื่นอยู่ก็ตาม แล้วก็พิจารณาตามความเป็นจริง โดยไม่มีอคติเข้าข้างตนเอง และระบายความไม่พอใจต่างๆ ด้วยการพูดออกมาถึงความรู้สึกที่มีอยู่นั้นกับคนที่เข้าใจ สามารถพูดคุยกันได้ หรืออาจใช้เทคนิคการผ่อนคลายอารมณ์ ก็จะสามารถควบคุมอารมณืไว้ได้มาก

3. พิจารณาที่สาเหตุ หลีกเลี่ยงสาเหตุ และหาแนวทางปรับใจเพื่อเผชิญกับอารมณืทางลบ

สรุปได้ว่า อารมณ์ทุกอารมณ์นั้นเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยอารมณ์ในแง่ลบ เช่น อารมณ์โกรธ และอารมณ์เศร้าที่มักทำให้เกิดผลเสียต่อบุคคลมาก ดังนั้นบุคคลจึงควรที่จะสำรวจตัวเอง และยอมรับว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์อะไร และฝึกหัดที่จะระบายและควบคุมตัวเองได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปในทางสร้างสรรค์ หรือรู้จักที่จะยับยั้งหรือควบคุมอารมณืที่ไม่เหมาะสมให้ได้

โรคขากระตุก ทำให้นอนหลับไม่สนิท

ใครเมื่อนอนขากระตุกบ้าง วันนี้จะไขข้อข้องใจกัน ขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างหลับ ในบางรายจะพบว่าในขณะที่หลับนั้น กล้ามเนื้อที่ขาจะมีอาการกระตุกเร็วๆ เป็นพักๆ ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณทุกๆ 30-45 วินาที และอาจจะต่อเนื่องเป็นชั่วโมง หลายรอบต่อคืน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จะทำให้สมองตื่นเป็นพักๆ โดยที่คนผู้นั้นอาจไม่รู้สึกตัวตื่น ผลในตอนเช้าก็คือ จะรู้สึกว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ด


เมื่อ โรคขากระตุก (Restless Legs Syndrome) หรือ RLS เริ่มแสดงอาการขณะคุณล้มตัวลงนอนพักผ่อน วิธีที่จะหยุดอาการได้คือ การขยับขาหรือเดิน โรคขากระตุกมักเกิดกับคนสูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่หลังส่วนล่างมีปัญหา

อะไรทำให้ขากระตุก


สาเหตุ ของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงทุกกลุ่มมีภาวะแมกนีเซียมต่ำ อาการของโรคยังโยงไปถึงการบริโภคน้ำตาล คาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาบางชนิด


ควรไปพบแพทย์หรือไม่

ถ้า อาการรุนแรงมากจนนอนไม่หลับ หรือรบกวนกิจวัตรประจำวันของคุุณ และรักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์ แพทย์อาจสั่งยาบางชนิดที่ทำให้อาการสงบลง ถ้าเพิ่งมีอาการขากระตุกเป็นครั้งแรก ควรพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น เบาหวาน โรคไต หรือโรคพาร์คินสัน


สารอาหารต้านโรค
ใน แต่ละวัน กินแคลเซียม 800 มก. และแมกนีเซียม 400 มก. (ถ้ารักษาโรคนี้โดยไม่ใช้ยา ควรเริ่มกินในปริมาณต่ำๆ ก่อน เริ่มจากใช้แคลเซียม 500 มก. แมกนีเซียม 250 มก. แร่ธาตุ 2 ชนิดนี้ต้องกินในอัตราส่วน 2:1 เสมอ) และกินโพแทสเซียมอีก 800 มก. หากขาดแร่ธาตุเหล่านี้ชนิดใดชนิดหนึ่งจะทำให้ขากระตุกยิ่งขึ้น
กิน วิตามินบี กรดโฟลิก (หรือโฟเลต) ให้มากขึ้น กรดโฟลิกช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น (โรคขากระตุกจะทำให้ออกซิเจนในเลือดลดลง) อาหารที่มีกรดโฟลิกมาก ได้แก่ ผักใบเขียว น้ำส้มคั้น ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังมีอยู่ในวิตามินรวมทั่วไป
กินอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น ผักใบเขียว ตับ จมูกข้าวสาลี ถั่วแดง และเนื้อไม่ติดมัน เหล็กเป็นส่วนประกอบหนึ่งของโมเลกุลไมโอโกลบิน (myoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เก็บออกซิเจนไว้ในกล้ามเนื้อและนำมาใช้ในยามที่ร่างกาย ต้องการ ถ้าไม่มีธาตุเหล็ก ไมโอโกลบินก็ไม่มีออกซิเจนเพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อมีปัญหา

ยืดเส้นยืดสายคลายอาการ

เมื่อ รู้สึกว่าขาจะกระตุก ให้นวดขาหรือเหยียดขาออกให้สุดจนปลายหัวแม่เท้าเหยียดตรง วิธีนี้เป็นการส่งสัญญาณไปยังสมองให้เอาชนะความรู้สึกซ่าๆ จากโรคขากระตุกได้ แต่ต้องหยุดทำถ้าเป็นตะคริว เพราะตะคริวเป็นอาการบ่งชี้ว่ามีภาวะขาดแมกนีเซียม ซึ่งการเหยียดขาไม่ช่วยให้ดีขึ้น
นั่งริมขอบเตียง นวดขยำน่องแรงๆ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อระดับลึกลงไป
ถ้าทำแล้วขายังไม่หยุดกระตุก ให้ลุกขึ้นเดินเล่นรอบบ้านหรือรอบห้องนอน ก้าวขายาวๆ และดัดขา เพื่อยืดกล้ามเนื้อ

ป้องกันไว้ก่อน
ตอนเย็น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน ซึ่งจะกระตุ้นกล้ามเนื้อและประสาทขาของคุณ
เลิกสูบบุหรี่ เพราะมีผลการศึกษาพบว่า คนสูบบุหรี่มีแนวโน้มเป็นโรคขากระตุกมากกว่าคนที่ไม่สูบ
หลีกเลี่ยงยารักษาโรคหวัดและไซนัส เพราะมักจะทำให้อาการของโรคขากระตุกยิ่งแย่ลง

จอสัมผัส Touchscreen ทำงานอย่างไร


จอทัชสกรีน เป็นจอแสดงผลชนิดพิเศษ สามารถรับคำสั่งงาน ได้ด้วยการใช้นิ้วกดสัมผัสที่ผิวของหน้าจอ

โครงสร้างภายในของ จอทัชสกรีน จะประกอบไปด้วย ชั้นบนซึ่งเป็นแผ่นพลาสติกใสฉาบตัวนำไฟฟ้าบางๆ จนแสงสามารถทะลุผ่านได้ ส่วนชั้นล่างเป็นแผ่นกระจกที่ฉาบตัวนำไฟฟ้าไว้เหมือนกัน ทั้งสองชั้นจะถูกต่อวงจรไฟฟ้าทั้ง 4 ด้าน เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ทุกด้าน

เมื่อใช้นิ้วกดบนหน้าจอ ผิวพลาสติกชั้นบนก็จะโค้งลงไปกระทบกับแผ่นกระจกชั้นล่าง ทำให้ตัวนำไฟฟ้าที่ฉาบไว้แตะกัน เกิดเป็นกระแสแรงดันไหลผ่านเข้าไปในวงจร แล้วทำการคำนวณออกมาเป็นพิกัด X , Y ส่งให้กับตัวประมวลผลของอุปกรณ์ เพื่อที่จะแสดงผลคำสั่งออกมาบนหน้าจอ


การฝึกทักษะการคิดนอกกรอบ


ทักษะการคิดนั้น เราคิดว่าเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกคน และยิ่งสำคัญมากขึ้น ผู้เรียนได้เรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น

ปัจจุบันนี้สถานศึกษา ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียน โดยเฉพาะครูที่สามารถออกแบบวิธีสอนให้เด็กมีการฝึกทักษะการคิด เพื่อให้เด็กพัฒนาไปสู่การคิดสิ่งใหม่ได้

และผู้เรียนสามารถทำความฝันให้เป็นความจริงได้จากการฝึกทักษะความคิด จนสามารถจินตนาการสิ่งต่างๆได้ จนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

เรื่องของการพัฒนาทักษะในการคิดนั้น จริงๆ แล้วควรจะพัฒนากันตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลเลย ไม่ใช่มาทำกันตอนโต เพราะยิ่งโตมุมมองต่างๆ ตลอดกรอบความคิดก็จะมากขึ้น ก็จะยิ่งคิดและจินตนาการเกิดขึ้นได้ยากมากยิ่งขึ้น


ที่สำคัญก็คือปัจจุบันนี้หลักสูตรการเรียนการสอนของบ้าน ไม่มีวิชาที่ว่าด้วยทักษะการคิด แต่เรากลับต้องคิด คิด และคิด ในการเรียนทุกวิชา โดยที่ไม่รู้เลยว่า วิธีการคิดของเรานั้น ถูกต้อง หรือเหมาะสมหรือไม่

นักวิชาการเรื่องของทักษะการคิดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับโลกเลยก็คือ Edward De Bono ซึ่งได้วางแนวทางและวิธีการคิดให้กับชาวโลก และเป็นผู้ให้กำเนิดคำว่า Lateral Thinking หรือการคิดนอกกรอบ ก็พยายามสอนให้คนเรารู้จักวิธีคิดที่เหมาะสม และคิดได้มากขึ้น หลากหลายขึ้น


ปกติเป้าหมาของการคิด ก็คือ การทำให้สุดท้ายแล้วไม่ต้องคิด

แปลกดีใช่ไหมค่ะ สมองคนเรานั้นจะคิดครั้งแรก จากนั้นก็จะแปรความคิดนั้นเป็นการรับรู้ และเป็นกรอบความคิด

ซึ่งเมื่อพบกับเหตุการณ์แบบเดิมอีก สมองก็จะไปดึงเอากรอบนั้นมาใช้ได้เลย โดยไม่ต้องคิดใหม่


ตัวอย่างก็คือ เวลาเราขับรถมาทำงาน เราเคยถามตัวเองว่า เราคิดใหม่หรือเปล่า เราไม่เปลี่ยนเส้นทางใหม่ เราจะไม่ได้คิดใหม่เลย มันเป็น Pattern ของมันปกติ เราจะรู้เลยว่า ข้างหน้าจะมีหลุมนะ จะมีถนนขรุขระ และมีจุดกลับรถที่เราต้องหลบ เราจะขับอย่างอัตโนมัติโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย นี่ก็คือกรอบความคิดที่เป็นตัวอย่างหนึ่ง และ คนเราจะมีกรอบความคิดแบบนี้เยอะแยะมากมายในสมองของเรา

เมื่อไรที่เราประสบกับเหตุการณ์ที่เคยประสบมาก่อน หรือมีปัญหาที่เคยแก้ไขได้มาก่อนแล้ว สมองเราก็จะดึงเอากรอบความคิดเดิมๆ ออกมาใช้ ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เราไม่คิดอะไรใหม่ๆ และมักจะอ้างว่า นี่คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะมีวิธีการอื่นมากกว่านี้ก็ได้


ลองพิจารณาสมการสองอันนี้นะค่ะว่า สองสมการนี้มีความแตกต่างกันหรือไม่ค่ะ
5 + 5 = 10

10 = 5 + 5


ท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้คงจะเห็นได้ว่า ถ้าเราดูเผินๆ ก็คือเหมือนกัน นี่คือกรอบความคิดเดิมๆ


แต่จริงๆ แล้วบรรทัดล่างที่เป็น 10 = 5 + 5
นั้นแสดงให้เราเห็นถึงทางเลือกที่มากขึ้น จากกรอบความคิดเดิมๆ


เพราะว่า 10 ไม่ใช่แค่ 5+5 อาจจะเป็น 4+6 หรือ 2+8 หรือ 2×5 ฯลฯ


นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Lateral Thinking ก็คือคิดหาทางอื่นๆ ที่สามารถสร้างผลได้เช่นกัน


ตัวอย่างของ Lateral thinking ที่เห็นชัดมากๆ และเราเชื่อว่าหลายท่านอาจจะเคยอ่าน หรือเคยพบมาก่อนก็ได้ก็คือ


ตัวอยางที่ 1

มีเรื่องของมีคนบ่นวาทำไม ลิฟท์ช้ามาก จะขึ้นไปชั้นที่ 24 ใช้เวลานานมาก อยากให้เจ้าของสถานที่ปรับปรุง

ถ้าเราเป็นเจ้าของอาคารสถานที่ เรามีวิธีคิดก็คือเราก็จะพยายามหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา หรือไม่ก็ทำการเปลี่ยนลิฟท์ใหม่เสียเลย

แต่ถ้าท่านเป็นเจ้าของอาคาร และอยากคิดนอกกรอบที่นอกเหนือจากความคิดนี้ ท่านจะทำอย่างไรคะ

คำตอบก็คือ (ลองฝึกทักษะในการคิดนะคะ)

..........................................................................
..........................................................................

จะเห็นว่าความคิดนอกกรอบเกิดขึ้นได้มากมายใช่ไหมคะ


ตัวอย่างที่ 2

เป็นเรื่องขององค์การนาซ่า ที่นักบินอวกาศไม่สามารถใช้ปากกาหมึกแห้งเขียนได้ในอวกาศ ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องของการบันทึกข้อความระหว่างที่อยู่บนอวกาศ

ถ้าเป็นความคิดในกรอบเดิมก็คือ เราจะพยายามคิดค้นหาส่วนผสมของหมึกที่สามารถใช้ในอวกาศได้ ทดลองเท่าไรก็ไม่ได้

ถ้าเป็นท่าน ท่านคิดว่าจะแก้ปัญหาในการจดบันทึกนี้ได้อย่างไรคะ

คำตอบก็คือ (ลองฝึกทักษะในการคิดนะคะ)

...................................................................................
...................................................................................



ตัวอย่างที่ 3 เป็นเรื่องราวให้ลองฝึกคิดดูนะค่ะ
มีนักโทษประหารคนหนึ่ง ซึ่งได้รับการตัดสินประหารชีวิต ซึ่งผู้พิพากษาก็ให้เลือกวิธีการตายของตัวเอง โดยมีอยู่ 3 ห้องให้เลือก ก็คือ

ห้องที่หนึ่ง เป็นห้องชุมนุมของนักฆ่ามืออาชีพจำนวน 5 คน
ห้องที่สอง เป็นห้องของนักวางยาพิษซึ่งจะทำให้ตายโดยไม่รู้ตัวได้
ห้องที่สาม เป็นห้องของฝูงเสือโคร่งใหญ่ที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาเป็นเวลา 1 ปี
แล้ว นักโทษคนนี้ควรจะเลือกห้องใด ที่จะทำให้ตนเองมีโอกาสรอดได้มากที่สุด


ท่านลองตอบด้วยตัวเองดูนะคะ

............................................................................................
............................................................................................
............................................................................................
............................................................................................


สิ่งที่ท่านได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ก็คือ
ตัวอย่างของการคิดแบบ Lateral Thinking ก็คือพยายามไม่คิดตามกรอบความคิดเดิมๆ ที่เรามีอยู่ แต่ให้คิดออกจากกรอบให้ได้ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนพอสมควรเลย

การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา ( DNA paternity testing )

การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา หรือที่เรียกว่า DNA paternity testing เป็นเทคนิคการตรวจดีเอ็นเอ ชนิด หนึ่ง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน จุดประสงค์หลักเพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อ-ลูก ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น และต้องการหลักฐานทางพันธุกรรมเข้ามาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา อาศัยหลักการที่ว่า ดีเอ็นเอซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของลูก ครึ่ง หนึ่งจะมาจากพ่อ และอีกครึ่ง หนึ่งมาจากแม่


การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา อาจใช้วิธีตรวจจากเลือด หรือตรวจจากเซลล์เยื่อบุกระพุ้งแก้มก็ได้ โดยนำสิ่งส่งตรวจไปที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อทำการสกัดดีเอ็นเอ ผ่านขั้นตอนกระบวนกรรมวิธีทำให้ดีเอ็นเอเป็นสารบริสุทธิ์ จากนั้นเตรียมดีเอ็นเอที่สกัดได้ นำมาทำการทดสอบกับชุดทดสอบที่เรียกว่า DNA markers จำนวน 16 ชุด ผลที่ได้จะเป็นแบบแผนสารพันธุกรรมของสิ่งส่งตรวจ เมื่อนำแบบแผนสารพันธุกรรมของสิ่งส่งตรวจทั้งหมดมาเปรียบเทียบกันแล้ว ทางห้องปฏิบัติการสามารถใช้การวิ เคราะห์ทางสถิติคำนวณความน่าจะเป็น ซึ่งเรียกว่า probability of paternity


ความแม่นยำของการตรวจดีเอ็นเอ

การตรวจดีเอ็นเอในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตราฐานทุกแห่ง พบว่ามีความแม่นยำมากถึงร้อยละ 100 ในทางปฏิบัติจะพิจารณาความแม่นยำของการทดสอบ ร่วมกับปัจจัยทางชีวภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผลการทดสอบมีความแม่นยำและความน่าเชื่อถือสูงมาก ในบางห้องปฏิบัติการอาจมีการทดสอบแบบแผนสารพันธุกรรมจากสิ่งส่งตรวจของบุคคลที่สามเพิ่มเติม แต่ในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดาอาจไม่ได้ตรวจเพียงวิธีเดียว เช่นเดียวกับหลักการตรวจวิ เคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทั่วไป ในกรณีที่ต้องการทดสอบความเป็นพี่น้องหรือลูกหลานเว้นชั่วอายุคน พบว่าด้วยเทคนิคดังกล่าวจะความแม่นยำประมาณร้อยละ 90

การตรวจดีเอ็นเอจากเซลล์เยื่อบุช่องปาก

การตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา โดยการตรวจดีเอ็นเอจากเซลล์เยื่อบุช่องปาก จะให้ผลการทดสอบที่มีความแม่นยำเช่นเดียวกับการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา โดยการตรวจเลือด อย่างไรก็ตาม อาจพิจารณาตรวจดีเอ็นเอจากเซลล์เยื่อบุช่องปาก ในกรณีที่ผู้เข้ารับการตรวจเพิ่งได้รับเลือดมา หรือในกรณีผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ สำหรับการตรวจดีเอ็นเอนั้น เด็กจะมีอายุเท่าใดก็ได้ ผลการตรวจจะเหมือนกัน ไม่ขึ้นกับอายุ



การแปลผลการทดสอบ ประกอบไปด้วยข้อมูล 3 ส่วนที่สำคัญ
เป็นแบบแผนสารพันธุกรรม หรือที่เรียกว่า DNA profile
เป็นค่าความน่าจะเป็น เรียกว่า Probability of Paternity
เป็นดัชนีทางสถิติ เรียกว่า Combined Paternity Index (CPI)
ในทางปฏิบัติ การแปลผลการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นบิดา ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด ในกรณีที่ Probability of Paternity เป็นศูนย์ ก็แสดงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูก และในกรณีที่ Probability of Paternity เท่ากับร้อยละ 99.9 แสดงว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกแน่นอน

โดยทั่วไปการตรวจดีเอ็นเอใช้เวลานาน 5-7 วัน ในต่างประเทศห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้เร็วที่สุด กระทำได้ภายใน 3 วัน


ในการตรวจดีเอ็นเอนั้นสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน กล่าวคือ

1.เทคนิคดั้งเดิมอาร์เอฟแอลพี (RFLP,Restriction Enzyme Fragment Length Polymorphism) ซึ่งค้นพบโดย เอ็ดเวิร์ด เซาร์เทอน (Edward Southern) นักเคมีชีวภาพ ชาวสก็อตแลนด์ ในช่วงทศวรรษที่ 1970

2.เทคนิค พีซีอาร์ (PCR,Polymerase Chain Reaction)
เป็นเทคนิคสำหรับเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Kary Mullis และคณะ แห่งบริษัท Cetus Corporation ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๘๐ ข้อดีของเทคนิคนี้ คือ สามารถเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอได้อย่างเฉพาะเจาะจง โดยมีขั้นตอนการทำงานน้อย และใช้เวลาไม่นาน PCR เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญมาก โดยสามารถนำไปใช้ได้กับงานวิจัยทางชีวโมเลกุล และพันธุวิศวกรรม เช่น การเพิ่มปริมาณยีน (gene cloning) การวิเคราะห์ลำดับเบสของยีน (gene sequencing) การสร้าง DNA probe และการวิจัยประยุกต์ เช่น การสร้างยีนกลายพันธุ์ (PCR based mutagenesis) การศึกษาการแสดงออกของยีนจาก mRNA การตรวจหาดีเอ็นเอของไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของโรค เป็นต้น

หลักการพื้นฐานของ PCR คล้ายกับการจำลองตัวเองของดีเอ็นเอโดยใช้ดีเอ็นเอสายหนึ่งเป็นต้นแบบในการสร้างดีเอ็นเอสายใหม่ เอนไซม์ ดีเอ็นเอโพลีเมอเรส และอุณหภูมิที่ทำให้ดีเอ็นเอแยกจากกันหรือจับคู่กันใหม่ ซึ่งปฏิกิริยา PCR
โดยจะทำหมุนเวียนต่อเนื่องกันไป ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมของแต่ละขั้นตอน

ทั้งสองเทคนิคใช้วิธีการแยกลำดับดีเอ็นเอที่แตกต่างกัน และบันทึกไว้ในแบบที่สามารถมองเห็นได้

ซึ่งเทคนิค RFLP จะสามารถแสดงผลได้ชัดเจนกว่า เทคนิค PCR แต่ว่าต้องใช้จำนวนตัวอย่างมากกว่า และใช้ระยะเวลานานกว่ามาก ซึ่งเทคนิค RFLP ใช้ตัวอย่างถึง 20–50 นาโนกรัม และใช้ระยะเวลานานหลายสัปดาห์ เทคนิคนี้จะให้แผนที่ DNA ขึ้นมาคล้ายบาร์โค๊ด

ในขณะที่เทคนิค PCR ใช้ตัวอย่างเพียง 2 นาโนกรัม และใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปเพราะสามารถทำเป็นเครื่องตรวจวิเคราะห์ DNA อัตโนมัติได้ การพิสูจน์บุคคลจากสึนามิโดยทีมงานคนไทยก็ใช้วิธีนี้
ทั้งนี้การกำหนดว่าจะใช้เทคนิคใดขึ้นอยู่กับตัวอย่างที่ได้มา ถ้าหากเป็นตัวอย่างที่คุณภาพดีและใหม่ ผู้วิจัยมักจะใช้เทคนิค RFLP ซึ่งจะได้ผลที่ชัดเจนแน่นอนกว่า

ในการแปลและวิเคราะห์ข้อมูลของดีเอ็นเอนั้นจำเป็นต้องใช้วิธีการทางสถิติ พันธุกรรมประชากร และทฤษฎีความน่าจะเป็นมาประยุกต์ใช้กับผลการวิเคราะห์ที่ได้จากห้องทดลอง โดยหลักการแล้วนักวิจัยจะทดสอบว่าตัวอย่างที่ได้จากคนที่ 1 กับ คนที่ 2 ซึ่งอาจจะเป็นพ่อกับลูกกันมาเปรียบเทียบโดยการสุ่มตัวอย่างกับประชากรทั่วไป ซึ่งโดยหน่วยวัดโดยทั่วไปแล้วจะแสดงให้เห็นถึง 1 ต่อ 5,000,000 คน ซึ่งหมายความว่า ในจำนวนคน 5,000,000 คนนั้น มีเพียงสองตัวอย่างนี้เท่านั้นที่มีลักษณะทางพันธุกรรมดีเอ็นเอเหมือนกัน ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีโอกาสเป็นพ่อ-ลูกกัน ซึ่งในขณะที่การตรวจพิสูจน์โดยตัวอย่างเลือดที่ทำกันโดยทั่วไปนั้นสามารถบอกได้เพียงหน่วย 1 ต่อ 200 เท่านั้น

โดยสรุปแล้วการตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ของบุคคลทางพันธุกรรมดีเอ็นเอนั้น เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งเป็นวิธีการตรวจหาความจริงอย่างมีหลักการและขั้นตอนที่รัดกุม จึงสามารถอ้างได้ว่าเป็นหลักฐานแบบหนึ่งซึ่งสามารถยืนยันถึงความสัมพันธ์ของบุคคลได้เป็นอย่างดี

การสรุปผลต้องไม่มีข้อขัดแย้งตามเกณฑ์ คือ จะต้องตรงกันทั้งสิบตำแหน่ง เช่นในการพิสูจน์ พ่อ - แม่ - ลูก ผลการตรวจที่จะบอกว่า เป็นลูกแน่นอนนั้น ต้องตรวจพบ DNA ของลูกมาจาก พ่อ และแม่ อย่างละ 50% ทั้งสิบตำแหน่ง ตัวอย่าง ผู้ที่มาตรวจ เป็นแขกพาลูกซึ่งโตแล้ว มาตรวจขอพิสูจน์เพียงเพื่อเป็นหลักฐานประกอบในการโอนสัญชาติ ปรากฏว่าผลการตรวจออกมาแปลก เพราะลูกมี DNA ไม่เหมือนฝ่ายชายเพียงหนึ่งในสิบตำแหน่ง พอคุณหมอลองขยายการตรวจออกไปอีกก็พบว่า ลูกมี DNAต่างกับพ่อ เพียงสองใน 16 ตำแหน่ง ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่พ่อแน่นอนค่ะ แต่คงใกล้เคียงพ่อมากๆทีเดียวค่ะ เพราะส่วนใหญ่ คนที่ไม่ใช่พ่อ มักจะมี DNA แตกต่างกัน 5-6 จุดขึ้นไป

**มาตรฐานสากลในการตรวจ DNA ควรดำเนินการตรวจอย่างน้อย 10 ตำแหน่งขึ้นไป อเมริกาได้กำหนดให้ตรวจอย่างน้อย 13 ตำแหน่งและกำลังจะขยับไปเป็น 16 ตำแหน่ง สำหรับประเทศไทยหน่วยงานที่รับผิดชอบบางหน่วยงานตรวจเพียง 1 ตำแหน่ง แต่บางหน่วยงานใช้ 6 ตำแหน่ง ทำให้มีปัญหาในเรื่องของความเชื่อถือ

**ปกติการตรวจ DNA สามารถตรวจได้จากเลือด โดยมีวิธีการตรวจเรียกว่า Electrophoresis มีการตรวจโดยการเทียบรหัสทางพันธุกรรมวัตถุประสงค์ของการตรวจเช่นดูว่าเป็นพ่อแม่ลูก หาความผิดปกติของยีนหรือโรคบางชนิด หาความผิดปกติของทารกในครรภ์ เป็นวิธีการตรวจที่ยืนยันรหัสทางพันธุกรรมได้ดีในขณะนี้

สามารถตรวจได้ที่กรุงเทพ. ก็มีดังนี้
1.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม
2.สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานแพทย์ใหญ่ สำนักงานกรมตำรวจแห่งชาติ
3.ภาควิชา นิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
4.หน่วยมนุษย์พันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในส่วนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแต่ควรสอบถามและนัดล่วงหน้าถึงช่วงเวลาที่ตรวจได้ก่อนไป

หน่วยมนุษย์พันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ตำแหน่งสถานที่
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
270 ถนนพระราม 6 แขวง ทุ่งพญาไท เขต ราชเทวี กรุงเทพฯ
อาคาร 1 ชั้น 1 หลังลิฟท์ สีแดง
โทร. 02- 201-1145, 02- 201-1186 FAX : 02- 201-1145
เปิดบริการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30 น.- 14.00 น.
บุคคลที่ต้องการตรวจจะต้องเดินทางไปตรวจพิสูจน์ ณ.หน่วยนั้นๆตั้งอยู่เท่านี้ และพร้อมกับถ่ายรูปและทำประวัติการตรวจ เนื่องจากทางหน่วยไม่รับการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างทางไปรษณีย์ เพื่อป้องกันผลผิดพลาดและเกิดเป็นคดีความฟ้องร้องภายหลังได้ ทราบผลการตรวจภายใน 1 เดือน

หลักฐานที่ต้องใช้คือ
1.ใบยินยอมให้ทำการตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางมารดาบิดาและบุตร
2.สำเนาทะเบียนบ้านพร้อมตัวจริง ทั้งชายและหญิงรวมไปถึงบุตร
3.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมตัวจริง ทั้งชายและหญิง
4.สูติบัตร ( บุตร)
5.หมายศาล (หากมีคำสั่งของศาลให้ดำเนินการตรวจ)

ค่าตรวจวิเคราะห์ (เฉพาะที่ส่งตรวจที่ หน่วยมนุษย์พันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ส่งตรวจที่อื่นๆราคาอาจแตกต่างไปจากนี้)

- เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางมารดาและบุตร ประมาณ 5,000 บาท
- เพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางบิดา,มารดาและบุตร ประมาณ 6,500 บาท