27 ก.พ. 2553

อันตรายจากภาชนะหุงต้มในครัว



อันตรายจากภาชนะหุงต้ม ในครัว (Health&Cuisine)



ในยุคที่ผู้คนตื่นตัวในเรื่องของสุขภาพ สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราหวาดผวากันมากคือ สารพิษปนเปื้อนที่มากับอาหาร แต่สารพิษส่วนหนึ่งที่เราได้รับ อาจเกิดขึ้นจากภาชนะในครัวเรือนที่ใช้กันอยู่ทุกวัน


เมื่อหลายปีที่แล้วนักวิจัยได้เตือนผู้บริโภคว่า อะลูมิเนียมอาจมีส่วนที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ทำให้ผู้บริโภคพากันโยนหม้อ กระทะที่ทำจากอะลูมิเนียมทิ้งเป็นจำนวนมาก แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่า อะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมีปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย


ภาชนะที่ทำจากสเตนเลส เป็นภาชนะที่นิยมใช้รองลงมา สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลส อาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสเตนเลสมีส่วนผสมของโครเมียมและธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อย จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่กลับให้ประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดโครเมียมและธาตุเหล็ก


แต่ขณะเดียวกัน สารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ ในผู้ที่แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตาม นิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น การใช้น้ำส้มสายชูหรือซอสมะเขือเทศ สำหรับคนที่มีอาการแพ้สารนิกเกิล ก็อาจจะเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมลซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด


ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ถ้านำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้ ทองแดงจะเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกายในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ แต่ถ้าร่างกายได้รับการสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินระดับที่ควรมีในเลือด จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ภาชนะที่ทำจากทองแดง จึงได้รับวิวัฒนาการขึ้นมาด้วยการเคลือบดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะมีการเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่


ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน สารชนิดนี้ช่วยป้องกันการติดของอาหาร ทั้งยังทำความสะอาดง่าย และช่วยลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารได้ด้วย เพราะภาชนะหากไม่เคลือบเทฟลอนจะต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเวลาผัดหรือทอด เพื่อไม่ให้อาหารติดกระทะ อนึ่งหากมีการลอกหลุดของสารที่เคลือบปะปนกับอาหาร ก็จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้และจะถูกขับถ่ายออกมา


ภาชนะเซรามิก ภาชนะชนิดนี้มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีอยู่ในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ เมื่อนำไปใส่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด รวมทั้งมีข้อเตือนว่าไม่ควรใช้ภาชนะประเภทนี้กับกาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศ และน้ำผลไม้เพราะจะทำให้สารตะกั่วละลายออกมาได้


สารตะกั่วเป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ ระบบหมุนเวียนโลหิตหัวใจ ระบบภูมิต้านทาน และระบบย่อยอาหาร สารตะกั่วจะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะในกระดูกจะสะสมปนกับแคลเซียม เพราะร่างกายไม่สามารถจะแยกระหว่างสารตะกั่วและแคลเซียมได้ ถ้าสารตะกั่วสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดพิษได้ ถ้าเกิดขึ้นในเด็กสารตะกั่วจะทำลายเซลล์สมอง ทำให้สมรรถภาพในการเรียนรู้เสียไป ยับยั้งการเจริญเติบโตทำให้ร่างกายแคระแกรน และตายในที่สุด


ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้ภาชนะเซรามิกบรรจุเก็บรักษาอาหาร หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน


ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะ


หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาอาหารเป็นเวลานาน ๆ ในภาชนะหุงต้ม เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว อาหารที่เหลือควรเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะที่ทำด้วยแก้ว


ทำความสะอาดภาชนะตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลีกเลี่ยงการขัดถูที่จะทำให้ผิวหน้าของภาชนะถลอกหรือหลุดลอก


พลาสติกในครัวเรือนปลอดภัยเพียงใด ?


สารเคมีที่สลายจากพลาสติกสามารถผ่านเข้าไปในอาหารได้ ไม่ว่าจะถูกความร้อนหรือไม่ แต่ความร้อนและแสงจะเร่งกระบวนการให้เกิดเร็วขึ้น คำถามที่ตามมาคือ สิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประเภทที่ทำลายฮอร์โมน สารประเภทนี้จะรบกวนหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ลดปริมาณอสุจิ ทำให้เด็กเป็นสาวเร็วกว่าอายุที่ควรและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง


พลาสติกที่สลายตัวสามารถที่จะผ่านเข้าไปปะปนกับอาหาร พบได้มากในภาชนะใช้ใส่อาหารซื้อกลับบ้าน อาหารที่บรรจุในภาชนะประเภทนี้เป็นเวลานาน จะมีกลิ่นและรสของพลาสติกชนิดนี้ติดมาด้วย


อาหารประเภทที่เป็นกรด จะดูดซึมสารพลาสติกได้ดีกว่าอาหารชนิดที่เป็นด่างหรือกรดต่ำ ความร้อนสูง ๆ เช่น จากเตาไมโครเวฟ และความเย็นจากตู้เย็นสามารถเพิ่มปริมาณการดูดซึมสารพลาสติกเข้าไปในอาหารได้


แม้แต่พลาสติกที่ใช้กับเตาไมโครเวฟก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อันตรายที่มักเกิดขึ้นคือ ผู้บริโภคมักใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ได้ระบุว่า ใช้กับตู้อบไมโครเวฟอุ่นอาหาร ทำให้พลาสติกละลายเข้าไปในอาหารและยังทำลายรสชาติของอาหารที่อุ่น


ข้อแนะนำสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก


เวลาอุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ เลือกภาชนะที่ทำจากแก้วหรือเซรามิคแก้ว หลีกการเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติก แม้จะระบุว่าปลอดภัยในการใช้กับไมโครเวฟ


ไม่ใช้พลาสติกห่ออาหารในการปรุงหรืออุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ


อาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือซีสใช้วัสดุประเภทโฟลีเอ็ทธีลีนห่อเพราะไม่มีสารพลาสติก หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นห่อด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์หรือกระดาษไข


อาหารที่เหลือ เก็บไว้ในภาชนะประเภทที่ทำด้วยแก้ว


ภาชนะพลาสติกที่เก่าชำรุดไม่ควรนำมาใช้ต่อ


เตาไมโครเวฟ


สิ่งที่ผู้บริโภคต้องระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ คือ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารประเภทโลหะ กระดาษอะลูมิเนียม นมบรรจุในกล่องกระดาษที่บุด้านในด้วยอะลูมิเนียม จานชามที่มีขอบเป็นโลหะเงินหรือโลหะทอง ไม่ควรใช้กับเตาไมโครเวฟ โลหะ เช่น ลวดที่ใช้มัดถุงพลาสติกควรแกะออก มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการติดไฟ และอาจเกิดไฟไหม้ภายในตู้อบไมโครเวฟได้


สารรังสีที่รั่วจากเตาไมโครเวฟ มีอันตรายเพียงใด


ปริมาณของสารรังสีที่รั่วจากตู้อบไมโครเวฟค่อนข้างต่ำ และไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งที่แม่บ้านควรระวังเป็นพิเศษ คือ เมื่อวัสดุตามขอบประตูชำรุดหรือหากมีรอยร้าวและรอยแตก เศษอาหารติดอยู่ตามขอบตู้ทำให้ประตูปิดไม่สนิท หรือ การชำรุดของตู้เนื่องจากการขนย้าย หรือเกิดเปลวไฟภายในตู้ จะทำให้มีปริมาณรังสีรั่วมากกว่าระดับปกติซึ่งเป็นอันตรายได้



สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใส่เครื่องควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ (pacemakers) โดยเฉพาะรุ่นเก่าซึ่งไม่สามารถจะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากตู้อบไมโครเวฟเหมือนเครื่องควบคุมรุ่นใหม่ ควรอยู่ห่างจากตู้อบไมโครเวฟประมาณ 5 ฟุต และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ

อาหารหลัก 5 หมู่...คุณรู้ดีแค่ไหน


อาหารหลัก 5 หมู่...คุณรู้ดีแค่ไหน (สสส.)



มีแรงจูงใจ 2 ประการที่จำเป็นจะต้องนำอาหารหลัก 5 หมู่ มาทบทวนตอกย้ำ ทั้งที่ทราบดีว่าคนไทยส่วนมากรู้จักมักคุ้นอยู่แล้ว แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอพูดถึงอาหารหลัก 5 หมู่ มักจะบอกเป็นสารอาหาร 5 ชนิด แทนการบอกชนิดของอาหาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากนัก แต่อยากจะให้คนไทยได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน

อีกประการหนึ่ง อาจจะดูเป็นเรื่องตลกแต่สะท้อนใจให้เห็นอะไรบางอย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว


ที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งมีนักวิชาการไปสอนใช้ชาวบ้าน กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อธิบายอย่างยืดยาวแล้วบอกชาวบ้านว่า เดือนหน้าจะมาเพื่อติดตามดูว่า ชาวบ้านกินครบ 5 หมู่หรือไม่ พอครบหนึ่งเดือนนักวิชาการกลับมายังหมู่บ้านแห่งนั้น เริ่มด้วยการถามคุณยายคำ อายุ 70 ปี ว่ากินอาหารครบ 5 หมู่ไหม ยายคำตอบชัดถ้อยชัดคำว่าเพิ่งกินได้แค่ 5 หมู่เอง หมู่ที่ 5 ยังไม่ได้กิน นักวิชาการถามกลับไปว่าเพราะเหตุใด ยายคำตะโกนก้องว่าหมู่ 5 อยู่ไกลมากเดินไปกินไม่ไหวยายคำคิดว่านักวิชาการบอกให้กินเป็นรายหมู่บ้าน เรื่องนี้น่าจะเกิดการผิดพลาดแน่นอน หากนักวิชาการมีวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับชาวบ้าน


ส่วนความสับสนระหว่างการเรียกชื่ออาหารให้ครบ 5 หมู่ กับเรียกสารอาหาร 5 ชนิด แทนนั้นจะขอทบทวนให้เข้าใจตรงกันดังนี้


หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ


หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย


หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ


หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3


หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย


ต่อไปนี้เราไม่ควรเรียก อาหารหมู่ 1 โปรตีน หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต หมู่ 3 วิตามิน หมู่ 4 แร่ธาตุ หมู่ 5 ไขมัน อีกต่อไปแล้ว ควรเรียกชื่ออาหารแทน


เหตุผลที่กำหนดอาหารหลัก 5 หมู่ขึ้นก็เพื่อที่จะให้คนไทยกินอาหารให้ได้สารอาหาร ครบ 5 ชนิด โดยนำเอาอาหารที่มีสารอาหารเหมือนกันมาไว้ในหมู่เดียวกัน แต่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 ชนิดในแต่ละวัน ดังนั้น เราจึงต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดในชนิดหนึ่งที่จะให้สารอาหารครบทั้ง 5 ชนิด

ทำไมคนเราต้องดื่มน้ำ


ทำไมคนเราต้องดื่มน้ำ (ชีวจิต)



เคยสงสัยไหมว่า ทำไมใคร ๆ ถึงได้คะยั้นคะยอให้คุณพยายามดื่มน้ำ (อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน) กันนัก


เหตุผลก็เพราะ น้ำเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับชีวิต เซลล์ทุกเซลล์ล้วนมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ถ้านับรวม ๆ แล้ว ในร่างกายเรามีน้ำอยู่ถึง 55 –75 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้นถ้าร่างกายขาดน้ำเพียงแค่ 10 วัน เราก็ตายแล้ว (ขณะที่คุณสามารถขาดอาหารได้ถึง 70 วัน)


น้ำในร่างกายของเราส่วนใหญ่มาจากน้ำที่เราดื่ม รวมทั้งในอาหารที่เรากิน และเกิดจากกระบวนการเมตาโบลิซึ่มซึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลา ประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำในร่างกายจะอยู่ในเซลล์ และอีกหนึ่งส่วนที่เหลือจะอยู่ในเลือดและของเหลวต่าง ๆ


น้ำทำหน้าที่สำคัญ ๆ หลายอย่าง เช่น ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร ลำเลียงสารอาหารและของเสียไปตามกระแสเลือด ช่วยในการสร้างปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกาย ช่วยหล่อลื่นและรองรับการเคลื่อนไหวของเอ็นข้อต่อต่าง ๆ และช่วยรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย


อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเราไม่เก็บกักน้ำเอาไว้ แต่ละวันจะมีการสูญเสียน้ำตลอดเวลา โดยการขับถ่ายทางปัสสาวะ อุจจาระ ทางผิวหนัง และทางปอด เฉลี่ยมีการสูญเสียน้ำประมาณ 2.65 ลิตรต่อวัน


เพราะเหตุนี้ คุณจึงควรได้รับน้ำทดแทนส่วนที่เสียไป อย่งน้อยไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวัน


ปัญหาอยู่ที่ว่า คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะมักดื่มน้ำก็ต่อเมื่อรู้สึกกระหาย ความจริงแล้วเมื่อคุณกระหาย นั่นหมายความว่าร่างกายถึงขั้นเกิดภาวะขาดน้ำแล้ว สัญญาณและอาการของภาวะขาดน้ำ คือ รู้สึกกระหาย ปัสสาวะน้อยลง และปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม (โดยทั่วไปปัสสาวะสีอ่อนจะดีกว่า) ท้องผูก เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดหัว เวียนหัว หน้ามืดตาลาย เป็นตะคริว อุณหูมิร่างกายสูง และความดันเลือดสูงขึ้น


มีรายงานการวิจัยชิ้นใหม่ที่พบว่า การดื่มน้ำให้พอเพียงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะด้วย


เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้อย่งน้อย 8 แก้วต่อวัน คือ ดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน ดื่มก่อนอาหาร (ช่วยไม่ให้กินมากเกินด้วย) ดื่มก่อนและหลังออกกำลัง ดื่มทุก 10–15 นาทีระหว่างออกกำลัง ดื่มเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ดื่มเมื่อปวดหัวหรือเป็นตะคริว ดื่มเมื่อปัสสาวะของคุณเป็นสีเข้ม จิบน้ำอยู่เรื่อย ๆ ตลอดวัน


อย่าลืมว่า น้ำทำให้กระบวนการทุกอย่างในร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่น ฉะนั้น...ดื่มน้ำซะ

เตือนภัย บุหรี่อิเล็คทรอนิกส์


บุหรี่อิเล็คทรอนิกส์ใครว่าไม่อันตราย ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย เผยมีปริมาณนิโคตินสูงกว่าบุหรี่มวนธรรมดาถึง 20 เท่า
บุหรี่อิเล็คทรอนิกส์ถูกคิดค้นขึ้นในประเทศจีน เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ เพิ่งเริ่มเป็นที่นิยมในบ้านเราได้ราว 1-2 ปี มีส่วนผสมของนิโคตินและสารโพรพิลีนไกลคอล อัดอยู่ในวัสดุที่มีลักษณะเป็นแท่งคล้ายปากกา ขณะสูบจะไม่มีควันและผู้สูบจะได้รับนิโคตินเข้าไปอย่างเดียว ต่างจากบุหรี่มวนที่มีสารอันตรายมากมาย ทำให้ผู้สูบเข้าใจว่าบุหรี่ชนิดนี้ปลอดภัย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากยังไม่มีการทดลองว่า จะควบคุมปริมาณนิโคตินจากบุหรี่ประเภทนี้อย่างไร อีกทั้งนิโคตินของบุหรี่นี้ก็เป็นคนละชนิดกับในใบยาสูบด้วย


ในบุหรี่ธรรมดามีสารนิโคตินมวนละ 2 มิลลิกรัม แต่บุหรี่อิเล็กทรอนิกมีมากถึง 40 มิลลิกรัม หากผู้สูบสูบเพลินจะทำให้ได้รับนิโคตินมากเกินไป จนเกิดหัวใจวายตายได้ และที่สำคัญคือ ประเทศไทยยังไม่มีการอนุญาตให้นำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้อง

เตือนภัย บุหรี่อิเล็คทรอนิกส์


บุหรี่อิเล็คทรอนิกส์ใครว่าไม่อันตราย ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย เผยมีปริมาณนิโคตินสูงกว่าบุหรี่มวนธรรมดาถึง 20 เท่า
บุหรี่อิเล็คทรอนิกส์ถูกคิดค้นขึ้นในประเทศจีน เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ เพิ่งเริ่มเป็นที่นิยมในบ้านเราได้ราว 1-2 ปี มีส่วนผสมของนิโคตินและสารโพรพิลีนไกลคอล อัดอยู่ในวัสดุที่มีลักษณะเป็นแท่งคล้ายปากกา ขณะสูบจะไม่มีควันและผู้สูบจะได้รับนิโคตินเข้าไปอย่างเดียว ต่างจากบุหรี่มวนที่มีสารอันตรายมากมาย ทำให้ผู้สูบเข้าใจว่าบุหรี่ชนิดนี้ปลอดภัย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากยังไม่มีการทดลองว่า จะควบคุมปริมาณนิโคตินจากบุหรี่ประเภทนี้อย่างไร อีกทั้งนิโคตินของบุหรี่นี้ก็เป็นคนละชนิดกับในใบยาสูบด้วย


ในบุหรี่ธรรมดามีสารนิโคตินมวนละ 2 มิลลิกรัม แต่บุหรี่อิเล็กทรอนิกมีมากถึง 40 มิลลิกรัม หากผู้สูบสูบเพลินจะทำให้ได้รับนิโคตินมากเกินไป จนเกิดหัวใจวายตายได้ และที่สำคัญคือ ประเทศไทยยังไม่มีการอนุญาตให้นำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้อง

10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุด



นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ




ปัจจุบัน มีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระมีประโยชน์ เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง



สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ



1. น้ำทับทิม



2. ไวน์แดง



3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด



4. น้ำบลูเบอร์รี่



5. น้ำแบล็กเชอร์รี่



6. น้ำอะซาอี



7. น้ำแครนเบอร์รี่



8. น้ำส้ม



9. น้ำชา



10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

25 ก.พ. 2553

ทำไมจึงเราจึงไม่ควรใช้ Password เดียวกันกับทุกเว็บ



หลายคนคงเคยชินกับการใช้ Password เดียวกันสำหรับหลายเว็บ ซึ่งนั้นไม่เป็นผลดีเลย เพราะอะไรมาชมกันครับ หลายเว็บมีการรักษาความปลอดภัยที่ดี เช่น ผู้ให้บริการ Email ชั้นนำต่างๆ เช่น Hotmail , Gmail , Yahoo เป็นต้น ซึ่ง Password ที่ใช้กับ Email ควรเป็น Password ที่แยกต่างหาก จากเว็บอื่นๆ เพราะอีเมล์เป็นที่อยู่สำคัญสำหรับการติดต่อ และเรียกคืนรหัสผ่านที่อาจโดนแฮกค์ ไปจากเว็บอื่นๆ ดังนั้นรหัสผ่านสำหรับอีเมล์ควรถูกแยกออกจากรหัสผ่านอื่นๆ


หลายเว็บมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่แย่ เช่น Facebook ไม่มีการเข้ารหัสสำหรับ Password เมื่อคุณไปใช้บริการ Wifi hotspot หรือแม้แต่ระบบเครือข่ายใน Office ของคุณเอง ทุกคนที่อยู่ใน Network เดียวกับคุณสามารถมองเห็น username และ password ของคุณได้อย่างง่ายดาย โดยใช้แค่โปรแกรม Sniffer ธรรมดาๆ บนเครื่องของเขาเอง และทีนี้หากคุณใช้ Password นี้ร่วมกับเว็บอื่นๆ เช่น Email , Pantip หรืออะไรก็ตาม เขาสามารถเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือยึดครอง Account ของคุณได้อย่างง่ายดาย เป็นที่มาของเสียงโอดครวญ ของหลายคนที่โดน Hack Email ไป

ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดคุณก็ควรแยก Password สำหรับ Email และ Website อื่นๆ ที่ไม่น่าไว้ใจออกจากกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณใช้บริการ E-banking คุณยิ่งต้องแยก Password สำหรับการใช้งาน Internet Banking ออกจาก Password อื่นๆ โดยสิ้นเชิงครับ

หากคุณไม่แน่ใจว่ารหัสผ่านของคุณปลอดภัยหรือเปล่า คุณสามารถเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัย ของรหัสผ่านของคุณว่ามีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหนเพียงใด ได้จากเว็บของ Microsoft ที่https://www.microsoft.com/protect/fraud/passwords/checker.aspx ครับ

ทำไมกบ จิ้งหรีดร้องเสียงดังหลังฝนตก?




ท่านที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ จะสังเกตได้ว่าฝนตกเมื่อไหร่ก็ตามจะได้ยินเสียงกบ จิ้งหวีด และสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆพากันร้องประสานเสียงกันระเบ็งเซ็งแซ่ไปทีเดียวเรื่องนี้คงมีคนสงสัยกันบ้างละว่าการร้องของกบและจิ้งหวีดไปเกี่ยวอะไรกับฝน

ความเชื่อที่ว่า "จิ้งหรีดหรือกบ" ร้องเฉพาะเวลาฝนตกหรือหลังฝนตกไม่ใช่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ดูเหมือนว่าพ้องกันข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเกิดฝนตกน้ำฝนจะไหลท่วมรูที่กบและจิ้งหรีดอาศัยอยู่ทำให้พวกมันต้องออกมาข้างนอก และทำกิจกรรมที่ตามปกติจะทำในรูหรือในที่กำบัง เช่น หาอาหาร ผสมพันธุ์เป็นต้น จนดูเหมือนว่าฝนเป็นปัจจัยที่ทำให้กบหรือจิ้งหรีดส่งเสียงร้อง ความจริงเป็นการส่งเสียงตามปกติอยู่แล้ว แต่เราสามารถได้ยินด้วยก็เท่านั้นเองนอกจากนั้นความเงียบของโลกหลังฝนตกเป็นเหตุผลเสริมอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ยินเสียงของสรรพชีวิตได้ดีเป็นพิเศษ

สรุปแล้วเป็นเรื่องของจิตใจและสัญชาตญาณของสัตว์โลกครับ สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและความรู้สึกนึกคิดคล้ายกับเราที่เป็นมนุษย์เหมือนกันสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จึงควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันโดยมีความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวเสริม

5 สัญญาณโรคร้าย ที่ชายไม่ควรเมิน



ผู้หญิงเจ็บป่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ก็จะเฝ้าระวังรีบไปพบคุณหมอ เพื่อตรวจสุขภาพกันแล้ว แต่กับมาดแมนอย่างคุณผู้ชายนี่สิ มักเพิกเฉยเพราะคิดว่า อาการเหล่านั้นเล็กน้อยไกลหัวใจ มารู้ตัวเองอีกทีก็เป็นบ่อยขึ้น หนักขึ้น เมื่อคิดจะไปตรวจ บางคนก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว


เรามี 5 สัญญาณที่คุณผู้ชายทั้งหลายไม่ควรเมินมาบอกกัน เพื่อจะได้หันมาใส่ใจอาการเล็ก ๆ ที่อาจไม่เล็กอย่างที่คิดค่ะ

1. เจ็บหน้าอก

ผู้ชายส่วนใหญ่ละเลยอาการเจ็บหน้าอก เพราะคิดว่าเป็นเพราะลมขึ้น หรืออาหารไม่ย่อย แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการเจ็บหน้าอก อาจเป็นสาเหตุเบื้องต้นของภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ด้วย ฉะนั้น หากรู้สึกแน่น เจ็บบริเวณหน้าอก หายใจสั้น หอบเหนื่อย รีบพบแพทย์ทันที

2. หน้าท้องใหญ่ยื่น

เป็นสัญญาณเตือนว่า ระดับฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน ในร่างกายกำลังลดต่ำลง ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหัวใจด้วย

3. อวัยวะเพศไม่ตื่นตัว

แม้จะเป็นอาการทางกายภาพ แต่นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า คุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ ถ้าเส้นเลือดใหญ่ไม่สามารถลำเลียงเลือด ไปสู่อวัยวะเพศชายได้เต็มประสิทธิภาพ แสดงว่าการไหลเวียนเลือดไป

สู่หัวใจและสมองก็อาจทำงานได้ไม่ดีด้วยนะ

4. ปัสสาวะบ่อย

เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณปัสสาวะบ่อยร่วมกับอั้นไม่ค่อยอยู่ แถมกลางคืนยังลุกมาปัสสาวะไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งทั้งที่ดื่มน้ำตามปกติ อย่างนี้รีบไปพบแพทย์ให้เร็วจี๋

5. ติดยาที่เภสัชกรจัดให้

ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าติดยาที่จ่ายโดยแพทย์ประจำตัว บางครั้งก็กินยาแก้เจ็บหลัง ยาแก้ปวด ยาแก้หวัด ยาขับเสมหะ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เรียกว่า มีอาการเมื่อไรไม่เคยพบแพทย์ แต่สั่งยาให้ตัวเองกินแทนซะงั้น และอย่างที่ทราบกันดี ยาแต่ละชนิดล้วนมีผลข้างเคียง

ถ้าไม่อยากป่วยกระเสาะกระแสะ โรคภัยรุมเร้า พบแพทย์ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอนะ

เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?



เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน"

ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ

เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8% ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"

21 ก.พ. 2553

ู้เท่าทันอาการวูบ และโรคลมชัก


รู้เท่าทันอาการวูบ และโรคลมชัก (Men’s Health)



MH ฉบับนี้มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาการวูบและโรคลมชักมาฝากหนุ่ม ๆ ให้สังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดกัน เมื่อพูดถึงโรคลมชัก หลายคนคงคิดถึงอาการชักกระตุกเกร็ง และหมดสติเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วการชักมีหลายรูปแบบ ซึ่งอาการชักบางรูปแบบคุณอาจคิดไม่ถึงว่า "นี่ก็คือการชักอย่างหนึ่ง"


ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ช่อเพียว เตโซฬาร ประธานวิทยาลัยประสาทศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย และนายแพทย์ธีรเดช ศรีกิจวิไลกุล ประสาทศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคลมชัก ได้ให้ความรู้กับเราว่า อาการชักอาจเป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของโรคบางอย่าง (Epileptic Seizure) หรืออาจจะเป็นโรคลมชักที่มีการชักเป็นอาการหลัก (Epilepsy) เราแบ่งอาการชักอย่างคร่าว ๆ ได้ดังนี้


1.อาการชักแบบที่มีจุดกำเนิดที่บอกได้ชัดเจน ว่าเริ่มที่จุดใดจุดหนึ่งในสมอง พวกนี้จะมีอาการชักกระตุกหรือเกร็งเฉพาะที่ โดยแพทย์สามารถบอกได้ว่าอาการชักเกิดจากจุดกำเนิดใด ผู้ป่วยที่มีอาการลักษณะนี้มักจะมีสาเหตุที่ต้องตรวจหาอย่างจริงจัง จะเป็นกลุ่มที่เมื่อตรวจภาพของสมองด้วยคอมพิวเตอร์แล้ว มีโอกาสสูงที่จะพบเนื้องอกในสมอง กลุ่มหลอดเลือดผิดปกติในสมองมาตั้งแต่กำเนิด หรือตัวอ่อนพยาธิขึ้นสมองและอื่น ๆ ที่ควรได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุต่อไป หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคที่เป็นเหตุให้ชัก อาจลุกลามทำให้สมองเสียหาย หรือได้รับการรักษาช้าเกินไป


2.อาการชักแบบไม่มีความชัดเจน ว่าจุดที่ปล่อยไฟฟ้าออกมารบกวนนั้นเริ่มที่จุดใด อาจมีหลาย ๆ จุดเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ทำให้รบกวนสมองทั่วไปในวงกว้าง หรือมักมีต้นกำเนิดอยู่ลึกบริเวณแกนกลางของสมอง อาการหลักจึงมักเป็นอาการหมดสติ เกร็ง แขนขาและหน้ากระตุก อาการชักแบบนี้บางคนเรียกว่าลมบ้าหมู ซึ่งมักจะไม่ค่อยมีสาเหตุที่ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด


การรักษาก็มักเป็นการใช้ยากินหรือฉีด เพื่อควบคุมและป้องกันการชัก มักต้องกินยาควบคุมการชักไว้เกือบตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามแม้ตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ น้อยรายที่จะพบโรคประเภทที่ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด แต่ก็ยังน่าจะตรวจสมองของผู้ป่วยเหล่านี้ เพื่อหาว่ามีโรคอื่น ๆ ในผู้ป่วยรายนั้น ๆ หรือไม่เพราะหากมีโรคอยู่จริง แต่แพทย์พลาดการวินิจฉัยอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นในภายหลังได้


3.การชักอีกรูปแบบหนึ่งมีอาการหลาย ๆ อย่าง อาจจะออกมาในรูปของการกระทำเป็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างซับซ้อน เหมือนคนกำลังทำกิจกรรมหรือแสดงพฤติกรรมบางอย่าง ไม่ใช่เป็นการกระตุกของกล้ามเนื้อเหมือนอย่างการชักในข้อ 1 และข้อ 2 (Complex Partial Seizure) ความจริงการชักแบบนี้เป็นการชักที่เจอบ่อย แต่คนจะไม่เข้าใจว่านี่ก็เป็นการชักอย่างหนึ่ง คนไข้กลุ่มนี้จึงมักไม่ได้รับการวินิจฉัยและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ความจริงการชักแบบนี้มียารักษาควบคุมให้เป็นปกติสุขได้ ซึ่งถ้ายาช่วยควบคุมไม่อยู่จริง ๆ ก็ยังสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดให้หายหรือควบคุมได้ง่ายขึ้น


อาการชักอาจเกิดได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเด็กเล็กในวัยที่อยู่ในช่วง 6 เดือนถึงราว ๆ 4 ถึง 6 ขวบ หรือคนสูงอายุที่สมองเริ่มเสื่อมลง จะมีโอกาสชักง่าย เช่น อาจเกิดจากการมีใช้สูง เกลือแร่ในร่างกายแปรปรวนยากระตุ้นสมองบางชนิด การถูกกระตุ้นด้วยแสงแวบ ๆ เป็นเวลานานพอ


การชักที่ไม่ได้รับการควบคุมให้ดีพอ จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสมองโดยรวม หรือเฉพาะจุดมากขึ้นเรื่อย ๆ แรก ๆ จะเสียหน้าที่ชั่วคราว แต่ระยะยาวจะเสียหายอย่างถาวร ที่คนเราชักต่อเนื่องไปนาน ๆ จะทำให้สมองเสื่อม ความสามารถในการทำงานลดลงในอัตราที่เร็วกว่าคนทั่วไป จนบางครั้งถึงกับช่วยตัวเองไม่ได้


นายแพทย์ธีรเดชได้อธิบายต่อว่า อันตรายของอาการชักคือผู้ป่วยจะควบคุมตนเองไม่ได้ ซึ่งนอกจากการชักเกร็งหมดสติแล้ว ยังอันตรายหากอยู่ในระหว่างขับรถ ว่ายน้ำ อยู่หน้ากองไฟ รวมไปถึงการตายโดยไม่ทราบสาเหตุซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคลมชัก สำหรับวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยลมชักนั้น ปกติผู้ป่วยที่ชักมักจะหยุดชัดได้เองในที่สุด แต่หากระหว่างการชักได้รับการดูแลไม่ถูกต้อง อาจมีผลให้สมองขาดออกซิเจน สำลักกระดูกหักได้ อย่าเอาสิ่งของใด ๆ ไปงัดปากหรือใส่ปาก ให้จับผู้ป่วยนอนตะแคงหน้าให้น้ำลายไหลออก ให้อยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเท


อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยชักเกิน 2 ครั้งภายใน 5 นาที หรือชักนานเกิน 15 นาที ให้รีบพาผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลใกล้เคียง เพื่อฉีดยาให้หยุดชักโดยทันที และดูแลในระยะแรกจนพ้นอันตรายแล้วจึงส่งมาตรวจหาสาเหตุเบื้องลึกต่อไป


รูปแบบอาการชักที่คุณอาจคาดไม่ถึง


นอกเหนือจากการชักเกร็งหมดสติ ผศ.นพ.ช่อเพียวได้ เล่าให้เราฟังว่า จริง ๆ แล้วอาการชักมีอีกหลายรูปแบบมาก ซึ่งแพทย์ทั่วไปที่ให้การรักษาคนใช้ต้องอาศัยการสังเกต และวินิจฉัยอย่างละเอียด ยกตัวอย่างเช่นมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนหนังสือหน้าชั้นเรียนอยู่ดี ๆ แล้วเกิดอาการยืนนิ่งค้างไปเฉย ๆ เหมือนเรากดปุ่ม pause ของเครื่องวิดีโอ สักพักก็สอนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากไปสังเกตดูอาการก็พบว่าเป็นอาการของโรคลมชักชนิดหนึ่ง หรือผมเคยรักษาคนใช้ผู้หญิงกลางคนซึ่งเป็นเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ต คนใช้กำลังคุยกับลูกค้าอยู่ ๆ ก็หันหลังกลับเดินขึ้นไปชั้นบนอาบน้ำแต่งตัว แล้วลงมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยลูกค้าและคนรอบข้างก็งงกับพฤติกรรม ซึ่งผู้ป่วยไม่รู้ตัว


บางกรณีก็มีอาการคล้ายคนใช้จิตเวช เช่น อยู่ ๆ หัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แพทย์ที่รู้เรื่องลมชักสามารถบอกได้เลยว่า ถ้าหัวเราะมาแบบนี้เป็นลมชักแบบพิเศษชนิดที่เรียกว่า Gelastic Epilepsy (ผู้ป่วยชนิดนี้จะมีโรคอยู่ที่สมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปทารามัส ซึ่งผ่าตัดรักษาได้ผลดีมาก) หรือคนไข้บางคนไปขโมยของโดยไม่รู้สึกตัว บางรายมีอาการงง ๆ เบลอๆ นิ่งเหม่อบ่อย ๆ โดยไม่ค่อยรู้ตัว เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โรคลมชักทั้งหลายอาศัยการวินิจฉัยจากประวัติ และอาการที่ผู้ป่วยหรือญาติเล่าให้ฟัง เพราะขณะมาพบแพทย์ผู้ป่วยส่วนใหญ่หยุดชักแล้ว นอกจากผู้ป่วยมาชักให้เห็นต่อหน้าก็จะยิ่งบอกได้ชัดเจนขึ้น ผู้ป่วยลมชักเป็นนาน ๆ อาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ต้องแยกให้ได้ว่านี่เป็นอาการทางจิตเวชหรือมีโรคของสมองกันแน่ บางครั้งเราพบคนใช้รักษาอาการทางจิตเวชมานาน จนกระทั่งวันหนึ่งปวดหัว อาเจียนแล้วหมดสติ ตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่ามีเนื้องอกขนาดใหญ่ในสมอง เป็นต้น


ก่อนชักผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเตือนก่อนเกิดอาการชัด เช่น หวาดกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุ อยู่ ๆ ท้องลั่นโกรกกราก ปากเคี้ยวจับ ๆ แลบลิ้นเลียปาก ทำโดยไม่ค่อยรู้สติ ได้กลิ่นแปลก ๆ เช่น ยางไหม้ กลิ่นน้ำหอม เห็นแสงแวบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีแสงนั้นอยู่จริง เป็นต้น


โรคลมชักรักษาให้หายขาดได้


นายแพทย์ธีรเดช อธิบายว่า อาการชักโดยทั่วไปสามารถควบคุมได้ด้วยยา อย่างไรก็ตามรายที่มีอาการรักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือว่าแพ้ยาจนหาทางรักษาได้ลำบาก ก็อาจต้องรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด ดังนั้น หากรายใดที่ไม่สามารถรักษาด้วยยา สามารถส่งต่อมา เพื่อพิจารณาว่าควรรักษาด้วยการผ่าตัดหรือไม่


อย่างไรก็ตาม ศูนย์รักษาโรคลมชักครบวงจรสามารถทำได้หลายแห่งในประเทศไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ให้การรักษา โดยเป็นศูนย์การรักษาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ทั้งนี้ 70-80 เปอร์เซ็นต์ สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัด


ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ต้องทานยากันชักอีกเลย หรือถึงแม้ต้องทานยาต่อไปแต่ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจริง ๆ แล้วอยากให้โรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยที่ดื้อต่อยากันชัก ส่งต่อผู้ป่วยมารักษาที่โรงพยาบาลที่เป็นศูนย์การรักษาลมชักแบบครบวงจร ที่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้ด้วย เพราะไม่อยากให้ผู้ป่วยเสียโอกาส หากเขาเป็นผู้ป่วยที่สามารถรักษาได้ เพราะนั่นหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


ผศ.นพ.ช่อเพียวกล่าวเสริมว่า "จริง ๆ แล้วการรักษาโรคลมชักนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อน หากแพทย์ที่รักษาคนไข้สามารถวินิจฉัยและส่งต่อได้เร็ว นั่นหมายถึงโอกาสการรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น คนใกล้ชิดผู้ป่วยเองก็ต้องช่วยสังเกตอาการ เพื่อนำส่งแพทย์เพื่อการรักษาที่ตรงกับสาเหตุ การให้ความรู้ในเรื่องนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่อยากรณรงค์ให้คนทั่วไปได้ทราบ เพื่อการสังเกตและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนใกล้ชิด"

โรคอ้วน เสี่ยงต่อภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง


คุณคงทราบดีว่า ความอ้วน ไขมัน คือปัจจัยสำคัญที่นำพาคนเราไปสู่ความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากที่สุด เมื่อเทียบกับโรคภัยระบาดต่าง ๆ ตามฤดูกาลที่เกิดจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสและเชื้อโรคต่าง ๆ เสียอีก ซึ่งอาจเรียกได้ว่าโรคร้ายที่เกิดจากการสะสมพอกพูนของไขมัน ทำให้เกิดโรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจชนิดต่าง ๆ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ...และคนอ้วนหลายคนก็จบชีวิตด้วยโรคเหล่านี้ต่อเนื่องกัน ปีละนับพันนับหมื่นคน


 
ภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง


เป็นอีกหนึ่งอาการที่ตอกย้ำว่า เมื่อเราบริโภคอาหารอย่างไม่ยั้งคิด เมื่อคุณรับประทานแบบไม่คิดถึงผลที่จะตามมา ก็ย่อมส่งผลอย่างไม่คาดคิดเช่นกัน เพราะเมื่อคุณบริโภคอาหารที่มีปริมาณไขมันจำนวนมากเข้าไป ร่างกายของคุณที่เคยปกติดี จะเริ่มเกิดปัญหา ร่างกายไม่สามารถลำเลียงเลือดและออกซิเจนไปยังสมองได้ เนื่องจากเกิดอุปสรรคที่ขวางกั้นจากลิ่มเลือด ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดมีความผิดปกติ และมีการปริแตก หรืออาจเกิดจากภาวะเสื่อมถอยของร่างกาย สมองของคุณเกิดขาดเลือดเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่ในวัยทองในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป


ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง มีโอกาสเสี่ยงต่ออาการภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง และปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดภาวะนี้มากที่สุด ก็คือพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทำให้เกิดความเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มนักบริหารที่ขาดการพักผ่อน หรือเกิดภาวะเครียดจากการทำงาน หรือผู้ที่ชอบออกสังคมทั้งหลาย ชอบปาร์ตี้ ดื่มเหล้า และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงอย่างไม่ระมัดระวัง การสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มีอาการของโรคความดันโลหิตสูง มีคอเลสเตอรอลสูง มีอาการของโรคเบาหวาน และโรคอ้วน


แน่นอนว่าเมื่อคุณป่วยมีอาการภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงสมองแล้ว อันตรายย่อมเกิดกับคุณได้ตลอดเวลา และอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิต หรือเกิดอาการอัมพาต หรือแค่เพียงคุณเกิดภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงสมองน้อย ก็สร้างความเสียหายต่อสมองในส่วนของความทรงจำของคุณ และแน่นอนว่าโอกาสของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ย่อมสูงตามไปด้วย


เมื่อสมองขาดเลือด ร่างกายของคุณย่อมขาดประสิทธิภาพ


เมื่อร่างกายของคุณเริ่มอ้วน และมีคอเลสเตอรอลสะสมในร่างกายมาก คุณมีโอกาสเกิดภาวะสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงชั่วคราว การมีไขมันที่พอกพูนตามเส้นเลือด เปรียบเสมือนท่อน้ำที่เกิดการสะสมของขยะ และเศษตะกอนให้หลอดเหลือไหลไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หรือไปเลี้ยงสมองน้อย ส่งผลต่อแหล่งพลังงานที่อยู่ในเลือดน้อยตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล หรือออกซิเจน


จากนั้นจึงเกิดภาวะเซลล์สมองเสื่อมสภาพ โดยมีสารอะไมลอยด์ (Amyloid) และโปรตีนเทา (Tau) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าภาวะนี้นำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ได้ แม้ว่าอาการของสมองขาดเลือด จะเป็นไปตามความเสื่อมของร่างกายตามอายุขัย แต่ทว่าปัจจัยที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น คือ การเปลี่ยนแปลงหรือเสื่อมของหลอดเลือด อันเนื่องมาจากมีไขมันมาสะสมที่ผนังหลอดเลือด กระแสเลือดที่นำไปเลี้ยงสมองถูกขวางกระบวนการเดินทางอย่างรุนแรง จากนั้นเนื้อสมองบางส่วนจะค่อย ๆ เสื่อมลงอย่างรุนแรง และเหตุนี้นำไปสู่อาการป่วยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความจำเสื่อมและรุนแรงจนถึงอาการอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต


ความผิดปกติของเส้นเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง


ภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ ส่งผลต่อภาวะแขนขาที่อ่อนแรง ทำให้มีโอกาสเกิดโรคอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้ง่าย


ภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดปริแตก หรือรั่ว ส่งผลให้เลือดคั่งบริเวณใกล้ ๆ สมอง สูญเสียความสามารถในการพูด หมดเรี่ยวแรงเคลื่อนไหว


เมื่อสมองขาดเลือด ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการพูด การกลืน กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง เนื้อเยื่อสมองถูกทำลายอย่างรุนแรง แต่คุณสามารถสังเกตอาการเพื่อเฝ้าระวัง โดยหากมีอาการเหล่านี้ ขอให้รู้ไว้ว่านี่คืออาการเตือนที่แสนอันตราย


ชาบริเวณแขน ขา ใบหน้า


สูญเสียทักษะการพูด และการมอง


อาจมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง


เวียนศีรษะ อาการบ้านหมุน เป็นลม หรือวูบ


กลุ่มเสี่ยงต่อภาวะ Ischemic Stroke


ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป


ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับไขมัน ไม่ว่าจะความดันเลือด โรคเบาหวาน


ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่


ผู้มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือโรคอ้วน


Health Tips : รู้ทันโรค เพื่อป้องกัน และรักษา


ในขั้นตอนแรก เมื่อแพทย์ได้วินิจฉัยอาการ และวิเคราะห์ถึงความรุนแรงแล้ว จะทำการรักษาอย่างตรงกับอาการ ซึ่งขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยคือ การใช้เครื่องเอ็กซเรย์ภาพขวาง หรือ CT Scan และเอ็กซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI เพื่อค้นหาการอุดตันขัดขวางทางการไหลเวียนของเลือดสู่สมอง หรือบริเวณที่เลือดออก


เมื่อทราบแล้ว เป้าหมายของการรักษาคือ การให้เลือดที่ไหล่ติดขัดได้ไหลเวียนได้ตามปกติ โดยแพทย์จะมีทางเลือก เช่น การใช้ยาสลายลิ่มเลือด หรือการรักษาโดยการปรับพฤติกรรม การใช้ชีวิต เช่น การควบคุมความดันโลหิต การใช้โภชนาการเพื่อการลดไขมันในร่างกาย จนถึงการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดน้ำหนัก ปรับสมดุลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ในกรณีที่มีอาการหนักมาก ผู้ป่วยมีอาการขั้นรุนแรงจะมีการฟื้นฟูเป็นระยะเวลาหนึ่ง มีทั้งการพื้นฟูการทรงตัว หัดพูด ปรับการเคลื่อนไหว


สุดท้ายสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม...จากข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่คุณควรรู้และรีบเตรียมตัวก็คือ การคาดการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวไว้ว่าในปี 2565 หรืออีก 13 ปีข้างหน้า จะมีประชากรเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มเป็นร้อยละ 30 จากที่เป็นอยู่ โดยเกิดในประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นร้อยละ 80 และประเทศไทยก็คือกลุ่มเสี่ยง


ถึงเวลาหรือยังที่จะลดความเสี่ยงด้วยการลดความอ้วน และหันมาดูแลสุขภาพให้มากขึ้น...

3 สูตรไดเอทสุดฮิพของสาวญี่ปุ่น

ปกติอาหารญี่ปุ่นก็ขึ้นชื่อเรื่องไขมันน้อยอยู่แล้ว แต่สาวปลาดิบก็ยังยอมรับว่าวิธีไดเอทนี้จะช่วยลดความอ้วนได้เร็วกว่าแค่กินอาหารประจำชาติอย่างเดียว


1. ไดเอทด้วยกะหล่ำปลี

วิธีลดน้ำหนักสูตรนี้กำลังเทรนดี้อย่างแรงในหมู่สาวอวบของญี่ปุ่น แถมยังมีคนเอาไปออกรายการทีวีบ่อยๆ ที่สาวๆ นิยมเพราะมันทำง่าย ไม่ต้องลงทุนหนักๆ ปลอดภัยเพราะคิดค้นโดยนายแพทย์และยังเห็นผลเร็ว

How It Work กะหล่ำปลีที่ใช้ต้องเป็นกะหล่ำสดๆ ลงทุนไม่กี่บาท 1 หัวใหญ่ เอามาตัดแบ่งเป็น 4 ซีก แล้วทานที่ละ 1 ซีก กับน้ำสลัดไขมันต่ำก่อนมื้ออาหารทุกมื้อ กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีส้นใยอาหารสูงมาก เมื่อกินเข้าไปจะทำให้หนักท้อง แทบไม่ต้องทานข้าวตามก็อิ่มได้ ช่วยให้กินน้อยลงโดยปริยาย ถ้าทนทำติดต่อกันได้จะไม่ผอมคงไม่ได้แล้วล่ะ

2. ไดเอทด้วยแครอทและอกไก่

สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบไดเอท เพราะกินเท่าไรก็ได้ โดยไม่รู้สึกว่ากำลังจำกัดอาหารอยู่ แครอทมีไฟเบอร์ทำให้อิ่มท้อง ส่วนเนื้อบริเวณอกไก่ก็แทบจะไม่มีไขมันเลย ขออย่างเดียวอย่ากินติดหนังเท่านั้น

How It Work เปลี่ยนมื้อเย็นของทุกๆ วันเป็นแครอทกับอกไก่ย่างแทน โดยใช้แครอทมื้อละ 1-2 หัว จะกินสดๆ หรือเอาไปต้มก่อนก็ได้ ส่วนอกไก่เป็นเมนูส่วนตัวของคุณ จะปรุงรสไหน หมักซอส หมักเกลือ ต้ม ย่าง อบ เชิญตามชอบ

3. ไดเอทด้วยกล้วยหอมกับน้ำเปล่า

นี่ก็สูตรยอดฮิต เพราะทำง่ายได้ผลเร็ว และกล้วยหอมยังเป็นผลไม้มากคุณค่า เหมาะสำหรับสาวๆ ทุกวัย

How It Work เลิกกินมื้อเช้าตามใจปากอย่างที่เคยทำ แล้วหันมากินกล้วยหอม 2-3 ผลกับน้ำเปล่าหลายๆ แก้วแทนเมื่อเส้นใยในกล้วยหอมเจอกับน้ำเปล่า มันจะไปขยายตัวในท้องคุณ และช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ให้สะอาด สลายไขมันที่อุดตันอยู่ในเส้นเลือดออกมาจากนั้นก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง จะพยายามไม่กินอะไรอีกเลยยกเว้นกล้วยหอมกับน้ำเท่านั้น และระหว่างวันถ้าหิวแทนที่จะคว้าขนมนมเนยเข้าปากเหมือนเคย ก็พึ่งกล้วยหอมนี่แหละ

ความรู้เกี่ยวกับรถควันดำ

หลังจากที่กรุงเทพมหานครร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ทำการตรวจเชครถที่มีปริมาณเขม่าควันดำมาตลอดนั้น ทำให้จำนวนรถที่มีควันดำลดลงในปริมาณที่น่าพอใจ ซึ่งสาเหตุที่รถมีควันดำนั้นมีดังนี้


1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก เช่น ลูกสูบและกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด

2. ปั๊มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุดและทำงานไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง

3. หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด

4. กรองอากาศอุดตัน

5. น้ำมันเครื่องมีอายุการใช้งานมาก

6. เขม่าควันดำและฝุ่นละอองค้างอยู่ภายในท่อไอเสีย

วิธีแก้ไข

1. ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น เปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น

2. ทำการเชคปั๊ม โดยนำเข้าศูนย์บริการ ทำการปรับแต่งปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมันและเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งการปรับแต่งอัตราและจังหวะการฉีดน้ำมันให้ถูกต้องเป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด

3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบรูณ์

4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด

5. ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้องตามระยะเวลาที่เหมาะสม

6.ทำการล้างท่อไอเสียโดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่าและฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย

ข้อดีและข้อเสีย ของ Notebook แต่ละยี่ห้อ

Asus


ข้อดี: เด่นเรื่องการรับประกัน จะยาวนานกว่ายี่ห้ออื่น (รับประกัน 2 ปีทุกรุ่น ยี่ห้ออื่น 1 ปีครับ) จึงน่าวางใจกว่ายี่ห้ออื่น เพราะ Notebook หากเสียมักเปลี่ยนยก Board ค่าเปลี่ยนแพงมากๆ (หลักหมื่น)
เป็นผู้ผลิต Mainboard ชื่อดัง การออกแบบจัดวางอุปกรณ์ภายในทำได้ดี
ปัจจุบันได้เริ่มผลิต Notebook บางรุ่นที่มีความโดดเด่นเรื่องการ์ดจอ เช่น รุ่น F8SG
เป็นยี่ห้อที่มักนำ CPU รุ่นใหม่ๆ และ การ์ดจอรุ่นใหม่ๆ มาผลิตเป็น Notebook
มี Notebook หลากหลาย Spec และราคาให้เลือก ตั้งแต่รุ่น VX , รุ่น G
, ที่โดดเด่นทุกด้าน ราคานับแสนบาท ลงมาจนถึงรุ่น X80LE ราคาไม่ถึงสองหมื่น

ข้อด้อย: Optical Drive และ แกนพับจอในบางรุ่นในอดีตเสียง่าย แต่ปัจจุบันน่าจะได้รับการแก้ไขแล้ว

และ Chip set ที่ใช้ใน Mainboard Notebook บางรุ่นได้ลดต้นทุนนำ Chip set ของ SIS มาใช้แทน Chip set ของ Intel บอกไว้เผื่อบางคนอาจไม่ชอบ SIS

Acer

ข้อดี: เด่นเรื่อง Spec ต่อราคา และรูปทรง
คือถ้าราคาเท่ากัน ก็มักจะได้ Spec เครื่องที่สูงกว่า
หรือ Spec ที่เท่ากันจะราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
รูปทรงก็ดูสวยงาม โดนใจวัยรุ่น
จึงมียอดขายเป็นอันดับ 1 ในไทย
หลายคนที่ใช้หลักการซื้อแบบเทียบ Spec แล้วซื้อตัวที่ถูกกว่า
ก็จะได้ยี่ห้อนี้

ข้อด้อย: มักมีปัญหาที่หลากหลายหลังนำมาใช้ โดยเฉพาะเรื่องวัสดุที่นำมาผลิตประกอบเป็น Notebook ในรุ่นที่ราคาไม่สูงมักแตกหักง่าย ซึ่งทั้งหมดก็อาจจะเป็นเพราะราคาที่ถูกกว่ายี่ห้ออื่นก็เป็นได้

Toshiba

ข้อดี: เป็นยี่ห้อแรกๆ ที่ร่วมบุกเบิกการผลิต Notebook
เด่นเรื่องความทนทาน และความเสถียรของ Software ยี่ห้อนี้จึงมักขายพร้อม Windows ลิขสิทธิ์ (แม้ในรุ่นราคาถูก)
เมื่อก่อนเน้นขายตลาดบนราคาเฉียดแสน
ตอนนี้เปิดตลาดระดับล่างควบคู่กัน ด้วยราคา 2-3 หมื่นบาทก็มีขาย
เทียบ Spec. แล้วดูเหมือนจะแพง แต่ถ้าคิดราคา Software ลิขสิทธิ์แบบ OEM ราว 2-3 พันบาทก็จะพอๆ กับยี่ห้ออื่น

ข้อด้อย: Notebook ค่ายนี้จะไม่เน้นเรื่องการ์ดจอ จะใช้การ์ดจอรุ่นเทียบเท่า Onboard ทั่วไป เช่น GMA X3100 (ยกเว้นรุ่น Qosmio AV notebook, รุ่น M300 ในบางรุ่นย่อย, รุ่น A200 ในบางรุ่นย่อยที่ใช้การ์ดจอแยก)

Lenovo

ข้อดี: ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่สัญชาติจีน
มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 4 ของโลกรองจาก HP, Dell, Acer
เดิมเป็นผู้ผลิต Notebook และ PC ให้กับ IBM
ตอนหลังซื้อกิจการส่วน PC/Notebook มาทำตลาดเอง
เป็น Notebook ที่เน้นความทนทาน โดยเฉพาะรุ่น ThinkPad
ภายหลังออกเป็นรุ่น IdeaPad

ข้อด้อย: การออกแบบภายนอกยังคงมีรูปลักษณ์ที่รับมาจาก IBM มาก
รูปทรงอาจเชยๆ ไม่โดนใจวัยรุ่น

HP/Compaq (ค่ายเดียวกัน)

ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก
ส่วนแบ่งการตลาดมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของโลก
ทำตลาดระดับบนด้วย Notebook HP รุ่น Pavillion
ขายระดับล่างด้วยยี่ห้อ Compaq
เป็น Notebook ที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้งานได้ดีมากยี่ห้อหนึ่ง
โดดเด่นเรื่อง Chip เสียง และลำโพงในรุ่นราคาสูง
มีศูนย์บริการค่อนข้างครอบคลุมทั่วไทย
ส่วนรูปทรงการออกแบบเป็นอเมริกันจ๋า อาจไม่ค่อยโดนใจวัยรุ่นไทย
แต่ปัจจุบันก็ดูมีความโครงมนกลมกลืนสวยไม่แพ้ยี่ห้ออื่นถูกใจวัยรุ่นมากขึ้น
ยี่ห้อ Compaq ปัจจุบันถ้าออกแบบมาสำหรับติดตั้ง Windows Vista
หากผู้ใช้ต้องการเปลี่ยนเป็น Windows XP มักประสบปัญหาในการติดตั้ง
แต่ก็สามารถทำได้โดยใช้เทคนิคเล่นกับ BIOS
User อย่างเราๆ ก็เสี่ยงที่จะทำเองนะ
และ Driver ต่างๆ สำหรับ Notebook Compaq ถ้าเป็นรุ่นออกใหม่ๆ
อาจยังไม่ได้ลง Support ไว้ใน Web HP ก็อาจหายากในช่วงแรกหน่อย

BenQ

เคยเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ร่วมกับ Acer
ในต่างประเทศจะมีชื่อเสียงมาก่อนไทย
ในไทยพึ่งเริ่มเข้าทำตลาด ด้วย Notebook ที่เน้นเรื่องการ์ดจอ
เช่น รุ่น Joybook S41 ,S42
และการออกแบบภายนอกที่ค่อนข้างโดนใจวัยรุ่น
แต่หลายท่านจะบ่นเรื่องต้องรอนานเมื่อเคลมประกัน (บางชิ้น เช่น Mainboard ต้องสั่งจากนอก)
ซึ่งอาจจะเกิดจากการ Support/Service ยังไม่เข้าที่เข้าทางจากการเริ่มเข้าทำตลาดใหม่ๆ ในประเทศไทย

Sony

เป็น Notebook สัญชาติญี่ปุ่น
ที่เน้นทำตลาดระดับบนด้วยการออกแบบที่สวยงาม น้ำหนักเบา น่าใช้
เนื่องจากเป็น Notebook ที่สวย จึงอาจจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า
ก็ถือว่าเป็นยี่ห้อที่เน้นการผลิตเครื่องที่สวยงามลงตัวและเน้นผลิต Notebook ที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยยี่ห้อหนึ่ง
ทำให้ราคากสูงตามไปด้วย รวมทั้งอะไหล่ที่จะต้องซื้อแพงกว่ายี่ห้ออื่น
ช่วงหลังเปิดตลาดระดับกลางด้วย Notebook ระดับราคาประมาณ 4-5 หมื่นบาท
หากเน้นภาพลักษณ์/การออกแบบ/ประสิทธิภาพ ไม่เกี่ยงราคา
ก็ถือว่าน่าใช้มากๆ อีกยี่ห้อนึง

Fujitsu

เป็น Notebook สัญชาติญี่ปุ่นเช่นกัน
ใช้สีเทาเงินเป็นเอกลักษณ์
เป็น Notebook ที่จับตลาดระดับบนเช่นเดียวกับ Sony
ถ้าเป็นผู้ชาย หากมอง Notebook ที่เน้นภาพลักษณ์ ออกแบบดี ประสิทธิภาพสูง
ก็มักจะมองที่ยี่ห้อนี้ส่วนใหญ่
แต่ราคาและอะไหล่ก็จะสูงตามไปด้วย
ปัจจุบันก็แตก line มาผลิต Notebook ระดับราคากลางๆ (ประมาณ 3-4 หมื่นบาทขายด้วยแล้ว

Dell

เป็น Notebook ที่มีวิธีการจำหน่ายแบบแตกต่างจากยี่ห้ออื่น
ไม่มีขายตามร้านจำหน่ายทั่วไป ถ้าเห็นมีขายแสดงว่าร้านนั้นโทรฯ สั่งซื้อจาก Dell มาอีกที
ถ้าต้องการสั่งซื้อที่ร้าน(ที่ๆ ต้องการ)จะโทรฯ ติดต่อกับ Sale เพื่อกำหนด Spec ตามที่เราต้องการ
หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการผลิตและจัดส่ง
Notebook ของ Dell เด่นเรื่องความทนทานและการบริการ
ถ้าเครื่องมีปัญหาช่างจาก Dell จะให้บริการแบบ Onsite Service (บริการถึงบ้าน/สำนักงานในวันทำการถัดไป)

การสั่งซื้อลักษณะนี้หากเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ หรือผู้ใช้หลายๆ ท่านรวมกันสั่งซื้อคราวละมากๆ ราคาที่จะถูกกว่า Notebook ยี่ห้ออื่นที่ Spec ใกล้เคียงกันมากแต่การขายแบบนี้คนไทยเราไม่ค่อยคุ้นเคย

และไม่เห็นสินค้าก่อนการโอนจ่ายเงิน
ดังนั้นอาจได้เครื่องที่รูปทรงไม่ถูกใจได้
รวมทั้งเราต้องมีความรู้เรื่อง Spec อยู่บ้างในการสั่งซื้อ
หลายท่านไม่อยากสั่งซื้อเองจึงหาซื้อผ่านร้านค้า
จุดนี้ก็ให้ Check ระยะเวลารับประกันด้วย
โดยจด Service Tag แล้ว Check ที่ Web ของ Dell
เพราะถ้าเครื่องมาอยู่ที่ร้านนาน เราก็จะได้ระยะการประกันที่ลดลง
เพราะการรับประกันจะเริ่มต้นเมื่อร้านซื้อมา
และสุดท้ายยี่ห้อนี้ยังเคยเป็นอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว

SVOA ,Atec

เป็น Notebook ที่เรียกว่า Local Brand ได้เลย หรือเป็นยี่ห้อของไทยนั่นเอง

SVOA เป็นของบริษัทสหวิริยาโอเอซึ่งเดิมเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อ Acer เมื่อ Acer เป็นที่นิยมในไทยบริษัทแม่เลยเข้ามาทำตลาดเอง สหวิริยาโอเอจึงหันมาทำตลาดคอมพิวเตอร์ในชื่อของตนเองคือ SVOA

เป็น Notebook ที่เมื่อเทียบ Spec/ราคา ก็คล้ายๆ Acer คือ Spec เท่ากันราคาจะถูกกว่า หรือ งบเท่ากันจะได้ Spec ที่ดีกว่า เป็น Notebook ที่เน้นในเรื่องการออกแบบรูปลักษณ์
แต่ในการนำมาใช้งานก็เห็นผู้ใช้บ่นกันในเรื่องการบริการหลังการขายพอสมควร

Mac Book

จากค่าย Apple คอมพิวเตอร์ที่มีความโดดเด่นเรื่องการใช้งานด้าน Graphic
และการออกแบบที่ถือว่าอยู่ในขั้นเทพ
ผลิตภัณฑ์จากค่ายนี้การออกแบบจะใส่ใจทุกรายละเอียด
จึงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามลงตัว
สะดวกในการใช้งาน(ถ้าคุ้นเคยแล้ว)
ปัจจุบันได้ใช้ CPU จาก Intel ในผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถลง Windows ได้
หรือจะลง OS X Leopard กับ Windows ในเครื่องเดียวกันแล้วเลือก Boot ใช้ก็ได้
แต่ถ้าลง Windows บางท่านก็อาจจะมองว่าเป็นการเสียของ
เพราะประสิทธิภาพที่ได้จะสู้ Notebook ยี่ห้ออื่นที่ลง Windows ไม่ได้
ผู้ใช้ Mac Book จะดูภาพลักษณ์ดี ไวรัสไม่ค่อยกวนใจ ป้องกันไวรัสได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ

แต่ถ้าเครื่องมีปัญหาก็อาจมองหาผู้รู้ยากหน่อย รวมทั้งราคาก็ยังถือว่าสูงกว่า PC หรือ Notebook ยี่ห้ออื่นๆ อยู่บ้าง ก็แล้วแต่คนชอบ และสไตล์ของบุคคลนะ

เทคนิคบางส่วน ในการหากูเกิล

1. อัญประกาศ (เครื่องหมายคำพูด) ช่วยได้


เราสามารถใช้เครื่องหมาย "..." นี้เพื่อผลการค้นหาออกมาตามคำค้นหาที่เราใส่แบบเป๊ะๆ เช่น ถ้าเรา พิมพ์ Guitar Hero ก็จะมีเว็บที่กำกับคำเฉพาะว่า Guitar หรือ Hero ติดมาด้วย

แต่ถ้าเราใส่ "Guitar Hero" เท่านั้นแหละ มันจะมีแต่ชื่อเว็บ ที่มีคำว่า Guitar Hero เท่านั้นเลย...

2. ไม่อยากได้อะไร ก็ ลบ [-] มันไปซะ

เช่น ถ้าเรา ต้องการดาวน์โหลด Nod32 Antivirus แต่ไม่อยากได้ตัวทดลองใช้ (Trial) เราก็แค่ พิมพ์ใส่ในช่องค้นหาว่า download nod 32 antivirus -trial

(ลบ trial ด้วยเครื่องหมาย ซะอย่างนั้น)

3. หาคำเหมือน ไม่ยาก ด้วยตัวหนอน

เครื่องหมายตัวหนอนช่วยให้เราค้นหาคำที่พ้องความหมายได้ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราหาคำว่า ~citation ผลการค้นหาจะมีคำว่า Reference ซึ่งมีความหมายพ้องกันอยู่ด้วย

4. ไม่แน่ใจว่าอันไหน ใช้ OR ช่วยเลยครับ

ก็ใช้สำหรับการที่เราไม่แน่ใจอะไรบางอย่างแล้วอยากให้มีตัวเลือกเยอะๆ เช่น ถ้าผม เคยไปอ่าน tool เขียนเกมส์XNAแปลภาษาไทยที่เข้าใจง่ายๆจากเว็บๆนึง แต่จำไม่ได้ว่า เว็บไหน ระหว่าง XNAnoob หรือ XNAthai ผมก็ค้นหาโดยใช้คำว่า XNA OR xnanoob OR xnathai เท่านี้ กูเกิ้ลจะค้นหาคำว่า XNA รวมกับตัวเลือกที่ใส่ ประหยัดเวลาไปได้มากขึ้นเลย

5. ให้จุดจุด [..] ช่วยจำกัดช่วงเวลา

เช่น ผมต้อการทราบ ข้อมูลงาน Commart ระหว่างปี 2004 ถึง 2007 ผมก็พิมพ์ไปว่า Commart 2004..2007 แม้ผมจะไม่ได้พิมพ์ปี 2006 ลงไปแต่ก็จะมีผลการค้นหาของปีนั้นด้วย

6. ดอกจัน (*) ช่วยเติมเต็ม สิ่งที่ขาดหายไป

เวลาต้องการค้นหาอะไรสักกะอย่างแต่ไม่ยักกะนึกชื่อเต็มๆออก...นึกได้แค่ลางๆ ลองใส่เครื่องหมายดอกจัน(*) แทนที่คำไม่รู้สิครับ แล้วมันจะช่วยเติมเต็มรัก...เอ้ย...เติมคำที่หายไปให้ เช่น ผมอยากจัรู้ว่า แวน โก๊ะ เนี่ย เค้ามีชื่อนำว่าอะไร ผมก็พิมพ์ไปว่า [ * แวน โก๊ะ] ผลการค้นหาก็จะออกมาให้เห็น (วันไหนว่างๆ จะเอารูปมาลงนะครับ ช่วงนี้เอาเนื้อไปก่อน)

7. ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมก็หาความหมายได้ แค่ใช้ define:

อันนี้เป็นคำสั่งเพิ่มเติม (Extension) ตัวหนึ่งของกูเกิลซึ่งมีประโยชน์มากๆ แค่ใส่คำที่ต้องการหาความหมายตามหลัง define: เช่น ผมต้องการหาความหมายของคำว่า asshole (แปลว่าอะไรน้ออ) ผมก็พิมพ์ define: asshole ก็จะขึ้นคำแปลมาให้ พร้อมชื่ออื่นๆที่อาจจะเกี่ยวข้องกัน แต่...มันจะแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษนะครับ

20 ก.พ. 2553

เคล็ดลับสำหรับสาวชอบงีบ


เคล็ดลับสำหรับสาวชอบงีบ (สยามดารา)

สาว ๆ ที่ชอบง่วงตอนกลางวัน มาอ่านเคล็ดลับแก้ง่วงกัน แล้วอย่าลืมนำมาใช้นะคะ

1. พยายามทำงานที่ต้องใช้สมองให้เสร็จก่อนอาหารกลางวัน

เพราะคอร์ติโซล ซึ่งเป็นสารเคมีในร่างกาย ที่ช่วยให้มีสมาธิ และมีความตื่นตัว จะอยู่ในระดับสูงสุดของวันตอนก่อนเที่ยง

2. แอบงีบนิดนึง (ถ้าทำได้)

การหลับตาแม้เพียง 10 นาที ก็สามารถทำให้เพื่อน ๆ สดใสได้นะคะ ถ้าแอบงีบไม่ได้ ก็ออกไปเดินรับอากาศบริสุทธิ์ กระโดดตบซัก 50 ที หรือแปรงฟันด้วยยาสีฟันรสมิ้นท์ซาบซ่า เพราะกลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์น่ะ มีส่วนทำให้สดชื่นได้นะคะ

3. พึ่งพาคาเฟอีนซะหน่อย

กาแฟเพียง 1 ถ้วย อาจช่วยเร่งเครื่องให้เพื่อน ๆ ได้บ้าง แต่ถ้ามากจนเกินไปก็ จะทำให้รู้สึกใจสั่น กระวนกระวายค่ะ เพื่อน ๆ คงไม่อยากตาแข็ง ทั้ง ๆ ที่อยากจะนอนเต็มแก่หรอกนะคะ เก็บกาแฟเอาไว้เวลาที่ง่วงจริง ๆ ดีกว่า โดยเฉพาะหลังอาหารกลางวันมื้อใหญ่ค่ะ

4. อย่าทานของหวานแก้ง่วง
ของหวานทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ แต่ก็แค่ชั่วครู่นะคะ จากนั้นหลังจากระดับน้ำตาลในเลือดก็จะลดต่ำลง จนเพื่อน ๆ รู้สึกพร้อมจะทรุดฮวบลงได้ทุกเมื่อ วิธีแก้ไขก็คือ แบ่งทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ซัก 5 - 6 มื้อ

ปากแหว่ง-เพดานโหว เด็กอีสานน่าห่วงสุด



ภาวะ "ปากแหว่ง-เพดานโหว่" เป็นความพิการแต่กำเนิด เกิดขึ้นกับเด็กแต่แรกเกิด ซึ่งมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของเด็ก บิดามารดา-ผู้ปกครอง รวมถึงเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาติ ซึ่งความพิการทางร่างกายที่เห็นเด่นชัดคือ รูปร่างและเค้าโครงของใบหน้า การพูดไม่ชัด ภาวะแทรกซ้อนหูชั้นกลางอักเสบ การได้ยิน ระบบการกลืนอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับฟัน การสบฟัน การเจริญเติบโตช้า



เด็กพิการปากแหว่ง-เพดานโหว่ในไทยมีจำนวนมาก และจากการสำรวจ "ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคอีสาน"


"ภาวะปากแหว่ง-เพดานโหว่ เป็นความพิการแต่กำเนิด จากการสร้างอวัยวะใบหน้า ปาก จมูก ผิดปกติในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์ สาเหตุที่ทำให้ร่างกายสร้างอวัยวะไม่สมบูรณ์ อาจมาจากพันธุกรรม การดูแลระหว่างตั้งครรภ์ เกิดการติดเชื้อ และได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์"


...นี่เป็นการระบุของ ศ.นพ.บวรศิลป์ เชาวน์ชื่น ในฐานะประธาน "มูลนิธิตะวันฉาย" ซึ่งผู้เชี่ยวชาญรายนี้บอกอีกว่า... จากการรวบรวมสถิติผู้พิการปากแหว่ง-เพดานโหว่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน เมื่อปี 2536 พบผู้ป่วยมากถึง 2.5 รายต่อเด็กแรกเกิด 1,000 ราย

ถือเป็นสถิติสูงสุดในประเทศไทยและสูงที่สุดในโลก !!


เฉลี่ยแต่ละปี จะพบเด็กแรกเกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีภาวะปากแหว่ง-เพดานโหว่อัตราสูงถึง 800 รายต่อปี ซึ่งจุดที่น่าเป็นห่วงคือเด็กที่มีภาวะปากแหว่ง-เพดานโหว่ส่วนใหญ่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน


ศ.นพ.บวรศิลป์ บอกต่อไปว่า... แม้ว่าพัฒนาการด้านโภชนาการและการแพทย์จะเจริญรุดหน้าไปมาก แต่สถิติเด็กแรกเกิดที่มีภาวะปากแหว่ง-เพดานโหว่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ปัจจุบันกลับไม่ลดลง ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย เฉพาะที่มาขึ้นทะเบียนรักษากับมูลนิธิตะวันฉาย มีผู้ป่วยมากถึง 200-250 คนต่อปี ถึงขณะนี้มียอดผู้พิการปากแหว่ง-เพดานโหว่สะสมที่ต้องดูแลรักษามากกว่า 1,000 คนแล้ว ซึ่งนัยของจำนวนที่เพิ่มขึ้นนั้น อาจมาจากความสำเร็จของการเข้าถึงเด็กพิการ หรือสภาพปัญหาความพิการของเด็กไม่ได้ลดลง


ทั้งนี้ ความทุกข์ของเด็กพิการกลุ่มนี้ นอกจากสภาพใบหน้าที่ไม่เหมือนคนปกติแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านการสื่อสาร พูดไม่ชัด เสียงแหบ บกพร่องด้านการได้ยินหรือสูญเสียการได้ยินสิ้นเชิง ส่วนในช่องปากสภาพฟันมักขึ้นผิดปกติ หากไม่ได้รับการผ่าตัดรักษาที่ถูกต้องใบหน้าอาจยุบเมื่อโตขึ้น ปัจจัยเหล่านี้กระทบต่อจิตใจ เด็กมักถูกเพื่อนล้อ ขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต หรือการแสดงออกในสังคม


"การรักษาเด็กปากแหว่ง-เพดานโหว่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่องตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงอายุ 18 ปี ตามพัฒนาการของร่างกาย จากทีมสหวิทยาการ ทั้งศัลยแพทย์ ทันตแพทย์ นักแก้ไขการพูด นักแก้ไขการได้ยิน ฯลฯ เพื่อให้พัฒนาการร่างกายเด็กปกติเมื่อเติบโตขึ้น ส่วนใหญ่จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม อาทิ การผ่ากราม จัดฟัน ศัลยกรรมใบหน้า ผ่าตัดเพดานปาก" ...ประธานมูลนิธิตะวันฉายกล่าว


ด้าน รศ.ดร.เบญจมาศ พระธานี นักแก้ไขการพูด มูลนิธิตะวันฉาย เสริมข้อมูลว่า... การรักษาผู้ป่วยปากแหว่ง-เพดานโหว่แต่ละรายนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ซึ่ง "มูลนิธิตะวันฉาย" ได้ดำเนินการช่วยเหลือในเรื่องนี้ โดยเกิดขึ้นภายใต้โครงการพระราชทานตะวันฉาย ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546 จัดตั้งเป็น "กองทุนตะวันฉาย" กองทุนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวเด็กปากแหว่ง-เพดานโหว่ และความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า


มีการระดมทุนจากการบริจาคของทีมสหสาขาวิชาชีพ ผู้มีจิตศรัทธา จนจดทะเบียนตั้งมูลนิธิเป็นผลสำเร็จ ภายใต้ชื่อ "มูลนิธิ ตะวันฉาย เพื่อผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ และพิการทางศีรษะและใบหน้า" เมื่อ 12 ก.พ. ปี พ.ศ. 2552 วัตถุประสงค์คือเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพผู้ป่วยปากแหว่ง-เพดานโหว่ รวมทั้งสนับสนุนด้านการเรียนการสอน การศึกษาวิจัย อันเป็นประโยชน์ต่อการดูแลกลุ่มผู้ป่วยปากแหว่ง-เพดานโหว่ และพิการทางศีรษะและใบหน้า อย่างครบวงจร


"ทุนของมูลนิธินั้นมาจากการสนับสนุนของภาครัฐ รวม ทั้งการบริจาคจากประชาชน แต่จำนวนที่ได้รับเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลผู้พิการรายใหม่ปีละ 200-250 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนล่าสุดมียอดผู้ป่วยสะสมกว่า 1,000 ราย ยังไม่เพียงพอ ซึ่งผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเด็กปากแหว่ง-เพดานโหว่ สามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี มูลนิธิตะวันฉายฯ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น เลขที่บัญชี 551-412873-0 หรือสอบถามที่ โทร. 0-4336-3123 0-4336-3123, 08-1185-1511" ...รศ.ดร. เบญจมาศ ระบุและทิ้งท้ายว่า...

"การทำให้เด็กกลุ่มนี้เติบโต อย่างมีคุณภาพและใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ"


จากตัวเลข-สถิติที่ว่ามา...ต้องถือว่าน่าตกใจ-น่าเป็นห่วง และกับผลกระทบที่เกิดกับเด็ก...ก็ถือว่าน่าสงสารมาก...ก็ฝากไว้ให้ผู้ใหญ่ใจบุญช่วยพิจารณาช่วยเหลือด้วย

ชี้คนไทยเสี่ยงเป็นโรค กินดีอยู่ดี


ชี้คนไทยเสี่ยงเป็นโรค กินดีอยู่ดี (ข่าวสด)

 
น.พ.วินัย สวัสดิสวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า โรคเรื้อรังเป็นภัยเงียบที่คุกคามคนในสังคม และกำลังเป็นปัญหามากยิ่งขึ้นในประเทศของเรา ซึ่งประชาชนกำลังเผชิญกับโรคการกินดีอยู่ดี พบว่าผู้ใหญ่เกือบร้อยละ 30 หรือราว 15 ล้านคน มีรูปร่างท้วมและอ้วน ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชั้นประถมศึกษาที่เป็นอนาคตของชาติเกือบ 1 ใน 5 เป็นโรคอ้วน
โดยเด็กในเมืองอ้วนมากกว่าเด็กชนบทเกือบ 2 เท่า ซึ่งเด็กกรุงเทพฯ อ้วนมากถึงร้อยละ 25 น้ำหนักเกินและอ้วน ส่วนใหญ่เกิดจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม และออกกำลังที่ใช้แรงน้อย เป็นสาเหตุของเบาหวาน และความดันโลหิตสูง และยังเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง
ทางสปสช.ร่วมกับสธ.และภาคี เน้นให้มีการส่งเสริมสุขภา พและป้องกันรักษาโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง จัดตั้งกองทุนบริหารจัดการ เน้นบทบาทกองทุนสุขภาพท้องถิ่นเพื่อคัดกรองสุขภาพและคัดกรองโรคด้วย 

5 ซุปเปอร์ฟูดส์ที่สาว ๆ ขาดไม่ได้


วันนี้จัดเมนูสุขภาพมาฝากสาว ๆ เพื่อเอาไว้ดูแลสุขภาพ และป้องกันโรคเสี่ยงที่เป็นกันในหมู่ผู้หญิงเรา เมื่ออายุอานามมากขึ้น ไปดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง

1. โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และการติดเชื้อในช่องคลอด นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงป้องกันปัญหากระดูกพรุนได้ด้วย

กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

 
2. ปลาที่มีไขมัน ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี ซึ่งพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

 
3. ถั่ว ทั้งถั่วที่กินได้ทั้งฝัก เช่น ถั่วแขก ถั่วพู ถั่วฝักยาว และถั่วเมล็ดรูปไต เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง มีไฟเบอร์สูง มีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส ซึ่งช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม ที่สำคัญส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิง

 
กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

 
4. มะเขือเทศ แตงโม มีสารไลโคปีน ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทำให้ดูอ่อนเยาว์ เพราะช่วยป้องกันผิวไม่ให้ถูกรังสีอัลตร้าไวโอเลตทำลาย
กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

 
5. เบอร์รี่ เบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ มีแอนโตไซแอนส์ (anthocyans) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกายของเรา นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งระบบทางเดินอาหาร

 
กินมากแค่ไหน รับประทานสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

 
อยากเป็นสาวสวยสุขภาพดี ต้องดูแลตั้งแต่วันนี้นะคะ

19 ก.พ. 2553

"ม.เกษตร" ขึ้นเบอร์ 1 มหาวิทยาลัยไทย โดยเว็บไซต์ Webometrics

"ม.เกษตร" ขึ้นเบอร์ 1 มหาวิทยาลัยไทย โดยเว็บไซต์ Webometrics
หน้าแรกของเว็บไซต์ Harvard University

*มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ผงาดขึ้นอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกบนเว็บ โดยเว็บไซต์ Webometrics ขณะที่ มอ. ม.มหิดล จุฬาฯ มช. ยังติดอันดับ Top 50 ระดับเอเชีย*

การจัดอันดับมหาวิทยาลัย กว่า 8,000 แห่งทั่วโลก โดยเว็บไซต์

Webometrics (Webometrics Ranking of World Universities)

เป็นการพิจารณาจากจำนวนลิงค์
ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บนั้นๆจากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วยเสิร์จเอ็นจิ­น
และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในกลุ่มของไฟล์ .pdf .ps .ppt และ .doc
และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citation) แบบออนไลน์ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar)

โดยการจัดอันดับล่าสุดที่ Webometrics ประกาศออกมาต้นปี 2553 นี้ *อันดับ
1 - 10 ระดับโลก* ตกเป็นของสถาบันการศึกษาจากแดนอินทรี สหรัฐอเมริกาทั้งหมด
ได้แก่

1 Harvard University
2 Massachusetts Institute of Technology
3 Stanford University
4 University of California Berkeley
5 Cornell University
6 University of Washington
7 University of Minnesota
8 Johns Hopkins University
9 University of Michigan
10 University of Wisconsin Madison

University of Tokyo เบอร์หนึ่งของเอเชีย *ส่วนอันดับ Top 10 ของเอเชีย*

ได้แก่

1 University of Tokyo ญี่ปุ่น
2 Kyoto University ญี่ปุ่น
3 National Taiwan University ไต้หวัน
4 University of Hong Kong ฮ่องกง
5 Chinese University of Hong Kong ฮ่องกง
6 Hebrew University of Jerusalem อิสราเอล
7 Keio University ญี่ปุ่น
8 National University of Singapore สิงคโปร์
9 National Chiao Tung University ไต้หวัน
10 Nagoya University ญี่ปุ่น

*ส่วนมหาวิทยาลัยไทยที่ติด 50 อันดับแรกระดับเอเชีย ได้แก่*
*มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อันดับที่ 22*
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อันดับที่ 33
มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 34
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 37
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันดับที่ 49

นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่ยังติดอันดับ 66 และ 84 ตามลำดับ

ด้าน* รศ. วุฒิชัย กปิลกาญจน์* อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เผยว่า ผลการจัดอันดับดังกล่าว
นับเป็นภาพสะท้อนความสำเร็จร่วมกันทั้งนิสิต คณาจารย์
และบุคลากรทุกภาคส่วนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงการเสริมภาพลักษณ์
ของมหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในความสำเร็จของการก้าวสู่การเป็น มหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำแห่งภูมิภาคต่อไป

10 วิกฤตชีวิตที่ไม่ควรออกเดท

*การออกเดทคือการทำความรู้จักกับคนใหม่ในเชิงชู้สาว

ดังนั้นเพื่อไม่ให้การเดทต้องล่มทั้งที่ควรจะเวิร์ค
ก็ควรหลีกเลี่ยงหากชีวิตกำลังเกิดวิกฤตดังต่อไปนี้*

*1.ตกงาน*

มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ทุกคนต้องการอยู่สองอย่างคือ งานกับความรัก
ซึ่งจริงๆแล้วในระยะยาวการหางานทำมักง่ายกว่าการค้นหาความรัก ดังนั้นอย่าคิดว่า
ว้าว ตกงานแล้วฉันจะได้มีเวลาออกเดทมากขึ้น สิ่งที่ควรโฟกัสเป็นอย่างแรกคือ
ใช้เวลาและพลังงานมาสร้างความมั่นคงให้ตัวเองด้วยการมุ่งมั่นหางานใหม่
เพราะเงินเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต การตกงานทำให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง
และการออกเดทจะเวิร์คสุดๆก็ต่อเมื่อทั้งคู่มั่นคง มั่นใจและมีความสุข

*2.ไม่มีที่อยู่*

น่าแปลกใจที่เดี๋ยวนี้คนมัก ย้ายมาอยู่ด้วยกันทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน
เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพิ่งถูกไล่ที่หรือสูญเสียที่พักด้วยเหตุผลบางอย่าง
ซึ่งไม่ใช่เหตุผลที่เข้าท่านัก ความจำเป็น
ไม่ใช่พื้นฐานที่ดีสำหรับความสัมพันธ์แบบระยะยาว
การตัดสินใจย้ายมาอยู่กับคนอื่นเป็นเรื่องซีเรียส ไม่ควรตัดสินใจแบบฉาบฉวย
และไม่ควรทำเพราะจำเป็นต้องหาที่ซุกหัวนอน
ทางที่ดีลองหาอพาร์ทเม้นต์หรือรูมเมทแล้วลืมเรื่องเดทไปสักพักจนกว่าจะหา
บ้านเป็นหลักแหล่งได้ เพราะบ้านเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญ
เหมือนเป้นที่หลบภัยจากโลกภายนอก การไม่มีบ้านจะทำให้เครียดได้

*3.เสียเพื่อน*

มิตรภาพต่างจากการออกเดทอย่างแน่ นอนที่สุด
การเสียเพื่อนไปไม่ว่าแบบไหนย่อมมีผลกระทบต่อการเดท
ถ้าเพื่อนย้ายไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ลองไปหางานอดิเรกทำเพื่อให้ยุ่งเข้าไว้
และเจอคนหน้าใหม่บ้าง
ถ้าดูดีเข้าท่าเข้าทางก็จะได้จัดการอัพเกรดเป็นเพื่อนกันไป
หรือไม่ก็เขียนจดหมายหรือส่งอีเมล์ไปคุยกับเพื่อน
ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไม่ให้ขาดหายกันไป

*4.พ่อแม่เสียชีวิต*

หนึ่งในโศกนาฏกรรมชีวิตที่ ทุกคนต้องเจอคือการสูญเสียบุพการี
ทำให้เรากลายเป็นกำพร้าไม่ว่าจะอายุแก่หงำเหงือกแค่ไหนก็ตาม
ซึ่งจะสร้างความรู้สึกโศกเศร้าหดหู่ให้กับชีวิตไปช่วงเวลาหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่เป็นส่วนสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการออกเดทมาก
เพราะท่านทั้งสองเป็นบุคคลแรกๆในชีวิต
และอาจเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดซึ่งทำให้เราเรียนรู้การเป็นผู้หญิงหรือ ผู้ชาย
เราเรียนรู้ด้วยการมองดูการกระทำของพ่อแม่และเลียนแบบ
การสูญเสียท่านจึงต้องเยียวยาให้หายดีเสียก่อนจะออกไปสานสัมพันธ์กับมนุษย์
อื่นต่อไป

*5.หมาตาย *

ไม่ว่าจะเป็นแมว นกแก้ว ปลา หรือสัตว์เลี้ยงใดๆ
ตามหลักจิตวิทยาถือว่าสัตว์เลี้ยงคือวัตถุทางความรัก
เราทั้งกอดทั้งโอบอุ้มเลี้ยงดูมัน แต่การรับมือกับสัตว์เลี้ยงแตกต่างกับคน
(ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่ต้องดูแลมากแค่ไหน สิ่งที่มันทำไม่ได้ก็คือพูดคุย
เหน็บแนม สอพลอ โต้เถียงกับเรา หรือไปบ่นกับแม่เราว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)
อย่านำมาปนกันให้สับสนค่ะ

*6.สับสนชีวิต *

ถ้ารู้สึกว่าชีวิตกำลังสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครหรือต้องการอะไร
แถมยังมีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่อยากซ่อนเอาไว้
และหนึ่งในวิธีซ่อนที่ดีที่สุดคือจับตัวเองเข้าไปอยู่ในชีวิตคนอื่น
ปัญหาก็คือไม่ว่าช้าหรือเร็วเราก็ต้องเอาชีวิตตัวเองกลับคืนมาอยู่ดี
เพราะฉะนั้นจัดการกับชีวิตตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อนค่อยเริ่มเกี่ยวพันกับ
คนอื่น

*7.แต่งงานแล้ว*

จริงๆแล้วข้อนี้ไม่เห็นต้องบอก เลยนิ
คนแต่งงานแล้วและมีคู่เป็นตัวเป็นตนจะออกเดทได้อย่างไร ถ้าอยากเดทก็อย่าแต่งงาน
และถ้าแต่งงานแล้วก็จัดการกับชีวิตคู่ของตัวเองซะ
ถ้าไม่ไหวจริงๆก็แยกทางกันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
อย่าไปลากคนอื่นมาเดือดร้อนเลยค่ะ
ในทางตรงกันข้ามถ้ายังโสดอยู่ก็อย่าไปยุ่งกับคนแต่งงานแล้ว
อย่าไปเสียเวลากับคนที่ไม่ซื่อสัตย์กับคู่ของตัวเองดีกว่า
คนที่แต่งงานแล้วก็แค่มาทำเฟลิร์ทเรี่ยราดแก้เซ็ง อย่าไปยุ่งด้วยเป็นดีที่สุด

* 8.ยังคบกับใครอยู่*

สิ่งที่ไม่ควรทำคือเดทกับคน หนึ่งโดยที่ยังคาราคาซังอยู่กับอีกคน
จริงๆแล้วการเดทหลายคนในเวลาเดียวกันก็ทำได้ถ้าไม่โกหกกัน
แต่ก็ทำได้แค่เฉพาะช่วงแรก เพราะพอถึงจุดหนึ่งก็ต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่ง
และเลิกกับคนที่เหลือ ไม่มีใครเดททีละหลายคนได้ตลอดไป
และคนพวกนั้นก็จะไม่ยอมเป็นช๊อยส์ให้เลือกอยู่แบบนี้ตลอดไปเช่นกัน

*9.แยกกันอยู่*

การแยกกันอยู่ก็ยังหมายความว่า แต่งงานแล้วนั่นละ
ยังไงก็ยังค้างคากันอยู่นั่นเอง
การเดินออกไปจากความสัมพันธ์ที่อยู่กันมานานเป็นเรื่องยากมาก
แต่การใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือช่วยเยียวยาความรู้สึกทางอารมณ์นั้นไม่เวิร์ค
หรอกค่ะ แถมยังเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักและไม่ยุติธรรมต่อคนๆนั้นเลย

* 10.หย่าร้างไม่ถึงหนึ่งปี*

ถึงแม้ว่าแยกกันอยู่ และตัดใจเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็ยังต้องใช้เวลาเยียวยาเรื่องนี้อยู่ดี
เพราะอาการหวนคิดคำนึงถึงความทรงจำเก่าๆมักผุดโผล่ขึ้นมาเป็นระยะ
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดอารมณ์และความรู้สึกพวกนี้ไม่ให้กำเริบซ้ำ
ซากก็คือหลังหย่าร้างควรรอเวลาสัก 1 ปีแล้วค่อยเริ่มต้นเดทอีกครั้ง
เวลาหนึ่งปีจะทำให้เรารู้ว่าควรทำอะไรให้ตัวเองได้บ้าง
และความผิดพลาดที่ผ่านมาเกิดจากอะไร จะได้เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก
การงดเดทหนึ่งปีไม่ได้หมายความว่าต้องกักบริเวณตัวเองอยู่กับบ้าน
เราสามารถออกไปเที่ยวกับเพื่อนเพศเดียวกันได้ ไปทำงาน ออกกำลังกาย
เข้าคอร์สอะไรสักอย่าง เข้าสัมมนาหรือกิจกรรมสาระพัด
นี่คือเวลาที่เราสามารถลงทุนเพื่ออนาคต และเมื่อเวลาหนึ่งปีผ่านพ้นไป
ความมั่นใจในตัวเองและสมดุลชีวิตก็จะกลับคืนมา ชีวิตจะสดใสปิ๊งปั๊งอีกครั้ง.

การคิดเลขในใจเป็นสิ่งสำคัญ จำเป็นและมีประโยชน์ในการเรียนคณิตศาสตร์

*การคิดเลขในใจ *(Mental Math หรือ Figuring in You head) นั้นเป็นสิ่งสำคัญ

จำเป็น และมีประโยชน์ในการเรียนคณิตศาสตร์
การฝึกคิดเลขในใจนั้นควรฝึกทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
แล้วก็จะช่วยส่งผลต่อการเรียนคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษา
และหากนักเรียนมีทักษะการคิดเลขในใจในระดับมัธยมศึกษาแล้วก็จะช่วยส่งผลต่อการเ­รียนชั้นระดับอุดมศึกษาเช่นกันอย่างแน่นอน

การจัดกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกคิดเลขในใจนั้น
ควรจัดผสมผสานไปในกระบวนการเรียนการสอน
และกระบวนการคิดทางคณิตศาสตร์การคิดเลขในใจเป็นการคิดเลขที่ไม่ใช้เครื่องช่วย
เช่น กระดาษ ดินสอ เครื่องคิดเลข เป็นการฝึกคิดเลขในหัว Jack A. Hope, Larry
leutzinger,Barbara J.Reys และ Robert E.Reys เชื่อว่า
การคิดเลขในใจจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ดังนี้

1. การคิดเลขในใจจะช่วยให้นักเรียนแก่ปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น (Calculation in
your head is a practical life skill)

โจทย์ปัญหาการคิดคำนวณในชีวิตประจำวันหลายต่อหลายแบบนั้นสามารถหาคำตอบได้โดยกา­รคิดในใจ
เพราะในความเป็นจริงขณะที่เราพบปัญหา เราอาจจะต้องการทราบคำตอบเดี๋ยวนั้นเลย
การคิดหาคำตอบต้องทำในหัว ไม่ใช้กระดาษ คินสอหรือเครื่องคิดเลขยกตัวอย่าง เช่น
ขณะที่เรากำลังออกเดินทางจากสนามบินแห่งหนึ่ง departure board ระบุว่า Flight
ที่เราจะออกเดินทางคือ 15.35 น. เรามองดูนาฬิกาว่าขณะนั้นเป็นเวลา 14.49 น.
ถามว่ามีเวลาเหลือเท่าไร ? เรามีเวลาเหลือพอที่จะหาอะไรทานไหม ?
ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องคิดคำนวณในใจเลยซึ่งถ้าเราฝึกทักษะคิดเลขในใจมาประจำก็­จะช่วยให้เราแก้ปัญหาดังกล่าวได้ง่ายขึ้น

2. การฝึกคิดเลขในใจจะช่วยให้นักเรียนเขียนแสดงวิธีทำได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
(Skill at mental math can make written computaion easier or quicker)

เช่นในการหาคำตอบของ 1,000 x 945 นักเรียนบางคนอาจเขียนแสดงการหาคำตอบดังนี้
ในขณะที่นักเรียนซึ่งฝึกคิดลขในใจมาเป็นประจำสามารถหาคำตอบได้ในหัวข้อแล้ว
และลดขั้นตอนการเขียนแสดงวธีทำเหลือแค่บรรทัดเดียวคือ 1,000 x 945 = 945,000
เช่นเดียวกับการหาคำตอบของโจทย์ข้อนี้

นักเรียนสามารถคิดในใจได้คำตอบ
ถูกต้องแม่นยำและรวดเร็วโดยบวกจำนวนสองจำนวนที่ครบสิบก่อนแล้วจึงบวกกับจำนวนที­่เหลือ
(10 +10+ 10+ 2 = 32) ในขณะที่นักเรียนบางคนอาจใช้วิธีบวกทีละขั้นตอน
ซึ่งกว่าจะได้คำตอบก็อาจใช้เวลามากกว่า

3. การคิดเลขในใจจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการประมาณ (Proficiency in
mental math contributes to increased skill in estimation)

ทักษะการประมาณเป็นเรื่องที่สำคัญในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในปัจจุบันเพราะกา­รประมาณจะช่วยในการตรวจสอบคำตอบว่าน่าจะเป็นไปได้ไหม
สามเหตุสมผลไหม (make any sence ) เช่น เป็นไปได้ไหมที่คำตอบของ 400x198
จะมากกว่า 80,000 (ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะว่า 400 x 200 = 80,000)

4. การคิดเลขในใจจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีขึ้น คือ

ค่าประจำหลัก การกระทำทางคณิตศาสตร์และสมบัติต่าง ๆ ของจำนวน (Mental
calculator can lead to a better understanding of place value, mathematical
operations, and basic number properties)
ทั่งนี้เพราะหากนักเรียนสามารถหาคำตอบได้จากการคิดเลขในใจนั้นก็แสดงว่า
นักเรียนต้องมีความเข้าใจในความคิดรวบยอดหลักการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับจำนวนเป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน

ครูควรให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดคิดเลขในใจหลังจากที่นักเรียนเข้าใจในหลักการและว­ิธีการแล้วการฝึกคิดเลขในใจจะช่วยให้นักเรียนมีทักษะ
ความชำนาญในการคิดเลขได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ
และรวดเร็วนอกจากนี้ยังช่วยลับสมองให้ตื่นตัวตลอดเวลาในการเรียนการสอนคณิตศาสต­ร์ครูควรหาแบบฝึกหัดมาให้นักเรียนทำทั้งที่เป็นแบบฝึกหักสำหรับคิดเลขในใจปะปนอ­ยู่ด้วยตลอดเวลา

ในหนังสือเรียนคณิตศาสตร์บางครั้งจะเสนอแบบฝึกหัดให้นักเรียนตอบด้วยวาจา
นั่นก็เป็นรูปแบบหนึ่งของแบบฝึกหัดที่ต้องการให้นักเรียนฝึกคิดเลขในใจ

โปรดระลึกว่าการฝึกคิดเลขในใจนั้นควรให้นักเรียนได้ฝึกเป็นประจำทึกวันอย่างสม่­ำเสมอทำวันละน้อยแต่ต่อเนื่องและควรทำกับนักเรียนทุกระดับตั้งแต่ประถมศึกษาจนถ­ึงมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
หากครูผู้สอนคณิตศาสตร์ทุกคนได้ฝึกให้นักเรียนได้รู้จักคิดเลขในใจเป็นประจำก็เ­ชื่อได้ว่านักเรียนจะมีทักษะการบวกลบคุณหารดีขึ้นคิดได้ถูกต้อง
แม่นยำและรวดเร็วขึ้นภาพลักษณ์ของเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 อาจเป็น "
เด็กไทยคิดเลขเก่งและเร็วกว่าเครื่องคิดเลข" ก็ได้

17 ก.พ. 2553

กูเกิ้ลส่ง "บัซ" ท้าชน"เฟซบุ๊ก"

ในที่สุด ค่าย "กูเกิ้ล" ยักษ์ใหญ่วงการไอทีโลก

เจ้าของเว็บเสิร์ชเอ็นจิ้นหมายเลข 1 "กูเกิ้ล ดอตคอม"
ก็จำเป็นต้องกระโดดเข้าร่วมชิงส่วนแบ่งในตลาดเว็บดังกล่าวด้วย
โดยเพิ่งเปิดตัวบริการเว็บสังคมออนไลน์ใหม่ล่าสุด ในนาม "บัซ" (Buzz)
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และใช้กลยุทธ์ "พ่วง" หรือติดโปรแกรมบัซเข้ากับฟรีอีเมล์
"จีเมล์" ของกูเกิ้ล

สำหรับคุณสมบัติของบัซในเบื้องต้นก็เข้าสูตรสำเร็จเว็บสังคมออนไลน์ทั่วๆ
ไปนั่นคือ มีฟังก์ชันคอยแบ่งปัน-ติดตาม "ความเคลื่อนไหว" ของ "เพื่อนๆ"
ในกลุ่มทั้งรูปแบบไฟล์ภาพ คลิปวิดีโอ รวมถึงไฟล์ดิจิตอลประเภทอื่นๆ

นอกจากนั้น
ยังออกแบบให้สมาชิกสามารถอัพเดตข้อมูล-ความเคลื่อนไหวส่วนตนผ่านโทรศัพท์มือ ถือ
"สมาร์ทโฟน" ได้เช่นเดียวกับเฟซบุ๊ก

พร้อมกับมีฟังก์ชัน "Pull In" หรือดึงข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นๆ
เข้ามาแสดงในบัซได้ด้วย อาทิ เว็บพิคาซ่า, ทวิตเตอร์, ฟลิกเกอร์,
กูเกิ้ลรีดเดอร์

แต่งานนี้เนื่องจากผู้บริหารกูเกิ้ลกะส่งบัซลงมา "ชน" กับเฟซบุ๊กเต็มที่
เราจึงไม่เห็นระบบการ "ซิงก์" หรือ Pull In ข้อมูลระหว่างบัซกับเฟซบุ๊ก
อย่างไรก็ตาม ระยะยาวต้องจับตาดูกันต่อไปว่า บัซจะเป็นผู้ท้าชิงที่มีศักย
ภาพมากแค่ไหน

เพราะปัจจุบันยอดสมาชิกแอ๊กทีฟ ยูสเซอร์ (ใช้งานเป็นประจำ)
ของฝั่งเฟซบุ๊กนั้นพุ่งทะลุหลัก 400 ล้านบัญชีทั่วโลกไปแล้ว
ขณะที่ฝั่งจีเมล์ตามหลังอยู่ที่ 176 ล้านบัญชี

คำถามใหญ่ก็คือ จะมีประชากรเฟซบุ๊กกี่ราย มากน้อยเท่าใด
ที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้บัซแทนที่?

อีกปัญหาที่บัซต้องเตรียมรับมือให้ดี ได้แก่
กระแสข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วยุทธจักรไอทีสหรัฐอเมริกา ว่า
ขณะนี้เฟซบุ๊กกำลังซุ่มพัฒนาโปรเจ็กต์ "ไทรทัน" มีแผนเปิดให้บริการฟรีอีเมล์ @
facebook.com เป็นของตัวเองเช่นกัน
ไม่ได้นั่งกระดิกเท้าให้กูเกิ้ลรุกฝ่ายเดียว!

~~เรื่องต้องรู้ของเพศชาย~~

- นมและก้นของผู้หญิง คือสิ่งที่เรียกว่า Sexy


- หนังโป๊ คือ ปัจจัย 5 ของผู้ชาย (บางคนอาจเป็น 4 หรือ 3)

- ถ้าหนุ่มๆ รวมกลุ่มคุยกัน ให้สันนิษฐานได้เลยว่า นินทาเรื่องผู้หญิงอยู่

- ชอบอวดกับเพื่อนๆ ว่า ได้แอ้มใครบ้าง (ไม่ดีๆ)

- ได้จับมือ แล้วจะลามไปจุดอื่น เข้ากับสำนวนที่ว่า ได้คืบจะเอาศอก

- เห็นผู้หญิงคนอื่น สวยกว่าแฟนตัวเองเสมอ

- หาเรื่องแต๊ะอั๋งเมื่อมีโอกาส

- ชอบวิจารณ์แฟนตัวเอง

- เมื่อก่อนการจูบเป็นการแสดงความรักขั้นพื้นฐาน

เดี๋ยวนี้ การมีเพศสัมพันธ์จะเป็นการแสดงความรักขั้นพื้นฐาน

- การโกหกเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต

- สาวอายุเยอะกว่า เป็นสิ่งท้าทาย

- สาวอายุน้อยกว่า เป็นหมูในอวย

- สาวอายุเท่ากัน เป็นเพื่อนกันดีกว่า

- ขาว สวย หมวย อึ๋ม คือปรัชญาการใช้ชีวิต*

- อ้วน คล้ำ ดำ เตี้ย คือข้อห้ามขั้นสูงสุด

- รถไฟชนกัน เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

- ชอบปฏิบัติมากกว่าทฤษฎีในวิชาเพศศึกษา

- ชอบตดและเรอแข่งกันกับเพื่อน

- ไม่ชอบพับผ้าห่มและที่นอน

- ชอบดูหนังบู๊

- เกลียดหนังรัก

- แต่ตอนเพิ่งคบกัน ชอบชวนไปดูหนังสยองขวัญ

- สูบบุหรี่เพราะคิดว่าเท่ (สาวที่ไหนบอกมันวะ)

- อวดเก่งต่อหน้าผู้หญิงเป็นประจำ

หน้าแตกกลับมาทุกครั้ง

- การใช้กำลังเป็นสิ่งที่มัดใจสาวๆ เช่น เตะหมาโชว์ เป็นต้น

- ชอบแอบมองผู้หญิงอื่น เวลาโดนจับได้ ก็จะวิจารณ์เค้า (เอากะมันดิ)

- นอนตื่นสายไม่ทันดูหนังจักรๆ วงศ์ๆ

- ฉลาดในเรื่องโง่ๆ

- คนอื่นมองแฟนตัวเองไม่ได้

- ตัวเองมองแฟนคนอื่นได้

- สุดท้าย ถ้าอ่านแล้ว ข้อไหนตรงกับตัวเอง จะไม่ยอมรับความจริง (ตลอดอ่ะ ตลอด)

15 ก.พ. 2553

อาหารเช้าช่วยลดความอ้วน และบำรุงหัวใจ



ดร.สิติมา จิตตินันทน์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัย มหิดล เน้นถึงอาหารเช้าว่า มีความสำคัญต่อสุขภาพและช่วยลดความอ้วนได้ เพราะกลไกของร่างกายควบคุมปริมาณการกินในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น




ถ้าอดอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะร่างกายอดอาหารมาประมาณ 10-12 ชม. กว่าจะถึงมื้อเช้า ดังนั้น หากงดอาหารเช้า จะทำให้แนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น จนเป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วน



นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 ยังพบว่าการกินอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจด้วย

กินยาลดไขมันในเลือดสูง ส่งผลไขมันพอกตับ

แพทย์เตือนผู้มีไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ต้องปรับพฤติกรรมการบริโภค กินยาลดไขมันอย่างเดียว อาจมีผลข้างเคียงเกิดภาวะไขมันพอกตับ เนื่องจากยากดการทำงานของตับไม่ให้ผลิตคอเลสเตอรอล เกิดภาวะตับสำลักไขมัน

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์แผนปัจจุบันที่สนใจศึกษาการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ปัจจุบันมีคนไทยไม่น้อยที่มีระดับไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล คนส่วนใหญ่เอาแต่กินยาลดไขมันในเลือด โดยไม่สนใจปรับพฤติกรรมการบริโภค ยังรับประทานอาหารไขมันสูง โดยไม่รู้ว่ายาลดไขมันในเลือด จะเข้าไปกดการทำงานของตับไม่ให้สร้างไขมันคอเลสเตอรอลออกมา จนเกิดภาวะ "ตับสำลักไขมัน" หรือไขมันเกาะตับจากการกินอาหารที่มีไขมันล้นเกิน
นพ.บรรจบ กล่าวด้วยว่า การบริโภคที่ไม่เหมาะสมทำให้คนไทยอ้วน เช่นการดื่มนมวัว ทำให้ได้รับไขมันคอเลสเตอรอลจากนมวัว เกิดเป็นไขมันในเลือดสูง จึงควรดื่มนมถั่วเหลืองจะมีผลดีต่อสุขภาพมากกว่า
คนส่วนใหญ่รับประทานน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก เพราะต้องการลดคอเลสเตอรอล แล้วทำไมจึงดื่มนมเอาไขมันคอเลสเตอรอลใส่ตัว นอกจากนั้นยังพบว่า การดื่มเบียร์ไทย 1 กระป๋อง ได้พลังงานเท่ากับการรับประทานไขมัน 2 ช้อนโต๊ะครึ่ง ไขมันที่ล้นเกิน จึงไม่แปลกใจที่คนดื่มเบียร์จะอ้วนฉุ เตือนประชาชนให้ตระหนักถึงการรับประทานอาหารที่เหมาะสมด้วย

มหัศจรรย์อาหารเพิ่มเสน่ห์ ให้สาวโสดได้ลุ้นรัก



ช่วงเทศกาลแห่งความรักทีไร คนมักจะพูดถึงแต่อาหาร เพิ่มพลังรัก กระตุ้นความเสน่หา ลองนึกถึงหัวอกคนเป็นโสดดูสิ จะรู้สึกเซ็งหัวใจขนาดไหน วาเลนไทน์ปีนี้ขอเปลี่ยนมุมมองใหม่ มาค้นหาอาหารเพิ่มแรงดึงดูดเติมความมั่นใจ สำหรับสาวโสดกันบ้าง...อาหารเหล่านี้ล้วนแต่อุดมด้วยคุณค่าของสารอาหาร ที่จำเป็นต่อการหว่านเสน่ห์ทั้งนั้น

โฮลวีท
ทราบหรือไม่คะว่า ธัญพืชไม่ผ่านการขัดสีในขนมปังโฮลวีท รวมถึงอาหาร ผสมธัญพืช ข้าวกล้อง และซีเรียล อุดมไปด้วยธาตุซิลิเนียม ซึ่งช่วยบรรเทาอาการกระวน กระวายใจ และความหงอยเหงา (เพราะขาดรัก!!) โดยผลการวิจัย ด้านโภชนาการระบุว่า การทานโฮลวีทอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงจิตตก อารมณ์ไม่ดี จะช่วยให้คลายความกังวลใจ และรู้สึกมั่นอกมั่นใจขึ้นมาก แถมยังกระตือรือร้น และเข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้นด้วย


 


กล้วยหอม
สาว ๆ วัย 30-40 อัพที่ยังครองตัวเป็นโสด ไม่มีวี่แววจะลงจากคาน น่าจะลองทานกล้วยหอมดูบ้าง เพื่อกระตุ้นให้อารมณ์เบิกบานแจ่มใส ชวนให้หนุ่ม ๆ เข้ามาจีบ ในกล้วยหอม อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ซึ่งช่วยป้องกันอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดในช่วงก่อนมีประจำเดือน และยังมีทริปโตฟานช่วยขจัดอาการซึมเศร้า ผ่อนคลายความกังวลใจ และแก้ปัญหานอนไม่หลับ
ไก่
การทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายจากความตื่นกลัว มีอยู่หลายวิธี และหนึ่งในนั้นก็คือ การใช้พลังบำบัดจากอาหาร โดยนักโภชนาการค้นพบว่า หากต้องการให้ร่างกายตื่นตัวและคลายความกังวลใจ ควรเลือกทานเมนูแซนด์วิชไก่ขนมปังโฮลวีท เนื่องจากโปรตีนในไก่จะช่วยผลิตสารโดปามีนและนอเรพิเนไฟรน์ ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับความตื่นตัว ขณะเดียวกัน ไก่ยังมีปริมาณของทริปโตฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ที่ช่วยเพิ่มระดับของสารเซเรโทนินในสมอง ช่วยลดอาการหวาดระแวงกลัวขึ้นคาน!!
นม
การดื่มนมไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างกระดูก แต่คุณค่าของแคลเซียมยังมีส่วนในการผ่อนคลายเส้นเลือด และปรับความตึงเครียด ทำให้เส้นเลือดสามารถต้านทานผลกระทบจากฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอล และอะดรีนาลินได้ดี ถ้าวันไหนนอนไม่หลับ หรือรู้สึกเครียดไม่สบายใจ แค่ดื่มนมอุ่น ๆ สักแก้ว ก่อนเข้านอน จะช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบายขึ้น ส่วนใครที่ชอบง่วงนอนตอนบ่าย ๆ ลองดื่มนมเย็น ๆ สักแก้วช่วงอาหารกลางวัน แล้วคุณจะรู้สึกดี๊ด๊าสดชื่นขึ้นทันตาเห็น





ทับทิม
ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นผลไม้ชะลอความแก่ คืนความอ่อนเยาว์ จึงน่าจะถูกใจเหล่าสาวโสด ประเภทรถไฟขบวนสุดท้ายเป็นที่สุด เพราะอุดมด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย ทั้งแอนโทไซยานิน ช่วยป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ และทำให้ทับทิมมีฤทธิ์แอนติออกซิแดนท์สูง งานวิจัยหลายสำนักยังระบุว่า ศักยภาพของสารแอนติออกซิแดนท์ในน้ำทับทิมมีมากกว่าไวน์แดง และชาเขียวถึง 3 เท่าตัว การดื่มน้ำทับทิมวันละครึ่งแก้วเป็นประจำทุกวัน จะช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงขึ้น และลดการเกิดออกซิเดชั่นของคอเลสเทอรอลชนิดแอลดีแอล ซึ่งเป็นไขมันตัวร้าย ทำให้แก่เร็ว
ถั่วเหลือง

นอกจากจะอุดมไปด้วยโปรตีนที่มากกว่าเนื้อสัตว์ถึง 3 เท่าแล้ว ในถั่วเหลืองยังมีแคลเซียม ที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรง กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท และยังอุดมด้วยเส้นใยอาหาร ซึ่งดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยดูดซับสารพิษ ลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือด และช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ล่าสุดยังค้นพบว่า ในถั่วเหลืองมีสารซอยไอโซฟลาโวนส์ ซึ่งมีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิง สามารถป้องกันและลดความรุนแรงของโรคกระดูกพรุน ลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง รวมถึงอาการหงุดหงิดของผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนขาดหาย หรือผิดปกติ

7 วิธีกินยาให้ได้ผล



เมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องไปหาหมอ เมื่อไปหาหมอ คุณหมอก็จะให้ยามารับประทาน แต่เอ๊.....ทำไมทานยามาตั้งนานถึงมาหายสักที ลองเช็คสิกินยาถูกหรือเปล่า
1. จดโน้ตเล็ก ๆ เตือนเอาไว้ว่าคุณต้องทานยาอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการลืม หรือหากคุณเป็นอะไรไปคนที่เข้ามาช่วยเหลือจะได้ทราบเบื้องต้นว่า คุณทานยา อะไรบ้าง ทั้งยังสะดวกด้วยเผื่อว่าคุณเปลี่ยนหมอ คุณจะได้บอกหมอได้ถูกว่าคุณเคยทานยาตัวไหนมาแล้วบ้าง
2. กินยาจนกระทั่งยาหมด หรือตามที่แพทย์สั่ง อย่าหยุดกินเพราะคุณรู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว เพราะถ้าคุณรู้ดีขนาดนั้นจะไปหาหมอทำไมกันล่ะ ตรวจเองจะง่ายกว่า
3. จำเวลาทานยาตามกิจกรรมสำคัญ ๆ ในแต่ละวัน เคยเจอใช่มั้ยยาจำพวก ควรกินทุก 4 - 6 ชั่วโมง พอกินไปครั้งหนึ่งแล้วคุณก็ต้องมานั่งนับ นั่งดูเวลาว่านี่ครบกำหนดหรือยังนะ ให้เปลี่ยนใหม่เป็นทานยาก่อนอาหารเที่ยง ทานหลังแปรงฟัน ทานก่อนเลิกงาน หรือทานก่อนนอน เป็นต้น คุณจะได้จำง่ายขึ้น และไม่เผลอลืมทานยา
4. ถามรายละเอียดของการทานยาให้เข้าใจ เช่นเมื่อคุณลืมทานยาแล้วให้ข้ามไปเลย หรือว่า ครั้งต่อไปทานควบไปเลยสองเม็ด ยาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ออกฤทธิ์ก็ต่างกัน ดังนั้นอย่าลืมถามให้ชัวร์
5. อย่าใส่ยารวมกันในกล่องหรือขวดเดียวกัน เพราะแรก ๆ คุณอาจจะจำได้ แต่พอนาน ๆ ไปคุณอาจจะลืมไปว่ายาตัวไหนต้องทานก่อน ทานหลังยาอะไร เป็นต้น
6. เตรียมพร้อมเสมอเมื่อเดินทาง หากล่องใส่ยาเตรียมไว้ให้พร้อม อย่าเลือกที่เทอะทะเอาที่พอดี ๆ สามารถพกติดตัวได้ไม่อึดอัด และอย่าใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ๆ เพราะคุณอาจจะหยิบออกมาใช้ไม่สะดวก
7. บันทึกการกินยาทุกครั้ง ว่าคุณเป็นอะไร กินยาชื่ออะไร ทานนานแค่ไหน มีอาการแพ้หรือเปล่า และถ้าเป็นไปได้ ให้นำเอายาที่กินอยู่ไปให้หมอดูด้วยทุกครั้ง
เพียงแค่นี้คุณก็จะได้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าทำตามนี้แล้วยังไม่หาย แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพราะคุณอาจจะไม่ถูกกับยาตัวนั้น หรืออาจมีอะไรผิดปกติได้

ผู้ชายอาบแดดได้วิตามินดี-เพิ่มพลังเพศ!


การอาบแดดช่วยเพิ่มพลังชาย เพราะเมื่อวิตามินดีเพิ่ม ฮอร์โมนเพศชาย "เทสโทสเตอโรน" ก็เพิ่มขึ้นด้วย




การอาบแดด 1 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มเทสโทสเตอโรน ถึงร้อยละ 69 ซึ่งฮอร์โมนนี้สำคัญที่สุดสำหรับผู้ชาย เพราะมีส่วนในการพัฒนาอวัยวะเพศ ในการผลิตอสุจิและควบคุมความรู้สึกความต้องการทางเพศ



นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์กราซ ประเทศออสเตรีย พบว่าผู้ชายที่มีวิตามินดีในเลือดอย่างน้อย 30 นาโนกรัมต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร จะมีฮอร์โมนเพศชายไหลเวียนมากกว่าผู้ชายที่มีวิตามินดีน้อยกว่านี้ ส่วนหน้าหนาวที่แสงอาทิตย์มีน้อย วิตามินดีและฮอร์โมนเพศชายจะลดต่ำลง

12 วิธีเพื่อความจำเป็นเลิศ

ไม่รู้เป็นยังไง เรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิตที่อยากจำกลับลืมทุกที แต่ด้วยเคล็ดลับ 12 ประการต่อไปนี้จะช่วยหยุดความจำที่ชอบเล่นไม่ซื่อกับคุณ คราวนี้ คุณก็ไม่ต้องพึ่งกระดาษโน้ตช่วยเตือนความจำอีกต่อไป


ประสิทธิภาพในด้านความจำจะค่อย ๆ ลดลงเมื่ออายุย่างเข้า 25 นั่น เพราะเซลล์ความจำเริ่มเสื่อมลงเรื่อย ๆ ปีละ 1% และยิ่งเสื่อมเร็วมากขึ้น เมื่ออายุเข้า 50 รู้แล้วก็อย่าตื่นตระหนก เพราะมีวิธีมากมายที่จะช่วยให้คุณมีความจำดีเยี่ยม ทีนี้จำได้แม่นยำเลยว่าวางกุญแจรถไว้ตรงไหน



ความจำทำงานอย่างไร

ความจำในสมองประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ ส่วนแรกเรียกว่าความจำระยะยาวและความจำระยะสั้น "ความจำระยะยาวเป็นที่ที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ในชีวิต ข้อมูลเหล่านี้ยากที่จะถูกทำลาย หรือลบเลือนไป" โดมินิก โอเบรียน แชมป์โลกด้านความจำ 8 สมัยซ้อนอธิบาย "ความจำระยะยาวประกอบไปด้วย procedural memories เป็นความจำที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ขี่จักรยาน และ episodic memories เป็นความจำที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง เช่น ช่วงเวลาให้กำเนิดบุตร"

ความจำระยะสั้นเป็นความจำช่วงสั้น ๆ เช่น การจำเบอร์โทรศัพท์สามารถจำได้นานพอที่จะกดเบอร์ได้ หรือจำอาหารที่กินตอนเช้าได้ โดยเราจะบันทึกข้อมูลนั้นลงบนพื้นที่ว่างในสมองทันที ดังนั้นถ้าต้องการเก็บข้อมูลนั้นไว้ในสมองให้นานขึ้น คุณต้องถ่ายโอนข้อมูลดังกล่าวไปยังส่วนที่เป็นความระยะยาว ซึ่งคุณสามารถเสริมสร้างศักยภาพในการเข้าถึงความจำระยะยาว และเรียกข้อมูลนั้นกลับมาใช้ได้



บริหารสมอง
ความจำเสื่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น คุณสามารถเสริมสร้างความจำให้จดจำข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ โดยการบริหารสมอง "ทุกครั้งที่ได้รับข้อมูลใหม่ ส่วนของเซลล์ความจำที่มีลักษณะปลาหมึกยักษ์จะยื่นออกมา และสร้างโครงข่ายใหม่ทำให้จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นทุกครั้งที่เรียนรู้" โดมินิกอธิบาย ดังนั้นเมื่อหยุดให้สมองจดจำข้อมูลใหม่ ๆ เซลล์ความจำก็จะหยุดสร้างโครงข่าย และข้อมูลเหล่านี้ก็จะหายไปในไม่ช้าด้วย "เมื่ออายุมากขึ้น เราผ่านโลกมามากขึ้น และคุ้นเคยกับสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างดี ทำให้เราหยุดท้าทายสมองตัวเอง"
ดังนั้นอย่าให้ร่างกายและสมองหยุดนิ่ง ควรทำตัวให้กระตือรือร้นและว่องไว การศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์สมองได้ทำงานอย่างเต็มที่



หรือฮอร์โมนเป็นตัวการ
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดต่ำลง มีส่วนทำให้ความจำลดความแม่นยำลง นักวิจัยในแคนาดาได้ทดสอบความจำของผู้หญิงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงภายหลังตัดมดลูกทิ้ง พบว่าความจำแย่กว่าผู้หญิงที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน (hormone replacement therapy-HRT) เชื่อกันว่า HRT ช่วยป้องกันความจำเสื่อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไคลฟ์ เอเวอร์แห่ง the Alzheimer’s Society กล่าว "ผู้หญิงที่ได้รับ HRT จะลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์เมื่อเข้าสู่วัยชรา"
หากไม่อยากพึ่งวิธี HRT คุณก็สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ โดยการกินอาหารที่มีสารของพืช ซึ่งมีคุณลักษณะเหมือนเอสโตรเจน ได้แก่ อาหารจากถั่วเหลือง ลินสีด และถั่ว pulse (คือถั่วที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ สะสมพลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรตและเมล็ดมีแป้งสูง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ฯลฯ) เป็นแหล่งไฟโตเอสโตรเจน



ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
คนที่ขี้หลงขี้ลืมไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด อย่าเพิ่งตื่นตกใจ ถ้าคุณลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ "ความจำเสื่อมเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหา ถ้าไม่ได้เป็นถาวรหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดจี๊ด ๆ หรือมีความผิดปกติทางสายตา" มาร์ค แอตคินสัน ผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus กล่าว "อย่าเพิ่งสันนิษฐานว่าตัวเองเป็นโรคความจำเสื่อม เพราะอาการที่เกิดขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากการขาดเกลือแร่และวิตามิน หรือเป็นผลจากยา ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด"



ความจำแย่ ทำยังไงดี
ถ้าคุณหลงลืมเป็นประจำเช่น จำไม่ได้ว่าวางกุญแจรถไว้ที่ไหน คำพูดติดอยู่ที่ปาก แต่คิดไม่ออก ลืมของไว้ที่ร้าน ต้องย้อนกลับไปเอา หรือลืมชื่อคนอยู่เป็นประจำ เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณต้องเสริมสร้างความจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคสมองเสื่อมตามมา "ตามธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายก็จะอ่อนแอลง ไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนก่อน สมองก็เช่นกัน โดยเฉพาะอาการหลงลืมจะส่งผลต่อความจำระยะสั้น" ดร.โจ อิดดอน ผู้เชี่ยวชาญด้านความจำกล่าว ข่าวดีคือคุณสามารถเสริมสร้างความจำให้เป็นเลิศไทยด้วย 12 วิธีต่อไปนี้
1.เล่นเกม บริหารสมองและเสริมสร้างความจำด้านสายตา โดยการจ้องวัตถุชิ้นหนึ่งนานประมาณ 2-3 นาที สมมติว่าเป็น แจกันดอกไม้ ให้จดจำแม้กระทั่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นวาดสิ่งที่คุณเห็นลงบนกระดาษ (วาดไม่สวยไม่เป็นไร) คราวนี้หวนกลับไปมองที่แจกันอีกครั้ง ดูว่ามีรายละเอียดใดที่คุณวาดตกหล่นไป "ฝึกเช่นนี้เป็นประจำจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น" โดมินิกบอก
2.ทำงานอดิเรก "มีหลักฐานระบุว่าคนที่ชอบออกไปพบปะผู้คน หรือไปเที่ยวชมสิ่งที่น่าสนใจนอกบ้าน และทำงานอดิเรกเช่น เล่นครอสเวิร์ด ถัดนิตติ้ง เล่นไพ่บริดจ์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทางเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท แต่ละเซลล์เข้าด้วยกัน (brain connections) ลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลงถึง 1 ใน 3" ไลคฟ์ เอเวอร์ แห่ง the Aizheimer’s Society กล่าว
3.เคี้ยวหมากฝรั่ง คุณอาจไม่ชอบที่หมากฝรั่งติดหนึบตามทางเท้า แต่การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้ความจำดี มหาวิทยาลัยนอร์ธอัมเบรียพบว่า ความสามารถในการจดจำบัญชีคำศัพท์ของอาสาสมัครดีขึ้น 1 ใน 3 เมื่อให้เคี้ยวหมากฝรั่ง
4.ทานวิตามิน อาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ ซี และอี เช่น ส้มและพริกหวานช่วยให้ความจำดี "อนุมูลอิสระที่อยู่รอบตัวเรา จะไปทำลายเซลล์ประสาทในสมอง ทำให้ความจำเริ่มเลอะเลือน แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วย การกินแอนตี้ออกซิแดนท์เช่น วิตามินเอ ซี และอี" ดร.มาร์ค แอตคินสัน ผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus กล่าว
5.เกมจดจำชื่อ เมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักใครสักคน แค่ผ่านไป 5 นาที คุณลืมชื่อคนคนนั้นแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ ลองทำตามเคล็ดลับของโดมินิก โอเบรียน "คุณต้องเชื่อมโยงชื่อคนกับใบหน้า สมมติคุณเจอคนคนหนึ่งชื่อบิล เพรสตัน และเมื่อคุณเจอเขา คุณคิดว่าเขาคล้ายเซลส์แมนขายรถ (ไม่เป็นไรถึงเขาจะไม่ใช่เซลส์แมนจริง ๆ เพราะสมองของคุณได้ทำการเชื่อมโยงแล้ว) เชื่อมโยงชื่อต้นของเขากับบิล คลินตัน นึกภาพบิล คลินตันอยู่ในโชว์รูมรถ จากนั้นเชื่อมโยงนามสกุลของเขา โดยตัดคำว่า "เพรส" ออกจากคำว่าเพรสตัน นึกภาพบิล คลินตันกำลังเพรสอัพส์ (press-ups) หรือวิดพื้น เมื่อคุณพบเขาในครั้งต่อไป สมองของคุณจะคิดถึงภาพเซลส์แมนขายรถ และภาพโชว์รูมรถที่มีบิล คลินตันวิดพื้นอยู่ ทีนี้คุณก็จำชื่อของเขาได้แล้ว
6.ทานใบแป๊ะก๊วย โดมินิก โอเบรียนทานใบแป๊ะก๊วยเป็นประจำ เวลาเตรียมตัวก่อนชิงแชมป์ความจำ เขาเป็นเจ้าของสถิติโลก โดยสามารถจดจำไพ่ได้ทั้งหมด 54 สำรับหลังจากดูไพ่เพียงครั้งเดียว มาร์ค แอตคินสันแนะให้ทานอาหารเสริมจำพวกใบแป๊ะก๊วยวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 40-60 มิลลิกรัม
7.การรักษาแผนโบราณ โสมเป็นยาจีนที่ใช้ชะลอความเสื่อมของเซลล์มานานหลายศตวรรษ อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้เผยว่า โสมช่วยฟื้นฟูความจำของคนป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีอาการสมองเสื่อมให้ดีขึ้น นั่นเพราะโสมช่วยกระตุ้นการสร้างสารเคมีบางอย่างในสมอง ที่ช่วยฟื้นฟูความจำ
8.เทคนิคการจำตัวเลข กี่ครั้งแล้วที่บัตรเอทีเอ็มถูกเครื่องกลืนไป เพราะจำรหัสผิด โดมินิก โอเบรียนแนะให้ใช้ภาพแทนตัวเลข "เช่น สมมติรหัสเอทีเอ็มของคุณคือเลข 2581 ให้นึกเรื่องราวในธนาคาร หงส์ (2) ตัวหนึ่งเข้าวิ่งไล่งู (5) เข้าไปในธนาคาร พนักงานธนาคารคือสโนว์แมน (8) ถือเสาธง (1) โบกไปมา ยิ่งเรื่องที่จินตนาการเหลวไหลเท่าไร คุณก็ยิ่งจำได้มากขึ้นเท่านั้น" โดมินิกบอก คุณสามารถนำวิธีนี้มาประยุกต์ใช้กับการจำเบอร์โทรศัพท์ เบอร์โรงพยาบาล และหมายเลขกรมธรรม์
9.กินน้ำมันปลา ปลาเป็นอาหารบำรุงสมอง การศึกษาของศูนย์การแพทย์เซนต์ลุค ชิคาโกพบว่าการกินน้ำมันปลา (เช่น ปลาแมคเคอเรล, ซาร์ดีน, แซลมอนและปลาทูน่าสด) ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์
10.ไปซูเปอร์มาร์เก็ต โยนใบรายการซื้อของทิ้งไป หันไปใช้วิธีจำของที่ต้องซื้อโดยนึกภาพของที่จะซื้อเป็นการเดินทาง โดมินิก โอเบรียนอธิบาย "นึกภาพการเดินทางที่คุ้ยเคยในหัว อาจเป็นการเดินไปทำงานหรือไปห้องสมุด นึกภาพจุดแวะ 10 จุดระหว่างการเดินทาง จุดแวะแต่ละจุดคือภาพของที่ต้องซื้อ ตัวอย่างเช่น ขนมปัง 1 แถวกำลังยืนคอยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ และมีชามส้มตั้งอยู่บนทางม้าลาย ทีนี้เมื่อคุณเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ให้นึกภาพการเดินทางในหัวของคุณ เพื่อจดจำรายการสิ่งของที่ต้องซื้อ เริ่มจากของ 10 อย่างก่อน เมื่อคุณจดจำได้ดีขึ้นแล้ว จึงค่อยเพิ่มรายการของให้มากขึ้น
11.นอนให้เพียงพอ นักวิทยาศาสตร์ในเบลเยี่ยมค้นพบว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้สมองสามารถเก็บข้อมูลใหม่ ๆ ไว้ในความจำ เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในอนาคต ดังนั้นควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
12.สมุนไพรช่วยได้ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรีช่วยให้คุณสามารถจดจำสิ่งที่ลืมไปแล้ว ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธอัมเบรียพบว่า คนที่ดมกลิ่นโรสแมรีจะรู้สึกกระฉับกระเฉงว่องไว สามารถจดจำเรื่องราวได้ต่าง ๆ ได้มาขึ้น 15% ลองหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี 2-3 หยดลงในอ่างอาบน้ำ หรือจะจุดตะเกียงน้ำมันหอมระเหยก็ได้
ผลการศึกษาอีกอย่างพบว่า อาสาสมัครที่รับประทานแคปซูลสมุนไพรเลมอนบาล์ม สามารถทำแบบทดสอบความจำทางคอมพิวเตอร์ได้คะแนนดีกว่าคนที่ไม่ได้ทาน



Is it serious…
ถ้าคุณสงสัยว่าตัวเองขี้หลงขี้ลืมมากผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าเป็นโรคต่อไปนี้หรือไม่ :

สมองเสื่อม เป็นโรคทางสมองอย่างหนึ่ง เกิดจากการที่เซลล์สมองถูกทำลายและสมองตายเร็วกว่าปกติ โดยความจำระยะสั้นมักได้ผลกระทบก่อน ดังนั้นคุณจะลืมชื่อคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และภารกิจที่ทำเป็นประจำทุกวัน
โรคอัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด คาดกันว่าในประเทศอังกฤษมีคนเป็นโรคนี้มากถึง 5 แสนคน

โยคะ ฝึกจิต พิชิตโรค

คนจำนวนมาก เมื่อชวนมาออกกำลังกาย มักจะตอบว่าไม่มีเวลา แต่กลับใช้เวลาเพื่อหาเงินไว้รักษาตัว แทนที่จะรักษาสุขภาพให้ดีจะได้ไม่ต้องใช้เงินมารักษา แล้วหลายคนจึงได้ใช้เงินรักษาโรคสมใจ นั่นคือเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเกี่ยวกับทางเดินโลหิต ทางเดินหายใจ โรคเกี่ยวกับสมอง ความเครียด และอัมพาต ซึ่งเป็นเพราะทำงานหนักใช้สมอง ไม่ได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานแต่ในห้องปรับอากาศ นั่งรถยนต์ปรับอากาศ นอนห้องปรับอากาศจึงสัมผัสกับอากาศธรรมชาติน้อยมากในแต่ละวัน เมื่อไม่ได้ออกกำลังกาย โรคต่าง ๆ ดังกล่าวจึงรุมเร้า

 
โยคะจึงเป็น ทางออกที่เหมาะสมกับผู้ที่อยู่ในสภาพข้างต้น เพราะเป็นการฝึกลมหายใจที่ทำให้ท่านมีสุขภาพดี โดยเป็นการฝึกลมปราณประกอบกับอาสนะต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โยคะ เป็นศาสตร์และศิลป์แห่งการบริหารชีวิตให้กายและจิต มีความสมดุลกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีฝึกที่จะทำให้มนุษย์สามารถควบคุมจิตใจ และร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าอบรมทางจิตจนเป็นอย่างดีจะทำให้มีสมาธิสูงจนสามารถบังคับจิตใจ และความรู้สึกได้ ซึ่งจะต้องเริ่มฝึกการบังคับร่างกาย โดยต้องฝึกการบริหารร่างกายอย่างถูกแบบ เป็นการประสานลมปราณให้สอดคล้องกับอาสนะต่าง ๆ จนเกิดความสมดุลกับธรรมชาติ อันเนื่องมาจากการรวมทั้งความแน่วแน่มั่นคงของ จิตใจควบคู่กันไป เป็นการบริหารจิตไปด้วย

การปฏิบัติโยคะจึงให้ผลดีทั้งร่างกาย และจิตใจพร้อม ๆ กัน โยคะ จึงเป็นทางออกที่ดีในวิถีทางสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของมนุษย์



ข้อดี
เป็นระบบการบริหารร่างกายที่เหมาะสมกับทุกเพศ ทุกวัยและทุกสภาวะของชีวิต เนื่องจากโยคะมีความยืดหยุ่น ที่สามารถปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี
เป็นระบบการบริหารที่ไม่หักโหม ไม่ต้องใช้กำลังมาก แต่ทว่ามีผลกระทบในทางที่ดีต่ออวัยวะ ในทุกระบบของร่างกายเมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องครบถ้วน
เป็นเทคนิคการผ่อนคลายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายใด้พักอย่างเต็มที่ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งทางการแพทย์ได้นำเทคนิคนี้มารักษาผู้ป่วยทางด้านจิตใจ แต่ถ้าเรานำมาใช้จะทำให้หลับสบายคลายเครียดได้
เป็นวิธีการปรับร่างกาย ให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมได้เต็มที่ เช่น การฝึกลมปราณสามารถควบคุมการหายใจ ซึ่งทำให้มีปอดที่มีคุณภาพดีพอที่จะใช้ประโยชน์มากกว่าคนทั่วไป
เป็นการฝึกที่ต้องการอุปกรณ์น้อยที่สุด เสื้อผ้าที่เหมาะสม (กางเกงวอร์ม และเสื้อยืด) ผ้าผืนหนา ๆ สำหรับรองรับร่างกาย
เป็นการฝึกที่ใช้ที่น้อย ขนาดนอนหงายเหยียดยาวได้ก็เพียงพอ เป็นที่โล่ง ๆ
เป็นการฝึกที่ปฏิบัติได้แทบทุกโอกาส เช่น ฝนตก หนาวจัด เดิน นั่ง ยืน
เป็นการฝึกที่ใช้เวลาในการปฏิบัติที่สามารถยืดหยุ่นได้ โดยเลือกอาสนะต่าง ๆ ได้ตามเวลาที่เหมาะสม


ประโยชน์ของการฝึกโยคะ
1. ป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ สร้างภูมิต้านทานโรค
2. เพิ่มพลังกายและพลังจิตให้มีความแข็งแรง เข้มแข็ง อดทน สุขภาพสมบูรณ์
3. อายุยืน ชะลอความแก่
4. ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค
6. เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ทำให้มีคุณค่าต่อสังคมและส่วนรวม
7. ช่วยธรรมชาติที่ล้าและเฉื่อยชากลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวา