30 พ.ย. 2553

ผักผลไม้จริงหรือที่ว่า...


แอปเปิลมา การแฟหลบ แอปเปิลทำให้คุณรู้สึกสดชื่นได้มากกว่าการดื่มกาแฟว่ากันว่าในแอปเปิลมีน้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งกระตุ้นให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้มากกว่าสารกาแฟอีนในกาแฟทั้งยังอิ่มท้องได้นาน จึงเหมาะจะเป็นอาหารให้สมองแล่นฉิวยามดึก

ยอดเยี่ยมกระเทียมสด นักวิจัยกล่าวว่า กระเทียมเป็นมิตรแท้ของหัวใจการกินกระเทียมเป็นประจำ จะทำให้หัวใจเราทำงานได้นานขึ้นถึง 13 ปี แถมกลิ่นของกระเทียมยังส่งผลให้จิตใจสดชื่นและอ่อนโยนได้อีกด้วย

ชะลอความชรา เรียกหาบลูเบอร์รี บลูเบอร์รีสดมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้ทุกชนิดเพียงกินบลูเบอร์รีวันละครึ่งถ้วย ร่างกายก็จะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเป็น 2 เท่า

กีวี วิตามินซีเหลือล้น จากการสำรวจพบว่ากีวีมีวิตามินซีมากกว่าส้ม เมื่อเทียบในปริมาณที่เท่ากันและการกินกีวีเพียงวันละ 1 ผล ก็เพียงพอต่อความต้องการวิตามินซีของร่างกายใน 1 วันแล้ว

มะเขือเทศ สีแดงแรงไม่ตก จากสถิติพบว่ามะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งในผู้ชายไทย แต่การกินมะเขือเทศสุกหรือผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศวันละ 1 อย่าง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งปอดได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ แถมยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและภาวะมีบุตรยากด้วย

หัวหอมใหญ่ ไม่ใช่แค่ชื่อ คนโบราณและนักวิจัยสมัยใหม่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าหอมหัวใหญ่ช่วยบำบัดโรคต่างๆ ได้ถึง 28 โรค แถมยังมีสารยับยั้งกระดูกเสื่อม เพียงกินหอมใหญ่วันละ 1 กรัม ก็เพียงพอที่จะทำให้กระดูกแข็งแรงไปอีกนาน

มันเทศ คุ้มค่าราคาประหยัด มันเทศมีวิตามินเอเทียบเท่ากับบร็อกโคลี 23 ถ้วย และมีปริมาณเส้นใยอาหารมากกว่าข้าวโอ๊ด แถมราคาก็ยังถูกกว่าอีกด้วย

ยาหลบไป สมุนไพรมาแล้ว


ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนอง ปวดหัว ปวดท้อง ตัวร้อน เป็นไข้ ไอ จาม...และอีกนานาสารพัดโรคที่เราเคยวิ่งหาร้านขายยาทุกทีนั้น รู้หรือไม่ว่าล้วนเป็นการเจ็บป่วยที่รักษาได้ด้วยวิธีการแบบธรรมชาติบำบัด โดยใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านและสมุนไพรที่หาได้ง่ายดายตามตลาด หรือขึ้นอยู่ในสวนหลังบ้านของเรานี่เอง!

ท้องเสีย

การดื่มน้ำมากๆ สำคัญกว่ายาชนิดใดๆ ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น เติมน้ำตาลทรายและเกลือลงไปด้วย ผสมในอัตราส่วน น้ำ 1 ขวดน้ำปลา น้ำตาลทราย 2 ช้อนแกง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา หรืออีกวิธี ให้ละลายเม็ดแมงลัก 2 ช้อนชาลงในน้ำเย็น 1 แก้ว ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงให้เม็ดแมงลักพองเต็มที่ กินให้หมดแก้วทุก 4 ชั่วโมง ใส่เกลือและน้ำตาลด้วยยิ่งดี

ไข้หวัด

ใช้ขิงแง่งขนาดเท่าหัวแม่มือ ฝานเป็นแว่นบางๆ ใส่แก้วเติมน้ำเดือดลงไปให้เต็มแก้วปิดฝา ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ช้อนเอาเนื้อขิงออก เติมน้ำตาลให้พอหวาน ทำกินวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน หรืออีกวิธี ใช้กระเทียม 7 กลีบ ใส่ลงในข้าวกินพร้อมกับกินข้าวทุกมื้อ (คนที่มักเป็นร้อนในไม่ควรกิน) หรือกินต้นหอมสดๆ ร่วมกับข้าวทุกมื้อ มื้อละ 2-3 ต้น จะช่วยให้หายหวัดได้เร็ว

ปวดฟัน

เด็ดใบตำลึง 1 กำมือ ดินสอพอง 2 แผ่น ใส่ครกโขลกพอแหลก เติมน้ำนิดหน่อย เอามาพอกข้างแก้มที่ปวด พอแห้งก็เปลี่ยนใหม่ พอกสัก 2-3 ครั้ง จะทำให้หายปวดได้ หรืออีกวิธีใช้หัวข่าแก่สดผสมเกลือเล็กน้อย โขลกให้ละเอียดใส่รูฟันที่ปวดหรือเอาการบูรใส่ในฟันที่ปวด

*ยาแก้ปวดฟันจะช่วยระงับอาการเท่านั้น เมื่อหายปวดแล้วต้องรีบไปหาหมอฟันต่อไป

ไอ เจ็บคอ เสมหะติดคอ

ดื่มน้ำ 1 แก้ว ใส่เกลือ 1/2 ช้อนชาทุกเช้าหลังตื่นนอนเมื่อรู้สึกเจ็บคอ หรืออีกวิธี ใช้ข้าวเหนียว 1 กำมือ แช่น้ำไว้ 2-3 ชั่วโมง ดื่มน้ำนี้ 1-2 อึก วันละ 3-4 ครั้ง (เอาเกลือป่นใส่ลงไปนิดหน่อยพอเค็ม) หรือจะใช้วิธีฝานเปลือกมะนาวเป็นชิ้นเล็กๆ เหมือนอย่างที่ใช้ใส่เมี่ยงคำ อมครั้งละชิ้น ค่อยๆ เคี้ยวกลืนทีละนิด

กลากเกลื้อน

ใช้กระเทียมฝานเป็นแว่นบางๆ ทาวันละ 2-4 ครั้ง (ระวังอย่าขยี้กระเทียมถูทาผิวหนังแรงไปเพราะกระเทียมจะกัดผิว) หรือใช้ใบน้อยหน่าตำให้ละเอียดทาบ่อยๆ หรือวันละ 4-5 ครั้ง
ไฟไหม้น้ำร้อนลวกใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาให้ผิวหนังเปียกชุ่มอยู่เสมอในวันแรกที่เป็นหลังจากนั้นทาวันละ 4-5 ครั้ง หรืออีกวิธี ใช้น้ำผึ้งแท้ทาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกให้เปียกชุ่มอยู่เสมอ จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน

9 อาหารที่อาจช่วยในเรื่องความจำ


ในแต่ละวันของชีวิตการทำงาน หลายๆ คนคงใช้สมองในการทำงานหนัก วันนี้มีอาหารที่ช่วยในเรื่องของความจำมาแนะนำให้ได้อ่านกันครับ

1.น้ำสลัดที่มันมีลักษณะเหมือนน้ำมัน
เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพ โดยอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งจะช่วยปกป้องเซลล์ประสาท และปกป้องในส่วนของเซลล์ประสาทที่เริ่มจะตาย รวมทั้งโรคอัลไซเมอร์

2.ปลา
บรรดาปลาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แซลมอน,ทูน่า,ปลาทู และ ปลาอื่น ๆ ถือว่ามันอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และมี DHA ซึ่ง DHA จะเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการทำงานปกติของเซลล์ประสาท และจะทำให้เส้นเลือดไม่อุดตันอีกด้วย

3.ผักใบเขียว
ผักคะน้าผัก,ผักขม, และบร็อกโคลี่ เป็นถือแหล่งที่ดีของวิตามินอีและโฟเลต แม้ แม้ว่ายังไม่ชัดเจนในเรื่องที่โฟเลตป้องกันสมองได้หรือเปล่านั้น แต่มันอาจจะโดยการลดระดับของกรดอะมิโน homocysteine ในเลือด ที่จะทำให้เสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ เพราะหากมี homocysteine มากนั้นอาจทำให้เซลล์ปราสาทตาย และ กรดโฟลิกก็ยังช่วยในการลดระดับ homocysteine อีกด้วย

4.อะโวคาโด
เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระวิตามินอี ซึ่งจากการวิจัยพบว่า อาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งรวมไปถึง อะโวคาโด จะสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระได้และลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์

5.เมล็ดทานตะวัน
เมล็ดพันธุ์พืชรวมทั้งเมล็ดทานตะวัน ถือเป็นแหล่งรวมที่ดีของวิตามิน อี และถ้าหากนำเมล็ดคั่วทานตะวัน มาปรับโรยบนสลัดนั่นจะเป็นส่วนที่ช่วยในการบำรุงสมองของคุณ

6.ถั่วลิสง และ เนย ถั่วลิสง
แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะทำให้มีความเสี่ยงในการอ้วนสูง แต่ทว่าทั้ง ในถั่วลิสงไขมันและเนยถั่วลิสงมักจะเป็นไขมันที่นำมาซึ่งการมีสุขภาพดี นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยวิตามินอี โดยทั้งสองที่กล่าวมานี้อาจช่วยให้หัวใจและสมองแข็งแรงและทำงานได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังมีทางเลือกที่ดีอื่นอีก เช่น อัลมอนด์ และ ฮาเซลนัทส์

7.ไวน์แดง
จากผลการวิจัย ผู้ที่ดื่มจำนวนไวน์แดงปานกลางและและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น ๆ อาจมีความเสี่ยงที่ลดลงสำหรับโรคอัลไซเมอร์ แต่สำหรับจำพวกคนขี้เมาแล้วนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมในการพัฒนาของพวกเขา

8.เบอร์รี่
การวิจัยล่าสุดนำเสนอในที่ประชุมแห่งชาติของสมาคมเคมีอเมริกันในบอสตันพบว่าบลูเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่และผลเบอร์รี่ ช่วยถนอมอายุสมอง เสมือนทำหน้าที่เป็นแม่บ้านที่คอยเก็บกวาดนั่นเอง

9.เมล็ดธัญพืช
อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และถือเป็นอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน จากการวิจัยจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก ซิตี้ แสดงให้เห็นว่าอาหารนี้ช่วยลดความเสี่ยง และความบกพร่องในกระบวนการคิด ซึ่งมันเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ นอกจากนั้น เมล็ดธัญพืช จะลดการอักเสบในเรื่องความเครียด รวมทั้ง ปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือดเช่นความดันโลหิตสูงซึ่งทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อสมอง และ โรคหัวใจ

5 อาชีพที่ทำได้แม้อยู่บ้าน


Craft งานฝีมือโดดเด่น คุณรู้หรือว่างานแฮนด์เมดที่ต้องใช้ฝีมือทำกำลังเป็นที่นิยมมากให้ปัจจุบัน คุณไม่จำเป็นต้องเปิดร้านแต่อาจจะต้องหาตลาดตามร้านค้าต่างๆ หรืออินเทอร์เน็ตกระจายสินค้าของคุณเพื่อสร้างรายได้ขึ้นมา และอาจจะเพิ่มเติมลูกเล่นลงไปด้วย อย่างเช่น เก้าอี้หรือป้ายชื่อห้องเพ้นต์ลายดอกไม้ ตุ๊กตาหมีเชือกถักใส่ชุดรับปริญญาหรือแต่งงาน ผ้าพันคอลายเก๋ๆ เป็นต้น

Baking อาหารอร่อย ถ้าคุณเคยทำอาหารไปให้คนอื่นๆ กินจนติดใจและเขาก็ถามหาอีก คุณเตรียมตัวเป็นเถ้าแก่ได้เลย เริ่มแรกอาจให้วิธีสั่งล่วงหน้า Made to Order เพื่อที่คุณจะได้จัดสรรวัตถุดิบให้เพียงพอไม่เหลือทิ้งจนทุนหายกำไรหด จริงอยู่ที่กำไรอาจจะไม่มากมายนัก แต่ถ้ามีคนทยอยสั่งทุกๆ เดือนยอดรายได้ก็จะสม่ำเสมอขึ้น ซึ่งคุณอาจจะขยายตลาดรับทำส่งตามร้านกาแฟก็ได้ อย่างเช่น เค้ก คุกกี้ ไส้กรอกโฮมเมด ไอศกรีม ฯลฯ ประหยัดค่าทำเลไปได้มากและไม่เสียเวลาเยอะสาวๆ หลายคนเปิดหน้าบ้านทำอาหารเช้าเล็กๆ น้อยๆ ขาย เช่น หมูปิ้ง ขนมปังปิ้งทาเนย โจ๊ก ซึ่งกำไรวันละประมาณ 200-300 บาท ดูเหมือนน้อยแต่นับเป็นเดือนคุณจะมีเงินเพิ่มมากถึง 9,000 บาททีเดียว

Childcare พี่เลี้ยงจำเป็นพี่เลี้ยงเด็กกำลังเป็นที่นิยมมาก หากคุณเป็นคนใจเย็นแล้วช่วงนี้ก็ปิดเทอม ต้องมีหลายบ้านที่ต้องการผู้ใหญ่คอยดูแลเจ้าตัวเล็กให้แน่ๆ การทำงานแบบนี้ไม่ต้องลงทุนแต่คุณอาจจะต้องดูแลเจ้าหนูไม่ให้คลาดสายตา และมีความรู้เรื่องเด็กสักนิดก็สามารถทำได้ ลองหารายได้ในบ้านดีกว่าอยู่เปล่าๆ เสียเวลาไปวันๆ ค่าตอบแทนอยู่ที่ประมาณวันละ 200-300 บาท หรือคิดเป็นชั่วโมงก็ได

Gardening สวนสวยด้วยมือเราคุณสามารถเสกสวนสวยให้เพื่อนบ้านได้ด้วยมือของเราเอง ถ้าคุณเป็นคนชอบต้นไม้ใบหญ้าและรักการแต่งสวน สร้างงานแต่งสวนด้วยตัวคุณเองดูสิ อย่างเช่น สวนสมุนไพร สวนดอกไม้ ไม้พุ่มประดับ เป็นต้น รวมทั้งดูแลรดน้ำตัดแต่งกิ่งใส่ปุ๋ยซึ่งอย่างน้อยต้องทำเดือนละหนึ่งครั้ง เป็นงานบริการที่คนในเมืองต้องการ หาลูกค้าที่เป็นเพื่อนบ้าน จะได้ทำงานไม่ไกลจากบ้านคุณด้วย

Photographer สตูดิโอง่ายๆ ในบ้านมีกล้องดีๆ สักตัวในบ้านอย่าวางทิ้งไว้ให้ราขึ้น ลองถ่ายภาพบุคคลแล้วเซฟไฟล์ไปปรินต์ลงกระดาษเหมือนภาพติดบัตรทั่วไป เพราะหากคุณเดินเข้าไปในร้านถ่ายรูปจะต้องเสียเงินประมาณ 120 บาทต่อ 12 ภาพ แต่ถ้าถ่ายเองค่าปริ๊นรูปไม่ถึง 30 บาทเท่านั้นรับรองว่ากำไรงามเพราะใกล้เปิดเทอมแล้ว และคนก็มีแนวโน้มที่จะสมัครงานมากขึ้น หรือรับถ่ายภาพอาหาร สินค้าต่างๆ ที่คุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน

29 พ.ย. 2553

การใช้ลายนิ้วมือในการระบุตัวบุคคล

การใช้ลายนิ้วมือในการระบุตัวบุคคล

ลายนิ้วมือของแต่ละคน เริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่เป็นตัวอ่อนอายุ 3 ถึง 4 เดือนในครรภ์มารดา ซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่มีร่อง และมีสัน เอาไว้ใช้สำหรับอำนวยความสะดวกในการหยิบจับสิ่งของ สันและร่องที่ปรากฏนี้มีคุณลักษณะที่สำคัญสองประการ คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบตามกาลเวลา (แต่อาจเปลี่ยนขนาดได้) และการมีรูปแบบเฉพาะในแต่ละคน



ลายนิ้วมือไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบ ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งวันที่เราตาย แต่อาจเปลี่ยนแปลงขนาดได้ตามขนาดร่างกาย เหมือนกับการที่เราวาดรูปไว้บนลูกโป่ง ซึ่งไม่ว่าลูกโป่งจะเล็กหรือถูกเป่าให้พองใหญ่อย่างไร ก็ยังเป็นรูปเดิมเพียงแต่มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น

การที่ลายนิ้วมือมีรูปแบบเฉพาะในแต่ละคน เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของลายนิ้วมือนั้น ตั้งแต่เริ่มมีการใช้เก็บและเปรียบเทียบลายนิ้วมือโดยใช้วิธีสมัยใหม่ ซึ่งมีมาร้อยกว่าปีแล้ว ยังไม่มีการตรวจพบว่ามีการเหมือนกันของลายนิ้วมือ อีกทั้งถ้าจะอธิบายด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ก็มีการศึกษาของ Sir Francis Galton (1892) ซึ่งได้ประมาณไว้ว่า โอกาสที่คนสองคนจะมีลายนิ้วมือเหมือนกันนั้นมีความน่าจะเป็นอยู่ที่ 1/64,000,000,000 ซึ่งเป็นการประเมินค่าโดยใช้้การแบ่งรายละเอียดรูปแบบของลายนิ้วมือออกเป็นส่วนๆ และหาความน่าจะเป็นของการซ้ำกันของแต่ละส่วนนั้น แล้วนำความน่าจะเป็นของแต่ละส่วนมาคูณกันเพื่อหาความน่าจะเป็นทั้งหมด

ท่าน Sir Francis Galton นี้ เป็นผู้ที่เริ่มทำการวิจัยอย่างจริงจังกับลายนิ้วมือ และถือว่าเป็นบุคคลแรกที่ศึกษาถึงการใช้ลายนิ้วมือในการระบุตัวบุคคล เป็นบุคคลแรกที่ทำการพิสูจน์ว่าลายนิ้วมือของแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่กำหนดและแบ่งแยกประเภทของรูปแบบลายนิ้วมือที่ใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้


ลายนิ้วมือของแต่ละคนนั้นมีลักษณะเฉพาะมากจนกระทั่งแม้แต่ คู่แฝดแท้ (Identical Twin) ก็ยังมีลายนิ้วมือที่แตกต่างกัน (แต่มีรูปแบบ DNA เหมือนกัน) อย่างไรก็ตาม รูปแบบของลายนิ้วมือนั้นมีลักษณะความคล้ายกันของคนภายในครอบครัว หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า รูปแบบของลายนิ้วมือมีการถ่ายทอดกันทางพันธุกรรม ซึ่งรูปแบบของลายนิ้วมือ สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท คือ แบบลายก้นหอย (Whorl), ลายมัดหวาย (Loop) และลายโค้ง (Arch)


รูปแบบลายนิ้วมือนี้สามารถแบ่งย่อยให้ละเอียดขึ้นไปได้เป็น ลายมัดหวายเอียงขวา (Right Loop), ลายมัดหวายเอียงซ้าย (Left Loop), ลายโค้งสูงแบบกระโจม (Tented Arch) เป็นต้น ลายนิ้วมือแบบลายก้นหอย (Whorl) มีประมาณ 30% ลายนิ้วมือแบบลายมัดหวาย (Loop) มีประมาณ 65% และลายนิ้วมือแบบลายโค้ง (Arch) มีประมาณ 5% การแบ่งลายนิ้วมือออกเป็นหลายประเภทนี้ เพื่อวัตุประสงค์ในการเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบลายนิ้วมือ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ใช้ในการบอกความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างลายนิ้วมือ แต่เป็นการใช้ลักษณะของสัน (Ridge) ของลายนิ้วมือ เช่น การสิ้นสุดของสัน (Ridge Ending), สันแบบลายจุด (Dots), สันที่แตกแขนง (Bifurcations) หรือรูปแบบต่างๆของสันที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ใช้ในการเปรียบเทียบลายนิ้วมือ

ราศีไหน ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไร


ราศีมังกร(16 ม.ค.-12 ก.พ.)

คุณ มีแนวทางการดำเนินชีวิตในแบบของคุณเอง เรื่องการใช้เครื่องมือทันสมัยต่างๆก็เช่นกัน โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์คุณจะต้องมั่นใจในระบบป้องกันคนนอกมาใช้งานของคุณโดยการ ตั้งรหัส Password เอาไว้ เพื่อความปลอดภัย เพราะคอมพิวเตอร์คือเครื่องมือที่คุณโปรดปรานที่สุดในยามที่คุณเบื่อ เหงา หรือเซ็งอะไรก็ตาม ถ้าคุณลองได้อยู่หน้าจอคอมฯแล้วละก็ ไม่ว่านานแค่ไหนจะปวดตาอย่างไรก็ตามคุณจะไม่ยอมเลิก จนกว่าจะได้ข้อมูลหรือทำงานนั้นสำเร็จเสียก่อน ชาวมังกรเป็นคนที่มีความอดทน รอการ load website ที่คุณอยากดู ไม่ว่านานแค่ไหนก็รอได้ และชาวราศีมังกรก็คนที่ upgrade เครื่องคอมฯบ่อยมาก ถ้าคุณรู้สึกว่ามันเริ่มจะช้า ล้าหลัง คุณจะรีบ upgrade มันทันที


ราศีกุมภ์(13 ก.พ.-13 มี.ค.)

ถ้ามี chat room ที่ไหน มีการคุยกัน online ที่ไหน มั่นใจได้เลยว่าจะต้องมีชาวราศีกุมภ์เข้าไปแจมเสมอคุณมักจะเป็นคนเริ่มเปิด กระทู้ใน web board ก่อนคนอื่นด้วยซ้ำ แล้วคุณก็จะชอบส่ง e-mail แปลกๆไปหาเพื่อน ชาวกุมภ์ชอบเสาะแสวงหาอะไรใหม่ๆ ที่สวย เก๋ แบบที่ยังไม่มีคนได้เห็น เช่น พวก Web Design ต่างๆ Graphic ต่างๆ เอามาแนะนำให้เพื่อนอยู่เป็นประจำ คุณรู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคุณจะดีและมีสีสันขึ้นได้ เพราะมีการผสมผสานระหว่างโลกแห่งความจริง กับโลก Internet มันทำให้คุณมีข้อมูลที่หลากหลาย และไร้ขีดจำกัด ทำให้คุณมีโลกกว้างขึ้น ชาวกุมภ์ไม่ใช่คนที่เคร่งครัดในเรื่องการใช้คอมฯ การตั้งระบบ password ต่างๆ ขอแค่คุณได้ Chat หรือติดต่อกับเพื่อนๆ ที่มีอยู่ใน net และก็ท่องเว็บไปเจออะไรใหม่ๆ ก็พอใจแล้ว


ราศีมีน(14 มี.ค.-12 เม.ย.)

ชาว ราศีมีน ผู้เป็นนักประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ให้แก่เพื่อนๆ อะไรก็ตามที่คุณรู้ ไม่ว่าจะเป็นความลับ เรื่องสำคัญมากขนาดไหน คุณจะเปิดเผยและบอกเล่าให้เพื่อนๆ หรือคนที่คุยกับคุณรับทราบหมด ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม e-mail , chat หรือแม้แต่นอกจอคอมพิวเตอร์ ชาวมีนเป็นคนที่มีพื้นฐานและเข้าใจการเล่น Internet ที่ดี ทำให้คุณมักจะได้รู้อะไรที่คนอื่นไม่ค่อยรู้ คุณจะดูทั้ง web ที่มี graphic สวยงาม หรือแม้แต่ web ที่มีแต่ตัวหนังสือ แต่นั่นคือข้อมูลที่คนอื่นมักจะมองข้ามไป คุณเข้าใจการใช้งานของคอมพิวเตอร์ดี ไม่ใช้งานมันแบบก้มหน้าก้มตาใช้ ถ้า web ไหนที่คุณดูแล้วทำให้คุณประทับใจ คุณจะเปิด web นั้นขึ้นมาอีกในครั้งต่อๆไป ชาวมีน คุณคือคนที่เข้าใจเสมอว่า Internet จริงๆ แล้วก็ทำเพื่อธุรกิจ แต่บางครั้งคุณก็หลงใจอ่อนกับข้อมูลต่างๆ ที่เขาให้คุณมาง่ายๆ ฟรีๆ


ราศีเมษ(13 เม.ย.-13 พ.ค.)

คุณ เป็นคนที่ติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่งออกมาเสมอ อะไรที่update คุณจะต้องติดตามและลองสัมผัสใช้มันให้ได้ชาวเมษมักจะชอบใช้ Internet แบบเปิดหลายอันพร้อมกัน chat ไปด้วย ท่องเว็บไปด้วย แถมอาจจะยัง load ภาพไปด้วยก็ได้ นอกจากนี้คุณยังเป็นนักสำรวจที่เสาะแสวงหาข้อมูลได้เก่งมาก ไม่ว่าข้อมูลนั้นๆจะถูกปกปิด หรือเป็นความลับแค่ไหน คุณจะ Search หามันมาจนได้ Technology สำหรับชาวราศีเมษ มันคือสิ่งที่ทำให้คุณหูตากว้างไกลและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคุณก็เป็นคนประเภทไม่ยอมที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่อยู่แล้ว


ราศีพฤษภ(14 พ.ค.-13 มิ.ย.)

คุณ เป็นคนที่สนใจในสิ่งที่คุณจะเก็บเกี่ยว ได้รับจากงานหรือสิ่งที่คุณทำอยู่ ไม่ว่าเรื่องทั่วๆ ไป หรือเรื่องการใช้เทคโนโลยีก็ตาม ถ้าชาวพฤษภจะท่อง Internet สักหนหนึ่ง คุณจะต้องเลือก website ที่จะทำให้คุณได้ความรู้ ได้ประโยชน์จากมันมากที่สุด เช่น คุณอาจเลือกดูเว็บที่มี graphic สวยๆ ถ้าคุณอยากดูการออกแบบดีๆ หรือถ้าคุณอยากได้ข่าวสารที่แม่นยำ คุณก็จะค้นหาจากพวก CNN Reuter เป็นต้น ดังนั้นชาวพฤษภมักจะเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพสูง จอภาพที่ให้ภาพคมชัดเหมือนจริง ประมวลผลได้เร็ว เพื่อทำให้คุณได้รับข้อมูลหรือสิ่งที่คุณต้องการจะดูได้อย่างมีประสิทภาพสูง สุด และคุณก็มักจะได้สิ่งดีๆ มาจาก Internet เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูล ข่าวสาร รูปภาพ หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ตาม


ราศีเมถุน(14 มิ.ย.-14 ก.ค.)

ด้วย ความกระหาย ชอบที่จะสนทนากับผู้อื่น ทำให้ชาวราศีเมถุนจะต้องเพิ่มวิชาการ พูดคุยกับคนอื่น โดยการปรากฏตัวในโลกของ Cyberโดยเฉพาะ Chat room ความฉลาดหลักแหลมและทันสมัยของคุณ ทำให้คุณเลือกใช้ Internet เป็นเครื่องมือในการออกไปสู่โลกกว้าง ติดต่อกับคนใน Internet ซึ่งคุณก็รู้ดีว่าการคบค้ากับชาว Online มันไม่แน่นอนและไว้ใจไม่ได้เพราะวันใดวันหนึ่ง เขาก็อาจจะหายจากโลกของคุณไปได้ทุกเมื่อ วิธีที่คุณมักจะใช้เป็นประจำคือการใช้ Search engine มาตาม spec ที่คุณกำหนดลงไป ชื่อคนใดที่ขึ้นมาตามนั้นก็เป็นอันว่าใช้ได้ คุณพร้อมที่จะเข้าไปพูดคุยกับเขาได้เลย ชาวราศีเมถุน คุณเป็นคนฉับไว คิดและตัดสินใจเร็ว เพียงแค่คลิกเม้าท์คุณก็ตัดสินใจได้แล้ว คุณคือ คนยุค IT อย่างแท้จริงและบ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์กับคนรอบๆ ตัวคุณจะเริ่มต้นโดยการรู้จักพูดคุยกันทาง Internet


ราศีกรกฎ(15 ก.ค.-16 ส.ค.)

สำหรับ ชาวกรกฎ ถ้าคุณถูกใจ Website ไหนเป็นพิเศษ คุณก็จะชอบเข้าไปดูมันอยู่บ่อยๆ เพราะคุณเป็นคนชอบอะไรที่มันสวยงาม เก๋ และสะดุดตา ชาวกรกฎไม่ใช่นักท่องเว็บตัวฉกาจนัก สังเกตได้จากการเล่น net ครั้งแรกๆของคุณ คุณจะค่อนข้างงงๆ กับมัน ยังตั้งหลักไม่ค่อยได้ว่าจะไปทางไหนดี ที่ไหนจะมีอะไรน่าสนใจหรือถูกใจคุณ แต่ไม่นานคุณก็จะเริ่มปรับตัวได้และเพียรรู้ว่าสิ่งที่คุณจะสนใจจเป็นอย่าง แรกคือ Homepage ถ้า web ไหนเปิดหน้าแรกขึ้นมาแล้วคุณสนใจ คุณก็จะเลือกที่จะเข้าไปดูอันนั้น ถ้าอันไหนไม่น่าสนใจก็ผ่านไปเลย ชาวกรกฎเป็นคนมีความจำที่ดี ทุกๆสิ่งทุกอย่างที่ผ่านสายตาคุณจาก web ต่างๆ คุณจะจำได้หมดและจะกลับไปดูอีกครั้งเสมอ ชาวกรกฎไม่ต้องการอะไรที่ทันสมัยมากมายจนตามไม่ทัน เท่าที่เป็นอยู่นี่ก็มีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ๆมาใช้กับการท่อง web ของคุณอีก


ราศีสิงห์(17 ส.ค.-16 ก.ย)

เมื่อ ชาวสิงห์กระโดดเข้าไปใน Cyber space คุณอาจจะพบกับความหงุดหงิดใจอยู่บ้าง เพราะชาวสิงห์ชอบที่จะเป็นจุดสนใจ ศูนย์กลางในการสนทนา หรือติดต่อกัน แต่ในโลกแห่ง Internet เป็นไปได้ยาก ทุกคนดูจะวุ่นวายกันไปหมด ไม่มีใครที่จะมาใส่ใจใครเป็นพิเศษ ความโดดเด่นที่มีในตัวคุณจะไม่ถูกนำออกมาใช้ให้คนเห็นได้ง่ายนัก และเมื่อคุณท่องเว็บ คุณจะไม่ค่อยสนใจกฎกติกา หรือคำแนะนำจาก web มากมาย มันน่ารำคาญและไม่จำเป็น คุณจะเปิดเข้าไปดูพร้อมๆกันที่ละหลายๆอันและไม่ค่อยเจาะจงอะไรเป็นพิเศษ เพราะคุณก็รู้ดีว่าอะไรคืออะไร ความสามารถในการใช้งานในโลก Internet ของชาวลีโอ ค่อนข้างจะดีมาก คุณจะหาสิ่งที่คุณต้องการได้เสมอ อยากทำอะไร หรืออยากให้มันเป็นแบบไหนคุณก็จะสามารถหามันจาก web ต่างๆได้ ความสามารถของชาวสิงห์อันนี้เหมาะกับการสร้างผลงานหรือทำธุรกิจ แบบe-commerce บนwebsiteได้ดี


ราศีกันย์(17 ก.ย.-16 ต.ค.)

ชาว ราศีกันย์ ผู้ที่ชอบออนไลน์และพบปะเพื่อนใน net เป็นประจำ คุณจะเลิกทำกิจกรรมทุกอย่างที่ทำอยู่ ถ้าคุณเจอเพื่อนของคุณ online ใน net โลกแห่ง Internet คือแหล่งข้อมูลและแหล่งนัดพบของคุณและเพื่อน ชาวกันย์จะสามารถหาข้อมูลทุกอย่างได้จาก Internet โดยจะค้นหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอข้อมูลที่ถูกใจ ชาวกันย์มีความสามารถพิเศษในการจดจำรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ของแต่ละ website ได้ดี และด้วยความสนใจเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้เป็นพิเศษ ทำให้คุณเข้าใจมันได้ดีและรวดเร็ว ชาวกันย์เป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีที่ดี เป็นที่ปรึกษาและเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นได้


ราศีตุลย์(17 ต.ค.-16 พ.ย.)

ชาว ราศีตุลย์ คือบุคคลที่เป็นที่ต้องการ และเป็นที่ใฝ่หาของคนที่ทำงานด้านเทคโนโลยีต่างๆ คุณจะมีพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเทคนิคต่างๆ ระบบต่างๆได้ดี เป็นผู้มีความสามารถในการค้นหาข้อมูลต่างๆ จาก Internet ได้คล่องแคล่วมาก ชาวตุลย์มีวิสัยทัศน์ที่แหลมคม ในการตัดสินใจเลือกสิ่งใดๆก็ตาม Chat room, e-mail คือสังคมที่มีสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคุณ ทำให้คุณไม่เบื่อและล้าหลัง เวลาที่ชาวตุลย์มีปัญหา กลุ้มใจ หรือเบื่ออะไร คุณมักจะมาระบายออกทาง Internet e-mail ไปคุยกับคนโน้นคนนี้ มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นและไม่เหงา แต่เมื่อคุณรู้สึกดีขึ้นแล้ว ชาวตุลย์ก็จะออกจาก Cyber space มาสู่โลกแห่งความจริงทันที


ราศีพิจิก(17 พ.ย.-15 ธ.ค.)

ชาว แมงป่องคุณเป็นคนที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์และข้อได้เปรียบจากการใช้งาน Internetให้ได้ประโยชน์กับคุณมากที่สุด ในการท่องเว็บของคุณนั้นคุณจะไม่ยอมให้มันนำพาคุณไปเรื่อยๆตามที่โปรแกรมถูก สร้างไว้ คุณจะใช้ความฉลาดของคุณในการทำอย่างไรก็ได้ให้มันประมวลผลได้ดีกว่าของคน อื่น ชาวราศีพิจิกมักจะสร้างระบบลับ รหัสส่วนตัวสำหรับคอมพิวเตอร์ไว้ใช้งานเพียงคนเดียว เพราะคุณจะเก็บความลับต่างๆไว้มากมายในคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับระบบการใช้งานของคุณที่ถูกสร้างเอา ไว้สำหรับคุณคนเดียว คุณมักจะสร้างปุ่มลัด (shot cut)ต่างๆมากมาย เพื่อประหยัดเวลาและลดขั้นตอนอันเยิ่นเย้อ คอมพิวเตอร์ของชาวพิจิกจะมีความแตกต่างจากเครื่องที่คนอื่นเขาใช้ทั่วไป มันจะถูกออกแบบวิธีการใช้งานใหม่โดยคุณชาวพิจิกเสมอ


ราศีธนู(16 ธ.ค.-15 ม.ค.)

สำหรับ ชาวราศีธนู คุณเป็นคนที่มี style เป็นของตนเอง ชอบกำหนดระบบต่างๆ ขึ้นเอง ดังนั้นสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณก็เช่นกัน คุณจะตั้งระบบของคุณขึ้นมาเอง ชาวธนูจะใช้ Internet ในการเสาะแสวงหาความรู้ข้อมูลต่างๆ และจะขุดคุ้ยข้อมูลอย่างเจาะลึกและละเอียดที่สุด ชาวธนูเป็นคนที่มีทักษะในการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ดี โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ คุณสามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่า เกิดประสิทธิผลสูงสุด ดังนั้นการใช้คอมพิวเตอร์ การเล่นอินเตอร์เน็ตจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากสำหรับคุณเลย และชาวราศีธนูก็จะรู้ดีเสมอว่า ข้อมูลแบบไหน ควรหาอย่างไร ใช้อย่างไร จึงจะเหมาะกับความต้องการของคุณที่สุด เพราะลูกศรจะวิ่งสู่เป้าหมายอย่างแม่น

ปีชง ปี2554 และวิธีแก้ชง ปรับดวงชง เสริมดวงชะตา


ปีพ.ศ.2554 นี้เป็นปีเถาะ (กระต่ายทองคำ : ซิ้งเบ้า)

ตามประเพณีการไหว้องค์ไท้ส่วย หรือไท้ส่วยเอี๊ยเป๋าส่วยกุงเผ่งอัง ในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ (ตรุษจีน) ของทุก ๆ ปี หรือที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนรู้จักกันดีในนามของ "เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา" นี้ เป็นเทพผู้ทรงสิทธิ์ และมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละปี อีกทั้งเป็นเคล็ดลับวิชาของซินแสจีนโบราณ ที่ยึดหลักการคำนวณและผูกดวงจีน ตามหลักของโป๊ยหยี่ซี้เถียว มาจากการคำนวณหาราศีบนเทียงถัง 10 ตัว มาผสมกับราศีล่าง (ตี่กี่) หรือ 12 นักษัตร ซึ่งไล่เรียงจับคู่กันได้ 60 คู่ เรียกว่า "หลักจับก๊ะจื้อ" โดยในรอบ 60 ปี จึงจะเวียนมาบรรจบครบรอบกัน 1 ครั้ง

ในรอบ 60 ปีนี้ จะมีเทพเจ้าไท้ส่วยประจำอยู่ในแต่ละปี ซึ่งจะมีชื่อเรียกขานต่าง ๆ กัน รวมกันได้ทั้งสิ้น 60 องค์ ทำหน้าที่รักษาและคุ้มครองดวงปี หรือที่เรียกว่า "เฝ้าปี" อยู่ ซึ่งจะถือว่าแต่ละองค์ จะมีอำนาจให้คุณดลบันดาลความสุข โชค เคราะห์ ทุกข์ภัย หรือให้โทษแก่ผู้ใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของท่าน โดยเฉพาะท่านที่มีเคราะห์หรือดวงชะตาอ่อน ทำอะไรก็ติดขัดไม่ราบรื่นสมหวัง ท่านก็จะช่วยปัดเป่าเคราะห์ภัย บังเกิดแต่ความเป็นสิริมงคลมาสู่ตัวท่านและครอบครัว

สำหรับปีเถาะ พ.ศ.2554 นี้ องค์ไท้ส่วยที่ลงมาสถิตเฝ้าปี มีพระนามว่า "ห่วมเล้งไต่เจียงกุง"

เหตุที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน ให้ความเคารพบูชากราบไหว้ เพราะมีความเชื่อว่าเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จะบันดาลความสุขความทุกข์ให้เกิดแก่ใครนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเมตตาของท่าน หากใครมีเกณฑ์ชะตาที่ดีอยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้น หากใครมีดวงชะตาที่ไม่ดีทำอะไร ก็มีปัญหาติดขัด ก็อธิฐานขอพรจากท่านให้ช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยให้ ดังนั้นในแต่ละปี จึงมีผู้คนไปกราบไหว้บูชาขอพร ให้อยู่เย็นเป็นสุขมีดวงชะตาที่ดีตลอดทั้งปี ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน จึงมีประเพณีในการไหว้ฝากดวงเพื่อสะเดาะเคราะห์ ต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย โดยเฉพาะ "ท่านที่เกิดปีชงกับองค์ไท้ส่วย" โดยท่านสามารถเดินทางไปไหว้สะเดาะเคราะห์ด้วยตนเองต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยได้ที่ วัดเล่งเน่ยยี่ ทั้ง 2 แห่งคือ ถนนเจริญกรุง และบางบัวทอง หรือฝากทางร้านประกอบพิธีให้ได้


ท่านที่มีปีเกิดที่ชงกับปีนี้ และควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วย" คือ ท่านที่เกิดปี ดังต่อไปนี้

1. ปีระกา (ไก่) ชง (ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้า "ไท้ส่วยเอี๊ย" และเป็นอริกับปีเถาะโดยตรง

2. ปีเถาะ (กระต่าย) ทับไท้ส่วย

3. ปีมะเมีย(ม้า) ปีร่วมชง และยัง "ผั่ว (แตกแยก)" กับปีเถาะด้วย

4. ปีชวด (หนู) ปีร่วมชง และยัง "เฮ้ง (เบียดเบียน)" กับปีเถาะด้วย

และท่านที่ห้ามไปเป็นเจ้าภาพหรือเข้าร่วมพิธีทั้งงานมงคล (แต่งงาน) และอัปมงคล (งานศพ รวมถึงการเยี่ยมไข้คนป่วยด้วย) แต่ถ้าหากไม่สามารถเลี่ยงได้ ก็ขอให้ละเว้นการไปดูศพเวลาฝังศพ (เผาศพ) หรือแม้แต่การส่งศพ และควรติดกิ่งทับทิมไปด้วย พร้อมทั้งเตรียมน้ำใส่กิ่งทับทิมไว้ด้วย สำหรับล้างหน้าก่อนที่จะเข้าบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากไปร่วมงานกลับมาแล้ว

เพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลต่าง ๆ จะปะทะให้เจ็บป่วยได้คือ ท่านที่เกิดในปีนักษัตร ในรอบปีต่อไปนี้

1. ปีระกา ท่านที่เกิด ปี2488 (อายุ 66ปี) ปี2512 (อายุ 42ปี) ปี2548 (อายุ 6ปี)

2. ปีเถาะ ท่านที่เกิด ปี2470 (อายุ 84ปี) ปี2530 (อายุ 24ปี)

3. ปีมะเมีย ท่านที่เกิด ปี2461 (อายุ 93ปี) ปี2521 (อายุ 33ปี)

4. ปีชวด ท่านที่เกิด ปี2479 (อายุ 75ปี) ปี2503 (อายุ 51ปี) ปี2539 (อายุ 15ปี)

เพราะทั้ง 10 ปีนี้เป็น "ไท้ส่วยเฮี้ยบจี่จู้" แปลว่า "ไท้ส่วยตรงเจ้าพิธี" นอกจากจะนำพาสิ่งอัปมงคลทั้งหลายมาให้แล้ว ยังถือเป็น การหมิ่น และลบหลู่ต่อองค์ไท้ส่วยอีกด้วย

ถ้าหากท่านมีความจำเป็นต้องไปร่วมงานอัปมงคลต่าง ๆ (รวมถึงการเยี่ยมไข้คนป่วยด้วย) วันที่ท่านควรหลีกเลี่ยงการไปร่วมกิจกรรมดังกล่าวในปี 2554 มี 36วัน ดังนี้

15มค. 24มค. 27มค. 16กพ. 28กพ. 1มีค. 16มีค. 25มีค. 28มีค. 17เมย. 29เมย.

30เมย. 15พค. 24พค. 27พค. 26มิย. 28มิย. 29มิย. 14กค. 23กค. 26กค. 15สค.

27สค. 28สค. 12กย. 21กย. 24กย. 14ตค. 26ตค. 27ตค. 11พย. 20พย. 23พย.

13ธค. 25ธค. 26ธค. (หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความเป็นมงคลแก่ตัวท่าน)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2554 นี้ บ้านที่หน้าบ้าน หรือโต๊ะทำงาน หรือหัวเตียงหันไปทางทิศตะวันออก (ทิศอัปมงคล ดาว 5) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ

"บุ้งกี๋โกยเงินทอง" หรือทิศตะวันตก(ทิศอัปมงคล ดาว9) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "น้ำเต้าในพระหัตถ์" และทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ทิศอัปมงคล ดาว4) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "งูหงส์เสริมอำนาจบารมี" เพื่อเป็นการแก้ไขทิศทางฮวงจุ้ยที่ไม่ดีให้ดีขึ้น ช่วยคุ้มครองปัดเป่าความทุกข์ บันดาลความสุขมาสู่ตัวท่าน และครอบครัวไปตลอดทั้งปี

วิธีบูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 9 ดอก ไหว้พระประธานในวัดก่อน (ปักธูปกระถางละ 3 ดอก) จากนั้นจึงไปไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 3 ดอกวิงวอนขอพรท่าน ให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองจากภยันอันตรายต่าง ๆ ที่ท่านอาจประสบพบเจอในปีนี้ จากหนักให้กลายเป็นเบา จากเบาก็ให้มลายสูญสิ้นไป ซึ่งทางวัดเล่งเน่ยยี่จะมีพิธีสวดมนต์เสริมสิริมงคล หรือพิธีนำซิ้งเต๋าเก็ง

เพื่อให้ท่านและครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข หมดทุกข์หมดเคราะห์ไป ตลอดทั้งปเครื่องบูชาเทพเจ้าไท้ส่วย มีดังนี้

1. ธูป 3 ดอก ต่อ 1 ท่าน

2. เทียนแดง 1 คู่

3. หงิ่งเตี๋ย 12 คู่

4. ตั่วกิม 12 แผ่น (กระดาษทอง)

5. ทุกหลั่งจี๊ 12 แผ่น

6. เป๋าอุ่งจี๊ 12 แผ่น

7. เผ่งอังจี๊ 12 แผ่น

8. กระดาษแดง (อั่งเถียบ) 1 แผ่น

9. ขนมจันอับ (จับกิ้มทึ้ง) 1 จาน

อันประกอบด้วย....
- ถั่วเคลือบน้ำตาลสีขาว - ถั่วเคลือบน้ำตาลสีชมพู - ฟักเชื่อม - ถั่วตัด - ข้าวพอง

10. ส้ม 4 ผล 1 จาน


1. นำกระดาษแดงที่เขียน ชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด (และเวลาตกฟาก) วางลงบนกระดาษไหว้ ใช้หนังสติ๊ก หรือเชือกแดงมัดไว้

2. จัดส้ม 4 ผล และขนมจันอับใส่จานจัดวางต่อหน้าองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย

3. จุดเทียนแดงปักไว้ข้าง ๆ กระถาง จากนั้นจุดธูป 3 ดอก อธิษฐาน.....

คำอธิษฐานขอพรไหว้เทพเจ้าไท้ส่วย

วันนี้ตรงกับวันที่...เดือน.....พ.ศ. ... ข้าพเจ้าชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...
ขออัญเชิญเทพเจ้า "ห่วมเล้งไต่เจียงกุง" โปรดเสด็จมารับเครื่องสักการบูชาทั้งหลาย เมื่อรับแล้วโปรดประทานพรให้ข้าพเจ้าและครอบครัวประสบแต่สรรพสิริมงคล มีความสุขความเจริญก้าวหน้าอุดมด้วยโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย สิ่งอัปมงคลทั้งหลายอย่าได้แผ้วพาน ขอให้สมความปรารถนาด้วยมงคลทั้งปวงเทอญ

4. ถ้าเป็นของตนเอง ให้หยิบชุดสะเดาะเคราะห์ที่เตรียมไว้ตามข้อ 1 ปัดตั้งแต่ศรีษะลงมาจนสุดแขน 12 ครั้ง (หมายเหตุ ถ้าท่านไปไหว้แทนบุคคลอื่น ก็ไม้ต้องทำพิธีปัดตัว แต่ให้กระทำโดยปัดเสื้อของบุคคลนั้นแทน) ขณะปัดตัวให้กล่าวว่า "บังเกิดแต่สิ่งรุ่งเรืองก้าวหน้า สิ่งอัปมงคลให้ปัดเป่าหายไป"

5. นำชุดสะเดาะเคราห์วางลงในกล่องรับฝากที่ทางวัดจัดไว้ให้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี ของเซ่นไหว้ต่าง ๆ ถวายให้วัดไม่ต้องนำกลับบ้าน (ของไหว้ที่รับประทานได้ ไม่ต้องเก็บกลับบ้านให้วางไว้ที่วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล)

หมายเหตุ ท่านสามารถไปทำพิธีได้ทุกวันที่ท่านสะดวก (ควรเป็นช่วงเวลาเช้า ๆ ก่อนเที่ยง) และ

-ผู้หญิงขณะมีประจำเดือนไม่ควรทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้งดเว้นไปก่อน

-เจ้าชะตาปีเถาะ และเจ้าชะตาปีระกา ขณะนำชุดกระดาษไหว้มาปัดตัว ต้องให้ผู้มีอาวุโสกว่าเราปัดให้เท่านั้น

ช่วงปีใหม่ และตรุษจีน ปี2554 ควรหาโอกาสไปไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ ตามแต่ที่จะเสริมปีนักษัตรตนเอง (รายละเอียดมีกล่าวไว้ตามปีนักษัตรแต่ละปี และมีสรุปไว้อีกครั้งตอนท้ายบทความ)

และหาวัตถุมงคลหรือเครื่องรางที่เป็นสิริมงคลมาเสริมดวงชะตาโดยตั้งไว้ที่ บ้าน (ที่ทำงาน) หรือติดตัว เพื่อเป็นการแก้ชง ปรับดวงชง หรือเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะปีนักษัตรที่ชงทั้ง 4 ปี

1. ปีระกา (ไก่) (ชง : ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา "ไท้ส่วยเอี๊ย" และเป็นอริกับปีเถาะโดยตรง อีกทั้งยังมีดาวอัปมงคลเพ่งเล็งอยู่มากมาย โชคชะตาจึงตกต่ำมัวหมอง มีอุปสรรคปัญหารุมเร้า โชคลาภอับเฉา เงินทองรั่วไหล ต้องระวังอุบัติเหตุเคราะห์ภัยต่าง ๆ และต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าทำเรื่องผิดกฎหมายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะต้องรับผลกรรมที่ตามมา

จี้มงคลเสริมราศีปีระกา 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีระกา 2554 ฉะนั้นจึงควรหาทางป้องกันแก้ไข ขจัดภัย สลายเคราะห์ ปรับเปลี่ยนร้ายให้เป็นดี โดยการจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "ไก่สวรรค์ มังกรเทพ คุ้มภัย เสริมโชคลาภ" เพื่อปกป้องคุ้มครองให้ชาวปีระกาแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง โชคลาภสดใส มั่งคั่งร่ำรวย มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" องค์เทพเสริมราศีปีระกา 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และ "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" วัดเล่งเน่ยยี่ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

2. ปีเถาะ (กระต่าย) ปีนี้ดวงของคุณไม่ชงโดยตรงแต่ก็ "ทับองค์ไท้ส่วย" และมีดาวร้ายหลายดวงคอยคุกคามอยู่ โดยเฉพาะดาวกระบี่คม "เจี้ยนฟง" คอยจ้องทำร้ายให้บาดเจ็บ เลือดตกยางออก การงานการค้าไม่เจริญก้าวหน้า และต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุเคราะห์ภัยต่าง ๆ ให้ดี ฉะนั้นจงอย่าประมาท

วัตถุมงคลเสริมราศีปีเถาะ 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีเถาะ 2554 หากคิดป้องกันแก้ไขกลับร้ายให้กลายเป็นดี จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "ช้างถวายคัมภีร์ เสริมส่งโชคลาภ บารมี" เพื่อสลายพลังร้าย ขจัดเคราะห์ ต้านภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง โชคลาภเงินทองเพิ่มพูน สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเภทภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"พระยูไล" องค์เทพเสริมราศีปีเถาะ 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และ "พระยูไล" วัดเล่งเน่ยยี่ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "พระยูไล" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

3. ปีมะเมีย (ม้า) ปีนี้ดวงของคุณไม่ชงโดยตรงแต่ก็ถือว่า "ร่วมชงองค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และยัง "ผั่ว (แตกแยก)" กับปีเถาะด้วย โดยปี นี้ดวงคุณมีดาวมงคลพระจันทร์ "ไท่อิน" และสวรรค์ยินดี "เทียนสี่" โคจรเข้ามาเสริมส่งให้ประสบความเจริญก้าวหน้าทั้งเรื่องความรักและการงานการค้า แต่ก็มีดาวอัปมงคลหลายดวงเข้ามาคุกคามทำให้สุขภาพอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย การงานการค้าติดขัดเกิดปัญหา ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท

จี้มงคลเสริมราศีปีมะเมีย 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะเมีย 2554 หากคิดป้องกันแก้ไข ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "งาช้างมงคล สมบัติล้ำค่า" ที่มีอานุภาพสูงส่ง เพื่อสลายพลังร้ายให้หมดไป พร้อมทั้งเสริมส่งความรักให้สมหวัง การงานการค้าเจริญก้าวหน้า มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"เจ้าแม่ทับทิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเมีย 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" วัดเล่งเน่ยยี่ และ "เจ้าแม่ทับทิม" บริเวณวัดเลียบสะพานพุทธ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "เจ้าแม่ทับทิม" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

4. ปีชวด (หนู) ปีนี้ดวงของคุณไม่ชงโดยตรงแต่ก็ถือว่า "ร่วมชงองค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และยัง "เฮ้ง (เบียดเบียน)" กับปีเถาะด้วยโดยปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลนกคู่แห่งรัก "หง หลวน" และดาวแห่งความร่ำรวย "ฟู่ซิง" โคจรเข้ามาส่งความสุขสดชื่น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง แต่กลับมีดาวภัยเพราะปาก "เจวี่ยนเสอ" ดาวทุกข์ลาภ "พี๋ม๋า" กับดาวสระน้ำเค็ม "เสียนฉือ" เข้ามาจ้องทำลาย จึงต้องปฏิบัติตัวให้ดี ทั้งคำพูดคำจาและเอาใจใส่ผู้อาวุโสให้ใกล้ชิด สิ่งสำคัญต้องลดละเลิกเรื่องสุรานารี ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท

วัตถุมงคลเสริมราศีปีชวด 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีชวด 2554 หากคิดป้องกันแก้ไขควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "หงหลวนเคียงคู่ รักโชคล้นหลาม" ที่มีอานุภาพในการเสริมส่งความรัก และสุขภาพให้แข็งแรง การงานการค้าเจริญก้าวหน้า กระตุ้นเปิดรับโชคลาภ พร้อมทั้งสลายพลังร้าย ขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัย ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดทั้งปี

"องค์ลื่อต่งปิง" องค์เทพเสริมราศีปีชวด 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" วัดเล่งเน่ยยี่และ "องค์ลื่อต่งปิง" ศาจเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "องค์ลื่อต่งปิง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

5. ปีมะโรง (มังกร,งูใหญ่) ปีนี้ดวงของคุณตามหลักโหราศาสตร์จีนถือว่า "ไห่(ให้ร้าย)" (เป็นการปะทะรูปแบบหนึ่ง)กับปีเถาะ กล่าวคือคุณจะเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนมากขึ้น โมโหง่ายไม่อดทนโดยไม่มีสาเหตุ เป็นเหตุให้การงานเสียหาย และมีศัตรูเพิ่มมากขึ้นได้

โดยปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลพระอาทิตย์ และดาวอานม้ามาช่วยเสริมส่งให้มีความเจริญก้าวหน้ามีชัยชนะเหนือคู่แข่ง ปรปักษ์แต่ก็มีดาวอัปมงคลหลายดวงโคจรเข้ามาคุกคาม จึงต้องประพฤติตัวให้ดี ต้องจริงใจเป็นมิตร จึงจะได้รับความร่วมมือช่วยเหลือ และระวังเรื่องเงินทองรั่วไหล การใช้จ่ายที่เกินตัว จนอาจสร้างปัญหาได้

วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะโรง 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีมะโรง 2554 ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "พระอาทิตย์เสริมส่ง เรือมังกรให้โชคลาภ" เพื่อเสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นโชคลาภให้สดใส เงินทองไหลเข้าไม่รั่วออก สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัยตลอดปี

"องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" องค์เทพเสริมราศีปีมะโรง 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" วัดเล่งเน่ยยี่ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

6. ปีฉลู (วัว) ปีนี้ดวงคุณมีดาวอัปมงคล หมาสวรรค์ "เทียนโกว" ดาวแห่งการสูญเสีย "เตี๊ยวเคอะ" และดาวหางเสือดาว "เป้าเหว่ย" ส่งผลให้ดวงชะตามัวหมอง โชคลาภอับเฉา ธุรกิจการงานประสบปัญหากับผู้บังคับบัญชาและคนรอบข้าง อีกทั้งต้องระวังอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด และต้องเอาใจใส่เด็ก ๆ กับผู้อาวุโสให้ดี อย่าได้ประมาท

จี้มงคลเสริมราศีปีฉลู 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีฉลู 2554 ฉะนั้นจงอย่าประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ปรับเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "หลีฮื้อพ่นทรัพย์ โชคลาภสดใส" เพื่อ สลายขับไล่พลังร้ายให้สูญสิ้นไป พร้อมทั้งเสริมส่งให้การงานการค้าเจริญก้าวหน้า กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้เงินทองไหลเข้าและหลุดพ้นจากเคราะห์ภัยต่าง ๆ อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ฮั่วกวงไต่ตี่" องค์เทพเสริมราศีปีฉลู 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "ฮั่วกวงไต่ตี่" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "ฮั่วกวงไต่ตี่" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

7. ปีขาล (เสือ) ปีนี้ดวงคุณมีดาวอัปมงคล "หวันสึน" และดาวป่วยไข้ "ปิ้งฝู" จอมมารแห่งโรคภัยที่คืบคลานเข้ามาคุกคาม จึงต้องระวังเรื่องความปลอดภัยต่างๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เอาใจใส่การงานการค้าให้ดี รวมทั้งเรื่องอาหารต้องถูกสุขลักษณะ จึงจะหลุดพ้นจากโรคภัย

วัตถุมงคลเสริมราศีปีขาล 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีขาล 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ขจัดภัยสลายเคราะห์ จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว(ติดรถ) "โหงวฮก 5 ค้างคาว 5 พรมงคล" เพื่อ กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้เงินทองไหลมาเทมา การงานการค้ามีความเจริญก้าวหน้า สุขภาพแข็งแรงแคล้วคลาดปลอดภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ไท้เสียงเหล่ากุง" องค์เทพเสริมราศีปีขาล 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "ไท้เสียงเหล่ากุง" ศาลเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "ไท้เสียงเหล่ากุง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

8. ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปีนี้ดวงคุณมีดาวประตูมรณะ "ซั่งเหมิน" และดาวปฐพีพิฆาต "ตี้ซา" เข้ามาเพ่งเล็งส่งผลร้ายเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางบนท้องถนนเป็นพิเศษ ส่วนด้านการงานและการค้ามักมีอุปสรรคไม่ก้าวหน้า จึงต้องเสาะแสวงหาแนวทางใหม่ๆ มาช่วยแก้ไข

จี้มงคลเสริมราศีปีมะเส็ง 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะเส็ง 2554 ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "อูฐบรรทุกสมบัติ เต่าอายุวัฒนะ" เพื่อขจัดเคราะห์ภัย พร้อมทั้งเสริมส่งให้สุขภาพแข็งแรง การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นโชคลาภให้สดใส ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"เจ้าแม่กวนอิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเส็ง 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "เจ้าแม่กวนอิม" โรงพยาบาลเทียนฟ้า เยาวราช หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "เจ้าแม่กวนอิม" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

9. ปีมะแม (แพะ) ปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลหลายดวงโคจรเข้ามาเสริมส่ง ให้โชคชะตารุ่งโรจน์สดใส การงานการค้าเจริญก้าวหน้า แต่มีดาวผลุบโผล่ "ฝู่เฉิน" และดาวเลือดตกยางออก "เสว่เยิ่น" แทรกแซงเข้ามาสร้างความยากลำบากในการทำงานและการค้า รวมทั้งอาจเกิดเคราะห์ภัยเลือดตกยางออก และภัยที่เกิดจากทางน้ำ

จี้มงคลเสริมราศีปีมะแม 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะแม 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "ฮก ลก ซิ่ว ประทานพร" เพื่อ คุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้มั่งคั่งร่ำรวย มีสุขภาพแข็งแรง หมดเคราะห์หมดภัย สุขสบายมีชัยตลอดปี

"เจ้าแม่เทียนโหว" องค์เทพเสริมราศีปีมะแม 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "เจ้าแม่เทียนโหว" วัดเลียบสะพานพุทธ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "เจ้าแม่เทียนโหว" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

10. ปีวอก (ลิง) ปีนี้แม้ดวงคุณมีดาวมงคลคุณธรรมพระจันทร์มาช่วยเสริมส่ง แต่ก็ไม่มีพลังพอที่จะต่อสู้กับดาวอัปมงคลที่ห้อมล้อมอยู่มากมายจึงส่งผลให้ สุขภาพอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย โชคลาภอับเฉา เงินทองรั่วไหล และอาจมีอุบัติเหตุเคราะห์ภัย ถูกปล้นชิงวิ่งราวและถูกทำร้ายได้

จี้มงคลเสริมราศีปีวอก 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีวอก 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไขกลับร้ายให้กลายเป็นดี จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "กวักโชคกวักลาภ เหลือกินเหลือใช้" เพื่อ เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้มั่งคั่งร่ำรวย มีสุขภาพแข็งแรง พ้นเคราะห์พ้นภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ซักบ่อเซียน" องค์เทพเสริมราศีปีวอก 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "ซักบ่อเซียน" โรงเจพ่งไล้กิวเกาะ ซอยโรงเลี้ยงเด็กสวนมะลิ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "ซักบ่อเซียน" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

11. ปีจอ (สุนัข) ปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลดอกไม้จักรพรรดิ "จื่อเว่ย" และดาวคุณธรรมมังกร "หลงเต๋อ" โคจรเข้ามาเปล่งรัศมีสดใสอยู่ในเรือนชะตา ส่งผลให้ประสบความสำเร็จทั้งการงานและการค้า สามารถมีชัยต่ออุปสรรคปัญหาทั้งหลายทั้งปวง แต่มีดาวทำลายให้พ่ายแพ้ "เป้าไป้" โคจรเข้ามาคอยซุ่มดักรอหาโอกาสทำลายท่านให้พ่ายแพ้ล้มครืนลง

จี้มงคลเสริมราศีปีจอ 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีจอ 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "เต่าหัวมังกรจตุรทิศ เสริมลาภยศบารมี" เพื่อเสริมส่งลาภยศบารมีให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรืองกระตุ้นเปิดรับโชคลาภเงิน ทองไหลมาเทมา คุ้มครองให้ปราศจากอุปสรรคเคราะห์ภัย มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว

"เจ้าพ่อกวนอู" องค์เทพเสริมราศีปีจอ 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "เจ้าพ่อกวนอู" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "เจ้าพ่อกวนอู" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

12. ปีกุน (หมู) ปีนี้ดวงชะตาไม่ค่อยสดใส เนื่องจากมีดาวอัปมงคลรุมล้อมสร้างความเสียหาย โดยเฉพาะดาวเสือขาว "ไป๋หู่" และดาวศัตรูที่ซ่อนเร้น "จื่อเป้ย" ที่จะส่งผลทำให้เกิดเคราะห์ภัยต่าง ๆ อย่างไม่ทันรู้ตัวการงานการค้ามีอุปสรรค และมีศัตรูปรปักษ์แอบแฝงอยู่ โชคลาภการเงินอับเฉา จึงต้องระวัง อย่าประมาท

จี้มงคลเสริมราศีปีกุน 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีกุน 2554 ฉะนั้นหากคิดป้องกันแก้ไข ขจัดภัยสลายเคราะห์ เสริมส่งโชคลาภให้สดใส จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "หมื่นม้านำชัย เสริมส่งโชคลาภ" เพื่อ กระตุ้นเปิดรับโชคลาภ ให้เงินทองไหลมาเทมา การงานการค้ามีเจริญก้าวหน้า แคล้วคลาดปลอดภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" องค์เทพเสริมราศีปีกุน 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชา "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี





ปีใหม่ และตรุษจีน ปี2554 ทุกราศีควรไปไหว้ เทพเจ้าเสริมดวงชะตา ดังนี้

ปีชวด (หนู) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "องค์ลื่อต่งปิง" องค์เทพเสริมราศีปีชวด 2554 "องค์ลื่อต่งปิง" ศาจเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย

ปีฉลู (วัว) ให้ไปไหว้ขอพร "ฮั่วกวงไต่ตี่" องค์เทพเสริมราศีปีฉลู 2554 "ฮั่วกวงไต่ตี่" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช

ปีขาล (เสือ) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้เสียงเหล่ากุง" องค์เทพเสริมราศีปีขาล 2554 "ไท้เสียงเหล่ากุง" ศาลเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย

ปีเถาะ (กระต่าย) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "พระยูไล" องค์เทพเสริมราศีปีเถาะ 2554 "พระยูไล" วัดเล่งเน่ยยี่

ปีมะโรง (งูใหญ่) ให้ไปไหว้ขอพร "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" องค์เทพเสริมราศีปีมะโรง 2554 "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ หรือ วัดทิพย์วารี หลังจราจรกลาง ถ.ตรีเพชร กทม หรือทุกศาลเจ้า ที่มีองค์ไท้เอี้ยง

ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ให้ไปไหว้ขอพร "เจ้าแม่กวนอิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเส็ง 2554 "เจ้าแม่กวนอิม" โรงพยาบาลเทียนฟ้า เยาวราช

ปีมะเมีย (ม้า) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "เจ้าแม่ทับทิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเมีย 2554 "เจ้าแม่ทับทิม" บริเวณวัดเลียบสะพานพุทธ

ปีมะแม (แพะ) ให้ไปไหว้ขอพร "เจ้าแม่เทียนโหว" องค์เทพเสริมราศีปีมะแม 2554 "เจ้าแม่เทียนโหว" วัดเลียบสะพานพุทธ

ปีวอก (ลิง) ให้ไปไหว้ขอพร "ซักบ่อเซียน" องค์เทพเสริมราศีปีวอก 2554 "ซักบ่อเซียน" โรงเจพ่งไล้กิวเกาะ ซอยโรงเลี้ยงเด็กสวนมะลิ

ปีระกา (ไก่) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" องค์เทพเสริมราศีปีระกา 2554 "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" วัดเล่งเน่ยยี่

ปีจอ (หมา) ให้ไปไหว้ขอพร "เจ้าพ่อกวนอู" องค์เทพเสริมราศีปีจอ 2554 "เจ้าพ่อกวนอู" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช

ปีกุน (หมู) ให้ไปไหว้ขอพร "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" องค์เทพเสริมราศีปีกุน 2554 "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ ถ.ตะนาว เสาชิงช้า หรือทุกศาลเจ้าที่มีองค์เจ้าพ่อเสือ


ถ้าท่านไม่สามารถไปไหว้เทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามที่แนะนำได้ ก็ให้ไปไหว้พระประธาน ในวัดหรือเทพเจ้าที่คุณเคารพบูชาที่ศาลเจ้าใดก็ได้ที่อยู่ใกล้บ้านคุณ โดยนำเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาตามปีเกิดของคุณ ไปวางไว้เบื้องหน้าของคุณแล้วอธิฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาดังนี้

ข้าพเจ้า ขอกราบบูชา "..........(ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปสักการะที่วัดหรือศาลเจ้า)" ขอพระองค์จงช่วยประทานอำนาจบารมีแด่ "....(ชื่อเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาประจำปี 2554 ตามปีเกิดคุณ)" ซึ่งมาสถิตในเรือนชะตาของข้าพเจ้า (ชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...) ด้วยความศรัทธายิ่ง ขอได้โปรดประทานพรให้ข้าพเจ้า ปราศจากอุปสรรคแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง พร้อมทั้งประทานความสำเร็จ ความสุขความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรงและโชคดีตลอดปี 2554 นี้ แก่ข้าพเจ้าเทอญ....สาธุ

หากวัดหรือศาลเจ้านั้นมีเทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามปีเกิดของคุณก็ให้ไปอธิษฐานขอพรจากองค์เทพนั้นโดยตรงโดยอธิฐาน ดังนี้

ขอกราบบูชา และต้อนรับ "....(ชื่อเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาประจำปี 2554 ตามปีเกิดคุณ)" ซึ่งมาสถิตในเรือนชะตาของข้าพเจ้า (ชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...) ด้วยความศรัทธายิ่ง ขอได้โปรดประทานพรให้ข้าพเจ้า ปราศจากอุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง พร้อมทั้งประทานความสำเร็จ ความสุขความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรงและโชคดีตลอดปี 2554 นี้ แก่ข้าพเจ้าเทอญ....สาธุ

ปวด...ป๊วด...ปวด สารพัดปวดหัวที่คุณต้องรู้


เชื่อว่าสาวออฟฟิศที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพ์เป็นเวลานานๆ คงเคยเจอฤทธิ์เดชของอาการปวดหัวมาบ้างแล้ว บางรายคิดว่าอาการปวดหัวไม่อันตราย กินยาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่คุณทราบหรือไม่ว่า อาการปวดหัวที่คุณเป็นอยู่อาจมีอาการของโรคอื่นซ่อนอยู่ด้วย

ปวดหัว...ที่ไม่ใช่แค่ปวดหัว

อาการปวดหัวที่เราพบได้ทั่วๆ ไปคือการปวดหัวจากความตึงเครียด การทำงานหนัก เพลีย โกรธ อาการคล้ายๆ ปวดที่ขมับ ท้ายทอย รู้สึกตึงๆ เหมือนมีอะไรรัดศีรษะ การรักษาอาจใช้ยาแก้ปวดหัวธรรมดา นอนพักผ่อน แต่ถ้าเป็นการอาการปวดหัวซึ่งมีอาการร่วมของโรคอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เรามีวิธีสังเกตได้ต่อไปนี้

ปวดระยะสั้นๆ แต่รุนแรง อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง หรือเลือดออกในสมอง โดยเฉพาะถ้ามีอาการคอตึงแข็งหรืออาเจียน อาจเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ปวดสม่ำเสมอและปวดนานๆ มักเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดจากความตึงเครียด หรือปวดหัวไมเกรน

ปวดแปลบๆ เหมือนไฟช็อต บริเวณหน้า แก้ม โดยเฉพาะเวลาเคี้ยว อาจจะเป็นอาการของโรคปลายประสาทอักเสบ

ปวดหัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามัวพร่ามากขึ้น หรือเห็นภาพซ้อน ร่างกายอ่อนแรง ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า และน้ำหนักลด กินอาหารไม่ได้ อาจเป็นโรคมะเร็งในสมอง

ปวดหัวตุบๆ ข้างเดียวหรือสองข้าง ก่อนปวดมีอาการเห็นแสงแปลกๆ คลื่นไส้ เป็นอาการปวดไมเกรน

ปวดแล้วมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหน้าผาก มีน้ำมูกไหล อาจจะเป็นการปวดจากไซนัส

ปวดฉับพลันที่ท้ายทอย และมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน และอ่อนแรงทันที อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองแตก

ปวดหัวและปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท แขนขาอ่อนแรง เดินเซ หรือชาตัวครึ่งซีก อาจเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ

ปวดมากที่ขมับ หรือปวดเมื่อยทั้งตัว ในคนอายุมากอาจเป็นอาการของหลอดเลือดสมองอักเสบ

ดูแลอาการปวดหัวด้วยตัวเอง

ถ้าเป็นอาการปวดหัวที่ไม่รุนแรงหรือฉับพลัน เราสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีเหล่านี้

ผ่อนคลายความตึงเครียดเหนื่อยล้า ด้วยการพยายามพักสายตา พักผ่อนร่างกายและจิตใจให้เพียงพอ

เปลี่ยนอิริยาบถจากงานประจำที่เป็นอยู่ ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อพักสมอง เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ หรือฟังธรรม

เปลี่ยนองค์ประกอบในบ้านหรือโต๊ะทำงาน เช่น จัดห้อง จัดโต๊ะทำงาน ให้รู้สึกโล่ง สบาย ไม่อุดอู้

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการปวดหัว เพราะการออกกำลังการจะทำให้ระบบไหลเวียนของการร่างกายทำงานดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ

นวดประคบ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นนวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และต้นคอ จะทำให้รู้สึกดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ

ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาควรใช้ยาพาราเซตามอล หรือแอสไพริน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ แต่ไม่ควรกินบ่อยครั้ง หากมีอาการรุนแรงเกินกว่ายาจะบรรเทาได้ควรรีบไปพบแพทย์

รู้วิธีแล้วลองปฏิบัติดูนะคะ อย่าปล่อยให้อาการปวดหัวสะสมจนลุกลามเป็นโรคเรื้อรังที่มาเบียดบังความสุขประจำวันของชีวิตคุณเลย

กินยาพาราฯ แค่ไหนไม่อันตราย

การกินยาพาราเซตามอลในปริมาณที่ถูกต้อง คือต้องกินในขนาด 10 มิลลิกรัม(มก.) ต่อน้ำหนัก ตัว 1 กิโลกรัม(กก.) ต่อครั้ง และกินห่างกันทุก 4-6 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าหากคุณมีน้ำหนักตัว 30 กก. ก็ควรกินยาพารา = 10 x 30 = 300 มก. หรือหากมีน้ำหนักตัว 60 กก. ควรกินยาพารา = 10 x 60 = 600 มก. เป็นต้น
ยาพาราที่วางขายนั้นมีอยู่ 2 ขนาด คือ 325 มก. และ 500 มก. แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบบ 500 มก. มากกว่า ดังนั้นหากคุณมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพาราขนาด 500 มก. จำนวน 1 เม็ด แต่หากว่าคุณน้ำหนักตัวมากกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพารา 2 เม็ด
แม้ว่ายาพาราจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หากกินอย่างถูกต้องในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าหากกินนานติดต่อเกิน 5 วัน ก็อาจมีผลเสียต่อตับได้ค่ะ

ผ่าฟันคุด…ทำไมไม่ใช้ยาสลบ


คุณหมอขา หนูมีฟันคุด แต่กลัวฉีดยาชา ขอดมยาสลบเลยได้ไหมคะ ? …

ได้ครับ แต่โดยทั่วไปการผ่าฟันคุดก็ไม่จำเป็นต้องผ่าพร้อมกันทุกซี่ สามารถทยอยผ่าออกทีละ 1 หรือ 2 ซี่โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ก็สามารถทำได้แล้ว ความเสี่ยงก็น้อยกว่าการดมยาสลบ แต่สำหรับการดมยาสลบ ทันตแพทย์จะพิจารณาจากตัวผู้ป่วยเป็นสำคัญ อาทิ ผู้ป่วยแพ้ยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยเด็กหรือบุคคลปัญญาอ่อนที่ไม่ให้ความร่วมมือในการผ่าตัด ผู้ป่วยที่ไม่สามารถฉีดยาชาเฉพาะที่แล้วระงับความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ป่วยที่กลัว วิตกกังวล จนไม่สามารถทนต่อการผ่าตัดได้ และผู้ป่วยอัมพาต ที่ไม่รู้สึกตัวหรือไม่ตอบสนองต่อความรู้สึก นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ป่วยที่มีฟันคุดหลายซี่

การผ่าตัดฟันคุดไม่ได้เจ็บหรือน่ากลัวอย่างที่คิด แต่การปล่อยให้มีฟันคุดแล้วเกิดอาการปวดนี่สิน่ากลัวกว่า ฉะนั้นเมื่อทราบว่ามีฟันคุด หรือ อายุอยู่ในช่วง 18 - 25 ปี ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและเอกซเรย์ จะได้ทราบว่ามีฟันคุดอยู่ทั้งหมดกี่ซี่ หลังจากนั้นก็ทยอยผ่าตัดเอาฟันคุดออกให้เสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อป้องกันอาการปวดหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่จะเกิดขึ้นจากฟันคุด

ที่สำคัญ แม้ การใช้ยาสลบร่วมกับการผ่าตัดจะมีข้อดี เพราะสามารถทำได้ภายในครั้งเดียวโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว แต่ก็ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของการดมยาสลบด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคทางสมอง และอื่นๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการดมยาสลบ

ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ทันตแพทย์จะไม่ใช้ยาสลบเพื่อระงับความรู้สึกเป็นทางเลือกแรกในผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดฟันคุดครับ

บอกลาสิวอุดตัน ไม่ต้องบีบ


สาว ๆ ที่มีปัญหาสิวอุดตัน มักจะรู้สึกรำคาญ และคันไม้คันมือทุกครั้งที่ได้ส่องกระจกมองดูตัวเอง ยิ่งหัวสิวขาวเป่งแล้วล่ะก็ หลายคนก็เผลอบีบมันออกกันได้ง่าย ๆ เลยล่ะ

อ๊ะ ๆ แต่นั่นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเลยค่ะ เพราะมันจะทำให้ผิวหน้าเป็นรู ไม่เรียบเนียนได้อย่างง่าย ๆ แถมยังทำให้เกิดรอยดำอย่างที่ยากจะรักษาหายได้อีก วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยมีวิธีดี ๆ สำหรับสาวที่มีสิวอุดตันมาฝากกัน ก่อนอื่นท่องไว้เลยค่ะว่า ห้ามบีบหัวสิวออกเด็ดขาด เสร็จแล้ว ก็ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้กันเลย

1. ดื่มน้ำเยอะ ๆ ในแต่ละวัน เพราะน้ำจะช่วยล้างสารพิษในร่างกาย

2. ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยนทุกวัน และสครับหน้าเบา ๆ อย่างน้อย
สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

3. อบไอน้ำผิวสัปดาห์ละครั้ง เพื่อเปิดรูขุมขนให้ไอน้ำเข้าไปทำความสะอาด

4. ใช้เปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวสับสะเอียด ผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปพอกหน้าประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก เปลือกส้มและเปลือกมะนาวจะช่วยกำจัดสิวอุดตันออกไปจากใบหน้าได้ค่ะ

5. ใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ชนิดออยล์ฟรีทาบนใบหน้า หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันทุกชนิด

6. ใช้น้ำผึ้งพอกหน้าให้ได้สัปดาห์ละ 4 ครั้ง และทุกครั้งที่พอกให้ใช้มือนวดหน้า 2-3 นาที ก่อนทิ้งไว้แล้วล้างออก

ทั้งนี้ อย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนทำทุก ๆ ขั้นตอนนะคะ เพราะไม่งั้น นอกจากสิวอุดตันจะไม่หายแล้ว เรายังได้มันมาเพิ่มอีกแน่ ๆ

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชัก


คนที่เป็น โรคลมชัก มักจะมีอาการอยู่ดี ๆ เป็นลมหมดสติล้มพับกับพื้น (เกิดอาการวูบ) ขึ้นทันทีทันใด แล้วมีอาการกล้ามเนื้อชักเกร็งทั้งตัว หายใจลำบาก หน้าเขียว ตาเหลือก กัดฟัน น้ำลายฟูมปาก

อาจมีปัสสาวะหรืออุจจาระราด บางคนอาจกัดลิ้นตัวเองจนมีเลือดออก อาการชักจะเป็นอยู่นาน 2-3 นาทีเท่านั้น แล้วก็จะหยุดชักไปเอง แล้วจะฟื้นคืนสติได้ดังเดิม แต่อาจรู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย บางคนอาจม่อยหลับต่อนานเป็นชั่วโมง

สำหรับการปฐมพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชักแบบชักกระตุกทั้งตัว คือ

- ตั้งสติให้ดี

- จับผู้ป่วยนอนตะแคงหันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลักและลิ้นตกไปอุดทางเดินหายใจ

- คลายเสื้อผ้าให้หลวม

- ห้ามใช้นิ้วหรือสิ่งของใด ๆ งัดปากผู้ป่วยขณะชัก เพราะอาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้ช่วยเหลือ

- ผู้ป่วยหลังชักอาจมีอาการงงอยู่ ขณะยังไม่รู้สติห้ามยึดจับผู้ป่วย เพราะจะกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำการต่อสู้รุนแรงได้ ระหว่างนี้ควรมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะฟื้นเป็นปกติ

- ในกรณีที่ผู้ป่วยหลับหลังชัก ควรปล่อยให้หลับต่อ ห้ามป้อนอาหารหรือยาจนกว่าจะฟื้นเป็นปกติ เพราะอาจสำลักได้

- ถ้าชักนานกว่าปกติหรือชักซ้ำ ขณะที่ยังไม่ฟื้นเป็นปกติควรนำส่งโรงพยาบาล

ใน กรณีที่ผู้ป่วยชักแบบทำอะไรไม่รู้ตัว คือ ขณะชักผู้ป่วยกลุ่มนี้ดูเหมือนรู้ตัว แต่ความจริงไม่รู้ตัวและควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงควรปฐมพยาบาลดังนี้ ควรกันผู้ป่วยไว้จากอาการบาดเจ็บ อย่าขัดขวางการทำอะไรของผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยจะต่อสู้ดิ้นรน ซึ่งอาจเกิดอันตราย เฝ้าดูผู้ป่วยจนอาการชักสิ้นสุด และสุดท้ายปลอบโยนผู้ป่วยเมื่อฟื้น ถ้ามีอาการสับสบหลังชัก

หายใจให้ถูกแก้โรคความดัน


ทุกวันนี้หลาย ๆ คน หายใจเข้าและออกไม่ถูกต้อง เพราะแทนที่ท้องจะป่องเมื่อหายใจเข้า และท้องแฟบตอนหายใจออก ก็ดันเป็นในทางตรงกันข้าม ร้ายกว่านั้นคือ หายใจตื้น ๆ หน้าท้องไม่ขยับสักนิด

การหายใจที่ไม่ถูกหรือหายใจตื้นเกินไปทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และขับคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ออกไปได้ไม่มาก ส่งผลให้การหมุนเวียนของโลหิตเร็วเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้มีอาการความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ที่สำคัญเมื่อความดันโลหิตสูงแล้ว โรคภัยร้าย ๆ ก็จะตามมา อาทิ หัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดเสื่อมสภาพ

เมื่อรู้ว่าโรคร้าย ๆ เกิดได้เพราะพฤติกรรมหายใจที่ผิด ๆ ทางแก้มีไม่ยาก แค่หายใจอย่างถูกวิธี หรือหายใจแบบทารก คือ การหายใจทางจมูก ปากปิดสนิท ลิ้นแตะเพดาน ไม่กัดฟัน ขณะสูดหายใจเข้าท้องป่อง ส่งให้หน้าอกขยายออกเล็กน้อย เมื่อหายใจออกท้องแฟบลง บริเวณหน้าอกขยับลงดังเดิม

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การหายใจทางปาก จะทำให้มีปัญหาฟันตามมาและทำให้นอนกรน รวมถึงการหายใจให้หน้าอกขยับแรง ๆ หรือเป็นการหายใจขณะตื่นเต้น ตกใจ ก็ควรเลี่ยง เพราะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ.

"สะเดา" ประโยชน์จากความขม


โบราณเขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา"

ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต ่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย

เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร

ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น
โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน

ส่วนสรรพคุณด้านยาสมุนไพรนั้น
สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย

สะเดายังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ
เช่น เป็นสารธรรมชาติที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างได้ผล และคนโบราณยังเชื่อว่าสะเดาเป็นไม้มงคล นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเชื่อกันว่าจะป้ องกันโรคร้ายต่างๆ และภูติผีปีศาจได้

เช็คอาการส่อไซนัส


หน้าหนาวเป็นฤดูกาลที่แสลงสำหรับคนที่มีอาการไซนัสอักเสบซึ่งคนไทยเป็นกันมาก อาการไซนัสอักเสบมักกำเริบตอนอากาศหนาวเย็น ดังนั้นใครกำลังมีอาการเหมือนเป็นหวัดหรือสงสัยว่ากำลังมีอาการไซนัสอยู่หรือเปล่า ลองมาเช็คตัวเองดังต่อไปนี้ดูค่ะ

1. เป็นไข้หวัดต่อเนื่องมากกว่า 5-7 วัน
2. มีอาการไอถี่ โดยเฉพาะเวลากลางคืน
3. เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล และมีกลิ่นปาก
4. ปวดหัว โดยมักจะปวดหัวเล็กน้อยในตอนเช้า และปวดหนักขึ้นในระหว่างวัน
5. ปวดใบหน้า เจ็บโหนกแก้ม ปวดบริเวณกระบอกตา และอาจมีอาการปวดร้าวถึงบริเวณเหงือกและฟัน
6. เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย

หากมีอาการเหล่านี้ก็ควรรีบดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เริ่มด้วยการกินอาหารที่อุดมด้วยสังกะสี อย่างถั่ว จมูกข้าวสาลี และเนื้อปู ช่วยกำจัดไวรัสที่มักก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไซนัสในระยะเริ่มต้น และอาหารที่ช่วยเสริมภูมิชีวิตอย่างผลไม้ตระกูลส้ม และพริก ที่อุดมด้วยวิตามินซี นอกจากนี้ควรเสริมด้วยอาหารที่มีสารบรอมีเลนช่วยต้านอาการไซนัสอักเสบ อย่างสับปะรดด้วย

เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ควรออกกำลังกายทันที เพื่อไม่ให้ย้อนกลับมาเป็นอีกนะคะ

11 กิริยาประจำ กับคำเตือนสุขภาพ


11 กิริยาประจำ กับคำเตือนสุขภาพ
(Twenty-Four Seven)


พฤติกรรมเคยชินของร่างกายที่ทำมานาน อาจไม่ใช่แค่นิสัยทั่ว ๆ ไป แต่หลายแอ็คชั่น คือการประท้วง หรือคำเตือนแบบเงียบ ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ ใครที่ไม่เพิกเฉยย่อมค้นพบความผิดปกติ และรักษาอาการได้ก่อนเกิดอันตราย

และนี่คือ 11 อาการทั่วไปที่ไม่ปกติ ที่คุณควรอ่านและตั้งคำถามกับตัวเองก่อนจะสายเกินแก้ไข

กัดเล็บ

สาเหตุ : ขาดแคลเซียม แร่ธาตุ

คำเตือนและวิธีแก้ไข : เล็บมีแร่ธาตุชนิดเดียวกับกระดูก คือ โซเดียม แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง และสังกะสี การกัดเล็บช่วยให้หายเครียด เพราะมีการกระทำที่เกี่ยวข้องกับปาก สืบเนื่องไปถึงการคลายปมออติปุส (Oedipus) ในทางจิตวิทยา ถ้าอยากเลิกนิสัยเช่นนี้ ให้กินแร่ธาตุดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ

หนังด้านที่ต้นแขน

สาเหตุ : ขาดซีบัม

คำเตือนและวิธีแก้ไข : รอยตะปุ่มตะป่ำเล็ก ๆ บนผิวหนัง ไม่ว่าจะใช้กรรมวิธีใดก็ไม่สามารถขจัดเนื้อหนังที่แห้งกร้าน มีผลวิจัยยืนยันว่า อาการเช่นนี้เกิดขึ้นจากการขาดซีบัม เมื่อขาดซีบัมทำให้เคอราตินพอกพูน ผลที่ตามมาก็คือ ผิวหนังหยาบกระด้างแห้งกร้าน วิธีการที่จะเพิ่มซีบัมให้กับชั้นผิว ก็คือ กินปลาที่มีไขมันสูง หรือน้ำมันปลา น้ำมันมะกอก ไข่ วอลนัต น้ำมันเมล็ดปอ

นั่งไขว่ห้าง

สาเหตุ : ความดันเลือดต่ำ

คำเตือนและวิธีแก้ไข : การที่ร่างกายติดนั่งท่านี้ ก็เพื่อจะรักษาเลือดให้ไปหล่อเลี้ยงในปริมาณที่สมดุล ป้องกันไม่ให้ความดันเลือดต่ำมากกว่าปกติ เพราะในกรณีที่เราลุกขึ้นพรวดพราดกะทันหัน เลือดจะถูกลำเลียงมายังส่วนขามากกว่าปกติภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งก็จะเกิดความเสี่ยงในการเป็นความดันต่ำ อาจจะถึงขั้นทำให้เป็นลมได้

ผิวเหลือง

สาเหตุ : ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย

คำเตือนและวิธีแก้ไข : ผิวเหลืองในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงผิวเหลืองตามธรรมชาติที่ชาวเอเชียสายพันธุ์มองโกลอยด์ได้รับถ่ายทอดมา แต่หมายถึง ผิวเหลือง ที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ พบได้บ่อย และไม่ค่อยมีอันตรายร้ายแรง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ทำให้ภูมิต้านทานไม่สามารถผลิตไทรอกซิน ซึ่งจะเปลี่ยนสารต้านอนุมูลอิสระเป็นเรตินอลได้อย่างเพียงพอ และถ้ามีแคโรทีนมากเกินไป และร่างกายไม่สามารถจัดการได้อย่างทั่วถึง ผลลัพธ์ที่จะเกิดก็คือ ผิวเหลือง

เลือดกำเดาไหล/เลือดออกตามไรฟัน

สาเหตุ : ขาดวิตามินเค หรือวิตามินซี

คำเตือนและวิธีแก้ไข : เลือดกำเดาไหลเป็นสัญญาณแสดงว่า ระบบเลือดไม่ยอมจับตัวเป็นลิ่ม สันนิษฐานว่า อาจขาดโปรตีนโพรทรอมบิน และวิตามินเค หรือถ้าเลือดออกตามไรฟันก็แสดงว่า ขาดวิตามินซี วิธีการแก้ไข ก็เพียงแค่รับประทานอาหาร รวมถึงผัก และผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร และวิตามินเหล่านี้ เช่น บร็อกโคลี และผักโขม

ขยี้ตา

สาเหตุ : เครียด

คำเตือนและวิธีแก้ไข : แม้จะไม่ได้ระคายเคืองตา แต่ก็มักจะขยี้ตาบ่อย ๆ การขยี้ตาเป็นหนึ่งในกลไกบรรเทาความเครียดของร่างกาย เมื่อขยี้ตา กล้ามเนื้อบริเวณนัยน์ตาซึ่งเชื่อมติดกับประสาทสมองเส้นที่ 10 ควบคุมการเต้นของหัวใจ และทำให้หัวใจเต้นช้าลงจะถูกกระตุ้น เราจึงรู้สึกผ่อนคลาย หากมีอาการเช่นนี้บ่อย ๆ ต้องหาสาเหตุที่ทำให้คุณเครียดแล้วแก้ไข

มือสั่น

สาเหตุ : ขาดแมกนีเซียม และวิตามินบี 1

คำเตือนและวิธีแก้ไข : โดยปกติร่างกายควรได้รับวิตามินบี 1 และแมกนีเซียมในปริมาณที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา เพื่อระบบสมดุลในร่างกาย แต่ในคนที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือคนธรรมดาทั่วไปที่มักจะมีอาการมือสั่น เกิดจากการขาดวิตามินบี 1 และแมกนีเซียม ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเส้นประสาท เป็นเหตุให้เกิดอาการสั่น และชักกระตุก การรักษาบรรเทาที่ดีคือ การกินอาหารที่มีวิตามินบี 1 และแมกนีเซียมเป็นประจำ แล้วอาการจะค่อย ๆ หายไป

เหงื่อออกมาก

สาเหตุ : เบาหวาน / ขาดโครเมียม

คำเตือนและวิธีแก้ไข : หากไม่ใช่คนร่างท้วมอ้วน ไม่ใช่สตรีวัยใกล้หมดประจำเดือน แต่กลับมีภาวะเหงื่อออกมากกว่าปกติ ให้ระวังจะเป็นโรคเบาหวาน ทั้งประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สอง หากเป็นประเภทที่หนึ่ง (คนที่เป็นเบาหวานตั้งแต่เด็ก) จะมีอาการร้อนภายในร่างกาย และทำให้ต่อมเหงื่อต้องทำงานหนัก เนื่องจากถูกรบกวน เพราะมีเลือดหมุนเวียนน้อย ส่วนประเภทที่สองนั้น อาจมีเหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ เนื่องจากอินซูลินเปลี่ยนแปลงระดับอย่างกะทันหัน ซึ่งในปัจจุบันมีงานวิจัยระบุแล้วว่า โครเมียมสามารถรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และลดระดับอินซูลินได้ หากใครมีอาการสูญเสียเหงื่อมาก ลองหาโครเมียมมาบริโภคเสริม เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิให้ปกติ

ปลายจมูกยับย่น

สาเหตุ : โรคภูมิแพ้

คำเตือนและวิธีแก้ไข : เนื่องจากจมูกเป็นด่านแรก ป้องกันสิ่งระคายเคืองในอากาศที่เข้าสู่ร่างกาย ถ้าหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรงพอ เมื่อสูดหายใจเอาสารที่แพ้เข้าไป ก็อาจเกิดอาการจมูกยับย่น อักเสบ และถ้าหากยังไม่สามารถหาสาเหตุของอาการแพ้ได้ ควรรีบไปรับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่านิ่งนอนใจ

ผิวลาย

สาเหตุ : ขาดสังกะสี

คำเตือนและวิธีแก้ไข : ผิวหนังแตกลายงา อาจเกิดในช่วงเวลาที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น เมื่อย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น แนะนำให้รับประทานแร่ธาตุสังกะสี เพราะสังกะสีจะช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวหนังมีความหยุ่นตัว ชุ่มชื่น ลดอาการผิวลาย โดยมากจะพบในหอย (โดยเฉพาะหอยนางรม) จมูกข้าว ชีส ไข่ และเนื้อ

ขี้หูเยอะ

สาเหตุ : ขาดไขมันที่จำเป็น

คำเตือนและวิธีแก้ไข : ขี้หูมีหน้าที่ทำความสะอาด หล่อลื่น และป้องกันช่องหู ด้วยการดักจับฝุ่นละอองและน้ำ โดยทั่วไปจะตกสะเก็ดและร่วงออกมาเอง แต่ถ้าขี้หูเกิดการจับตัวเป็นก้อนแข็ง และอุดตันอยู่ในรูหู ทำให้หูอื้อหรือรู้สึกคัน เกิดจากการขาดไขมันที่จำเป็นที่เรียกว่า อีเอฟเอ ซึ่งควบคุมสารประกอบชนิดหนึ่งอยู่ เมื่อร่างกายขาด อีเอฟเอ สารประกอบชนิดนี้ก็จะเพิ่มปริมาณขึ้น ทำให้ร่างกายกำจัดด้วยการผลิตขี้หูออกมามากผิดปกติ

ขี้หู ควรแคะหรือไม่


เมื่อพูดถึง “ขี้หู” คนส่วนใหญ่คงคิดว่ามันคือของเสียหรือสิ่งสกปรก และสรรหาสารพัดวิธีที่จะกำจัดขี้หูให้หมดไป เช่น การใช้ไม้แคะหู หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดออก หลายคนเพลิดเพลินกับกิจกรรมการแคะหู มีบริการนี้ในร้านตัดผมเสียด้วยซ้ำ แต่แท้ที่จริงแล้วขี้หูนั้นมีประโยชน์ การกำจัดขี้หูอย่างไม่เหมาะสมกลับกลายเป็นการสร้างปัญหาหรือก่อให้เกิดอันตรายกับหูเสียมากกว่า วันนี้มารู้จัก “ขี้หู” ให้ดีขึ้นค่ะ

ขี้หูเกิดขึ้นได้อย่างไร

โดยปกติแล้วเซลล์ผิวหนังจะมีกระบวนการสร้างเซลล์ผิว ซึ่งจะเลื่อนขึ้นสู่ชั้นบนของผิวหนังและหลุดลอกออกไปได้เอง เซลล์บุผิวของรูหูชั้นนอกมีลักษณะคล้ายกับเซลล์บุผิวหนังทั่วไป แต่จะไม่หลุดลอกออกไปได้เองเหมือนเซลล์ผิวหนัง เซลล์บุผิวในรูหูจะสะสมเป็นแผ่นเป็นชั้น และเป็นองค์ประกอบสำคัญของขี้หู คิดเป็นร้อยละ 60 ของน้ำหนักทั้งหมดของขี้หู นอกจากนี้ขี้หูยังประกอบไปด้วย เอนไซม์ เพปไทด์ กรดไขมัน คอเลสเตอรอล และแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ขี้หูถูกหลั่งออกมาตรงบริเวณใกล้ๆ กับแก้วหู ในระยะแรกขี้หูจะมีลักษณะนุ่ม เหลว ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น ต่อมาขี้หูจะค่อยๆ เคลื่อนที่ออกมาสู่ภายนอกด้วยการพัดโบกของเซลล์ขนในรูหู ผสมผสานกับการขยับเคลื่อนที่ของขากรรไกร เช่น เวลาเคี้ยวอาหาร เวลาพูด เวลาหาว ทำให้ขี้หูค่อยๆ เคลื่อนออกมาทีละน้อย เมื่อขี้หูเคลื่อนที่ออกมาด้านนอกจะทำให้ขี้หูมีลักษณะเปลี่ยนไป โดยมีสีเข้มขึ้น เหนียวข้น และมีกลิ่น

ทำไมขี้หูของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน

ลักษณะของขี้หูจะแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากความแตกต่างในองค์ประกอบของไขมันและสีผิวของขี้หู คนผิวขาว (ชาวยุโรป-ชาวอเมริกัน) และคนผิวดำ (ชาวแอฟริกัน) จะมีขี้หูสีน้ำตาลอ่อนจนถึงเข้ม และมีลักษณะเหนียว ข้น ชื้น ขณะที่คนผิวเหลือง (ชาวเอเชียและชาวอินเดียนแดง) จะมีขี้หูสีเทาหรือสีแทน และไม่มีลักษณะเหนียว ข้น ชื้น แต่จะเปราะและแห้ง

ประโยชน์ของขี้หู

ขี้หูจะช่วยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดกับรูหูชั้นนอก ลักษณะข้นเหนียวของขี้หูจะช่วยเคลือบและจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในรูหู เช่น ฝุ่นและแมลง นอกจากนี้ ขี้หูยังมีคุณสมบัติเป็นกรด ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคชนิดต่างๆ ในรูหูได้

เมื่อมีการขูดขีดหรือฉีกขาดเล็กน้อยในรูหู เช่น แผลที่เกิดจากการแคะหูด้วยวัตถุแปลกปลอมต่างๆ ขี้หูที่เคลือบผิวของรูหูจะช่วยบรรเทาและลดการติดเชื้อที่ผิวของรูหูได้ แต่ถ้าขี้หูถูกกำจัดออกไปจนหมด ก็อาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น

แคะหูบ่อยๆ ระวัง!! ขี้หูอุดตัน-ติดเชื้อ-แก้วหูทะลุ

เมื่อเราใช้ไม้พันสำลีเช็ดหู เราจะเห็นขี้หูบางส่วนติดปลายไม้พันสำลีออกมาด้วย เราอาจจะคิดว่าได้กำจัดขี้หูออกไปแล้ว แต่ความจริงแล้ว ขี้หูที่ติดมากับปลายไม้พันสำลีนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ของขี้หูจะถูกไม้พันสำลีดันลึกเข้าไปในรูหูด้านในมากขึ้น ทำให้ขี้หูแข็งมากขึ้น และเกิดการอุดตันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ขี้หูที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จะหลั่งออกมาบริเวณระหว่างขี้หูที่อุดตันกับแก้วหู ซึ่งจะยิ่งทำให้ขี้หูอุดตันมากขึ้น

นอกจากนี้ ไม้พันสำลีมักจะทำให้เซลล์ขนในรูหูซึ่งทำหน้าที่พัดโบกขี้หูออกมาด้านนอกเสียหาย ขี้หูจึงคั่งค้างอยู่ข้างในและสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การใช้ไม้พันสำลีปั่นรูหูแรงๆ ยังอาจทำให้ผิวหนังในรูหูถลอกหรือเป็นแผล ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อได้ หากใช้ไม้พันสำลีสอดลึกเกินไป ก็อาจทำให้เยื่อแก้วหูบาดเจ็บหรือทะลุได้


ขี้หูอุดตันอาจทำให้มีอาการคัน ปวด มึนงง ได้ยินเสียงแว่วในหู ไอ บ้านหมุน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ขี้หูอุดตันจะส่งผลต่อการได้ยิน แพทย์อาจใช้ยาละลายขี้หู เพื่อช่วยให้ขี้หูอ่อนนุ่มลงและกำจัดได้ง่ายขึ้น

ถึงแม้จะได้ชื่อว่า “ขี้หู” แต่ก็ไม่ใช่สิ่งสกปรกที่ต้องกำจัดแต่อย่างใด เพราะอาจจะไปทำลายสภาพแวดล้อมที่ดีในรูหู การแคะหูโดยใช้วัตถุใดๆ ก็ตามแหย่เข้าไปในรูหู อาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้แต่ปลายเล็บของเราเองก็อาจทำให้หูถลอก ติดเชื้อ และอักเสบได้ นอกจากนี้ ไม้แคะหูในร้านตัดผมชายก็อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคจากผู้หนึ่งไปสู่อีกผู้หนึ่งได้ ดังนั้น ปกติแล้วไม่จำเป็นต้องล้างหรือทำความสะอาดภายในรูหู เพียงแต่ทำความสะอาดใบหูด้านนอกระหว่างอาบน้ำก็เพียงพอแล้ว

ผู้หญิงควรใส่ใจ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ


กระเพาะปัสสาวะอักเสบ พบบ่อยในสตรี โดยเฉพาะในช่วงอายุ 20-50 ปี ทั้งนี้เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชายและอยู่ใกล้กับทวารหนัก เชื้อแบคทีเรียบริเวณทวารหนัก (ซึ่งปกติมีอยู่จำนวนมาก)

จึงมีโอกาสสูงที่เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการฟักตัวและอักเสบได้ในสตรีเจริญพันธุ์ การมีเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะในระยะแต่งงานกันใหม่ๆ ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียหลุดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย ทำให้เกิดอาการอักเสบที่เรียกว่า Honey Moon Cystitis


อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)


การอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดอาการดังนี้

1.ปัสสาวะบ่อย แต่ละครั้งจำนวนน้อย และกลั้นไม่ได้ ต้องรีบเข้าห้องน้ำ
2.แสบในท่อปัสสาวะ ปวดเสียดตอยถ่ายสุด
3.ตึง ปวดถ่วง บริเวณท้องน้อย
4.ปัสสาวะมีกลิ่นผิดปกติ
5.ปัสสาวะมีเลือดปน


การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)

วินิจฉัยได้ง่ายๆ โดยมีอาการดังกล่าวข้างต้นร่วมกับการตรวจปัสสาวะ โดยให้ถ่ายปัสสาวะในช่วงแรกทิ้งไปก่อนแล้วจึงเก็บปัสสาวะช่วงถัดมาเพื่อ ทำการตรวจจะพบว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ในบางรายที่เป็นเรื้อรังอาจจำเป็นต้องเก็บปัสสาวะไปเพาะเชื้อเพื่อให้ทราบถึงแบคทีเรียนั้นด้วย


การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)

1.รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งประมาณ 3-5 วัน แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการมาก ต้องรับประทานยาในระยะเวลาที่นานขึ้น คือประมาณ 7-10 วัน
2.ผู้ที่มีอาการอักเสบได้ง่าย เช่น หลังมีเพศสัมพันธ์ อาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการอักเสบ


การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)

1.หมั่นรักษาความสะอาดบริเวณช่องคลอด ท่อปัสสาวะและทวารหนัก
2.บางครั้งแบคทีเรียเมื่อหลุดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะแล้ว ต้องใช้เวลาในการฟักตัวของเชื้อ ซึ่งการดื่มน้ำมากขึ้นจะสามารถขับแบคทีเรียออกมาได้
3.ไม่ควรกลั้นปัสสาวะไว้เป็ยระยะเวลานานๆ เพราะการกลั้นปัสสาวะนานเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้เชื้อแบคทีเรียมีระยะฟักตัวในกระเพาะปัสสาวะนานขึ้นยิ่งทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย
4.ผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบบ่อยๆ เรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุแอบแฝงอื่นๆ เช่น นิ่ว กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติจากระบบประสาทควบคุม หรือมีอาการอุดตันในกระเพาะปัสสาวะ


กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีผลร้ายแรงหรือไม่?

การรักษาให้หายขาดจะไม่มีผลร้ายแรง ส่วยรายที่ไม่หายขาดนั้น เชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจมีผลทำให้การอักเสบลุกลามไปถึงส่วนใดก็จะทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นหลังรับประทานยาครบแล้ว จึงควรตรวจปัสสาวะซ้ำสักครั้ง

วิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอน


ใครที่อยากนอนหลับสบายตลอดคืน วันนี้มีวิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอนมาบอกกันค่ะ...

ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนการเข้านอน ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว

ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่ใกล้จะหลับ

นอนที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้

เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอ

อาจเปิดเพลงช้า ๆ ฟังสบาย ๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจเป็นเพลงบรรเลงเบา ๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้

ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตาปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบายมากขึ้น

ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบาย ๆ ไม่หนามากจนเกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศ และไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน

ค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่ม ๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาว ๆ หลาย ๆ ครั้ง เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้หลับสบายตลอดคืนแล้ว

12 วิธีเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง


1. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
เป็นหลักการง่ายๆ แต่หลายคนก็ยังทำใจแข็งไม่ได้เสียที วิธีแก้คือ ต้องทำใจยอมรับตัวตนของเราที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สีผิว รูปร่าง ฯลฯ ทุกคนเกิดมาย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นจงรักตนเอง ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นดีที่สุด

2. จงเปรียบกับคนที่ด้อยกว่า
สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ คิดว่าตนเองแย่ที่สุดแล้ว ให้หันมามองผู้ที่ลำบากกว่า หรือจะลองเป็นอาสาสมัครไปเยี่ยมผู้ยากไร้ขาดโอกาสดูบ้างก็ได้ เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะสร้างกำลังใจ ให้ตนเองต่อสู้กับความยากลำบากแล้ว ยังได้บุญกุศลอีกด้วย

3. ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
ไม่ควรคิดว่าไม่มีใครเข้าใจปัญหาของเรา หรือไม่มีใครสนใจ อันที่จริงหากเรามองไปรอบด้าน ก็จะเห็นว่าหลายคนยินดีที่จะช่วยเหลือเรา เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เอ่ยปากขอร้องเท่านั้นเอง แน่นอนว่าหากเราตกที่นั่งลำบาก และสิ่งที่ขอให้ช่วยก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก เชื่อว่ามีคนเต็มใจช่วยแน่นอนค่ะ

4. พูดคุยกับเพื่อน
เมื่อไรที่มีปัญหาหนักใจ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนสนิท หรือว่าหากเกิดขัดใจกันขึ้นมา อย่าลังเลที่จะเปิดอกพูดคุยกัน อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาคาใจ

5. ปรึกษานักบำบัด
หากพบว่าตนพยายามแก้ไขวิธีคิดแล้ว แต่ไม่สำเร็จสักที ให้นัดเวลาพูดคุยกับนักบำบัด หรือจิตแพทย์ก็ได้ ไม่ต้องกลัวหรืออายว่าคนอื่นจะหาว่าบ้า เพราะหากปล่อยให้กังวลใจอยู่เช่นนี้สุขภาพจิตเสียแน่นอน

6. ให้รางวัลตนเอง
หลังจากที่ผ่านงานยากๆ หรืออุปสรรคหนักๆ เช่น ไปท่องเที่ยวพักผ่อน นัดสังสรรค์กับเพื่อนรู้ใจ

7. เก็บความภูมิใจลงในบันทึก
ให้จดบันทึกข้อดี ลักษณะเด่น ความสามารถพิเศษ หรือความสำเร็จที่ตนเอง ภาคภูมิใจลงบนไดอารี่ หรือสมุดจด อาจทำเครื่องหมายเน้นผลงานที่ทำสำเร็จ เพราะเมื่อไรที่หยิบมาอ่านจะได้ชื่นใจ เกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเอง หรืออาจใช้วิธีประเมินตนเองอย่างยุติธรรม โดยจดสิ่งที่ตนทำสำเร็จในแต่ละวัน แล้วประเมินอาทิตย์ละครั้ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง

8. เสริมจุดเด่นลดจุดด้อย
อย่าลังเลที่จะเรียน หรือทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ ไม่แน่คุณอาจจะมีพรสวรรค์บางอย่างซ่อนอยู่แบบไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้

9. พยายามทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ
ไม่ต้องกังวลว่าต้องไปตามลำพังตราบใดที่ยังชอบและมีความสุขกับกิจกรรมนั้นๆ เช่น ไปเรียนวาดรูป เรียนภาษาต่างประเทศ ฯลฯ นอกจากจะทำให้จิตใจแจ่มใส ยังอาจจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ เจอคนหลากหลายมากขึ้น

10. อย่าโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง
ปรับวิธีคิดให้มีเหตุและผลมากขึ้นกว่าเดิม

11. เผชิญหน้ากับการว่ากล่าว
การว่ากล่าวนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจจะเกิดอาการสะเทือนใจมากกว่าคนอื่น เพื่อจะลบความรู้สึกนี้ก่อนอื่นต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการว่ากล่าว เช่น ติเพื่อก่อ หรืออคติ หากเข้าข่ายประเด็นหลัง อย่าเก็บมาใส่ใจ เพราะจะยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลงไปอีก แต่หากเป็นเหตุผลแรก ให้ยิ้มสู้ รับฟังและกล่าวขอบคุณ นำคำตินั้นมาปรับปรุงพัฒนาตนเอง

12. ดูแลสุขภาพตนเอง
พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ รักษาความสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วิธีดูแลตนเองเช่นนี้นอกจากจะให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสอีกด้วย ไม่ให้จิตใจจดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับข้อด้อยของตนเองมากไป

การเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศคติตนเองต่อการมองโลกเพื่อเพิ่มความมั่นใจอาจดูยาก และใช้ความอดทนพอสมควร แต่ความมั่นใจนี้เองจะทำให้คุณมีความสุขกับชีวิต กลายเป็นคนใหม่ที่รักและพอใจกับสิ่งที่คุณเป็น

"พอร์ไฟเรีย" โรคแบบนี้ก็มีในโลก


ถ้าพูดถึง "ผีฝรั่ง" ที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 - 19 คงต้องยกให้ท่านเคาท์แดร๊กคูล่าแวมไพร์มาดเนี้ยบมาเป็นเบอร์หนึ่ง

แต่ถ้าเป็นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตำแหน่งนี้ย่อมตกเป็นของเอ็ดเวิร์ด คัลเลน (Edward Cullen) แวมไพร์รูปหล่อมาดเซอร์ในภาพยนตร์เรื่อง แวมไพร์ทไวไลท์ อย่างไม่ต้องสงสัย

ผีดิบดูดเลือด แวมไพร์ ใช่ว่าจะมีอยู่เฉพาะในเมืองฝรั่งเท่านั้นเพราะแม้แต่ในเอเชียบ้านเรา แถบ
- ออสเตรเลีย โอเชียเนีย หรือโซนแอฟริกา ก็มีตำนานเรื่องเล่าของผีดิบดูดเลือดเช่นกัน
- จีนมี "เซียงซี" ปีศาจสาวที่ชอบออกล่าเหยื่อตอนกลางคืนเพื่อกินเลือดสดๆ แต่กลัวกระเทียมที่สุด
- ออสเตรเลียมี "ยารา - มา - ยฮา - ฮู" อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ชอบจู่โจมกระโดดใส่เหยื่อและดูดกินเลือด
- แอฟริกามี "โอบายิโฟ" สามารถถอดกายออกจากร่างได้เวลาออกล่าเหยื่อ ชอบดูดกินเลือด
- โรมาเนียมี "สตริกอย" แวมไพร์คืนชีพจอมสกปรก มีเล็บมือยาว ผมยาวรุงรัง ใบหน้าซีดจัด ลมหายใจเหม็นเปรี้ยว เกลียดกระเทียมและสามารถย้ายวิญญาณไปอยู่ในร่างสัตว์ได้ เช่น นกเค้าแมว สุนัข ฯลฯ

เจอเข้าแบบนี้ คุณเคยคิดกันบ้างหรือเปล่าว่าผีดิบดูดเลือดแวมไพร์อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ เรื่องเล่าปรัมปราหรือนวนิยายเขย่าขวัญสั่นประสาทเท่านั้น แต่แวมไพร์ "มีอยู่จริง" บนโลกใบนี้ และกระจายตัวอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก เพียงแต่ว่าคนสมัยก่อนอาจจะหวาดกลัวและไม่ทันใช้วิจารณญาณคิดพิจารณา ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคืออะไรกันแน่ ผีตายซากที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา หรือมนุษย์เดินดินทั่วไปที่โชคร้ายป่วยด้วยโรคบางอย่างจนมีบุคลิกลักษณะพ้องกับเจ้าผีตายซากพอดิบพอดี

เรื่องราวเหล่านี้เปิดเผยขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1874 โดย ดอกเตอร์ฟีลิกซ์ฮอปป์ - เซย์เลอร์ (Dr.Felix Hoppe - Seyler) นักเคมีชาวเยอรมัน หลังจากดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ ได้ศึกษาแฟ้มประวัติผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งล้มป่วยด้วยอาการประหลาด ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหนัก จนผู้ป่วยเป็นที่น่ารังเกียจระคนน่าหวาดผวาของทั้งครอบครัว แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยด้วยกันเอง

คนไข้บางรายอาการหนักจนถึงขั้นที่ว่า "ไม่อยากส่องกระจกเพื่อดูหน้าตัวเองเลย" ดอกเตอร์ฮอปป์ - เซย์เลอร์ พบว่า เมื่อเริ่มป่วย ร่างกายผู้ป่วยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยๆ บางคนเริ่มแพ้แสงแดด และแพ้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแม้ถูกแสงแดดเพียงไม่กี่วินาที ผิวหนังจะเกิดอาการคันและเป็นผื่นแดงทันที ก่อนจะลุกลามกลายเป็นแผลพุพองในที่สุด บางรายยังมีอาการอักเสบอย่างรุนแรงจนผิวหนังหลุดลอกออกเป็นชั้นๆ อาการเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยมีผิวหนังซีดขาวจนน่ากลัว จากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีขนส่วนเกินขึ้นบริเวณหน้าผาก ขมับ กล้าม เนื้อบริเวณใบหน้าทั้งหมดจะค่อยๆ ดึงรั้งไปทุกทิศทุกทางจนทำให้เบ้าตา จมูกผิดรูป คนไข้บางรายนอกจากปากจะถูกดึงรั้งจนผิดรูปแล้วริมฝีปากยังถูกดึงรั้งจนหายไป เหลือไว้เพียงช่องปากเท่านั้น เป็นผลให้เห็นเหงือกละตัวฟันทั้งหมดอย่างชัดเจน ส่วนเนื้อจมูกก็ถูกดึงรั้งจนแทบไม่หลงเหลือเช่นกัน เว้นไว้แต่พียงรูจมูกเล็กๆ พอให้หายใจได้เท่านั้น ผู้ป่วยบางรายกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะแขนขา บางครั้งมีอาการอัมพาต ปวดเกร็งบริเวณช่องท้อง อาเจียน คลื่นไส้ และท้องผูกร่วมด้วย หนักขึ้นไปอีกขั้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการทางจิตประสาทหลอน เพ้อคลั่ง หัวใจเต้นแรง และอาจมีความผิดปกติทางตับร่วมด้วย

อาการดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน สามารถออกนอกบ้านได้เฉพาะตอนกลางคืน เป็นผลให้ดวงตาผู้ป่วยสู้แสงสว่างไม่ค่อยได้ แต่กลับมองเห็นได้ดีในความมืด มีบางรายงานแจ้งว่า ดวงตาของคนไข้บางรายสามารถเรืองแสงได้ในยามค่ำคืนอีกด้วย อาการป่วยเหล่านี้เองที่อาจเป็นส่วนหนึ่งให้คนทั่วไปคิดว่า "พวกเขาเป็นแวมไพร์" ยิ่งบางรายที่มีอาการกลัวและเกลียดกระเทียมร่วมด้วยแล้ว ยิ่งคล้ายคลึงแวมไพร์ไปกันใหญ่

ดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ เก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยทั้งหมดมาทดสอบทางเคมีอย่างละเอียด จึงได้รู้ว่า"กลุ่มอาการนี้เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการสังเคราะห์สาร ประเภท พอร์ไฟริน (Porphyrins) เช่น ฮีม (Heme) ในเม็ดเลือดแดง ร่างกายสังเคราะห์ได้มากเกินไป จนทำให้เกิดการสะสมตกค้างเป็นจำนวนมาก เป็นผลให้สารดังกล่าวทำร้ายระบบประสาท ระบบเลือด ตับ และไขกระดูกลงอย่างช้าๆ ขึ้นอยู่กับว่ามีการสะสมมากน้อยเพียงใด "นอกจากนี้ ส่วนเกินของสารประเภท พอร์ไฟริน ยังถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเป็นสีม่วงหรือเกือบเป็นสีแดงเข้ม และสีแดงหรือม่วงนี้จะเข้มขึ้นอีกเมื่อได้รับแสงสว่างนานๆ"

ด้วยเหตุนี้ เมื่อผลการศึกษาของดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ ได้รับการยื่นเสนอไปยังแพทยสภา แพทยสภาจึงมีมติให้เปลี่ยนชื่อจากที่เคยเรียกกันตามอาการมาก่อนหน้านี้ว่า "โรคแวมไพร์" (Vampire Syndrome) เป็นชื่อที่เป็นทางการว่า "โรคพอร์ไฟเรีย" (Porphyria) สอดคล้องกับคำศัพท์ภาษากรีก Porphyrus ซึ่งหมายถึง สีม่วง อันบ่งบอกถึงสีของปัสสาวะที่เปลี่ยนไป และเป็นปัจจัยแสดงอาการของโรคอย่างชัดเจนนั่นเอง

การศึกษาในชั้นแรกแบ่งโรคนี้ออกเป็น 2 กลุ่มอาการหลัก คือ Acute Porphyria (เป็นอาการทางประสาท จัดว่าเป็นชนิดรุนแรง) และ Non - Acute Porphyria (เป็นอาการทางผิวหนัง จัดว่าเป็นชนิดไม่รุนแรง) ซึ่งการศึกษาในเวลาต่อมาได้แบ่งโรคพอร์ไฟเรียออกเป็น 8 กลุ่มตามประเภทของสารพอร์ไฟรินที่ผิดปกติ

แม้จะฟังดูน่ากลัวอยู่บ้างสำหรับโรคนี้ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนเพศใด ก็มีโอกาสป่วยได้เหมือนกัน แต่โชคยังดีว่า ผลวิจัยระบุว่าโรคนี้มีความเสี่ยงไม่มากนัก เฉลี่ยอยู่ที่ 1 ใน 10,000 คน สำหรับชนิดไม่รุนแรง และ 1 ใน 1,000,000 คน สำหรับชนิดรุนแรง (Congential erythropoietic porphyria / CEP) อย่างไรก็ดี หากผู้ป่วยทุกกลุ่มอาการได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง โอกาสที่จะอาการจะทุเลาและกลับมาเป็นปกติก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยในกลุ่ม Non - Acute Porphyria

"โรคแวมไพร์" หรือ "โรคพอร์ไฟเรีย" เป็นโรคที่ดูคล้ายกับเกิดจากเคราะห์กรรมลงโทษโดยแท้ เนื่องจากสามารถทำให้มนุษย์ปกติกลายสภาพเป็นเหมือนซากศพเดินได้ภายในเวลา เพียงไม่กี่ ปี โดยที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลย จะเกิดจากเคราะห์หรือเกิดจากกรรมก็ตามแต่ สำหรับชาวพุทธขอให้เรายึดมั่นในการทำความดีไว้ดีกว่า เพราะผลจากกรรมดีย่อมผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ในที่สุด

เครียดลงกระเพาะ โรคฮิตของคนออฟฟิต


สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในยุคนี้ ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร (โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิสซึ่งมักจะทำงานแข่งกับเวลา และทานอาหารไม่เป็นเวลา) กันมากขึ้น เกิดจากความเครียดที่สะสมในแต่ละวันนั่นเอง

เครียดที่ใจ ทำไมเป็แผลที่กระเพาะ

แพทย์หญิงเพ็ญแข แดงสุวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระเพาะอาหาร กล่าวว่าความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาการโรคกระเพาะอาหารกำเริบ เพราะในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติ จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมา ในปริมาณมากกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีการตื่นตัวตลอดเวลา และก็เป็นความเครียดอีกเช่นกัน ที่กระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และลำไส้มีอาการหดตัวมากกว่าปกติ ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวด รวมถึงทำให้ทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก

สังเกตความเครียด ก่อโรค

ในขณะที่เราเครียด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ปอดขยายตัวเพิ่มขึ้นสร้างออกซิเจนเข้าสู่กล้ามเนื้อและหัวใจ เราจึงหายใจเร็วขึ้น และรูจมูกขยาย เพื่อให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ต่อมเหงื่อทำงานหนักขึ้นเพื่อบรรเทาความร้อนในกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นเลือดฝอยในชั้นใต้ผิวหนังหดตัว เกิดอาการขนลุก ต่อมไทรอยด์จะหลั่งฮอร์โมนเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารออกมามากขึ้น เพื่อเพิ่มพลังงาน การกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับและอยากอาหารเพิ่มขึ้น

ความเครียดยังทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อมีอาการเกร็ง ปากแห้ง และยิ่งไปกว่านั้น ความเครียดยังทำให้การทำงานของกระเพาะอาหาร และลำไส้หยุดชะงักลง เพื่อถนอมพลังงานสงผลให้ กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดอาหารปั่นป่วนในช่องท้อง และรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน

นอกจากพฤติกรรมทางกายที่กล่าวมาแล้ว จิตใจก็มีส่วนสำคัญมากต่อการเกิดโรคกระเพาะอาหารผู้ที่สะสมความเครียดมานานเป็นเดือนเป็นปีจะยิ่งมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราสามารถสังเกตตัวเองได้ว่าเราเข้าข่ายเครียดจนใกล้จะเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือยัง

หากรู้สึกเบื่ออาหาร กินไม่ได้ มีอาการมึนงง หงุดหงิด รำคาญใจอยู่บ่อยๆ อยากอยู่คนเดียว นอนไม่หลับ ท้องผูก ให้รู้ไว้เลยว่า คุณกำลังมีอาการเครียด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า มีโอกาสป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารในเร็ววัน

อาการแบบไหนใช่โรคกระเพาะ

- รู้สึกปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ มักปวดเวลาท้องว่าง และอาการปวดเหล่านี้จะลดลงหรือหายไป เมื่อเรารับประทานอาหาร

- มีอาการปวดหลัง หลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง จะมีอาการปวดหลังช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารของเราเริ่มย่อยอาหาร

- รู้สึกแน่นท้อง ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว อาจเกิดจากการรีบกินอาหาร การกลืนอาหารเร็วเกินไป รวมไปถึงการดื่มน้ำมากขณะกินอาหาร
ซึ่งส่งผลให้กระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะแปรปรวน

- รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน เสียดหน้าอก มักจะเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย


หากมีอาการปวดท้องรุนแรง ชนิดที่ว่าหายใจแรงก็ปวด ถ่ายท้อง อาเจียนหรืออุจาระออกมาเป็นเลือด และมีสีดำตลอดเวลา ให้รู้ไว้เลยว่า อาการอยู่ในขั้นอันตราย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาเป็นการด่วน หากช้าเกินไป อาจเกิดอาการกระเพาะอาหารทะลุ หรือเลือดออกทางเดินอาหารได้

หลากวิธี หนีโรคกระเพาะอาหาร

- กินอาหารให้ตรงเวลา และให้ครบ 3 มื้อ เป็นข้อปฏิบัติอย่างแรกที่ควรทำ เพราะจะช่วยให้กระเพาะอาหารเคยชินกับการย่อย และปล่อยน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่พอดีทุกวัน

- สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ในระยะแรกให้ฝึกการกินอาหารให้ตรงเวลา อาจรู้สึกปวดท้องมาก ควรเริ่มจากการกินอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ทีละน้อยๆก่อน ทั้งนี้ควรงดอาหารที่มีรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด ของดอง และอาหารทอดทุกประเภท

- เลิกสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รวมทั้ง ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ และอาจทำให้โรคกระเพาะอาหารที่เป็นอยู่กำเริบหนักขึ้น

- หยุดยาแอสไพริน ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ เพราะยาจำพวกนี้จะมีฤทธิ์ไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเกิดการอักเสบมากขึ้น ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาข้ออักเสบ ควรสอบถามเพื่อความมั่นใจจากแพทย์ก่อน

- หากิจกรรมคลายเครียด สามารถทำได้หลายวิธี เป็นต้นว่า การออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะๆ เดินเร็ว ขี่จักรยาน รำมวย รำกระบอง เต้นแอโรบิก หรือทำสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยลดความเครียด และในระยะยาวยังสามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารให้หายขาดได้

คำศัพท์และตัวย่อทางการเงินที่ควรรู้


คำศัพท์และตัวย่อทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อต้องทำการติดต่อกับธนาคาร ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องจดจำในเรื่องดังกล่าวให้จงได้เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจ

หนึ่งในสถานที่ที่ผู้ประกอบการจะต้องเดินทาง ไปบ่อยมากที่สุดนอกจากบริษัทของตนเองแล้วก็คงหนีไม่พ้น "ธนาคาร" เพราะการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นตั้งธุรกิจจวบจนสิ้นอายุ ไขของบริษัทจะถูกผูกขาดไว้ที่ธนาคารแทบทั้งสิ้น ธนาคารจึงกลายเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์คนสำคัญในการทำธุรกิจที่จะต้องร่วมงาน ด้วย ดังนั้นการศึกษาและทำความเข้าใจในระบบการดำเนินงานของธนาคารโดยเฉพาะพวกคำ ศัพท์และตัวย่อทางการเงินจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องเรียน รู้และจดจำไว้ให้จงมาก

Incquity ได้ทำการรวบรวมคำศัพท์และตัวย่อทางการเงินของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์เข้าไว้ด้วยกันเพื่อง่ายต่อการศึกษา

ซึ่งเป็น 3 ธนาคารที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในไทย โดยถึงแม้คำศัพท์และตัวย่อของทั้ง 3 ธนาคารจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากแต่โดยรวมแล้วมันมีความหมายอย่างดียวกัน ซึ่งคำศัพท์และตัวย่อที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้

MLR (Minimum Loan Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา ส่วนมากจะให้สำหรับการปล่อยกู้ซื้อบ้านโดยจะมีอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าแบบอื่นๆ

MLR+3 หมายถึง ให้หาฐานของดอกเบี้ย MLR ในขณะนั้นเสียก่อน เช่น ดอกเบี้ย MLR ขณะนั้นเท่ากับ 5% ต่อปี ดังนั้นดอกเบี้ย MLR+3(5+3) จึงเท่ากับ 8% ต่อปีนั่นเอง ซึ่งวิธีการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับอัตราดอกเบี้ยแบบ MOR และ MRR แต่จะมีบวกหรือลบหรือไม่นั้นและจะมีเป็นจำนวนเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับธนาคารจะ เป็นผู้กำหนดขึ้นมาเอง

MOR (Minimum Overdraft Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีชนิดเงินกู้เบิกเกินบัญชีขั้นต่ำ

MRR (Minimum Retail Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี

CPR (Consumer Product Rate) หมายถึง อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ที่แต่ละธนาคารได้กำหนดออกมา

NPL (Non Performing Loan) หมายถึง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์ พูดง่ายๆก็คือหนี้เสียนั่นเอง Credit Bureau หมายถึง ข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อและบัตรเครดิตของประชาชนแต่ละคน

DEP/ PC/ CD หมายถึง การฝากเงินเข้าบัญชีด้วยเงินสดโดยใช้สมุดคู่ฝาก

W/D /CS/CW หมายถึง ถอนเงินสดออกจากบัญชีโดยใช้สมุดคู่ฝาก

NBD / PCN/ C1 หมายถึง การฝากเงินสดเข้าไปในบัญชีโดยไม่ได้ใช้สมุดคู่ฝาก ส่วนใหญ่คือการฝากเงินเข้าบัญชีโดยใช้บัตรเอทีเอ็มผ่านเข้าทางเครื่องรับฝากเงินอัตโนมัติ

NBW / CSN/ C2 หมายถึง การถอนเงินออกจากบัญชีโดยไม่ได้ใช้สมุดคู่ฝาก โดยมากมักหมายความว่าการถอนเงินโดยใช้บัตรเอทีเอ็มผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ

INT /IN /IN หมายถึง ดอกเบี้ยที่ไดรับจากการฝากเงินกับทางธนาคารแห่งนั้น

TX หมายถึง ภาษีที่ถูกหัก

CCB /CC,CL,HC /OD,QD หมายถึง การฝากเงินเข้าบัญชีของตนเองโดยการใช้เช็คเงินสดของธนาคารต่างๆ

RTD /CR /RT หมายถึง เช็คคืนหรือที่ชาวบ้านรู้จักทั่วไปในนามว่าเช็คเด้งนั่นเองอันเกิดจากยอด เงินในบัญชีไม่มีเพียงพอที่จะจ่ายตามที่ถูกระบุไว้ในเช็คนั่นเอง

COR /ER /EC หมายถึง รายการที่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง

TRD /TRD /XD หมายถึง การฝากเงินเข้าสู่บัญชีของตนเองด้วยวิธีการโอนมาจากบัญชีอื่นๆ

TRW /TRW /XW หมายถึง การถอนเงินออกจากบัญชีของตนเองด้วยวิธีการโอนออกไปสู่บัญชีอื่นๆ

- /CM /FE หมายถึง ค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานของธนาคาร



*หมายเหตุ ตัวย่อเรียงจาก ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารไทยพาณิชย์

*โปรดสังเกต ถ้าขึ้นต้นด้วยตัว D มักจะเป็นรายการด้านการฝากแต่ถ้าเป็นตัว W มักจะเป็นรายการทางด้านการถอนเสียเป็นส่วนใหญ่

ถึงแม้ว่าคำศัพท์และชื่อย่อต่างๆเหล่านี้จะสามารถหาดูความหมายได้จากทาง อินเตอร์เน็ตและในสมุดบัญชีเงินฝากของทางธนาคารได้ทั่วไป แต่อย่างไรเสียผู้ประกอบการก็สมควรที่จะต้องมีความรู้และท่องจำในสิ่งเหล่า นี้เอาไว้บ้าง เพราะข้อมูลคำศัพท์และตัวย่อเหล่านี้คือรายละเอียดอย่างดีที่ช่วยให้ผู้ ประกอบการสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและที่ไปของเงินที่เข้ามาสู่บัญชีของท่าน ได้ จึงนับเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพมากในการควบคุมบัญชีของทางบริษัท ที่ผู้ประกอบการส่วนมากมักจะละเลยในส่วนเล็กๆตรงจุดนี้และมักเป็นที่มาให้ เงินในบริษัทมักรั่วไหลออกไปเป็นประจำนั่นเอง

ยอมตื่นสายให้หายปวดหลัง


ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่ต้องทุกข์ทนกับอาการปวดหลังหลังตื่นนอนจนลุกไม่ขึ้นแล้วละก็ เรามานอนต่อกันอีกสักนิดดีกว่า แต่ช่วงต่อเวลาการนอนของคุณตรงนี้ คงไม่ใช่การนอนงัวเงียนิ่งๆ ให้เวลาผ่านไปเฉยๆ แน่ เพราะถ้าไหนๆ จะต้องตื่นสายแล้ว ก็ขอให้ใช้ช่วงเวลาสะลึมสะลือนี้ให้คุ้มค่าที่สุด

ท่านอนพักหลัง

หลังจากคุณเริ่มรู้ตัวตื่นขึ้นแล้ว ไม่ว่าคุณกำลังนอนอยู่ท่าไหนก็ตาม

1. เริ่มต้นด้วยการนอนหงาย พับเข่าทั้งสองข้าง วางเท้าที่พื้น
2. ขยับตัวเบาๆ ให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายแผ่นหลัง
3. กางแขนออกด้านข้าง วางแขนแนวเดียวกับระดับหัวไหล่ คว่ำฝ่ามือลงทั้งสองข้าง
4. และเมื่อสติคุณเริ่มมาแล้ว ให้นอนนับลมหายใจเข้าออกสัก 5-10 ลมหายใจ

ประโยชน์ : ผ่อนคลายร่างกาย และผ่อนคลายหลังช่วงล่าง

ท่านอนกอดเข่า

เริ่มต้นคลายความตึงของร่างกายกันก่อน หลังจากที่กล้ามเนื้อของคุณนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิมๆ มาตลอดทั้งคืน

1. ดึงเข่าทั้งสองข้างเข้าหาหน้าอก แล้วหายใจเข้ายาวๆ ช้าๆ
2. จังหวะหายใจออก ให้ดึงเข่าทั้งสองข้างชิดหน้าอกมากขึ้น โดยไม่ยกศีรษะจากพื้น
3. หายใจเข้าออกช้าๆ และกอดเข่าให้แน่นมากขึ้นในทุกๆ ลมหายใจออก
4. ทำต่อเนื่อง 5-10 ลมหายใจ หรือจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ เริ่มคลายความตึง

ประโยชน์:

* คลายความตึงที่ขา สะโพก และหลัง
* เพิ่มความยืดหยุ่นให้ข้อต่อสะโพก
* ลดอาการปวดหลังช่วงล่าง

ท่านอนบิดตัวพับสองขา

เมื่อตัวเริ่มคลายความตึงไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็เข้าสู่ท่าที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อคุณยืดเหยียดตัวได้ง่ายและสบายขึ้น เริ่มจากท่านอนบิดตัวพับสองขา

1. นอนหงายเหมือนในท่านอนพักหลัง
2. พับขาทั้งสองข้างลงไปด้านซ้าย พับขาลงไปให้ใกล้พื้นที่สุด
3. หายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ แล้วยืดช่วงลำตัวตั้งแต่เอวขึ้นไปจนถึงหน้าอก
4. หายใจออกช้าๆ แล้วค่อยๆ หันหน้าไปด้านขวา โดยขาและสะโพกยังแนบพื้น
5. ยืดหัวไหล่และเหยียดแขนออกด้านข้าง
6. อย่าฝืนหันหน้าจนรู้สึกเมื่อยหรือเกร็งที่คอ
a. ถ้าตึงมากจนไม่สามารถหันหน้าได้ ก็ไม่ต้องผืน ปล่อยคอและศีรษะสบายๆ
b. ให้มีสมาธิกับการบิดช่วงตัว
7. หายใจเข้าออกช้าๆ บิดและยืดตัวให้มากขึ้นในแต่ละลมหายใจ นับ 5-10 ลมหายใจ แล้วสลับข้าง

ประโยชน์:

* คลายความตึงและอาการเมื่อยล้าที่หลังช่วงล่าง
* เพิ่มความยืดหยุ่นให้หลัง สะโพก เอว ไหล่ และคอ
* กระตุ้นการทำงานของระบบอวัยวะภายในช่องท้อง

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าการนอนบิดตัวพับสองขานั้นสบายเกินไป จนไม่รู้สึกถึงการต้องใช้ความพยายามอีกต่อไปแล้ว ให้เปลี่ยนมาทำ ท่านอนบิดตัวพับหนึ่งขา และ ท่านอนบิดตัวไขว้ขา ตามลำดับ

ท่านอนบิดตัวพับหนึ่งขา

1. นอนหงาย ขาซ้ายเหยียดตรงแนบพื้น พับเข่าขวาขึ้นมาใกล้ๆ ลำตัว
2. ใช้มือซ้าย กดเข่าขวาพับลงไปที่พื้นด้านซ้าย
3. หันหน้าไปด้านขวา และเหยียดแขนขวาขึ้นไปข้างศีรษะ
4. หายใจเข้าออกช้าๆ และบิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
a. หายใจเข้า ยืดช่วงลำตัว
b. หายใจออกบิดช่วงกลางลำตัวออกไป
c. ดึงขาขวาลงพื้นให้มากขึ้น พร้อมๆ กับเหยียดแขนขวาออกไปให้ไกลขึ้น เพื่อให้ลำตัวยืดออกได้มากขึ้นเรื่อยๆ
5. พยายามบิดตัวให้มากขึ้นตลอด 5-10 ลมหายใจ แล้วสลับข้าง

ท่านอนบิดตัวไขว้ขา

1. นอนหงายเหมือนในท่านอนพักหลัง
2. ไขว้ต้นขาซ้ายทับต้นขาขวา และถ้าสามารถไขว้ขาได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดแล้ว ให้เกี่ยวเท้าซ้ายไปด้านหลังขาขวาด้วย
3. พับขาลงไปทางด้านขวา หันหน้าไปด้านซ้าย
4. ค้างอยู่ในท่า 5-10 ลมหายใจ แล้วสลับข้าง

หลังจากทำครบหมดทุกท่าแล้ว ก่อนที่คุณจะลุกจากเตียง ให้กลับไปทำท่านอนกอดเข่าอีกครั้ง แล้วพลิกตัวออกด้านข้างก่อนที่จะลุกขึ้น อย่าลืมว่ากว่าที่คุณจะสะสมอาการปวดหลังมาได้ขนาดนี้ คุณก็ได้ใช้เวลาไปไม่น้อย เพราะฉะนั้นการลดอาการปวดก็อาจต้องใช้เวลาไม่น้อยเช่นกัน ขอให้ใจเย็นๆ ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และด้วยความระมัดระวัง ใช้เวลาแค่สั้นๆ แต่ขอให้ทำให้ได้ทุกวันเท่านั้นพอ

Tip

* หากต้องการทำเพื่อให้ได้ผลอย่างจริงจัง ขอให้ตั้งนาฬิกาปลุกให้เร็วกว่าเดิมสัก 5-10 นาทีในทุกๆ วัน ให้เป็นเวลาสำหรับการดูแลหลังโดยที่คุณจะไม่ต้องตื่นสายกว่าเดิม

แหล่งข้อมูล : health & cuisine

คุณรู้จักหมู่เลือด Rh- Negative ดีแค่ไหน

หลายคนคงจะรู้แล้วว่าตัวเอง มีกรุ๊ปเลือดอะไร A , B , AB และ O แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ากรุ๊ปเลือดของตัวเองมี Rh+ หรือ Rh- ต่อท้ายหรือเปล่า


ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติให้ข้อมูลว่า ทั่วไปคนเรามีหมู่เลือด 2 ระบบ คือ ระบบเอบีโอ(ABO System) และ ระบบอาร์เอช(Rh System) จำแนกตาม แอนติเจน(Antigen - สารที่เคลือบอยู่บนเม็ดเลือดแดง)

ในระบบ ABO จะแบ่งออกได้ 4 กรุ๊ปคือ A , B , AB และ O โดยที่ กรุ๊ป O พบมากสุด, A กับ B พบพอๆ กัน และ AB มีน้อยที่สุด

ในระบบ Rh จะแบ่งเป็นสองพวก
1. +ve หรือ Rh+ve คือ พวกที่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พบมากในคนไทยเกือบทั้งหมด

2. -ve หรือ Rh-ve คือ พวกที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พบน้อยมากในคนไทยแค่ 0.3% บางครั้งเรียกว่า ผู้มีโลหิตหมู่พิเศษ จะพบมากขึ้นในชาวไทยซิกข์ อินเดีย หรือชาวต่างชาติ


แต่คนทั่วไปเข้าใจว่า พอรู้กรุ๊ปเลือดตัวเองว่าเป็น A , B , AB และ O แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่บนพื้นผิวของเม็ดเลือดแดงเดียวกัน ยังมีสาร C, D และ E ที่เป็นตัวกำหนดหมู่เลือดในระบบอาร์เอช ซึ่งมีอยู่ 2 หมู่คือ Rh+ (Rh + Positive) และ Rh- (Rh - Negative)

ในคนไทยส่วนใหญ่ 99.7 เปอร์เซ็นต์ ค่า Rh+ ขณะที่ค่า Rh - มีเพียง 0.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงเรียก หมู่โลหิต Rh-เป็นหมู่เลือดพิเศษ ซึ่งอันตรายมากหากเกิดอุบัติเหตุ เพราะจะหาได้ยากมาก มันจึงมีความสำคัญมากในบ้านเรา


การให้ และการรับเลือดในหมู่เลือด

คนเลือดกรุ๊ป Rh-ve ต้องรับจาก -Rh-ve เท่านั้น (หากคนเลือดกรุ๊ป Rh-ve รับเลือดจาก Rh+ve อาการข้างเคียงจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในครั้งถัดๆไป)


คนเลือดกรุ๊ป O รับได้จาก O เท่านั้น แต่ให้กับกรุ๊ปอื่นได้ทุกกรุ๊ป


คนเลือดกรุ๊ป AB รับได้จากทุกกรุป แต่ให้คนอื่นได้เฉพาะคนที่มีกรุ๊ป AB

คนเลือดกรุ๊ป A รับจาก A,O แต่ให้ได้กับ A,AB

คนเลือดกรุ๊ป B รับได้จาก B,O แต่ให้ได้กับ B,AB

ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องการ Rh- ในจำนวนมากเพราะว่ากำลังตกเลือดอย่างหนัก ก็มีวิธีแก้คือให้ Rh+ เข้าไปก่อน พอผู้ป่วยดีขึ้น เลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ผ่าตัดเย็บแผลแล้ว ค่อยเอา Rh- ที่มีไม่มากนักใส่เข้าไปตบท้าย เพราะ Rh+ที่ใส่เข้าไปในตอนแรกมันไปหล่อเลี้ยง แต่หลังจากนั้นมันจะออกมาเพราะตกเลือด

แต่การที่จะให้ Rh+ กับผู้ป่วยที่เป็น Rh- นั้น ทำได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น เพราะว่าร่างกายของผู้ป่วยเป็นเนกาทีฟ พอรับเอาเลือดโพสิทีฟเข้าไป มันจะมีการสร้างแอนตี้บอดี้ ทำให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย ถ้าให้ครั้งต่อไปอาจทำลายจนถึงขั้นตายได้


หมู่เลือด Rh หรือ Rh แฟกเตอร์ ( Rh blood group or Rh factor )

1. หมู่เลือด Rh เป็นหมู่เลือดที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงเวลาถ่ายเลือด

2. คนไทยมีหมู่เลือด Rh+ เกือบ100% ส่วนหมู่เลือด Rh- พบน้อยมากประมาณ 1 ใน 500 คนเท่านั้น

3. หมู่เลือด Rh+ หมายถึง เลือดที่เม็ดเลือดแดงมีแอนติเจน D อยู่ แต่ไม่มีแอนติบอดี้ในน้ำเลือด

4. หมู่เลือด Rh- หมายถึง เลือดที่เม็ดเลือดแดงไม่มีแอนติเจน D และในน้ำเลือดก็ไม่มีแอนติบอดี้ด้วย แต่สามารถสร้างแอนติบอดี้ได้เมื่อได้รับแอนติเจน D

ดังนั้นในการถ่ายเลือดให้ผู้รับ หากผู้ให้เป็นหมู่เลือด Rh+ และผู้รับเป็นหมู่เลือด Rh- ในครั้งแรกผู้รับจะไม่เป็นอะไร เนื่องจากแอนติบอดี้ ที่เกิดขึ้นยังมีน้อย

แต่ถ้าให้เลือดครั้งที่ 2 ผู้ให้เป็นหมู่เลือด Rh+ อีก จะเกิดอันตรายเนื่องจากแอนติเจน D จากผู้ให้จะกระตุ้นให้ผู้รับสร้างแอนติบอดี้ได้มาก และแอนติบอดี้ จะจับตัวกับแอนติเจน D ที่ผิวเม็ดเลือดทำให้ตกตะกอนเป็นอันตรายถึงตายได้

5. ชายมีหมู่เลือด Rh+ แต่งงานกับหญิงมีหมู่เลือด Rh- ลูกจะมีหมู่เลือด Rh+ เนื่องจาก Rh+ เป็นลักษณะเด่น

ลูกคนแรกจะปลอดภัยเนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูกพลัดหลงไปในระบบเลือดของแม่ผ่านทางรก กระตุ้นให้แม่สร้างแอนติบอดี้ต่อต้านเม็ดเลือดของลูกขึ้นมา แต่ในปริมาณน้อยและช้า



แต่ถ้าท้องถัดไป ถ้าลูกเป็น Rh- ก็จะไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าลูกคนที่สองเป็น Rh+ อีก โอกาสเสี่ยงสูงมากในการเกิดโรคแทกซ้อน เช่น ภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง บางรายอาจถึงขั้นตาย


เพราะลูกคนต่อไปจะได้รับอันตรายจากแอนติบอดี้ของแม่ เนื่องจากแม่สร้างแอนติบอดี้ได้มาก เมื่อเลือดแม่ส่งอาหารเข้าไปเลี้ยงทารกโดยผ่านทางรก แอนติบอดี้ของแม่จะทำปฏิกิริยารวมตัวกับแอนติเจน ที่ผิวเม็ดเลือดแดงของลูก ทำให้เลือดลูกตกตะกอน และลูกจะตายก่อนเกิด โรคนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า อีรีโทรบลาสโทซิสฟีทาลิส ( erythroblastosisfetalis )

ดังนั้นถ้ารู้ว่าตัวเองมีกรุ๊ป Rh- แล้วเกิดตั้งท้อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเตรียมป้องกันแต่เนิ่นๆ

แต่ที่เป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้ จำนวนผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษทั่วประเทศรวมกันไม่ถึง 6,000 คน แบ่งเป็นที่ศูนย์ในกรุงเทพฯ 2,898 คน และในต่างจังหวัดอีก 2,246 คนเท่านั้น

จึงอยากจะเชิญเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกท่าน ที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ไปร่วมกันบริจาคเลือดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ ชาวพวกเขาไปด้วยจะดีมาก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้โอกาสจะมี Rh- ค่อนข้างมาก และถ้าใครยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็น Rh+ หรือ Rh- เพียงแค่ไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย คุณก็จะได้รู้ทันทีว่ามีหมู่เลือดพิเศษหรือเปล่า

สามารถติดต่อชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่เลือดพิเศษได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โทร 0-2252-1637, 0-2263-9600 ต่อ 1770, 1752, 1753 หรือ http://www.rh-negative.com


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นสพ.กรุงเทพธุรกิจ