2 เม.ย. 2551

วิธีป้องกันไวรัสให้ได้ผล100 %

ตามหัวข้อกระทู้นะครับผมมีวิธีป้องกันไวรัสให้ได้ผล100 % มาบอก..(เอาเป็น99.99% ก็แล้วกัน )

1.ใช้ Acronis Ghost hard disk ตอนที่ลง Window ใหม่ๆครับ..(ถามว่าจำเป็นไหมผมว่าจำเป็นนะใครไม่เคยเจอไฟล์พังหรือHard disk พังไม่รู้หรอกครับว่าสำคัญแค่ไหนถ้าข้อมูลสำคัญต้องสูญเสียไปตลอดกาลและกู้ไม่ไ­ด้.+ _+!)

2.ใช้โปรแกรมAvast Antivirus Home Edition ตัวนี้ฟรีครับ..เราสามารถขอเลขลงทะเบียนไปทางเมล์แล้วจะใช้ได้ 1 ปี หมดอายุเขาจะส่งเลขตัวใหม่มาให้.. ***ความสามารถพิเศษของ Avast Antivirus มีฟังค์ชั่น Boot time scan ด้วย....==>Boot time scan คืออะไร...คือฟังชั่น Scan virus ก่อนที่วินโดว์จะทำงาน..ซึ่งการจัดการกับไวรัสให้ได้ผลต้องจัดการกับมันก่อนที่­มันจะทำงานซึ่งไวรัสส่วนใหญ่มันจะRun ขึ้นมาตอนวินโดว์ทำงานใหม่ๆนั่นแหละ ให้ติดตั้งโปรแกรมหลังจาก Ghost hard disk แล้วครับ

3.ให้ไปเอาโปรแกรม cpe17antiautorun1325.exe มาวางในhard diskแล้วRunครับ โปรแกรมนี้ดีมากเอาไว้ดักไวรัสที่มากับ Flash dirive พวกตระกูล Autorun ที่กำลังระบาดอยู่ขณะนี้...หลังจากRunแล้ว Restart computer Program นี้จะมารอที่System trayไว้ดักจับไวรัส ตระกูล Autorun.. โปรแกรมนี้ไม่ต้องติดตั้งครับดับเบิ้ลคลิกก็ใช้ได้เลย..คนทำโปรแกรมนี้เก่งมากค­รับ..อยากให้คนไทยมีคนดีๆแบบนี้เยอะๆ..^O^ @_^

4.หาโปรแกรม Anti spytware มาติดตั้ง เอาไว้ดักSpy wareครับ

5. ****ตัวนี้เป็นจุดไคลแม็กส์ของเรื่องเลยครับ เป็นสุดยอดป้องกันไวรัสเลยครับ...
**** คือโปรแกรมDeep Freeze ครับมันจะล็อควินโดว์ไว้และจะจำครั้งสุดท้ายที่ลงโปรแกรมDeep Freeze และล็อคไว้ครับ...ใครเคยดูเรื่องโดราเอมอนมั่ง..เราจะย้อนเวลากลับไปก่อนที่เคร­ื่องจะโดนไวรัสครับด้วยการสั่งRestart computer เพียงครั้งเดียว..ผมใช้อยู่ทุกวันนี้ครับ..ผมลงวินโดว์เมื่อ 4 ปีก่อน ตอนนี้ผมเปิดcomputer มาทุกวันวินโดว์ของผมยังคงสภาพเมื่อ4ปีก่อนเหมือนเดิม

****ก่อนติดตั้งโปรแกรมนี้แนะนำให้ย้ายFolder My documents ไปเก็บไว้Drive อื่นก่อนโดยไปที่ My documents คลิกขวาเลือก Properties ดูที่ช่อง Target ==> C:\Documents and Settings\????\My Documents ให้เปลี่ยนจาก C เป็น D เช่น D:\Documents and Settings\????\My Documents แล้วกด Moveครับ

****เครื่องหมาย????คือชื่อที่มันโชว์น่ะ ตัวอย่างนี้Drive D: คือDrive ที่ไม่ล็อคด้วยDeep freeze ครับ ก่อนติดตั้งควรสั่ง defragment ให้เรียบร้อยครับ....

***หลังติดตั้งโปรแกรมDeep freeze ห้ามสั่งDefragmentเป็นอันขาดไม่งั้นวินโดว์พังทันทีครับ(แต่ผมใช้Acronis Ghost hard disk เอาวินโดว์กลับมา 6 ถึง 7 นาทีเองครับ) ทุกวันนี้ก็ปกติดีไม่เป็นอะไรเลยครับ....เห็นว่ามีโปรแกรมอีกตัวเขาว่าดีแต่ผมย­ังไม่เคยลองน่ะ....โปรแกรมRollback RX ครับ ทำไมผมถึงว่าวิธีนี้ดีสุด..เพราะว่าคุณคิดว่าโรคร้ายกับยารักษาโรค..เราเจออะไร­ก่อน..โชคดีก็หายขาด..แย่หน่อยก็พิการ(Window ต๊องๆ)..เลวร้ายสุดถึงตาย(Format หรือข้อมูลไปแบบกู่ไมกลับ) ผมถึงคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้ครับ ไปดูที่นี่ก่อน

วิธีติดตั้งDeep freze ไปที่นี่ครับ http://www.varietypc.net/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=33

file Deep freze ไปที่นี่ครับ http://www.wikifortio.com/760110/Deepfreezefullwithmanualforuse.rar

เที่ยวคลายร้อนใกล้บ้าน - เกาะเกร็ด

*เคยไปทีนึง ตั้ง5-6ปีที่แล้ว ไปเหมาเรือจากท่าน้ำนนท์ ตั้งหลายร้อย ได้นั่งวนรอบๆเกาะ ฝนตกอีก เสียค่าโง่ไป มาคราวนี้ไปใหม่ คราวนี้ฉลาดแล้ว ขับรถไปปากเกร็ดเลย วิ่งตรงไปใต้สะพาน พระราม4 เจอป้ายบอกทางไป ที่จอดรถข้ามเรือเกาะเกร็ด ขับไปตามป้าย เจอวัดสนามเหนือ มีคนโบกรถ เข้าไปจอด เสียค่าจอดทั้งวัน 30 บาท สบายใจ ลงเดินจึ๋งนึง ถึงท่าเรือ เริ่มมีของขายมากมาย ตั้งแต่ยังไม่ข้ามเรือ เสียค่าข้ามฟาก 2 บาท

ข้ามไปถึงท่าเรือ วัดปรมัย คึกคักมากมาย ของขายเต็มไปหมด ของกิน ของฝาก ตะโกนแข่งกัน แวะไปไหว้พระ ไหว้เสร็จ ถามลู่ทางกับพระเลย พระบอกเมีทางเดินรอบเกาะเดินได้ทั้งสองฝั่ง เราเลือกเดินฝั่งขวา ดูแล้วทางยาวกว่า แวะกินข้าวแช่ไปชุดเล็กๆ เพราะดูทีท่าแล้ว มีของกินสนุกสนานมากมาย ถ้าอิ่มคงจะอด แวะซื้อ ทอดมันหน่อกระหล่ำ ก็อร่อยดี ทั้งเกาะมีแต่อาหาร ขนมทำจากหน่อกระหล่ำ ทั้งไส้อั่ว ทั้งทอดมัน บรรยากาศร้านสองข้างทาง ของกระจุกกระจิก เสื้อผ้า โมบาย ภาชนะ ให้อารมณ์เหมือน

เดินอยู่จตุจักร มีจักรยานให้เช่าขี่รอบเกาะ ฝรั่งชอบใจ มองเลยร้านรวงด้านขวาเห็นแม่น้ำ มองด้านซ้ายยังเป็นสวนรกๆ คนขายส่วนใหญ่ยังเป็นคนพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นคนมอญ พอดีช่วงที่ไป เป็นบ่ายต้นๆ เดินไปร้อนไป อบอ้าวมาก เดินผ่านไปตามหมู่ต่างๆ บนเกาะเกร็ดเขาแบ่งเขตเป็นหมู่ๆ ถึงวัดไผ่ล้อม แวะดูต้นยางโบราณ นั่งพัก เดินเลยวัดไผ่ล้อมไป หมดบริเวณขายของแล้ว มีแต่หมู่บ้านเลยเดินกลับทางเดิม เพราะถ้าไปต่อต้องเดินอีก 3 -4 กิโล ถึงจะครบรอบเกาะ เดินกลับมาท่าเรือ ได้ฟังเสียงเพลงคาราโอเกะโหยหวน ช่างไม่เพราะเสียเหลือเกิน

เสียงร้องสลับกับเสียงบรรยายชักชวนให้ร่วมทำบุญ ผู้คนเดินไปมา ต่างก็สงสัยว่าใครทรมานคนแก่ให้มาร้องคาราโอเกะ มีเพลงป้าง โพเตโต้ บอดี้แสลม ผมเดินเข้าไปดูในศาลา พบว่าเป็นลุงมัคทายก อายุ60กว่าตั้งอกตั้งใจ ร้องเพลง ไม่มีการดูเนื้อร้อง เข้าใจว่าร้องทุกวันจนจำได้ ทำไมไม่พูดอย่างเดียวแล้วเปิดเพลงเอา คงจะเป็นความสุขในการทำงานของแก ปล่อยแกแระกัน ข้ามเรือกลับ 4 โมงกว่า สวนทางกับฝูงชนที่เลือกมาเดินตอนแดดร่ม ลมตก สลับกับผมจริงๆมาตอนแดดร้อนๆ พอแดดร่มก็กลับซะงั้น*














10 โรคเสี่ยงของคนไทย

10 โรคเสี่ยงของคนไทย 10 โรคร้ายที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต รวมทั้ง 10 โรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย เป็นภัยเงียบที่แฝงมากับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ แม้เราจะรู้จักโรคเหล่านี้มาบ้าง แต่วันนี้มาเราอัพเดทข้อมูลกันดีกว่าค่ะ เพื่อจะได้รู้เท่าทันและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มะเร็งครองแชมป์มัจจุราช
โรคมะเร็งหากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะรายที่พบในระยะลุกลาม ในประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันมา 5 ปีมีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 50,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน พบผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 70,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรคมะเร็งที่พบมากที่สุด 6 อันดับแรกในปี 2547 ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งในช่องปาก โดยมะเร็งที่ผู้ชายเป็นกันมากอันดับ 1 ได้แก่ มะเร็งตับ รองลงมาคือ มะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนมะเร็งที่พบในผู้หญิงตามลำดับคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ

แอลกอฮอล์ชนวนโรคกายและโรคใจ
อย่างที่ทราบกันดีว่า แอลกอฮอล์ เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายมากมาย เช่นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ ตับอ่อนอักเสบ โรคกระเพาะและกระเพาะรั่ว ภาวะเลือดออกจากทางเดินอาหาร เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้มักเป็นเรื้อรังและทำให้ผู้เจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ทั้งยังก่อเกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ)

ไขมันในเลือดสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ
แม้แต่โรคทางจิตก็มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน ต้นเหตุการป่วยทางจิต 1 ใน 3 มาจากการติดเหล้า และพบว่าในกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 90% เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือใช้แอลกอฮอล์ หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน โดยผู้ป่วยทางจิตจะมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าผู้ป่วยทางกายประมาณ 3 เท่าตัว โดยเฉพาะคนติดเหล้ามากๆ จะทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพหลอน หูแว่ว หลงผิด หวาดระแวง และคลุ้มคลั่ง

วัณโรค
ภัยในอากาศที่กำลังกลับมา ปอดอักเสบ วัณโรค โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นกลุ่มโรคเดียวกัน แต่ที่กำลังต้องจับตาเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือวัณโรคซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า มายโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลสิส (Mycobacterium tuberculosis) ตอนนี้กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขและมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น จากรายงานขององค์การอนามัยโลกล่าสุดในปี 2549 ระบุว่าพบประชากรโลก 1 ใน 3 หรือประมาณ 2,000 ล้านคนติดเชื้อวัณโรค และมีผู้ป่วย 15 ล้านคน สำหรับคนไทยคาดว่าราว 20 ล้านคนมีเชื้อวัณโรคในตัว พร้อมกำเริบหากสุขภาพทรุดโทรม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด หรือติดเชื้อเอดส์ ผู้ติดเชื้อวัณโรคเหล่านี้อาจป่วยได้ถึงปีละ 1 แสนคน

ประเทศไทยมีปัญหาวัณโรคอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลกและถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับ 6 รองจากมะเร็ง โรคหัวใจ อุบัติเหตุ เอดส์ ไข้เลือดออก ในปี 2549 ตรวจพบผู้ป่วยวัณโรค 58,639 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 70 เป็นผู้ป่วยรายใหม่ที่ตรวจพบเชื้อในเสมหะ ซึ่งสามารถแพร่เชื้อจากการไอจามติดต่อสู่คนรอบข้างได้ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-44 ปี

โรคร้ายที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตนั้น มีความสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังที่คนไทยประสบ โรคเรื้อรังเป็นโรคที่รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก และก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาอีกมากมาย อย่างความดันสูง การรักษาก็ต้องกินยาตลอด โรคเบาหวาน บางคนไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่เคยสังเกต ไม่ตรวจโรคเลย แล้วเมื่อมีอาการเรื้อรัง ก็จะทำให้ไตอักเสบ หรือเกิดอาการไตวายได้

10 อันดับโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย มีดังนี้
โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคของต่อมไร้ท่อ (โรคกลุ่มเบาหวาน ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต)
โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น
โรคระบบทางเดินอาหาร
โรคระบบทางเดินหายใจ
โรคภูมิแพ้
โรคระบบประสาทจิตเวช
โรคระบบทางเดินปัสสาวะ
โรคของปาก หู คอ จมูก
โรคผิวหนัง

ปรับพฤติกรรมการกิน ป้องกันโรค โรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ หลอดเลือด มีรากฐานมาจากเรื่องน้ำหนักตัว คือถ้าอ้วนแล้วจะมีโรคพวกนี้ตามมา โรคเหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ในเรื่องของระดับน้ำตาล กับระดับไขมัน ซึ่งจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อยๆ โดยไม่แสดงอาการ คือพอมีอาการบอกว่าเป็นโรคก็แปลว่าสะสมมาหลายปีแล้ว อาจจะ 5 ปี 10 ปีแล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน

ซึ่งเราจะเห็นว่าการเกิดของมันเหมือนกับการเกิดของภูเขาน้ำแข็งกว่าจะรู้เราก็แ­ย่แล้ว ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงเน้นการป้องกันแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เพราะในระยะที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลหรือไขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับน้ำตาล ถ้าเราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน ลดน้ำหนักลงมาในคนที่อ้วน โอกาสจะเป็นเบาหวานที่แท้จริงจะน้อยลง แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแล้วจะต้องทานยารักษาตัวไปตลอดชีวิต และค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง

โรคเหล่านี้มาจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกหลัก และการไม่ออกกำลังกาย ตอนนี้โรคที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เบาหวาน คนไทยเป็นกันเยอะขึ้นเกือบจะสิบเปอร์เซ็นต์ และการเกิดของโรครวดเร็วมาก อีกอย่างคือพออ้วนแล้วจะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบฮอร์โมนเปลี่ยนไป ซึ่งจะเกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ คีย์สำคัญคือดูแลน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน พยายามทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าอ้วนลงพุงเมื่อไรโรคต่างๆ ที่เราพูดถึงจะเกาะกันมา แล้วก็พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น อย่างสม่ำเสมอ มีข้อพิสูจน์แล้วจากต่างประเทศว่าสามารถป้องกันการเป็นเบาหวานได้ถึง 58 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ควรปรับวิถีชีวิตและวิธีคิดให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง เลิกเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ ลองทำดูนะคะ อย่ารอให้ป่วยก่อน เพราะจะสายเกินไป

6 วิธี เสริมภูมิ...ต้านโรค

6 วิธี เสริมภูมิ...ต้านโรค
1. ลดความเครียดอารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันข­องร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด

2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนไม่พอนั้นมีผลลดการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%

3. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วน้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส­่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย

4. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ นอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรง แล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดทำให้เซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี และเม็ดเลือดขาว เดินทางไปทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่บริเวณอวัยวะต่างๆ ได้เร็วขึ้น

5. รับประทานอาหารให้ครบถ้วน เพียงพอตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารเสริมภูมิต้านทาน อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี และแร่ธาตุบางชนิด ได้แก่ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งมีผลเพิ่มการสร้างเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอันเป็นตัวการก่อมะเร็งได้อีกด้วย

เบต้าแคโรทีน มีมากในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้มจัด หรือผักใบเขียวจัด เช่น ผักบุ้ง ฟักทอง แครอท มะละกอ มะม่วงสุก มะเขือเทศ

วิตามินซี พบใน ผักใบเขียวต่างๆ และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม

วิตามินอี พบใน น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

วิตามินบี พบใน ผักใบเขียว นม เนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ ตับ ไข่ และธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ

ซีลีเนียม พบใน อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ และธัญพืช

สังกะสี พบใน เนื้อวัว นม และถั่วต่างๆ

กระเทียม เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทาน โดยสารอัลลิซิน (allicin) และซัลไฟด์ (sulfides) ในกระเทียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

กรดโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดขาว และแอนติบอดี พบมากในปลาทะเล เช่น แซลมอน หรือทูน่า และธัญพืชบางชนิด เช่น ถั่ววอลนัท เมล็ดปอ รวมทั้งพืชผักใบเขียว โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์แลคโตแบคทีเรีย (lactobacteria) เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส (Lactobacillue acidophilus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจะยับยั้งการเกิดจุลินทรีย์ตัวร้ายในระบบย่อยอาหาร เช่น แบคทีเรีย รา หรือยีสต์ รวมทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ให้กำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

6. หลีกเลี่ยงอาหาร หรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง เช่น เลี่ยงการกินอาหารหวานจัด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 แก้ว และควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป

มี ลูก หลาน ภรรยา ญาติพี่น้องช่วยบอกต่อกันไปด้วย

> > ภัยรายวัน สำหรับ ผู้หญิงเรา
> > ญาติพี่น้องช่วยบอกต่อกันไปด้วย
> > ผมมีตัวตนแต่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ
> > เรื่องต่อไปนี้จะเป็นตัวบอกว่าทำไมผมจึงบอกไม่ได้
> > ประมาณสองสัปดาห์หลังปีใหม่ ภรรยาผมลางานเพื่อไปติดต่องานราชการ
> > เสร็จแล้วแวะ Central ลาดพร้าว เพื่อหาซื้อหนังสือแนวที่เธอชอบอ่านที่ B2S
> > ระหว่างที่กำลังเลือกหาซื้อหนังสืออยู่นั้น
> > ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ
> > สามสิบเข้ามาทักทาย
> > บอกว่าชอบหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนเช่นกันและ
> > มีหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มที่น่าอ่านมาก การสนทนาก็เป็นไปอย่างมี
> > มิตรไมตรีต่อกัน เพราะจากลักษณะท่าทางและการแต่งตัวดูเหมือนเป็น
> > คนทำงานทั่วไป แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ให้นามบัตรภรรยาผมมา ส่วนภรรยาผม
> > ก็ให้เบอร์มือถือเธอไปเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน การต ิดต่อพูดคุยก็
> > มีขึ้นเป็นระยะๆ
> > และมีนัดเจอกันเพื่อให้หนังสือภรรยาผมมาอ่านแล้วก็บอกว่า
> > จะรีบไปทำงาน
> > แต่หนังสือที่ให้มาเป็นหนังสือแนวสืบสวนธรรมดาที่ภรรยาผม

> > เคยอ่านมาแล้ว
> > จึงอยากจะคืนกลับไป
> > การนัดเจอกันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
> > แต่คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นชวนทานข้าวเพราะเป็น
> > ช่วงเกือบเที่ยงวันแล้ว
> > และได้แนะนำให้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ที่ Food Center
> > เธอบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานชอบอ่านหนังสือแนวนี้เช่นกัน ผู้ชายคนนั้น
> > ถามภรรยาผมและผู้หญิงคนนั้นว่า จะทานอะไรจะไปซื้อมาให้ ด้วยความเกรงใจ
> > จึงทานเหมือนกันเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู แต่ภรรยาผมก็พยายามจะขอตัวไปซื้อ
> > น้ำมาให้แต่ทางผู้หญิงคนนั้น ชิงเดินไปซื้อมาให้ก่อน
> > พอนั่งทานไปได้ประมาณ
> > ครึ่งชามและดื่มน้ำไปหน่อย
> > ภรรยาผมก็เกิดอาการมึนๆ และเริ่มง่วงนอน เพียงอีก
> > ไม่กี่นาทีต่อมา
> > เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาประคองตัว๓รรยาผม
> > แล้วพูดบอกผู้ชายว่า คงเป็ นลมช่วยพาออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย ตอนนั้น

> > ภรรยาผมบอกว่าไม่สามารถพูดอะไรได้ ร่างกายยืนแทบไม่ไหว ระหว่างเดินผ่าน
> > ตัวห้างมาลานจอดรถเห็นผู้ชายโทรศัพท์เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที
> > รถตู้สีขาวก็มาจอด
> > แล้วทั้งคู่ก็พาภรรยาผมขึ้นรถ
> > วินาทีนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอพยายามขัดขืนแต่
> > ทั้งคู่ก็ใช้กำลังพาเธอขึ้นรถแล้วปิดประตูรถ
> > บนรถมีผู้ชายสองคนนั่งมาในรถด้วย เมื่อรถวิ่งออกจากห้างภรรยาผมพยายาม
ร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีเสียงและผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเอามือมาปิดปากเธอ­ไ ว้

> > พอรถวิ่งออกมาระยะหนึ่งผู้ชายที่เจอกันที่ Food Center
> > เริ่มปลดเสื้อผ้าภรรยาผม
> > เธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง
> > ผู้ชายอีกสองคนที่นั่ง
> > รออยู่บนรถก็ช่วยกันถอด
> > สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคงไม่ต้องบรรยายกันอีก
> > โดยมีผู้หญิงเป็น
> > คนเก็บภาพเป็นระยะๆ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบ
> > รู้สึกตัวอีกที่ภรรยาผมถูกนำ
> > มาทิ้งที่ห้องน้ำหญิงของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาลสองย่า นบางกะปิ
> > ผมไปรับเธอแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
> > เธอไม่พูดอะไรได้แต่ร้องไห้และไม่ไปทำงานอีกเลย
> > นั่งซึมอยู่กับบ้าน
> > สามวันต่อมาคุณแม่ของภรรยาโทรมาบอกว่ามีจดหมายลงทะเบียนส่งมาที่
> > บ้านให้ไปรับผมก็ไปรับ แล้วเปิดออกดู
> > มีภาพถ่ายพร้อมขอเงินสดสี่แสนบาทเป็นค่าฟิล์มและ

> > ภาพถ่ายทั้งหมด
> > ผมพูดไม่ออก ทุกความรู้สึกวิ่งพุ่งเข้ามาในใจ สับสน เสียใจ
> > แค้นใจ
> > เจ็บใจ
> > ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อและเพื่อนท่านที่เป็นนายตำรวจ
> > มีความเห็นเหมือนกันว่าต้องแจ้ง
> > ความกับตำรวจ
> > เพราะเงินสี่แสนครอบครัวเราคงหามาให้ได้ยาก
> > ผมกับภรรยาเป็นเพียงลูกจ้าง
> > กินเงินเดือนเท่านั้น
> > ในวันส่งเงินตามนัดหมายตำรวจกองปราบวางแผนอย่างดีและสามารถจับ
> > พวกเดนสังคมได้สองคนได้ฟิล์มและภาพจำนวนหนึ่ง
> > และตำรวจกำลังตามจับพวกที่เหลืออีก
> > สามคน
> > แต่ก็ไม่แน่ใจว่าภาพถ่ายยังคงมีเหลืออยู่อีกหรือเปล่า
> > ซึ่งหลังจากพวกมันถูกจับผมก็
> > ได้รับโทรศัพท์ขู่ว่าจะภาพลง internet

> > สองครั้ง
> > ทุกวันนี้ภรรยาผมไม่ได้ทำงานอีกแล้ว
> > อยู่บ้านด้วยอาการซึมเศร้าและไม่ต้องการ
> > พบปะกับใครเลย
> > ส่วนผมก็ไม่กล้าออกไปไหนเช่นกันทำงานเสร็จก็กลับบ้าน
> > ชีวิตความเป็นอยู่
> > มีแต่ความกลัว ระแวง คิดมาก เหมือนเป็นโรคประสาท
> > ผมจึงอยากฝากบอกเรื่องราวของ
> > ผมให้เป็นข้อมูลกับทุกคน
> > ทุกวันนี้การหากินบนความทุกข์ร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา
> > ไปแล้วครับ ขอบุญกุศลในการให้ข้อมูลนี้ ทำให้ชีวิตครอบครัวผมดีขึ้นด้วยเถอะ
> > อย่าลืมบอกต่อๆกันไปด้วยครับ

คุณยายทอง เศษไม้แลกเศษเงิน (ภาค 2)

ยาวนิดนึงนะ แต่อยากอยากให้อ่านจัง... อ่านตอนว่าง ๆ ก็ได้ค่ะ ....
เคยได้รับ FW Mail เรื่องคุณยายทองคนนี้มาก่อนหน้านี้นานแล้ว ก็ FW ต่อไป คิด ว่าถ้ามีโอกาสจะไปหา
ยายดู พอนาน ๆ เข้าก็ลืมไปแล้ว บังเอิญเย็นวันศุกร์วันหนึ่ง กำลังเช็ค e-mail ก่อนที่จะเก็บของ
เตรียมตัวจะไปทำงาน (ตรวจตลาด) ที่โคราชวันจันทร์ ก็ได้รับ FW mail ฉบับนี้อีก ครั้ง เหมือนมีอะไร
ดลใจให้ไปหายายคนนี้ให้ได้เลย

พอไปถึงโคราช ก็ขับรถวนไปตรงถนนย่าโม หาทางไปตลาดแม่กิมเฮง ผ่านศาลย่าโมมานิด หน่อย พอมอง
หา ก็เห็นคุณยายนั่งอยู่ตรงเสาไฟฟ้าที่สามแยกหน้าร้านทอง (จอดรถที่วัดสะแกแล้ว เดินกลับมานิดหน่อยก็
เจอ) คุณยายนั่งอยู่กับพื้น ตรงหน้ามีผ้าพลาสติกเก่า ๆ มีเศษไม้มัดไว้เป็นกำ ๆ วางไว้เรียบร้อย มี
กระดาษที่คนใจดี print ให้ไว้ว่า 'เศษไม้ก่อไฟ มัดละ 1 บาท'

เราบอกคุณยายไปว่า เห็นเรื่องยายในหนังสือ (หมายถึง email แต่กลัวยายไม่รู้จัก) ก็เลยมาเยี่ยม
คุณยายหูตึงแล้ว แต่ยังคุยรู้เรื่องนะ แกถามว่าหนูมาจากไหน จะอยู่กี่วัน มานี่ พักอยู่ที่ไหน เราก็ตอบแกไป
ว่ามาจาก กรุงเทพฯ แกถามว่าอยู่เขตอะไร ก็บอกแกไปว่าอยู่เขตประเวศ ตอนนั้นคิด ว่าบอกไป แกก็คง
ไม่รู้จักหรอก ระหว่างนั้นก็มีคนเดินมาดูเศษฟืน ถาม ๆ อะไรหน่อยแต่ก็ไม่ได้ซื้อ เราก็เลยบอกคุณยายว่า
หนูขอซื้อกำนึงนะ แล้วก็เอาเงินให้แกไปร้อยนึง ยายก็ยิ้มดีใจ ขอบใจให้พร ตอน นั้นประมาณบ่ายกว่า ๆ
ยายบอกว่ายังไม่ได้กินข้าว เราก็เลยบอกให้ยายเก็บเงินไว้กินข้าวนะ แล้วยายก็เอา เงินซุกลงไปในเสื้อ
เหน็บไว้ตรงหน้าอก ไอ้เราก็กลัวเงินจะหล่นนะ เพราะหน้าอกยายไม่ใช่สาว ๆ แล้ว

เท่าที่คุยกับยายก็เลยรู้ว่าแกต้องจ้างคนผ่าเศษไม้ให้ ถุงนึง 100 บาท แล้วแกก็ เอากรรไกรเก่า ๆ เป็น
สนิมอันนึง นั่งตั้งอกตั้งใจตัดให้เป็นท่อนเท่า ๆ กัน มัดด้วยหนังยาง ขายกำละ 1 บาท เท่าที่เห็น ถ้า
ขายกำละ 1 บาทจนหมด ไม่รู้จะได้ถึง 100 บาทมั้ย ยายบอกว่าก็ขายพอกินข้าวได้ไป วัน ๆ แล้วตอน
เย็นยายต้องจ้างสามล้อ 20 บาท ไปส่งตรงป้ายรถเมล์ จ่ายค่ารถเมล์อีก 8 บาท พอลง รถแล้วต้องเดิน
ต่อไปอีกกว่าจะถึงบ้าน แต่รถบางคันก็ไม่ยอมรับแกขึ้นรถนะ

พอคุยกันซักพัก เราก็ขอตัวลาแกไปทำงาน แกก็อวยพรให้ บอกว่า 'ขอให้เจริญ ๆ นะ หนู... อยู่แถว
ประเวศใช่มั๊ย' ดีจังเลย คุณยายจำได้ด้วย เราคิดว่าคุณยายใส่ใจฟังจริง ๆ นะ คน บางคนเวลาที่เรา
คุยด้วย ก็ถามนั่นถามนี่ไปตามมารยาท ไม่ได้ใส่ใจฟังจริง ๆ อย่างนี้หรอก

คุณยายบอกว่า คิดถึงยายก็มาเยี่ยมยายนะ ยายอยู่ตรงนี้แหละ พอเราเดินออกมานิด หน่อยก็คิดถึงยายแล้ว
หล่ะ หลังจากนั้นประมาณซัก 10 นาที (ไปทำงาน) พอเดินกลับมาเห็นคนขายก๋วยเตี๋ยว หนุ่มทางทางใจดี
กำลังเอาก๋วยเตี๋ยวมาให้ยาย แล้วก็คอยดูอยู่ว่ายายจะทานได้มั๊ย เราเลยเดินไป ซื้อน้ำเปล่ามาให้ยาย
ขวดนึง แล้วก็บอกให้ยายกินน้ำด้วยนะ อากาศร้อน ยายก็ยิ้มดีใจ บอกว่า 'ดีจังเลย ได้กินน้ำเย็น ๆ'
ฟังแล้วก็ดีใจจัง

มาคิด ๆ ดูแล้ว บางทีเราเองกินทิ้งกินขว้าง จ่ายเงินกับเรื่องไร้สาระ ซื้อของ แพงโดยไม่จำเป็น ไป
ร้านทำผมมาทีก็หลายตังค์ แต่น้ำเย็นขวดนึงแค่ 10 บาท ทำให้คนแก่คนนึงยิ้มได้ อย่างมีความสุขขนาดนี้
เย็นวันนั้นโทรไปเล่าให้เพื่อนฟัง บอกว่าวันรุ่งขึ้นก่อนกลับ กทม จะไปหายายอกี ที เพื่อนใจดีก็ฝากเอา
เงินไปให้ยายอีกด้วย

พอวันรุ่งขึ้นตอนใกล้ ๆ เที่ยง ก็ซื้อน้ำเย็นไปให้ยายอีกขวด (คราวนี้ตั้งใจ เลือกขวดเย็นเจี๊ยบเลย) พอ
คุณยายเห็นหน้าเราแล้วก็พูดว่า 'อ๋อ หนูที่อยู่ประเวศใช่มั๊ย' ดูซิ ยายน่ารัก จังเลย จำได้ด้วย เราถาม
แกไปว่ากินข้าวหรือยัง แกบอกว่า 'ยังไม่มีเวลากินเลย มีแต่เวลาทำงาน (ตัดไม้) ตั้งแต่เช้ายังขายไม่
ได้ซักกำเลย' เราก็เลยไปซื้อข้าวมาให้ แล้วก็เอาเงินของเพื่อนกับเงินตัวเองให้ แกไปอีกจำนวนนึง
บอกให้แกเก็บดี ๆ นะ ค่อย ๆ ใช้ ยายกระซิบบอกว่า ต้องเก็บดี ๆ เพราะเคยมีคนมา แย่งเงินแกไป
เฉย ๆ เลย เป็นผู้หญิง (ทำไมใจร้ายนักก็ไม่รู้ !) แล้วแกก็ล้วงเข้าไปในเสื้อ ดึงกระเป๋าผ้าใบเล็ก ๆ
เก่า ๆ ที่มีสายผูกกับเสื้อแกอีกที แล้วก็เก็บเงินเข้าไปในนั้นอย่างระวัง

ตอนขอถ่ายรูป คุณยายบอกว่า 'ยายขายฟืน ให้ยายถือฟืนซักกำนึง ถ่ายรูปด้วยดีมั๊ย' ... แหม คุณยายนี่
ก็มี prop นะคะ โพสต์ท่าเก่งไม่เบา ...
เราเอารูปในมือถือยื่นให้ยายดู แต่ยายบอกว่ามองไม่เห็นหรอก เพราะตายายไม่ดี หมอ เพิ่งลอกต้อออก
ไปแค่ข้างเดียว ตอนนี้ดูฟ้าเห็นพระอาทิตย์เป็นสีเหมือนเลือดเลย น่าเศร้าจัง ยาย บอกว่ากลับไปแล้วถ้ามี
โอกาสมาอีก หรือถ้ามีใครมาโคราช ยายขอรูปแผ่นนึงนะ ฝากเค้าเอามาให้ยายทองตรงนี้ แล้วบอกว่า
จากหนูที่อยู่ประเวศ ยายก็จะจำได้ .... คุณยายความจำดีจริง ๆ

ก่อนกลับ ยายอวยพรให้อีกหลายครั้ง แล้วถามว่าจะมาโคราชอีกเมื่อไหร่ สงกรานต์จะ มามั๊ย เราก็ไม่แน่
ใจหรอก แต่ถ้ามีโอกาสต้องไปหายายอีกแน่ ๆ ใครที่มีโอกาส อยู่โคราชหรือผ่านไปทาง โคราช แวะไป
เยี่ยมคุณยายหน่อยนะคะ ไม่เสียเวลามากหรอกค่ะ แค่มีคนไปคุยด้วย แกก็ดูความสุข ขึ้นมาก ๆ แล้ว ถ้า
พอจะช่วยเหลือได้ ก็ซื้อเศษไม้ของยายซักกำ ถึงจะไม่มีใครต้องการใช้ แต่ตอนนี้ เรารู้สึกว่ามีคุณค่ามาก
สำหรับจิตใจ ของทั้งผู้ให้และผู้รับ

ขอบคุณทุก ๆ คนที่เคย Forward Mail นี้ต่อ ๆ มาให้ และก็หวังว่ามันจะยังคงถูก FW ต่อไปอีกเรื่อย
ๆ อย่างน้อยก็ช่วยต่อชีวิตให้คุณยายทอง ที่ไม่ได้ร้องขออะไรเลย แต่ยังคงทำงาน ขายเศษไม้แลกเศษเงิน
เพื่อประทังชีวิต

ข้างล่างเป็นภาค 1 ค่ะ ขอบคุณคนที่เขียนเรื่องนี้มากนะคะ ที่ทำให้เราได้ไปพบคุณ ยายผู้น่ารักคนนี้
แสงไฟในเศษฟืน::ถ้าเราพอจะช่วยได้..ยาย.. รอ...
: แสงไฟในเศษฟืน::ถ้าเราพอจะช่วยได้..ยาย.. รอ...
คำสอนของยายทอง ขอปล้องกลาง
ชีวิตหญิงชราวัย 81 ปี ที่ต่อสู้ชีวิต ด้วยการ'ขายเศษ ฟืน'
ยายทอง คือยายที่เราเคยไปถ่ายทำสารคดีเรื่อง แสงไฟในเศษ ฟืน

แล้วได้รับรู้ว่าชิวิตของยายนั้นต้องอยู่อย่างลำบากในเพิงสังกะสี เก่าๆ
ไม่ต่างจากกองขยะ ที่ทั้งอุดอู้ สกปรก และไม่สามารถกันแดดฝนอะไรได้ เลย
ยายต้องเดินเท้าหลายกิโลพร้อมกับกระสอบฟืน ขวดน้ำเก่าๆ และร่มคัน หนึ่ง
ใช้พยุงตัวเองมาเรื่อยๆให้ถึงหน้าโรงเรียนบุญวัฒนาเพื่อขอขึ้นรถ โดยสาร
(ที่บางคันจอดรับ และบางคันก็ไม่ให้ยายขึ้น) ไปยังหน้าร้าน ทอง
สามแยกตลาดแม่กิม เฮง

'1 บาท เศษไม้ขอแลกเศษเงิน ขอบคุณลูกหลาน..ที่ช่วยต่อชีวิตให้ ยาย'
ประโยคหนึ่งในเศษกระดาษเก่ายับที่วางอยู่หน้ากอง ฟืน
ได้คนขับสามล้อแถวนั้นเขียนทิ้งไว้ ให้
เผื่อว่าคนที่ผ่านไปมาจะได้เห็น ว่า
ที่มุมเสาไฟฟ้านั้นมีอีกชีวิตที่รอคน เมตตา
ซึ่งความจริงนั้นบางวัน ยาย...
อาจได้แค่คนที่หยุดมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่มีใครสนใจจะซื้อเศษไม้ไร้ค่านั้น เลย
สั ก ค น เ ดี ย ว

เราส่งเมลล์นี้มา ด้วยความที่อยากช่วยเหลือ ยาย
แต่ไม่รู้จะช่วยด้วยวิธีไหน
อยากให้เพื่อนๆช่วยForward mail นี้ต่อกันไป เรื่อยๆ
เผื่อว่าคนที่อยู่โคราช และมีโอกาสผ่าน ไป
ถนนเส้นย่าโม สามแยกทางเข้าตลาดแม่กิมเฮง ตรงเสาไฟฟ้า หน้าร้าน ทอง
เพื่อนๆจะเห็นคนแก่คนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรเลย นั่งอาศัยเงาจากเสา ไฟฟ้า
เพื่อขายของบางอย่าง ที่คนสมัยนี้เค้าไม่ได้ต้องการ แล้ว
แต่ 'ฟืน' มันก็เป็นเหมือนความหวังเดียวที่ยาย มี
ทางออกเดียวที่ยาย เห็น
จากดวงตาที่พร่ามัวเกือบบอดด้วยโรค ชรา
และหูที่ตึงจนเกือบไม่ได้ยินแล้ว
ถ้าเพื่อนไม่ได้ผ่านไปก็ช่วยForward mail นี้ต่อๆกันไป ที
ถือว่าเป็นการทำบุญเท่าที่เราทำได้ เผื่อว่าวัน หนึ่ง
จะมีใครสักคนที่จะเข้ามาช่วย เหลือ
ยายทอง ให้เป็นอยู่ในสภาพที่ดีกว่า นี้....
















แบบทดสอบความบริสุทธิ์


*คุณว่า ภาพ ที่คุณเห็นเป็นรูปอะไร**??* *




ถ้าคุณเห็นปลาโลมา **9 **ตัว
แสดงว่าจิตใจของคุณยังอาโนเนะอยู่มากเชียวหละ แต่ถ้าคุณเห็นภาพผู้ชายกับผู้หญิงละก้อ.............
เชื่อหรือไม่ว่า เด็กเล็กๆจะไม่เห็นรูปของผู้หญิงและผู้ชายในภาพ
เหมือนกับที่ผู้ใหญ่บางคนเห็น แต่เด็กเล็กๆจะเห็นภาพปลาโลมา **9 **ตัวแทน

อันนี้เป็นการศึกษาของพวกฝรั่ง เขาบอกว่าถ้าจิตใจมีเสี้ยวของมลทิน** (corrupted mind)
(**หรือจิตที่เป็นราคิน) จะไม่สามารถเห็นปลาโลมาในภาพนี้ในช่วง **3 **วินาที แรกได้

หวังว่าคงเห็นเป็นปลาโลมานะ......
โอ้พระเจ้ามองอย่างไรก็ไม่เห็นใช่มั๊ย**??*