25 เม.ย. 2553

บีบยาสีฟันแค่ไหนดี


"ซองคำถาม" เปิดเว็บไซต์ thaiclinic.com และเข้าไปที่เรื่องทันตกรรม ก็เจอข้อมูลเรื่องนี้ ซึ่งเล่าไว้โดย ทพ. ณพงษ์ พัวพรพงษ์ เข้าใจว่านิตยสารเล่มดังกล่าว คงนำข้อมูลมาจากเว็บไซต์นี่เอง ทพ. ณพงษ์ให้ข้อมูลไว้ว่า


"ปริมาณยาสีฟันที่ควรใช้กันที่ได้รับการรับรองจากสมาคมทันตแพทย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ในเด็กบีบยาสีฟันให้มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว

เขาบอกว่า "เม็ดถั่ว" ไม่ได้บอกว่า "เม็ดถั่วเขียว" สักหน่อย "ซองคำถาม" เดาว่าน่าจะเท่าขนาดเม็ดถั่วลันเตา หรือถั่วลิสงมากกว่า ยาสีฟันปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียวนั้น น่าจะน้อยไปหน่อย

ทพ. ณพงษ์บอกว่า ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนคิดว่า ยิ่งใช้ยาสีฟันมากเท่าใด ฟันของเราก็ยิ่งสะอาดมากขึ้นเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ทำความสะอาดฟันไม่ใช่ยาสีฟัน แต่เป็นแปรงสีฟันต่างหาก

ทว่าไม่ได้หมายความว่า เราจะเลิกใช้ยาสีฟันไปเลย เพราะยาสีฟันนอกจากจะหอม และอร่อยดีแล้ว (นี่ "ซองคำถาม" พูดเอง) ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน ก็ทำให้ฟันแข็งแรงขึ้น และช่วยต่อต้านฟันผุด้วย

เหตุที่ให้เด็กใช้ปริมาณยาสีฟันเท่าเม็ดถั่ว ก็เพราะถ้าใช้มากเกินไป เด็กมักจะกลืนยาสีฟันเข้าไปด้วย ทำให้ได้รับปริมาณฟลูออไรด์มากเกินไป ซึ่งส่งผลทำให้ฟันแท้ ที่ขึ้นมาอาจมีจุดสีขาว ๆ บนตัวฟัน (Dental Fluorosis) และไม่สามารถกำจัดออกไปได้

ส่วนในผู้ใหญ่ ให้บีบยาสีฟันให้มีความยาวเท่ากับ ความยาวของขนแปรงสีฟันที่ใช้อยู่ และอย่าลืมแปรงฟันวันละสองหน



ที่มา 108 ซองคำถาม

ควรทำอย่างไรเมื่อกระจกหน้ารถยนต์แตก


ในการใช้รถใช้ถนนนั้นคงไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์คันเก่งเป็นแน่ ทั้งเสียทรัพย์สินและเสียเวลา แต่อุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การขับรถตามรถบรรทุกที่ไม่มีผ้าคลุมกระบะท้าย เศษหินหรือกรวดอาจกระเด็นใส่กระจกหน้ารถคันที่ขับตามมาทำให้กระจกหน้ารถคันที่ขับตามทำให้กระจกหน้ารถแตกได้


ถ้ากระจกรถแตกในขณะขับขี่อยู่สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตั้งสติ ควบคุมรถให้ตรงเลน ลดความเร็ว เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายและขับเข้าข้างทางโดยเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินให้ผู้ใช้ถนนคันอื่นมองเห็น เมื่อจอดรถแล้วให้สังเกตุว่ากระจกแตกเฉพาะจุดหรือแตกละเอียดทั้งบาน ถ้าแตกละเอียดทั้งบานจนมองไม่เห็นทาง แสดงว่าเป็นกระจกชนิด เท็มเปอร์

กระจก "เท็มเปอร์" Temper เมื่อเกิดแตกร้าวเนื้อกระจกจะแตกเป็นลักษณะข้าวโพดลามทั่วทั้งบานและมองไม่เห็นทาง ถ้าเป็นในเมืองก็เรียกรถยกเข้าศูนย์บริการ แต่ถ้านอกเมืองไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้ ก็ต้องเลาะเอากระจกที่แตกละเอียดออกโดยการใช้ผ้าหรือหนังสือพิมพ์รองไว้ที่ หน้าคอนโซลแล้วใช้ไม้ดันให้กระจกหลุดลงมาที่ผ้าซึ่งรองไว้ แล้วค่อยๆ ขับไปหาศูนย์บริการหรือร้านเปลี่ยน ในระหว่างขับต้องระวังเศษกระจกที่จะ

ปลิวเข้าตาด้วย

ส่วนแบบ "ลามิเนท" Laminated ที่แตกเฉพาะจุดและสารถมองเห็นได้แม้จะมีรอยแตกตรงจุดๆ นั้น เป็นกระจกป้องกันภัยที่พัฒนาขึ้นมาจากแบบเดิมและรถยนต์ในปัจจุบันก็ใช้กระจกหน้าแบบนี้ โดยมีความพิเศษตรงที่เป็นกระจกสองชั้นวางซ้อนกัน ตรงกลางมีแผ่นฟิมล์บางทำหน้าที่ยึดเกาะกระจก ดังนั้นหากเกิดการแตกร้าวเนื้อกระจกจะแตกตรงเฉพาะจุดไม่ลาม

ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนกระหน้าบานใหม่ควรเปลียนเป็น "ลามิเนท" ซึ่งเป็นการปลอดภัยมากกว่าแบบ "เท็มเปอร์" ทั้งนี้ควรดูร้านที่น่าเชื่อถือหรือมีการรับประกันงานซ่อมด้วย

24 เม.ย. 2553

ที่มาของสำนวนไทย สู้ยิบตา

ไก่ป่าเป็นต้นตระกูลของไก่บ้าน คือ ไก่แจ้ รวมไปถึง ไก่ชนด้วย


ไก่แจ้นั้นมีสีแดง รูปร่างและขนาดของไก่ป่านั้น ไก่ป่าร่างสูงกว่า

ไก่ป่านั้นแยกออกเป็นสองประเภท คือ ไก่ป่าธรรมดาและไก่ฟ้าพญาลอ

ขึ้น ชื่อว่า ไก่ป่า (ไก่เถื่อน) รูปร่างเปรียว วิ่งและบินได้รวดเร็ว ระมัดระวัง ระแวงภัย ตลอดเวลาที่หากิน มีประสาท หูดีมาก ขี้ตกใจง่าย ได้ยินเสียงแปลกปลอมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้จะบินปร๋อหายไปในทันที

อาการ ระแวดระวังของไก่ป่า เริ่มตั้งแต่ยังมีสภาพเป็นลูกเจี๊ยบ ธรรมชาติสอนให้มัน รู้จักลี้ภัย โดยที่รู้ว่าภัยมาแน่แล้ว ลูกไก่ป่าจะวิ่งไปซุกตามใบไม้แห้งที่กองสุมอยู่ทั่วไปในป่าอย่างมิดชิด ถ้าไม่สังเกตดูให้ดีจะไม่มีโอกาสรู้เลย

ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะมีคนเคยเหยียบลูกไก่ป่าตายก็หลายครั้งแล้ว

ชาวบ้านนั้นสรุปไก่ป่า ว่า มันเป็นไก่ชกมวย (ไก่ชน) ที่สู้จนสุดใจขาดดิ้น เหมือนพันธุ์ไก่ชนที่ทั่ว ๆ ไปนำมาตีเป็นเดิมพันถึงครั้งละแสน ไม่ว่าศัตรูนั้นจะเป็นหมาหรือไก่บ้าน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง มันจะรุมตีทันที ตีเอาจนกว่าคู่ต่อสู้จะล่าถอย พ้นเขตอิทธิพล

จากเชื้อสายไก่ป่ามาเป็นไก่ชน ไก่ต่อไก่นั้นจะเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ไม่รับรู้ว่าเจ้าของของมันจะแพ้หรือชนะเดิมพัน แม้ถูกเดือยของคู่ต่อสู้จนบริเวณตาฉีก (ไม่ถึงก็บอด) เจ้าของก็จะเย็บแผล (เย็บโดยไม่ต้องมียาชา) และสู้ต่อไปจนครบยก (ยกต่อยกนั้น วงตีไก่ใช้น้ำใส่เกือบเต็มถังพลาสติก ใช้กะลามะพร้าวที่ขัดจนขึ้นมัน ส่วนบนผ่าขวาง แล้วเอาด้านที่มีรูลอยน้ำจะทะลุเข้ารูกะลา เมื่อกะลาจมลง ก็จะถือว่าเป็นหนึ่งยก)

นี่เป็นเรื่องราวของคำว่า ไก่ตาแตก บาดเจ็บ, ไก่ชน-ไก่แจ้ นี่คือที่มาของคำที่ว่า สู้เย็บตา แล้วเพี้ยนมาเป็น สู้ยิบตา

ที่มา ภาษาคาใจ โดย สังคีต จันทนะโพธิ

คู่มือคลายเครียด

การคลายเครียดในภาวะปกติ เป็นวิธีการคลายเครียดที่คนทั่วไปนิยมปฏิบัติ โดยมักเลือกปฏิบัติในวิธีที่เคยชิน ถนัด หรือชอบ และสนใจ ทั้งนี้เพียงเพื่อให้ความเครียดลดลง รู้สึกสบายใจมากขึ้น เช่น


1. หยุดพักการทำงาน หรือกิจกรรมที่กำลังทำอยู่นั้นชั่วคราว ลุกขึ้นไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ยืนยืดเส้นยืดสาย สะบัดแขนขา สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

2. ทำงานอดิเรกที่สนใจหรือถนัดและชื่นชอบ จะทำให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลิน สนุกหรือมีความสุข ลืมความเครียดที่มีอยู่ไปขณะหนึ่ง ทำให้ไม่หมกมุ่นกับปัญหาที่ทำให้รู้สึกเครียดได้ งานอดิเรกมีหลายประเภท เช่น

• เล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นรำ ฟังเพลง

• ทำงานศิลปะ งานประดิษฐ์

• ปลูกต้นไม้ ขุดดิน ทำสวน

• ตกแต่งบ้าน ตัดเย็บเสื้อผ้า

• เขียนหนังสือ เขียนบันทึกต่างๆ อ่านหนังสือ

• ดูโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฟังวิทยุ

3. เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกาย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เตะตะกร้อ เล่นเทนนิส แบดมินตัน เตะฟุตบอล โดยเลือกเล่นกีฬาที่ชอบหรือถนัด

4. พบปะสังสรรค์กับเพื่อนที่ไว้วางใจ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน เช่น การรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องที่สนุกสนาน อยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนที่อารมณ์ดี สร้างอารมณ์ขันให้กับตนเอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลินและผ่อนคลาย

5. พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียดมักจะมีอาการนอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับแล้วตื่นกลางดึก ฝันร้าย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การที่จะทำให้กลางคืนมีการนอนหลับที่ดีนั้น สิ่งสำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน และอย่ากังวลว่าจะนอนไม่หลับ ให้เข้านอนเป็นเวลา และหากไม่ง่วงนอน ก็ให้หากิจกรรมบางอย่างทำไปก่อน เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังวิทยุ เป็นต้น

6. ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานหรือที่บ้านให้เหมาะสม เช่น จัดเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ ทำความสะอาดบ้านและที่ทำงานให้ดูดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมดูสะอาด เรียบร้อย และสวยงามน่าอยู่แล้วย่อมทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและช่วยลดความเครียดลงได้

7. เปลี่ยนบรรยากาศชั่วคราว ในบางครั้งที่เราอาจคร่ำเคร่ง หรือเคร่งเครียดกับการทำงาน หรือกิจกรรมบางอย่างมาก ๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ซ้ำซาก จำเจเกินไป จนทำให้ไม่มีความสุข ดังนั้นการเปลี่ยนบรรยากาศชั่วคราวด้วยการชักชวนคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ออกไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติ หลีกหนีบรรยากาศที่จำเจไปชั่วคราว หยุดงานชั่วขณะ หยุดพักผ่อนบ้าง เดินทางไปสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และเพลิดเพลินสักระยะหนึ่ง จะทำให้ความตึงเครียดลดลง และพร้อมที่จะลุยงานต่อไปได้ใหม่

สิ่งสำคัญที่ควรระลึกถึงคือ การหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน กินของจุกจิก หรือใช้ยาเสพติด เพราะนอกจากจะทำลายสุขภาพแล้ว ยังอาจทำให้มีปัญหาอื่นๆ ตามมามากมาย เช่น เสียทรัพย์สินเงินทอง เกิดความขัดแย้งไม่เข้าใจกับคนในครอบครัว เป็นต้น

18 เม.ย. 2553

ใช้เว็บช่วยทำการบ้านแคลคูลัสอย่างเมพ

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าเว็บ http://www90.wolframalpha.com/  ก่อนเน่อ

เรียนแคลต้องเริ่มที่ลิมิต ชิมิคิ





อันที่จริง ถ้าใครเคยใช้โปรแกรมด้านคณิตศาสตร์จำพวก maple, matlab หรือ methematica (เว็บนี้เจ้าเดียวกันกับmethematica) อาจจะเคยชินกับการประมวลผลแบบนี้ (เพราะมันทำอะไรได้เมพๆกว่านี้ได้อีกเยอะ!!!)


แต่สำหรับน้องๆที่กำลังเรียนแคลคูลัส ผมอยากให้ใช้เว็บนี้เป็นตัวช่วยในการทำความเข้าใจกับแบบฝึกหัดได้อีกช่องทางหนึ่ง

และอย่าลืมความจริงที่ว่า การใช้เว็บนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อเราปรึกษามัน ไม่ใช่ลอกมัน!!!

ของแถม : ตัวอย่างการใช้หาลิมิตที่ค่าตัวแปรลู่เข้าสู่อินฟินิตี้ (แบบแว่ ลืมแคปฯตัวอย่างนี้ -..-) http://www90.wolframalpha.com/input/?i=lim(x-%3Einfinity)(x%2B1)%2F(x^2%2Bx)

โรคตับแข็ง เกือบตายเพราะเหล้า

เกือบตายเพราะเหล้า (หมอชาวบ้าน)
คอลัมน์ คุยกับหมอ 3 บาท

โดย นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์
ผู้ป่วยชายรายหนึ่งอายุ 46 ปี ภรรยาและลูกนำส่งโรงพยาบาลเนื่องจากเพ้อคลั่ง กินอาหารไม่ได้ อาเจียนมาก เป็นมา 2 วัน
"เป็นอะไรมาครับ" หมอถาม
"แกชอบดื่มแต่เหล้า สองวันนี้อาเจียนมาก เพ้อ เอะอะ โวยวาย ทานอะไรไม่ได้ค่ะ" ภรรยาตอบ
"มีไข้ไหมครับ"หมอซักต่อ
"เอ่อ... ก็ตัวเย็นนะคะ"
"มีโรคประจำตัวอะไรไหมครับ"
"เป็นความดันโลหิตสูง แล้วก็ขาบวมค่ะ"
"มียาที่กินประจำอะไรบ้างครับ เอาติดมาด้วยหรือเปล่า"
เมื่อหมอได้ดูยาแล้วก็แน่ใจว่าเป็นยาขับปัสสาวะที่นิยมใช้ กรณีที่มีอาการบวมร่วมกับความดันโลหิตสูง จากนั้นก็ตรวจร่างกายผู้ป่วย พบว่ามีภาวะคลุ้มคลั่งสับสน เนื่องจาก ตับแข็ง ขาดวิตามินบี 1 และเสียสมดุลของน้ำและเกลือแร่ ซึ่งอาจจะเกิดจากการหยุดดื่มเหล้ากะทันหัน
หลังจากรักษาแล้ว วันรุ่งขึ้นก็พูดรู้เรื่องและกลับบ้านได้ ในวันที่สาม หมอได้ให้คำแนะนำดังนี้
"คุณมี ตับแข็ง จากผลของเหล้า ซึ่งจะทำให้เกิดอาการบวม แต่ถ้ากินยาขับปัสสาวะเพื่อลดบวมก็จะทำให้เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ อาจเกิดคลุ้มคลั่งสับสนได้อีก ดังนั้นต้องหยุดทำร้ายตับโดยการหยุดดื่มเหล้าและบำรุงร่างกาย แต่การที่คุณติดเหล้าจะหยุดกะทันหันไม่ได้ หมอจะให้ยากล่อมประสาทและยาควบคุมประสาทอัตโนมัติ จะช่วยไม่ให้เกิดความรู้สึกอยากดื่มจนทนไม่ไหว ลดอาการสั่นกระตุก และช่วยให้หลับได้ คาดว่าจะใช้ยาไป 1-2 สัปดาห์"
"แต่คุณจะต้องตั้งสัจจะเลยนะว่าจะไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ตลอดไป จำไว้ว่าคุณจะอายุสั้นมาก หากตับคุณแข็งมากไปกว่านี้" หมอย้ำเรื่องสำคัญ
"แล้วผมจะอยู่ได้นานแค่ไหนครับ"
"ผมบอกไม่ได้ อาจจะเป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆ ปี ขึ้นอยู่กับว่าคุณปฏิบัติตัวดีแค่ไหน ที่สำคัญ "ต้องหยุดทำร้ายตับโดยการหยุดดื่มเหล้าและบำรุงร่างกาย" คือต้องหยุดดื่มเหล้าเพื่อไม่ให้ตับถูกทำร้ายมากขึ้น ตับของคุณอาจจะดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย แล้วต้องบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ ควรงดพวกไขมันสัตว์ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ เพิ่มการพวกถั่วต่างๆ เต้าหู้ ธัญพืช ผักสด ผลไม้สด"
ผู้ป่วยก็รับฟังอย่างตั้งใจ แต่ตอนที่บอกให้เลิกเหล้านี่สิ ดูไม่ค่อยอยากจะรับปากเท่าไหร่
เมื่อพูดถึงอันตรายจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีใครกลัว เพราะผลร้ายไม่เกิดทันที แต่ผลที่ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกดีรู้สึกสนุกเห็นผลชัดกว่า นานๆ ดื่มทีไม่เป็นไร แต่หากดื่มเป็นประจำก็จะเกิด โรคตับแข็ง เบาหวาน สมองเสื่อม ความดันโลหิตสูง ไตพัง ขาดสติจนเกิดอุบัติเหตุ บางคนไม่ต้องรอให้ตับแข็งก็ตายจากไข้โป้งไปก่อนแล้ว เพราะไปทำความรำคาญให้ชาวบ้านเขา
หลายคนคงเคยได้เห็นหรือได้ยินการประชาสัมพันธ์ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อรณรงค์ลดการดื่มเหล้า โดยมีการโฆษณาทั้งในโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ ที่ว่า "ให้เหล้า=แช่ง" ซึ่งตอนนี้เริ่มจะอยู่ในความรู้สึกของคนไทยแล้ว หลายๆ คนชักไม่กล้าที่จะให้ของขวัญกันด้วยเหล้า เพราะกลัวคนรับจะคิดมาก เลยเลี่ยงไปให้อย่างอื่นดีกว่า ถือว่าการรณรงค์นี้ได้ผลดีทีเดียว
แต่ก็อยากให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อตอกย้ำอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยอาจจะเน้นที่อันตรายของเหล้าและทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
แล้วเป้าหมายของรัฐที่อยากให้คนไทยดื่มเหล้ากันน้อยลงก็จะเป็นจริงได้

โรคผิวหนังที่มากับหน้าร้อน

โรคผิวหนังที่มากับหน้าร้อน (Lisa)
ผด กลาก เกลื้อน มักมาเยือนเมื่อมีเหงื่อออกมาก และอับชื้น เกามาก ๆ อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
นักร้องสาว เทย์เลอร์ สวิฟต์ มักสวมใส่เสื้อผ้าเบาสบายในหน้าร้อน เพื่อป้องกันความอับขึ้นซึ่งอาจก่อให้เกิดเชื้อรา ผดผื่นคันได้ โดยเฉพาะหน้าร้อนในเมืองไทยมักจะร้อนมากจนเหงื่อไหลไคลย้อย ก่อให้เกิดโรคผิวหนังได้หากรู้ไม่เท่าทัน ดังนั้น พญ.รัศนี อัครพันธุ์ รองผู้อำนวยการบริหารสถาบันโรคผิวหนัง จึงตอบข้อข้องใจเกี่ยวกับโรคผิวหนังในฤดูร้อนดังนี้ค่ะ
Q : โรคผิวหนังในฤดูร้อนที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง
A : ส่วนใหญ่มักเป็นผด เนื่องจากอากาศร้อนก็จะทำให้เหงื่อไหลไคลย้อย ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน เมื่อรูขุมขนชุ่มเหงื่อก็จะเกิดผดเม็ดเล็ก ๆ แดง ๆ หรือบางครั้งจะเป็นเม็ดใส ๆ พบมากในเด็กเล็ก โดยที่ผดมักขึ้นรอบ ๆ คอ หน้าผาก พยายามให้เด็กอยู่ในที่เย็น มีลมโกรก ไม่ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เพื่อไม่ให้เหงื่อออกมาก หากอาการไม่ดีขึ้น ให้ทายาแก้ผื่นคัน ในเด็กโตที่ชอบวิ่งเล่นจนชุ่มเหงื่อก็มักมีผลขึ้นบริเวณรักแร้ มีรอยแดงไหม้เนื่องจากเหงื่อกัด ส่วนผู้ใหญ่มักเป็นที่คอ เนื่องจากใส่เสื้อคอปิด ใส่สร้อย ก็จะทำให้อับเหงื่อจนเกิดอาการคัน เมื่อผ่านหน้าร้อนไปแล้วมีเหงื่อน้อย แต่ก็จะดีขึ้นเอง ฉะนั้น เวลาเหงื่อออกมากก็ให้อาบน้ำหรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด
Q : พบผิวไหม้แดดบ่อยไหม
A : ผิวไหม้แดดก็พบบ่อย โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน คนมักไปเที่ยวสงกรานต์ ไปชายทะเลก็จะตากแดดกันมาก ทำให้ผิวไหม้แดดและลอกผิวจะดำคล้ำขึ้น ฉะนั้น จึงควรใส่เสื้อผ้าแขนยาวปกปิดป้องกันแดด ทายากันแดด ใส่หมวกหรือกางร่ม ใส่แว่นกันแดดเพื่อปกป้องผิวและดวงตา
Q : นอกจากผดแล้ว เชื้อราที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง
A : เชื้อราที่พบบ่อยคือเกลื้อน พบมากในผู้ที่ใส่เครื่องแบบ ใส่เสื้อผ้ารัดมาก ๆ หรือต้องใส่เสื้อสองชั้นก็จะเกิดเกลื้อนซึ่งมีลักษณะเป็นวงขาว ๆ วงแดง ๆ หรือวงดำ ๆ ซึ่งมักเกิดกับผู้เล่นกีฬาที่มีเหงื่อออกมากแล้วไม่ได้อาบน้ำทันที ปล่อยให้ความชื้นหมักหมมมีเหงื่อขังก็จะเกิดเชื้อราขึ้น แต่ถ้าเป็นเกลื้อนที่เหงื่อซึ่งจะเห็นดวงขาว ๆ ไม่คัน เมื่อเหงื่อออกก็จะเห็นดวงเล็ก ๆ ชัด อาจมีรอยแดงรอบ ๆ แล้วก็จะคันมากขึ้นมักเกิดบริเวณหลัง หน้าอก ท้อง และในบริเวณร่มผ้า
Q : กลากเกิดขึ้นบ่อยใบหน้าร้อนไหม
A : กลากก็พบบ่อยในหน้าร้อน มักพบในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น รักแร้ ได้ราวนม ขาหนีบ แรกๆ ก็อับชื้นเหมือนถูกเหงื่อกัด แล้วก็จะดัน หากมีเชื้อราเข้ามาร่วมด้วย ผื่นจะขยายเป็นวง มีขอบเขตชัดเจนมีขุย และจะคันมาก คือกลากจะคันกว่าเกลื้อนมาก
Q : ในกรณีนี้ต้องดูแลรักษายังไง
A : ส่วนใหญ่ก็จะใช้ยาทารักษากลากรักษาเกลื้อน หากเป็นมากก็ใช้ยารับประทานสำหรับรักษาเชื้อรา
Q : อยากทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดกลากและเกลื้อน
A : สิ่งแรกคือต้องรู้สาเหตุ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการสวมเสื้อผ้าอับ ๆ รัด ๆ ใส่กางเกงยีนส์ อยู่ในที่ร้อนมาก ๆ เล่นกีฬาหรือทำงานกลางแจ้ง ก็อาจทำให้เกิดกลากและเกลื้อนได้ คนที่เป็นเกลื้อนมักเป็น ๆ หาย ๆ หรือหากใครเคยเป็นก็จะเป็นอีกได้ง่ายกับคนคนนั้น กลากก็เช่นเดียวกัน คนที่เป็นแล้วก็เป็นซ้ำได้อีก คือลักษณะผิวหนังของคนบางคน เหมาะที่จะทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่ายนั่นเอง ฉะนั้น ต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดให้ดี บางครั้งกลากอาจจะติดจากการใช้ของร่วมกับคนที่เป็นโรค หรือติดจากสัตว์เลี้ยงก็ได้
Q : มีวิธีป้องกันอย่างไรจึงจะไม่ทำให้เกิดกลากหรือเกลื้อน
A : การป้องกันก็คือ พยายามอย่าให้มีความอับชื้นควรซักเสื้อผ้าให้สะอาดและตากให้แห้ง หน้าร้อนควรใส่เสื้อผ้าหลวมโปร่ง ผ้าฝ้ายที่ระเหยเหงื่อง่าย อาบน้ำบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้หมักหมม หลังอาบน้ำควรเช็ดบริเวณซอกพับให้แห้ง โรยแป้งบาง ๆ ปัจจุบันมีแป้งสำหรับป้องกันเชื้อรา ก็อาจช่วยชะลอไม่ให้เป็นเร็วขึ้น และอาจจะช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นใหม่
Q : กรณีที่ซื้อยาทาเองจะมีความปลอดภัยแค่ไหน
A : ปกติถ้าทายาฆ่าเชื้อรานานต่อเนื่อง 3-4 สัปดาห์ ก็จะทำให้อาการดีขึ้นได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่ทายาต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้ว เมื่อหยุดทายาไปไม่นานก็จะมีเชื้อรากลับเป็นซ้ำที่เดิมอีก หรือถ้ามีเชื้อราเกิดขึ้นหายตำแหน่ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูแลรักษาโดยใช้ยา การร่วมกับยารับประทานยาฆ่าเชื้อราบางชนิด มีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังหลุดลอก ผู้ป่วยบางคนไม่เข้าใจ อยากให้โรคหายเร็วทายาหนามาก หรือทายาซ้ำหลายครั้งต่อวัน จะทำให้ผิวหนังระคายเคือง แสบแดง เจ็บ และผิวลอกได้ ฉะนั้น จึงควรอ่านข้อแนะนำในการใช้ยาให้ถูกต้อง จากฉลากยาเสียก่อนว่าควรทาอย่างไร ทาบ่อยแค่ไหนมากน้อยเพียงไร ที่สำคัญคือเมื่อแพทย์ให้ยาฆ่าเชื้อราไปทาก็ควรทาประมาณ 3-4 สัปดาห์ แม้จะมีอาการดีขึ้นในหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม เพราะถ้าทายาไม่ต่อเนื่องเชื้อราก็ยังอยู่และอาจกลับมาได้อีก คือควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ ทั้งยากินและยาทา อย่าหยุดยาเอง
Q : มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนในหน้าร้อนไหม
A : เกิดขึ้นได้ในกรณีที่เป็นผดและคันมาก จะเกาจนผิวหนังถลอกทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแบบแทรกซ้อน ซึ่งไม่ได้เกิดจากสาเหตุเริ่มต้น ปกติเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียผ่านเข้าได้ผิวหนัง และเกิดแผลอักเสบติดเชื้อตุ่มหนอง ฝี และเป็นแผลได้
Q : ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังควรดูแลตัวเองอย่างไรดี
A : คนกลุ่มนี้ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษผิวทั้งในหน้าหนาวและในหน้าร้อน ใบหน้าหนาวก็จะมีผิวแห้งมากต้องทาครีมบำรุงมากๆ ไม่อาบน้ำอุ่นจัด ไม่ฟอกสบู่มาก ในหน้าร้อนถ้าเหงื่อออกมากจะมีผื่นคันบริเวณคอข้อพับ แขน ขา ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อน อับหรือมีฝุ่นละอองมาก เนื่องจากจะทำให้คันมากขึ้น
Q : จำเป็นไหมที่ต้องใช้สบู่ยา
A : ผิวหนังปกติของคนทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ยาแล้วแต่กรณี ส่วนใหญ่แพทย์จะแนะนำให้ใช้สบู่ยาในกรณีที่ติดเชื้อเท่านั้น ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เพราะการใช้สบู่ยา อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ และเมื่อใช้ต่อเนื่องจะทำให้เชื้อดื้อยาได้
Q : สาว ๆ ส่วนใหญ่คงอยากรู้ว่าการเกิดกระและฝ้าในฤดูร้อนจะรักษาหายไหม
A : การเกิดกระและฝ้าในหน้าหน้าร้อนแสดงว่าไปมีกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ไปต่างจังหวัด ไปทะเลขึ้นเขา การออกกำลังกายกลางแจ้ง ทำให้เกิดกระหรือทำให้ฝ้าที่มีอยู่มีสีเข้มขึ้น ฝ้ามักจะเกิดจากแสงแดด ฮอร์โมน และพันธุกรรม ฝ้าเกิดง่ายแต่หายยาก แต่อาจจางลงได้ เมื่อรู้สาเหตุก็พยายามเลี่ยงปัจจัยนั้น ๆ สิ่งที่เสี่ยงไม่ได้คือพันธุกรรม หากเกิดจากฮอร์โมนมักเป็นตอนตั้งครรภ์ หรือฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นจากการกินยาคุม จึงควรทายากันแดดขนาดเท่าข้อนิ้วก้อยหรือทาสองรอบ เพื่อความมีประสิทธิภาพของยากันแดด

ข้อควรรู้ การดูแลผิวหนังในหน้าร้อน
ในคนที่แพ้โลหะไม่ควรใส่เครื่องประดับที่ทำจากนิกเกิ้ล เพราะเมื่อเหงื่อออก ก็จะทำให้นิกเกิ้ลละลายออกมาทำปฏิกิริยากับผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบหรือเกิดผื่นแพ้ได้


ในหน้าร้อนควรสระผมบ่อย ๆ เผื่อศีรษะอับขึ้น

หากต้องใส่รองเท้าที่ปกปิดมิดชิด ก็ควรถอดออกบ้างเมื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน หากเท้ามีเหงื่อออกมากก็ให้หายาระงับไม่ให้เหงื่อออกมากเกินไป หรือโรยแป้งไว้ระหว่างนิ้วเท้าเพื่อขับเหงื่อ ควรเปลี่ยนรองเท้าบ่อย ๆ และนำไปผึ่งตากแดดเพื่อดับกลิ่นและฆ่าเชื้อโรคด้วย

ข้อแนะนำ จาก พญ.รัศนี อัคารพันธุ์
ในช่วงหน้าร้อนอากาศจะร้อนจัด แสงแดดแรงมาก ถ้าอยู่ในที่ร่มจึงไม่ควรใส่เสื้อผ้าหนาและรัดเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นเหงื่อ เกิดผดผื่นคันได้แต่เมื่อออกแดดก็ไม่ควรใส่แขนกุด คอกว้าง เพราะจะทำให้ผิวไหม้แดดได้ ควรใส่เสื้อแขนยาว กางร่มกันแดดและควรทายากันแดด โดยควรฝึกหายากันแดดตั้งแต่เด็กหากรู้จักหลีกเลี่ยงแดดตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้น จะได้ลดความกังวลเรื่องใบหน้าเหี่ยวง่ายเป็นริ้วรอยก่อนวัย คือเราป้องกันตั้งแต่แรกได้

17 เม.ย. 2553

มิจฉาชีพหลอกลวงแจ้งค้างชำระค่า­โทรศัพท์ ขอให้เพื่อน ๆ ระวังไว้ด้วย

วันนี้ตื่นเช้ามา (ประมาณเที่ยง ถือว่าเช้าแล้วนะ)


ก็เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือ (sim 2) เรียกเข้ามา ก็กดรับ

ผู้ที่โทร.มาแจ้งว่าสวัสดีค่ะ TOT ขอแจ้งให้ท่านทราบว่า

ท่านมียอดค้างชำระเป็นเงิน 15,999 บาท ต้องการติดต่อเจ้าหน้าที่กรุณากด 9

เราก็ฟังไปฟังมา

มันก็เป็นเสียงที่อัดไว้แล้ว เสียงผู้หญิง ก็เลยตัดสายทิ้งไป

(คิดในเจอเราเข้าแล้วหรือไงฟะ อยากรู้อยากเห็นคิดจะกด 9 ไปคุยด้วยเหมือนกัน

แต่ก็ปล่อยมันไปเถอะ)

แล้วก็ตาลีตาเหลือกกดหา 1133 ช่วยเช็คให้หน่อยดิว่าเบอร์

02-333-3307เป็นเบอร์ที่ไหน (เราก็จำได้ว่า TOT

มันเป็นเลข 4 ตัวคือ 1100 เราmemไว้แล้วนี่หว่า) 1133 แจ้งว่า

"ไม่พบข้อมูล"เราก็บอกว่าช่วยบอกขอบเขตหรือบริเวณการใช้ให้หน่อยได้ป่ะ

(ยังไม่หยุดยั้ง 1133

บอกว่าไม่มีข้อมูล แล้วยังด้านถามต่ออีก) 1133 บอกว่าอยู่บริเวณเขตราชเทวี

กรุงเทพฯ ครับ (เอ้า!!! หาเจออีกแหะ) จึงอยากให้เพื่อน ๆ

ช่วยกันระวังเอาไว้ด้วย บางคนอาจเคยได้ยินมาแล้วแต่ไม่ได้เจอกับตัวเอง

น้องสาวเราบอกว่า

sim 2 ใช้ของ 1-2-call เติมเงินจะ มียอดค้างชำระเป็นหมื่นได้ยังไงพรี้รรรรรรรรร

เออเราก็เพิ่งนึกออก เลยกดดูยอดเงินซะหน่อย ยอดเงินเหลือ 7.82 บาท

เหลือโคตรเยอะเลย


คราวนี้เราก็โทร.ไปเช็คค่าโทรศัพท์บ้านที่ TOT หน่อย ประมาณว่า*จิตตก*แล้วง่ะ

อยากรู้ให้กระจ่างมันทุกเรื่องเลย TOT ก็แจ้งว่าค้างชำระประมาณ 600

กว่าบาทเท่านั้น เราก็บอกว่าเมื่อกี้มีสายโทร.เข้ามาแจ้งยอดค่าค้างชำระ

TOT ถามว่าเป็นหลักหมื่นเลยหรือป่าวคับ

เราก็บอกว่าใช่ เค้าก็บอกว่าเป็นมิจฉาชีพ โทร.หลอกลวงคนอื่นบางคนหลงกลก็กด 9

เข้าไปคุยแล้วก็โดนหลอกถามเลขที่บัตรประชาชน เลขที่บัตรเครดิต อะไรทำนองนี้ล่ะ

เราก็เลยบอกเบอร์โทร.ที่โทร.เข้ามาให้ TOT ไป

เพื่อจัดหามาตรการป้องกันหรือปราบปรามอะไรก็แล้วแต่

เพราะว่ามันเสียหายมันอ้างชื่อของ TOT นะ (แน่ะ ....ไปคิดแทนเค้าอีกน่ะ)


จึงอยากให้เพื่อน ๆ ระวังไว้ด้วย เบอร์โทร.02-333-3307

นะหรือว่ามันอาจจะใช้เบอร์อื่นโทร.มาก็ได้ ถ้ามีเหตุการณ์แปลก ๆ

แบบนี้ก็จำเรื่องราวคร่าว

ๆ เอาไว้ก่อนแล้วก็ตัดสายทิ้งไป แล้วค่อยติดต่อหรือสอบถามวันทำงานปกติทีหลัง

ถ้าเราต้องจ่ายเงินค่าบริการใด ๆ จริง

ก็จ่ายช้าออกไปหน่อยก็ได้ขอให้ชัวร์ไว้ก่อนก็แล้วกันเน๊อะ (รักและหวังดีเพื่อน

ๆ ทุกคนนะจ๊ะ.....)

ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต18ข้อ

1 เอาใจใส่ปฏิบัติ ทำให้นิสัยในการพยายามที่ ตัวเองในรองเท้าของผู้อื่น ผู้ใด คนที่รัก, เพื่อนร่วมงานคนที่คุณพบบนถนน จริงๆพยายามเข้าใจเท่าที่ คุณสามารถสิ่งที่ต้องการจะให้สิ่งที่พวกเขาจะผ่านและเหตุใดจึงทำสิ่งที่พวก เขาทำ


2 สงสาร Practice เมื่อคุณสามารถเข้าใจคน อื่นและรู้สึกสิ่งที่จะผ่านเรียนรู้เพื่อต้องการดับทุกข์ได้ และเมื่อคุณสามารถแม้แต่ การกระทำเล็ก ๆ อย่างใดอย่างง่ายดายทุกข์ในลักษณะบาง

3 วิธีที่คุณต้องการรักษา? The Golden Rule ไม่จริงหมายความว่าคุณควรปฏิบัติต่อคนอื่นตรงตามที่คุณต้องการต้องการให้ รักษาคุณ … หมายความว่าคุณควรพยายามคิดว่าพวกเขาต้องการที่จะรักษาและทำ ดังนั้นเมื่อคุณใส่รองเท้า ของตัวเองในการถามตัวเองว่าคุณคิดว่าพวกเขาต้องการที่จะรักษา ถามตัวเองว่าคุณต้องการที่ จะรักษาถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ John F. Kennedy ได้แย้งว่าในช่วงของการแยก de – in 1960, ขอให้ชาวอเมริกันขาวนึกถูกมองลงตามและรักษาตามฉกรรจ์เฉพาะสีผิวของตน เขาถามพวกเขาคิดว่าพวกเขา ต้องการที่จะรักษาถ้าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่และปฏิบัติตามต่อดำ

4 เป็นมิตร เมื่อสงสัยตามปลายนี้ ก็มักจะปลอดภัยเป็นมิตรต่อ ผู้อื่น แน่นอนว่ายังมีครั้งอื่น ๆ ก็ไม่ต้องการคนที่ทำหน้าที่เป็นมิตรต่อพวกเขาและคุณควรจะไวต่อว่า คุณควรเป็นมิตรภายในขอบเขต ของความเหมาะสม แต่ที่ไม่ชอบรู้สึกยินดี และอยาก?

5 เผื่อแผ่ นี้เป็นหนึ่งในข้อด้อยของ สังคมของเรา ตรวจสอบว่ามีหลายคนที่ออก ไปจากทางของพวกเขาที่จะเป็นประโยชน์ได้และฉันชมพวกเขา แต่โดยทั่วไปมีแนวโน้มให้ กับตัวเองและไม่สนใจปัญหาของผู้อื่น ไม่เป็นคนตาบอดกับความต้อง การและปัญหาของผู้อื่น ดูเพื่อช่วยก่อนที่คุณจะ ถาม

6 มีมารยาทในการเข้าชม จุดอ่อนของสังคมของเราอีก มีไม่กี่ครั้งเมื่อเราเป็น เห็นแก่ตัวเช่นเมื่อเราขับรถเป็น เราไม่ต้องการให้ขึ้นด้าน ขวาของทางเราตัดคนออกบีบเราและสาปแช่ง บางทีมันแยกรถยนต์ของ แน่นอนเราไม่ได้กระทำที่ หยาบในคนส่วนใหญ่เวลา เพื่อพยายามจะสุภาพในการ เข้าชม

7 ฟังคนอื่น จุดอ่อนอื่น ๆ : เราทุกคนต้องการจะพูด แต่น้อยมากที่เราต้องการฟัง และยังเราทุกคนต้องการที่ จะฟัง เพื่อใช้เวลาในการฟังจริง คนอื่นมากกว่าแค่รอเปิดเพื่อพูดคุย นอกจากนี้ยังจะไปไกลที่จะ ช่วยให้คุณเข้าใจผู้อื่น

8 อคติป่วย เราทุกคนมีอคติของเราไม่ ว่าจะเป็นตามสีผิว, น่าสนใจ, ความสูงอายุเพศ … เป็นมนุษย์ฉันเดา แต่ลองดูแต่ละคนเป็นบุคคล คนที่มีภูมิหลังที่แตกต่างและความต้องการและความฝัน และพยายามที่จะดู commonalities ระหว่างคุณและคนที่แม้จะแตกต่างของคุณ

9 หยุดวิจารณ์ เราทุกคนมีแนวโน้มวิพากษ์ วิจารณ์ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนที่เรารู้จักหรือคนที่เราเห็นในโทรทัศน์ แต่ถามตัวเองถ้าคุณต้องการ ที่จะวิจารณ์ในสถานการณ์ของบุคคลที่ คำตอบคือเกือบเสมอ”no” เพื่อระงับการวิจารณ์ของ คุณและจะเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับผู้อื่นในทางบวก

10 ไม่ได้ควบคุมผู้อื่น นอกจากนี้ยังหายากที่คน ต้องการที่จะควบคุม Trust me จึงไม่ทำ นี้เป็นสิ่งที่ยากโดยเฉพาะ หากเราปรับอากาศเพื่อควบคุมคน แต่เมื่อคุณได้รับการ กระตุ้นให้ควบคุมตัวเองในรองเท้าใส่บุคคลที่ คุณต้องการอิสระและเสรีภาพ และความไว้วางใจก็จะไม่คุณ? ให้ที่อื่นแล้ว

11 เป็นเด็ก กระตุ้นในการควบคุมและ วิจารณ์โดยเฉพาะอย่างเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่จัดการกับเด็ก ในบางกรณีก็จำเป็นแน่นอน : คุณไม่ต้องการให้เด็กทำร้ายตัวเองเช่น แต่ส่วนใหญ่จะไม่ ใส่ตัวเองในรองเท้าของเด็ก ที่ จำไว้ว่ามันเป็นเหมือนเป็น เด็กและได้วิจารณ์และควบคุม คุณอาจไม่ชอบ วิธีที่คุณต้องการได้รับ การปฏิบัติหากคุณมีเด็กที่?

12 ส่งตัวเตือน Email เตือนตัวเองทุกวัน (ใช้ Google Calendar หรือ memotome.com ตัวอย่างเช่น) มีชีวิตอยู่โดย Golden Rule ดังนั้นคุณอย่าลืม

13 ผูกเชือกที่นิ้วของคุณ หรือให้ตัวเองบางเตือนอื่น ๆ ตลอดทั้งวันเพื่อที่คุณอย่าลืมไปตามกฎทองในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งหมด บางทีแหวนทองปลอมในพวง กุญแจของคุณ สัก?

14 โพสต์ไว้บนผนังหรือทำให้ หน้าแรกของคุณ The Golden Rule ทำให้มนต์ดีและโปสเตอร์ที่ดี

15 ขึ้นไปตอบโต้ ขณะนี้มีแนวโน้มตีกลับ เมื่อเราปฏิบัติไม่ดี นี้เป็นธรรมชาติ ต้านทานที่กระตุ้น The Golden Rule ไม่เกี่ยวกับการตอบโต้ มันเกี่ยวกับการรักษาผู้ อื่นได้ดีแม้จะมีวิธีการรักษาคุณ หมายความว่าคุณควรพรมเช็ด เท้าหรือไม่ ไม่ … คุณจะต้องยืนยันสิทธิของท่านแน่นอน แต่คุณสามารถทำได้อย่างที่คุณยังคงรักษาผู้อื่นได้ดีและไม่ตีกลับเพียงเพราะ เขาถือว่าคุณไม่ดีแรก จดจำคำแนะนำฉลาด (แต่ยากที่จะปฏิบัติตาม) พระเยซู : เปิดแก้มอื่นๆ

16 จะเปลี่ยน Gandhi ชื่อเสียงบอกเราจะเปลี่ยนเราต้องการเห็นในโลก ดีเรามักจะคิดว่าคำพูดที่ ใช้การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เช่นความยากจนและลัทธิชนชาติและความรุนแรงที่ ดีว่ามันจะใช้กับสิ่งที่ … แต่ยังใช้ในระดับมากเล็ก : ทั้งหมดปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนเล็ก คุณต้องการคนที่จะรักษากัน ด้วยความเมตตาและความห่วงใย more? แล้วปล่อยให้เริ่มต้นด้วย คุณ แม้โลกจะไม่เปลี่ยน แปลงอย่างน้อยคุณมี

17 แจ้งให้ทราบว่ามันทำให้คุณ รู้สึก โปรดสังเกตว่าการกระทำของ คุณมีผลต่อผู้อื่นโดยเฉพาะเมื่อคุณเริ่มการรักษาพวกเขาด้วยความเมตตา, เมตตา, เคารพเชื่อถือรัก แต่ยังสังเกตเห็นความ เปลี่ยนแปลงในตัวเอง คุณรู้สึกดีกับตัวเอง ความสุข? ปลอดภัยเพิ่มเติม? More ยินดีให้ผู้อื่นไว้วางใจขณะนี้ที่คุณไว้วางใจตัวเอง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มา ช้าและเพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่ถ้าคุณสนใจคุณจะเห็นพวกเขา

18 กล่าวอธิษฐาน มีคำอธิษฐานที่เป็น Golden Rule

เตือนภัย:บนสะพานพระราม8

มีเรื่องอยากมาเตือนภัยสำหรับคนที่ต้องใช้สะพานพระราม 8 ตอนกลางคืนค่ะ



เมื่อคืนนี้ เรากับเพื่อนๆไปถ่ายรูปและนั่งคุยงานกันที่สะพานพระราม 8

เวลาประมาณตี 1 พวกเราก็ว่าจะกลับกัน

แล้วก็เห็นมีวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ อายุประมาณ 15-16 ลักษณะดูไม่ค่อยดี

พวกนี้เดินขึ้นมาบนสะพานแต่อยู่คนละฝั่งกับเรา

พวกเราก็เห็นแล้วว่าท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เพราะเด็กกลุ่มนี้จะคอยมองมาที่กลุ่มเราเวลาที่กลุ่มเราคุยกัน และ

เด็กพวกนี้จะยืนเกาะราวสะพานติดกับถนน

ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าคงมายืนคุยกันธรรมดา (แต่ดูน่ากลัวมาก) แต่

ซักแป๊บเดียวเราก็ได้ยินเสียงเหมือนคนขว้างอะไรใส่รถ เราก็หันไปมอง

เท่าที่เราเห็นคือเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้เอา

อะไรซักอย่างปาใส่หน้ารถที่ผ่านไปผ่านมา คันแรกไม่เป็นไร

แป๊บนึงก็ได้ยินเสียงอีกทีแต่คันนี้ก็ไม่เป็นอะไรอีก พอ

คันที่ 3 เป็นรถแท็กซี่สีส้ม โดนปากระจกข้างแตก

พอพวกมันปาเสร็จแล้วมันก็พากันวิ่งลงสะพาน แท็กซี่คันนั้นก็ถอย

กลับมา แล้วจอดรถลงมาดูแต่ตามไม่ทันแล้ว เราสงสารคุณลุงคนนี้มากๆ

เพราะเค้าเป็นคนทำมาหากิน กลับต้องมา

เจอเด็กเหลือขอพวกนี้

พวกเราก็ตะโกนข้ามฝั่งไปถามคุณลุงเค้าแต่คุยกันไม่สะดวกเลยลงมาข้างล่าง

คุณลุงไปวน

รถกลับมาเจอพวกเรา เราก็เลยให้เบาะแสคุณลุงไป คุณลุงบอกว่าจะไปแจ้งความ


เราถามคุณลุงว่าพวกมันเอาอะไรปา คุณลุงบอกว่าทุเรียนดิบ กับขวดน้ำอัดลม !!!


เลยอยากมาเตือนภัยนะคะ ถ้าขึ้นสะพานพระราม 8

แล้วเห็นวัยรุ่นยืนเกาะราวสะพานด้านติดกับถนน ให้พยายาม

ขับชิดขวาไว้

ลักษณะของเด็กกลุ่มนี้คือ เด็กแวนซ์ อายุ 15-16 ปี มากันประมาณ 10-15 คน

แต่งตัวคล้ายๆกันค่ะ

Chonburi ( เตือนภัย)

แจ้งเตือนภัย โซนอันตราย - ชากแง้ว (บ้านอำเภอ , สัตหีบ)




เมื่อคืนเจ้าลูกชายไปเที่ยวคอนเสริต์ที่หาดยาว ประมาณ 4 ทุ่ม ก็ขับเจ้าทีด้า

ไปส่งเพื่อนกลับบ้านที่แถวบ้านอำเภอ ทั้งๆ ที่เคยเตือนไว้แล้วยังมักง่ายวิ่งตรง

จากหาดยาวไปออกกิโลสิบตรงเข้าสายอันตราย 331 ต่อด้วยการเลี้ยวเข้า

ชากแง้ว วิ่งไปจนเกือบอีกประมาณ 1 กม. ก็จะออกสุขุมวิทแล้วตรงทางรถไฟ

เจอพวกเด็กนรกประมาณ 10 กว่าคันจอดแมงกะไซปิดถนน พร้อมไม้ แป๊ปเหล็ก

และอีดาบยาวเฟื้อย ก็ต้องจอดสิครับ แต่ไอ้พวกนั้นมันกลับเดินปรี่เข้ามาใช้ก้อน

หินขว้างมาที่รถ ด้วยความกลัวโดนตื้บมากกว่ากลัวรถพัง เจ้าลูกชายจึงตัดสินใจ

พุ่งเข้าใส่ทำให้ฝูงแตกเป็นช่องคราวนี้ทั้งขวดเหล้า ก้อนหิน เหล็กแป๊บ ลอยมา

เป็นทิวแถวลงทั้งฝากระโปรง หลังคา และกระจกหลังแตก มีเสียงปืนตามหลังมาอีกต่างหาก

แจ้งสภอ. ห้วยใหญ่ ก็เลยได้รู้ว่าโดนกันมาหลายคันแล้วครับ ที่น่าแปลกคือไม่

สามารถจับผู้ก่อเหตุได้สักครั้ง


ฝากระวังกันด้วยนะครับ ผมจะใช้ทางนี้บ่อยในช่วงกลางวัน เพื่อหนีรถติดแถวพัทยา

รวมเรื่องจริงที่คุณโดนหลอกบ่อยๆ

รวบรวมความเชื่อที่ถูกบอกกล่าวเล่าขานกันมานานเกี่ยวกับสุขภาพและร่างกาย


อะไรจริง อะไรมั่ว ลองตามไปอ่านกันค่ะ


ความเชื่อ : หลังจากเสียชีวิต ผมและเล็บของมนุษย์ยังสามารถยาวและงอกต่อได้ เนื่องมาจากสารเคมีในร่างกายตามธรรมชาติ

ข้อเท็จจริง : ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อเสียชีวิต อวัยวะทุกอย่างจะหยุดทำงานอย่างถาวร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเสียทีเดียว เพราะเมื่อเราเสียชีวิตผิวหนังบริเวณเล็บและหนังศีรษะที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อน จะหดลงตามธรรมชาติ (เช่นเดียวกับเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ) ทำให้ดูเหมือนว่าผมและเล็บยาวขึ้นได้เอง

ความเชื่อ : อ่านหนังสือในที่สลัว หรือใช้ไฟฉายส่องจะทำให้สายตาเสีย-ต้องใส่แว่น

ข้อเท็จจริง : นับว่าเป็นหนึ่งในคำขู่สุดฮิตของบรรดาคุณพ่อและคุณแม่ การที่อ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างน้อย หรือใช้ไฟฉายส่องไม่มีผลทำให้สายตาเสียขนาดต้องใส่แว่น อย่างไรก็ตามการอ่านหนังสือในที่ที่แสงสว่างส่องไม่เพียงพอ หรือแสงที่ส่องไม่มีคุณภาพ เช่น แสงจากหลอดไส้ แสงไฟฟลูออเรสเซนท์ที่มีสีแสบตา การอ่านหนังสือในสภาวะเช่นนี้ส่งผลทำให้ตาต้องปรับโฟกัสมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการตาแห้ง เมื่อยล้าได้ง่าย เนื่องจากต้องใช้การเพ่งมากกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก


ความเชื่อ : เผลอกลืนหมากฝรั่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ข้อเท็จจริง : เป็นคำขู่ของผู้ใหญ่อีกเช่นกัน แต่ก็ทำให้เด็กระมัดระวังในการเคี้ยวหมากฝรั่งได้ผลดีนัก ในความเป็นจริงแล้ว การเผลอกลืนหมากฝรั่งไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต ไม่ถึงขนาดต้องไปพึ่งแพทย์ให้ผ่าตัดเอาก้อนหมากฝรั่งออก เพราะระบบย่อยอาหารของคนเราสามารถย่อยหมากฝรั่งได้เหมือนกับอาหารชนิดอื่นๆ แต่ระบบย่อยอาหารอาจจะต้องทำงานหนักมากกว่าปกติสักหน่อย เนื่องจากส่วนผสมหนึ่งของหมากฝรั่งคือยาง แต่ก็สามารถย่อยหมดภายในเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นขับออกมาทางอุจจาระตามปกติ


ความเชื่อ : การดึงหรือหักนิ้วมากๆ จะทำให้เป็นโรคข้ออักเสบ หรือข้อเสื่อมได้ง่าย

ข้อเท็จจริง : โรคข้ออักเสบ หรือข้อเสื่อมมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุ น้ำหนัก อาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือการติดเชื้อบริเวณข้อ เป็นต้น การดึงหรือหักนิ้วจนทำให้เกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บ เป็นการบิดและดึงจนทำให้น้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อที่ป้องกันการเสียดสีระหว่าง กระดูก เกิดแรงดันกลายเป็นฟองอากาศจนเกิดเสียงขึ้น การดึงแบบนี้ไม่ส่งผลใดๆ ต่อข้ออย่างที่เข้าใจกัน แต่การดึงหรือหักข้อนิ้วเป็นประจำจะทำให้เอ็นรอบๆ ข้อสูญเสียความแข็งแรงและความยืดหยุ่น


ความเชื่อ : กินไอศกรีมโยเกิร์ตลดความอ้วน แถมดีต่อร่างกาย

ข้อเท็จจริง : สิ่งที่เหมือนกันระหว่างโยเกิร์ตและไอศกรีมโยเกิร์ตคือ สีขาวของโยเกิร์ต การเลือกรับประทานไอศกรีมที่ทำมาจากโยเกิร์ตย่อมดีกว่าไอศกรีมทั่วไปใน เรื่องของปริมาณพลังงานและไขมัน ทั้งนี้หากพิจารณาคุณประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานไอศกรีมโยเกิร์ตก็คงจะดี ไม่เท่ากับการรับประทานโยเกิร์ต เนื่องจากไอศกรีมที่ทำมาจากโยเกิร์ตต้องผ่านกระบวนการผลิตและปั่นหลายขั้น ตอน ทำให้จุลินทรีย์ชนิดดีต่อสุขภาพนั้นสูญสลายไปหมด ถ้าอยากลดความอ้วนหันมารับประทานผลไม้สดแช่เย็นก็อร่อยไม่แพ้กันค่ะ แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย

39 วิธี

จากหนังสือ "ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้" ของไวทยากรชื่อดัง คุณบัณฑิต อึ้งรังษีนะครับ



1. ฝันให้ใหญ่…..ใหญ่สุดๆ Imagination is Power ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจะบินให้ไปถึงดวงดาว แต่แล้วเราไปถึงได้แค่ยอดเขา เราก็ยังถึงที่สูงกว่าที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มากมายนัก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวข้อความที่คนทั้งโลกรู้จักกันดีว่า “Imagination is more powerful than knowledge” หรือ “จินตนาการมีพลังกว่าความรู้” นั่นคือการใช้จินตนาการเป็นพลังสร้างฝันให้เป็นจริง

2. มนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด As a Man Thinks,He is ทุกอย่างเริ่มที่ความคิดเท่านั้น ข่าวดีก็คือ….คุณสามารถเปลี่ยนอนาคตของคุณได้ โดยการเปลี่ยนความคิดของคุณ นับแต่นี้เป็นต้นไป

3. วิ่งหนึ่งไมล์ในสี่นาที 4-Minutes Mile ตัวคุณเองลอง”วิ่งหนึ่งไมล์ใน4นาที”บ้างสิครับ ด้วยเรื่องง่ายๆ เช่น ออกกำลังกายลดน้ำหนัก ทำอะไรที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรือเกี่ยงมานาน

4. ใช้หัวใจเลือกอนาคต Do What You Love, and the Money Will Follow “ทำสิ่งที่ตนรักแล้วเงินจะตามมาเอง”

5. เดินหน้าหาทาง Do What You Can, Where you can ส่วนที่ผมสนใจมากคือชีวประวัติของวาทยกรที่ยิ่งใหญ่ของโลกแต่ละคน

6. เรียนรู้อย่างรวดเร็วเพื่อเอาชนะ Super-Learning หาสิ่งที่เป็นผลงานของคนที่เก่งที่สุดในสาขาที่คุณสนใจมาศึกษาเลียนแบบ ปรมาจารย์ทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้นไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องที่คนทำได้กัน แล้วทำให้เรา “ต่อยอด” ได้เร็วขึ้น มีเวลาคิดค้นเทคนิคใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใครทำกัน

7. ฝ่าด่านอคติฝรั่ง Over-Prepare “ผลงานต้องดีกว่า” คือขึดที่ผมใช้ต่อสู้กับอคติ

8. เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตามตาม Profile Global, Act Local การทำงานร่วมกับคนจำนวนมากต้อง “เก่งงาน” เพื่อให้เขา “ยอมรับ” ต้อง “เก่งคน” เพื่อให้เขา “ยอมฟัง” ยอมทำตามกันเป็นทีม

9. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน Goal-Setting “เป้าหมายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งของความสำเร็จ” คุณต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน วัดได้ แต่อย่าปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในอากาศให้เขียนลงไป มันจะทำหน้าที่เป็น “สาร” แห่งแรงบันดาลใจที่สร้างพลังและมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่คิดเสมอ

10. “วางแผน” เป็นเรื่องง่ายๆ Planning ไม่มีความรู้สึกอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบรรลุเป้าหมาย เพราะนั้นจะเป็นความรู้สึกที่จะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ข้อแตกต่างระหว่าง “ความฝันลมๆแล้งๆ” กับ “ความมุ่งมั่นฝันใฝ่ถึงความสำเร็จ” ก็คือ “การวางแผน” การวางแผนเป็นเรื่องง่ายๆ ระดับสามัญสำนึก(Common Sense) ถ้าตั้งเป้าหมายของคุณให้ชัดเจนและต้องการมันมากอย่างเพียงพอ การวางแผนก็จะเป็นธรรมชาติ

11. สู้ตาย…ตัดทางถอย Burn the Bridge Behind You ตราบใดที่เรายังไม่ตั้งปณิธานให้แน่วแน่ มัวแต่ประนีประนอมสร้าแผนสำรองและเปิดโอกาสให้ตนเองถอยได้ก็จะประสบความเร็จ ยิ่งใหญ่ไม่ได้เลย ถ้าคุณมุ่งมั่นตัดสินใจทำอะไรแล้วให้ “เผาสะพานทิ้ง” อย่าล้มเลิกกลางคัน

12. อ่าน อ่าน อ่าน What You Read, You are คุณต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องที่ “น่าอ่าน” กับเรื่องที่ “ควรอ่าน” เพราะการอ่านก็คือการเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเข้าไปในตัว ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปกว่าการอ่านหนังสืออีกแล้วละครับ และที่สำคัญ…ไม่มีอะไรมาแทนการอ่านหนังสือได้ด้วย

13. ฝึกซ้อมในใจ Do Within When You are Without ไม่ว่าจะเป็นทักษะอะไรก็ตามการพูดในที่สาธารณะ นำเสนอแผนงานขายสินค้า เล่นเทนนิสคุณสามารถ”ฝึกในใจ” ได้ทั้งนั้น

14. ความรับผิดชอบ Responsibility จุดเริ่มต้นการคิดของคุณ ต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับผิดชอบว่าคุณมาถึงสถานการณ์ตอนนี้ที่คุณเป็นอยู่ ไม่ว่าดีหรือร้ายมันเกิดจากคุณทั้งสิ้น ถ้าคุณยอมรับว่าคุณคือคนที่กุมบังเหียนชีวิตของคุณเองคุณจะรู้ถึงศักยภาพที่ จะเปลี่ยนอนาคตของคุณเองได้และถ้าคุณจะเปลี่ยนอนาคตของคุณ สิ่งแรกที่คุณต้องเปลี่ยนก็คือความคิดของคุณเอง

15. คิดในทางบวก Think Positive ถ้าเราต้องการอะไรจากชีวิตเราก็ต้องคิดอย่างนั้น คิดตลอดเวลาถึงสิ่งที่เราต้องการ อย่าไปพูดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ”ผมกลัวโน่น ผมกลัวนี่ผมไม่อยากจน ผมไม่อยากป่วย อย่าให้ชีวิตคุณถูกครอบคลุมด้วยความกลัว แต่ให้ถูกผลักดันด้วยความฝัน

16. เส้นไม่ใหญ่ไม่เป็นไร Connection สายสัมพันธ์หมายถึงการยอมรับ ซึ่งมีที่มามากกว่าเรื่องความสามารถและผลงาน ถ้ามัวแต่เก่งแล้วไม่ไปเสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้คนอื่นเขารักชอบ มักก็จบเพราะฉะนั้น ความสามารถกับการสายสัมพันธ์ต้องไปด้วยกัน

17. เพียง Resume ในกระดาษ ไม่ให้งานที่ดีกับใคร งานที่ดีมักจะมาจากการที่คนเรารู้จัก อาจจะเป็นเจ้านายหรือมีคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าและเห็นผลงานของเรา ดังนั้นประเด็นจึงมีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ผลงานของเราเป็นที่รู้จักนี่เป็น เรื่องของสายสัมพันธ์เครือข่ายความไว้เนื้อเชื่อ ใจในความสามารถจนเกิดการแนะนำบอกต่อกันมา ไม่ใช่เรื่องของกระดาษ “Resume” แผ่นเดียว

18. รอให้เรียนจบก็สายแล้ว Always Think Steps Ahead การเรียนทำให้คุณได้ความรู้ได้ทฤษฎีได้ใบปริญญา แต่ยังไม่ได้ “ผลงาน” การไปฝึกงานคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณรู้จักคนในหน่วยงานนั้น จากนั้นต้องทำให้เขาเห็นผลงานของเรา ซึ่งต้องทำให้โดดเด่นขึ้นมาจากคนอื่น จนที่สุดเขาชอบเราและนึกถึงเราเป็นคนแรกเวลาที่ต้องการคน

19. ตามหาคนเก่งมาเป็นพี่เลี้ยง Learn From the Masters เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะพัฒนาตนเองทางด้านไหน คุณจะต้องไปสืบเสาะเอาคนที่เก่งที่สุดในสาขานั้นมาเป็น “พี่เลี้ยง” คุณให้ได้ และที่สำคัญคือควรเก่งทางด้านปฏิบัติ ไม่ใช่ด้านทฤษฎีอย่างเดียว การรู้จักคนที่ถูกต้องทำให้เราประหยัดเวลาได้อีกเยอะ

20. ชื่อเสียงรักษาเท่าชีวิต Reputation ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ถ้าคุณจะมีชื่อเสียง จะให้คนพูดถึงคุณว่าอย่างไรว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์หรือคนโกงว่าคุณเป็นคนตรง เวลาหรืออู้งาน

21. “นอกวง”เลย”นอกกรอบ” Think Outside the Box อย่ายอมรับสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเป็นข้อจำกัดของเรา “การคิดต่างกันทำให้อนาคตต่างกัน”

22. คิดใหญ่ทลายข้อจำกัด Accept No Limits หากข้อจำกัดนั้นเป็นความจริงที่วางอยู่ตรงหน้าคุณ วิธีการทลายก็คือคิดให้ใหญ่กว่า ซึ่งก็คือการคิดนอกกรอบในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรจำกัดตัวเราได้ ความเป็นไปได้มีหมด เพราะศักยภาพของมนุษย์นั้นมีสูงมาก เพราะฉะนั้น อย่าไปเชื่อข้อจำกัดที่คนอื่นบอกเรามา ข้อจำกัดไม่มีหรอก มีแต่ความคิดเรื่องข้อจำกัด

23. ขอคืบให้ศอก Go the Extra Mile ผลงานของคุณจะต้องเยี่ยมและดีพร้อมเสมอ แต่นอกเหนือจากนั้นต้องให้เกินความคาดหมายของผู้รับ อย่าเป็นคนที่ทำได้แค่เท่าที่สั่ง สิ่งนี้ยังเป็นการพัฒนาเราอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

24. เพิ่มคุณค่าให้ตนเองเสมอ Constant Improvement งานของผมไม่มีคำว่าอยู่เท่าเดิม ถ้าผมไม่โตหรือพัฒนาความก้าวหน้าอาชีพก็จะเหี่ยวเฉาและตายไปและความจริงนี้ ใช้ได้กับธุรกิจหลายประเภทที่มีการแข่งขันกัน

25. ภาษานั้นสำคัญไฉน Language Skills

26. พรสวรรค์เรื่องเล็ก ทำงานหนักเป็นเรื่องใหญ่ Talent Genius is 10% inspiration and 90% perspiration

27. อุปสรรคและความผิดหวัง Overcoming Obstacles ยิ่งฝันใหญ่เท่าไรก็ต้องเจออุปสรรคมากเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือวิธีคิด เมื่อต้องเจออุปสรรคและความผิดหวัง “อย่าให้มันหยุดเราได้” ถ้าอุปสรรคและปัญหาเป็นเรื่องที่แน่นอน สิ่งที่จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการเตรียมการ ก่อนล่วงหน้า

28. วิธีเลือกคู่ครองให้ถูก พลังแห่งจิตใต้สำนึกน่าจะนำมาใช้ได้ในการหาคู่ครอง

29. ความถ่อมตัว Humility “อย่าคิดว่าเราเก่ง คนที่เคยทำได้เหมือนเราและดีกว่าเราก็มีมากในโลกนี้” คนยิ่งขึ้นสูงต้องยิ่งถ่อมตัว”

30. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น Don’t Compare เพราะเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้แต่เราเปลี่ยนอนาคตได้ อย่ามัวเสียเวลาคิดถึงอดีตที่เปลี่ยนไม่ได้ คิดถึงอนาคตที่สดใสของคุณดีกว่า

31. กระสุนนัดเดียวต้องโดน Limites Bullets

32. คำปฏิเสธ….นั้นไซร้ธรรมดา Coping with Rejections ผมมีสองทางให้เลือก จะยอมแพ้หรือจะถามคนต่อไปที่อาจจะมีความต้องการ “ตรงกับเรา”

33. กินกบตั้งแต่เช้า Eat that frog ศัตรูตัวเล็กๆที่มีประสิทธิภาพสูงในการสกัดกั้นความสำเร็จคือนิสัยการผัดวัน ประกันพรุ่งเพื่อสร้างวินัย งานชิ้นแรกที่คุณควรทำในแต่ละวันคืองานที่คุณไม่อยากทำที่สุด งานที่ยากที่สุด

34. โชคชะตาไม่สำคัญ LUCK โชคเกิดขึ้นเมื่อการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส

35. มีความสุขเดี๋ยวนิ้ Be Happy-Now! ถ้าคุณสังเกต ความสุขไมได้มาจากสิ่งภายนอก มันมาจากภายในขึ้นอยู่กับคุณเห็นค่ากับสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้วมากน้อยแค่ไหน

36. โลกนี้ไม่เคยต้องยุติธรรม The World is Never Fair การตอบรับสถานการณ์ที่เรามีหรือเป็นอยู่สำคัญกว่าสถานการณ์ที่ชีวิตให้มา เพราะฉะนั้น ทิศทางของชีวิตเราอยู่ในความควบคุมของเราเอง

37. อย่าล้มเลิก Never Give Up เหตุผลส่วนหนึ่งก็คือว่า บางครั้งความสำเร็จอาจจะอยู่แค่เอื้อม แต่เพราะความท้อแท้และเหนื่อยหน่ายทำให้เราล้มเลิกไปเสียก่อน ความสำเร็จอยู่หัวเลี้ยวสุดท้ายที่เอง

38. อย่างหวัดแต่พึ่งคนอื่น Your are Responsible คุณต้องรับผิดชอบอาชีพของคุณเอง

39. อธิษฐาน Prayer การอธิฐาน ขาดไม่ได้สำหรับการให้ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อคุณรู้สึกหมดหนทาง…..จงอธิฐาน

14 เม.ย. 2553

10 ของกินเล่นที่ไร้คุณค่าทางอาหาร

คุณสาว ๆ โปรดทราบ อาหารว่างที่ควรเลี่ยงที่สุด (ไอเอ็นเอ็น)
ในประเทศอเมริกานั้น อาหารว่าง หรืออาหารทานเล่น ดูจะสร้างความวิตกกังวลมากขึ้นทุก ๆ ปี เพราะว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้นั้นส่วนมากจะเป็นพวกน้ำตาล สารเคมี สี และไขมัน เป็นส่วนใหญ่ และเป็นสาเหตุของโรคอ้วน และไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเอาซะเลย
มาดูกันดีกว่าว่า อาหารว่าง 10 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด ได้แก่อะไรบ้าง
1. เฟรนซ์ฟรายส์ (French Fries)
เรา ๆ ท่าน ๆ นั้นอย่าเพิ่งมั่นใจกับสิ่งที่ร้านอาหาร บอกว่า มีการเปลี่ยนน้ำมันสำหรับทอดบ่อย ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ มันฝรั่งนั้นส่วนประกอบหลักเต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด และปรุงรสชาตินั้น อาจจะเป็นอาหารว่างที่อันตรายที่สุด


2.โดนัท (Donuts)

โดนัทคือ ขนมปังที่นำไปทอด อาหารชนิดนี้ก็เต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามันฝรั่งทอดเลย



3.มันฝรั่งทอด (Chips)

สิ่งนี่ก็คือมันฝรั่งทอดในรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไป ที่ถูกนำไปใส่ไว้ในบรรจุภัณฑ์นั่นเอง แต่เราสามารถที่จะควบคุมอันตรายจากอาหารประเภทนี้ได้ คือการนำไปอบแทนการทอด ซึ่งมันฝรั่งประเภทที่ใช้การอบแทนนั้น สามารถหาซื้อได้จากร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่อาหารที่ดี และควรรับประทานบ่อย ๆ อยู่ดี



4.โซดา (Soda)
บางคนอาจจะสับสนกับการรวมสิ่งนี้เข้าไปเป็นกลุ่มอาหารด้วย สิ่งนี้ไม่เพียงไม่มีคุณค่าทางอาหาร ยังรวมไปถึงสารเคมีอีกมากมายที่ถูกบรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์อีกด้วย
5.คัพเค้ก (Cupcakes and Snack Cakes: whipped cream)
เค้กที่มีไส้ครีมมันเยิ้ม และส่วนประกอบหลัก ๆ ก็มีแต่ แป้ง น้ำตาล และสารปรุงแต่งกลิ่น รส ซึ่งไม่มีคุณค่าอาหารเลย
6.ช็อกโกแลตสอดไส้ถั่ว (Candy Bars)

กับเจ้าสิ่งนี้อาจจะยังพอมีคุณค่าทางอาหารให้เราอยู่บ้าง กับโปรตีนประมาณ 1-2 กรัม จากถั่วที่เป็นส่วนผสม แต่ว่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่นั้น ไม่สามารถนำมาทดแทนคุณประโยชน์ได้เลย เพราะความแตกต่างนั้นมีมากกว่ากันเยอะเลย แต่ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทเดียวกันคือ energy bars ซึ่งมีปริมาณแคลอรี่น้อยกว่าถึง 1 ใน 3 มีโปรตีนมากกว่า และมีไขมันน้อยกว่าอีกด้วย แต่ยังไงก็มีคุณค่าสู้อาหารปกติไม่ได้อยู่ดี

7.เบคอน หรือแคบหมู (Pork Rinds)

หรือแคบหมูทอดในบ้านเรานั่นเอง ซึ่งข้อนี้คงไม่ต้องบอก ใคร ๆ ก็คงทราบดีถึงสิ่งที่ได้รับจากเจ้าสิ่งนี้ว่ามีแต่ไขมันสัตว์

8.คุกกี้ไร้ไขมัน (Fat-Free Cookies)

สินค้าเหล่านี้เป็นที่น่าสงสัยในแง่ของโภชนาการ เพราะว่าถ้าดูเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหารที่ปราศจากไขมัน ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลอรี่ไปด้วย ดังนั้นสรุปก็คือ ไม่สมควรรับประทานอีกนั่นแหละ

9.แครกเกอร์ (Crackers)

แครกเกอร์เต็มไปด้วยไขมันชนิด Trans ดังนั้นควรอ่านฉลากดูให้ดีก่อนซื้อ โดย Trans Fat หรือไขมันทรานส์ คือ ไขมันแบบ Polyunsaturated ที่วางขายตามท้องตลาด มีการเติมธาตุไฮโดรเจนสังเคราะห์ เพื่อให้มีสถานะแข็งที่อุณหภูมิห้อง ไขมันแบบนี้ มีคุณภาพต่ำ เพราะไปลดปริมาณ HDL และเพิ่มปริมาณ LDL ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น


10.เพรซเซล (Pretzels)

อาหารกลุ่มนี้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน แต่ไม่มีไขมันไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่ดี เพราะเพรซเซลนั้นเต็มไปด้วยแป้ง และน้ำตาล ซึ่งแอบแฝงให้ดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ

12 เม.ย. 2553

ตำนานน่ากลัวของโลก

อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)

เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต
โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก)
เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600
โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ
มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!
และก็จริงตามคําสาปครับ นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ
พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย
เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์
(พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ
ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์
วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี
สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน
ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ
เป็นผู้อนุรักษ์แทนครับ

อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา, โปรตุเกส

วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ
ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ
มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!
ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก
แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต
เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา
ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม
ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา
พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว
สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิครับ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง

อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์

ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา
ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น
ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย
จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่น
บทแม็คเบ็ธ
ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล
เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที
และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี
ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ
ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947
นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น
คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที
ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ
ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา

อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์

สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว
ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา
ขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้
เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์
ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า "ปล่องไฟปีศาจ"
และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ
จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย
สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย "ปล่องไฟปีศาจ"
ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร
ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล
เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ
ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!

อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์

สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ
เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู
กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ
รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์ ทั้งนี้
ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ครับ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี
แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน
แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ
(ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร)
ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้

อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน

สรุปสั้นๆแค่ว่า ทั้ง โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน
และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์องค์ นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย
อันควรทั้งนั้น
ตุตันคาเมน
เป็นฟาโรห์หนุ่มที่ถูกกล่าวถึงกันมากในเรื่องอาถรรพ์จากคำสาปที่นักบวชแดน
ไอย์คุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของพระองค์ ข้อความคลังเปี่ยมด้วยอาถรรพ์ที่ว่า
"มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์"
ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อกันว่า
ความตายเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป
นับแต่สุสานถูกเปิดเมื่อปี 1922 ผู้ร่วมพิธีเปิดเสียชีวิตไป 22 คน
และเล่ากันว่า นับจากนั้นมาแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร
หากครั้งใดที่ฟาโรห์ตุตันคาเมนถูกรบกวนก็ย่อมจะมีผู้ที่สังเวยต่อคำสาปอัน
ลี้ลับนี้เสมอมา รวมถึงลอร์ดคาร์นาร์วอน
เจ้าของทุนในการขุดค้นสุสานก็เสียชีวิตลงหลังจากถูก "ยุงกัด"
"ตุตันคาเมน" เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์
ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนม์เพียง 10 พรรษา
ทรงเป็นกษัตริย์อียิปต์โบราณในช่วงปี 1334 - 1323 ก่อนคริสตกาล
ภายหลังขึ้นครองราชย์ได้เปลี่ยนพระนามเป็น "ตุตันคามุน"
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนม์เพียงแค่ 18
พรรษาโดยไม่ทราบสาเหตุแต่เชื่อกันว่าฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ถูกลอบปลงพระชนม์
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
มีข่าวออกมาแย้งว่าจากการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่พบว่าพระองค์น่าจะสิ้น
พระชนม์จากบาดแผลที่ติดเชื้อมากกว่าถูกลอบปลงพระชนม์
ด้วยระยะเวลาอันสั้นในการครองราชย์ทำให้ทรงไม่มีภารกิจใดมากนัก
นอกจากนั้นหลังสิ้นพระชนม์ทรงถูกกษัตริย์องค์ต่อมาลบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้ง
พระนามของตุตันคาเมนออกจากรายนามพระมหากษัตริย์และราชวงศ์
ทำให้ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดรู้จักพระนามของพระองค์เลย

จนกระทั่งในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1922 โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ และลอร์ด คาร์นาวอน
ชาวอังกฤษค้นพบสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก
พวกเขาเป็นสองคนแรกที่เข้าไปในสุสานของตุตันคาเมนในรอบ 3,000 ปี
ในห้องที่พวกเขาพบเต็มไปด้วยทองคำและของมีค่ามากมาย
ซึ่งเจ้าของของสิ่งมีค่าเหล่านี้คือฟาโรห์หนุ่มที่มีพระนามว่า "ตุตันคาเมน"
นั่นเอง
เนื่องจากพระศพและสุสานที่สร้างขึ้นไม่ได้สลักชื่อว่าเป็นของกษัตริย์
เลยรอดพ้นเงื้อมมือโจรที่คอยปล้นและทำลายสุสานไปได้
จึงทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด แต่กระนั้น
พระองค์ก็ยังทรงไม่วายถูกรบกวนหลังจากโลงพระศพถูกเปิด
อาถรรพ์ของคำสาปจึงเป็นเกราะอย่างหนึ่งที่จะทำให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงได้พัก
ผ่อนอย่างสงบตลอดกาล

อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)


ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูก ใช้เป็นที่คุมขังและ
ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ
ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า
900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน
และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่ง อังกฤษ!
เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17
ด้วยนะครับ ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่ อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม
หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจังอ ย่างเคร่งครัด เช่นว่า
ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่
มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก
และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา
ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก)
และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ
เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน

อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ

ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์
ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่
แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง
เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณ
ผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น นอกจากนี้
การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง
เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100
แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา
ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมันครับ

อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ
ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่
มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่
หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน
เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813 ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ
วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840
ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลิน-คอล์น (1860) การ์ฟิลด์
(1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960)
เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น
ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ
ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด

อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)

นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลยครับ
โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า
ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน
จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน
พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง
ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ X งูตัวแสบซิครับ มันยุยงอีฟให้หมํ่า แอปเปิ้ลเข้าไป
หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า
ก็เป็นเรื่องซิครับ โดย X งูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการ ใช้ท้องไถไป
อีฟโดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหา
เลี้ยงท้องอย่าง เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต
ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้
--

24 เรื่องแปลก ๆ กับโลกนี้

1.นักถ้ำมองโครตสกปรก


* เป็น ชาวอเมริกันแต่ไม่ระบุชื่อเพราะญาติขอร้อง อายุ 37 ปี อยู่เมืองเลล์
เกลด รัฐฟลอริดา อาชีพเพาะปลูก
เมื่อเวลาว่างชายคนนี้จะมีอาชีพพิเศษคือชอบแอบมองสาวทำธุระโดยการตะเวณดูตาม
สุขาทั่วเมือง
และยิ่งมองยิ่งติดใจจงตัดสินใจแช่ในถังส้วมหลุมเพื่อมองเห็นสาวทำธุระจะๆ
ตา(ส้วมเมืองนอกเขาเป็นแบบนี้) เผลิญสาวคนหนึ่งเขาทำธุระปล่อยทุ่นส่วนตัวเสร็จ
แล้วบังเอิญไปเห็นอะไรไม่รู้มีตาสองตาของคนจึงแจ้งตำรวจ
แล้วเจ้าถ้ำมองคนนั้นก็ถูกตำรวจเรียกรถเครนพร้อมตะขอเกี่ยวนักถ้ำมองออกจาก หลุม
จากนั้นก็หย่อนลงบึงน้ำเสียเลย

* 2.แล้วใครจะมาแทน *

นาง ซินเธีย บรวน ชาวออสซี่ ได้ปลดเกษียณอายุงาน 62 ปีลง
ที่โรงงานผลิตยาแห่งหนึ่ง จากสถิตทำงาน 34 ปีเต็ม
โดยงานที่เธอทำสุดภาคภูมิใจคือ เธอสูดดมกลิ่นตด หรือก้นผู้ป่วยโรคริดสีดวงถวาร
เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ผลิดน้ำยาดับกลิ่นก้นและส่งใส่ว่าผลิตภัณฑ์เขาใช้ได้
กับผู้ป่วยหรือไม่

* 3. สถิตนี้ใครกล้าทำลาย *

โด แนลด์ คิง วัย 38 ปี ชาวเมืองเคพทาวน์ ประเทศเซาธ์แอฟริกา
เขามีสถิดอันดับโลกโครตภูมิใจคือ เขาเป็นสามีหรือผัวของสัตว์ตัวเมียไม่น้อยกว่า
600 ตัว โดยเมียสัตว์ของโดแนลด์มีทั้ง แพะ แกะ วัว ควาย ม้า หมา แมว แรด
นกกระจอกเทศ ลามา ไฮยีน่า กวาง เต่าตะนุ ลิงชิมแปมซี กอริลล่า ตัวกินมด
(โฮ้กล้ามั่วขนาดนี้เลยเรอะ)

* 4. อยากดัง *

เลิฟ วีนี่ ดาราโนเนม ชาวลอนดอน ทำยังไงก็ไม่ดังเสียที
วันหนึ่งเธอเข้าส้วมก็เกิดไอเดียสุดเจ๋ง
เธอใช้เงินก้อนสุดท้ายทำอัมบั้มซีดี.ทันที
โดยการอัดเสียงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องน้ำขณะที่ตนเองเข้าใช้
ไม่ว่าเสียงแปรงฟัน เสียงขุยเสลด เสียงฉี่ ตด หาวเรอ เสียงอึตกกระทบกับน้ำ
ผลคืออัลบัมเธอขายดีมากกว่า30000 แผ่น และราคาแผ่นพอๆ กับแผ่นป๊อบฮิตเลยทีเดียว
(ดังสมใจเลย)

* 5. ตายสุดซวยที่สุดในโลก *

อัน นี้เคยออกข่าวแล้วนะ บีทรีส วิลเลียมสัน อายุ 77 ปี พลเมืองอาวุโสชาวอังกฤษ
วันหนึ่งเธอออกไปทำสวนหลังบ้าน
ขณะที่เธอทำงานเพลินขณะนั้นก็มีของเสียก้อนหนึ่งตกลงมาจากห้องน้ำเครื่องบิน
พอดีช่วงนี้อากาศหนาวจัดทำให้ของเสีย(ขี้)
จับก้อนน้ำแข็งจนโตเท่าผลส้มตกลงหัวอย่างรุนแรง เธอล้มลงเสียชีวิตทันที
(เฮ้อ..ทำมั้ยซวยยังงี้)

* 6. แข่งกินของสัปดนชิงแชมป์โลก *

การ แข่งนี้เกิดขึ้นที่ออสเตเลีย ชื่อรายการ ไอแซล อีท แอนนีธิง คอนเทสต์
แปลว่าฉันจะ แ ด ก ทุกอย่างที่ขวางหน้า ของที่กินมีทั้ง คอไก่สดๆ ฉี่วัว1ถ้วย
หนอน ไส้เดือนสด ไขมันคน 1 ถ้วยที่ดูดมาจากคลีนิก (แวะ )

* 7. สั่งขี้มูลไกลที่สุดในโลก *

โจ อานนี่ เมสัน สาวสวย หุ่นดี แต่พฤติกรรมสุดอนาถ
เพราะเธอมีความสามารถพิเศษคือสั่งขี้มูกขนาดเท่าเม็ดถั่วแดงไกลถึง 151 ฟุต 3
นิ้วครึ่งขนาดเท่าสนามฟุตบอล (โอโห ซูดยอด)

* 8.แมวฉันอยู่ในจานเป็ด *

มา ร์ซา ชาวนิวยอร์ก เสียใจมากที่แมวตัวโปรดชื่อ พัลซั่ม หายตัวไป
เธอเศร้ามากจึงเดิมมาที่ภัตราคารจีน "xxx๊ดลัค ยู
แฮป"สั่งเป็ดทอดมากินเพราะคิดว่าเธอจะคลายเศร้าได้
พอดีตอนที่เธอกินอาหารอย่างอร่อย ตำรวจ 3 นาย
มาร้านพร้อมหมายค้นว่าร้านนี้ลักแมวลักหมามาปรุงอาหารขายแก่ลูกค้า......และ
แล้วมาร์ชาก็ตามตำรวจไปดูในครัวแล้วก็เห็นหัวแมวของเธอแขวนกับตะขอ
และพ่อครัวก็ยอมรับว่าเป็ดทอดที่เธอกินเป็นแมวของเธอเอง............... อร่อย

* 9. ฉี่ก็มีดี *

นัก วิจัยชาติไหนก็ไม่รู้เ พากันตกตะลึงว่าฉี่นั้นมีดี
โดยพบคุณสมบัติที่ว่ามีฤทธิ์คล้ายยากล่อมประสาท
ทำให้คนรู้สึกสุขสบายและมีความสุข
เมื่อเห็นดังนี้นักวิจัยเลยนำไปสกัดเป็นแคปซูลขายในราคา 5 ดอลลาร์เสียเลย

* 10.มนุษย์ตดตายอย่างสมศักดิ์ศรี *

โจ นาธาน กริกส์ ชาวอังกฤษ เขาป่วยเป็นโรคประหลาด
เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินย่อยอาหารและกล้ามเนื้อทำให้เกิดแก๊สในท้องและตด
เป็นประจำทุกระยะ 11 วินาที อยู่ดีไม่ว่าดีนายคนนี้ดันมีภรรยาและอยู่ 19 ปีเต็ม
มีหรือที่เธอจะทนได้ เธอเลยจับสามีขังไว้ในตู้เก็บผ้าแบบปิดมิดชิด
ปล่อยให้สามีตดตั้งแต่เช้าจนเย็น และวันต่อมาภรรยาเขาก็ลองจุดไฟเหย่ไปดู
ปรากฏว่าบ้านระเบิดพังเป็นแถบ ตายกันทั้งสามีภรรยา
...หากชาติมีจริง ขอให้เราทั้ง2เกิดมาคู่กัน...

* 11.นักเลียสิวสถิตโลก *


นาง สาวแซลลี่ ดาลตัน อายุ 19 ปี เมืองโอ๊กแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์
เปิดอาชีพเป็นนักเลียสิว โดยใช้ลิ้นสะกิดสิวให้หัวออก เธอทำทั้งหัวดำ หัวช้าง
และเธอทำมาตั้งแต่ปี 1942 จนอายุ 21 ปี เธอทำสถิตเลียสิวแก่ผู้คนรวม 5000 คน

* 12.อาหารชวนอ้วกที่สุดในโลก *

วง การอาหารโลกต้องบันทึกสถิตว่าเป็นอาหารที่ขยะแขยงของโลกที่เคยมีบันทึกมา
เหตุเกิดที่ภัตตาคาร "โอมาร์" ในกรุงอัสตันบูล ประเทศตุรกี
มีอาหารชนิดหนึ่งชื่อ "ซุปเห็ด" ดังมากคนต่อเข้าคิวไปกินจนแน่นร้านทุกวัน
มีอยู่วันหนึ่งลูกค้าคนหนึ่งเกิดสงสัยว่าทำไมเนื้อเห็ดมันเหนียวผิดปกติกว่า
วันอื่นๆ จึงมีการตรวจสอบ ผลปรากฏว่าแท้ที่จริงเนื้อเห็ดที่เหนียวๆ นั้น
เป็นเนื้อผิวหนังที่ตาย ตัดออกจากปลายแขน ปลายขา
คนป่วยโรคเรื้อนนั้นเอง.....อ้วก! (สงสัย...คงอร่อยน่าดู )

* 13.หมอพยาบาลหนีกระเจิง *

เหตุ เกิดที่ห้องผ่าตัดแห่งหนึ่งในนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา
เมื่อแพทย์และพยาบาลดูดไขมันจากหน้าทาง(ไลโปซัคั่น) จากสาวอ้วนคนหนึ่งชื่อ
มาร์ธ คีเนอร์ หนัก 975 ปอนด์ หรือ 442 กิโลกรัม ระหว่างที่ดูดจู่ๆ
เครื่องดูดไขมันเกิดทำงานผิดพลาดแทนที่จะพ่นไขมันลงถุงกลับพ่นกระจายไปทั้ง ห้อง
แพทย์ และพยาบาล ต้องวิ่งหนีอุตลุด

* 14.เรื่องน่าเศร้าของช่างตัดผมตาบอด *

ซา มูเอล โครเจอร์ อายุ 55 ปี
เป็นช่างตัดผมอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ตาบอดทั้งสองข้าง
วันนั้นแก่เดินถือเก้าอี้สำหรับเด็กสำหรับนั่งตัดผม
ขณะนั้นเขาเดินอยู่ริมถนนในเมืองแอตแลนต้า ด้วยความซวย
ซามูเอลเกิดล้มหน้าคะมำลงกับพื้น บังเอิญมีหมามาขี้ไว้เกินบะเริ่ม
ก้อนขี้หมานั้นเข้าปากเขาเต็มๆๆ.....อ้วก! (เฮ้อ...ซวย)

* 15.อาหารนี้ช่วยรอดชีวิต *

ด. ช. ทอมมี่ กรีลีย์ อายุ 10 ขวบ อาศัยอยู่ในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา
เขาเกิดมาพร้อมโรคแพ้อาหารทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนมแม่ ขนมก็แพ้
ถ้ากินเข้าไปจะอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง
แต่......มีอาหารอย่างหนึ่งที่ทอมมี่กินแล้วไม่อ้วก
และสามารถเจริญเติบโตได้อย่างแข็งแรง นั้นคือขี้มูลเหลวๆ จากปากหรือจมูกเด็กๆ
นั้นเอง

* 16.มนุษย์ปืนใหญ่ลงผิดที่ *

* *
โร เจอร์ เคนนีย์ เป็นนักแสดงผาดโผนเสี่ยงตาย
เป็นมนุษย์ปืนใหญ่ยิงจากปากกระบอกปืนไปไกลถึง 100 ฟุต
แล้วตกไปจุดที่คำนวณไว้อย่างแม่นยำ ครั้งหนึ่งในการแสดง
เกิดความผิดพลาดจากแรงอัดกระบอกปืนทำให้ร่างเขาลอยพ้นตาข่าย
และเวลานั้นช้างกำลังขี้พอดี หนาของโรเจอร์จึงพุ่งเข้าตูดช้างอย่างแม่นยำ
(เจ๋งเป้ง...แม่นเปะ)

* 17.มนุษย์งู *

เรื่อง นี้เคยออกข่าวมาแล้วช่อง 3 บรูโน่ โทรลอคซี่ ชาวอิตาลี
กำลังฝึกฝนสมาธิแบบชาวตะวันออก วันๆ ไม่ทำการอะไร เอาแต่เล่นโยคะ
อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกว่าลิ้นของเขามันใหญ่ไป คับปากคับคอ
เป็นอุปสรรคต่อการฝึกสมาธิเขาจึงใจกรรไกลคมๆ อ้าปากอาๆๆ แล้วตัดฉับลิ้นแยกเป็น
2 แฉก จบ..............

* 18.ศิลปิน *

เน็ด โทเลอร์ ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินสุดเพี้ยน แต่งานเขานั้นสวยงาม ตระการตา
ความสัปดนเขาเริ่มขึ้นเมื่อเมียคลอดแฝด 3 ออกมา ด้วยความแป็นศิลปิน
เขาเอาผ้าออมแบบใช้แล้วของเด็กแฝดมาจัดการคลุกเคล้ากับขี้แล้วผสมอะไร บางอย่าง
สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ เช่น สร้อยลูกประคำ เข็มกลัดติดเสื้อ กิ๊ปหนีบผม
ฯลฯ

* 19.มนุษย์หมาป่า *

โร เบิร์ต จอห์นสัน หรือ เฟ็ช เกิดพลัดหลงพ่อมากลางป่า
ฝูงหมาป่ามาเห็นเข้าจึงเก็บไปเป็นลูก ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั้ง 10 ขวบ
จึงได้รับการช่วยเหลือออกมาอยู่กับสังคมมนุษย์เหมือนเดิม
แต่นิสัยของโรเบิร์ตยังแก้ไม่หาย แม้ปัจจุบันนี้ เขาจะโตแล้ว
เป็นถึงผู้บริหารนักการธนาคาร แม้ในขณะประชุม
เขายังขอเวลานอกเพื่อที่จะเข้าห้องส่วนตัว
อาเจียนของเก่าออกมาใส่จานแล้วเลียกลับเข้าไปเหมือนเดิม

* 20.คนสกปรกที่สุดในโลก *

วิ ลลี่ เครเมอร์ แห่งเมืองยูยีน รัฐโอเรกอน ได้รับฉายาว่า คุณขี้เปียก
เนื่องจากเขาสะสมก้อนประหลาดกลิ่มเหม็นเน่า หนักกว่า 27
ปอนด์ไว้ห้องนั่งเล่นเขา ก้อนเหม็นนั้นมาจากสิ่งละอันพันละน้อยจากสะดือ รูหู
จากรูจมูก ขี้ไคล ผสมด้วยน้ำอสุจิ

* 21.ภารโรงขี้เล่น *

ใน ห้องแล้บทดลองทางโภชาการแห่งหนึ่ง ในเมืองแฟรค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
เมื่อนักวิจัยกลับบ้านแล้ว ก็ถึงเวลาที่ภารโรงมาทำความสะอาด
วันรุ่งขึ้นนักวิจัย เข้ามาภายในเพื่อเข้าทำงานต่อ
แทนที่จะทำงานกับด่าพ่อล้อแม่เพราะถาดงานวิจัยเกิดสลับปนไปหมด
พร้อมถาดใส่ใส้เอแคลร์กับราสเบอรี่
ได้มีถาดก้อนสำลีซับเลือดซับหนองมาแทนเพราะภารโรงขี้เล่นแท้ ๆ (เฮ้อ...ซวย)

* 22.ดิ่งพสุธาลงผิดที่ *

แค เธอรีน เดลาแพลนเต้ เป็นนักดิ่งพสุธาหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นมืออาชีพ
ครั้งหนึ่งเธอดิ่งพสุธา ปรากฏว่าถูกลมกรรโชกเลยเป้าหมายออกนอกเมืองนับเป็นไมล์
ๆ เธอบังคับร่มลงในแปลงปลูกผักแปลงหนึ่ง
โดยหล่นตูมลงถังปุ๋ยหมักที่เปิดฝาจนขึ้นอืด อย่างสุด ๆ
(เย่ แม่นจัง )

* 23.ฆ่าตัวตายแบบสกปรก *

เคนท์ เกรียร์ วัย 56 ปี ชาวอังกฤษ ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบเรื้อรังหลายปี
ทำให้เขาหายใจลำบาก มีเสลดพัดคอตลอดเวลา ความจริงรักษาหาย แต่เขาบอกตัวเองว่า
"อยู่ไปก็รกโลก" จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายแบบพิสดาร
เขาเติมน้ำจนเต็มอ่างอาบน้ำเด็กก้มหน้าปล่อยให้เสลด น้ำมูก ปะแน่นรูจมูก 2 รู
และบางส่วนปิดหลอดลม จนหน้าเขาซุกลงในอ่างน้ำ
แล้วเขาก็ตายอย่างสมใจนึกเพระขาดอากาศหายใจ

* 24.จิตแพทย์ก็บ้าเป็น *

เมื่อ ปี 1992
มีจิตแพทย์ผู้วชาญโรคจิตในผู้สูงอายุชาวอเมริกันนำเสนอวิธีการบำบัดโรคจิต
แก่คนไข้ของตนเอง โดยให้คนไข้แก้ผ้าแล้วนอนในอ่างอาบน้ำ
จากนั้นหมอก็แก้ผ้าจนล่อนจ้อนก้มหน้าใช้ลิ้นตัวเองเลียร่างกายคนป่วยจนทั่ว ตัว
กว่าจะรู้ว่าจิตแพทย์คนนั้นเป็นบ้า ด้วยให้คนป่วยโรคจิตแหละมาบอกว่า
"หมอเป็นบ้าไปแล้วเจ้าค่า"
--

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียนจะต้องขับอย่างไร


ใช้รถถนนบางท่านอาจเกิดความไม่แน่ใจว่าควรหยุดรถให้ทางคันอื่นไปก่อนหรือคันอื่นต้องเป็นฝ่ายหยุดรถและให้ทาง ในการขับรถผ่านทางร่วมทางแยกที่มีหรือไม่มีสัญญานจราจร เพราะในบางครั้งที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นต่างฝ่ายต่างคิดว่าตนเป็นฝ่ายถูก


ดังนั้นเมื่อผู้ใช้ถนนขับมาถึงทางร่วมทางแยกให้ผู้ขับปฏิบัติตามกฏดังนี้

1. ถ้ามีรถคันอื่นมาถึงทางร่วมทางแยกก่อน ผู้ขับต้องให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านๆไปก่อน

2. ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกที่มีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางโทให้ผู้ขับรถในทางเอกผ่านไปก่อน

3. ทางเดินรถทางเอก ได้แก่

- ทางเดินรถที่พนักงานจราจรได้ติดตั้งเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นทางเดินรถทางเอก

- ในกรณีที่ไม่มีเครื่องหมายจราจรหรือป้าย หรือเส้น หรือข้อความบนผิวทาง ให้ทางเดินรถที่มีช่องทางเดินรถมากกว่าเป็นทางเดินรถทางเอก

ถนนใหญ่ที่ตัดหรือบรรจบกับตรอก /ซอยให้ทางถนนใหญ่เป็นทางเอก

4. ทางเดินรถทางโทได้แก่

- ทางเดินรถที่มีป้ายหยุดหรือป้ายที่มีคำว่า"ให้ทาง"ติดตั้งไว้หรือทางเดินรถที่มีคำว่า "หยุด" หรือมีเส้นหยุดซึ่งเป็นเส้นขาวทึบหรือเป็นเส้นขาวประบนผิวทาง ให้เป็นทางเดินรถทางโท

5. ในกรณีที่วงเวียนได้ติดตั้งสัญญานจราจรหรือเครื่องหมายจราจรผู้ขับต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่มีเครื่องหมายจราจร ต้องให้สิทธิ์แก่รถที่อยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน

การขับรถตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัดจะทำให้ปลอดภัยทั้งตนเองและทรัพย์สิน และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆด้วย แต่นอกเหนือจากากรปฏิบัติตามกฏจราจรแล้ว การขับรถอย่างมีน้ำใจแก่เพื่อนร่วมทางเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าจราจรเลย

11 เม.ย. 2553

Good Morning Toilet วันนี้คุณเข้าห้องน้ำหรือยัง?

"ทำยังไงดี ท้องป่องแล้ว ไม่มั่นใจเลย" เสียงบ่นของสาวออฟฟิศข้างบ้าน แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า เธอคนนี้กำลังมีเด็กในท้อง เธอบ่นเรื่อง "การถ่ายหนัก" เพราะเธอไม่ได้เข้าห้องน้ำถ่ายหนักมาหลายวัน จนท้องแข็ง ใส่ชุดแนบตัวแล้วเหมือนมีพุง เราตามไปดูเหตุที่เธอไม่ถ่าย และไปช่วยให้เธอถ่ายหนักได้เป็นประจำ และถ่ายได้คล่องขึ้น ไม่เกิดอาการท้องผูกกันดีกว่า

เหตุที่ถ่ายไม่ออก และท้องผูก เพราะรีบเร่งไปทำงานตอนเช้า

ส่วนใหญ่พนักงงานออฟฟิศจะเข้าทำงานในช่วงเวลาประมาณ 08.30-.09.30 น. ทำให้ในตอนเข้าต้องรีบเร่ง แข่งกับเวลา และปัญหารถติด ส่งผลให้เธอไม่ยอมเสียเวลาในการเข้าห้องน้ำนาน ๆ เธอเลือกที่จะเก็บมันไว้ เพราะเกรงว่าจะไปสาย เครียดในเรื่องต่าง ๆ นอนดึก กินอาหารไม่เป็นเวลา และละเลยการออกกำลังกายอีก นี่คือสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ถ่าย และอาจเกิดปัญหาท้องผูกตามมานั่นเอง

มาเริ่มฝึกเข้าห้องน้ำกันใหม่

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเข้าห้องน้ำก็คือช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 05.00-07.00 น. หรือถ้าอยู่ในช่วงเช้าก็ยังพอไหว หากถ่ายตอนกลางคืน ของที่กินมื้อเย็นจะค้างอยู่ลำไส้ประมาณ 24 ชั่วโมง สำหรับคนที่ไม่ชินกับการเข้าห้องน้ำตอนเช้า ก็ต้องเริ่มฝึกกันใหม่ แต่ถ้าไม่ปวดก็ไม่ต้องเบ่ง เพราะมันจะปวดเป็นช่วง ๆ ถ้าช่วงไหนปวดก็เบ่งตาม หากไม่ปวดแล้วเบ่ง น้องริดซี่ (ริดสีดวง) ก็อาจตามมาเคาะถึงก้นกันเลย

ที่สำคัญ ห้ามอั้นถ่ายตอนเช้า เพราะนาทีทองของการถ่ายจะอยู่ช่วงเช้า หากอั้นจนเลยเวลาไปแล้ว จะไม่ปวดไปทั้งวันเลย

และไม่ต้องคิดมาก หากในหนึ่งวันจะเข้าห้องน้ำ 1-3 ครั้ง เพราะเป็นเรื่องปกติของการถ่ายหนัก แต่ถ้าถ่ายหนักสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง แบบนี้เรียกว่า ผิดปกติ เกิดอาการท้องผูกแล้ว

เทคนิคง่าย ๆ กับการถ่ายหนักให้คล่องขึ้น

การนวดลำไส้

เริ่มกันตั้งแต่ก่อนนอนเลย ให้ "นวดลำไส้" ด้วยการเอามือนวดที่ท้องส่วนล่างซ้าย ซึ่งเป็นที่อยู่ของลำไส้ใหญ่ คลำจนพบลำของกากอาหารแล้วก็กดลงเบา ๆ เป็นระยะ สักประมาณ 5 นาที พอตื่นขึ้นมาก็ดื่มน้ำอุ่นสักแก้ว รอสักพัก อาการปวดก็จะมา หรือให้นวดลำไส้ที่เดิมอีกสักรอบ โดยค่อย ๆ นวดเบา ๆ ดันลงไปด้านล่าง สักพักก็จะรู้สึกปวดอยากถ่ายขึ้นมา หากว่านั่งถ่ายแล้วยังไม่ออกก็ให้ลุกขึ้นเดินสักพัก อย่านั่งแช่ เพราะน้องริดซี่อาจมาได้

ออกกำลังกายแบบให้ "ไส้ขยับ"

อันดับแรกก็คือ การซิทอัพ อย่างน้อยวันละ 40 ครั้ง หรือวิ่งเหยาะ ๆ วันละครึ่งชั่วโมง และนั่งยอง ๆ ให้ หน้าขากดหน้าท้อง เพราะนี่คือท่าสำคัญของมนุษย์ ที่ธรรมชาติสร้างท่านั่งยอง ๆ มาให้เรา ก็เพื่อไว้สำหรับการถ่ายหนัก เพราะแรงกดจากหน้าขาของเราจะกดลงพอดีกับตรงลำไส้ใหญ่

กินอาหารล้างลำไส้

หากอยากถ่ายคล่อง ๆ ก็ต้องมีใยอาหารอยู่ในลำไส้ให้มากพอที่มันจะขับเคลื่อนได้ง่าย ส่งให้มาถึงหน้าด่านได้ง่ายกว่าเดิม โดยเราจะต้องได้รับใยอาหารประมาณ 30 กรัมต่อวัน ซึ่งได้มาจากผักและผลไม้หลาย ๆ อย่าง หมุนเวียนกันไป อาทิ ถั่ว เพราะมีใยอาหารมากที่สุด ผักต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผักโขม ผักกระเฉด ตำลึง เห็ดหูหนู มะเขือ ถั่วฝักยาว ถั่วพู เป็นต้น

ผลไม้ อาทิ กล้วย ส้ม ฝรั่ง มะม่วงดิบ พุทรา โดยเฉพาะส้มโอ จะมีสารเพกติร ซึ่งร่างกายของเราย่อยไม่ได้ เวลาถ่ายก็จะออกมาให้เราเห็นเต็ม ๆ แต่บางคนกินแล้วอาจปวดท้องบ้าง ถ่ายเหลวบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นเพราะผลไม้เหล่านี้ช่วยในการขับถ่าย ระบายท้อง ทำให้ลำไส้สะอาด และท้องไม่ผูก

แต่หากอยากถ่ายให้ได้ผลชะงัด ก็ต้องมะขามเปียก และลูกพรุน ซึ่งหาได้ง่าย กินแบบทั้งเนื้อและน้ำ นี่ละจะเป็นตัวการทำให้ถ่ายได้ดีที่สุด รับรองไม่นานเกินรอ ทัพหน้าก็จะตีประตูแตกอย่างแน่นอน

ฟังทางนี้!!

ถ้าไม่จำเป็นอย่ากินยาถ่ายบ่อย เพราะการใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะมีผลทำให้เกิดภาวะขาดวิตามินได้ หากเกิดอาการท้องผูกแบบหนัก ๆ ควรปรึกษาแพทย์ เห็นจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด อีกอย่างจะทำให้เราไม่ยอมนั่งถ่ายเองตามธรรมชาติ กลไกการทำงานในระบบของร่างกายอาจเปลี่ยนแปลงไปได้

ก่อนที่จะไปเข้าห้องน้ำ อย่าลืมคาถาทีเด็ด ช่วยถ่าย "ปวดอย่าอั้น นั่งท่ายอง มั่นใจเบ่ง" ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที โดยเฉพาะการบริหารตรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ที่สำคัญฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนะคะ รับรองว่า งานนี้ทัพหน้าตีแตกทุกวันแน่นอนค่ะ

ว้าว! แสงแดด แสนมหัศจรรย์

ประเทศไทยเราเป็นเมืองร้อน ยิ่งพอเดือนเมษายนแบบนี้ พระอาทิตย์เข้าใกล้โลกมากที่สุดในรอบปี สาว ๆ มักจะหวาดกลัวแสงแดดราวกับว่าเป็นอสูรร้ายที่จะทำลายความงาม แต่ครั้นจะให้บินหนีร้อนไปหลบแดด แถวขั้วโลกเหนือก็คงจะเป็นไปได้ยากนะคะ

Audrey ใช่ว่าจะใจกล้าชอบท้าแดด แต่ขอบอกว่าก็กลัวแดดพอ ๆ กับคุณ ๆ ทั้งหลายนั่นแหละค่ะ เพียงแต่ต้องการให้เวลาไปเที่ยวทะเลก็เที่ยวได้สนุก ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อนอยู่แต่ในร่ม หรือช่วงเย็น ๆ ก็สามารถออกไปเดินเล่นรับสายลม แสงแดดในสวนได้สบาย ๆ

พอเกิดไอเดียท้าแดดแบบนี้ Audrey จึงไปค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องข้อดีของแสงแดดจ้ามาฝากคุณผู้อ่านค่ะ

เรื่องดี ๆ ของแดด

เราคงรู้กันดีว่า ถ้าปล่อยให้ผิวถูกแดดจัดนาน ๆ จะทำให้เกิดปัญหากับผิวขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กระ ฝ้า ผิวไหม้ ตัวดำปิดปี๋ รอยเหี่ยวย่นปรากฎบนผิวหน้าเร็วขึ้น หรือที่ร้ายแรงยิ่งกว่า เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง ฟังดูแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วถ้ารับแสงแดดอย่างเหมาะสม กลับสร้างประโยชน์ได้มากกว่าที่คุณคิดเชียวนะคะ

ป้องกัน โรคร้าย

ศาสตราจารย์ เซดริก การ์แลนด์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย รายงานว่า แสงแดดเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินดีที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของสถาบันวิจัยมะเร็งของอังกฤษ ที่พูดถึงประโยชน์ของแสงแดดนี้ไว้ในทำนองนี้เช่นกันค่ะ

ขจัดโรคซึมเศร้า

คนไทยนี่หนอ เวลามีแดดก็มักจะบ่นว่าร้อนไปต่าง ๆ นานา แต่วันไหนแดดหุบก็บ่นพึมพำว่า เป็นวันหดหู่สิ้นดี เชื่อไหมคะประเทศซีกโลกตะวันตกเขารักแสงแดดกันมาก เพราะบรรยากาศทึม ๆ ทำให้คนเราไม่ร่าเริงสดใส บางคนไม่กระตือรือร้นทำการทำงานเลยก็มี เพราะฉะนั้นถือว่าโชคดีที่ได้เกิดมาในเมืองร้อนนะคะ แม้จะร้อนไปบ้าง แต่พอในวันฟ้าใส จิตใจเราก็จะสดใส กระปรี้กระปร่าพร้อมออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน

สำหรับโรคซึมเศร้านั้น ในปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยในประเทศไทยมีเป็นจำนวนไม่น้อย อาการของโรคคือ รู้สึกหดหู่ต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ส่งผลให้การทำงานบกพร่อง ประสิทธิภาพของการงานไม่ดี แถมยังเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดโรคทางร่างกายได้ด้วยค่ะ ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคืออาจทำให้ฆ่าตัวตายได้ด้วย เพราะฉะนั้นการที่ได้มาสัมผัสสายลมแสงแดดของฤดูร้อน ก็คงช่วยให้สดใสมีชีวิตชีวาขึ้นได้บ้างเป็นแน่

ลดความเสี่ยงจากโรค

อันนี้อาจจะเป็นผลประโยชน์ทางอ้อมของแสงแดดนะคะ เคยสังเกตไหมคะว่า เวลาแดดดี ๆ เด็ก ๆ ก็ชวนกันออกไปออกกำลังกาย เตะบอล เล่นบาส ฯลฯ ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็ควรออกกำลังกายบ้างเช่นกัน ซึ่งการออกกำลังกายกลางแจ้งทำให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ ด้วยล่ะค่ะ

Sunshine safety

สถานที่พบ : สาวไทยอย่างเรา ๆ แม้จะไม่ได้ไปโต้คลื่น ปีนเขาที่ไหน ก็มักจะหนีแดดไม่พ้นหรอกค่ะ แต่ไม่จำเป็นต้องรับแสงแดดจ้าตอนเที่ยง แค่เดินออกไปข้างนอก และใช้ชีวิตตามปกติก็ได้รับแสงแดดแล้ว

เลือกเวลาเจอ : ลองหาเวลาช่วงเช้าหรือเย็นเดินรับแสงแดดในสวน หรือวิ่งเล่นพร้อมกันกับลูกน้อย ที่สำคัญคือหลีกเลี่ยงแดดกลางฤดูร้อนช่วง 10.00 - 16.00 น.ที่มีรังสี UV ออกมามากพร้อมแสงแดด สำหรับเวลาที่เหมาะสมในการรับแสงแดดอยู่ที่ประมาณครั้งละ 10 -15 นาทีค่ะ

ผิวคล้ำสิดี : ใครที่มีผิวคล้ำแบบ Audrey คงจะยิ้มร่ารับข้อนี้นะคะ เพราะคนผิวคล้ำหรือผิวสองสี มักจะมีความต้านทานต่อแดดมากกว่าคนผิวขาว เนื่องจากเมลานินใต้ผิวหนังของคนผิวสองสีมีสีเข้มมากกว่า จึงมีความต้านทานต่อแดดได้ดีกว่าเมลานินสีขาวของคนผิวขาว แต่อย่างไรก็ตาม ถึงผิวคล้ำก็ต้องทาครีมกันแดดค่ะ

ป้องกันให้เหมาะ : สำหรับ Audrey แล้ว ครีมกันแดดกลายเป็นนางเอกบนโต๊ะเครื่องแป้งไปแล้วค่ะ เพราะนอกจากจะต้องทาเป็นประจำทุกวัน ยังต้องเลือกค่า SPF ให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันด้วยค่ะ (ก็ Audrey เป็นสาวไฮเปอร์นี่คะ คุณ ๆ ลองเช็คกิจกรรมกับค่า SPF ตามกิจกรรมของ Audrey ดูก็ได้ค่ะ)


Activities
SPF
Sequencety

อยู่บ้าน - ไปทำงาน 15-30 ทาซ้ำถ้าต้องการ
ไปต่างจังหวัด เที่ยวทะเล 50 ทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
ตีกอล์ฟ ดำน้ำ 50-100 ทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง


นอกจากจะเลือกค่า SPF แล้ว ยังควรพิจารณาว่าครีมกันแดดนั้นมีค่าป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB หรือไม่ และควรมีคุณสมบัติกันน้ำ จะได้ไม่ละลายหายไปเมื่อถูกเหงื่อหรือลงเล่นน้ำค่ะ

อาการแบบนี้..อันตราย!

หลังถูกแดดมีผื่นหรือตุ่มสีแดงหรือเป็นแผล ตุ่มพองกระจายอยู่บนผิวหนัง บางรายมีอาการคัน เป็นอาการที่เรียกว่าแพ้แดด หรือ sun allergy

D จากแดด

เป็นกลุ่มของสารสเตียรอล (Sterol) ซึ่งมีสะสมอยู่ในร่างกายและถูกเปลี่ยนไป เมื่อร่างกายได้รับแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลต

มีส่วนสำคัญในการควบคุมการดูดซึมและขนส่งแคลเซียม ฟอสฟอรัส ไปไว้ที่กระดูก

ถ้าร่างกายขาดวิตามินดีจะเป็นโรคกระดูกอ่อน การเจริญเติบโตล่าช้า

นอกจากแดด เรายังพบวิตามินดีได้จากแหล่งอาหาร เช่น ปลา น้ำมันตับปลา ผักสีเขียว

สาว ๆ ฟังไว้ ช้อปปิ้งดีต่อสุขภาพ

การช้อปปิ้งช่วยใหู้ผู้หญิงเผาผลาญพลังงานได้เกือบ 48,000 แคลอรี่ต่อปี หรือเท่ากับการกินอาหารรวม 25 วัน

งานวิจัยพบข้ออ้างใหม่ถูกใจสาวนักช้อป ระบุว่า การเดินซื้อของในแต่ละสัปดาห์ ช่วยเผาผลาญพลังงานได้เฉลี่ยถึง 385 แคลอรี่ หรือเท่ากับแครอทเค้ก 1 ชิ้น หรือไวน์แก้วใหญ่ 2 แก้ว

ตลอดทั้งปี ผู้หญิงจะเดินหาซื้อของลดราคารวมแล้ว 247 กิโลเมตร หรือพอ ๆ กับระยะทางจากกรุงลอนดอนไปนอตติ้งแฮม ซึ่งกว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,000 คน ที่เป็นสาวนักช้อปจากเมืองผู้ดี บอกว่า "การเดินซื้อของเหนื่อยกว่าการออกกำลังกายในฟิตเนส"

ผลสำรวจที่ดีเบนแฮมส์ ห้างสรรพสินค้าดังในอังกฤษ จัดทำขึ้นยังพบว่า ในแต่ละสัปดาห์ ผู้หญิงใช้เวลาเฉลี่ย 2.5 ชั่วโมง และระยะทาง 4.7 กิโลเมตรในการเดินห้าง เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ใช้เวลาเฉลี่ยแค่ 50 นาที และระยะทางในการเดินเพียง 2.4 กิโลเมตรเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังพบว่าทุกครั้งที่ออกไปช้อปปิ้ง ผู้หญิงจะเดิน 7,305 ก้าว หรือเกือบ 3 ใน 4 ของระยะทางที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษแนะนำให้เดินในแต่ละวัน

นักวิจัยคำนวณว่าการช้อปปิ้ง 3 ชั่วโมงช่วยเผาผลาญพลังงาน 495 แคลอรี่ที่ได้ จากบิ๊กแมค 1 ชิ้น, ช้อปปิ้ง 2 ชั่วโมงเผาผลาญพลังงาน 283 แคลอรี่ หรือเท่ากับกาแฟลาเต้ 1 แก้ว

กลุ่มสำรวจ 1 ใน 3 บอกว่าช้อปปิ้ง "จริงจัง" สัปดาห์ละครั้ง ขณะที่ 8 ใน 10 ยอมรับว่า ใช้เวลาและเดินทนขึ้นเมื่อไปชอปกับเพื่อน ระหว่างนั้นยังแวะกินอาหารกลางวันหรือดื่มกาแฟด้วย แต่ 45% บอกว่าเดินช้อปจนหมดแรงโดยไม่นั่งพักเลย

ในการสำรวจอีกชิ้น ผู้เชี่ยวชาญได้คำนวณว่า ผู้หญิงเผาผลาญพลังงาน 5 แคลอรี่ในทุก ๆ 1 นาที ที่เดินดูของ หรือเกือบ 48,000 แคลอรี่ต่อปี หรือเท่ากับปริมาณการบริโภคอาหารที่แนะนำไว้วันละ 1,940 แคลอรี่ 25 วัน

ผลศึกษายังแสดงให้เห็นว่า แต่ละเดือนผู้หญิงเดินช้อปปิ้งตามห้าง ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าใกล้บ้าน 11 ครั้ง รวมเวลาที่ใช้ไปทั้งสิ้นราว 13 ชั่วโมง

ผู้หญิง 2 ใน 3 จากกลุ่มสำรวจทั้งหมด 3,000 คนในโพลล์ของสกินนี คาว ผู้ผลิตของหวานไขมันต่ำ ไม่ชอบเดินทอดน่องละเลียดดูของ แต่จะรีบหาทุกอย่างที่ต้องการอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้...

ฝุ่นละอองทำให้หัวใจป่วย

จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการสามสถาบันได้ผลมาว่า อณูฝุ่นละอองเพิ่มความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

ทั้งนี้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยดุยส์บวร์ก-เอสเซ่น ประเทศเยอรมนี ค้นพบว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ริมถนนมักป่วยด้วยโรคเส้นเลือดแดงหนาตัว มากกว่าคนที่อาศัยอยู่ห่างจากถนนไปอีก 200 เมตร

นอกจากนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์กยังค้นพบว่า หลังจากที่คนหายใจเอาเขม่าท่อไอเสียรถยนต์เข้าไป จะทำให้เลือดไหลเวียนไปสู่หัวใจน้อยลง นอกจากนี้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้ค้นพบว่า เขม่าทำให้เลือดหนาตัวเร็วขึ้น

ทั้งสามปัจจัยดังกล่าว ทำให้เสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจเร็วขึ้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงการสูดฝุ่นละออง เช่น ไม่ออกกำลังกายในสถานที่ที่มีอากาศสกปรก

บรรเทาเมารถ ด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่ง

อาการวิงเวียน พะอืดพะอม และอยากจะอาเจียนที่มักเกิดขึ้นในระหว่างการโดยสารรถยนต์ หรือที่เรียกว่าอาการเมารถนั้น ถึงแม้จะไม่ใช่อาการป่วยที่ร้ายแรง แต่ก็ถือเป็นอาการที่อาจทำให้รู้สึกอับอายขายหน้า และทำลายบรรยากาศแสนสนุกสนานของการเดินทางลงได้อย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี หากรู้ตัวว่า เมารถ แต่ไม่อยากกินยาแก้เมาที่มักจะก่อให้เกิดอาการง่วงซึมตามมา เราก็สามารถป้องกัน และแก้ไขอาการเมารถได้ด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งรสเปปเปอร์มินต์ ชนิดที่มีรสเย็นซ่า

นอกจากหมากฝรั่งจะช่วยให้เราได้ขยับปากเคี้ยวแล้ว รสชาติที่เย็นซ่าของเปปเปอร์มินต์จะทำให้สมองรู้สึกสดชื่น ปลอดโปร่ง ส่งผลให้อาการปั่นป่วนมวนท้อง รวมทั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนดังกล่าวสงบลง

นอกจากนี้ควรขอย้ายที่มานั่งที่เบาะหน้า คู่กับคนขับ เพราะตำแหน่งดังกล่าวจะช่วยให้เห็นวิวกว้าง ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังช่วยดึงความสนใจไปกับการมองดูถนนหนทางด้วย

การมองเห็นกับการขับรถ

สายตาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการขับรถ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า คนที่จะขับรถจะต้องมองเห็น แต่เรามักให้ความสนใจกับเรื่องนี้น้อยมาก เพราะมีตาก็มองเห็น เมื่อมองเห็นก็ขับรถไปได้เป็นของธรรมดา แท้ที่จริงแล้วการมองเห็นมีหลายอย่างหลายระดับ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการขับรถอย่างมากซึ่งจะขอ กล่าวแต่เรื่องที่สำคัญ ๆ และโดยย่อที่สุด ดังนี้

1.สายตา คือความสามารถในการเห็นว่าชัดเจนแค่ไหน ผู้ที่จะขับรถได้ดีควรจะมีสายตาดีพอที่จะเห็นสัญญาณ หรือป้ายเล็ก ๆ ข้างถนนได้ ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องดีเท่ากับ 85 เปอร์เซ็นต์ของสายตาปกติ และเป็นที่น่าสังเกตว่าสายตาจะเลวลง 20 ฟุต ต่อการเพิ่มความเร็วของรถทุก ๆ 10 ไมล์ ต่อ 1 ชม.

2.ลานสายตา ลานสายตาคือ บริเวณทั้งหมดที่เราเห็นเมื่อเราเพ่งอยู่จุดหนึ่งข้างหน้า นัยน์ตาที่ปกติจะมีลานสายตากว้างข้างละ ประมาณ 140 องศา และเมื่อมองสองตาพร้อมกันลานสายตาจะกว้าง 180 องศา เพื่อการขับรถที่ปลอดภัยควรมีลานสายตาอย่างน้อย 140 องศา ขณะจ้องมองไปข้างหน้า

3.ความสัมพันธ์ระหว่างการมองเห็นกับเวลา และระยะทาง ถ้าเราเห็นของสิ่งหนึ่งทางหางตาเราจะรู้สึกถึงสิ่งนั้นใน เวลา 0.1 วินาที แล้วเราจะกลอกตาไปมอง ซึ่งจะเสียเวลาในการกลอกตาใน 0.2 วินาที จากนั้นประสาทตาจะใช้เวลาอีก 0.7 วินาทีในการรับภาพและกว่า จะดูออกว่าเป็นอะไรก็ต้องเสียเวลาไปอีก 0.65-15 วินาที รวมแล้วเราจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 2 วินาที ในการมองเห็นสิ่งของที่อยู่ทางหางตา แต่ในขณะขับรถ และต้องหลบของสิ่งนั้นเราจะต้องมีเวลาเพิ่มขึ้น เพื่อการตัดสินใจและการแก้ไขสถานการณ์ และที่สำคัญที่สุดคือ รถกำลังแล่นเข้าไปใกล้สิ่งกีดขวางนั้นมากขึ้นทุกที ถ้าจะเปรียบเทียบโดยใช้ความเร็ว และระยะทางเข้ามาร่วมด้วยก็จะเป็นดังนี้

ถ้ารถวิ่งด้วยความเร็ว 60 ไมล์หรือ 90 กม.ต่อชั่วโมง คนขับบังเอิญเหลือบเห็นสิ่งที่กีดขวางอยู่ห่างออกไป 100 ฟุต กว่าคนขับจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไรขับเลยสิ่งนั้นไปแล้ว 12 ฟุต โดยที่ยังไม่ได้ทันตัดสินใจทำอะไรเลย

4.ตาบอดสี คนที่ตาบอดสีเขียวหรือแดงก็จะมีปัญหาในการดูสัญญาณไฟเขียวไฟแดง

5.การมองเห็นในเวลากลางคืน ในที่มืดสายตาจะเลวกว่าในที่สว่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ออกจากที่สว่างเข้าสู่ที่มืด จะต้องใช้เวลาในการปรับสายตาให้ชินกับความมืด ซึ่งจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสภาพของดวงตา เช่น พวกที่ขาดวิตามินเอ สายตาสั้น สายตาคนแก่ และตาเป็นโรคบางอย่างจะทำให้ปรับสายตาได้ช้า

6.แสงเข้าตา เวลามีแสงที่สว่างมาก ๆ ส่องเข้าตาจะทำให้ตาพร่ามองอะไรไม่เห็นไปขณะหนึ่ง แสงที่ส่องเข้าตานี้อาจเป็นแสงโดยตรง เช่น แสงอาทิตย์ หรือจากไฟหน้ารถคันที่สวนมา หรืออาจเป็นแสงสะท้อนจากโลหะข้างถนนหรือเครื่องประดับรถ

เราจะช่วยทำให้การมองเห็นของเราในการขับรถดีขึ้นได้อย่างไร

เรามีทางที่จะทำให้เราเห็นดีขึ้น ในขณะที่ขับรถได้คือ

1.ฝึกตัวเองให้พยายามมองไกลที่สุดที่จะไกลได้ ทั้งกลางวันและกลางคืน เพิ่มลานสายตาให้กว้างขึ้น โดยระวังด้านข้างสองด้านและข้างหลังด้วยกระจกส่องหลัง

2. ป้องกันสายตาใส่แว่นกันแดด เมื่อมีแสงแดดจ้ามาก

3. กระจกรถไม่ควรเป็นสีมืด นอกจากส่วนบนของกระจกหน้ารถ เพราะความมืดทำให้สายตาเลวลง โดยเฉพาะเวลากลางคืนทัศนวิสัยจะเลวมาก

4.ไม่ใส่แว่นสีขับรถตอนกลางคืน เพราะทำให้สายตาที่เลวอยู่ในที่มืดยิ่งเลวมากขึ้น

5.เลือกขับรถที่มีสีที่เห็นได้ง่าย เช่น สีขาว ตามสถิติพบว่ารถสีขาวถูกชนน้อยที่สุด และรถสีเทาถูกชนบ่อยที่สุด

6.หลีกเลี่ยงเครื่องประดับรถที่เป็นโลหะสะท้องแสง

7.เมื่อจำเป็นต้องขับรถทางไกลในเวลากลางคืน ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกวิ่งในทางหลวงที่เป็นแยกออกจากกัน (Devided highway) แบบถนนสายบางนา–ตราด เพื่อแสงจากรถที่สวนมาจะอยู่ห่างทำให้แสงเข้าตาน้อย ตาไม่พร่า

8.คนที่มีอายุมาก หรือคนที่เป็นโรคทางตา สายตาเลวลงต้องยอมรับความจริง ไม่ควรขับรถโดยเฉพาะเวลากลางคืน

ตาสว่างกลางดึก ทำยังไงดี...

นี่คืออาการที่เกิดขึ้น เมื่อร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีนมากเกินไป ทำให้ศูนย์ควบคุมการนอนของร่างกายทำงานผิดปกติ คุณจึงตื่นได้ง่ายเมื่อเข้าสู่ช่วงหลับตื้นของวงจรการนอน และตาสว่างจนนอนต่อไม่ได้ ลองมาดูสิว่าวิธีไหนจะช่วยแก้ไขปัญหาตาสว่างนี้ได้บ้าง

อย่าดื่มไวน์หรือแอลกอฮอล์มากกว่าหนึ่งแก้วในช่วงค่ำ

งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนเข้านอน 3 - 8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของคุณไวต่อฤทธิ์คาเฟอีนเพียงใด (คาเฟอีนที่ว่านี้รวมถึงช็อกโกแลตด้วย)

เมื่อใดก็ตามที่ตื่นกลางดึก อย่าเพิ่งเปิดไฟ แต่ให้นอนปล่อยตัวตามสบายบนเตียง พร้อมฟังเพลงเบา ๆ หรือจะเปิดวิทยุทิ้งไว้ก็ได้สัก 15 - 20 นาที

อย่าดูนาฬิกาหรือกังวลกับเรื่องของเวลามากจนเกินไป เพราะมีแต่จะทำให้คุณยิ่ง เครียดจนนอนไม่หลับมากขึ้น

อย่าออกกำลังกายก่อนเข้านอน เปลี่ยนมาฟังเพลงเบา ๆ พร้อมจิบชาคาโมมายด์อุ่น ๆ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจสงบผ่อนคลาย

ออกกำลังกายตามอารมณ์

อย่าปล่อยให้อารมณ์ของคุณ-ไม่ว่าดีหรือร้าย มาบ่อนทำลายการออกกำลังกายของคุณ

ไม่ว่าคุณจะชอบออกกำลังกายแค่ไหน มันอาจจะยากที่จะลุกไปเข้าคลาสแอโรบิก ขณะที่มีเรื่องวุ่นๆ ในที่ทำงาน หรือแม่ของคุณกำลังป่วย แต่การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งการออกกำลังกายแบบเบาๆ ก็สามารถทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้นได้

"คนจำนวนมากงดการออกกำลังกายในเวลาอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะไม่มีกำลังใจพอ" ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายและสุขภาพจิต ดร.แจ็ค แรคลิน แห่งมหาวิทยาลัยอินเดียน่าบอก "เคล็ดลับอยู่ที่การหาการออกกำลังกายที่เหมาะกับอารมณ์ของคุณในช่วงนั้นๆ"

ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการรักษาการออกกำลังกายเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าภาวะจิตใจของคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เวลาที่คุณโกรธ

ถึงแม้คุณอาจจะอยากระบายออก แต่งดการออกกำลังอย่างเช่น คิกบ๊อกซิ่งเอาไว้จะดีกว่า เพราะคุณไม่อาจปลดปล่อยความโกรธออกจากตัวได้ด้วยการชกต่อย ลองทำอะไรบางอย่างที่ต้องใช้สมาธิ และทำให้คุณเลิกใส่ใจในสิ่งที่ทำให้คุณโกรธแทน เช่น เข้าคลาสแอโรบิกที่คุณไม่เคยลองมาก่อน การเรียนรู้ท่าเต้นใหม่ๆ จะเบี่ยงเบนจิตใจคุณไปจากสิ่งที่ทำให้คุณโกรธได้

เวลาที่คุณซึมเศร้า

การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบเบาๆ ราว 40 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นของหัวใจ จะทำให้อารมณ์คุณสดชื่นแจ่มใสขึ้นได้ ฉะนั้น ถ้าคุณไม่อยากทำอะไรที่ต้องใช้พลังงานเยอะๆ ลองทำกิจกรรมเพลินๆ ที่คุณชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ หรือไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ และยังได้ออกกำลังกายด้วย

เวลาที่คุณรู้สึกเบื่อ

การอยู่กับคนอื่นเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการเอาชนะความเบื่อ การเล่นกีฬากับคนอื่นยิ่งดีกว่า เช่น เล่นเทนนิสหรือกอล์ฟ หรือเข้าร่วมกลุ่มคนที่เดิน หรือขี่จักรยานเป็นประจำ การได้อยู่กลางแจ้งกับคนอื่นทำให้กระตือรือร้นและทำให้คุณไม่เบื่อ

เวลาที่คุณเครียด

เมื่อสมองเต็มตื้อและวิตกกังวล คุณจำต้องเปลี่ยนไปสู่กิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิด เพื่อทำให้มันสงบลง การทำอะไรซ้ำๆ อย่างเช่น ว่ายน้ำ หรือเดินบนลู่ไฟฟ้าแทบไม่ต้องใช้ความคิด มันจึงมีประสิทธิภาพอย่างมากในการลดความรู้สึกเครียด และเพิ่มความสงบ

เวลาที่คุณมีความสุข

อารมณ์อิ่มสุขอาจทำให้การออกกำลังกายเป๋ได้ง่ายพอๆ กับความเศร้า ลองใช้ประโยชน์จากอารมณ์แจ่มใสของคุณ ในการออกไปข้างนอกและท้าทายตัวเองให้มากขึ้น ดูสิคุณสามารถวิ่งได้ไกลกว่าเดิมมั้ย หรือยกน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเซ็ตได้หรือเปล่า ใช้พลังงานที่มีเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีกว่าเดิม

ศัตรูร้ายในคราบความงาม

คุณสาว ๆ รู้หรือเปล่าว่า เครื่องสำอางที่คุณใช้ทุกวันนั้น เป็นศัตรูใกล้ตัวที่แฝงกายมาอยู่ในบ้านของคุณอย่างมิดชิด ทุกวันผู้หญิงสัมผัสสารเคมีเฉลี่ย 175 ชนิดบนร่างกายในรูปของเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

เครื่องสำอางส่วนใหญ่ ประกอบด้วยสารพัดสารเคมีที่หลายตัวเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมากมาย โดยรายการส่วนประกอบอันตรายในเครื่องสำอาง ที่ใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีอาทิ สารเคมีที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง สารที่สร้างปัญหาให้กับฮอร์โมน และสร้างความระคายเคืองต่อผิวหนัง

กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า www.chemicalsafeskincare.co.uk ซึ่งก่อตั้งโดยเหล่าผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติในอังกฤษ กำลังเรียกร้องให้ผู้ผลิตเครื่องสำอาง แสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ รวมถึงผลข้างเคียงจากสารเหล่านั้น

กลุ่มนี้เป็นกังวลมากโดยเฉพาะกับส่วนผสม 3 ตัว ได้แก่ สารกันเสียที่ชื่อว่า พาราเบน (parabens) ที่มักพบในมอยส์เจอไรเซอร์และครีมทาผิว และเกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและผิวหนังอักเสบ, สารที่ทำให้เกิดฟอง เช่น โซเดียม ลอเรล ซัลเฟต (sodium lauryl sulphate) และโซเดียม ลอเรต ซัลเฟต (sodium laureth sulphate) ที่ใช้ในแชมพู และว่ากันว่าเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังระคายเคือง

สุดท้ายคือ สารฆ่าเชื้อฟอร์มัลดีไฮด์ (formaldehyde) ในแชมพูและครีมล้างมือ มีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังไหม้ และเกี่ยวข้องกับโรคหอบหืดและอาการปวดศรีษะ

จูเลีย มิตเชลล์ โฆษกของกลุ่มรณรงค์นี้ กล่าวว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงใช้เครื่องสำอางวันละ 12 ชนิด ทำให้สัมผัสกับสารเคมี 175 ชนิดโดยไม่รู้ตัว

"การที่สื่อรายงานเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากสารเคมีบางตัว เช่น พาราเบน, โซเดียม ลอเรต ซัลเฟต และฟอร์มาลดีไฮด์ ทำให้ผู้บริโภคตื่นตัวมากขึ้นกับสิ่งที่ตัวเองซื้อ และเรียกร้องให้มีการใช้สารเคมีทางเลือกที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น"

ปัจจุบัน กฎหมายในยุโรป ซึ่งผลักดันโดยแพทย์โรคผิวหนัง บังคับให้มีการติดฉลากระบุส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย กระนั้น ผู้บริโภคและผู้ผลิตที่กังวลกับสารเคมีกำลังเคลื่อนไหว เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับผลข้างเคียงจากส่วนผสมเหล่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่ผิวหนังอ่อนไหวต่ออาการต่าง ๆ เช่น โรคผิวหนังอักเสบ และโรคสะเก็ดเงิน

ศาสตราจารย์เดวิด กอว์ครอดเจอร์ ที่ปรึกษาด้านโรคผิวหนังและโฆษกของมูลนิธิผิวหนังอังกฤษเสริมว่า ปัจจุบันมีชาวอังกฤษ 8 ล้านคนที่มีอาการทางผิวหนัง และตัวเลขนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ

"สารเคมีบางตัวในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่ใช้อยู่ทุกวัน อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ ปฏิกิริยาเหล่านี้มักเกิดกับคนไข้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ และผู้ที่ผิวหนังมีความอ่อนไหวมาก ๆ โดยปฏิกิริยาส่วนใหญ่จะเกิดที่ใบหน้าหรือแขน และบางครั้งอาจขึ้นที่มือและขา"

ฉะนั้น คุณผู้หญิงรู้ไว้ก็ป้องกันแต่เนิ่น ๆ ดีไหมคะ

10 สัญญาณที่บอกว่าคุณกินอาหารไม่เหมาะสม

1.ผมไม่เงางาม

ถ้าถึงขนาดที่คุณจัดทรงไม่ได้เลยต้องถือว่ารุนแรงแล้วค่ะ ทั้งนี้เป็นผลจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก จะเห็นชัดเจนในกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก ลองกินอาหารให้มีส่วนผสมของธาตุอาหารอย่างเหมาะสม เน้นอาหารที่มีกากใย พร้อมไปกับการออกกำลังกาย

สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติต้องได้สารอาหารจากพืชผัก ข้าวและถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วย กะหล่ำดอกและผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขกและถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน สำหรับคนที่จำกัดอาหาร แม้ว่าจะอยากผอมแค่ไหนก็ไม่ควรอดอาหารจนเกินไปค่ะ ลองใช้วิธีฉลาด ๆ จำกัดอาหารแต่พอเพียง เพิ่มการออกกำลังกายอีกหน่อย

2.ผิวหนังส่ออาการ

คุณเริ่มมีอาการคันที่ผิวหนัง หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาวบ้างไหมคะ

อาการอย่างนี้อาจเป็นลักษณะของการขาดวิตามิน A ซึ่งผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้มหรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ แต่ไม่แนะนำให้กินวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับวิตามิน A โดยตรงมากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ค่ะ

3.ข้อต่อมีเสียงดัง หรือปวดบริเวณข้อต่อ

อาการอย่างนี้อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคุณกินปลาน้อยเกินไป กรดไขมันประเภทโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลา อย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ

4.ผายลมบ่อย

เป็นเรื่องจริงที่ไฟเบอร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้ากินมากเกินไปหรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่วหรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณก็จะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ

5.ท้องผูก

เป็นอีกอาการหนึ่งที่บอกถึงการรับประมาณอาหารอย่างไม่เหมาะสม คุณต้องได้สารอาหารพวกไฟเบอร์หรือกาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วยวิธีแก้ปัญหานี้ง่าย ๆ คือ ค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

6.หัวใจเต้นผิดปกติ

หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัว มากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน แต่คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติหรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดนไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวดหรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่คุณก็ยังรู้สึกว่ามีอาการหัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะขาดสารอาหารพวกแมกนีเซียม หรือ โปแตสเซียมสำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแมกนีเซียมให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทองและผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

7.ขี้ลืม

อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B6 B12 และ B9(โฟเลต) สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่า

จากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B6 และโฟเลตมากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

8.Sperm น้อยลงไปมาก

ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาเรื่องระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไปได้ว่าคุณขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

จากการศึกษาพบว่าวิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุก ๆ ด้าน

9.ปวดเหงือก

ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุกวัน

10.กระดูกแตก

ถ้าคุณกระดูกแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมากจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ดี) ลองสังเกตร่างกายตัวเองบ่อย ๆ นะคะ เพราะอย่างไรเสีย หากเราดูแลตัวเองได้ดีก็ไม่ต้องถึงมือคุณหมอให้ยุ่งยากเปล่า ๆ ไหนจะเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาด้วย ไม่คุ้มกันแน่ ๆ

20 ชนิด อาหารล้างพิษ

ปัจจุบันนี้อาหารการกิน หาซื้อหาได้ง่าย แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่ทานไปแต่ละมื้อ แอบทำให้ร่างกายเราบั่นทอน แทนที่จะได้คุณประโยชน์ ฉะนั้นต้องหันมาดูแลกันให้มากขึ้น วันนี้จึงมีอาหารล้างพิษ 20 ชนิด มาแนะนำกัน

1. กล้วย

มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ทีจำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกาย โดยช่วยขับของเหลวหรือสารพิษส่วนเกิน ออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบ ขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

2.อัลมอนด์

เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูงมีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย ในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (Hyperglycemia) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่าไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรงคิดอะไรไม่ออก

3.แอปเปิ้ล

ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอล และโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเปิ้ล เพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่า แอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

4.ตำลึง

ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อย ๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า แกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบและมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดี ที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

5.อะโวคาโด

อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน (Glutathione) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมี และโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะ มีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ ได้กินและมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

6.บีตรูต

ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้ นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งประกอบไปด้วยไพโรเคมีคอล (Phytochemical) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษ ที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็ว ขึ้นซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรดและด่างในเลือดให้สมดุลด้วย

7.กะหล่ำ

เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลีและกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกาย และช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

8.บลูเบอร์รี่

เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่ง และถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

9.กระเทียม

จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกัน ถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือด และทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต

เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกัน ไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุต ช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

11.มะเขือพวง

คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิและน้ำพริกสมัยก่อนแกงกะทิ เช่น แกงไก่ใส่มะเขือพวง ใส่ไก่น้อย เน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น และลดการสะสมของเสีย

12.แครอท

เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha and Beta-carotene) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาทสายตา ผิวหนังที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่า สารในแครอทช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น

13.ขึ้นฉ่าย

ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือด และช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่าย ยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

14.พืชตระกูลถั่ว

เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

15.ทับทิม

ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพริน ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูงซึ่ง ช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

16.กระเจี๊ยบ

น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรีย และไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก หรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

17.เมล็ดแฟลกซ์

ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมองช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงขึ้น

18.มะนาว

เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้ว ดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน จะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้ และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

19.หัวหอม

ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดี เพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

20.สาหร่าย

เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่า สาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่าง ๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก