30 พ.ค. 2551

กรณีศึกษาร้านกาแฟ ถูกจับละเมินลิขสิทธ์เพลง

> > เท่าที่รู้มา RS เขาได้ลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอีกนะ
> ประมาณว่าร้านข้าวต้มริมถนนถ้าเปิดให้ลูกค้าดู
> > ก็ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกัน คิดได้ยังไงเนี่ย
> > เรื่องเล่าสู่กันฟัง กรณีศึกษาร้านกาแฟ ถูกจับละเมินลิขสิทธ์เพลง


> > เราเพิ่งจะเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ซัก 3 โต๊ะได้น่ะค่ะ
> > เมื่อวานมีผู้ชาย 7 คน มาที่ร้าน ในขณะที่เราไม่อยู่ร้าน
> > ในร้านจะมี พนักงานขาย 1 คน (น้องเค้าอายุ 20 ปี) อยู่คนเดียว กับลูกค้า 2
> คน ค่ะ
> > พวกเค้าเข้ามาในร้าน และถามน้องเค้าว่า 'ใครเป็นเจ้าของร้าน' ให้เรียกมา
> > ถ้าไม่มาจะพาน้องเค้าไปโรงพัก ฐานละเมิดลิขสิทธิ์เพลงของRs
> > ด้วยท่าที ที่น่ากลัว และพูดจาออกแนวขู่
> > เหมือนบอกน้องเค้าว่า ถ้าไม่มา น้องเค้าต้องติดคุกแน่
> > หลักฐานคือ ซีดีในเครื่องเล่น ซึ่งมีเพลงRs อยู่ 2 เพลง
> > และให้ไปเคลียกันที่โรงพัก
> > (แผ่นนั้นไม่ใช่ของร้าน เพียงแต่ที่ร้านจะตั้งเครื่องเล่นไว้
> > ให้ลูกค้าเอาแผ่นมาเปิด ลูกค้าบางคนจะทิ้งแผ่นไว้เลย)
> > คนกลุ่มนั้น ประกอบไปด้วย 2 คน คือ
> > นายตำรวจ ยศนายดาบ,1 คน คือ จนท.กรมทรัพย์สินฯ
> > และอีก 4 คน คือ คนของ Rs


> > เมือถึง สน.โชคชัย ตำรวจให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา
> > และให้เราตกลงกับทาง rs เอง ว่าจะยอมความได้หรือไม่
> > ตำรวจบอกว่า หากเลยเวลาเข้าเวร จะต้องทำเรื่องฝากขัง
> > และเราต้องทำเรื่องขอประกันตัวไป
> > โดยเสียเงินค่าประกัน 30,000 บาท
> > (เวลาขณะนั้น คือ 4โมงเย็น)
> > เราได้ขอโทษกับ rs ผ่านทนายของเค้า
> > ว่าไม่เคยทราบมาก่อนว่า เปิดเพลงให้ลูกค้าฟังในร้าน
> > โดยไม่ได้จำหน่าย ก็ผิดกฏหมายแล้ว
> > อีกทั้งเป็นร้านเล็ก ๆ เรายินดีทำลิขสิทธ์อย่างถูกต้อง
> > แต่ขอเจรจา เรื่องค่าปรับได้มั้ยคะ เนื่องจากเป็นความผิดครั้งแรก?
> > ทนายบอกว่า 'ไม่ได้
> > ตามกฏหมายแล้ว ต้องเสียทั้งค่าปรับ และค่าทำลิขสิทธ์
> > ค่าปรับอยู่ที่ อย่างต่ำ 60,000บาท ค่าลิขสิทธ์อีก 4000 บาท


> > ถามรายละเอียด ก็ได้คำตอบว่า
> > ร้านกาแฟ เป็นที่สาธารณะ
> > หากไม่มีเพลงของเค้า เราอาจขายกาแฟไม่ได้ซักแก้วก็ได้
> > และราคานี้ เป็นราคาเดียวกับ การปรับร้านอาหารทั่วไป
> > ที่ไม่เกิน 150 โต๊ะ และขึ้นอยู่กับจำนวนเพลงด้วย
> > ของหนู 2 เพลง ก็ 60,000 บาท
> > ก็ถามคนที่นำจับต่อว่า แล้วที่ขายและเปิดกันที่ ตะวันนา ไม่ไปจับล่ะ
> > เค้าบอกว่า เคยไปแล้ว โดนไล่ยิง เลยไม่กล้า
> > (ก็เลยมาจับกับคนที่ไม่มีทางต่อสู้ ได้แน่ๆ
> > เงินที่สะสมมาอย่างลำบาก ..ตั้งแต่ขายกาแฟมา
> > ก็ยังไม่เคยมีรายได้เท่านี้เลย นะคะ)


> > ก็ขอให้เค้าช่วยลดค่= าปรับให้
> > โดยทนายยืนกรานอยู่ที่ 30,000 บาท
> > หากต่ำกว่านี้ ก็ต้องทำจดหมายถึงเฮียก่อน
> > ซึ่งหมายถึงพรุ่งนี้
> > และก็ไม่รับประกันว่า จะมากหรือน้อยกว่านี้
> > เราแทบทรุดเลยค่ะ เมื่อได้ยินแบบนี้ เราไม่รู้จะไปพึ่งใคร
> > ไม่ว่าทางไหนก็ต้องจ่าย เท่านี้อยู่แล้ว
> > และก็ไม่มีความรู้ด้านกฏหมายมาต่อรองด้วย
> > ปรึกษาตำรวจในสน. เค้า ก็แนะนำว่า
> > ให้ยอมความดีกว่า ราคานี้ก็ถูกกว่าที่เคยเห็น
> > และถ้าต่อสู้คดี ส่วนใหญ่โดนปรับไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท
> > หนูก็เลยตัดสินใจยอมความไป
> > และหาเงินมาจ่ายเค้าให้ทัน ก่อนที่ร้อยเวรออกเวร
> > (ความรู้สึกของเรา ไม่เคยคิดว่า
> > ชีวิตตัวเอง ต้องตกเป็นผู้ต้องหา ไปไหนก็มีคนตามอยุ่ตลอด
> > ห้ามออกไปจากห้องสอบสวน เพราะเค้ากลัวว่าเราจะหนี
> > ไม่เว้นแม้แต่ห้องน้ำ ก็มีคนมาเฝ้า
> > ทำยังกับว่าเป็นโจร ทำความผิดร้ายแรงมาก
> > ขนาดโจรยังไม่โดนปรับมากเท่าเราเลยมั้ง )


> > เรามาถึงร้านก็คุยกันถึงเรื่องนี้ ก็ได้รู้ความจริงว่า
> > ผู้หญิงที่หนูเห็นที่สน. แท้จริง
> > คือคนที่เป็นนางนกต่อ ให้กับ rs
> > คือเค้าจะมานั่งที่ร้าน ตั้งแต่กลางวันนั่งอยู่ด้านใน
> > คุยกับน้องที่ขายกาแฟ ว่ามารอแฟน
> > มีเพลง rs มั้ย น้องเค้าบอกว่า ไม่มีหรอก
> > เพราะไม่ชอบ เค้าก็คะยั้นคะยอว่าลองหาดูดิ เผื่อมี
> > พี่ชอบฟังมากเลย น้องเค้าก็อยากจะบริการลูกค้า
> > ก็เลยลองเปลี่ยนแผ่นให้ ปรากฏว่ามี
> > ส่วนด้านนอกจะมีผู้ชายอยู่สองคน เป็นลููกค้าแปลกหน้า
> > นั่งอยู่เวลาประมาณเดียวกับผู้หญิง คอยถ่ายวีดีโอคลิปไว้
> > ในขณะที่เล่นเพลง rs จากนั้น
> > ผู้หญิงก็เดินไปถามคนแถวนั้นว่า ที่นี่อยู่พื้นที่สน,ใด
> > จากนั้นประมาณชัวโมงเศษ ก็มีกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามา
> > บอกว่าเราละเมิดลิขสิทธ์ พร้อมทั้งเอกสารแจ้งความ ที่สน.โชคชัย
> > และตำรวจที่มา เคยมากันที่ร้าน ในเดือนก่อน ช่วงเปิดร้านใหม่ๆ ค่ะ
> > อย่างนี้เรียกว่า ทำงานกันเป็นทีมมั้ยคะ??
> > ทุกวันนี้เดือดร้อนกันมาก
> > สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กๆ
> > เนื่องจากเค้าตระเวณจับกันอย่างหนัก สำหรับค่ายนี้
> > ไม่รู้เงินถึงบริษัทมั้ย


> > ปล. ขณะนี้ร้านเราไม่เปิดเพลงค่ายนี้แล้ว
> > และก็เปิดวิทยุอย่างเดียว ค่ะ
> > บริษัทใหญ่โต แต่รังแกคนไม่มีทางสู้


> > ช่วยกรุณาส่งต่อให้เพื่อน ๆ คุณด้วยนะคะ
> > เผื่อจะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนกลุ่มนี้ !!!!

29 พ.ค. 2551

รวมทิปแก้ปัญหาปริ้นเตอร์

งานพิมพ์มีรอยขีดเล็กๆ เป็นระยะๆ
หากคุณสั่งพิมพ์เอกสารออกมาแล้วพบว่ามีรอยขีดเส้นเล็กๆ อยู่ที่ขอบกระดาษด้านใดด้านหนึ่งเป็นระยะๆ ละก็ ให้สันนิษฐานก่อนว่าสาเหตุมาจาก Roller หลักที่อยู่บนเส้นทางเดินกระดาษมีคราบสกปรก ถ้าตรวจแล้วไม่พบให้ลองตรวจสอบที่ตลับโทนเนอร์ว่ามีการชำรุดหรือไม่? บ่อยครั้งที่พื้นผิวของดรัมในโทนเนอร์มีรอยเล็กๆ ทำให้เวลาพิมพ์เอกสารร่องรอยตำหนินั้นจึงติดลงบนกระดาษด้วย อย่าลืมตรวจสอบชนิดของกระดาษที่คุณใช้ด้วยเช่นกัน

ตัวหนังสือที่หายไปบนผืนกระดาษ
ปัญหานี้พบได้บ่อยๆ ครับ งานพิมพ์ที่มีตัวหนังสือหายไปเป็นช่วงๆ หรือฟอนต์ช่วงล่างขาดหายไปเป็นระยะๆ ข้อสันนิษฐานแรกให้มุ่งเป้าไปที่ผงหมึกในตลับอาจกำลังจะหมด หน้าสัมผัสของชุดลำเรียงกระดาษอาจมีคราบสกปรก รวมทั้งตลับโทนเนอร์เองอาจมีเศษผงหมึกเป็นคราบเลอะอยู่ อย่าลืมเช็กดูที่ Printer Properties ว่าคุณไม่ได้อยู่ในโหมดการพิมพ์แบบ Eco Mode ด้วย

สั่งพิมพ์ได้แต่ดันกลายเป็นเส้นๆ
เคยเห็นงานพิมพ์ที่มีแต่เส้นยาวๆ เป็นระยะๆ บนหน้ากระดาษบ้างไหมครับ ถ้าเคยละก็ ตลับหมึกของคุณใกล้หมดแล้ว นอกจากนี้สาเหตุอาจมาจากองค์ประกอบทางฮาร์ดแวร์ด้วย เช่น พื้นผิวของดรัมชำรุดหรือมีสิ่งสกปรก ชุด Fuser Film มีคราบหรือมีอะไรไปติดอยู่ รวมไปถึงมีสิ่งบดบังกระจกสะท้อนแสงในชุด Scanner ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการทำความสะอาดโดยด่วนครับ

มีจุดไข่ปลาที่ขอบกระดาษด้านบนและล่าง
งานพิมพ์โอเค ตัวหนังสือไม่หลุด กระดาษไม่เลอะเศษหมึก แต่บริเวณด้านบนและด้านล่างดันมีจุดไข่ปลาเกิดขึ้นซะนี่ สาเหตุของปัญหาที่ว่านี้มาจากองค์ประกอบของฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นตัว Transfer Roller ขัดข้องหรือชำรุด แผงวงจร Formatter PCA เกิดความบกพร่อง ซึ่งอาจรวมไปถึงแผงควบคุมการจ่ายไฟ DC มีปัญหาเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ตรงนี้คงต้องส่งศูนย์ซ่อมอย่างเดียวแล้วละครับ

มีเส้นทับตัวหนังสือตลอดทั้งแนว
ปัญหานี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอมารบ้าง นั่นคืองานพิมพ์มีเส้นยาวๆ ทับตัวหนังสือตลอดทั้งแนว และบางทีก็ทับตัวหนังสือทุกบรรทัดด้วย สาเหตุให้มุ่งเป้าไปที่ความสกปรกเป็นหลักครับ ตรวจสอบ Roller หลักที่เป็นตัวป้อนกระดาษและตัวที่อยู่ในเส้นทางเดินกระดาษว่ามีคราบสกปรกอยู่หรือไม
่? หรือมีรอยขีดข่วนบนพื้นผิวด้วยหรือไม่ และอย่าลืมสำรวจตลับโทนเนอร์ด้วยว่าถูกติดตั้งอย่างถูกต้องหรือลงล็อกดีแล้วหรือยัง?

งานพิมพ์สีซีดจางผิดปกติ
ถ้าบังเอิญคุณสั่งพิมพ์เอกสารออกมาแล้วเห็นว่าสีซีดจากผิดปกติละก็ อันดับแรกตรวจสอบดูว่าคุณตั้งค่าการพิมพ์ในโหมดประหยัดหรือไม่ บางทีอาจมีใครไปปรับเล่น อย่างที่สองตลับหมึกใกล้หมดแล้วหรือยัง ตรงนี้อาจจะเป็นสาเหตุหลักก็ได้ครับ และอย่างที่สามตรวจสอบดรัมว่ามีอะไรไปติดขัดหรือไม่ เพราะถ้าระบบไม่ดูดผงหมึกออกจากดรัมหรือดูดอกไม่ได้ ก็ทำให้งานพิมพ์ออกมามีสีซีดจางแน่ๆ

งานพิมพ์ออกมาเบลอสีผิดเพี้ยน
อาการแบบนี้มีหลายสาเหตุเช่นกัน ถ้าวิเคราะห์ง่ายๆ ก็ตั้งแต่กระดาษผิดประเภท หรือมีความชื้นที่กระดาษมากเกินไป ชุดฟีดกระดาษออกหลังพิมพ์กินเนื้อหมึกเข้าไปในลูกกลิ้ง ตรงนี้อุปกรณ์อาจจะเสื่อมสภาพก็ได้ครับ ส่วนที่ลึกกว่านี้ก็มีชุดควบคุมเลเซอร์ขัดข้อง รวมทั้งตัวขับเคลื่อนหรือมอเตอร์และฟันเฟืองต่างๆ ทำงานสะดุด ซึ่งจะส่งผลให้กระดาษที่กำลังฟีดเข้าไปอาจอยู่ผิดตำแหน่งหรือเลื่อนออกจากตัวป้อนกระ
ดาษได้เช่นกัน

งานพิมพ์ขาวสะอาดแต่ด้านหลังกระดาษสกปรก
อย่าเพิ่งรีบร้อนเอางานพิมพ์สำคัญของคุณส่งให้หัวหน้าหรือลูกค้าดู ถ้าคุณยังไม่ได้พลิกกระดาษกลับไปดูดด้านหลังเพราะมันอาจเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษผงหมึกก
็เป็นได้ ปัญหาแบบนี้มักไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นกันครับ ให้คุณทำความสะอาดตั้งแต่ถาดรองกระดาษ ตัวฟีดกระดาษเข้าออก หรือตามลูกกลิ้งต่างๆ ที่อาจมีผงหมึกติดเป็นคราบฝังตัวอยู่

งานพิมพ์มีสีเข้มเกินกว่าเหตุ
พอเจอปัญหาหมึกจางไปแล้ว คราวนี้ก็มาลองเจอกับงานพิมพ์ที่มีเส้นเข้มเกินไปดูบ้างครับ สาเหตุหลักๆ ของปัญหานี้มาจาก ส่วนที่สัมผัสกับกระดาษเกินไป ต้องเช็กดูที่ดรัมว่ามีอะไรขัดข้องอยู่หรือไม่ รวมทั้งองค์ประกอบสำคัญอย่างแผงควบคุม Laser Scanner ที่อาจมีปัญหาในระหว่างสั่งพิมพ์ ซึ่งถ้ามีการอ่านค่าผิดเพี้ยนก็อาจมีปริมาณผงหมึกที่มากเกินความจำเป็นถูกส่งออกไปยั
งแผ่นกระดาษ

ตัวหนังสือบิดๆ เบี้ยวๆ
งานพิมพ์ที่มีตัวหนังสือบิดๆ เบี้ยวๆ หรือแม้แต่กระดาษม้วนงอตอนเครื่องฟีดกระดาษออกมา ให้ตรวจสอบดูว่าคุณป้อนกระดาษถูกชนิดที่เครื่องพิมพ์รองรับหรือไม่? โดยเฉพาะห้ามนำกระดาษโฟโต้ หรือกระดาษมันวาวต่างๆ ที่ใช้กับเครื่องอิงค์เจ็ตมาใส่โดยเด็ดขาด นอกจากนี้ถ้าอากาศรอบหรือในห้องที่วางเครื่องพิมพ์มีความชื้นหรือร้อนจนเกินไป ก็อาจส่งผลให้ระบบพิมพ์ต่างๆ ทำงานผิดเพี้ยนได้เช่นกัน ให้ลองไล่เช็กทีละจุดดูนะครับ

ภาพบนหน้ากระดาษเป็นรอยเหลื่อมกัน
ปัญหานี้นอกจากภาพก็อาจรวมไปถึงตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนงานพิมพ์ด้วยนะครับ อย่างแรกเลยก็คือ หากตอนวางกระดาษมีการบีบอัดหรือเฉียงไม่ตรงช่อง ตอนที่ระบบฟีดกระดาษเข้ามาพิมพ์นั้น แน่นอนว่ากระดาษย่อมอยู่ในตำแหน่งที่เหลื่อมหรือไม่ตรงร่องด้วย ทำให้ภาพหรือตัวหนังสือเหลื่อมทับกันหรือเส้นต่างๆ ที่ปรากฏก็จะไม่ตรงด้วย โดยเฉพาะตารางจะเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น เวลาป้อนกระดาษเข้าให้ตรวจสอบด้วย

ช่องว่างที่หายไปบนหน้ากระดาษ
บางครั้งคุณอาจเจอกับช่องว่างเล็กๆ ที่หายไปบนภาพ ตัวหนังสือ หรือเส้นต่างๆ ซึ่งบริเวณที่หายไปจะไม่มีหมึกติดอยู่เลย การตรวจสอบแรกให้ดูว่ากระดาษแผ่นนั้นมีความเรียบเสมอกันหรือไม่ หรือเป็นกระดาษพิเศษที่เครื่องพิมพ์ไม่รู้จักหรือเปล่า? ลองสั่งพิมพ์ใหม่ด้วยกระดาษแผ่นใหม่ ถ้ายังไม่หายละก็ ชุด Transfer Roller อาจเกิดขัดข้องหรือมีปัญหาในระหว่างที่สั่งพิมพ์ ตรงนี้อาจจะร้องเรียกช่างมาดูให้ครับ

สั่งพิมพ์เอกสารแต่ได้หน้ากระดาษเปล่า
หากคุณสั่งพิมพ์เอกสารแต่ได้หน้ากระดาษเปล่าๆ ออกมา อันดับแรกให้ตรวจสอบดูว่าเครื่องพิมพ์มีการฟีดกระดาษออกมาหลายแผ่นหรือไม่ เพราะหากกระดาษติดกันออกมาเยอะๆ แผ่นที่ติดตัวหนังสืออาจจะไม่ใช่แผ่นกระดาษเปล่าแรกที่หลุดออกมา นอกจากนี้ถ้าคุณซื้อเครื่องใหม่ อย่าลืมดึงแผ่นพลาสติกที่ปิดโทนเนอร์ออกด้วยไม่อย่างนั้นเวลาพิมพ์ระบบจะดูดหมึกออกม
าจากดรัมไม่ได้แน่ แต่ถ้าอาการรุนแรงกว่านั้นก็เป็นไปได้ว่าแผงควบคุมการจ่ายหมึกอาจเสียหาย

งานพิมพ์เป็นสีดำทั้งแผ่นอะไรเป็นสาเหตุ
อาการแบบนี้น้อยนักที่จะเกิดขึ้นยิ่งเป็นเครื่องใหม่ด้วยแล้วเปอร์เซ็นต์ต่ำมาก แต่ถ้ามันเกิดขั้นมาจริงๆ ก็แสดงว่าแผงควบคุมการปล่อยหมึกขัดข้อง จึงไม่สามารถคอนโทรลหมึกได้อย่างถูกต้อง ซึ่งตรงนี้จะไปเกี่ยวข้องกับส่วนควบคุม Laser Scanner ด้วย อย่าลืมดึงตลับโทนเนอร์ออกมาดูความผิดปกติ ซึ่งตัวตลับอาจเสียหายก็เป็นไปได้เช่นกัน

มีเส้นเหมือนบาร์โค้ดทับตัวหนังสือ
เป็นอีกหนึ่งอาการที่เจอกันได้บ่อยๆ สั่งพิมพ์เอกสารแต่ดันมีเส้นเหมือนแถบบาร์โค้ดยาวเป็นแนวจากขอบบนถึงขอบล่างติดมาด้ว
ย ตรงนี้ถ้าเครื่องพิมพ์ของคุณใช้มานานแต่ยังไม่เคยเปลี่ยนดรัมหรือโทนเนอร์เลย แนะนำให้เปลี่ยนได้แล้วเพราะเป็นต้นเหตุหลักของอาการที่ว่านี้เลยเชียว นอกจากนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องของเศษผงหมึกที่ไปติดตามส่วนสำคัญเช่น เลนส์สแกนเลเซอร์ ลูกกลิ้งที่ฟีดกระดาษก่อนพิมพ์

ตัวหนังสือเล็กผิดปกติ
เครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่จะมียูทิลิตีสำหรับบริหารจัดการระบบพิมพ์มาให้ และมักจะดูแลเรื่องต่างๆ ของการพิมพ์ให้เกือบหมด ถ้าคุณสั่งพิมพ์แต่ฟอนต์เกิดตัวเล็กผิดปกติทั้งๆ ที่ไม่ได้ปรับขนาดในเวิร์ดเลย ให้ลองตรวจสอบดูที่ Print Preference หรือตัวยูทิลิตีดูว่ามีการปรับโหมดพิเศษอะไรหรือไม่ หรือมีการย่อฟอนต์แบบอัตโนมัติเองหรือไม่? ให้ปรับเป็นค่าที่สามารถพิมพ์ได้ตามปกติ

สั่งพิมพ์แต่ตัวหนังสือขาดหายแสดงไม่ครบ
ปัญหานี้เกิดขึ้นได้ทั้งที่เป็นตัวหนังสือเพรียวๆ และการสั่งพิมพ์ภาพครับ สาเหตุก็มาจากการตั้งค่าการพิมพ์ไม่ถูกต้องนั่นเอง เช่น มีฟอนต์บางตัว หรือข้องความในบรรทัดบนกับบรรทัดสุดท้ายตกขอบไป แบบนี้หมายความว่ามีการตั้งค่าไม่ตรงนั่นเอง การแก้ปัญหาสามารถทำได้จากตัวโปรแกรมที่คุณใช้งานอยู่ขณะนั้น เช่น Acrobat, Word, Excel และโปรแกรมอื่นๆ เมื่อตั้งค่าการพิมพ์และตั้งค่าหน้ากระดาษแล้วให้ลองพิมพ์ทดสอบดู

เอกสารที่สั่งพิมพ์ชัดเจนแต่แบ็กกราวนด์เป็นสีเทา
โดยปกติแล้ว งานพิมพ์เอกสารที่สมบูรณ์นอกจากตัวหนังสือหรือเส้นตารางๆ ต่างๆ จะชัดเจนแล้ว แบ็ก
กราวนด์ของกระดาษก็ไม่ควรเป็นสีอื่นใด นอกเสียจากสีขาวของเนื้อกระดาษ แต่ถ้ามันกลายเป็นสีออกเทาๆ เหมือนโหมดเกรย์สเกลแล้วละก็ ตรวจสอบกระดาษก่อนเลยว่าถูกประเภทหรือเปล่า? และลองเข้าไปดูในยูทิลิตีการพิมพ์ว่ามีการเซตแบ็กกราวนด์ให้เป็นสีใดไว้หรือไม่? ถ้าทุกอย่างที่บอกไปอยู่ดีเป็นปกติด ให้สันนิษฐานว่าตลับโทนเนอร์หรือดรัมอาจจะชำรุดเสียหายได้

ภาพพิมพ์หรือฟอนต์มีจุดว่างๆ อยู่ข้างใน
งานพิมพ์ภาพถ่ายด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์ทั้งสีและขาวดำจะออกมาสวยสุดยอดหรือน่าประทั
บใจได้นั้น นอกจากภาพต้นแบบต้องดีแล้ว ระบบการทำงานของเครื่องยังต้องไม่ขัดข้องหรือทำงานเป็นปกติด้วย สำหรับอาการที่เกิดขึ้นบนภาพและฟอนต์ในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่มาจากการตั้งค่าการพิมพ์ไม่ตรงกับกระดาษที่ใช้ หรือทางกลับกันนั้นกระดาษที่ใช้ก็ไม่ตรงกับค่าการพิมพ์ที่ได้เลือกไว้นั่นเอง

งานพิมพ์เอียงโย้เย้ไปมาไม่ตรง
ตัวหนังสือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือภาพที่สั่งพิมพ์โย้เย้ไม่ตรงหรือพอดีกับที่เราตั้งค่าหน้ากระดาษเอาไว้ละก็ การวินิจฉัยอาการที่เกิดขึ้นให้มุ่งเป้าที่ถาดใส่กระดาษก่อนเลยครับ ถ้าคุณวางปึกกระดาษแน่นหรือไม่ตรงรางป้อนกระดาษ เวลาที่ลูกกลิ้งฟีดกระดาษเข้าไปมันย่อมเข้าไปไม่ตรงด้วย ทำให้เสียเวลาสั่งพิมพ์ตำแหน่งบนกระดาษจึงไม่ถูกต้อง เพราะกระดาษมันไม่ตรงนั่นเอง

ใส่กระดาษค้างไว้ในถาดนานๆ ไม่ดี
เครื่องพิมพ์ที่ไม่ได้พิมพ์บ่อยๆ อาจมีปัญหาหลายอย่างเวลากลับมาใช้งานอีกครั้ง หนึ่งในนั้นก็คือคุณภาพของกระดาษที่อาจเสียไป เช่น ถ้าคุณใส่กระดาษไว้ในถาดเป็นเวลานานๆ แถมยังใส่เต็มความจุดด้วย การปล่อยเอาไว้โดยไม่มีการพิมพ์เลย กระดาษพวกนี้จะติดกันด้วยความชื้นในห้อง หรือหากเครื่องวางอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงกระดาษก็จะกรอบเอาง่ายๆ เวลาพิมพ์ออกมาคุณภาพของงานจึงไม่ได้อย่างที่ต้องการ

เส้นขาวในแนวตั้งเกิดขึ้นได้อย่างไร
เคยเจอกับงานพิมพ์ที่มีเส้นขาวเล็กพากเป็นแนวยาวของหน้ากระดาษบ้างไหมครับ อันที่จริงไม่ใช่เป็นหมึกสีขาว แต่เป็นช่องว่างเล็กๆ ที่หมึกพิมพ์ลงไปไม่ได้นั่นเอง และอาการที่ว่านี้มีสาเหตุมากกว่าหนึ่งอย่างด้วย ตั้งแต่โทนเนอร์และดรัมมีคราบสกปรก กระดาษผิดประเภท เช่น กระดาษมันที่ใช้กับเครื่องเลเซอร์ไม่ได้ หากพิมพ์ออกมาก็อาจให้ผลลัพธ์แบบนี้ได้ นอกจากนี้ภายในอาจมีอะไรไปบดบังกระจกสะท้อนแสดงเลเซอร์ในลักษณะแนวยาวได้ ทำให้อาการออกมาในลักษณะนี้

รูปแบบของ JPG หรือ TIF

ก่อนอื่นคงต้องอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับฟอร์แมตทั้งสองให้
ทราบกันก่อน

TIF (TIFF) เป็นฟอร์แมตของการจัดเก็บภาพโดยไม่มีการสูญเสีย
(LossLess) ข้อมูลของต้นฉบับเลย (เช่น ภาพที่ได้มาจากกล้องดิจิตอล
หรือสแกนเนอร์) ซึ่งปกติการจัดเก็บภาพด้วยฟอร์แมตนี้จะมีการใช้ข้อมูล
ขนาด 8 บิตต่อพิกเซล ส่งผลให้ไฟล์ที่ได้มีขนาดค่อนข้างใหญ่

ส่วน JPG (JPEG) เป็นฟอร์แมตของการจัดเก็บภาพในลักษณะที่มีการ
สูญเสียของข้อมูลบางส่วน เพื่อลดขนาดไฟล์ให้เล็กลง และถึงแม้จะเป็นการ
จัดเก็บไฟล์ภาพที่ระดับคุณภาพสูงสุดของฟอร์แมต JPEG มันก็ยังไม่เก็บ
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในแต่ละพิกเซล หลักการทำงานของฟอร์แมตนี้ก็คือ
มันจะมองหาพิกเซลที่เหมือนกัน เมื่อหาพบก็จะใช้วิธีอ้างกลับไปยังพิกเซล
แรก ทำให้สามารถประหยัดบิตข้อมูลที่ต้องจัดเก็บได้

อย่างไรก็ดี ฟอร์แมต JPEG แม้จะไม่ได้ให้ภาพที่สมบูรณ์ แต่มันก็ให้ผล
ลัพธ์ที่ใกล้เคียงมาก จนกว่าคุณจะเพิ่มอัตราการบีบอัดข้อมูล คุณก็จะเริ่ม
เห็นคุณภาพที่แตกต่าง ทดลองง่ายๆ ลองเปิดไฟล์ภาพ TIFF แล้วจัดเก็บ
ด้วยฟอร์แมต JPEG คุณภาพระดับสูงสุด, กลาง และต่ำดูก็แล้วกัน

ในกรณีที่คุณต้องการจัดเก็บภาพถ่ายดิจิตอลเป็น TIFF (เลือกจัดเก็บเป็น
RAW บนกล้องดิจิตอล) แน่นอนว่า ภาพที่ได้จะค่อนข้างสมบูรณ์มาก แต่ไฟล์
ภาพที่ได้จะใหญ่มาก ดังนั้นหน่วยความจำที่กล้องต้องการใช้จึงมากไปด้วย
จำนวนภาพได้น้อยกว่าเก็บเป็น JPEG แถมระยะเวลาที่ใช้ในการจัดเก็บภาพ
ของกล้องก็จะนานกว่าด้วย เพราะฉะนั้นประเด็นของการเลือกฟอร์แมตทั้ง
สองนี้จึงขึ้นอยู่กับว่า คุณต้องการปริมาณ หรือคุณภาพ

10 วิธี ในการเลือกซื้อจอ LCD

ถ้าคุณมีงบประมาณเหลือเฟือก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับผู้ที่ต้องการ
ให้ทุกบาททุกสตางค์คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากรสนิยมส่วนตัวแล้ว 10 วิธี
พื้นฐานนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังกับจอ LCD ซื้อมาเลย

1. ข้อดีและข้อเสียของจอภาพ LCD จอภาพ LCD นั้นไม่ได้มีคุณสมบัติที่
สมบูรณ์แบบในตัวเอง และในบางเรื่องก็ด้อยกว่าจอภาพแบบ CRT ด้วยซ้ำ
ดังนั้นคุณต้องทำความเข้าใจและถามตัวเองก่อนว่าต้องการข้อดีและยอมรับ
กับข้อจำกัดของจอภาพได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดรำคาญใจในภายหลัง โดยข้อดี
ต่างๆ ของจอภาพ LCD ก็คือ
- มีขนาดเล็กและบาง ทำให้ประหยัดพื้นที่ใช้งานมากกว่า
- กินไฟน้อยกว่า
- สบายตากว่าเพราะภาพไม่มีการ Flicker
- (บางรุ่น) หมุนแสดงผลแนวตั้งได้
- น้ำหนักเบาและสามารถแขวนติดฝาผนังได้
- รูปภาพไม่มีการเสียรูปทรง
- ใช้งานพื้นที่เต็มขนาดจอภาพ
- ไม่มีคลื่นรบกวนจากอุปกรณ์รอบข้างโดยเฉพาะลำโพง
ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกันคือ
- มีมุมองที่จำกัดทั้งในแนวตั้งและแนวนอน
- ความคมชัดจะเปลี่ยนไปตามมุมมอง
- (ในขนาดที่เท่าๆ กับจอ CRT) จะมีราคาสูงกว่า
- (ส่วนใหญ่) มีเงาดำเมื่อภาพเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
- ความละเอียดที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานมีเพียงค่าเดียว

2. ขนาดและความละเอียด จอภาพ LCD แต่ละขนาดจะถูกออกแบบมา โดย
ให้มีค่าความละเอียดที่เหมาะสมและแสดงภาพได้อย่างชัดเจนเพียงแค่ค่า
เดียวเท่านั้น โดยจะสังเกตได้ว่าผู้ผลิตจะอ้างด้วยข้อความว่า Native
Resolution (จอภาพ CRT ส่วนใหญ่จะระบุด้วยคำว่า ความละเอียดสูง
สุด) เช่นจอภาพขนาด 17 นิ้วที่ส่วนใหญ่จะมีความละเอียด 1,280x1,024
พิกเซลหรือขนาด 15 นิ้วที่มีความละเอียด 1,024x768 พิกเซล ดังนั้นคุณจึง
ควรตรวจสอบความละเอียดที่จอภาพระบุด้วยว่าเพียงพอต่อความต้องการ
หรือไม่ เพราะคุณจะไม่สามารถใช้ความละเอียดอื่นได้ หากต้องการภาพที่มี
ความชัดเจน

3. ความสว่าง จอภาพที่ผู้ผลิตอ้างว่ามีความสว่างสูงจะเป็นหลักประกันได้ดี
กว่าว่า คุณสามารถนำจอภาพ LCD ไปใช้งานได้ในทุกๆ ที่โดยไม่มีข้อจำกัด
ในเรื่องของสภาพแสงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่โล่งที่มีความสว่างมากๆ อย่าง
เช่นบนสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งจอภาพที่มีความสว่าง 300Cd/m2 (แคนเดลาร์ต่อ
ตารางเมตรหรือ nits) จะแสดงภาพได้ชัดเจนกว่าและทำให้ไม่ต้องเพ่งมอง
เหมือนกับจอภาพที่มีความสว่างเพียง 175Cd/m2 แต่สำหรับการใช้งาน
ภายในบ้าน ที่ทำงานความสว่างสูงๆ นี้ก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไป

4. จุดเสีย (Dead Pixels) ข้อบกพร่องของจอภาพที่พบได้เป็นประจำก็คือ
การมีผลึกเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างจุดสีมีสถานะเป็น ON หรือ OFF แบบถาวร
แทนที่จะมีสถานะที่เปลี่ยนไปตามสัญญาณภาพที่ส่งมาแสดงที่หน้าจอ ซึ่งจุด
เสียนี้จะเห็นเป็นจุดสีขาวสว่างๆ (หรืออาจเป็นจุดสีดำก็ได้) ดังนั้นก่อนที่คุณจะ
ซื้อให้สอบถามถึงเงื่อนไขการรับประกันและการเปลี่ยนจอภาพใหม่ให้แทน
ในกรณีที่จอภาพนั้นๆ มีจุดเสียเกิดขึ้น และถ้าเป็นไปได้ก็ควรตรวจสอบดูก่อน
ซึ่งวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดก็คือ การเปิดภาพหรือโปรแกรมใดๆ ก็ได้ที่ทำให้จอ
ภาพแสดงสีขาวได้ทั่วทั้งจอภาพแล้วจากนั้นให้เปลี่ยนจอเปลี่ยนไปแสดงสีดำ
แทนซึ่งถ้าจอภาพมีจุดเสียอยู่คุณก็จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

5. อัตราคอนทราสต์และมุมมอง ถ้าคุณเลือกจอภาพ LCD ก็ให้ยอมรับกับ
ข้อด้อยในเรื่องมุมมองก่อนแต่ถ้าทำใจลำบากก็ให้คุณตรวจสอบจากหน้า
เว็บไซต์ของผู้ผลิตดูก่อนว่า จอภาพนั้นมีมุมมองที่กว้างมากพอทั้งในแนวตั้ง
และแนวนอนหรืออย่างน้อยที่สุด 120 องศาและถ้าเป็นไปได้ก่อนที่คุณจะซื้อ
ให้ทดสอบด้วยการมองด้วยตาเปล่าในมุมต่างๆ แล้วแต่สถานที่จะอำนวย จาก
นั้นให้สังเกตดูว่าภาพที่เห็นนั้นยังคงมีความชัดเจนอยู่หรืออัตราคอนทราสต์
ของภาพยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้จริงๆ

6. ความเร็วในการตอบสนอง คุณสมบัติเฉพาะของจอภาพ LCD ข้อนี้หมาย
ถึงเวลาที่จุดพิกเซลใช้ในการเปลี่ยนสถานะ (ON/OFF) หรือถ้าให้เข้าใจง่าย
ขึ้นก็คือเวลาที่จุดพิกเซลหนึ่งๆ ใช้ในการเปลี่ยนจากการแสดงสีดำเป็นสีขาว
ซึ่งหลายๆ คนน้ำตาตกมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ซื้อจอภาพ LCD มาเล่น
เกมส์สามมิติหรือการแสดงผลในลักษณะอื่นที่ภาพมีการเคลื่อนที่อย่าง
รวดเร็วโดยในจอภาพที่มีความเร็วในการตอบสนองที่ไม่เร็วพอนั้น ภาพที่ได้
จะมีลักษณะที่เป็นเงาดำหรือที่เรียกว่า Ghosting เกิดขึ้นตามมาพร้อมกับ
ภาพด้วย ดังนั้นคุณควรเลือกจอภาพที่มีความเร็วสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้คือ
อย่างน้อย 16 มิลลิวินาทีหากคุณต้องการนำมาใช้งานในลักษณะดังกล่าว

7. การปรับ หมุนและแสดงผลในแนวตั้ง ความสามารถพิเศษของจอภาพ
LCD ที่หาไม่ได้จากจอภาพแบบ CRT ก็คือ การหมุนแสดงผลในแนวตั้งซึ่ง
การแสดงผลลักษณะนี้จะทำให้คุณสามารถแสดงหน้าเอกสารต่างๆ หรือหน้า
เว็บไซต์ทั้งหน้าได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องคลิกปุ่มเลื่อนขึ้นลงแต่อย่างใด แต่
อย่างไรก็ดีคุณสมบัตินี้จะมีเฉพาะจอภาพบางรุ่นที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
เท่านั้น นอกจากนั้นคุณควรตรวจสอบก่อนด้วยว่า หลังจากที่หมุนแล้วจอ
ภาพมีระบบล็อคที่แน่นหนา ไม่แกว่งไปแกว่งมาและที่สำคัญคุณยังปรับ
ระยะก้มเงยลักษณะต่างๆ ได้โดยที่ไม่มีการติดขัดใดๆ

8. ระบบการควบคุม แม้ว่าจอภาพจะถูกตั้งค่ามาอย่างเหมาะสมแล้ว แต่ก็
บ่อยครั้งที่คุณจำเป็นต้องปรับแต่งเพิ่มเติมดังนั้น นอกจากระบบอัตโนมัติ
สำหรับการใช้งานในลักษณะต่างๆ ที่มีให้แล้ว จอภาพควรมีระบบควบคุม
ที่ใช้งานได้สะดวกด้วยหรืออย่างน้อยปุ่มปรับค่าต่างๆ ก็ควรอยู่ตำแหน่งที่
เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่าย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะรู้สึกหงุดหงิดมากที
เดียวเมื่อต้องการปรับค่าแต่ละครั้งแม้ว่าจะต้องการเพียงแค่เพิ่มความสว่าง
ก็ตาม

9. พอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อ การเชื่อมต่อและแสดงผลโดยใช้สัญญาณภาพ
ในระบบดิจิตอลนั้นจะให้ภาพที่มีคุณภาพสูงกว่าอนาล็อกทั่วไป ดังนั้นเพื่อให้
แน่ใจว่าจอภาพ LCD ที่คุณเลือกทำได้ให้ตรวจสอบด้วยว่านอกจากพอร์ต
D-Sub แล้วจอภาพยังมีพอร์ต DVI ให้มาด้วย แต่อย่างไร ก็ดีหากการ์ด
แสดงผลที่คุณใช้ไม่มีพอร์ต DVI-I ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะเลือกใช้จอ
ภาพ LCD ที่มีพอร์ตสำหรับสัญญาณดิจิตอลเช่นนี้

10. การรับประกันจากผู้ขาย
เนื่องจากจอภาพ LCD นั้นไม่แข็งแรงเหมือนกับจอภาพ CRT ดังนั้นคุณ
ควรพิจารณาด้วยว่าจอภาพมีอายุการรับประกันที่นานพอ รวมถึงการส่งซ่อม
ในกรณีฉุกเฉินและตรวจสอบการเปลี่ยนอะไหล่สำคัญๆ อย่างเช่นหลอดไฟ
Backlight สำหรับการใช้งานในระยะยาวด้วย

5 วิธี ป้องกันภาพหรือคลิป (ฉาว) หลุด

มีวิธีการดังต่อไปนี้
1. ไม่นำภาพหรือคลิป (ที่ไม่เหมาะสม) ของตัวเองไปโพสในเว็บสาธารณะ
อาทิเช่น Hi5 เพราะภาพที่แสดงบนหน้าจอทุกภาพเราสามารถคลิ๊กขวา
แล้วเลือก Save Picture As เก็บไว้ดูเล่น และถึงแม้มีเว็บไซต์บางแห่ง
บอกกับคุณว่ามีระบบป้องกันการก๊อบปี้ภาพเช่นห้ามคลิ๊กขวา แต่ก็อย่างที่
เราทราบว่าเมื่อมีคนป้องกัน ก็ต้องมีคนแก้ เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรม
สำหรับจับภาพที่แสดงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่าง SnagIt ที่สามารถ
เก็บทุกรายละเอียดทั้งแบบภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงว่านอก
จากภาพบนหน้าจอที่เห็นแล้ว หากคุณแชตกับเพื่อนแล้วเปิดกล้อง
โปรแกรมนี้ก็สามารถบันทึกภาพที่ปรากฏผ่านกล้องเว็บแคม แล้วเก็บไฟล์
คลิปได้ด้วยเช่นกัน

2. ก่อนนำมือถือไปซ่อม แนะนำให้ถอดเมมโมรีการ์ดที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล
ออกมา ส่วนข้อมูลที่บันทึกอยู่ในตัวเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ควรฮาร์ดรีเซ็ต
(คล้ายๆ กับการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์) ซึ่งมือถือแต่ละรุ่นจะมีวิธีการที่แตกต่าง
กันไป แนะนำให้อ่านวิธีจากคู่มือที่แถมมากับตัวเครื่อง

3. กล้องดิจิตอลซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการถ่ายภาพที่แสนสะดวก ทุกครั้งที่
คุณกดปุ่มเพื่อถ่ายภาพ ไฟล์จะถูกเขียนลงบนเมมโมรีการ์ด ดังนั้นหากกล้อง
ของคุณเสีย ก่อนส่งไปซ่อมคุณก็ควรถอดเอาเมมโมรีการ์ดออกมาก่อนที่จะ
ส่งไปซ่อมที่ร้านหรือศูนย์ซ่อม เพราะถึงยังไงที่ศูนย์ซ่อมเขาก็ต้องมีการ์ด
สำรองเพื่อใช้ในการซ่อมอยู่แล้ว

4. ใช้ซอฟต์แวร์สำหรับการลบไฟล์แบบถาวร อาทิเช่น ฟอร์แมตตัวเก็บข้อมูล

5. ไม่ถ่ายภาพหรือคลิป

เปิดขุมพลัง HDD SATA ใน Vista

ฮาร์ดดิสก์ที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ หรือ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้ไม่ถึงปี จะมีโอกาสอย่างมากที่จะเป็น
แบบ SATA (Serial ATA) ซึ่งโดยพื้นฐานการทำงานแล้ว ฮาร์ด
ดิสก์พวกนี้จะเร็วกว่าแบบเก่าที่เป็น PATA (Parallel ATA) หรือ
IDE ที่ใช้สายสัญญาณหลายเส้นหรือที่เรียกว่า สายแพ (Ribbon
Cable) ความจริงระบบปฏิบัติการ Windows Vista จะสนับสนุน
ไดรฟ์ SATA ด้วย เพียงแต่ไม่ได้เปิด (Enable) การทำงานไว้ที่
ดีฟอลต์ (Default) เมื่อเป็นเช่นนี้ ฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ในเครื่อง
คอมพิวเตอร์ของคุณ จึงอาจจะไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพอย่างเต็มที่

สำหรับวิธีการเปิดความสามารถในการสนับสนุนฮาร์ดดิสก์แบบ
SATA ของ Windows Vista มีวิธีการดังต่อไปนี้
1. คลิ๊กขวาบนไอคอน Computer เลือก Manage
2. ดับเบิลคลิ๊กไอคอน Device Manager
3. ดับเบิลคลิ๊ก Disk Drives
4. คลิ๊กขวาบนไอคอนของไดรฟ์ที่ใช้งาน
5. เลือกคำสั่ง Properties
6. คลิ๊กแท็บ Policies
7. คลิ๊กเลือกเช็กบ็อกซ์หน้าหัวข้อ Enable Advanced
Performance
8. คลิ๊กปุ่ม Ok

เพียงแค่นี้ ฮาร์ดดิสก์แบบ SATA ที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
ของคุณ ก็จะมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น

10 ข้อมูลที่ควรทราบก่อนซื้อ iPhone

ถึงแม้ว่า iPhone ของ Apple จะเป็นของเล่นใหม่ที่ใครๆ ก็อยากได้
อย่างไรก็ตามของทุกอย่างย่อมมีข้อจำกัดของมันเอง

ถ้าคุณต้องการ iPhone ลองดูข้อจำกัด 10 ข้อ ก่อนพิจารณาซื้อหามาใช้
1. ใช่ว่าอุปกรณ์ต่อพ่วงและหูฟังของ iPod ทุกชนิดจะใช้ได้กับ iPhone
ถ้าอุปกรณ์นั้นๆ ไม่ได้อ้างว่าสามารถทำงานได้กับ iPhone ซึ่งคุณจะพบ
ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อคุณเสียบอุปกรณ์เข้าเครื่อง บางชิ้นจะทำงานได้เมื่ออยู่ใน
โหมดAirplane (สำหรับใช้บนเครื่องบิน) บางชิ้นใช้งานไม่ได้เลย

2. ในอเมริกา มีการขาย iPhone คู่กับบริการของ AT&T แต่ผู้ซื้อจะต้อง
ใช้บริการของ AT&T เป็นเวลาติดต่อกันถึง 2 ปี และนั่นอาจเป็นการบังคับ
ให้ใช้บริการรวมถึงใช้ซื้ออุปกรณ์เสริมไปในตัว

3. ไม่สามารถบันทึกวิดีโอหรือ ส่ง MMS กล้องของ iPhone มีมาพร้อม
ความละเอียด 2 เมกะพิกเซลซึ่งทำงานได้ดีถ้าแสงเพียงพอ แต่ไม่สามารถ
บันทึกวิดีโอได้ อย่างไรก็ตามนับเป็นเรื่องแปลกเพราะ iPhone เองกลับ
มีความสามารถในการเล่นไฟล์วิดีโอ แต่ไม่สามารถสร้างภาพยนตร์จาก
วิดีโอได้ และเป็นผลให้ไม่สามารถส่งข้อความภาพเคลื่อนไหว หรือ MMS
ได้

4. ไม่มีโปรแกรมส่งข้อความทันใจ หรือ Instant Messaging

5. ไม่เหมาะสำหรับใช้งานธุรกิจ ผู้ที่ต้องการความสามารถอย่าง
BlackBerry ไม่สามารถหาได้ใน iPod นอกจากนี้การใช้คีบอร์ดก็ยาก
เอาการ ไม่มีบริการพุชเมล์ยกเว้นแต่ของ Yahoo Mail ไม่สนับสนุนการ
ใช้งานร่วมกับ Exchange แต่สามารถใช้บริการ IMAP ได้

6. ไม่สามารถทดแทน iPod ได้ 100 เปอร์เซนต์ เนื่องจากไม่มีเกม มีความ
จุเพียง 4GB หรือ 8GB ซึ่งพอๆ กับ iPod nano จึงไม่สามารถเทียบเท่า
กับ iPod Video ที่มีความจุมากกว่า และสามารถชมวิดีโอได้

7. ไม่ใช่สมาร์ทโฟน ถึงแม้ว่า Apple ต้องการให้ผู้ใช้คิดว่าความสามารถใน
การพัฒนาแอพพลิเคชันแบบเปิดโดยใช้เว็บแอพพลิเคชันจะสามารถใช้งาน
แอพพลิเคชันทั่วไปได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช้ คุณสามารถทำงานบางอย่างได้
ด้วยเว็บแอพและ Safari ซึ่งก็ต้องมีคนพัฒนาแอพพลิเคชันที่ออกแบบมา
เฉพาะของ iPhone เท่านั้น

8. การเชื่อมต่อข้อมูลช้า ถึงแม้ว่า iPhone จะสนับสนุนทั้ง EDGE และ
Wi-Fi แต่ส่วนใหญ่จะใช้ EDGE มากกว่า เนื่องจาก ถ้าคุณอยู่ในรัศมี
ของ Wi-Fi เพื่อให้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไปไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่บ้าน แต่
เมื่อคุณเดินหรือขับรถ คุณจะเข้าสู่บริการ EDGE ซึ่งทำงานได้ช้ากว่า

9. ไม่มี GPS จะเป็นการดีถ้า iPhone สามารถใช้แอพพลิเคชัน Google
Maps ได้ แต่ iPhone กลับไม่มี GPS

10. ไม่สามารถเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าของคุณเองได้ แต่คงจะเพิ่มความ
สามารถนี้ในไม่ช้า

คุณจะเห็นว่า ถึงแม้ว่า iPhone จะเป็นของใหม่ที่ใครก็ปรารถนาแต่ก็มีข้อ
จำกัดที่ควรพิจารณาก่อนซื้อหามาใช้ และถ้าข้อจำกัดเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณ
ต้องการก็อาจจะรอเวอร์ชั่นต่อไปที่สมบูรณ์กว่า

27 พ.ค. 2551

คัมภีร์ใช้ 'รถ' อย่างประหยัด 'น้ำมัน'

รวบรวมวิธีการ 15 วิธี ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ทุกวันระหว่างการขับขี่ เพื่อช่วยประหยัด 'น้ำมัน' ซึ่งนับวันจะมีราคาแพงขึ้นจนฉุดไม่อยู่ เช่น ไม่ควร 'เบิ้ลเครื่องยนต์' เพราะการกระทำดังกล่าว 10 ครั้ง ทำให้สูญเสียน้ำมันถึง 50 ซีซี ซึ่งทำให้รถวิ่งไปได้ตั้ง 350 เมตร

1.ไม่ควรเร่งเครื่องยนต์ก่อนการออกรถ เพราะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น

2.ปรับลมยางให้เหมาะสมตามมาตรฐานผู้ผลิต หากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุกๆ 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะสิ้นเปลืองน้ำมันร้อยละ 2

3.ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถนานๆ จอดรถติดเครื่องทิ้งไว้ 10 นาที เสียน้ำมันฟรี 200 ซีซี หรือเทียบเท่าระยะทาง 400 เมตร

4.ขับรถด้วยความเร็วคงที่ ความเร็วที่เหมาะสมคือ 80 กม./ชม.

5.ใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังเครื่องยนต์ตก ไม่เกิดการเปลืองน้ำมัน

6.ไม่เร่งเครื่องตอนเกียร์ว่าง หรือที่เรียกว่า เบิ้ลเครื่องยนต์ เพราะการกระทำดังกล่าว 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันถึง 50 ซีซี ช่วยให้รถวิ่งไปได้ตั้ง 350 เมตร

7.ตรวจเช็คเครื่องยนต์สม่ำเสมอตามกำหนด เช่น เปลี่ยนไส้กรองน้ำมัน น้ำมันหล่อลื่น ตามที่ผู้ผลิตกำหนด ตรวจระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำในแบตเตอรี่ หากพบรอยรั่วในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงรีบซ่อมแซมทันที หลีกเลี่ยงการเบรกโดยไม่จำเป็น ทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิด เปลี่ยนหัว คอนเดนเซอร์ ตั้งไฟแก่อ่อนให้พอดี จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10%

8.ไม่ต้องอุ่นเครื่อง หากออกรถและขับช้าๆ สัก 1-2 กม. แรก เครื่องยนต์จะอุ่นเอง

9.ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เพราะเครื่องยนต์จะทำงานตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หากบรรทุกน้ำหนักเกิน 50 กก. น้ำมันที่มีอยู่จะวิ่งได้ระยะทางสั้นลง 1 กม.ต่อลิตร

10.ใช้ระบบการใช้รถร่วมกัน หรือคาร์พูล (Car pool) ไปทางเดียวกันใช้รถคันเดียวกัน

11.เดินทางเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพื่อประหยัดน้ำมัน บางครั้งเรื่องบางเรื่องอาจจะติดต่อกันทางโทรศัพท์ก็ได้ ประหยัดน้ำมัน ประหยัดเวลา ไปซื้อของหรือไปธุระใกล้ๆ อาจจะเดิน หรือใช้จักรยานบ้าง เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย

12.ไม่เลี้ยงคลัตช์หรือเอาเท้าแช่ในขณะขับรถ

13.ก่อนไปพบใคร ควรโทรศัพท์ไปถามก่อนว่าเขาอยู่หรือไม่ ควรสอบถามเส้นทางที่จะไปให้แน่ชัด หรือศึกษาแผนที่ให้ดี หรือควรศึกษาทางลัด จะได้ไม่เสียเวลา และเมื่อจะขึ้นทางด่วน ควรเตรียมเงินให้พอดี ช่วยประหยัดน้ำมัน

14.เปิดเครื่องปรับอากาศตามความจำเป็น ยิ่งปรับให้เย็นมากก็ยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมัน

15.หลีกเลียงสภาพถนนที่ไม่ดี ลดการสูญเสียน้ำมัน เพราะถนนลาดยางที่มีผิวเสียหายร้อยละ 15 ลูกรัง ร้อยละ 35 ทราย

++Applications++ บริการใหม่จาก hi5

*Application* ก็คือโปรแกรมสำเร็จรูปตัวนึง ซึ่งอาจจะเป็นเกม
โปรแกรมการสร้างรูปภาพ แชท หรือการส่งไอคอนให้กัน และ Applicstions
นี้ก็เป็นบริการใหม่ที่ hi5 ที่เปิดขึ้นมาเพื่อเอาใจ Social Network
สังคมออนไลน์ที่กำลังได้รับนิยมอยู่ในขณะนี้
และกำลังจะขยายวงกว้างออกไปใหญ่ยิ่งขึ้น ซึ่งเราสามารถนำ Applications
เข้ามาตกแต่ง หรือเล่นสร้างตามสนุกสนาน แปลกตาใน Profile ของเพื่อนๆ ได้
ซึ่งตอนนี้ Applications ก็มีทั้งหมด 200 กว่าโปรแกรม และแบ่งหมวดได้กว่า 16
หมวด ให้เพื่อนๆ ได้เลือกหยิบไปเล่นกัน โดยสามารถคลิกได้ที่ เมนู Applications
ด้านบน (ถ้าใครเก่งก็ลองส่ง Application ไปยัง hi5 เผื่อจะดังไม่รู้ตัว)


*หากคุณต้องการมี Application ใหม่นี้ สามารถมีได้ 2 กรณี*


*1.* Add Application เข้า Profile ของตนเอง


*2.* รับ Invite จากเพื่อน


*กรณีที่ 1* Add Application เข้า Profile เอง


ทุกท่านจะสามารถเพิ่ม แอปพลิเคชันได้เอง โดยทำตามจั้นตอนต่อไปนี้


*1.1* ให้สังเกตที่เมนู *Application* หรือ แอปพลิเคชัน
หากใช้เมนูภาษาไทย


*1.2* เมื่อเลือกที่เมนู Application แล้ว ก็จะกับหมวดต่างๆ มากมาย
โดยสามารถเลือกชม Application ที่เราต้องการได้


*1.3* เมื่อเลือก แอปพลิเคชัน ที่ต้องการได้แล้ว
ก็สามารถคลิกดูตัวอย่างก่อนก็ได้ หรือคลิกเพิ่มแอปพลิเคชัน เข้า Profile


*1.4* เมื่อคลิกแล้ว ก็จะพบกับหน้าให้แอด แอปพลิเคชัน นั้น
ในหน้านั้นก็จะมีตัวอย่างแสดงให้ดู และเมื่อต้องการแอด แอปพลิเคชั่น
ก็ให้คลิกที่ปุ่ม " เพิ่มในโปรไฟล์ของฉัน " หรือ " Add to My profile "


* 1.5* จากนั้นจะพบหน้า " เชิญเพื่อนของคุณให้ใช้ SUPERFIVE! "
ซึ่งข้อความก็จะเปลี่ยนไปตาม แอปพลิเคชั่น ที่เลือก จากนั้นให้เพื่อนๆ
คลิกที่ชวนเพื่อน ที่รูปของเพื่อนหรือช่องสี่เหลี่ยม เมื่อเลือกเพื่อนๆ
แล้วก็คลิกที่ปุ่ม ชวนเพื่อน หรือ Send


* หากเพื่อนๆ ยังไม่อยากจะเชิญชวนเพื่อนตอนนี้ ก็สามารถคลิกที่ ไม่
ขอบคุณ เอาไว้คราวหน้า หรือ No Thanks, Maybe Later*


*1.6* เท่านี้ แอปพลิเคชัน ที่เพื่อนๆ เลือกก็จะไปปรากฎที่ Profile
ของเพื่อนๆ แล้ว


*กรณีที่ 2* รับ Invite จากเพื่อน


*2.1* เมื่อเรา log in เข้า hi5 มาที่หน้า home ที่ คำขอ หรือ
Requests อาจจะเจอ คำขอจากเพื่อนว่า " คำเชิญร่วมโปรแกรม "
ก็ให้คลิกที่คำเชิญนั้น


*2.2* จะพบหน้าต่างใหม่ ให้คลิ้กที่ปุ่ม " เพิ่มโปรแกรม "
เพิ่มตอบรับการเชิญชวนของเพื่อน ในที่นี้ เพื่อนของคุณ เชิญชวน แอพพลิเคชัน
Supercomment มาให้คุณ


*2.3* เมื่อคลิก " เพิ่มโปรแกรม "
แล้วก็จะพบหน้าต่างให้ใส่โปรแกรมลงในโปรไฟล์ ให้เพื่อนๆ คลิกที่ปุ่ม "
เพิ่มในโปรไฟล์ของฉัน " เพื่อเพิ่มแอปพลิเคชันดังกล่าวเข้าโปรไฟล์ของเพื่อนๆ


* 2.4* เท่านี้ แอปพลิเคชันนั้นก็จะเข้าไปอยู่โปรไฟล์ของเพื่อนๆ แล้ว

10 ข้อผิดพลาดของการอดอาหารผิดวิธี

ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันหลายคน ยอมยกธงขาว ให้กับอาหาร จานโปรด
และไม่ยอม ยึดมั่นกับแผน ควบคุม น้ำหนัก อีกต่อไป โดยพบว่า ร้อยละ ๙๐–๙๕
ฝ่าฝืนกฎเหล็ก ในการ ควบคุม อาหาร


เอบีซีนิวส์ ดอท คอม ศึกษาข้อมูลจากลินดา บลาร์เจสกี้ นักโภชนาการ
ที่มหาวิยาลัยโอเรกอน และเดบบี้ เปซิคก้า นักโภชนาการ ที่ศูนย์ การแพทย์
มหาวิทยาลัยในรัฐอริโซนา ของสหรัฐ ได้ข้อสรุป ถึงข้อปฏิบัติ ที่ผิดพลาด ๑๐
ข้อสำหรับการอดอาหาร คือ


1. เลือกทานแต่อาหารที่ชอบ
การเลือกทานอาหารที่ชอบโดยไม่ระวัง จะทำให้นักอดอาหาร ทานอาหารประเภทอื่นๆ
ต่อไปได้เรื่อยๆ


2. อดอาหารมากเกินไป หากมัวแต่เข้มงวดในการควบคุมแคลอรีในร่างกายมากเกินไป
ก็จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้หิวและอยากอาหารมากขึ้น ซึ่งอาจจะ
เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม


3. ไม่มีจุดยืนหรือเป้าหมายที่แน่ชัด
หากอยากอดอาหาร เพื่อลดความอ้วนก็ต้องตั้งเป้าหมายไว้ อย่างเช่น
เขียนเอาไว้ในสมุดโน้ตว่า อยากลดเท่าใด อย่างไร แล้วทำความฝันให้เป็นจริง
แต่ก็ต้องเป็นเป้าหมาย ที่เราสามารถทำได้ด้วย


4. ดื่มเครื่องดื่มที่ให้แคลอรีสูง
การดื่มไวน์แดงร่วมกับการรับประทานอาหารค่ำ การดื่มนม ไร้ไขมัน
หรือน้ำผลไม้ระหว่างวัน ก็ให้แคลอรีสูงเช่นกัน
ซึ่งแคลอรีเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความพยายามในการลดน้ำหนัก
ดังนั้นผู้ลดน้ำหนักจึงควรดื่มน้ำเปล่าดีกว่า หรือหากอยากเปลี่ยน รสชาติ
ก็ให้ผสมน้ำมะนาวลงไปด้วย


5. ไม่ยอมออกกำลังกาย
ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก จะต้องจำไว้ว่า สิ่งสำคัญในการ ลดน้ำหนัก ให้ได้ผล
ต้องลดจำนวนแคลอรีให้ได้ ซึ่งหนีไม่พ้นการ บริหาร ร่างกาย


6. ความเครียด
เป็นอุปสรรคสำคัญของการลดน้ำหนัก บางคนลดไม่ได้
ตามเป้าหมายก็ท้อแท้และเครียดจัด อาจกลับมาทานอาหาร มากขึ้น
และเป็นวัฎจักรต่อเนื่องไป


7. ให้รางวัลกับตัวเองด้วยอาหาร
บางคนลืมตัวไปว่ากำลังอดอาหาร พอเห็นว่าแผนลดน้ำหนัก ใช้ได้ผล
ก็เริ่มทานอาหารมากขึ้น นักวิจัย บอกว่า ลองให้รางวัล
กับตัวเองด้วยการไม่ทานอาหารดูบ้าง


8. การเปลี่ยนแปลงตัวเองมากเกินไป
อีกสิ่งหนึ่ง ที่ถือว่าทำให้ลดน้ำหนักไม่ได้ผล ก็คือการเปลี่ยนแปลง
ทุกสิ่งทุกอย่างมากเกินไปในเวลาเดียวกัน อย่างเช่น เป็นคนที่
ชอบทานเนื้อสัตว์มากๆเลย แต่พออดอาหารก็เปลี่ยน มาทาน มังสวิรัติ รวดเดียว


9. หัดคิดใหม่
ให้คิดอยู่เสมอว่า การลดน้ำหนักก็เพื่อทำให้สุขภาพดี ทำให้เรา
อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น ให้คิดถึงสุขภาพ ของตัวเอง อยู่เสมอ


10. อย่าทำตัวแบบเดิม
ให้ลองเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน การทำกิจกรรมและ การดำเนิน ชีวิตประจำวันดูบ้าง
ก็จะสามารถรักษาทั้งรูปร่าง และสุขภาพของตัวเองได้

5 Foods That Feed Cholesterol

There’s no denying that a healthy diet is the first line of defense against rising cholesterol. “If you eat a predominantly plant-based diet—with lots of fruits and vegetables plus some fish—you are on the right track to keeping your cholesterol at a healthy level,” says Lisa Dorfman, a registered dietitian and spokeswoman for the American Dietetic Association. That said, certain so-called super-foods can actually help lower bad cholesterol and/or increase the good cholesterol. Ideally, you want to shoot for total cholesterol under 200, with LDL (the bad one) under 110 and HDL (the good one) greater than 35.

Try to reduce—or better yet, eliminate—these bad-for-you foods from your repertoire:

Whole-milk dairy products

Saturated fat, which clogs arteries and increases LDL levels, is the No. 1 cholesterol-boosting culprit. And foods like ice cream and cheese are where you’re likely to find them. Swap out the Ben & Jerry’s Chubby Hubby for a lower-fat frozen yogurt, and skip the brie in favor of something less rich, like a part-skim mozzarella.

Processed meats

Bacon, sausage, liverwurst and the like are also wonderful sources of artery-clogging saturated fat. Look for lower-fat options, like bacon and sausage made from turkey and other lean protein sources.

Fast-food fries

Even worse than saturated fats are the dreaded trans fats. “You might as well take a gun and shoot yourself!” says Dorfman. The main source of trans fats are partially hydrogenated oils, and that’s exactly what most fast-food restaurants are still using to cook their fries. Trans fats hit cholesterol with a double whammy—in addition to raising your LDL, they simultaneously lower your HDL.

Tropical oils

Palm kernel and coconut oils are two of the fattiest of oils—100 percent of the bad-for-you saturated variety. Don’t use them when you cook at home, and try to avoid them when you eat out (most fast-food restaurants have eliminated them, but you can check their Web sites for detailed nutritional information). Use heart-healthy mono- and polyunsaturated fats, like olive, canola and safflower oil, instead.

Baked goods

Many manufacturers of packaged cookies and cakes have eliminated trans fats from their recipes, but check the nutrition labels to be sure. But all baked goods—even those that are homemade—are high in saturated fats, thanks to the butter and shortening. Since no one wants to give up dessert completely, eat high-fat baked goods only occasionally, opting more often for low-fat sweets like sorbets.

8 Foods That May Lower Your Cholesterol

Following an overall healthy diet that’s low in saturated fat and abundant in fruits and vegetables is wiser than obsessing over specific "super" foods.

Still, some foods have been shown to give cholesterol levels an extra nudge in the right direction:

Oats

When women in a University of Toronto study added oat bran to an already heart-healthy diet, HDL-cholesterol levels—the beneficial kind—climbed more than 11 percent.

Almonds

A 2005 Tufts University study found that substances in almond skins help prevent LDL cholesterol from being oxidized, a process that can otherwise damage the lining of blood vessels and increase cardiovascular risk.

Beans & Lentils

In results reported in the Annals of Internal Medicine in 2005, LDL-cholesterol levels fell almost twice as far in volunteers on a low-fat diet who added beans and lentils (along with more whole grains and vegetables) to the menu.

Blueberries

Blueberries contain a powerful antioxidant called pterostilbene that may help lower LDL cholesterol, scientists at the Agricultural Research Service reported in 2004.

Barley

When volunteers in a 2004 USDA study added barley to the standard American Heart Association diet, LDL-cholesterol levels fell more than twice as far

Avocados

The monounsaturated fats in avocados have been found to lower bad LDLs and raise good HDLs, especially in people with mildly elevated cholesterol.

Alcohol

Drinking a glass of wine with dinner—any alcoholic beverage, in fact—has been shown to raise good-cholesterol levels and lower the risk of a heart attack. (Excessive drinking, however, raises heart-disease danger.)

10 Foods That Build Bones

Alaskan King Crab

High in protein and low in fat, the sweet flesh of the king crab is spiked with zinc — a whopping 7 milligrams per 3.5-ounce serving. "Zinc is an antioxidant, but more important, it helps support healthy bone mass and immune function," says Susan Bowerman, assistant director of the Center for Human Nutrition at the University of California at Los Angeles.

"Several studies have linked adequate zinc intake to increased immunity and decreased incidences of respiratory infection." And you can reap all these benefits by swapping one of your weekly fish meals for a six-ounce serving of crab.

Dried Plums

Also known as prunes, these dark shrivelers are rich in copper and boron, both of which can help prevent osteoporosis. "They also contain a fiber called inulin, which, when broken down by intestinal bacteria, makes for a more acidic environment in the digestive tract," says Bowerman. "That, in turn, facilitates calcium absorption." Enjoy four or five a day to strengthen your bones and boost your energy.

Bok Choy

This crunchy cruciferous vegetable is more than the filler that goes with shrimp in brown sauce. "Bok choy is rich in bone-building calcium, as well as vitamins A and C, folic acid, iron, beta-carotene, and potassium," says celebrity trainer Teddy Bass. Potassium keeps your muscles and nerves in check while lowering your blood pressure, and research suggests that beta-carotene can reduce the risk of both lung and bladder cancers, as well as macular degeneration. Shoot for a cup a day.

Oysters

Shellfish, in general, is an excellent source of zinc, calcium, copper, iodine, iron, potassium, and selenium. "But the creamy flesh of oysters stands apart for its ability to elevate testosterone levels and protect against prostate cancer," says Bass. "They aren't a food most people will eat regularly, but getting five into your diet twice a week will make your weekends more fun."

Bananas

Athletes and performers are familiar with the calming effect of bananas — a result of the fruit's high concentration of tryptophan, a building block of serotonin. But their real benefit comes from potassium, an electrolyte that helps prevent the loss of calcium from the body.

"Bananas also bolster the nervous system, boost immune function, and help the body metabolize protein," says Bass. "One banana packs a day's worth of potassium, and its carbohydrate content speeds recovery after strenuous exercise."


Kiwis

Like bananas, this fuzzy fruit is high in bone-protecting potassium. "They're also rich in vitamin C and lutein, a carotenoid that can help reduce the risk of heart disease," says Bowerman. "I try to eat at least one or two a week after exercising." Freeze them for a refreshing energy kick, but don't peel the skin: It's edible and packed with nutrients.

Broccoli

Our president's dad may hate this cruciferous all-star, but one cup of broccoli contains a hearty dose of calcium, as well as manganese, potassium, phosphorus, magnesium, and iron. And that's in addition to its high concentration of vitamins — including A, C, and K — and the phytonutrient sulforaphane, which studies at Johns Hopkins University suggest has powerful anticancer properties.

"One cup a day will do the trick," says Bowerman. Try cauliflower, kale, brussels sprouts, or cabbage for variation, as all possess many of the same nutritional qualities. "Broccoli may also help reduce excess estrogen levels in the body, thanks to its indole 3-carbinol content," says celebrity trainer Gunnar Petersen.

Spinach

A renowned muscle builder, spinach is also rich in vitamin K, which has been shown to bolster bone-mineral density (thus protecting against osteoporosis) and reduce fracture rates. Spinach is also high in calcium, phosphorus, potassium, zinc, and even selenium, which may help protect the liver and ward off Alzheimer's.

One more reason to add it to your diet: A study in the Journal of Nutrition suggests that the carotenoid neoxanthin in spinach can kill prostate cancer cells, while the beta-carotene fights colon cancer. "Popeye was on to something," says Bowerman. "Eat one cup of cooked spinach, or two cups raw, four times a week."

Leeks

These scallion-like cousins of garlic and onions are packed with bone-bolstering thiamine, riboflavin, calcium, and potassium. Leeks are also rich in folic acid, a B vitamin that studies have shown to lower levels of the artery-damaging amino acid homocystein in the blood.

What's more, "Leeks can support sexual functioning and reduce the risk of prostate cancer," says Michael Dansinger, MD, an assistant professor of medicine and an obesity researcher at Tufts-New England Medical Center, in Boston. "Chop the green part of a medium leek into thin ribbons and add it to soups, sautés, and salads as often as possible."


Artichokes

Lauded for centuries as an aphrodisiac, this fiber-rich plant contains more bone-building magnesium and potassium than any other vegetable. Its leaves are also rich in flavonoids and polyphenols — antioxidants that can cut the risk of stroke — and vitamin C, which helps maintain the immune system. "Eat them as often as you can," says Bowerman. Ripe ones feel heavy for their size and squeak when squeezed.

26 พ.ค. 2551

ระแวดระวังภัย... โรคจากที่สาธารณะ

***ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำสาธารณะ
ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หรือแม้แต่ สระว่ายน้ำสาธารณะ ก็มักจะมีผู้คนมากหน้าหลายตา
แวะเวียนไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก
*
และด้วยจำนวนคนที่มากมายก่ายกองนี่เอง
สถานที่เหล่านี้จึงกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคติดอันดับต้นๆ
ที่มีให้คุณเลือกหลายชนิดหลายแบบ สำหรับสถานที่สาธารณะที่น่าจะมีโผติด 3
อันดับสถานที่ ที่มีเชื้อโรคมากที่สุด ก็น่าจะเป็นสถานที่ทั้ง 3
แห่งที่กล่าวมาข้างต้น เราลองมาดูสิว่า ทั้ง 3
สถานที่นั้นคุณจะเจอเชื้อโรคอะไรบ้าง
*
เชื้อโรคจากโทรศัพท์สาธารณะ *


ตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นสถานที่ที่เราสามารถรับเชื้อได้โดยตรงจากการสัมผัสเชื้อ­โรค
เชื้อที่เราจะได้พบเจอในตู้โทรศัพท์สาธารณะ คือ


- เชื้อไข้หวัดทั้งหลาย
ซึ่งถ้ามีน้ำมูกแล้วน้ำมูกไปติดอยู่ที่ตัวเครื่องรับโทรศัพท์
หรือบริเวณรอบๆตู้โทรศัพท์ หากเชื้อเหล่านี้ยังมีชีวิตรอดอยู่หลายชั่วโมง
และผู้ใช้โทรศัพท์เหล่านั้น ไปสัมผัสจับต้องสารคัดหลั่งดังกล่าว
แล้วนำมาป้ายโดนจมูกก็มีโอกาสติดเชื้อได้


- วัณโรค ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว จะไม่ติดจากการสัมผัสในการใช้โทรศัพท์
แต่จะเกิดการติดเชื้อได้จากการไอหรือจาม
ซึ่งจะได้รับเชื้อโดยการสูดหายใจเข้าไปโดยตรง


- เชื้อเริม ติดต่อจากการสัมผัสโดยตรง
ซึ่งถ้าผู้ป่วยเริมมีแผลอยู่แล้วไปใช้โทรศัพท์
เมื่อคนที่มาใช้โทรศัพท์คนต่อไปไปจับต้องเชื้อไวรัส
แล้วใช้มือขยี้ตาหรือป้ายโดนปากโดนน้ำลาย ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเหล่านั้นได้


- หูด เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง
เพราะฉะนั้นผู้ใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะก็จะมีโอกาสติดเชื้อนี้ได้


- โรคแอนแทรกซ์ เป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย
ซึ่งเคยมีข่าวว่าคนอเมริกันได้รับจดหมาย
แล้วสัมผัสเอาสปอร์ของเชื้อโรคแล้วเป็นโรคนั้นได้
ถ้าได้ไปสัมผัสโดยตรงหรือสูดหายใจเอาสปอร์ที่อยู่บริเวณนั้นเข้าไป
ก็มีอาการเป็นโรคได้ง่ายๆอย่างไรก็ตาม
โอกาสในการติดเชื้อจากการใช้บริการของโทรศัพท์สาธารณะนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
แต่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน
ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อว่ามีปริมาณมากหรือน้อย
และเชื้อดังกล่าวที่อยู่ในบริเวณนั้นตายไปแล้วหรือยัง
ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อจากการใช้โทรศัพท์สาธารณะ
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นไข้หวัดก็จะติดจากบุคคลอื่นที่เป็นหวัดอยู่แล้ว
ซึ่งอาจจะติดจากเพื่อนร่วมงาน จากบุคคลใกล้ตัวหรือโรงภาพยนตร์ที่มีผู้คนแออัด
การป้องกันการติดเชื้อจากโทรศัพท์สาธารณะ


- ระหว่างการใช้โทรศัพท์ อย่าใช้มือป้ายตา ป้ายปาก ป้ายจมูก


- ระวัง! ไม่นำกระบอกโทรศัพท์มาแนบปากจนเกินไป


- ให้รีบล้างมือทันทีหลังจากใช้โทรศัพท์แล้ว
เพราะเชื้อเมื่อออกมาจากตัวผู้ป่วยแล้วยังอยู่ได้หลายชั่วโมงหรือเป็นวัน
*
เชื้อโรคจากห้องน้ำสาธารณะ *


การใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ มีความเสี่ยงในการติดโรคได้เช่นกัน
เพราะห้องน้ำสาธารณะส่วนใหญ่ไม่ค่อยสะอาด และมีโอกาสที่จะติดโรคได้ เช่น เริม
ซึ่งพิสูจน์ยากว่าติดต่อจากการใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ
เพราะโรคนี้จะติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่
ถ้าผู้ใช้บริการห้องน้ำสาธารณะมีแผลเริมอยู่ ถ้าเป็นแผลเปิด
และเมื่ออีกคนเข้าไปใช้ต่อทันที
ก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคอื่นๆ เช่น อหิวาตกโรค
หรือไข้รากสาด ถ้าคนที่เข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระแล้วไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
เกิดมีอุจจารปนเปื้อนบริเวณมือ เมื่อมือไปจับก๊อกน้ำหรือจับลูกบิด
คนที่ไปจับต่อมาแล้วไปสัมผัสโดนปากหรือน้ำลายก็มีโอกาสได้รับเชื้อเช่นกัน
ยิ่งหากเป็นห้องน้ำสาธารณะที่มีทั่วไปในกรุงเทพฯหลายๆ แห่งจะสกปรก
ไม่มีน้ำให้ราดไม่มีกระดาษชำระหรือแม้แต่ถังทิ้งกระดาษชำระ
ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย


*การป้องกันการติดเชื้อจากห้องน้ำสาธารณะ*


ในปัจุบัน
คนส่วนใหญ่ได้ใส่ใจกับสุขภาพอนามัยมากขึ้นรู้จักล้างมือและชำระล้างสิ่งสกปรกหร­ือเชื้อโรคจากร่างกาย
ก่อนที่จะมาสัมผัสกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขยี้ตา หรือจับปาก จับ จมูก
ต้องล้างมือให้สะอาดเรียบร้อยก่อน ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
*
เชื้อโรคจากสระว่ายน้ำสาธารณะ *


โรคที่เราจะได้ตามมาจากสระว่ายน้ำสาธารณะคือ ติดเชื้อในช่องคลอดจากการว่ายน้ำ
ในสระว่ายน้ำที่ไม่สะอาดและไม่ได้มาตรฐาน ถึงแม้ว่ามีการใช้ยาฆ่าเชื้อโรค เช่น
คลอรีนก็ตามก็สามารถที่จะติดเชื้อโรคได้เช่นกัน
แต่หากเป็นสระว่ายน้ำมาตรฐานจะมีระบบกรองน้ำ มีการไหลเวียนถ่ายเทน้ำ
มียาฆ่าเชื้อโรคใส่ไว้ในปริมาณที่เหมาะสม
ร่วมกับรังสีและความร้อนจากแสงแดดทำให้น้ำในสระสะอาดและปลอดภัย เพราะฉะนั้น
การเล่นน้ำในสระว่ายน้ำเหล่านี้จะมีความปลอดภัยกว่าโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศ หรือ
ช่องคลอดจากการว่ายน้ำ ที่พบบ่อย คือ อาการอักเสบของเยื่อบุปากช่องคลอด
ผู้ป่วยเหล่านี้ หลังจากว่ายน้ำแล้ว จะมีอาการแสบๆ ที่ปากช่องคลอด
โดยเฉพาะเมื่อปัสสาวะไหลมาถูกบริเวณนั้น บางคนมีอาการตกขาวร่วมด้วย
เมื่อตรวจภายในก็พบมีอาการอักเสบของเยื่อบุช่องคลอดอย่างชัดเจน
แต่ตรวจไม่พบเชื้อที่เป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคได้
พวกนี้สาเหตุมักเกิดจากการแพ้คลอรีนที่มีอยู่ในน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
น้ำที่มีคลอรีนในอัตราส่วนที่เข้มข้นเกินไป


โรคที่เกิดในช่องคลอดทเี่คยพบเนื่องมาจากการวา่ยน้ำในสระ
ได้แ้ก่โรคพยาธิในช่องคลอด และ โรคเชื้อราเพราะเชื้อพยาธิและเชื้อรา
สามารถอยู่ในน้ำสะอาดที่มีคลอรีนที่เจือจางได้นานอย่างน้อย 30 นาที
เมื่อมีโอกาสเข้าไปในช่องคลอดของนักว่ายน้ำได้ ก็จะทำให้เกิดอักเสบตกขาว
และคันบริเวณอวัยวะเพศและช่องคลอดได้ แต่บางคนก็ไม่มีอาการ
ส่วนเชื้อกามโรคอื่นๆ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส และโรคเริม


ไม่เคยพบมีรายงานที่แน่ชัดว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อเหล่านี้
มาจากการว่ายน้ำธรรมดาๆ เพราะเชื้อหนองในแท้และหนองใสิ่งสำคัญขณะที่เล่นน้ำ
ไม่ควรให้น้ำเข้าปาก เพราะเชื้อโรคบางชนิดอาจมีอยู่ในน้ำได้ เช่น โรคท้องร่วง
และตับอักเสบ เป็นต้นสระว่ายน้ำบางแห่งไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร
มีกระเบื้องแตกหรือชำรุดอยู่ในสระ
เมื่อว่ายน้ำไปถูกกระเบื้องเหล่านี้บาดจนเป็นแผล
อาจจะกลายเป็นแผลเรื้อรังขนาดใหญ่ได้ในบางครั้ง ซึ่งแผลเหล่านี้
มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่เรียกว่า Mycobacterium marinum
เชื้อนี้ทำให้เกิดแผลเรื้อรังคล้ายแผลที่เกิดจากเชื้อวัณโรคผิวหนังได้
แผลนี้รักษาค่อนข้างยาก แต่หายได้


*การป้องกันการติดเชื้อจากสระว่ายน้ำสาธารณะ*


1. ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของสระว่ายน้ำโดยเคร่งครัด เช่น
อาบน้ำให้สะอาดทุกครั้งก่อนลงสระ ไม่บ้วนน้ำมูกหรือน้ำลายลงในสระ เป็นต้น


2. นักว่ายน้ำควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เจาะเลือดตรวจดู
ภาวะภูมิคุ้มกันโรคและโรคที่มีอยู่ในร่างกาย ถ้าพบโรคใด เช่น โรคซิฟิลิส ก็ควร
รักษาเสีย ถ้าขาดภูมิต้านทานโรค ควรรับการฉีดวัคซีนให้เรียบร้อยก่อน โดย
เฉพาะโรคตับอักเสบ เป็นต้น หญิงที่แต่งงานแล้วหรือหญิงสาวที่มีอายุมากกว่า
25 ปี ควรได้รับการตรวจภายในปีละครั้ง เพื่อตรวจรักษาโรคบางชนิดที่มีอยู่ใน
ช่องคลอดแต่ไม่มีอาการให้หมดไปเสีย อย่างน้อยก็ได้รับการตรวจหามะเร็ง
ระยะแรกเริ่ม


3. เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดหลังจากว่ายน้ำแล้ว ควรรีบไปรับการตรวจจากแพทย์
และควรงดเล่นน้ำในระยะนี้


4. ไม่ควรให้น้ำเข้าปาก


5. ไม่ควรใช้เครื่องนุ่งห่มหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน


6. สระน้ำและน้ำในสระ ควรได้รับการตรวจบำรุงไม่ให้มีสิ่งบกพร่อง ที่
อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และเสี่ยงต่อการติดเชื้อของนักว่ายน้ำ

Internet : แน่ใจนะว่า คอมพ์คุณไม่ได้มีกิ๊กบนเน็ต

คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ตอนนี้ไม่มีใคร
หรือโปรแกรมอะไรในเครื่องคอมพ์ของคุณ กำลังพยายามสื่อสารกับใคร
หรือเซิร์ฟเวอร์บนอินเทอร์เน็ต คุณอาจคิดว่า การออฟไลน์พีซีก็คือ
การที่คุณไม่ได้เปิดบราวเซอร์ หรือโปรแกรมอีเมล์ ซึ่งน่าจะปลอดภัยแล้ว
นายเกาเหลาให้เวลาลองทบทวนนิดหนึ่งนะครับว่า ข้อสรุปนี้ถูกต้องหรือไม่
?โดยเฉพาะถ้าคอมพ์ที่ใช้อยู่เชื่อมต่อแบบบรอดแบนด์ เพราะเป็นไปได้มากเลยทีเดียว
ที่คอมพ์ของคุณอาจจะกำลังสื่อสาร รับส่งข้อมูลกับเซิร์ฟเวอร์บนเน็ตเป็นระยะๆ
โดยที่เราที่ไม่รู้ตัว


เนื่องจากการสื่อสารในลักษณะนี้มักจะดูปลอดภัย นอกจากนี้โปรแกรมไฟร์วอลล์
และระบบรักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่ก็จะกันเฉพาะโปรแกรมที่อันตรายร้ายแรงจริงๆ
เท่านั้น แต่ก็อย่างที่ทราบว่า มีโปรแกรมวายร้ายมากมายเพ่นพ่านอยู่บนเน็ต
ซึ่งบางตัวก็พยายามจะสื่อสารลับๆ กับคอมพ์ของเราในแบ็กกราวนด์
ทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตช้า
หรืออาจจะเป็นมัลแวร์ที่คอยส่งข้อมูลของคุณไปให้ใครที่ไหนบ้างก็ไม่รู้บนเน็ตก็­เป็นไปได้
ฟังดูน่ากลัวดีนะครับ


ครั้งนี้นายเกาเหลามีเทคนิคง่ายๆ ในการที่จะสืบดูว่า
คอมพ์ของคุณแอบมีบ้านเล็กบนเน็ต คอยรับส่งข้อมูลกันเป็นระยะๆ หรือเปล่า ?
(ด้วยตัวคุณเอง) ถ้าพร้อมจะทำตัวเป็นสายลับแล้วก็ว่ากันตามนี้เลยครับ
เปิดไดอะล็อกบ็อกซ์ Run (กดปุ่ม Windows + R) พิมพ์คำสั่ง cmd แล้วคลิ้กปุ่ม OK
หน้าต่าง Command ที่เหมือน DOS จะโผล่ขึ้นมา
ในหน้าจอ Command พิมพ์คำสั่ง netstat –b 5 > netlog.txt จากนั้นกดปุ่ม Enter
บนคีย์บอร์ด ทิ้งไวสองสามนาที แล้วกดปุ่ม Ctrl + C เพื่อหยุดการบันทึกข้อมูล
แล้วพิมพ์คำสั่ง netlog.txt โปรแกรม notepad จะเปิดไฟล์ดังกล่าวขึ้นมา
ตรวจสอบข้อมูลที่บันทึก ถ้าพบชื่อแปลกๆ ที่น่าสงสัย ลองค้นหาใน Google ด้วยชื่อ
หรือ IP address เข้าไปในช่องแอดเดรสของบราวเซอร์
คุณอาจจะพบกับบ้านเล็กบนเน็ตที่คอยแอบสื่อสารกับเครื่องคอมพ์ของคุณตลอดเวลาก็ไ­ด้
ใครจะไปรู้ แต่ถ้าไม่พบ ip address หรือชื่อแปลกๆ ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า
คอมพ์ของเราปลอดภัยครับ

แก๊งโจรเลว!! ชนแล้วปล้น เหยื่อครูสาว ปางตาย เดี๋ยวนี้เวลาจะเดินทางไปมาไหนต­้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี

แก๊งโจรเลว!! ชนแล้วปล้น เหยื่อครูสาว ปางตาย
เดี๋ยวนี้เวลาจะเดินทางไปมาไหนต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี
เพราะนอกจากแก๊งปาหินที่อาละวาดไปทั่วแล้ว ยังมีภัยร้ายในอีกรูปแบบ
"ชนแล้วปล้น" เขย่าขวัญคนใช้รถใช้ถนนเกิดขึ้น
วิธีการคือคนร้ายจะขับรถพุ่งชนเหยื่อที่ขับมอเตอร์ไซค์จนล้ม
ก่อนจะลงไปทำร้ายร่างกายซ้ำแล้วปลดทรัพย์สินหลบหนีไป
โดยไม่สนใจว่าเหยื่อจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร


พวกนี้ใจคอโหดร้ายผิดมนุษย์!!


ไม่นานมานี้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับครูสาวซี 7
ที่ขับรถมอเตอร์ไซค์มาตามถนนสายพระยาบันลือ-ลาดบัวหลวง เขต ต.พระยาบันลือ
อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
ระหว่างทางถูกคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นขับรถกระบะพุ่งชนจนได้รับบาดเจ็บ
ก่อนที่คนร้ายจะลงมาทุบหน้าจนเละแล้วชิงทรัพย์เอากระเป๋าถือหลบหนีไป


ทำได้ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน
ย้อนไปดูเหตุคราวเคราะห์ของครูสาวเกิดขึ้นตอนบ่ายวันที่ 20 พ.ค.
ขณะที่นางพิจิตรา พิณมณี อายุ 43 ปี อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนสอนดี
ต.พระยาบันลือ อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า
ดรีม สีเปลือกมังคุด ทะเบียน ธ 3169 พระนครศรีอยุธยา
มาตามสายพระยาบันลือ-ลาดบัวหลวง เขต ต.พระยาบันลือ อ.ลาดบัวหลวง
จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อมุ่งหน้าไปโรงเรียน ระหว่างทางได้มีรถยนต์กระบะนิสสัน
บิ๊กเอ็ม สีเขียว ทะเบียน บจ 4819 นนทบุรี
ซึ่งขับตามมาด้านหลังเร่งเครื่องพุ่งชนเข้าใส่ ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ของนางพิจิตรา
เสียหลักล้มลง


หลังจากนั้นคนร้ายได้ขับรถย้อนกลับมา
ซึ่งตอนแรกนางพิจิตราคิดว่าจะกลับมาให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อมาถึง 1
ในแก๊งคนร้ายรูปร่างผอมสูง ผิวดำแดง อายุไม่เกิน 30 ปี แต่งกายแบบวัยรุ่น
ไว้ผมยาวแบบดาราเกาหลี สวมหมวก ได้ลงมาจากรถตรงเข้ามาทำร้ายด้วยการทุบใบหน้า
ทั้งๆ ที่เหยื่อก็ได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถชนแทบปางตายอยู่แล้ว
ก่อนที่คนร้ายจะแย่งเอากระเป๋าสะพายซึ่งภายในมีเงินสดประมาณ 4,000 บาท
และเอกสารบัตรเอทีเอ็ม บัตรประจำตัวจำนวนหนึ่งกลับขึ้นรถหลบหนีไป
ยังดีสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทขาดตอนรถล้ม คนร้ายไม่เห็นจึงไม่ได้เอาไป


ขนาดกลางวันแสกๆ ยังกล้าทำได้!?!
ห้วงนั้น "พิจิตรา" ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากพยายามช่วยเหลือตัวเอง
ให้รอดพ้นจากความตาย เธอพยายามค้นหาโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ใกล้ๆ
ตัวโทร.หาสามีซึ่งเป็นตำรวจสันติบาลอยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี และเพื่อนๆ ครู
ละล่ำละลักบอกว่าถูกคนร้ายชิงทรัพย์
ทำให้ทุกคนรีบเดินทางมาช่วยเหลือนำส่งร.พ.ศุภมิตรเสนาได้ทันท่วงที
โดยแพทย์ต้องเย็บบาดแผลบริเวณใบหน้าที่โดนคนร้ายทุบรวม 15 เข็ม
ยังดีที่อาการบาดเจ็บจากการถูกรถชน ไม่เป็นอันตรายมากมายนัก
วันรุ่งขึ้นนางพิจิตราจึงพาร่างกายอันบอบช้ำเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.โชติกานต์
คงรอด พนักงานสอบสวน สภ.ลาดบัวหลวง เพื่อให้ติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี


พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายไปสเกตช์ภาพคนร้ายทันที
คดีนี้เป็นที่สนใจของนายตำรวจชั้นระดับสูง เพราะเป็นภัยที่เกิดกับประชาชนโดยตรง
และที่สำคัญ คนร้ายลงมืออย่างอุกอาจ
ทำได้แม้กระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้ขณะที่เหยื่อได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถชน
พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ
ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะผู้บังคับบัญชาตำรวจท้องที่
จึงได้มอบหมายให้พ.ต.ต.รามณรงค์ บุญเกิด
สว.กลุ่มงานสืบสวนบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.ลาดบัวหลวง
เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี และให้เจ้าหน้าที่ตามหาเบาะแสรถกระบะนิสสัน
บิ๊กเอ็มของคนร้าย


หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับรายงานว่าคนร้ายได้นำรถคันดังกล่าวไปจอดทิ้งไว้ที่บร­ิเวณสะพานพระราม
4 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เนื่องจากน้ำมันหมด เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจสอบหาเจ้าของรถ
ทราบว่าเป็นรถของนางวิรัตน์ รอดทองคำ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43/3 ม.5
ต.บางตะนัย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
โดยก่อนหน้านี้นางวิรัตน์ก็ได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด
จ.นนทบุรี ว่ารถคันดังกล่าวก็เพิ่งถูกคนร้ายโจรกรรมไปจากเขต จ.นนทบุรี เช่นกัน
กระทั่งคนร้ายได้นำมาก่อเหตุโจรกรรมทรัพย์อีกครั้ง


สำหรับการตามล่าตัวคนร้ายรายนี้
ตำรวจพระนครศรีอยุธยาร่วมมือกับตำรวจนนทบุรีจัดชุดไล่ล่าคนร้ายทันที โดยมี
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 ลงมาสั่งการวางแผนด้วยตนเอง
และตรวจสอบคดีที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งในเขต จ.นนทบุรี ปทุมธานี
และพระนครศรีอยุธยา ที่คาดว่าคนร้ายจะออกอาละวาด


ผลการตรวจสอบพบว่ามีหลายคดีที่เชื่อว่าเกี่ยวโยงกัน
และสันนิษฐานว่าเกิดจากฝีมือคนร้ายคนเดียวกับในภาพสเกตช์
เริ่มจากก่อเหตุโจรกรรมรถยนต์กระบะคันนี้
แล้วนำไปก่อเหตุขับรถพุ่งชนรถจักรยานยนต์และชิงทรัพย์เหยื่อที่ อ.ลาดบัวหลวง
และเมื่อก่อเหตุเสร็จจึงขับรถกลับมาในเขต จ.นนทบุรี
จนรถน้ำมันหมดที่เชิงสะพานพระราม 4 ในเขต อ.ปากเกร็ด จึงทิ้งรถหลบหนี นอกจากนี้
ยังมีการตรวจสอบคดีชิงทรัพย์ที่เกิดในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
พบว่ามีคดีชิงทรัพย์ที่คนร้ายรูปร่างหน้าตาและมีพฤติกรรมการก่อเหตุชิงทรัพย์คล­้ายๆ
กับกรณีดังกล่าว คือที่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ขับประกบรถจักรยานยนต์เหยื่อและถีบให้ล้มจากนั้นชิงทรัพ­ย์ไป
และที่เขต อ.ลาดบัวหลวง ก็มีคดีในลักษณะนี้เช่นกัน


พล.ต.ต.นเรศ กล่าวว่า สั่งการให้ชุดสืบสวนโดย พ.ต.ท.ประภาวิน ฉายโฉมเลิศ รอง
ผกก.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด
เริ่มจากประสานงานไปยัง สภ.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คนร้ายโจรกรรมชิงรถยนต์และหลังก่อเหตุก็ขับรถกลับมาในเขต
อ.ปากเกร็ดอีก โดยต้องเริ่มเกะรอยอย่างละเอียดในทุกคดี
และให้ประสานงานกับตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบคดีนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
โดยคดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญ สังคมเฝ้ามองการทำงานของตำรวจ
ซึ่งพบว่าคนร้ายก่อเหตุในช่วงกลางวันโดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครมาพบเห็น
อย่างไรก็ตาม จากภาพสเกตช์นั้นตำรวจได้นำมาตรวจสอบกับแฟ้มคดีอาชญากรรมเก่า
พบว่ามีลักษณะใบหน้าคล้ายกับบุคคลที่เคยถูกทำประวัติอาชญากรรมจำนวน 4-5 คน
ซึ่งจะต้องให้ผู้เสียหายมาดูตรวจสอบอีกครั้ง

Internet Tips - ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้

ลบไฟล์ขยะ หลังจากเลิกเล่นเน็ต ช่วยลดปัญหาไวรัสได้ เวลาเราเข้าเว็บไซต์ต่างๆ
โปรแกรม IE ก็จะทำการ download ข้อมูลมาเก็บไว้ในเครื่องของเราก่อน
จากนั้นถ้าเราเลิกเล่น ไฟล์เหล่านี้ก็จะค้างในเครื่องของเรา
นอกจากปัญหาไฟล์ในเครื่องที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เนื้อที่ใน harddisk
ของเราไม่เพียงพอแล้ว อาจมีไวรัสแอบแฝงเข้ามาในเครื่องคอมฯ ของเราได้ด้วย
ดังนั้นวิธีการจัดการอย่างหนึ่งที่ง่ายก็คือ กำหนดให้โปรแกรม IE
ลบไฟล์ขยะเหล่านี้อัตโนม้ติทุกครั้งที่ปิดโปรแกรม สำหรับขั้นตอนก็สั้นๆ ครับ
เพียงทำตามรายละเอียดข้างล่างนี้


*วิธีกำหนดให้ลบไฟล์ขยะจากอินเตอร์เน็ตแบบอัตโนมัติ*


1. คลิกเมนู Tools
2. เลือกคำสั่ง Internet Options
3. คลิกเลือกแท็ป Advanced
4. เลื่อนลงมาที่หัวข้อ Security
5. จากนั้น คลิกหัวข้อ Empty Temporaly Internet Files Folder when browser
is closed


6. กดปุ่ม Apply อีกครั้งเพื่อยืนยัน
7. แล้วนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว


ข้อมูลเพิ่มเติม::
ส่วนดีของการที่โปรแกรม IE มีการ download ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องของเรา
ทำให้การใช้งานในครั้งต่อไป สามารถเปิดดูรายละเอียดในเว็บนั้นๆได้เร็วขึ้น
เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการ download ซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม
ควรเปรียบเทียบผลดี ผลเสียกันเอาเองน่ะครับ แต่ถ้าให้ผมฟันธงเลย
ขอตอบว่าลบไปเลยดีกว่าครับ..

Windows Tips - เปลี่ยนชื่อไฟล์นับร้อย นับพันในคลิกเดียว

สำหรับผู้ใช้งานกล้องดิจิตอล คงอาจเคยประสบปัญหาเช่นเดียวกับผม นั่นคือ
ไฟล์ที่ได้จากกล้องดิจิตอล จะมีชื่อขึ้นต้นเหมือนกันและตามด้วยตัวเลขเช่น
กล้องโซนี่ของผม จะขึ้นต้นด้วย 'DSC" ตามด้วย "000001.jpg" เช่น DSC00001.jpg,
DSC00002.jpg, DSC00003.jpg,... เป็นต้น


เวลามีการ copy ข้อมูลจากกล้องเข้าเครื่องคอมฯ และต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์
ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนครั้งละไฟล์ ซึ่งเสียเวลาค่อนข้างมาก
เพราะแต่ละครั้งอาจมีนับร้อยๆ ไฟล์จากการถ่ายเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ถ้ามีการ
copy ข้อมูลลงในโฟลเดอร์เดียวกัน ยิ่งแล้วใหญ่
เพราะถ้าไฟล์ชื่อเดียวกันก็อาจถูกทับกันไปหมด ไอที-ไกด์ มีเทคนิคมาบอกกัน
โดยทำตามขั้นตอนดังนี้


1. Copy ไฟล์ที่ต้องการทั้งหมดลงในเครื่องคอมฯ
2. เปิดโปรแกรม Windows Explorer
3. คลุมชื่อไฟล์ทั้งหมดที่ต้องการเปลี่ยนชื่อ


4. คลิกขวา เลือกคำสั่ง Rename


5. พิมพ์ชื่อไฟล์ใหม่ที่ต้องการ (โปรแกรมจะเลือกให้เปลี่ยนเพียงไฟล์เดียว)
จากภาพ ผมมีการเปลี่ยนชื่อไฟล์เป็น My Photo.jpg


6. กดปุ่ม Enter
7. โปรแกรมจะเปลี่ยนชื่อไฟล์ใหม่ และเรียงหมายเลขให้ด้วย

Vitamin C กับมลพิษในร่างกาย

วิตามินซีขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มอัศวินที่ทำหน้าที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ใ­ห้กับร่างกายของเราปลอดภัยจากอนุมูลอิสระ
โดยสภาพแวดล้อมและอาหารการกินที่เผชิญอยู่ทุกวันนี้
เราก็ได้รับมลพิษมากมายพออยู่แล้ว แต่ด้วยพฤติกรรมที่เพิ่มขึ้นของบางคน เช่น
สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์
ยิ่งทำให้ปริมาณวิตามินซีในร่างกายนั้นลดต่ำลงกว่าปกติ
จนอาจทำให้อวัยวะและระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายอ่อนแอลง เปิดโอกาสให้โรคต่างๆ
รุมกันเข้าหาก็เป็นได้


จะว่าไปแล้วมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความเหนือกว่าสัตว์อื่นใดทั้งปวง
แต่ยังกลับมีความน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
เห็นจะเป็นความที่ไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นใช้เองได้ในร่างกาย
ทั้งที่เป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการ
ในขณะที่สัตว์ส่วนใหญ่ในโลกนี้สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นได้ด้วยตัวมันเองทั้งนั­้น
นอกจากมนุษย์แล้วก็ยังมีสัตว์อีกบางชนิดที่ต้องอาศัยวิตามินจากอาหาร เช่น ลิง
และหนูตะเภา เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตร้อนที่อุดมไปด้วยพืช ผัก ผลไม้
คนเราจะได้วิตามินซีเข้าไปใช้ในร่างกายอย่างพอเพียงต้องได้จากการกินอาหาร
จำพวกผักสด ผลไม้ต่างๆ ให้มากพอและสม่ำเสมอ


วิตามินซีกับมลพิษในร่างกาย
วิตามินซีมีความสำคัญต่อร่างกายคนเราหลายอย่าง เช่น ช่วยสร้างและเสริมคอลลาเจน
หรือเนื้อเยื่อเซลล์นับล้านๆ ตัวทั่วร่างกาย
ดังนั้นถ้าขาดวิตามินซีก็จะทำให้คอลลาเจนไม่สมบูรณ์แข็งแรง กระดูก เอ็น
และผนังหลอดเลือดก็จะอ่อนแอลงด้วย
มีผลให้แบคทีเรียและไวรัสแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
เกิดการอักเสบติดเชื้อตามมา ซึ่งตราบใดที่เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายแข็งแรง
ก็จะเป็นปราการหรือด่านชั้นดีที่คอยสกัดกั้นและต่อต้านสิ่งแปลกปลอมต่างๆ
ที่เข้ามาในร่างกาย


มีรายงานวิจัยทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกาพบว่าการได้รับวิตามินซีปริมาณสูง
นอกจากจะช่วยบำรุงเนื้อเยื่อเส้นเลือดแดงให้แข็งแรงแล้ว
ยังมีส่วนในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดด้วย
โดยช่วยเปลี่ยนโคเลสเตอรอลให้เป็นกรดน้ำดีที่ตับแล้วกำจัดทิ้งไป
โดยเพิ่มระดับสารไลโปโปรตีนชนิด High Density Lipoprotein (HDL) ในเลือด
ทำให้ไขมัน Low Density Lipoprotein (LDL) ที่สะสมตามเส้นเลือดถูกกำจัดมากขึ้น
อันเป็นต้นเหตุทำให้เส้นเลือดอุดตัน
จึงช่วยลดความเสี่ยงของเส้นเลือดหัวใจตีบได้


วิตามินซีจะถูกใช้ไปในหลายๆ ระบบการทำงานของร่างกาย
ซึ่งบางครั้งอาจมีปัจจัยแปรที่ทำให้วิตามินซีถูกดึงออกมาใช้มากผิดปกติจนเหลือป­ริมาณต่ำได้
โดยเฉพาะในคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
เพราะวิตามินซีทำหน้าที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์
จะถูกดึงมาใช้ต่อต้านอนุมูลอิสระที่มากับควันบุหรี่จำนวนมากจนเหลือปริมาณวิตาม­ินซีต่ำผิดปกติ
อาจทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดวิตามินซีได้ อะเซ็ตตอลดีไฮด์
เป็นสารพิษที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายจากควันบุหรี่และแอลกอฮอล์
มีฤทธิ์ทำลายวิตามินในร่างกาย คุณลองคิดดูสิว่าบุหรี่ 1
มวนสามารถทำลายวิตามินซีถึง 25 มิลลิกรัมเลยทีเดียว


สารพิษจากบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นนิโคติน คาร์บอนมอน็อกไซด์ ทาร์ ไซยาไนต์ ฯลฯ
ล้วนเป็นสาเหตุก่อโรคต่างๆ เช่น โรคปอด โรคมะเร็ง ระบบสมองเสื่อมถอย
สมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอย ผิวพรรณแห้งเหี่ยวย่นก่อนวัย ความดันโลหิตสูง
โรคกระเพาะ และโรคหัวใจ
บุหรี่นอกจากจะเป็นปัจจัยทำให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในร่างกายไม่ว่าจะเป็นวิตามิ­นซี
วิตามินเอ วิตามินอี หรือเซลิเนียม ถูกดึงมาใช้มากจนลดจำนวนลงแล้ว
ควันบุหรี่ยังเพิ่มระดับพลาสมาในเลือดให้สูงขึ้น
และยังทำให้การออกซิเดชั่นโคเลสเตอรอลไม่ดีพอ กระทบต่อหลอดเลือดแดงทำให้แข็งตัว
ดังนั้นร่างกายของคนสูบบุหรี่เป็นประจำส่วนใหญ่จึงต้องการวิตามินซีมากกว่าปกติ


วิตามินซียังมีประสิทธิภาพเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
และทำลายเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ เช่น เริม ไวรัสตับอักเสบ โปลิโอ หัด วัณโรค
และทำหน้าที่กระตุ้นการผลิตสารอินเตอร์เฟียรอน
ในการผลิตเม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่โจมตีเชื้อโรคที่หลุดเข้ามาในร่างกายด้วย
บางครั้งที่คุณเป็นไข้สูง อาจจะเพราะเป็นไข้หวัด
หลังจากเจาะเลือดแล้วพบว่าเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ คุณหมออาจจะไม่ได้สั่งยาใดๆ
ให้คุณเลยก็ได้ เพียงแต่บอกให้คุณทานผัก ผลไม้
ที่มีวิตามินสูงมากเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ พักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ
ความไม่สบายนั้นก็จะหายไปได้เอง


แม้ว่าวิตามินซีจะเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณเพียงไหน แต่ถ้าหากรักตัว
กลัวโรคภัยแล้วล่ะก็ ต้องเลือกที่จะละ และเลิก สูบ หรือเสพย์ มลพิษต่างๆ
เข้าสู่ร่างกายเสียที แต่ถ้ากลัวเหงาปากล่ะก็ลองเลือกผลไม้สดๆ มาเคี้ยวแทน
หรือดื่มน้ำผักผลไม้ก็น่าจะดีกว่าเป็นไหนๆ


ถ้าขาดวิตามินซี คุณอาจจะมีอาการ…


อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หงุดหงิดง่าย เลือดออกตามไรฟัน ภูมิคุ้มกันต่ำ
และถ้าขาดเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดความปวดเมื่อยตัว เจ็บกล้ามเนื้อ ผิวแห้ง
แผลหายช้า เส้นเลือดเปราะ ปวดข้อต่างๆ เป็นต้น


แหล่งวิตามินซี


ผัก ผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงอันดับต้นๆ ได้แก่ มะกอกไทย มะขามป้อม มะปราง
ฝรั่งกลมสาลี่ มะละกอสุก พริกชี้ฟ้าเขียว บร็อคโคลี คะน้า ฯลฯ

ระวัง!!! โน้ตบุ๊กถูกขโมย

สองวันก่อนเได้คุยกับน้องสาวเพื่อน
ซึ่งโน้ตบุ๊กของเธอถูกขโมยขณะทำรายงานในห้องสมุด โดยช่วงเวลาสั้นๆ
ที่ลุกไปค้นหาหนังสือที่ชั้น
มือดีก็ถอดปลั๊กแล้วนำโน้ตบุ๊กออกไปจากห้องสมุดอย่างรวดเร็ว
พอกลับมาที่โต๊ะอีกทีก็พบแต่ความว่างเปล่าซะแล้ว
ก่อนหน้าที่จะเขียนบทความนี้ นายเกาเหลาเพิ่งได้รับสายจากน้องเค้าว่า
ได้โน้ตบุ๊กคืนแล้ว แต่สภาพเยินเลย เพราะเด็กที่ขโมยไปต้องการเอาไปใช้เอง
แล้วกลัวคนอื่นจะสงสัย เพราะมันดูใหม่มาก
บทเรียนนี้ทำให้น้องเค้าไม่กล้าปล่อยโน้ตบุ๊กให้อยู่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
แต่ใครจะบอกได้ว่า โอกาสที่จะต้องวางโน้ตบุ๊กไว้โดยลำพังจะไม่เกิดขึ้นอีก
ซึ่งจะว่าไป ถ้าตอนโน้ตบุ๊กถูกขโมย มันร้องโวยวายออกมาได้บ้างก็คงจะดีนะ
พอดีนายเกาเหลานึกได้ว่า มันมีโปรแกรมเล็กๆ
ตัวนึงที่ทำให้โน้ตบุ๊กส่งเสียงเตือนเมื่อมีใครพยายามถอด หรือขยับเมาส์
ตลอดจนปลดสายไฟ AC ชัตดาวน์ หรือล็อกออฟ
โปรแกรมตัวนี้ชื่อว่า Laptop Alarm ขนาดไฟล์โปรแกรมแค่ 312 กิโลไบท์เท่านั้น
ไม่ต้องติดตั้ง สั่งรันได้เลย แล้วเลือกว่า จะให้มันร้องเตือนเมื่อใด
โดยมีให้เลือก 4 สถานการณ์ด้วยกันได้แก่


- ถอดปลั๊ก AC (ที่ขั้วต่อ หรือปล๊กไฟก็ตาม)
- ShutDown/Log Off
- ถอดเมาส์ USB
- ขยับเมาส์เป็นระยะ...พิกเซล(ตั้งค่าที่ Options)


หลังจากเลือกเงื่อนไขการโวยวายให้กับโน้ตบุ๊กแล้ว ขั้นตอ่ไปให้คลิกปุ่ม Option
เพื่อตั้ง Password ที่เอาไว้ปลดล็อค


จากนั้นลองคลิกปุ่ม Lock Computer หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นรอให้ป้อนพาสเวิร์ด
เพื่อปลดล็อค ขั้นต่อไปให้ทดลองดึงปลั๊กไฟ หรือถอดสายเมาส์ออก
แต่อย่าใส่หูฟังขณะทดลอง
เพราะโปรแกรมจะส่งเสียงเตือนที่ความดังสูงสุดของโน้ตบุ๊ก
อาจทำให้การได้ยินมีปัญหาได้ เสียงจะดังจนกว่าจะพิมพ์รหัสผ่านที่ใช้ปลดล็อกครับ
หวังว่าโปรแกรมเล็กๆ ตัวนี้จะช่วยให้ความปลอดภัยกับโน้ตบุ๊กของเพื่อนๆ
ได้ระดับหนึ่งนะครับ สนใจ Laptop Alarm
*คลิกที่นี่*ขอให้ทุกท่านโชคดี

เปลี่ยนนามสกุลเป็น exe ก่อนใช้นะครับ

23 พ.ค. 2551

ความหมายเวอร์ชันของ Software พวก Demo, Trial ฯลฯ ว่ามันต่างกันยังไง

Demo หรือ Demonstration หมายถึง เวอร์ชันของโปรแกรมตัวนั้นๆ อาจจะอยู่ในระหว่างการพัฒนา หรืออาจจะสมบูรณ์แล้ว แต่ตัดคุณสมบัติบางอย่างออกไปก็คือ ถ้าอยากได้แบบที่ยังไม่ได้ตัดคุณสมบัติออกไปก็ต้องเสียตังค์

Beta Version เรียกกันสั้นๆ ว่า Beta หมายถึงเวอร์ชันเริ่มแรกของ Software ตัวนั้นๆ แน่นอนว่าข้อผิดพลาดหรือ Bug เพียบ หรือ อาจจะปิดการทำงานในบางส่วนไว้

Final Version หรือเรียกสั้นๆว่า Final หมายถึงเวอร์ชันสุดท้ายของโปรแกรมตัวนั้นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโปรแกรมตัวนั้นๆ จะหยุดพัฒนา

Full Version หมายถึง เวอร์ชันเต็มพร้อมจำหน่าย

Release date ไม่ได้หมายถึงเวอร์ชันของ Software แต่จะหมายถึง วันที่ Software ตัวนั้น ที่เป็นเวอร์ชันเต็มออกวางจำหน่าย

Unregistered Version หมายถึงเวอร์ชัน ที่ยังไม่ได้ผ่านการลงทะเบียน ซึ่งอาจจะถูกปิดฟังก์ชันการทำงานในบางส่วนหรือหลายๆส่วนเอาไว้จนกว่าจะมีการลงทะเบียนหรือเสียตังค์

Registered Version จะเป็นความหมายตรงข้ามหรือต่อเนื่องจาก Unregistered Version ก็คือเป็นเวอร์ชันที่ได้ผ่านการลงทะเบียนแล้วหรือก็คือเวอร์ชันเต็มนั่นเอง

Patch เป็นโปรแกรมที่ทางผู้ผลิต Software ตัวนั้นๆ ทำออกมาเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดของโปรแกรมในบางประการ Patch อาจจะใช้ได้กับระบบปฏิบัติการบางตัว แต่ก็อาจจะใช้ไม่ได้ในบางตัว เพราะฉะนั้นการจะติดตั้ง Patch ก็ควรจะศึกษาจากผู้ผลิตให้ดีก่อนติดตั้ง

Service Pack หรือ SP คือ Software ที่ทำหน้าที่ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่ออกวางจำหน่ายแล้วให้ดียิ่งขึ้น เช่น อาจจะเพิ่มความสามารถของโปรแกรม หรือเพิ่มการสนับสนุนในส่วนของ

Hardware ยังมีความหมายของเวอร์ชัน Software อีกหลายแบบที่คุณอาจจะยังไม่รู้จัก แต่ที่ตอบไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความหมายเวอร์ชัน Software เท่านั้น

วิธีง่ายๆต่อสู้กับมะเร็ง (ส่งต่อได้กุศล)

> พ่อเลี้ยง วรรณ พิมพานิช เจ้าของรวมเกษตรฟาร์ม มาบรรยายวิธีรักษามะเร็งเมื่อเดือนที่
> แล้ว ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆฟัง ดังนี้
> พ่อเลี้ยงวรรณฯ อายุ 60 ปี เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลัง คุณหมอทั้งไทยและ
> เยอรมัน ไม่รับรอง ว่า จะรักษาหาย จึงไปทำการรักษาที่เกาหลีเหนือ เป็นเวลา 1 เดือน ก็
> หายจากโรค กลับมาเมืองไทย จึงตั้งเป็นมูลนิธิวรรณ รับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ฟรี!
> ปัจจุบันมีผู้รับการรักษา 2000 กว่าคน ณ อ.แม่สอด ห่างจาก จว.ตาก 100 กม.
> วิธีการรักษามะเร็ง แบบธรรมชาติง่ายๆ 4 ข้อ ดังนี้
> 1. จิตใจ ต้องสู้
>
> 2. อาหาร งดเว้นเนื้อสัตว์ แล้วหันมารับประทานอาหารที่มะเร็งไม่รับประทาน 15 ชนิด
> ได้แก่
> 2.1 ธัญพืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวกล้อง , ข้าวม้ง , ข้าวบาเล่ย์ , ข้าวสาลี , และลูกเดือย นำมา
> หุงด้วยหม้อข้าวไฟฟ้า
> 2.2 ผักผลไม้ 10 ชนิด ได้แก่ หอมหัวใหญ่ , มันฝรั่ง , หรือมันเทศ , กล้วยน้ำว้าสุก ( 8
> ลูก/วัน) , ฟักทอง , ข้าวโพดหวาน , ยอดแค , ถั่วพู (2 ชนิดนี้ห้ามขาด) , บลอคโคลี่ หรือ
> กะหล่ำ ดอก , ถั่วหวาน และคะน้าฮ่องกง(ผักผลไม้ 5 ชนิดแรกใช้นึ่ง) นำทั้ง 10 ชนิด หั่น
> เป็นชิ้นๆ นำมาเข้าเครื่องปั่นแบบไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อให้กระเพาะอาหาร ทำหน้าที่ย่อย
> จากนั้นนำมารับประทานหนัก 1 กก./วันกับธัญพืช
>
> 3. อาบน้ำร้อนสลับเย็นหรือเย็นสลับร้อนอย่างละ 2 นาที รวมเวลา 10 นาที 1 ครั้ง/วัน
> เตรียมน้ำร้อน โดยใช้เครื่องทำน้ำร้อน เตรียมน้ำเย็นโดยหาถังน้ำใส่น้ำแข็ง แล้วอาบร้อน
> จัด และเย็นจัด เท่าที่ร่างกายทนได้ ภูมิต้านทานโรคทั้งสิ้น 2 จำพวก จะถูกกระตุ้นขึ้นมา
> ทำหน้าที่ อย่างแข็งขัน
>
> 4. การออกกำลังกาย เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 45 นาที/วัน
>
> ง่ายไหมครับ ถ้าเพื่อนสนใจ สามารถเขียนจดหมายติดต่อ ขอรับธัญพืชปลอดสารพิษจากไร่
> อ.แม่สอด ตาม สถานที่ข้างล่างนี้ “ มูลนิธิวรรณ ” เลขที่ 3/681 ประชานิเวศน์ ถ.เทศบาลนิมิต
> เหนือ ลาดยาว จตุจักร กทม. - เบอร์โทรศัพท์มือถือ พ่อเลี้ยงวรรณ 02 1580658 / 086-
> 7886222

สำหรับนิสัยของคน

วันนี้จะมาบ่นถึงนิสัยของคนแต่ละอย่างกัน
เราได้ลองใช้หัวสมองคิดเพียงชั่ววูบขึ้นมา
ลองอ่านกันดูว่า คนเราส่วนใหญ่ เป็นยังไงกันบ้าง

คนตลก
ก่อนอื่นคนตลก ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่หน้าตาไม่หล่อครับ 555+
อันนี้พูดจากใจจริง ตลกแบบนี้ไม่ใช่ตลกแบบรูปหล่อ แต่เป็นตลกทางกายภาพ
คือหน้าไม่หล่อแต่มันฮาจริง บางทีก็มักจะเป็นคนอ้วน เนี่ยแหละตัวฮา
การกระทำและนิสัยของคนตลก มักจะเป็นพวกรักเพื่อน ชอบสนุกสนานเฮฮาไปวันๆ
ก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไร ก็แค่ระวังจะยิ้มตามละกัน หากกำลังแกล้งทำเป็นเครียดอยู่

คนพูดมาก
คนพูดมากไม่ใช่คนตลกเลย เค้ามักจะชอบเล่าเรื่องที่พบเจอมาในรูปแบบที่เค้าคิดว่า
เออ เรื่องนี้มันเจ๋งนะ มันฮานะ บางทีก็ฮาจริง บางทีก็ฮาไม่จริง จนทำได้เพียงแค่หัวเราะ หึหึ
เป็นกำลังใจให้ เท่านั้นเอง คนพูดมาก ส่วนมากที่ผมเจอนะ จะเป็นพวกพูดตรงไปตรงมา
บางคนเป็นคนเลวร้าย ชอบพูดด่า ถากถาง เช่น หาว่าเรื่องนี้แย่นะ ไอ้คนนั้นกากนะ
ทั้งๆที่ คุณไม่จำเป็นต้องบอกกุก็ได้นะเว้ย

คนพูดน้อย
คนพูดน้อยนั้นผมชอบมาก เพราะมันคล้ายๆกะตัวผม คือเค้ามักจะพูดในสิ่งที่เค้าคิดดีแล้ว
ว่าควรจะพูดและพูดเพื่ออะไร บางครั้งก็พูดแล้วได้ใจความ น่าเชื่อถือ
คนพูดน้อยบางครั้งก็ตลกได้นะครับ แต่พวกพูดน้อยนั้น ยากที่จะหาในชีวิตประจำวันครับ
ยกเว้น คนที่คุณเพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ เค้าอาจจะกลายเป็นคนพูดน้อยสำหรับใจคุณก็ได้เพราะ
ว่ายังไม่สนิทกันไง เลยไม่รู้จะพูดคุยเรื่องอะไรดี สำหรับคนกลุ่มนี้(ที่พูดน้อยๆนะ)
ผมชอบครับ ^^"

คนสุขุม เยือกเย็น
อันนี้เพิ่งรู้มาเร็วๆนี้เอง ว่าจริงๆแล้วผมอะเป็นคนแบบนี้ สุขุมเยือกเย็นหมายถึง
นิ่งๆ ไม่ได้ชอบทำตัวเองให้ตลก แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเคร่งเครียดอะไรนะครับ
คือสุขุม เยือกเย็นนั้น หมายถึงอุปนิสัยของดารา ไงครับ พระเอก หนัง อะไรเงี้ย 555+
คนพวกนี้ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครหรอกครับ แต่ทำให้คนส่วนมากไม่ค่อยกล้าที่จะพูดคุยด้วยครับ
เพราะคิดว่าเป็นคนปิดกั้น ไม่เปิดใจ คนสุขุมเยือกเย็น เลยมักคิดว่าตัวเอง ไม่ใช่คนสำคัญสำหรับเพื่อนๆ
ซึ่งบางครั้งก็จริง และบางครั้งก็ไม่จริงครับ คนสุขุมเยือกเย็นนั้น ผมคิดว่า เค้าเป็นคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตังหากครับ
ไม่ชอบทำตัวตลกแบบเด็กๆ เพราะเค้าคิดว่ามันดูน่าอาย มันน่าเขิน ยกเว้นจะไปทำกะคนที่สนิทๆด้วย

คนเคร่งเครียด
ในชีวิตนี้คนเคร่งเครียดนั้นมีตัวตนจริงๆครับ
ผมเคยเจอคนแบบนี้มาแล้ว รู้สึกว่าเค้าไม่เป็นมิตรกะผมเท่าไหร่
ผมเลยไม่ค่อยได้พบปะกะคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ครับ ส่วนมากในชีวิตผมจะเจอคนตลกและคนพูดมากครับ ^^"
คนเคร่งเครียดนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบสังสรรค์กับใคร ชอบตีตัวออกห่าง และบางครั้งนึกว่าตัวเองเก่ง
ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่าเก่งมาจากไหน แต่คงเก่งมาจากที่บ้านล่ะมั้ง
พอมาอยู่ในโลกภายนอก เจอผู้คนหลากหลายประเภท เค้าที่คิดว่าตัวเค้านั้นเก่ง เลิศเลอ
เลยเริ่มเครียด และทำตัวให้ดูเก่ง ขึ้นมายังไงล่ะครับ พบเจอได้ในที่ๆมีการแข่งขัน หรือกิจกรรมนันทนาการต่างๆ
ที่คุณคาดไม่ถึงครับ ^^"

คนหยิ่ง
คนหยิ่งคือคนที่ไม่ชอบลดตัวไปพูดคุยกับใครที่รู้สึกว่า เค้าคุยแล้วจะไม่เกิดประโยชน์ขึ้นมา
แต่บางทีแล้ว คนที่คุณคิดว่าหยิ่ง เค้าอาจจะตรงกันข้ามก็ได้ อาจจะเป็นแค่คนขี้อาย
ไม่กล้าพูดกับใคร แต่วิธีการที่เราจะรู้ได้ว่า คนหยิ่ง เป็นยังไง คือ เมื่อเรายื่นมิตรไมตรีอะไรให้เค้า
น้อยครั้งที่เค้าจะตอบรับกลับคืนด้วยครับ แต่ถ้าหยิ่งจริงๆ เค้าจะไม่ค่อยสนใจคุณเท่าไหร่ครับ
และก็จะไม่ค่อยมีคนสนใจเค้าเท่าไหร่ด้วย อืม ไม่รู้ว่าจะหยิ่งไปทำไมกันนะเนี่ย

คนขี้อาย
เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกต่อหน้าผู้คนครับ อย่างเช่นให้ไปยืนอ่านรายงานหน้าชั้น
หรือแสดงละคร และ ร้องเพลง คนขี้อายจะพยายามหลีกเลี่ยงครับ และเราจะไม่สามารถพึ่งพา
คนที่ขี้อายมากๆได้เท่าไหร่นัก เพราะเค้ามักจะไม่กล้าที่จะถามทางคนอื่นหรือสั่งอาหารและเรียกเก็บตังครับ
บางครั้งคนขี้อายก็มีดีตรงที่ทำให้ รู้สึกว่า ตัวเราก็ไม่ได้แย่ไปซะทุกอย่าง
นอกจากนี้ ก็ยังมีคนขี้อาย ที่อายเป็นเฉพาะบางเรื่องเท่านั้นด้วยครับ แต่สำหรับเรื่องอื่นแล้วเค้าไม่อายเลยก็มี
ก็ต้องสังเกตดูครับ ว่าเค้าอายเรื่องอะไรบ้าง

คนกล้าแสดงออก
ก็จะเป็นคนที่ยินดีรับทำในสิ่งที่สังคมต้องการครับ มักจะยกมือให้ความช่วยเหลือก่อนใครเพื่อน
หรือมักจะยกมือ เมื่อมีการแข่งขัน ตอบปัญหา และจะมีรางวัลให้ คนที่กล้าแสดงออก
มักจะมีบทบาทในจุดนี้ครับ คนที่กล้าแสดงออกผมว่าเป็นคนที่เก่งนะ
ก็เป็นข้อดีในตัวของเค้าครับ คุณอาจจะได้พบเจอมาแล้วบ้าง ในชีวิตครับ คนกลุ่มนี้

คนเรียบร้อย
คนเรียบร้อย ก็มักจะเจอเป็นประจำในชีวิตประจำวันเลยล่ะครับ เค้าจะใช้คำพูดที่สุภาพกับคุณเสมอครับ
ถ้าหากเค้าเป็นเพื่อนคุณ เค้ามักจะเรียกตัวเองว่า เรา ครับ จะไม่ค่อยมีคำว่า ผม(GU) ให้ได้ยิน
เป็นคนที่สุภาพดีครับ และไม่ว่ายังไงก็ตาม คนเรียบร้อย มักจะไม่ค่อยได้อยู่ในงานกิจกรรมสังสรรค์ครับ
แต่ว่าเค้าจะชอบที่จะอยู่กับบ้าน ด้วยเหตุผลบางประการ เช่น พ่อแม่ ไม่ชอบให้ออกไปเที่ยว
หรือ ตัวเค้าเอง ไม่ชอบที่จะออกไปเที่ยวเองครับ

คนที่ฉลาดแกมโกง
ผมว่าคนกลุ่มนี้นั้น จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่ดี คือเวลาที่เค้าอยู่ในโรงเรียน
เค้าจะไม่ค่อยทำตามกฏระเบียบซักเท่าไหร่ แต่ว่าเค้าฉลาดที่จะเอาตัวรอดครับ
บางครั้งเค้าก็มักจะใช้กลโกงนิดหน่อย เช่นหลอกคนอื่น เพื่อที่ตัวเองจะได้รับประโยชน์บ้างเล็กน้อย
สาเหตุที่เค้าต้องทำแบบนี้คือ ในใจแล้วเค้าอาจจะคิดว่า เค้าต้องการมีชีวิตที่มีความสุขและสบาย
โดยไม่จำเป็นต้องลำบากอะไรกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ การกระทำของเค้า จะตบตาคนได้เสมอครับ
และคนกลุ่มนี้ เป็นคนที่ฉลาดเอาเรื่องครับ ถ้าคบเป็นเพื่อนได้ก็จะเจอชีวิตที่สนุกสนานขึ้นมากครับ
แต่ส่วนมากแล้ว คนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยคบเพื่อนในห้องหรือในรร.ครับ มักจะมีเพื่อนนอกรร.เป็นของตัวเอง
ไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนในห้องครับ

คนดัง
ศัพท์คำนี้ก็คือ คนที่เป็นที่รู้จักในสังคมมากหน้าหลายตา
คนดังจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากครับ และมีความภูมิใจในตัวเองมากๆ
คนดังนั้น ถ้าได้รู้จักกับคนธรรมดา เค้าจะไม่ค่อยจำคนอย่างพวกเราได้หรอกครับย
เค้าจะจำกันแต่คนดังด้วยกันเท่านั้น ยกเว้นว่า เค้าจะมีเพื่อนที่สนิทกันมาก่อนอยู่แล้วก่อนที่จะกลายเป็นคนดัง
สำหรับคนดัง เราสามารถพบเจอได้ตามห้างสรรพสินค้า หรือ ย่านแฟชั่น และงานปาร์ตี้ครับผม
คนดัง ไม่ได้หมายความถึงเฉพาะดารา นักแสดง ผู้ประกาศข่าว หรือผู้ที่อยู่ในโทรทัศน์
แต่อาจจะหมายถึง คนดังในสถาบันนั้นๆ อย่างเช่น เพื่อนในรร.คุณไง เช่น คนที่เป็นดาวรร.
อาจด้วยเพราะหน้าตาดี หรือเพราะว่าเป็นคนอัธยาศัยดี นั่นแหละคือคนดัง ครับผม

คนอยากดัง
อันนี้ก็มีเหมือนกันครับ คนอยากดังคือ คนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ
เค้ามักจะพยายามคิดว่า เค้านั่นแหละ คือคนดัง และพยายามเสริมสร้างความมั่นใจด้วยการ
แต่งหน้าทำผม สวมใส่เสื้อผ้าที่มีเครื่องประดับมากมาย
พยายามทำตัวโก้ เท่ และลากสังขารตัวเองกับเพื่อนๆที่อยากดังเหมือนกัน
ไปเดินโชว์ตัวตามห้างสรรพสินค้า และกิจกรรมที่พวกเค้าชอบทำก็คือ
1.ร้องคาราโอเกะ ด้วยลีลาท่าทางสุดสะดิ้ง โชว์สายตาผู้คน
2.เข้าลานโบลิ่ง ทำท่าโยนโบสวยๆ ทั้งๆที่อาจจะล้างท่ออย่างไม่ได้ตั้งใจ
และ 3. สูบบุหรี่ตามแหล่งอโคจร ^^" เช่น ข้างสเวนเซ่น หรือ ย่านที่มีหมูกระทะ และเหล้าเบียร์

คนดี
คนดีครับ คนดีก็คือคนที่ผู้คนปรารถนาที่จะเจอ แต่อาจไม่ได้ปรารถนาที่จะเป็นกันซักเท่าไหร่นัก
รวมถึงผมที่บางครั้งก็อยากจะเป็นคนกลุ่มนี้ แต่บางทีก็ทำผิดพลาดจนมันไม่ใช่ ก็มีเหมือนกันครับ
คนส่วนมากอยากเจอเพราะ คนดีมักจะให้ความช่วยเหลือในทุกๆเรื่องที่เค้าช่วยได้ครับ
นั่นคือ คนส่วนมากชอบที่จะมีความสบาย มีผลประโยชน์ ได้รับผลตอบแทนที่สูงค่ากว่าสิ่งที่ตนทำลงไป
คนดีก็มักจะเริ่มหายไปเหมือนกันนะครับ หาผม้สึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการมากเกินไปน่ะ ^^
วิธีที่จะเจอคนดีครับ ให้พยายามทำผิดพลาดและเจอเรื่องลำบาก และให้ทำหน้าตาเหมือนขอความช่วยเหลือ
หรือถ้ากล้าๆหน่อยก็ร้องตะโกน ขอความช่วยเหลือเลยครับ ถ้าสิ่งที่คุณเผชิญอยู่
ไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่าง หนังสือหล่น หรือเงินสิบบาทหาย คนดีจะปรากฏตัวขึ้นมาครับ
เรื่องร้ายๆก็เช่น ถูกโจรวิ่งราว หรือบ้านไฟไหม้ พวกนี้ครับ

คนไม่ดี
เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากเจอครับ คนไม่ดี มักจะทำความเดือดร้อนให้มากมาย
สำหรับตัวผมแล้วก็เจอมาเยอะครับคนกลุ่มนี้เนี่ย
และคนไม่ดีก็สามารถเป็นใครก็ได้นะครับ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นจำเพาะคนที่คุณไม่สนิทสนมด้วย
เพื่อนๆของพวกเราเองนี้ ก็มักจะมีคนแบบนี้อยู่เหมือนกันแหละครับ
แต่คนไม่ดี นั้น อาจจะดีกับคุณ และไม่ดีกับคนอื่น และจะมีในรูปแบบที่
ไม่ดีกับคุณ แต่ดีกับคนอื่นครับ เป็นเรื่องนี้น่าเจ็บช้ำระกำทรวงจริงๆนะเนี่ย

คนแปลก
คนแปลกเป็นคนที่มีนิสัยไม่เหมือนคนอื่น นั่นก็คือ ในขณะที่คนส่วนมากเลือกที่จะทำแบบนี้
แต่ตัวเค้ากลับที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนทั่วไป มีความคิดที่แปลก บางทีเค้าอาจจะเป็นคนที่
ชาญฉลาดมากกว่าที่ใครๆจะมองเค้าว่าเป็นเพียงไอ้บ้าตัวนึง คนแปลกอาจะทำให้คุณรำคาญได้บ้างเหมือนกันนะครับ
อย่างเช่น คนทั่วไป ยินดีจะเก็บของสำคัญที่ได้รับมา แต่ใจขณะที่คนแปลกอาจจะทำให้ของชิ้นนั้นอยู่ในรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนเดิมก็ได้ครับ
(คือยังไงคิดเอาเอง)

คนใจร้อน
คนใจร้อนคุยยากซักหน่อย หากคุณกับเค้านั้นเที่ยวกันอยู่ 2 คน คนที่ใจร้อน จะบอกให้คุณเร่งฝึกเท้า
และเค้าจะเป็นคนตัดสินใจอะไรทุกๆอย่างแทนคุณ (ถ้าตัวคุณดูเหมือนเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ) เค้าจะไม่ถาม
ความคิดเห็นของคุณเลย และคนใจร้อนนั้นก็เป็นคนที่คุณจะรู้สึกว่าเค้า ตัดสินใจได้...ไม่ดีเท่าที่ควร
นี่คือเรื่องจริงครับ ลองคิดดูสิ ^^" ผมโกหกตรงไหน

คนใจเย็น
ก็ตรงข้ามกับคนใจร้อน คือจะทำอะไรรอบคอบ เป็นคนที่ฉลาดเอาเรื่องล่ะ
หากคนใจเย็น อยู่กับคนใจร้อน ผลที่ได้ก็คือ จะมีผู้นำและผู้ตาม
แต่ถ้าหากว่า คนใจเย็นปะปนอยู่ในกลุ่มที่มีหลากหลายคน
คนใจเย็นจะสามารถเป็นคนตัดสินใจเรื่องราวต่างๆได้ดีกว่าคนใจร้อนครับ
และเป็นที่ยอมรับของทุกคนด้วย ถ้าหากคนใจเย็น แสดงตัวตนของเค้าออกมาได้น่าเชื่อถือ
ในขณะที่คนใจร้อน พูดอะไรมา จะไม่มีใครสนใจครับ จะทำเป็นเงียบ เพราะไม่เห็นด้วย ^^"

คนเพ้อฝัน
คนเพ้อฝันคือพวกที่ชอบละเมออยู่กับสิ่งที่ตัวเองหลงรักครับ
นั่นคือ ชอบคิดว่าตัวเอง จะสามารถ มีสิ่งที่ดีงาม สวยงาม
ทั้งๆที่จริงแล้วในโลกที่เค้าเผชิญนั้น เค้าก็เป็นแค่เพียง คนบ้า ในสายตาของเพื่อนๆครับ
คนกลุ่มนี้ จะจับกลุ่มอยู่ในกลุ่มพวกเดียวกันเอง และไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับ
พวกที่อยู่ในสังคมโลกกว้างครับ กลุ่มที่เค้าชอบก็คือ คนที่มีนิสัยติ๋มๆ นั่นเอง

คนติ๋มๆ (Nerd)
นั่นก็คือ จะไม่เป็นคนที่สู้กับคน ไม่ชอบเรื่องทะเลาะวิวาท
แต่! บางครั้งก็คิดจะทะเลาะวิวาท ทั้งๆที่ อยากจะบอกว่า ไม่ชนะหรอก
พวกนี้ผมจะพูดให้ฟังชัดๆว่า จะเป็นพวกตัดผมเกรียนครับ 555+ เพราะเชื่อฟังในกฏระเบียบมากเกินไป
ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ว่าตัวเองนั้น ก็สามารถที่จะมีความคิดเป็นของตนเอง
ทำตามกฏ เพราะกลัวถูกด่าถูกว่า ตัวผมเกรียน เพราะไม่อยากถูกกฏระเบียบนั้นอบรม
คนกลุ่มนี้คิดว่าเค้าทำถูกแล้วครับ ซึ่งผมก็คิดว่า มันก็ดีนะ ที่เค้าทำตามกฏระเบียบ
แต่เค้าก็เป็นได้แค่ เด็กธรรมดา ที่อยู่ในโลกของเด็กมากกว่าครับ
คนกลุ่มนี้จะชอบเล่นการ์ดยูกิ ชอบเรียนวิชาเลข และวิทย์ และเป็นเด็กสายวิทย์ครับผม
สำหรับเด็กศิลป์ จะเป็นศิลปคำนวณครับ ส่วนพวกศิลป์ภาษา เรามักจะไม่ค่อยเจอคนกลุ่มนี้
เพราะว่าจะมีแต่เด็กไม่ดีกันซะเป็นส่วนมาก ที่เลือกเรียนอะไรสบายๆ

คนก้าวร้าว (Jerk)
เจิร์ค คือพวกที่ทำผิดกฏระเบียบของโรงเรียน ไม่เกรงกลัวเสียงตวาด
ชอบที่จะทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่สนใจใคร คนกลุ่มนี้จะมีเพื่อนที่รักใคร่กันมากครับ
หมายถึงว่า เพื่อนที่เค้าคบอยู่นั้น คือเพื่อนตายของเค้าเลยทีเดียวล่ะ
กลุ่มของเค้ามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เป็นกลุ่มเที่ยว กลุ่มแว๊น กลุ่มอีโม อะไรก็ว่าไป
และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนกลุ่มนี้จะต้องพกอยู่เสมอ นั่นก็คือ บุหรี่ และ ไฟแช็ก
สำหรับเจิร์คที่จนๆหน่อย จะไม่ค่อยพกครับ มักจะขอชาวบ้านเค้า 55+ (กุจะโดนกระทืบไหมครับ เขียนแบบนี้)

คนอกหัก
เป็นพวกที่น่าสงสารมากครับ
คนอกหักเป็นได้ทุกคน และคนอกหัก หากคิดสั้นไปหน่อย ก็จะชอบที่จะหันไปสูบบุหรี่
ทั้งๆที่ไม่เคยมาก่อน ก็จะมาได้เริ่มริลอง และดูดกันเป็นว่าเล่น แล้วก็จะเข้าไปพัวพันกับ คนกลุ่มข้างบน
แต่ก็มีคนอกหักที่ไม่หันไปสูบเหมือนกันครับ แต่ตอนสุดท้ายแล้ว คนอกหัก ก็จะไม่ได้พบความเลว้ร้าย
แต่เค้าจะมีพัฒนาการพวกนี้ดีขึ้นมาก และได้เจอกับสิ่งที่ดีๆในชีวิตมากมายเลยล่ะครับ


คนเก่ง
คนเก่งนั้นมีน้อยครับ คนที่เก่งจะเป็นที่พึ่งพาของเพื่อนได้ดีมาก
เค้าจะเป็นคนที่มีแต่คนอยากคบหาด้วยครับ เช่น อาจจะเก่งในเรื่องเรียน
ก็มักจะเป็นคลังสมองของเพื่อนๆไว้ลอกการบ้าน ถ้าเก่งเรื่องกีฬา
เค้าก็จะสามารถที่จะนำพาชัยชนะมาให้ทีมได้ครับ คนเก่งเป็นคนที่เท่ดีครับ
ในความคิดผมนะ แต่จำไว้ว่า คนที่เก่งจริง จะไม่มาพูดคุยโวโอ้อวดเหน็บแนมใครหรอกครับ
เชื่อผมสิ ถ้าคุณเจอคนที่เก่งแล้วชอบคุยโม้ล่ะก็ ยังมีคนที่เก่งกว่าเค้าอีกเยอะครับ

คนกล้าหาญ
คนกล้าหาญไม่คล้ายกับคนกล้าแสดงออกครับ
คนกล้าหาญคือ เค้ามีจิตใจที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาชีวิตอันร้ายกาจ
คนกล้าหาญ จะเป็นคนนำคุณเข้าไปในสถานที่ที่อันตราย เค้าไม่กลัวที่จะตายครับ
อาจจะชอบที่จะกระโดดหอ เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว ผมว่าอาชีพที่เหมาะกับเค้าคือ ทหาร ครับ
และคนกล้าหาญจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคุณ ว่าสิ่งที่เค้าทำก่อนใครเพื่อน เป็นสิ่งที่ถูกหรือว่าผิดครับ

คนรักเพื่อน
คนที่มีนิสัยแบบนี้ จะเป็นคนที่ค่อนข้างมีเพื่อนเยอะครับ
แต่จะแบ่งได้เป็น 2 อย่างคือ เป็นคนคิดมาก กับเป็นคนที่ไม่คิดมาก
ในแบบแรก คนที่รักเพื่อนแบบไม่คิดมาก เค้าชอบที่จะเปิดใจกว้างพูดเรื่องอะไรก็ได้
โดยไม่คิดอะไร แต่ว่าคนที่คิดมาก อาจจะรู้สึกไม่ค่อยดี ถ้าหากว่าเค้าทำอะไรลงไปซักอย่าง
ในกลุ่มเพื่อนๆด้วยแล้ว เค้าอาจจะคิดว่า เค้าทำผิดครับ ทั้งๆที่ไม่มีใครคิดอะไรเลยก็มี
แต่ที่แอบคิดเนี่ย ก็มีเหมือนกันนะ พวกที่รักเพื่อน จะเป็นคนที่จริงใจและตรงไปตรงมาครับ
ถ้ามีอะไรก็ให้ปรึกษาพวกเค้าได้ เค้าจะไม่ทิ้งคุณแน่นอน

คนรักแฟน
555+ คนรักแฟนก็จะไม่ค่อยได้คบหาเพื่อนๆด้วยกันเท่าไหร่ครับ
มักจะทุ่มเทเวลาเอาไปให้แฟนซะเป็นส่วนมาก เหตุผลก็คือ เค้ามีความคิดที่ว่า
แฟนคือคนที่จะสามารถอยู่กับเค้าได้ไปตลอดชีวิตไงครับ
ส่วนเพื่อนนั้น เป็นรอง เค้าจะให้ความสนใจทีหลัง ผมคิดว่าเป็นความคิดที่ไม่ดีเอาซะเลยนะเนี่ย
เพราะยังไง คนเราก็มีเพื่อนหลายคน แต่ว่ามีแฟนแค่คนเดียวนี่ครับ
ควรจะให้ความสำคัญกับทั้งสองฝ่ายนะ ในบางมุมมอง คนรักแฟน คือคนที่ไม่น่าคบเท่าไหร่หรอกครับ
ถ้าเค้าไม่ได้สนใจที่จะไปไหนกับเพื่อนเลยน่ะนะ

คนรักครอบครัว
อันนี้เป็นนิสัยที่ผมว่าดีมากๆเลยนะ
คนรักครอบครัวจะเชื่อฟังพ่อแม่ครับ จะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจแน่
หรือถ้าทำไปแล้ว อาจจะไปขอโทษพ่อแม่ทีหลังก็ได้ครับ ไม่ผิด
คนกลุ่มนี้ เป็นคนที่มีจิตใจดีครับ เพราะได้อยู่กับความรักที่จริงใจในครอบครัว
ถ้าเค้าสามารถสร้างครอบครัวได้เอง ก็จะเป็นครอบครัวที่มีความสุขครับ
แต่ว่าคนรักครอบครัว ถ้าหากมีเรื่องให้ตัดสินใจ ระหว่างเรื่องเพื่อนกับเรื่องที่บ้าน
เค้าจะทิ้งความหวังของเพื่อน และ เลือกที่จะเชื่อฟังที่บ้านครับ

แอร์เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อรา

แพทย์แนะหมั่นทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ อย่าให้มีกลิ่นอับชื้น ล้างแผ่นกรองอย่างน้อยเดือนละครั้ง ชี้เครื่องปรับอากาศเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อรา ต้นเหตุโรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนัง หอบหืด ปอดบวม วัณโรค และโรคระบบทางเดินหายใจ

นพ.ฉัตรชัย เอกปัญญาสกุล แพทย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) องครักษ์ เปิดเผยว่า ไม่มีใครสนใจว่าเครื่องปรับอากาศนั้นแม้จะทำให้คลายร้อนลงได้ แต่แฝงไปด้วยเชื้อโรคและมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อสุขภาพแทบทั้งสิ้น เช่น โรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศมักเป็นเชื้อโรค ที่เจริญเติบโตได้รวดเร็วและแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ โดยเชื้อแบคทีเรียส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นโรควัณโรค เชื้อไวรัส ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด หัดเยอรมัน

นพ.ฉัตรชัย กล่าวด้วยว่า ดังนั้นผู้ใช้เครื่องปรับอากาศควรจะสังเกตว่าเวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศ ถ้ามีกลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมากๆ เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง ไม่ใช่ความเย็นบริสุทธิ์ แต่เป็นความเย็นที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคต่างๆ มากมาย โรคที่พบบ่อยของการใช้เครื่องปรับอากาศที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคก็คือ โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

นพ.ฉัตรชัยกล่าวว่า แนะนำให้ผู้ที่ใช้เครื่องปรับอากาศล้างทำความสะอาด เครื่องปรับอากาศสม่ำเสมอ ด้วยการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรงๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ.

เตือนภัย'สารตะกั่ว'ในสีเคลือบลายจานถ้วยชามเซรามิก

ขณะนี้คนไทยเสี่ยงภัยจากสารอันตรายที่ปนเปื้อนมากับอาหารบริโภคมากขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะภาชนะใส่อาหาร ซึ่งเป็นภัยที่อยู่ใกล้ตัวและต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ต้องระวังก็คือ สีที่ใช้เคลือบลวดลายในถ้วย ชาม กระเบื้องเคลือบดินเผาหรือที่เรียกว่าเซรามิก ซึ่งมีวางขายทั่วๆ ไปตามตลาดสด ตลาดนัด ชาวบ้านมักนิยมเลือกส่วนที่มีลวดลายสวยงาม แต่ไม่รู้ถึงอันตรายที่แอบแฝงอยู่ในสีที่ใช้เคลือบลวดลาย ซึ่งมีสารตะกั่วเป็นส่วนผสม เมื่อถูกความร้อนจะสลายตัวออกมาปนเปื้อนกับอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีสภาพเป็นกรด การปนเปื้อนสารตะกั่วไม่สามารถมองเห็นได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการสะสมในร่างกายโดยไม่รู้ตัว

เมื่อสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกว่าร้อยละ 95 มักปนเปื้อนมากับอาหาร จะมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทและสมอง ทำให้ความจำเสื่อม ตัวสั่น ทำลายไต ทำลายเม็ดเลือดแดง หากเป็นในเด็กเล็ก แม้ได้รับเพียงปริมาณน้อย ก็จะมีผลให้เติบโตช้า ไอคิวต่ำ เพราะสมองถูกตะกั่วทำลาย ประสิทธิภาพการเรียนรู้จะลดลง พิษเหล่านี้จะค่อยๆ สะสมในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ได้มอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาชุดตรวจง่ายๆ เพื่อหาสารตะกั่วที่ปนเปื้อนอยู่ในสีที่เคลือบลวดลายภาชนะเหล่านี้ อย่างน้อยเพื่อให้ อสม. หรือเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือจังหวัด สามารถใช้ตรวจได้ เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัย เตือนภัยอันตรายแก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงที จะทำให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยทางสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น

ทางด้านนพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาชุตรวจหาการปนเปื้อนในอาหารทั้งหมด 22 ชนิด ซึ่งรวมทั้งชุดทดสอบสารตะกั่วในถ้วย ชาม จาน ที่เป็นกระเบื้องเคลือบดินเผาด้วย วิธีการตรวจง่าย โดยใช้กระดาษทรายขูดบริเวณลวดลาย เพื่อขัดน้ำยาเคลือบออก จากนั้นใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำยาที่มีสีเหลือง ถูวนไปวนมาบนสีที่เคลือบนานประมาณ 1 นาที หากสำลีเปลี่ยนสีเป็นสีชมพู แสดงว่ามีสารตะกั่ว ไม่ปลอดภัยที่จะใช้ใส่อาหารบริโภค ผลตรวจสอบมีความแม่นยำ ตรงกับการตรวจในห้องปฏิบัติการปกติ

นพ.มานิต กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจสอบถ้วย จาน ชาม เซรามิกที่วางขายในท้องตลาดทั่วไป โดยเฉพาะตามตลาดนัด หรือวางแบกะดิน ในแถบจังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีราคาถูกประมาณชิ้นละ 10-15 บาท พบว่าภาชนะเซรามิกประเภทจานแบนที่เคลือบลวดลายสีภายใน ตรวจทั้งหมด 14 ตัวอย่าง พบสารตะกั่วทุกตัวอย่าง ส่วนจานแบนที่เป็นสีขาว ไม่มีลวดลายด้านใน ตรวจ 8 ตัวอย่าง ไม่พบสารตะกั่วทุกตัวอย่าง และจานเซรามิกที่มีสี แต่ไม่มีลวดลายด้านใน ตรวจ 7 ตัวอย่าง ไม่พบสารตะกั่วเช่นกัน

ในภาชนะเซรามิกประเภทถ้วย ชาม ได้ตรวจถ้วยที่มีสีขาว และเคลือบลายด้านใน จำนวน 15 ตัวอย่าง พบสารตะกั่วทุกตัวอย่าง ส่วนถ้วยที่มีสีขาวและไม่ได้เคลือบลวดลายด้านใน ตรวจ 3 ตัวอย่าง ไม่พบทุกตัวอย่าง เมื่อนำภาชนะกระเบื้องเคลือบที่ตรวจพบสารตะกั่ว มาตรวจยืนยันผลในห้องปฏิบัติการพบว่า มี 1 ตัวอย่างที่มีสารตะกั่วเกินค่ากำหนดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 92 (พ.ศ. 2528) แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเสี่ยงจากการบริโภคอาหารที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนในชีวิตประจำวัน

'ดังนั้น จึงแนะนำให้ประชาชน โดยเฉพาะแม่บ้าน ในการเลือกจานชามเซรามิก อย่าเห็นแก่ราคาถูก หรือลวดลายสวยงาม ถ้วยชามที่ปลอดภัยที่สุด ควรเป็นชนิดที่ไม่มีลวดลายด้านใน หากเป็นถ้วยชามที่มีลวดลายด้านใน ลักษณะรอยลวดลายจะต้องเรียบเป็นเนื้อเดียวกันกับกระเบื้อง วิธีทดสอบง่ายๆ เมื่อใช้มือเปล่าลูบที่ลายแล้ว จะต้องไม่สะดุดรอยนูน หากลูบแล้วสะดุด มีโอกาสเสี่ยงต่อการละลายของสารตะกั่วออกมา ถ้าสีที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ในการใช้ถ้วยชามที่มีลวดลาย หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใส่อาหารประเภทที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แกงส้ม เป็นต้น เพราะกรดอาจจะสลายสีออกมาได้

ทั้งนี้หากประชาชนหรือหน่วยงานใด สนใจชุดตรวจหาสารตะกั่วในถ้วย ชามเซรามิก สามารถสอบถามได้ที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 02-951-000 ต่อ 99501 ,02-951-1020-1 ในวันเวลาราชการ' นพ.มานิตกล่าว

ระวัง!เครื่องพิมพ์เลเซอร์ อันตรายถึง 'ปอด'-ทางเดินหายใจ

วารสาร'ฉลาดซื้อ'ฉบับล่าสุด(ฉบับที่ 80)ได้นำเสนอผลการวิจัยทางวิชาการของ ห้องปฏิบัติการนานาชาติเพื่อคุณภาพของอากาศและสุขภาพของมหาวิทยาลัย ควีนส์แลนด์ โดยระบุว่า

สิ่งที่ได้ทราบจากงานวิจัยชิ้นนี้คือ เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ที่เราใช้กันอยู่ในสำนักงาน ปล่อยอนุภาคที่เป็นอันตรายต่อปอดและระบบทางเดินหายใจของเรามากน้อยแค่ไหน และเราเชื่อว่า ผลการวิจัยดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านฉลาดซื้อเพราะคุณอาจเป็นอีกหนึ่งคนที่ใช้เวลาอยู่ในสำนักงานวันละไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง

เครื่องพิมพ์เลเซอร์นั้นเป็นที่นิยมกันมากขึ้น เพราะต้นทุนในการพิมพ์ต่อแผ่นต่ำกว่าเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ท และงานพิมพ์ที่ออกมาก็ดูสวยงาม สมเป็นมืออาชีพ แต่อีกปัจจัยที่เราไม่อาจละเลยคือ เรื่องของคุณภาพอากาศภายในอาคาร ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของเรา

องค์การอนามัยโลกเคยประเมินไว้ว่า 1 ใน 3 ของอาคารในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีปัญหามลพิษกันทั้งสิ้น และคุณภาพของอากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวันนั้น ก็เป็นที่สนใจของนักวิจัยกันไม่น้อย แต่เรื่องการปล่อยอนุภาคของหมึกพิมพ์นั้นยังไม่ค่อยมีคนศึกษาไว้มากนัก

อนุภาคที่ถูกปล่อยออกมาขณะพิมพ์งานและฟุ้งกระจายอยู่ในสำนักงานนั้นมีขนาดเล็กมาก นักวิชาการบอกว่า อนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตรนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ เนื่องจากมันสามารถแทรกซึมผ่านระบบหายใจ เข้าไปเกาะที่เซลล์ปอด ถ้าได้รับในปริมาณมากที่จะสะสมพอกพูนจนเกิดเป็นพังผืดหรือแผลขึ้น นำไปสู่อาการหลอดลมอักเสบ หอบหืด หรือถุงลมโป่งพองได้

อีกสาเหตุที่อนุภาพขนาดเล็กเป็นอันตรายต่อเรามากกว่าอนุภาพขนาดใหญ่นั้น ก็เพราะมันสามารถลอยวนไปเวียนมาอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน เนื่องจากมันน้ำหนักเบา ยิ่งเล็กมากก็ยิ่งลอยอยู่ได้นานมาก ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า อนุภาคที่เล็กกว่า 0.5 ไมครอนนั้น สามารถแขวนอยู่ในอากาศได้ถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว

ผลการวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า มีเครื่องพิมพ์บางรุ่นที่ไม่ปล่อยอนุภาพผงหมึกขนาดเล็กออกมาเลย ในขณะที่บางรุ่นนั้นปล่อยออกมาค่อนข้างมากทีเดียว ดังนั้นงานวิจัยชิ้นนี้

จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่ต้องการข้อมูลด้านความปลอดภัย ก่อนจะตัดสินใจซื้อเครื่องพิมพ์มาใช้ในสำนักงาน หรือใชส่วนตัวที่บ้าน

หนังสือพิมพ์ และสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งก็ลงเรื่องผลวิจัยดังกล่าวแต่ยังไม่มีใครลงรายชื่อเครื่องพิมพ์ ฉลาดซื้อเลยถือโอกาสนี้นำเสนอซะเลย

แต่ทั้งนี้ขอย้ำอีกทีว่างานวิจัยชิ้นนี้ไม่ใช่การทดสอบคุณภาพด้านอื่นๆ ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์รุ่นที่เรากล่าวถึงแต่อย่างใด

ข้อสังเกต

อายุของแคร่หมึกมีผลต่อการปล่อยอนุภาคโดยแคร่หมึกเก่านั้นทำให้กิดอนุภาคขนาดเล็กมากกว่าแคร่หมึกใหม่ ถึงแม้ว่าโดยรวมแล้วมันจะทำให้เกิดจำนวนอนุภาคโดยรวมน้อยกว่าแคร่หมึกใหม่ก็ตาม

วิธีการสำรวจ

นักวิจัยวัดการปล่อยอนุภาคของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ที่ใช้กันในอาคาร 6 ชั้นแห่งหนึ่ง ในย่านธุรกิจของเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย อาคารแห่งนี้มีการวางผังสำนักงานเป็นแบบเปิดโล่งตั้งอยู่ห่างจากทางหลวงที่จอแจประมาณ 120 เมตร และมีเครื่องพิมพ์เลเซอร์ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ของอาคาร ทั้งหมด 62 เครื่อง (บางรุ่นมีมากกว่าหนึ่งเครื่อง)

ผู้วิจัยทดสอบโดยการวัดปริมาณอนุภาคในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับเครื่องพิมพ์ ในสำนักงานแบบเปิดโล่ง ขนาดใหญ่ หลังจากทำงานพิมพ์เสร็จ 1 แผ่น

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาลักษณะการปล่อยอนุภาคของเครื่องพิมพ์ 3 รุ่น ในห้องทดลองด้วยทำให้พบว่า อัตราการปล่อยอนุภาคนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องพิมพ์ ลักษณะของการห่อหุ้มผงหมึกและอายุการใช้งานของแคร่หมึกด้วย

ผลการวิจัย

นักวิจัยพบว่าอนุภาคที่ปล่อยออกมาจากเครื่องพิมพ์นั้น เป็นสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของผงอนุภาคขนาดเล็กในสำนักงาน และได้แบ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์ดังกล่าวออกเป็น 4

ประเภท ได้แก่

1. รุ่นที่ไม่ปล่อยอนุภาคของผงหมึกเลย

2. รุ่นที่ปล่อยอนุภาคของผงหมึกในระดับต่ำ

3. รุ่นที่ปล่อยอนุภาคของผงหมึกในระดับกลาง

4. รุ่นที่ปลอยอนุภาคของผงหมึกในระดับสูง

ข้อแนะนำ

ตำแหน่งที่ตั้งเครื่องพิมพ์ในสำนักงานนั้น ควรอยู่ในบริเวณที่อนุภาคจากผงหมึกสามารถกระจายออกไปนอกตัวอาคารได้ง่าย

และที่สำคัญ เพื่อให้เข้ากับยุครณรงค์ลดโลกร้อน นอกจากต้องยืดอกพกถุงผ้าแล้วเราก็อาจจะช่วยกันสั่งพิมพ์งานให้น้อยลง เพราะถึงแม้เครื่องพิมพ์ที่เราใช้จะไม่ได้ปล่อยอนุภาคผงหมึกที่เป็นอันตรายต่อร่างกายออกมาฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ แต่การสั่งพิมพ์งานแต่ละครั้งก็หมายถึงค่าใช้จ่ายอย่างค่าผงหมึก ค่าบำรุงรักษา ค่าไฟฟ้า และการสิ้นเปลืองกระดาษอีกด้วย

เครื่องพิมพ์เลเซอร์สำหรับสำนักงาน กลุ่มที่ไม่มีการปล่อยอนุภาคผงหมึก
1.HP Color Laser jet 4550DN
2. HP Color Laser jet 8500DN
3. HP Laser jet 2200DN
4. HP Laser jet 2300dtn
5. HP Laser jet 4 plus
6. HP Laser jet 4000N
7. HP Laser jet 4000TN
8. HP Laser jet 4050N
9. HP Laser jet 4050TN
10. HP Laser jet 4si
11. HP Laser jet 5(b)
12. HP Laser jet 5000n
13. HP Laser jet 5100tn
14. HP Laser jet 5N
15. HP Laser jet 5si
16. HP Laser jet 5si/NX
17. HP Laser jet 8000DN
18. HP Laser jet 8150DN
19. Mita DC 4060
20. RICOH Aflcio 2022
21. RICOH Aflcio 3045
22. RICOH Aflcio 3245C
23. RICOH Aflcio CC3000DN
24. TOSHIBA Studio 350

เครื่องพิมพ์เลเซอร์สำหรับสำนักงานกลุ่มที่ปล่อยอนุภาคผงหมึก ในระดับกลาง
1. HP Laser jet 1020
2. HP Laser jet 4200dtn

เครื่องพิมพ์เลเซอร์สำหรับสำนักงานกลุ่มที่ปล่อยอนุภาคผงหมึก ในระดับกลาง
1. HP Color Laser jet 4650dn
2. HP Color Laser jet 5550dtn
3. HP Color Laser jet 8550N
4. HP Laser jet 1320N
5. HP Laser jet 2420dn
6. HP Laser jet 2420dn
7. HP Laser jet 4200dtn
8. HP Laser jet 4250n (old)
9. HP Laser jet 4250 (new)
10. HP Laser jet 5 (a)
11. HP Laser jet 8000DN
12. HP Laser jet 8150N
13. TOSHIBA Studio 450

เครื่องพิมพ์เลเซอร์สำหรับสำนักงานกลุ่มที่ปล่อยอนุภาคผงหมึก ในระดับต่ำ
1. Canon IRC6800
2. HP Laser jet 5M
3. HP Laser jet 9000dn
4. RICOH CL3000DN

เครียดมาก…ภูมิคุ้มกันพร่อง

Immune System หรือระบบภูมิคุ้มกัน นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย มีหน้าที่ปกป้องคนเราจากเชื้อโรค ไม่ให้ไวรัสหรือแบคทีเรียต่างๆ เข้าทำร้าย ทำให้มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง แต่น้อยคนจะรู้ว่า มีสิ่งหนึ่งซึ่งระบบภูมิคุ้มกันไม่อาจต่อสู้ได้ นั่นคือความเครียด !

จากการศึกษาของนักวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าความเครียดทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เป็นเหตุให้ไวรัสไข้หวัดและเชื้อโรคอื่นๆ เข้าโจมตีร่างกายได้ เห็นชัดเจนจากผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีความเครียดมากๆ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นโรคเอดส์ และป่วยจากเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น

นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีความเครียดสูง มีโอกาสหายจากโรคร้าย น้อยกว่าผู้ป่วยที่มีสุขภาพจิตดีถึง 6 เท่า

แจนิซ คีโคลท์-เกลเซอร์ (Janice Kiecolt-Glaser) นักวิจัยแห่ง Ohio State University ระบุว่า สภาพแวดล้อมรอบตัวมีความสำคัญต่อสุขภาพที่สมบูรณ์ สิ่งที่คนเราควรคำนึงถึงตลอดเวลาคือการรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อให้สามารถต่อสู้กับความเจ็บป่วยต่างๆ ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ในวัย 60-70 ปีนั้น ยิ่งต้องระมัดระวังเรื่องความเครียดให้มากๆ ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้าสู่วัยชรา ความเครียดมักจะทำให้เกิดโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ แต่ถ้าใช้ชีวิตโดยปราศจากความเครียด หรือระวังให้เกิดความเครียดน้อยที่สุด ความเจ็บป่วยดังกล่าวจะลดลง

อย่างไรก็ตาม ความเครียดบางอย่างก็ไม่นับว่าไปบั่นทอนระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ความเครียดจากรถติด โดยนักวิจัยอธิบายว่า นักเดินทางรู้ดีอยู่แล้วว่าความหงุดหงิดในปัญหาที่ประสบอยู่นั้น สักพักจะหายไป

แต่ความเครียดระยะยาว เช่น ผู้ที่ประสบปัญหาการหย่าร้างหรือเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นกลุ่มที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่างๆ หรือมีการเจ็บป่วยมากขึ้นกว่าเดิม

รู้อย่างนี้แล้วเลิกเครียดกันดีกว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แต่เราต้องเบิกบานอยู่เสมอ

พิษร้าย...ยานอนหลับ

หลายท่านคงเคยมีปัญหานอนไม่หลับ และมีประสบการณ์การใช้ยานอนหลับกันบ้างนะคะ และอีกหลายๆ ท่านในกลุ่มนี้เช่นกันที่มีปัญหากับการใช้ยานอนหลับด้วย สำหรับคำถามที่ดิฉันมักได้ยินบ่อยๆ เวลาจ่ายยา เช่น ติดยานอนหลับค่ะ ถ้าไม่ได้กินคือจะนอนไม่ได้เลย เป็นแบบนี้มา 3 ปีแล้ว จะทำยังไงดีค่ะ หรือคุณหมอเปลี่ยนยานอนหลับให้หลายตัวแล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับอีก มียานอนหลับที่แรงกว่านี้มั้ยค่ะ หรือไม่ได้นอนไม่หลับซะหน่อย แต่ทำไมคุณหมอจ่ายยานอนหลับให้ค่ะ เป็นต้น ดังนั้นฉบับนี้เรามาทำความรู้จักกับยานอนหลับให้มากขึ้นกว่าเดิมกันดีกว่าค่ะ

ยานอนหลับ คือ ยาที่ออกฤทธิ์ทำให้ง่วงนอนและมักช่วยบรรเทาอาการตึงเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบางท่านที่ไม่มีปัญหานอนไม่หลับ แต่กลับได้รับยานอนหลับมากิน ในขณะที่บางท่านอาจจะรู้สึกเครียด หรือวิตกกังวล ซึ่งยานอนหลับก็สามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ

ทางการแพทย์ถือว่ายากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษซึ่งจะต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยตนเองจากร้านขายยาทั่วไป ดังนั้นในกรณีที่มีการจำหน่ายยากลุ่มนี้โดยไม่มีใบสั่งแพทย์ จะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ปัจจุบันนี้การใช้ยานอนหลับในการรักษาอาการนอนไม่หลับได้รับความนิยมอย่างสูง และมียานอนหลับในท้องตลาดหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งอาจทำให้หลายท่านเข้าใจว่า การใช้ยานอนหลับเป็นการรักษาอาการนอนไม่หลับ แต่ความจริงแล้วการใช้ยานอนหลับ ไม่ได้รักษาอาการนอนไม่หลับ เพียงแค่ทำให้อาการนอนไม่หลับของท่านทุเลาลงเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีมิจฉาชีพบางประเภทที่นำคุณสมบัติของยานอนหลับมาใช้มอมยาเหยื่อ เพื่อล่วงละเมิดทางเพศหรือลักทรัพย์ดังที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ

ผลเสียของยานอนหลับ
การใช้ยานอนหลับอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการซื้อยามากินเอง ทำให้เกิดอันตรายมากกว่าที่คิด เช่น การใช้ยานอนหลับบางชนิดที่ออกฤทธิ์เป็นระยะเวลานาน หรือในผู้สูงอายุที่ร่างกายมีความสามารถในการกำจัดยาลดลง อาจทำให้ยังมียาสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อตื่นนอนแล้ว บางคนจึงยังรู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย หรือมึนงง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ในคนที่ต้องขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร เนื่องจากอาการง่วงซึมแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจและการเคลื่อนไหวที่ต้องการความรวดเร็ว ทำให้เชื่องช้าลงได้ หรือในผู้สูงอายุอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้

นอกจากนี้ผู้ที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคปอด หรือผู้ที่นอนกรนอย่างมาก หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่กดประสาทส่วนกลางดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับ เนื่องจากยานอนหลับบางชนิดออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ศูนย์ควบคุมการหายใจถูกกดไปด้วย อาจเป็นสาเหตุให้ร่างกายหยุดหายใจได้ หรือในกรณีที่การใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ก็อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น

การดื้อยา คือการใช้ยานอนหลับขนาดเดิมติดต่อกันสักระยะหนึ่งแล้วพบว่าได้ผลการรักษา (การทำให้นอนหลับได้) น้อยลง จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขนาดยาดังกล่าวอาจมากเกินกว่าขนาดปกติที่ใช้ในการรักษาจนเกิดพิษจากยาได้

การติดยา คือเมื่อใช้ยาติดต่อกันสักระยะหนึ่งแล้วหยุด อาจทำให้อาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นอีกครั้ง จนต้องกลับมาใช้ยาต่อเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยให้นอนหลับได้

เซ็กซ์เสื่อม มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับยานอนหลับบางชนิดเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้

ความจำเสื่อม ยานอนหลับอาจส่งผลต่อระบบความจำในระยะยาวได้ ทำให้ไม่สามารถจำเหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ได้ยาวนานเหมือนคนปกติทั่วไป

ดังนั้นการรักษาอาการนอนไม่หลับที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การใช้ยานอนหลับที่มีขนาดต่ำที่สุดที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาสั้นๆ (ไม่ควรเกิน 2 – 4 สัปดาห์) ร่วมกับการรักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ ร่วมกับการปฏิบัติสุขอนามัยการนอนที่ดีด้วยคะ

การนอนหลับ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย แต่ภาวะทางสังคมในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือ แม้แต่มลพิษจากสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราสามารถเกิดความตึงเครียด วิตกกังวลได้ ซึ่งอาจส่งผลไม่น้อยต่อการนอนหลับ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะอะไรอาการนอนไม่หลับจึงเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพของคนเราในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริกา แบ่งความรุนแรงของอาการนอนไม่หลับออกเป็น 3 ระดับ คือ

- นอนไม่หลับชั่วคราว หมายถึงการนอนไม่หลับที่เป็นอยู่ช่วงระยะสั้น ๆ มักไม่เกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสิ่งมากระตุ้น เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล การได้รับสารกระตุ้นการทำงานของร่างกาย เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง หรือในผู้ที่ต้องเดินทางบินข้ามทวีป (Jet Lag) อาจทำให้เกิดการนอนไม่หลับชั่วคราวได้ แต่เมื่อสิ่งที่มากระตุ้นเหล่านี้หมดไป ร่างกายก็จะกลับมานอนหลับเป็นปกติได้

- นอนไม่หลับระยะสั้น หมายถึงการนอนไม่หลับเป็นระยะเวลา 1-3 สัปดาห์ อาจเกิดจากความเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งความเจ็บป่วยบางชนิดนั้นก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบการนอนได้ เช่น โรคหัวใจ การไอเรื้อรัง ไทรอยด์ ปัญหาต่อมลูกหมาก ติดยา เป็นต้น ทั้งนี้หากปล่อยไว้โดยไม่ได้แก้ไข อาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นอาการนอนไม่หลับเรื้อรังในที่สุด

- นอนไม่หลับระยะยาว หมายถึงการนอนไม่หลับ เป็นระยะเวลามากกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเป็นอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง สาเหตุสำคัญอาจเกิดจากโรคประจำตัวต่างๆ โดยเฉพาะโรคทางระบบประสาท และจิตเวช เช่น โรคสมองเสื่อม ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น

หากเกิดปัญหาการนอนไม่หลับทั้ง 3 ชนิดนี้ขึ้น ย่อมส่งผลให้ช่วงระยะเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อนหรือเวลาหลับสนิทลดน้อยลงกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อความพร้อมและความสดชื่นของสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้รู้สึกไม่สดชื่น แจ่มใส ง่วงเหงาหาวนอน ขาดสมาธิในการทำงาน ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการทำงานได้


สุขอนามัยในการนอนที่ดี ได้แก่

- ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ไม่ว่าคืนก่อนจะนอนหลับหรือไม่ก็ตาม

- จำกัดเวลานอนให้เหมาะสม และเพียงพอ โดยทั่วไปวัยรุ่นต้องการเวลานอน 11 ชั่วโมง วัยทำงาน 8 ชั่วโมง และผู้สูงอายุ 6 ชั่วโมง
ต่อวัน

- การจัดห้องนอนและบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสมก็จะช่วยได้มาก เช่น อุณหภูมิห้องไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป ที่นอนไม่นุ่มหรือไม่แข็งเกินไป หมอนหนุนไม่สูงมากไม่ต่ำมาก ไม่มีเสียงรบกวน แต่เสียงพัดลมหรือ เสียงเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเสียงสม่ำเสมอ เป็นตัวกลบเสียงรบกวนอื่น ก็อาจช่วยให้หลับได้ดีขึ้น ห้องนอนต้องไม่สว่างเกินไป ท่านอนที่ดีคือ ท่านอนหงาย

- ฝึกฝนการผ่อนคลายความตึงเครียดทุกเย็นอย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือสมาธิ

- ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ แต่ไม่ควรออกกำลังกายในช่วงค่ำและก่อนนอน

- งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม โดยเฉพาะเวลาหลังเที่ยงวัน

- งดการดื่มสุรา สุราทำให้หลับเร็วขึ้น แต่จะทำให้หลับๆ ตื่นๆ

- แม้ว่าบางคืนจะนอนไม่หลับ ในเวลากลางวันสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที ก็ควรที่จะทำงานให้ยุ่งเสมอ แทนที่จะนอนพักผ่อน เว้นแต่ในบางรายที่พบว่าการงีบหลับในระหว่างวัน ช่วยให้นอนหลับดีในเวลากลางคืน สุขอนามัยในการนอนที่ดี ทั้งหมดนี้อาจฟังดูปฏิบัติตามได้ยากสักหน่อยในผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับมานานแล้ว แต่หากท่านลองค่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยานอนหลับ ท้ายนี้ขอให้ทุกคนนอนหลับฝันดี และตื่นขึ้นมา
ด้วยความรู้สึกสดชื่นนะคะ