26 ก.ค. 2554

สุขภาพดีแบบแม็คโครไบโอติกส์


สุขภาพดีแบบแม็คโครไบโอติกส์ (Momypedia)
โดย: วิลาสิณี

การกินที่รักษาได้แม้กระทั่งมะเร็ง

จะมีใครรู้บ้างว่าโรคยอดฮิตต่าง ๆ ในทุกวันนี้ อย่างมะเร็ง เบาหวาน ข้ออักเสบ โรคหัวใจ นั้นมีสาเหตุหนึ่งมาจากอาหารและวิถีชีวิตที่เร่งรีบเกินไปของเรา

เพราะอาหารทุกวันนี้ออกไปทางความหวานจัด เค็มจัด มันจัด และเปี่ยมไปด้วยผงชูรส ซึ่งอาหารแบบนี้ล้วนทำให้ร่างกายเรามีภาวะความเป็นกรดด่างไม่ปกติ เป็นที่มาของโรคทั้งหลาย เราจึงขอเสนอทางเลือกด้านอาหารสำหรับคุณ มันคือ "แม็คโครไบโอติกส์"

แมคโครไบโอติกส์คืออะไร

แมคโครไบโอติกส์ (Macrobiotics) มาจากภาษากรีกโบราณ ประกอบด้วย "แมคโคร" (macro) ที่แปลว่ายิ่งใหญ่หรือยืนยาว และ "ไบโอส์" (bios) ที่แปลว่า ชีวิต แมคโครไบโอติกส์ไม่ใช่เรื่องใหม่ พบว่าการใช้คำนี้ตั้งแต่สมัยของฮิปโปเครตีส (บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก) และต่อมา จอร์จ โอซาวา (1893-1966) ชาวญี่ปุ่นที่หายจากวัณโรคด้วยการกินแบบนี้ เป็นคนแรกที่ใช้คำว่าแม็คโครไบโอติกส์ และนำแนวคิดนี้ไปเผยแพร่ทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ

แมคโครไบโอติกส์ เป็นแนวคิดที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารการกินและวิถีชีวิตทุกด้าน เช่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม การมองโลกในแง่ดี และอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่สำหรับตรงนี้ขอพูดถึงเฉพาะอาหารแล้วกัน กลัวว่าเนื้อหายาวเกินไปคุณผู้อ่านจะเบื่อซะก่อน

ลักษณะอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์

จุดเด่นของอาหารแบบแมคโครไบโอติกส์คือ การสร้างความสมดุลให้ร่างกาย โดยใช้วิธีการปรุงอาหารแบบสมัยก่อนไว้ให้มากที่สุด นั่นคือใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติ เลี่ยงการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่การเพาะปลูกวัตถุดิบจนปรุงเสร็จเป็นจาน ซึ่งมีอัตราส่วนต่อมื้อในลักษณะแบบนี้

ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี 50-60%
ผักต่าง ๆ 20-30%
ถั่วชนิดต่าง ๆ 5-10%
แกงจืด (จากถั่วเหลืองหมัก ผัก ปลา) 5-10%

ข้าวกล้อง ถั่ว งา ผัก ที่ใช้ทำอาหารล้วนปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี และการปรุงก็หลีกเลี่ยงเตาไมโครเวฟหรือการทอด และเอกลักษณ์อีกอย่างของอาหารแบบนี้คือ รสชาติดั้งเดิมของอาหารชนิดนั้น ๆ โดยที่แทบจะไม่แต่งเติม


ประโยชน์ของแมคโครไบโอติกส์

จากหนังสือ "อาหารแมคโครไบโอติกส์" ของกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีข้อมูลยืนยันว่า อาหารดั้งเดิมแบบนี้สามารถเยียวยาอาการของโรคหัวใจ เบาหวาน หอบหืด และโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี และสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย การกินอาหารแบบนี้ก็ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดอัตราการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ด้วย

แต่หากใครที่เงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยให้กินแบบนี้ทุกมื้อ ขอให้คุณทดลองกินแค่อาทิตย์ละสองถึงสามครั้ง อย่างวันหยุดที่พอมีเวลา คุณอาจจะมีเวลาไปเลือกซื้อของแล้วมาทำอาหารให้กับคนที่บ้าน ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบนี้

ลองดูนะคะ แม้รสชาติจะชืด ๆ ไม่คุ้นลิ้นอยู่บ้าง แต่กินแบบนี้ล่ะค่ะจะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น อย่างที่คุณรู้สึกได้ด้วยตัวเอง

สิวและฝ้าหาย ด้วยว่านหางจระเข้


ทราบไหมคะว่า ว่านหางจระเข้ที่เรานำมาปลูกเป็นไม้ประดับบ้านในปัจจุบันนี้เป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอัฟฟริกาค่ะ แต่สามารถนำมาปลูกในเมืองไทยได้ เพราะพืชชนิดนี้ชอบอากาศร้อน



คุณประโยชน์ของว่านหางจระเข้นั้นมากมาย จนน่าจะปลูกไว้เป็นพืชประจำบ้านเลยทีเดียว เพราะสามารถนำมาปั่นเป็นน้ำวุ้นดื่มแก้กระหายคลายร้อนได้ รวมทั้งสามารถนำมาบำรุงผิวและผมได้อีกด้วย เพียงแต่มีข้อแม้ว่าเวลานำไปใช้ต้องล้างยางสีเหลืองๆออกให้หมด รวมทั้งควรจะนำมาใช้แบบสดๆไม่ควรเก็บทิ้งไว้นานค่ะ อยากรู้ว่าว่านหางจระเข้มีสรรพคุณแค่ไหน และทำให้ผิวสวยได้จริงหรือไม่ ลองฟังทางนี้ค่ะ



สรรพคุณว่านหางจระเข้



เดี๋ยวนี้ใครๆก็รู้ว่าว่านหางจระเข้มีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง เราไปค้นหาคำตอบจากผู้รู้มาเล่าให้ฟังกันค่ะ


1.ช่วยทำให้อาการปวดแสบปวดร้อนจากการฉายรังสีดีขึ้น โดยทำให้หายปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังจะไม่พอง แผลจะค่อยๆแห้งและตกสะเก็ดหลุดออกโดยไม่มีแผลเป็น นอกจากนี้ยังพบว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด ฝี หนอง มีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบและเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่บาดแผล ทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย วิธีใช้ เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมดเพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ ขูดเอาวุ้นใสปิดพอกบริเวณแผล หรือฝานเป็นแผ่นบางๆ ปิดที่แผล พันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาด จะทำให้รู้สึกเย็น หายปวดแสบปวดร้อน เปลี่ยนวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย



2.ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ::: จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและคนไข้ พบว่าเมือกและวุ้นจากใบว่านหางจระเข้เมื่อรับประทาน สามารถป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้



3.ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ::: จากการวิจัยในคนไข้โรคเหงือกอักเสบ พบว่าสารสกัดจากใบว่านหางจระเข้ สามารถลดอาการอักเสบได้



4.ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด

เมือกและวุ้นจากใบว่านหางจระเข้ นิยมผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด เช่น ครีมบำรุงผิว แชมพู ครีมนวดผม โดยช่วยให้ผิวหนังนุ่มไม่หยาบกร้านและช่วยให้ผมดกดำ ส่วนวิธีการนำว่านหางจระเข้ไปใช้เพื่อดูแลผิวพรรณ เราค้นหาสูตรมาได้ดังนี้



ว่านหางจระเข้ แก้สิวฝ้า ช่วยให้สิวยุบ



วิธีทำ

1.ตัดว่านหางจระเข้แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลออกมา



2.ปอกเปลือกว่านหางจระเข้ออก จนเหลือแต่วุ้นใสๆ ล้างยางออกให้หมด



3.นำเฉพาะวุ้นว่านหางจระเข้มาใช้ โดยหั่นเป็นชิ้นบางๆหรือบดละเอียดคั้นเอาเฉพาะน้ำวุ้น เก็บไว้ในตู้เย็นใช้ได้หลายครั้งกลางคืน ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิว ไม่ต้องล้างออก จะทำให้สิวแห้ง และยุบลง กลางวัน หลังล้างหน้าทุกครั้ง ใช้น้ำวุ้นว่านหางจระเข้แต้มบริเวณหัวสิว รอให้แห้งแล้วทาครีมกันแดดทับได้เลยเกร็ดน่ารู้ว่านหางจระเข้สดๆจะมีคุณภาพสูงสุด เมื่อตัดจากต้นแล้วนำมาใช้ทันที สำหรับผู้ที่ไม่สามารถหาว่านหางจระเข้สดๆมาใช้ได้ อาจใช้ว่านหางจระเข้ 100 เปอร์เซ็นต์ขององค์การเภสัชกรรมที่บรรจุหลอดขายตามร้านขายยาทั่วไป ก็พอใช้ได้ (นำไปแช่ในตู้เย็น เวลาใช้จะรู้สึกเย็นสบายผิว)ครีมพอกหน้ารักษาสิว ว่านหางจระเข้


ส่วนผสม

1.ดินสอพอง 1/2 ช้อนโต๊ะ

2.ขมิ้นชันผง 1/4 ช้อนชา (ปลายช้อนชา)

3.น้ำวุ้นว่านหางจระเข้ 2 ช้อนโต๊ะ

4.น้ำมะนาว 1 ช้อนชา


วิธีทำ

1.ผสมว่านหางจระเข้กับน้ำมะนาวให้เข้ากัน

2.เทส่วนผสมที่ได้ ลงไปในดินสอพองทีละน้อยคนให้เข้ากัน หากเหนียวเกินไป ให้เพิ่มน้ำวุ้นว่านหางจระเข้กับน้ำมะนาวอีก จนครีมมีลักษณะเหลวเล็กน้อย

วิธีใช้

ใช้พอกหน้า รักษาสิวต่างๆได้ดี พอกไว้ไม่ต่ำกว่าครั้งละ 30 นาที หรือจะพอกทิ้งไว้ทั้งคืนก็ได้



เกร็ดน่ารู้

•น้ำมะนาวทำให้ผิวสะอาด สิวแห้ง และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว แต่ไม่ควรแต้มน้ำมะนาวที่สิวโดยตรง เพราะมีฤทธิ์เข้มข้นเกินไป อาจทำให้ผิวเป็นด่างดำได้

•การพอกผิวหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาว จะทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด ควรพอกในเวลาเย็น หรือเวลากลางคืน และต้องทาครีมกันแดดในตอนกลางวัน (เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 เป็นอย่างน้อย

ว่านหางจระเข้มีประโยชน์สารพัด ถ้าปลูกไว้ใช้เองที่บ้านได้นอกจากจะช่วยประหยัดเงินแล้ว จะเก็บมาใช้ตอนไหนก็สะดวกทันใจค่ะ



เคล็ดลับการใช้ว่านหางจระเข้

1.หากนำว่านหางจระเข้แช่ในตู้เย็นจนเย็น จะทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น


2.ควรใช้ว่านหางจระเข้ที่สดใหม่ จะมีคุณภาพในการรักษาได้ดีที่สุด


3.ใช้วุ้นว่านหางจระเข้เคลือบแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกไว้ ผิวจะไม่เป็นแผลเป็น และยังทำให้แผลหายเร็วอีกด้วย ควรเคลือบแผลให้เร็วที่สุด

4.ควรปลูกว่านหางจระเข้ไว้ในบริเวณบ้าน โดยเฉพาะใกล้ๆห้องครัว จะได้ใช้ว่านหางจระเข้ที่สดใหม่และใช้ได้ทันท่วงที

5.ผู้ที่เป็นฝ้า หรือใบหน้าตกกระ ให้ทาว่านหางจระเข้เป็นประจำทุกวันหลังล้างหน้าในตอนเย็น สำหรับผู้สูงอายุที่มีกระเป็นเกร็ดแข็งๆ ใช้ว่านหางจระเข้ทาทุกวัน เกร็ดของกระจะหลุดลอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด

6.ผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นของว่านหางจระเข้ หลังจากใช้น้ำวุ้นทาทั่วหน้าแล้ว อาจทาครีมก่อนนอนทับอีกชั้นหนึ่งก็ได้

เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร


เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร

"อาหารเป็นพิษ" คือ อาการท้องเดินเนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนเข้าไปอาจเป็นสารพิษ ที่มาจากเชื้อโรค สารเคมี หรือพืชพิษ รวมถึงอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาหารกระป๋อง อาหารทะเล หรืออาหารค้างคืนที่ไม่ได้อุ่นก็ทำให้เป็นโรคนี้ได้เช่นกันค่ะ

อาการที่สังเกตเห็นอย่างเด่นชัด คือ จะ มีอาการท้องร่วง คลื่นไส้ และอาการปวดท้องอันเนื่องมาจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมาด้วย แต่ถ้าคุณมีอาการท้องเสียมากๆ ร่างกายจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ บางคนอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่ อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตก็ทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษได้ แต่ถ้าพิษนั้นเกิดจากสารเคมีหรือพืชพิษบางชนิดจะมีผลต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร....รักษาแบบอาการท้องเดินทั่วๆไป เช่น

- ถ้าคุณท้องเสียมากเกินไปควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกาย

- ถ้ามีอาการทางระบบประสาท (เช่น ชัก หมดสติ) หรือสงสัยว่าจะเกิดจากยาฆ่าแมลงหรือสารพิษอื่นๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

- ถ้าท้องเสีย อย่ากินยาหยุดถ่ายนะคะ อาการท้องร่วงส่วนใหญ่มักจะหายได้เองเพราะการขับถ่ายเป็นกลไกธรรมชาติของ ร่างกายที่จะต้องขับของเสียออกจากร่างกายอยู่แล้วค่ะ

5 วิธีรับมืออาหารเป็นพิษ

1. การล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร

2. ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง

3. อย่านึกเสียดายอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเลยค่ะ ยิ่งเป็นพวกที่มีกะทิด้วยแล้วยิ่งเสียง่ายมาก

4. ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำไหล ถ้าแช่ด่างทับทิมได้จะดีมากเลย (ควรแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง)

5. ไม่ควรทิ้งเนื้อสดๆ ไว้นอกตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ร้อนจะเร่งให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

แค่วิธีง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็ทำให้คุณสามารถรับมือกับอาหารเป็นพิษได้อย่างสบายๆ แล้วล่ะค่ะ หรือถ้าคนรักคนสนิทกำลังเจออาการป่วยอาหารเป็นพิษก็แนะนำต่อได้นะคะ

แบบทดสอบมุมมองด้านความสัมพันธ์ของตนเองต่อผู้อื่น


วันนี้มีแบบทดสอบทางจิตวิทยาง่าย ๆ 4 ข้อ มาให้ลองขบคิด ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้คุณทราบว่า แนวโน้มความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่นจะเป็นอย่างไร

1. ข้อแรก ให้ลองจินตนาการว่า ถ้าคุณมีไข่ไก่อยู่ 1 ฟอง
คุณอยากจะวางไว้ที่ไหน เลือกจากตัวเลือกต่อไปนี้
ก. ตู้ถ้วยชาม
ข. บนต้นไม้
ค. ข้างถนน
ง. ริมแม่น้ำ

2. คุณเดินไปเจอบ้านหลังหนึ่ง และสนใจบ้านหลังนั้น
คุณจะทำอย่างไร เลือกจากตัวเลือกต่อไปนี้
ก. เคาะประตูบ้าน
ข. เดินตรงเข้าข้างในบ้าน
ค. เดินไปรอบๆ


3. ภายในบ้าน คุณเห็นเทียนประมาณ 20 เล่ม
คุณคิดว่าคุณจะจุดเทียนจำนวนกี่เล่ม ข้อนี้ให้ใส่จำนวนเทียนที่คุณจะจุด

4. คุณเจอแก้วเบียร์อยู่ 1 ใบ คุณจะรินเบียร์ใส่แก้วมากขนาดไหน
ให้ตอบเป็นเปอร์เซ็นต์ ห้ามตอบว่าไม่รินนะ

เมื่อทำแบบทดสอบครบทุกข้อแล้ว ก็ไปดูเฉลยได้เลย...........


1. ไข่ไก่ แสดงถึง ความสัมพันธ์ (Relationships) คุณเลือก...
ในตู้ถ้วยชาม - คุณจะสงวนความสัมพันธ์มาก
บนต้นไม้ - คุณคาดหวังความสัมพันธ์จากผู้อื่นมาก
ข้างถนน - คุณจะไม่ค่อยสงวนความสัมพันธ์
ริมแม่น้ำ - ความสัมพันธ์ของคุณมักจะขึ้นอยู่กับโชคชะตา

2. บ้าน แสดงถึง โอกาส (Opportunity) ในการสร้างความสัมพันธ์ คุณเลือก...
เคาะประตูบ้าน - คุณจะระมัดระวังในการหาโอกาสสร้างสัมพันธ์ และไม่ค่อยปล่อยโอกาสให้ลอยนวล
เดินตรงเข้าข้างในบ้าน - คุณจะไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไป แต่ต้องระวังความเร่งรีบโดยไม่ไตร่ตรองนะ เพราะจะก่อปัญหาให้คุณ
เดินไปรอบๆ - โดยมากคนที่เลือกข้อนี้ คุณมักจะปล่อยโอกาสผ่านไป ยกเว้นเลือกด้วยเหตุผลอื่นๆ เช่น ดูความปลอดภัยก่อน

3. เทียนไข แสดงถึง ความใจกว้าง ความใจดี (Generousity)
คำอธิบาย ยิ่งคุณเลือกจุดเทียนมากเท่าไร ความใจกว้างของคุณจะมากเท่านั้น

4. แก้วเบียร์ แสดงถึง ความเอาใจใส่ในความสัมพันธ์ ยิ่งคุณรินมากเท่าไร คุณจะเอาใจใส่มากเท่านั้น.

รวบรวมสาเหตุของอาการแสบตา


อาการแสบตา ทุกคนก็คงเคยประสบมากับตัวเองแล้วด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งสาเหตุที่เกิดการแสบตานั้นก็จะแตกต่างกันออกไป

แต่เชื่อว่าหลายคนคงยังสงสัยว่า อาการแสบตานั้นเกิดจากสาเหตุอะไร ซึ่งเราได้รวบรวมสาเหตุของอาการแสบตา เพื่อให้คนที่สงสัยได้รู้และได้ทำการรักษาให้ถูกต้องนะคะ เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจเราต้องดูแลรักษาให้ดีนะคะ



สาเหตุของอาการแสบตา มีดังนี้



1 เกิดจากการอักเสบ ซึ่งเป็นได้ทั้งที่เปลือกตา เยื่อบุในตา หรือเยื่อตาขาว การสังเกตอาการแสบตาเนื่องจากการอักเสบนี้ จะมีน้ำตาไหล หรืออาจมีขี้ตาเป็นยางเหนียว บริเวณหางตา หรือในตา บางครั้งอาจมีอาการแสบร้อนที่ตา และอาจมีอาการปวดตาตามมาได้



2 เกิดจากการแพ้ อาการแสบตาจะเกิดขึ้นในทันทีที่สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ หรืออาจค่อยๆมีอาการก็ได้ ซึ่งอาการแพ้นั้นมีทั้งเฉียบพลัน และเรื้อรัง และมักมีอาการคันตา และเคืองตาร่วมด้วย



3. เกิดจากการใช้ตามากเกินไป โดยเฉพาะการต้องใช้สายตาเพ่งอะไรนานๆ หรือ การนอนดึก ที่ต้องฝืนลืมตาทั้งที่ถึงเวลานอน ยกเว้นคนที่นอนดึกจนเคยชินแล้ว ซึ่งอาการนี้ถ้าปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อยๆ หรือนานวันไป จะส่งผลให้มีอาการปวดตา ปวดศีรษะ เมื่อยต้นคอตามมาได้ค่ะ



4. เกิดจากสายตาผิดปกติ อาการแสบตาลักษณะนี้มักเกิดกับผู้ที่มีสายตาผิดปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมรักษา หรือดูแล ยังพยายามฝืนใช้สายตา เช่น คนที่สายตาสั้น แต่ไม่ยอมใส่แว่นสายตา เป็นต้น ซึ่งเมื่อพยายามใช้สายตามากๆ ก็จะทำให้เกิดอาการแสบตา และปวดกระบอกตาตามมาค่ะ



5. เกิดจากไอระเหย สารเคมีบางอย่าง อาการที่เกิดจากการสัมผัสสารเคมีนี้มักเกิดขึ้นในทันที และความรุนแรงนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่ได้รับ การแสบตาลักษณะนี้มักจะมีน้ำตาไหลในทันที และรู้สึกแสบมากกว่าปกติ



6. เกิดจากยาทาบางชนิด ในบริเวณใกล้ตา การใช้ยาบางชนิดในบริเวณใบหน้า ซึ่งอาจจะเป็นยาหม่อง ยาแก้ฟกช้ำ หรือยาแก้โรคผิวหนัง บางครั้งอาจมีไอระเหยของยา หรือเกิดจากการเปื้อนของตัวยา เข้าไปในตา ทำให้เกิดอาการแสบตา ซึ่งบางครั้งอาจรุนแรงจนทำให้ตาบวมแดง ลืมตาไม่ขึ้น น้ำตาไหล



7. เกิดจากการใช้ยาหยอดตา ยาหยอดตาบางชนิดมีฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิดอาการแสบตาได้ หรือบางทีมีการใช้ยาหยอดตาที่หมดอายุ ก็ทำให้อาการแสบตา ตาบวมแดง ระคายเคืองตา ได้เช่นกันค่ะ



8. เกิดจากโดนแสงจัดจ้า บางคนมีอาการแพ้แสง เมื่อต้องอยู่กลางแสแดดจ้า หรือแสงไฟแฟลช ก็สามารถทำให้แสบตาได้เช่นกันค่ะ ซึ่งวิธีการช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ก็คือการสวมแว่นตากันแดด หรือแว่นตาดำค่ะ



9. เป็นโรคเยื่อตาบางอย่าง เช่น โรคตาแห้ง จะมีน้ำตาน้อย น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาน้อยทำให้เกิดการแสบตา หรือบางครั้งอาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายส่วนอื่นๆ ซึงสามารถแสดงอาการโดยการแสบตาได้ เช่น โรคต่อมธัยรอยด์ โรคเกี่ยวกับข้อต่อเป็นต้น

รู้จักไหม 'อะนอเร็กเซีย' - โรคกลัวอ้วน


อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (anorexia nervosa) เป็นชื่อเต็มในภาษาอังกฤษของ “โรคกลัวอ้วน”

ฟังดูชื่อไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ถ้าใครเป็นขึ้นมาล่ะก็อาจถึงตายได้ง่ายๆ ก็เพราะคนที่มีอาการของโรคนี้มักจะไม่ยอมกินอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเอาเสียเลย


จากข้อมูลที่ผ่าน มาพบว่า

กลุ่มวัยรุ่นหญิงมักจะเป็นโรคนี้กันมาก วัยรุ่นชายและกลุ่มอายุอื่นก็มีบ้างเหมือนกัน แต่ในสัดส่วนค่อนข้างน้อย


คนที่เป็นโรคกลัวอ้วน หรืออะนอเร็กเซีย มักจะเป็นห่วงเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเองอย่างมาก

อาจเรียกได้ว่า “คลั่ง ไคล้ความผอม” รู้สึกว่าตัวเองต้องลดน้ำหนัก และโหมออกกำลังกายอย่างหนัก ทั้งๆที่รูปร่างก็ผอมจะแย่อยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องลดความอ้วนลงไปอีก


นักจิตวิทยาบอกว่า

คนที่มีอาการโรคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอาหารและน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาทางอารมณ์ คือมีความรู้สึกซึมเศร้า ย้ำคิดย้ำทำ และจะรู้สึกประสบความสำเร็จหากสามารถลดน้ำหนักให้ร่างกายผอมเพรียวได้



แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกลัวอ้วน เรื่องนี้พ่อแม่อาจต้องช่วยกันสังเกตสักนิดว่าลูกมีอาการต่อไปนี้บ้างหรือไม่ ?



- มักจะเลือกกินอาหารที่ไขมันต่ำ หรือเป็นห่วงเรื่องปริมาณแคลอรีในอาหารอย่างหนัก

- ชอบแบ่งอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ ชอบยัดเยียดอาหารให้เพื่อนร่วมโต๊ะ


- ไม่อยากกินอาหารต่อหน้าคนอื่น


- อาการนอก จากนี้ก็ยังมี เช่น ประจำเดือนขาดติดต่อกัน บ่นว่าหนาว ผิวหนังแห้ง ซีดเซียว ผมร่วง ป่วยบ่อย ขาดสมาธิ


หากสังเกตพบว่าคนใกล้ตัวมีอาการอย่างที่กล่าวมา สิ่งสำคัญคือ

ครอบครัวและเพื่อนต้องเป็นกำลังใจสนับสนุนทางอารมณ์ในเรื่องอาหารการกินที่มีประโยชน์ คอยชื่นชมในเรื่องอื่น โดยไม่เน้นแต่เรื่องรูปร่างหน้าตา และอย่าลืมพาไปปรึกษาแพทย์ โดยเร็ว ยิ่งรักษาเร็วก็ยิ่งหายได้ไว.

'ทองคำ' ฟื้นฟูผิวหน้าให้เต่งตึงได้ จริงหรือ?


เขียนโดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม. มหิดล


ทองคำ นับเป็นอัญมณีล้ำค่าตลอดกาล มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีค่าและหายากมาสัมพันธ์กับ สุขภาพกายและความงามเสมอ มีประวัติการนำทองคำบริสุทธิ์มาดัดแปลงใช้กับส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้า โดยเชื่อว่าจะช่วยชะลออายุผิวพรรณตั้งแต่ครั้งยุคของพระนางคลีโอพัตรา และมีใช้ในระดับผู้นำสูงสุดอีกหลายทวีป เช่น จีน อัฟริกา รวมทั้งยุโรป

แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่าทองคำจะช่วยชะลอความเหี่ยว ย่น ของผิวหนังได้อย่างไร แต่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดในหลายรูปแบบ ทั้งครีมทาผิว ครีมพอกหน้า รวมทั้งแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 14 เค สำหรับพอกหน้า เราจะมาดูว่ามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อะไรบ้างที่พอจะเชื่อถือได้ว่าทองคำมี ส่วนดีต่อสุขภาพทางกายและความสวยงาม และก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้หรือไม่


การนำทองคำมาใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่ม
จากหลักฐานทางการวิทยาศาสตร์ พบว่าโลหะทองคำบริสุทธิ์ จะไม่มีปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ หรือต่อเซลล์ของร่างกายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียง สหภาพยุโรป หรือ อียู ได้รับรองและอนุญาตให้ทองคำจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมแต่งผสมในอาหารได้ (Food Additives) ในประเทศเยอรมนีและยุโรปหลายประเทศ มีการนำแผ่นทองคำเปลวหรือในรูปผงบดละเอียดมาประยุกต์ใช้ตกแต่งอาหาร รวมทั้งการผสมในเครื่องดื่มยี่ห้อเก่าแก่

เช่น Goldschläger, Gold Strike, and Goldwasser. ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเครื่องดื่มสุขภาพที่แพงจัด ในประเทศทาง แถบเอเชีย เช่น บาหลี มีการนำทองคำมาผสมในการทำขนมหวาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากโลหะทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อย จึงไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมในร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีรสชาติ และไม่มีคุณค่าทางอาหาร และจะถูกขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ


ทองคำ กับการรักษาโรค
เป็นความเชื่อของคนยุคโบราณว่าทองคำมี ศักยภาพของการสมานโรค (Healing power) ช่วยให้สุขภาพที่แย่ดีขึ้น ทางการแพทย์ได้มีการทดลองนำแร่ทองคำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของเกลือ (Goldsalts) พบว่าอนุพันธ์ดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและบวมช้ำของโรคเก๊า (Rheumatoid arthritis) ซึ่งได้มีการทดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80 ปีที่ผ่านไป กลไกยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าแร่ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกที่อักเสบ ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดและบวมช้ำได้ผล อย่างไรก็ตาม การฉีดแร่ทองคำในรูปแบบของเกลือหรือโกลด์ซอล์ท จะก่อให้เกิดอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือด ขาวได้ และยังมีผลสะสมในตับและไตอีกด้วย ผู้ที่ได้รับการรักษาจึงควรจะคอยตรวจเช็คเลือดอย่างสม่ำเสมอ


ทองคำ กับการลดเลือนริ้วรอย
จากการค้นพบทางการแพทย์ที่ว่า ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระได้และส่งผลให้เกิดกลไกในการต้านอาการอักเสบของ ข้อกระดูกในโรคเก๊าได้ผลดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเชื่อว่า "ด้วยกลไกเดียวกันนี้โลหะทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสสระของผิว หนังและต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้" จึงมีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ผสมในเครื่องสำอางที่มีราคาแพงในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการยืดอายุผิวพรรณและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพการชะลอ อายุผิวพรรณเมื่อใช้ทองคำเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆว่าจะคุ้มราคาหรือไม่


ความเป็นพิษและอาการข้างเคียง
แม้ว่าแร่ทองคำบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษ หรือไม่ระคายเคืองต่อเซลล์ร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางเคมีให้อยู่ในรูปของเกลือ หรือโกล์ดซอล์ท จะมีอันตรายต่อไต ต่อตับ และยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดหากได้รับเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าแร่ทองคำมีผลทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลข้างเคียงดังกล่าวมักพบในผู้หญิง จนได้รับการโหวตให้เป็นสารก่อภูมิแพ้ในปี 2001 โดยสมาคมโรคผิวหนังของสหรัฐอเมริกา

R.I.P ตัวอักษรย่อคำนี้หมายความว่าอะไร

R.I.P ตัวอักษรย่อคำนี้หมายความว่าอะไร เห็นโพสบ่อยๆในกระทู้ที่มีการตายเกิดขึ้น

R.I.P. สามตัวอักษรนี้มักจะเจอในหินบนหลุมฝังศพ เป็นภาษาเขียนไม่ใช่ภาษาพูด ย่อมาจาก Rest In Peace เป็นสำนวนที่กลายเป็นคำอวยพร หมายถึง ขอให้หลับสบาย

ฟังแล้วเพราะดีใช่ไหมแต่อย่าไปใช้กับคนที่ยังไม่ได้สิ้นชีวิตนะ


ตัวอย่างวิธีการใช้ เช่น
RIP. ทหารกล้าทุกนายที่เสียชีวิต
RIP. ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทุกคน ที่เสียชีวิต
เป็นต้น



"RIP." ก็คือ "REST IN PEACE"
ถ้าแปลตรงตัวก็ คือ "การพักผ่อนอย่างสงบ" นั่นเอง

มันคือการขอพรให้ผู้ที่เสียชีวิต "ได้พักผ่อนอย่างสงบ" และไม่ต้อง "ทรมาน" ในระหว่างที่รอวันพิพากษา (Judgment Day) ตามหลักของศาสนาคริสต์

มีที่มาจากรากศัพท์ "Requiescat In Pace" ซึ่งเป็นภาษาลาตินที่แปลได้ว่า "May He Rest In Peace" (ขอให้เขาไปสู่สุขคติ) ส่วนในภาษาอิตาลีจะใช้คำว่า "Riposi In Pace"

โดยในบางนิกายของศาสนาคริสต์ เชื่อว่า ผู้ที่ตายไปแล้ว จะต้องไปรอ "วันพิพากษา" ในนรกก่อน ส่วนบางนิกาย เชื่อว่า ผู้ตายจะต้องไปชดใช้กรรมที่ก่อไว้ทันทีที่ตาย



ดังนั้นคำว่า "Rest In Peace" จึงหมายความว่า ขอให้ผู้ตายได้ไปอยู่รอวันพิพากษาในที่ๆสงบสุข

ปล. ศาสนาคริสต์เชื่อว่า วันหนึ่งจะถึงวันที่พระเจ้าจะ "พิพากษา" หรือตัดสินกรรมของมนุษย์ทุกคนบนโลก



แต่ถึงจะยังไง ก็อย่าลืม คำว่า
"สู่สุขคติ" ในภาษาไทยกันด้วยนะ

8 อาการป่วยปุบปับ เตือนโรคร้าย


หลายคนคงเคยมีอาการเจ็บป่วยแปลกๆ เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นอวัยวะส่วนที่มีอาการผิดสำแดงก็ดูเป็นปกติดี ส่งผลให้ทั้งตนเองและคนรอบข้างเกิดอาการจิตตก กังวลไปต่างๆ นานา เพราะไม่รู้ว่า อาการที่เกิดขึ้นแบบปุบปับเหล่านั้นเป็นสัญญาณของโรคใด มีความอันตรายมากน้อยแค่ไหน

ด้วยเหตุนี้เอง นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 8 อาการ ที่มักเกิดขึ้นชนิดสายฟ้าแลบ พร้อมคำเฉลยของอาการแปลกๆ เหล่านั้น มาบอกให้ผู้อ่านเดลินิวส์ออนไลน์ได้ทราบ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และทราบถึงความรุนแรงของโรค



โรคแปลกที่ทำให้ท่าน “แปลบ” ขึ้นมาชั่วพริบตามีอยู่มากด้วยกัน แต่จะขอนำที่ควรรู้ทันและพบบ่อยมาฝากไว้ให้ดังต่อไปนี้ครับ

เห็นด้วยตา อาการเห็นแสงไฟแว้บในตาเหมือนแฟลชต้องระวัง “จอตา” ไว้ให้ดีว่าเริ่มมีขาดมีทะลุ ยิ่งร่วมกับอาการมองเห็นจุดดำลอยไปมาเวลามองเพดานขาวยิ่งเป็นสัญญาณอันตรายให้ไปถ่างขยายม่านตาตรวจดูน้ำวุ้นและจอตาดูสักทีดีกว่าครับ

ตาดับ จู่ๆโลกก็หายวับไป บางรายอาจเหมือนม่านดำค่อยๆ คลื่ลงมาคลุมจนดับสนิทหรือบางชนิดก็ดับปุบปับไปเลย อย่างนี้ถือเป็น “ฉุกเฉิน” ทางจักษุวิทยาให้รีบหาหมอตาโดยเร็วเพราะอาจบ่งถึงหลอดเลือดอุดตันในจอตาได้

เจ็บลงขา น่าตกใจเวลาเดินหรือก้มหลังแล้วมีเจ็บร้าว ให้สงสัยว่ามาจาก “เบื้องบน” กว่านั้นคือเส้นประสาทใหญ่หรือไม่ก็มาจาก “ไขสันหลัง” โดยตรงที่คงมีบางสิ่งมากดเช่นกระดูกสันหลังหรือก้อนหินปูนงอกมาจนบดเอาประสาทร้าวไป ในบางท่านถึงกับต้องผ่าตัดทีเดียวครับ

เลือดออกตา จู่ๆเกิดตาแดงไม่ธรรมดานั่นคือ “แดงฉาน” ราวหมึกแดงหกราดตาขาว อาการนี้เป็นสัญญาณไม่ดีว่าเส้นเลือดตาแตกซึ่งอาจพบได้ในคนที่เลือดออกง่ายหรือไม่ก็มีความดันโลหิตสูงไม่ควบคุม ต่อไปอาจมีรุมเร้าเข้าถึงเส้นเลือดสมองจนแตกได้เช่นกัน

สมองขาดเลือด เรียกโรคลมปัจจุบันเป็นโรคดุดันที่ทำให้กายขยับไม่ได้กลายเป็นอัมพาต สามารถเป็นในอายุน้อยได้ บางรายแขน-ขาอ่อนแรงไปซีกเดียว บางรายเป็นชั่วคราวแต่ก็ทำเอาตกใจขวัญบินทั้งที่กินเวลาไม่นาน แต่ถ้าเกิดอาการขึ้นไม่ว่าอย่างไรควรไปสแกนสมองตรวจดูว่ามีผู้ร้ายอยู่จุดใดครับ

แน่นลิ้นปี่ มีอาการกลางดึกนึกว่าจะไม่รอด อาการเช่นนี้อาจมีได้จากโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อนที่รักษาไม่หาย ทำให้จุกแน่นขึ้นมาได้ถึงอกจนหายใจไม่อิ่ม เป็นอาการที่มักชวนให้คิดถึงโรคหัวใจเสมอ ถ้าเผลอเป็นขึ้นมาอย่าตระหนกมากให้นอนนิ่งสักพักถ้าเจ็บมากขึ้นแล้วค่อยว่ากัน

เจ็บหน้าอก ยังไม่ต้องตกใจเพราะเจ็บอกจากหัวใจต้องมีอาการสามคือ เจ็บเหมือนถูกกดทับ,นับตอนเหนื่อยและเรื่อยไปแขนซ้าย ถ้าได้ครบให้รีบคิดถึงโรคหัวใจขาดเลือดทันที เพราะอาจมี “ช็อก”ได้ถ้าทิ้งนานครับ

โรควูบ จัดเป็นกลุ่มใหญ่เกิดได้จากแค่เป็นลมธรรมดาไปจนถึงจากอาการช็อกเพราะเสียเลือด คนป่วยโรควูบจะไม่รู้ตัว จู่ๆก็จะหมดสติไปเกิดได้จากน้ำตาลต่ำมากหรือจากเบาหวานที่มีอาการช็อกได้ บางรายเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตกครับ



แม้โรคที่ว่าจะไม่น่ารักเหมือนประกันที่มาไวแล้วก็ไปไวด้วย แต่บางอาการก็ช่วยเตือนเราได้ก่อนถูกโรคภัยไข้เจ็บเล่นงานหนัก เช่น ตาที่เห็นแสงวูบวาบขึ้นมาถือว่าช่วยเตือนให้ไปรักษาเนิ่นๆ ทันก่อนจอตาจะหลุด หรือเส้นเลือดตาแตกก็ต้องหยุดความดันที่พุ่งสูงให้ได้เสียก่อนที่จะไปแตกในสมอง.
หลังจากไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อโสธรแล้ว เราจะพาเพื่อนๆไปหาของอร่อยๆๆกินกันต่อ ที่ ตลาดบ้านใหม่ จ.ฉะเชิงเทราแห่งนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดหลวงพ่อโสธรค่ะ ตลาดบ้านใหม่ ตั้งอยู่ที่ถนนศุภกิจ (ทางไปอำเภอบางน้ำเปรี้ยว) เป็นตลาดเก่าอายุกว่า 100 ปี เป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน เมื่ออดีตสถานที่แห่งนี้มีความคับคั่งด้วยผู้คนที่มาประกอบอาชีพค้าขาย รวมทั้งเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา


ปัจจุบันที่นี่เป็นแหล่งการค้าขายของที่ระลึก ของเล่นโบราณ ไอติมโบราณ และของต่างๆ มากมาย เป็นย่านชุมชนค้าขายของเก่า โดยเฉพาะอาหาร เช่น อาหารจีน อาหารไทย และ อาหารประจำจังหวัด ร้านขายก๋วยเตี๋ยวแบบโบราณ ร้านกาแฟโบราณ เป็นต้น






บรรยากาศของตลาด คล้ายๆกับเป็นบ้านห้องแถวสมัยโบราณ ได้เห็นขนม ของเล่นสมัยเด็กๆ และที่สำคัญเลยมีอาหารให้เลือกหลากหลายชนิด ทั้งอาหารคาว ขนมหวาน อาหารที่กินเล่นประมาณว่าลองท้องแต่อิ่มจริงๆ รสชาติอร่อย และราคาก็ไม่แพง มีทั้งแบบซื้อแล้วเดินกินได้เลย หรือว่าจะนั่งกินที่ร้านเพื่อเก็บบรรยากาศของตลาดโบราณแห่งนี้ เพื่อนๆที่จะไปเที่ยวฉะเชิงเทรา หรือใกล้เคียงอย่าบืมแวะไปเดินดูกันนะคะ ของราคาไม่แพงเลย

25 ก.ค. 2554

ระวังอันตรายจาก ... การอุจจาระของท่าน


ปัญหาเรื่องการอุจจาระ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ที่ทุกท่านไม่ควรละเลย ปกติหากคนเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ระบบการดูดซึมเสีย ไม่ถ่ายอุจจาระ ในเวลา 05.00-07.00 น. เช้า หรือ หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบ ให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด อุจจาระที่ค้าง ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่นไปเรื่อย ๆอุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ ในกระเพาะ และ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่ และ สะบักเวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ อีกหลายเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านหายข้องใจ นพ. กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จะมาไขข้อข้องใจให้ทุกท่านได้รับทราบ นพ. กฤษดาฯ อธิบายว่า เรื่องอุจจาระตกค้าง หรือ อึค้างเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทุกคน เราอาจตรวจสัญญาณ อึค้างในลำไส้ใหญ่ได้เองง่าย ๆ โดยการนอนหงาย แล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยสะดือไปทางซ้ายหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกเต็มที่ เลื่อนไปมา ถ้ามีอึค้างอยู่ จะคลำได้เป็นลำ คล้ายแท่งยาว ๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ ของลำไส้ โดยลำไส้ใหญ่นี้จะยิ่งคลำได้ชัด ในคนที่ผอม สำหรับคนเจ้าเนื้อ อาจต้องใช้เทคนิคนอนแล้วแขม่วพุงช่วย แล้วค่อยคลำ จะชัดขึ้น ที่จริงเรื่องการอึ ที่ดูเหมือนเป็น กิจวัตรธรรมดา ไม่มีอะไรนั้น มันต้องมีการฝึกเข้าส้วมกันให้ติดเป็นนิสัย กลุ่มคนที่มักมีปัญหาเรื่องอึค้าง ได้แก่

1. เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่าลูบหลัง หรือ ไม่พา ขยับตัวกลิ้งไปมาสักนิดหน่อย ให้ไส้ได้บีบตัวบ้าง และ ในเด็กที่อึแข็งมาก อึนี่อาจแข็งถึงกับบาดรูก้นได้ เป็นแผล แล้วครั้งต่อไป เด็กจะไม่อยากอึออกมา เพราะกลัวเจ็บ แผลแยก เลยยิ่งกลั้น พอยิ่งกลั้น อึก็ยิ่งแข็งค้างไปเรื่อย

2. คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืด ไปรัดลำไส้ข้างในนุงนัง ทำให้บีบตัวไม่ดี อาจ มีอึค้างอยู่ ตามซอกโน้นซอกนี้ในลำไส้ จนบางท่าน กลายเป็นลำไส้อุดตันไปได้ก็มี

3. ผู้สูงอายุ และ คนไข้นอนโรงพยาบาล ที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิน

4. คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แถมกลั้นอึบ่อย โดยเฉพาะท่านที่ทำงาน ออฟฟิศ ต้องนั่งแปะอยู่กับที่นานๆ หรือ งานเข้าบ่อย ต้องขอผลัดเข้าห้องน้ำ ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ดีครับ

5. ท่านที่มีลำไส้ยาว คือยิ่งยาว ก็ยิ่งเป็นไซโล เก็บอึไว้ได้นานขึ้น บางท่าน จะสังเกตว่า ผักก็กินเยอะ แต่อึแค่สัปดาห์ละหนเท่านั้น สำหรับเทคนิค “อึให้ดี ไม่มีตกค้าง” มีดังนี้

1.อย่าอั้นอึตอนเช้า เพราะถ้าเลยเช้าไปแล้ว กว่าร่างกาย จะส่ง สัญญาณให้ปวดอีก อาจจะนานจนผิดเวลา
2..อึให้ตรงกับเวลาเดิม เหมือนเป็นการช่วย “โปรแกรม ลำไส้” ให้คอยบีบไล่อึ ออกมาสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีอึตกค้าง
3.รอจังหวะขณะอึ ถ้าขณะนั่งห้องน้ำ ถ่ายหนักอยู่ ถ้าไม่ปวดอย่าเบ่ง ครับ ให้ลองสังเกตว่ามันจะ “ปวดเป็นช่วง ๆ” แล้วก็คลายไป แล้วประเดี๋ยวก็ปวดบีบ ขึ้นมาอีก นั่นเป็นเพราะ ลำไส้ท่านบีบตัวเป็นลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย ถ้ามันเลื้อยมาถึงตรงอึพอดี มันจึงปวดขึ้นมา ถ้าเบ่งตอนไม่ปวด จะเหมือนเป็นการ “แกล้งลำไส้” ให้เกิดแรงดันขึ้นมา โดยใช่เหตุ เกิดลำไส้ตอนปลายโป่งพองขึ้นมา กลายเป็น “ริดสีดวงทวาร” ไป
4.นวดลำไส้ ถ้าในเด็ก ให้นวดรอบสะดือ ในผู้ใหญ่ให้นวดตรงท้องด้านล่างซ้าย เลยสะดือไป นวดเบา ๆ นวดไปมา แล้วทิ้งไว้สักพัก จะรู้สึกปวดถ่ายขึ้นมาได้
5.เอามือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะถ่าย หรือ จะลุกขึ้นนั่งยองเอาหน้าขา เป็นตัวกดไล่อึออกมา เพราะที่จริงแล้ว การอึที่ดีตามธรรมชาติของคนคือ “นั่งยอง” เพราะจะได้ มีแรงกดจากหน้าขาด้วย การที่ฝรั่งเอาส้วมแบบนั่งโถ มาให้เราใช้ เป็นการผิดธรรมชาติมนุษย์ ที่จะไม่มีแรงเบ่งอึมากในท่านั่งห้อยขา ทำให้คนเอเชีย กลายเป็นทั้งริดสีดวง และ ท้องผูกมากเหมือนฝรั่งด้วย
6.ลุกขึ้นเดินไปมา จะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักไส้จะบีบรีดเอา “อึท้ายขบวน” ที่เหลือออกมา แล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที
7.หมุนเอวเป็นเลขแปดนอน หรือ รูปอินฟินิตี้ ในส่วนนี้ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ท่านเล่าว่าพี่น้องท่าน 11 คน เป็นมะเร็งลำไส้หมด โดยทุกท่านนั้นปรากฏว่ามีปัญหาในการขับถ่ายทุกคน มีท่านคนเดียว ที่ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ เพราะท่านไม่เคยมีปัญหาในการขับถ่าย ท่านขับถ่ายได้เป็นปกติทุกวัน โดยท่านให้คำแนะนำว่า เราต้องกระตุ้นให้ลำไส้ของเราเคลื่อนไหว ทำงานในการขับเคลื่อนของเสียออกทางทวารหนักของเรา ท่านใช้วิธีการ ดังนี้เมื่อตื่นนอนแล้ว หากต้องยืนทำอะไรก็ตาม เช่น การยืนล้างหน้า หรือ ยืนแปรงฟัน หรือ ยืนดูทีวี ท่านจะไม่ยืนนิ่งๆ แต่ท่านจะยืนบริหารลำไส้ ด้วยการหมุนเอวของท่านในรูปอินฟินิตี้ หรือ รูปเลขแปดผรั่งในแนวนอน การยืนบริหารลำไส้เช่นว่าท่านทำมาในสมัยเป็นหนุ่ม จนปัจจุบันอายุ 66 ปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหาในการขับถ่าย และไปตรวจหามะเร็งลำไส้ ก็ไม่ปรากฏ ทั้งๆ พี่น้อง 11 คน เป็นมะเร็งลำไส้หมดทุกคน ก็ขอนำมาเล่าเสริมในส่วนนี้ด้วยครับ ทดลองทำดูแล้ว ก็ได้ผล ทำให้ขับถ่ายได้วันละ 2 เวลาครับ - มงคลฯ ปกติ ไม่ว่าใครก็ตามถ้าความถี่ในการอึน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า “ท้องผูก”แล้ว นอกจากการออกกำลังกายแล้ว อาจใช้อาหารล้างลำไส้ช่วยได้ เช่น

1. น้ำมะขามเปียก
2.ลูกพรุนแห้ง รับประทานทั้งผล เพราะจะได้กากด้วย ไม่ต้องแยกกินแต่ น้ำ ยกเว้น ถ้าเป็นเด็ก
3.แอปเปิ้ลเขียว กินทั้งผล หรือ ปั่นทั้งกากก็ได้
4.ถั่วดำ จัดเป็นอาหารล้างพิษได้ด้วย
5.สับปะรด และ มะละกอ ซึ่งมีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมด และ จะมีสภาพติดเป็นอุจจาระยางเหนียวสีดำคล้ายกับ “จาระบี”ออก
6.ให้เลี่ยงการ ดื่มน้ำเย็น ในตอนเช้า โดยให้ดื่มน้ำสะอาด หรือ น้ำอุ่นตอนเช้าสัก 4 แก้วหลังตื่นมาท้องว่าง จะช่วยให้ลำไส้บีบรัดตัวได้ดี ชวนให้ปวดอึขึ้นมามากขึ้นครับเพื่อสุขภาพที่ดี ทราบแล้วต้องปฏิบัติ อย่าได้ละเลย และ ชวนบุคคลที่ท่านรักและ ปรารถนาดีให้ร่วมกันปฏิบัติตามด้วยครับ

ด้วยความปรารถนาดี จาก
อ.มงคล กริชติทายาวุธ

สูตรอาหาร และ ธรรมชาติบำบัด

สูตรอาหาร :

ล้างระบบดูดซึม

1. นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว :

ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน

ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม


คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย, นมสดให้แคลเซียม


2. บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง)

ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี


3. ดีบัว ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ


4. ชามะละกอ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ) ชมวิดิโอสาธิตการต้มชามะละกอได้  ที่นี่ : http://youtu.be/2vFXq17gjIM

5. ไวทาไลท์ สมุนไพรสกัดสูตรจีน : รากหญ้าคา เก๋ากี๊ (บำรุงตับ) เก๊กฮวย (บำรุงหัวใจ) ดอกคามิลเลีย 1 pack มี 10 ซอง 1 ซอง ชงกับน้ำ 1-2 ลิตร แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่มวันละ 4-6 แก้ว


6. ข้าวต้มยางมะละกอ : มะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละประมาณ 1 ข้อของนิ้วมือ ไม่ต้องปอกเปลือก ครึ่งลูกต่อน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มในหม้อ เมื่อเดือดแล้ว เคี่ยวต่อ จนมะละกอเละ เมื่อเละแล้ว ให้ช้อนมะละกอทิ้ง เหลือน้ำไว้ น้ำนั้นคือ น้ำยางมะละกอ นำน้ำยางมะละกอ มาหุงกับข้าวกล้อง ควรจะใส่ใบเตยหุงไปด้วย เพื่อความสดชื่น จะใช้น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอากับจำนวนข้าวกล้อง กะให้หุงมาเป็นข้าวต้ม ไม่ใช่แห้งเป็นข้าวสวย น้ำยางมะละกอที่เหลือ แช่ตู้เย็นเก็บไว้ก่อน ห้ามใช้ข้าวขาว เพราะข้าวกล้อง จะมีสารไปลดพิษจากยางมะละกอ หุงกับข้าวกล้อง ให้กลายเป็นข้าวต้ม เมื่อได้ข้าวต้มยางมะละกอแล้ว ทานติดกัน 10-14 วัน ทุกมื้อ แทนข้าว ทานกับกับข้าวปกติ ช่วยล้างระบบดูดซึม ล้างไขมัน และ น้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค


กำจัดไวรัส

1. เม็ดมะรุมตากแห้ง แกะเปลือกแล้วทานเม็ดข้างใน วันละ 5-30 เม็ด เป็นเวลา 7-40 วัน แล้วแต่คำแนะนำของนักประเมินสุขภาพ
2. ข้าวต้มแครอท ป้องกันไวรัส (ไม่ได้กำจัด) ทานช่วงฤดูหนาว นำแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มกับข้าว ทานเป็นข้าวต้ม ป้องกันไวรัส

แก้คัดจมูก ภูมิแพ้

1. ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก
2. เนยใส (Ghee) ชุบสำลี แยงจมูกให้ลึกที่สุด แก้คัดจมูก และ ภูมิแพ้ ฆ่าเชื้อในโพรงจมูก
3. ชามะละกอ ล้างไขมันในลำไส้ แก้ภูมิแพ้
4.ไวทาไลท์ ดื่มวันละ 1 ซอง รักษาภูมิแพ้ เจ็บคอ ร้อนใน

ล้างเชื้อรา

1. กินผักเมือก ๆ เช่น ผักบุ้งแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ผักปรัง, บวบ, น้ำเต้า, เม็ดแมงลัก, ใบมะรุม เป็นต้น เมือก(เพคติน)จะไปล้างเชื้อราในระบบดูดซึมออกมา
2. ใบย่าน่าง คั้นน้ำ ทานน้ำ
3. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัดแบบเม็ด สร้างเม็ดเลือดขาว ล้างเขื้อรา
*ผู้ที่มีเชื้อรา ต้องงด อาหารหวาน และ ผลไม้,โปรตีนจากเนื้อสัตว์, ถั่วแห้ง เช่น ถั่วลิสง, งา

ถ่ายพยาธิ์

1. เม็ดมะรุม วันละ 7 เม็ดขึ้นไป, น้ำมันมะรุม ทานไล่พยาธิ
2. กระเจียบเขียว 7 กำมือของผู้ป่วย ทานให้หมดภายใน 3 วัน ไล่พยาธิตัวจี๊ด และ อื่น ๆ
3. ยาถ่ายพยาธิทั่วไป ปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน
4. เนื้อลูกยอ ช่วยขับพยาธิ
5. Sun Smile สมุนไพรสกัดจาก แป้งข้าวโพด น้ำมันมะพร้าว หยดในน้ำดื่ม
6. ใบข่า ซอย 2 ใบ ต่อ วัน 5-7 วัน


ล้างอุจจาระตกค้าง

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่สมควร
2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
3. ทานผักบุ้งแดง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา
4. กระเจี๊ยบเขียว ทานวิธีใดก็ได้ 4-7 ฝักต่อวัน
5. โซดา 1 ขวด ผสมนมข้มหวาน 6 ช้อนโต๊ะ


รักษานิ่วในไต

1. เหล้าขาว หรือ Vodka 1 ก๊ง (2 ช้อนโต๊ะ) ผมมน้ำมะนาว 1 ลูก ทานก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน
2. แกนสับปะรด 3 ลูก กินเฉพาะแกน หรือ เอาแกนไปต้มน้ำพอประมาณ ทานเป็นเวลา 5-10วัน
3. น้ำมะพร้าวอ่อน แกว่งด้วยสารส้ม ดื่มวันละ 1 ครั้ง จนกว่านิ่วจะหลุด


บำรุงไต

1. ของสีดำตามธรรมชาติ ทุกชนิด เช่น ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, เห็นหูหนูดำ, เฉาก๊วย, งาดำ เป็นต้น
2. หน่อไม้ดอง
3. เม็ดบัว
4. ไขเยี่ยวม้า
5. น้ำฟักทอง
6. เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม
แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป

บำรุงปอด

1. พืช ผัก ธัญพืช ที่มีสีขาวโดยธรรมชาติ บำรุงปอด เช่น ถั่วขาว, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น
2. น้ำสำรอง ทานก่อนตีห้า บำรุงปอด
3. หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น
4. ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ

บำรุงตับ

1. ขมิ้นชัน ทานก่อนนอน
2. ถั่วเขียว บำรุงตับ
3. ชาแคลลี่ ดื่มก่อนนอน ช่วยตับขับสารพิษ
4. ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ

บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

1. ผักสด ผลไม้สด ทุกชนิด (กล้วย ส้ม ขนุน มีโปตัสเซียมมาก) และเนื้อหมู
2. งด ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ เพราะมีโซเดียมเยอะจะไปทำร้ายกล้ามเนื้อหัวใจ
3. ใบเตย ต้มน้ำ ทานแต่น้ำ
4. ถั่วแดง บำรุงหัวใจ

บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ

1. ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ ไข่เยี่ยวม้า มีโซเดียมสูง บำรุงเยื้อหุ้มหัวใจ
2. งด ผลไม้สด และ ผักสด เนื้อหมู ซึ่งมีโปตัสเซียมสูง จะไปทำร้ายเยื่อหุ้มหัวใจ

ละลายลิ่มเลือด แก้ช้ำใน

1. เหล้าขาว หรือ Vodka 2 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ดื่ม 3-7 วัน แล้วแต่อาการ
2. นมสด 1 แก้ว ชมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ เนยใส 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ น้ำมันมะรุม1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส หรือ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ หรือ น้ำมันขิง 1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส )คนให้เข้ากัน ทานติดกัน 5-10 วัน แล้วแต่อาการ
3.โยเกิร์ตรสจืด 1 ถ้วย ผสมน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ ทาน 5-7 วัน

ล้างสารพิษ

1. ระดับต่ำ เห็ดสามอย่าง ต้มน้ำ ดื่มน้ำที่ต้มได้ หรือ นำเห็ดสามอย่างไปทำอาหาร
2. ระดับกลาง ข้าวต้มถั่วเขียว (ข้าวสาร ๑ ส่วน ถั่วเขียว ๑ ส่วน ต้มกับน้ำจนกลายเป็นข้าวต้ม ที่สำคัญสูตรนี้ต้องต้มในหม้อดินหรือหม้อกระเบื้องเคลือบเท่านั้น เพราะถ้าใช้หม้อโลหะ มันก็จะไปดึงสารพิษจากโลหะกลับเข้ามาอีก)
3. ระดับสูง ต้นจางจืด (คนละชนิดกับรางจืด อาจจะหายากสักหน่อย แต่พอมีขายตามร้านขายยาไทย เช่น เจ้ากรมเป๋อ) ลักษณะเป็นไม้แห้ง หั่นเป็นแว่นๆ ใช้สัก ๓-๔ แว่นต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๗-๑๐ วัน
หรือจะใช้ ต้นเหงือกปลาหมอ (งงหนักขึ้นไปอีก) อันนี้ต้องเฉพาะพื้นที่ (ตามป่าชายเลนจะพอมี) ถ้าใช้สดมาสับๆ ให้ละเอียด ๑ ขีด (ถ้าแบบแห้งก็แค่ ๑/๒ ขีด) ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๑๐ วัน
ง่ายกว่านั้นแต่ต้องใช้ตังค์เยอะหน่อย คือ ใช้ ชาแคลรี่ (CALLI) ของซันไรเดอร์ ชงดื่มวันละ ๑-๒ ซอง ล้างพิษระดับนี้ได้ชะงัดนัก
4. ผักบุ้งแดง ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร เติมน้ำตาลทรายแดง ๕ ช้อนโต๊ะ (ต้มในหม้อดิน) กินน้ำล้างพิษ สัก ๑๐-๓๐วัน

ลดความอ้วน จากการบวมน้ำ

ฟักเขียว ต้มกับ ข้าวสาร อย่างละเท่ากัน

สะเก็ดเลือด

1. นม 1 กล่อง + ขมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
2. โยเกิร์ต + น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ (ขิง ข่า งา มะพร้าว) คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
3.อ้อยดำ อ้อยแดง สับ ๆ 7 ปล้อง ต้มน้ำดื่ม ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
4.มะขามคลุกข่า ใส่เกลือสมัยใหม่+ผงชะเอมหรือผงบ๊วย ทานจนกว่าอาการจะหาย



ล้างสารพิษตกค้าง, ไทรอยด์เป็นพิษ, เนื้องอก

1. เห็ด 3 อย่าง ใช้เห็ดที่ทานได้ (ไม่มีพิษ) ชนิดใดก็ได้ ต้มรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ชนิด แล้วทานน้ำ จะช่วย บำรังตับ และ ขจัดสารพิษ สลายพังผืดในมดลูก ลดอนุมูลอิสระ ลด cell มะเร็ง เพิ่มโลหิตขาว ลดไขมันในเลือด แก้ภูมิแพ้
2. ชาแคลลี่ สมุนไพรสกัด ล้างสารพิษตกค้าง
3. เนื้อลูกยอ ทานในฤดูหนาว ล้างพิษ
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง ล้างกรดยูริก



ริดสีดวงทวาร

สูตรแผนจีน กล้วยหอมทั้งเปลือก ฝานลงต้มกับน้ำตาลทรายแดง ทานทั้งน้ำทั้งเนื้อ

ลดไขมันในเลือด

1. กระเจี๊ยบแดง+พุทราจีน อย่างละเท่ากัน ต้ม ใส่น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอง ใส่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย ต้มแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มทุกวัน ดื่มมากน้อยเท่าไหร่ แล้วแต่พอใจ ไม่มีอันตราย สูตรนี้ยังช่วยลดหินปูนในเลือด ลดหินปูนในสมอง บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ แต่ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
* น้ำกระเจี๊ยบแดงอย่างเดียว ที่ไม่ใส่พุทราจีน ทานมากจะมีผลต่อไต ไตจะเสื่อม ต้องใส่พุทราจีนด้วยจึงครบสูตร ทานได้ทุกวัน
2. มะละกอปลอกเปลือก ต้มในน้ำแกง หรือแกงส้ม ทานได้ทั้งน้ำและเนื้อ ลดไขมันในเลือด
3. มะเขือทุกชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว เป็นต้น
4. กะทิ และ ไข่แดง มี HDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันตัวดี มีประโยชน์ ช่วบลด LDL Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) ฉะนั้น ควรทาน กะทิ และ ไข่แดงเป็นประจำ
5. สะเดา ลวกสุก ทานล้างไขมัน ไม่ควรทานทุกวัน เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว

ลดความอ้วน ลดไขมันสะสม

1. ทานมันเทศสีเหลือง หรือ บุก หรือ ฮ่วยซัว ระหว่าง 0900-1100 น. ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง
2. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทานก่อนนอน หรือ ทานน้ำสำรองเป็นประจำ
3. ไวทาไลท์ 1 ซอง ผสมน้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ดื่มติดกันจนกว่าจะได้น้ำหนักที่พอใจ
4. แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น ลดความอ้วน


ขยายหลอดเลือด

1. หน่อไม้ ต้มกับใบย่านาง (หรือซุปหน่อไม้) ใบย่านางจะล้างพิษของหน่อไม้ สูตรนี้ช่วยขยายหลอดเลือด
2. กุ๊ยช่าย ลดความดัน ฟอกเลือด


ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน

1. น้ำต้มใบมะยม หรือ หญ้าหวาน หรือ อบเชย หรือ รากเตย
2. ซันนี่ดิว สมุนไพรสกัดจากหญ้าหวาน
3. สูตร อ.จัสติน รากเตยหอม ผสม กับ อบเชย ต้มน้ำดื่ม ดื่ม ตอน 9 นาฬิกา วันละ 1 แก้ว
4. ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด
5. ใบมะรุม

โรคปอดหรือหอบหืด

ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน

กระเพาะอาหาร, กรดในกระเพาะ

1. ขมิ้นชัน 5-7 เม็ด ทานระหว่าง 0700-0900 เช้า บำรุงกระเพาะอาหาร
2. Assimilaid สมุนไพรสกัด บำรุงกระเพาะ
3. กระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก เมือกเพคติน สมานแผลในกระเพาะ

บำรุงม้าม

1. ถั่วเหลือง หรือ มันเทศสีเหลือง หรือ ขมิ้นชันทานเวลา 0900-1100 น.บำรุงม้าม
2. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัด ทานเวลา 0900-1100 น. บำรุงม้ามให้ผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน แก้น้ำเหลืองเสีย ป้องกันงูสวัด
3. ดอกอัญชัญต้มน้ำ ทานน้ำ บำรุงม้าม ช่วยให้น้ำเหลืองดี

แก้ปวดข้อ

1. ลูกเดือยต้ม ทานเนิ้อแทนข้าว 7 วัน รวม 21 มื้อ แต่ละมื้อ ต้องมีลูกเดือยในสัดส่วนมากกว่า 70% ของมื้อนั้น
2. ใบยอ นึ่ง คั้นน้ำ หรือปั่น กินแก้ปวดข้อ ไม่ควรกินสดเพราะมีสารพิษ
3. กากกระชายที่ได้จากการปั่น ใช้ผสมเหล้ากับน้ำตาลทราย พอกเข่าแก้ปวดได้
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง ล้างกรดยูริก


ปรับความดันให้สมดุลย์

1. น้ำกระชายปั่น : กระชายล้าง ไม่ต้องปอกเปลือก 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก
ล้างกระชายให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป ผสมปรุงรสตามใจชอบได้
- บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง)
- บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น
- ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน
- ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต ( ความดันโลหิตสูงจะลดลง ความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น
- แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น
- ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ
- บำรุง มดลูก
- แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง
- อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน)
- ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต
- แก้ปัญหา ไส้เลื่อน
*กระชายมีฤทธิ์ร้อน หากรู้สึกร้อนใน ให้ลดจำนวนลง

เพิ่มเม็ดเลือด

1. สัปปะรดกับใบโหระพา-ปั่นสด กรอง ทานแต่น้ำ, ผักชีปั่นกับสับปะรด ทานน้ำ, ใบยอ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ด
2. ใบเตย ต้มกับใบมะนาว, ใบเตยต้มกับแก่นขนุน
3. ใบขี้เหล็ก กินสุก เช่น แกงขี้เหล็ก ห้ามกินดิบ เพราะมีสารพิษ
4. สมาธิบำบัด โดย กสิณสีแดง

เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)

1.น้ำมะม่วงสุก / มะม่วงกวนต้มกับน้ำมะขาม / น้ำมะพร้าวอ่อน (ห้ามทานเนื้อ) /น้ำมะเฟือง / ผักกุ๊ยช่าย/ หอยแมงภู่แห้ง / ปลิงทะเล/ ว่านชักมดลูก(ชายสูงอายุต้องกิน จะช่วยให้ไม่เป็นไส้เลื่อน และไม่เป็นต่อมลูกหมากโต) ,
2. มุกสกัด
3. ลูกยอสุก เอาเม็ดออก ผสมยาสระผมสมุนไพร แก้เหา แก้คันจากไรฝุ่น ใช้ขับประจำเดือนอย่างแรง (ระวังอาจแท้งได้) ลูกยอมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวเบื่อเมา ใช้สับปะรดใส่ช่วยดับกลิ่นลูกยอได้
4. แครอทปั่นกับแอปเปิ้ลเขียวหรือฝรั่งหรือตะลิงปริง ,


บำรุงระบบเพศ

1. เนื้อลูกบัวต้ม
2. น้ำกระชายปั่น


สูตรอาหารอื่น ๆ

ใบกระเพราตากแห้ง - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ ขับลม
ใบมะยม,รากเตย, ใบหญ้าหวาน - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ ด้านเบาหวาน ฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง
ใบโหระพา - กินวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยดูแล ปอด, ตับ, ม้าม, ไต, หัวใจ ให้แข็งแรง
ใบโหระพาปั่นกับสับประรด - ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+ใบมะนาว/ ใบเตย+แก่นขนุน / ใบเตย+แก่นฝาง - ต้มรวมกันดื่มน้ำ ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+แฮ่ม - ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไมเกรน
ใบยอ - นำเอาใบมาย่างไฟ แล้วยำกินช่วยบำรุงเลือดได้ดี
ใบหูเสือ - กินช่วยขับพยาธิได้
ใบขี้เหล็ก -ช่วยขับถ่าย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
มันเทศ - ลดความอ้วน อุ้มไขมันไปทิ้ง ลดความชื้นของม้าม ซุปมันเทศลดอาการตัวบวม
แกงบอน, ขมิ้นชัน, มันเทศ - เป็นอาหารลดความชื้นของม้าม และปอ
แกงสับปะรดใส่หอยแมงภู่แห้ง - แก้ปัสสาวะขัด ต่อมลูกหมากโต
เนื้อสับปะรด - ต้านการอักเสบ
ตาแย่ ตาป่วย ตาเจ็บ ตาแสบ - ต้องล้างระบบดูดซึมและดื่มน้ำกระชายและส่งอาหารที่มีวิตามินA และวิตามินEเข้าไปมากๆ คือ ขมิ้น , แกงผักบุ้งเทโพ , ผักบุ้งไฟแดง , ผลไม้ตากแห้ง เช่นกล้วยตาก ลูกเกด

ลูกเกด :- แก้ตาแพ้แสง , บำรุงผิวพรรณ , รักษาไมเกรน ช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดี , แก้ถุงน้ำดีข้น , ลดความบ้า โรคจิตขี้กลัว ลดเครียด , ลดคลอเรสเตอรอล สรรพคุณคล้ายกระเจี๊ยบพุทราแห้ง

พริกหวานสีแดง ป้องกันโรคปวดตามข้อได้ ทำให้กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา สนุกสนาน
พริกหวานสีเหลือง กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยย่อย
พริกหวานสีเขียว คลอโรฟิลจะไปสร้างเม็ดเลือด

6 ก.ค. 2554

คำแนะนำในการล้างจมูก

รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

การล้างจมูก เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หนอง สิ่งสกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัส หรือคราบสะเก็ดแข็งของเยื่อบุจมูกหลังการผ่าตัดจมูกและไซนัส หรือหลังการฉายแสงออก ด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง ทำให้บรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ทั้งที่ไหลออกมาข้างนอก และไหลลงคอ นอกจากนั้นการล้างจมูกก่อนการพ่นยาในจมูก จะทำให้ยาสัมผัสกับเยื่อบุจมูกได้มากขึ้น ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น การล้างจมูกมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. ควรอุ่นน้ำเกลือก่อนการล้างจมูกเสมอ โดยให้มีอุณหภูมิพอเหมาะกับเยื่อบุจมูก การใช้น้ำเกลือที่ไม่ได้อุ่นล้างจมูก อาจทำให้เกิดการคัดจมูกหลังการล้างได้ การอุ่นน้ำเกลือสามารถทำได้โดยต้มน้ำประปาให้เดือดในหม้อต้ม ซึ่งมีขนาดใหญ่พอที่สามารถใส่ขวดน้ำเกลือเพื่อลงไปอุ่นได้ หลังจากนั้นปิดไฟ แล้วนำขวดน้ำเกลือที่แพทย์จ่ายให้ใส่ลงไปแช่ในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที (ขวดน้ำเกลือที่ซื้อมาจากโรงพยาบาลสามารถทนความร้อนได้) แล้วนำขวดน้ำเกลือนั้น ขึ้นมาเทใส่ภาชนะปากกว้าง เช่น ชาม ในขนาดพอประมาณ ที่จะทำการล้างในเวลานั้นๆ หรืออาจเทน้ำเกลือลงในภาชนะที่สามารถอุ่นในไมโครเวฟได้ แล้วอ่นในไมโครเวฟให้อ่นพอประมาณ ในกรณีที่อยากทำน้ำเกลือไว้ล้างเอง อาจทำได้โดย ต้มน้ำประปาในขนาด 1 ขวดแม่โขง (750 ซีซี) ในหม้อต้มให้เดือด หลังจากนั้นใส่เกลือแกง หรือเกลือป่นที่ใช้ปรุงอาหารลงไป 1 ช้อนชา แล้วคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นจึงปิดไฟ และตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น (น้ำเกลือที่เตรียมเอง ควรใช้ภายใน 1 วันเท่านั้น ที่เหลือควรทิ้งไป) ก่อนนำน้ำเกลือที่อุ่นแล้วนั้นมาล้างจมูก ควรทดสอบกับหลังมือเสียก่อน น้ำเกลือควรจะอุ่นในขนาดที่หลังมือทนได้

2. ควรล้างจมูกบนโต๊ะ โดยหาภาชนะมารองรับน้ำเกลือหลังล้าง ที่จะออกมาทางจมูก และปาก เช่น ชาม หรือกะละมัง หรือล้างในอ่างล้างหน้า

3. ใช้ลูกยางแดง หรือ กระบอกฉีดยาที่แพทย์จ่ายให้ ดูดน้ำเกลือที่อุ่นได้ที่แล้วในปริมาณน้อยๆก่อนเช่น ประมาณ 10-15 ซีซี ในผู้ใหญ่ หรือประมาณ 5 ซีซี ในเด็ก

4. ผู้ที่จะล้างจมูกควรนั่งโน้มตัวไปข้างหน้า และก้มหน้าเล็กน้อย อยู่เหนือภาชนะรองรับน้ำเกลือหลังจากที่ล้างแล้ว ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ หรืออยู่เหนืออ่างล้างหน้า ควรเริ่มล้างจมูกข้างที่โล่งกว่า หรือ คัดน้อยกว่าก่อน

5. ควรนำปลายของลูกยางแดง หรือปลายกระบอกฉีดยา ใส่เข้าไปในจมูกข้างที่จะล้างเล็กน้อย อ้าปากไว้ แล้วหายใจเข้าเต็มที่ และกลั้นหายใจไว้

6. บีบลูกยางแดง หรือดันกระบอกสูบของกระบอกฉีดยา เบาๆ ให้น้ำเกลือไหลเข้าไปในจมูกช้าๆ หลังจากที่น้ำเกลือส่วนใหญ่ไหลออกมาจากจมูก และ / หรือ ปากแล้ว ให้หายใจตามปกติได้ ข้อสำคัญคือ ระหว่างที่น้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูก จะต้องกลั้นหายใจไว้ มิฉะนั้นอาจหายใจเอาน้ำเกลือลงไปยังกล่องเสียงและหลอดลมทำให้เกิดการสำลักได้

7. หลังจากที่คุ้นเคยกับการล้างจมูก และรู้จังหวะของการหายใจแล้ว จึงค่อยๆเพิ่มปริมาณของน้ำเกลือในการล้างแต่ละครั้งขึ้นเรื่อยๆ การล้างจมูกให้ได้ประสิทธิภาพในการชำระล้างโพรงจมูกให้สะอาดนั้น ควรจะดันน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกทุกทิศทาง เช่น ทางขวา ซ้าย ด้านบนและล่างของโพรงจมูก เพื่อชะล้างน้ำมูกหรือสิ่งสกปรกในโพรงจมูกออกได้ทั่วทั้งโพรงจมูก และออกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หลังจากฉีดล้างโพรงจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ควรจะมีน้ำเกลือไหลออกจากโพรงจมูกอีกข้าง ถึงจะเป็นการล้างที่ถูกต้องคือ มีปริมาณของน้ำเกลือที่ใช้ล้างในแต่ละครั้ง และมีความแรงของน้ำเกลือที่ฉีดเข้าไปเพียงพอ ควรล้างโพรงจมูกสลับข้างไปเรื่อยๆ เช่น หลังล้างข้างซ้าย ก็ควรย้ายไปล้างข้างขวา แล้วสลับกันไปมา

8. การล้างจมูกแต่ละครั้งนั้น ควรล้างจนกว่าจะรู้สึกว่าจมูกโล่ง ไม่มีน้ำมูกหรือสิ่งสกปรกอะไรคั่งค้างในจมูก และควรล้างจนกว่าน้ำเกลือที่ออกมาจากจมูกและปาก จะใสเหมือนกับน้ำเกลือที่ฉีดเข้าไปในโพรงจมูก จึงจะหยุดการล้างได้

9. หลังจากล้างเสร็จ สามารถสั่งน้ำมูก หรือน้ำเกลือที่คั่งค้างอยู่ในโพรงจมูก และบ้วนน้ำเกลือและน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอรวมทั้งเสมหะในคอออกมาได้ การล้างจมูกอย่างถูกต้องบ่อยๆ จะไม่เกิดโทษ หรืออันตรายต่อจมูก หรือร่างกาย ในทางตรงกันข้าม จะมีประโยชน์โดยช่วยล้างน้ำมูก สิ่งสกปรกที่คั่งค้างอยู่ในโพรงจมูกออก ดังนั้นในช่วงวันหยุด ถ้าล้างเพิ่มได้ ก็ควรจะทำ ควรล้างจมูกก่อนการอบจมูกด้วยไอน้ำเดือด หรือการพ่นยาในจมูกเสมอ แนะนำให้ล้างจมูกก่อนเวลารับประทานอาหาร (ขณะท้องว่าง) หรือหลังรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไปเพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลัก

10. หลังล้างจมูกเสร็จทุกครั้ง ควรล้างอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ หรือ น้ำยาล้างจาน แล้วล้างด้วยน้ำประปาจนสะอาด (ในกรณีที่ใช้ลูกยางแดงหรือกระบอกฉีดยาที่ทำจากแก้ว หลังจากล้างแล้วควรนำมาต้มกับน้ำเดือด ประมาณ 5 นาที) แล้วผึ่งให้แห้ง

4 ก.ค. 2554

6 สถานที่ให้หวยอย่างแม่นยํา...(รวยๆๆๆ)

คนไทยนิยมซื้อหวยและผูกพันกับหวยมานานกว่า 100 ปี...

จากงานวิจัยเรื่องหวยกับสังคมไทย ระบุอย่างชัดเจนว่าคนไทยวัยทำงานกว่า 90%เคยซื้อหวย และกว่าครึ่งหนึ่งของคนไทยวัยเกิน 15 ปี ซื้อหวยเป็นประจำและแต่ละคนก็มีวิธีการเสาะแสวงหาเลขเด็ดที่แตกต่างกันออกไป บางคนชอบทำนายฝันกลายเป็นตัวเลขนำโชค แต่บางคนมีความเชื่อในเรื่องโชคชะตาการบนบานศาลกล่าวก็ออกเดินทางตามหาเลข เด็ดจากแหล่งขอหวยยอดฮิตทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจดใต้ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าพ่อ ศาลเจ้าแม่ สารพัดสิ่งประหลาดรวมไปถึงพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง

แต่แหล่งฮิตที่ไหน ที่เซียนหวยเดินทางไปขอหวยมากที่สุดและการันตีแล้วว่ามีผู้ถูกหวยมาแล้วหลาย ต่อหลายงวด อย่ารอช้าเรามีมาบอกถึงมือคุณแล้ว

คำเตือน!!

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างรอบคอบ เพราะการเล่นหวยอาจทำให้เสียทรัพย์แต่ถ้าไปแล้วได้เลขเด็ดอย่าลืมกรุณา ติดต่อกลับทีมงานด้วย (อิ...อิ...)

1. ศาลเจ้าพ่อยี่กอฮง

เชื่อไหมว่าในกรุงเทพมหานครที่ห้อมล้อมไปด้วยตึกสูงระฟ้ายังมีสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์บนดาดฟ้าของสถานีตำรวจพลับพลาไชยเป็นที่ตั้ง ของศาลเจ้าพ่อยี่กอฮงเจ้าพ่อยี่กอฮงมีนามเดิมว่า นายเตี่ยง แช่แต่(แซ่แต่เป็นต้นตระกูลเตชะวณิชย์ ที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติไว้มากมาย)

ส่วนที่เกี่ยวข้องกับหวยก็คือ ในสมัยรัชกาลที่ 6ท่านเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยที่ริเริ่มให้มีหวย กข ในย่านสามยอด พลับพลาไชยและเยาวราชเป็นคนแรกครับก่อนเสียชีวิตท่านได้บริจาคที่ดินเป็น จำนวนมากให้แก่ข้าราชการรวมถึงที่ดินผืนนี้ผู้ที่เคารพศรัทธาจึงสร้างศาล เจ้าไว้สักการะและระลึกถึงท่านกันครับ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้บรรดาคอหวยทั้งหลายนิยมมาขอหวยที่นี่ส่วนหนึ่งเพราะใน สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ท่านเป็นเจ้าของโรงหวยและมีส่วนสำคัญในการริ
เริ่มให้เล่นหวยขึ้นในประเทศ ที่สำคัญท่านยังชื่นชอบการเล่นหวยมากนั่นเอง

Tips:ก่อนหวยออก 1 วันจะมีผู้มาขอหวยกันเยอะที่สุด ถ้าบนบานศาลกล่าวและถูกหวยนิยมแก้บนด้วย การนำข้าวขาหมู โอยั๊ว น้ำชาดอกดาวเรือง และซิก้ามาถวาย

2. ต้นโพธิ์ ริมถนนใหญ่รามอินทรา

ตรงหลัก กม. 13 ยามราตรีของบรรดานักเล่นหวยไม่มีคำว่าเงียบเหงา เพราะใกล้ๆวันก่อนหวยออกจะพบว่ามีผู้คนจำนวนมากไปยืนรอนั่งรอให้ใบโพธิ์หล่น ลงมาจากต้นแล้วนำไป
ตีเป็นตัวเลข หรือบางคนก็จุดธูปไหว้ ขอเทพเทวดาอารักษ์ที่เชื่อว่าสิงสถิตอยู่ในต้นโพธิ์ดลบันดาลให้คืนนี้ฝันเห็นเลขเด็ด

ปล.ต้นโพธิ์ต้นนี้อยู่ในเขตของโรงงานแห่งหนึ่ง แต่กิ่ง ก้าน และใบแผ่กว้างใหญ่ออกมาด้านนอกซึ่งไม่เป็นอุปสรรคในการขอหวยของนักเสี่ยงโชค แต่อย่างใด

Tips: สิ่งที่นิยมนำมาแก้บนส่วนใหญ่เป็นน้ำอัดลม หมากพลู และผ้าสามสี

3. ศาลแม่นาคพระโขนง วัดมหาบุศย์

ในจำนวนแหล่งขอหวยทั่วประเทศวัดมหาบุศย์หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดแม่นาค พระโขนง เป็นลำดับต้นๆที่มักจะถูกกล่าวถึงส่วนหนึ่งอาจจะมาจากชื่อเสียงของแม่นาค พระโขนงที่โด่งดังมานานนับร้อยปีและบรรยากาศวัดแห่งนี้ที่ดูขลังดั่งมีมนต์ สะกดรายล้อมไปด้วยสิ่งลี้ลับที่ยากจะบรรยายแม่นาคพระโขนงได้ดึงดูดนักเสี่ยง โชคจากทั่วทุกสารทิศให้มาแสวงหาตัวเลขในทุกๆ งวดอย่างไม่ขาดระยะมาเป็นเวลานานแล้วซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้เลขเด็ดกลับไป

Tips:สิ่งของที่นำมาแก้บนแม่นาคพระโขนงส่วนใหญ่มักจะเป็นชุดเด็กชุดไทยพวง มาลัยสามสียาวสามศอก ขนมหวาน และผลไม้จำพวกกล้วย มะพร้าว เป็นต้น

4. ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง

คนไทยแต่โบราณมีความเชื่อว่าต้นไม้ใหญ่อย่างต้นตะเคียนทองมีเทวดาอารักษ์หรือเจ้าแม่
ตะเคียนทองสิงสถิตอยู่และมีความศักดิ์สิทธิ์สามารถบันดาลโชคลาภให้สมดัง ปรารถนาได้ดังนั้นผู้คนจำนวนมากที่ศรัทธาและให้ความเคารพจึงนิยมเดินทางไป อธิษฐานบนบานขอโชคลาภ
กันเป็นประจำอย่างที่เคยเป็นข่าวบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับซึ่งใน ประเทศไทยนั้นมีศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองอยู่หลายแห่งที่นักเสี่ยงโชคนิยมเดิน ทาง ไปขอหวยกันประจำ เช่น เสาตะเคียนทอง วัดสูง อ.เสาไห้ จ.สระบุรีวัดบึงแก้ว อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ที่มีต้นตะเคียนเก่าแก่อายุ 100 ปีวัดสวนมะม่วง อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นต้น

Tips: กลเม็ดเคล็ดลับในการขอหวยหรือขอเลขเด็ดจากเจ้าแม่ตะเคียนทองแตกต่างกันออกไปบางคนนิย
มเอาแป้งมาโรยแล้วเอามือลูบๆ คลำๆบางคนก็เขย่าเซียมซีและเอาเลขที่ได้จากไม้เซียมซีนั้นมาตีเป็นเลขส่วน สิ่งของที่นิยมนำมาแก้บนจะเป็นผ้าสามสี น้ำอบ ชุดไทยหรือบางคนอาจแก้บนด้วยการจ้างนางรำมาถวาย

5. ต้นโพธิ์ โค้งศาลอาญา รัชดาฯ

ได้ชื่อว่าเป็นโค้งร้อยศพที่อันตรายเฮี้ยนและความศักดิ์สิทธิ์ของต้นโพธิ์ก็ มีผลให้นักเสี่ยงโชคและผู้คนในบริเวณใกล้เคียงนิยมมาขอหวยเป็นประจำต้นโพธิ์ ต้นนี้ขึ้นอยู่บนเกาะกลางถนน บริเวณสะพานลอย หน้าศาลอาญา รัชดาฯมานานนับสิบปีซึ่งผู้ที่มาขอหวยส่วนใหญ่จะต้องปีนบันไดไม้ไผ่ลงไป บริเวณโคนต้นโพธิ์แล้วจุดธูปอธิษฐานขอเลขเด็ด

Tips:ผู้คนส่วนใหญ่จะมาขอหวยในเวลาค่ำไป จนถึงดึก ส่วนสิ่งของที่นำมาถวายแก้บนชาวบ้านนิยมใช้ผ้าแพรสามสี พวงมาลัย หมากพลู ฯลฯ Firstขอแนะนำนักเสี่ยงโชคว่า การขึ้นลงบันไดเพื่อขอหวยนั้นต้องใช้ความระมัดระวังนิดนึง มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายได้!

6. ศาลเจ้าแม่งูจงอาง ถ.พระราม 2

ถ้าใครที่เคยผ่านไปผ่านมาแถวถนนพระราม 2 บ่อยๆอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์ของเจ้าแม่จงอางซึ่งเป็นเรื่องราว ของงูจงอางความยาวกว่า 2เมตรที่ชาวบ้านเชื่อว่าจะบันดาลโชคลาภให้กับผู้ที่เคารพศรัทธาจนสร้างเป็น ศาลให้กราบไหว้ขอพรในสิ่งที่ปรารถนา โดยเฉพาะตัวเลขสำหรับการเสี่ยงโชคซื้อหวย

Tips:ใครที่ถูกหวยก็จะแก้บนด้วยการนำหุ่นงูมาถวาย รวมไปถึงไข่ไก่ เป็ด ไก่ หมูชุดไทยบายศรี ซึ่งถ้าสังเกตจากหุ่นงูที่เรียงรายอยู่ในศาลเจ้าแม่ก็เชื่อว่าคงมีผู้โชคดี จำนวนไม่น้อยเลย

7. ศาลเจ้าพ่อเสือบางเขน

ด้วยความปรารถนาที่อยากจะรวยเพราะถูกหวยเมื่อมีข่าวว่าที่ไหนมีเลขเด็ดหรือ บันดาลโชคลาภบนเส้นทางนี้ก็จะพากันแห่ไปอย่างไม่คิดถึงความเหนื่อยยาก อย่างที่ศาลเจ้าพ่อเสือบริเวณสี่แยกถนนรามอินทราซอย 5 ตัดกับพหลโยธิน 48พอใกล้วันที่หวยออกก็มีนักเสี่ยงโชคพากันแห่ไปจุดเทียนธูปกราบไหว้ขอโชค ลาภเลขเด็ดกันจนแทบจะเรียกว่าเป็นมหกรรม

จะแม่นแค่ไหนนั้นก็ดูจากรูปปั้นเสือที่นำมาแก้บนวางเรียงรายกันตามสองข้าง ถนนยาวยืดรวมทั้งมีผู้ถูกหวยด้วยได้โชคจากเจ้าพ่อเสือติดต่อกันมาหลายงวด หลายรายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีข่าวออกมาเป็นระยะๆ แถมยังมีหนังมาฉายที่ท้ายตลาดบ่อยครั้งเป็นการการันตี

Tips:เปิดทุกวัน การแก้บนนิยมเอาเนื้อหมูเนื้อวัวสดๆ เลือดหยดติ๋งๆมาวางไว้ที่หน้าศาล รวมทั้งภาพยนตร์ หุ่นรูปเสือมาวางไว้หรือเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ หลายรูปแบบตามที่บนบานศาลกล่าว

8. ศาลพุ่มพวง ดวงจันทร์ วัดทับกระดาน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี

สถานที่อีกแห่งที่เป็นแหล่งขอหวยอันดับต้นๆ ของเมืองไทยแหล่งฮิตที่หวังขอเลขเด็ดจากคนทั้งประเทศ หรือที่บางคนแอบเรียกให้จำง่ายๆว่าวัดพุ่มพวง เพราะหลังจากการเสียชีวิตของราชินีลูกทุ่งตลอดกาล พุ่มพวงดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2535วัดทับกระดานกลายเป็นแหล่งอนุสรณ์สำหรับระลึกถึงเธอ

โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่มีการนำหุ่นพุ่มพวงไปตั้งในศาลาการเปรียญวัดทับกระดานนั้นได้มีแฟนเพลงไป กราบขอหวยและถูกหวยหลายงวดติดต่อกันและได้มีการบอกเล่าแบบปากต่อปากถึ
งความแม่นยำในเลขเด็ดของพุ่มพวงดวงจันทร์จนกลายเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้งเหตุนี้เองบรรดานักเลี่ยงโชคจากทั่วทุกสารทิศจึง เดินทางมาขอเลขเด็ดจากพุ่มพวง ดวงจันทร์แทบจะทุกวันเลย

Tips: เปิดทุกวัน ตั้งแต่08.00-17.00 น. สำหรับสิ่งของแก้บนที่พุ่มพวงชอบและนำมาแก้บนได้แก่ชุดไทยและดอกกุหลาบสีแดง ส่วนวิธีขอหวยพุ่มพวงนั้นส่วนใหญ่จะใช้วิธีเขย่าเซียมซีและเอาเลขที่ได้จาก ไม้เซียมซีมาตีเป็นเลข

9. ขอลาภรูปหล่อ ดร.ตั้ว พลานุกรม

ผู้ก่อตั้งองค์การเภสัชกรรม อนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่หน้าองค์การเภสัชกรรมถ.พระราม 6 เยื้องโรงพยาบาลรามาหลังจากมีกระแสข่าวว่าได้สร้างความเฮงให้กับพนักงานใน องค์การเภสัชกรรม 6คนถูกหวยรางวัลที่ 1 รวมกันกว่า 36ล้านบาทรวมทั้งพนักงานอีกหลายคนยังถูกรางวัลข้างเคียงทำให้มีประชาชนแวะ เวียนเข้ามากราบรูปหล่อ ดร.ตั้ว พลานุกรม อย่างไม่ขาดสายด้วยเชื่อมั่นในบารมีของท่านว่าจะบันดาลโชคลาภให้ถูกหวยและ หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

Tips: เปิดเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ นิยมแก้บนด้วยพวงมาลัยและเครื่องเซ่นไหว้ตามแต่ศรัทธา

10. ศาลคุณปู่คุณย่าเมืองทอง

ผู้ที่เคยผ่านไปอาคารอิมแพ็ค อารีน่าเมืองทองธานีและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถ.แจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรีคงคุ้นกับภาพฝูงรูปปั้นม้าลายหลายขนาดนับพันตัวตั้งเรียงรายอยู่บน ทางเท้าจากการที่มีประชาชนนำมาถวายในการแก้บนศาลคุณปู่คุณย่าเมืองทองภาย หลังจากสมหวังในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาแล้วซึ่งหากดูจากจำนวนสิ่งของที่แก้บน แล้วยิ่งเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และน่าศรัทธาอย่างมาก โดยเฉพาะบรรดานักเสี่ยงโชคที่เดินทางมาขอเลขเด็ด ไหว้ขอพร ขอโชคกันตลอดทั้งวัน

Tips:เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ผู้คนนิยมแก้บนด้วยของเซ่นไหว้ เช่น ผลไม้ขนมหวาน อาทิ ทองหยิบ ฝอยทองร่มผ้าที่ใช้ในพิธีแห่นาคมากางถวายเพื่อกันแดดและฝนด้วยความที่ศาล ตั้งอยู่ริมทางเดินโดยเฉพาะม้าลายปูนปั้นที่ชาวบ้านเชื่อว่าคุณปู่คุณย่าชอบ มาก

5 เกจิดัง

1.หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม กลายเป็นข่าวฮือฮาสำหรับคอหวยหลังจากพระมงคลสิทธิการ หรือหลวงพ่อพูลอดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2548ก็มีบรรดาลูกศิษย์ได้นำตัวเลขที่เกี่ยวกับหลวงพ่อพูลไปตีเป็นเลขเด็ด เพื่อซื้อหวยไม่ว่าจะเป็นอายุ เลขฝาโลง ทะเบียนรถ เวลามรณภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย ปรากฏว่าตัวเลขเหล่านั้นทำให้มีผู้ถูกหวยติดต่อกันถึง 14 งวดเป็นเงินหลายสิบล้านบาทเลยทีเดียวหลังจากนั้นวัดไผ่ล้อมจึงกลายเป็นแหล่ง รวมตัวของบรรดาคอหวยจากทั่วประเทศ

2.หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ อ.ท่าซุง จ.อุทัยธานีมีลูกศิษย์ลูกหาซึ่งเคารพศรัทธาในหลวงพ่อฤๅษีลิงดำอยู่เต็มบ้าน เต็มเมืองโดยเฉพาะหลังจากท่านมรณภาพแล้วพบว่าศพไม่เน่าไม่เปื่อยทางวัดจึง ได้นำศพอดีตเจ้าอาวาสใส่โลงแก้วไปตั้งไว้ในวิหารแก้วให้ชาวบ้านที่เคารพ ศรัทธาเดินทางนำพวกมาลัยมาราบไหว้และหนึ่งในนั้นคือการเสี่ยงเซียมซีและ อธิษฐานขอเลขเด็ดโดยเฉพาะในวันช่วงใกล้หวยออกจะมีชาวบ้านทั้งชาวอุทัยธานี และต่างจังหวัดมาอธิษฐานขอโชคลาภกันแน่นวัด ซึ่งก็มีคนถูกรางวัลใหญ่ไปแล้วหลายงวดและเป็นข่าวที่ทำให้คนมาขอหวยกับ ท่านอย่างต่อเนื่อง

3.หลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ของวัดพราหมณี ต.สาริกา อ.เมืองจ.นครนายกที่มีบรรดาคอหวยจำนวนมากเดินทางมากราบไหว้บูชาและขอพรกันจน แน่นขนัดแทบจะไม่มีที่ว่างให้เดินโดยเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์หรือ ช่วงก่อนวันหวยออก เพราะมีข่าวร่ำลือว่าเคยมีคนมากราบไหว้หลวงพ่อปากแดงแล้วถูกหวยติดต่อกัน หลายงวดส่วนปากของหลวงพ่อที่เป็นสีแดงนั้นมีความหมายว่าหลวงพ่อมีวาจา ศักดิ์สิทธิ์ใครขอพรสิ่งใดก็มักจะได้รับผลสำเร็จสมประสงค์ทุกประการและเมื่อ ได้รับผลสำเร็จแล้วบุคคลเหล่านั้นก็จะนำสิ่งของต่างๆ มาถวายเป็นการแก้บนนอกจากที่พระอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อปากแดง แล้วบรรดาเซียนหวยยังนิยมมาขอเลขเด็ดจากต้นตะเคียนเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ซึ่งมีศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองตั้งอยู่ด้วย

4. หลวงปู่ฤๅษีภารตะ จากคำพูดปริศนาของหลวงปู่ฤๅษีภารตะที่มีบรรดาคอหวยนำไปตีเป็นเลขเด็ดและถูก หวยติดต่อกันหลายงวดก็ทำให้อาศรมของท่านที่ตั้งอยู่แถวเขื่อนลำตะคอง อ.ลำตะคองจ.นครราชสีมา มีบรรดาคอหวยจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้าอย่างไม่ขาดสายแต่บางครั้งไปแล้ว ก็ไม่เจอเพราะศิษยานุศิษย์ของท่านนิมนต์ไปเผยแผ่ธรรมะในต่างจังหวัดหรือ ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งถ้าโอกาสดีได้เจอท่าน นอกจากจะได้กราบไหว้แล้ว ท่านจะชอบเล่าปริศนาธรรมให้ชาวบ้านนำไปตีเป็นเลขเด็ดตามระเบียบ

5.หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ หรือพระเทพวิทยาคม พระเกจิดังแห่งวัดบ้านไร่อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณในวัย 85 ปีก็ยังดึงดูดให้นักเสี่ยงโชคเดินทางไปวัดบ้านไร่เป็นจำนวนมากในทุกๆ วันนอกจากหวังว่าจะให้หลวงพ่อคูณช่วยเคาะหัวเป็นสิริมงคลในชีวิตแล้วเซียน หวยที่ไปก็ยังหวังขอเลขเด็ดจากหลวงพ่อคูณด้วยการนำคำสอนของหลวงพ่อมาตีเป็น เลข หรือแม้ว่าท่านจะอาพาธและเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเซียนหวยก็เอาวัน ที่ เลขที่ห้องพัก เวลาหรือทะเบียนรถที่พาท่านไปส่งโรงพยาบาลมาตีเป็นเลขได้เช่นเดียวกันซึ่งใน จำนวนนี้ก็มีคอหวยถูกหวยเพราะเลขของท่านติดต่อกันมาหลายงวดเป็นข่าวฮือฮาไป ทั่วประเทศ

คนที่เกิดช่วงปี พศ.2520-2528 ตรงดีครับเลยเอามาให้อ่าน

คนที่เกิดช่วงปี พศ.2520-2528 ตรงดีครับเลยเอามาให้อ่าน คนที่เกิดช่วงปี พศ.2520-2528 คนที่เกิดช่วงปี พศ.2520-2528 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีอะไรให้จดจำเยอะมากๆ บางสิ่งบางอย่างก็ได้หายไปแล้ว แต่ยังอยู่ในความทรงจำทุกๆ คน เอาล่ะไปดูกันดีกว่า ว่าช่วงเวลา พศ.2520-2528 มีอะไรที่คุณลืมไปแล้วบ้าง

1. คุณเป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้เล่น มอญซ่อนผ้า กระโดดยาง รีรีข้าวสาร เป่ากบ ฯลฯ โดยไม่ต้องไปหาดูตามงานวัด หรืองานแสดงศิลปะวัฒนธรรม

2. คุณเกิดมาร้องเพลงขอมอบดอกไม้ในสวนได้ทัน ในยุคที่พี่แจ้ นกแล นิธิทัศน์ ยังดังและเมื่อโตขึ้น คุณก็ยังไม่แก่เกินไปที่จะฟังดีทูบี

3. คุณได้เห็นคาราบาวยุคก่อนประวัติศ่าสตร์ เฟื่องฟู และเสื่อมถอย (เรเนซองค์)

4. คุณได้เห็น ก็อต จักรพันธ์ (คนเดียวกับ เจ้าชายลูกทุ่ง) ยังร้องเพลงสตริงวัยรุ่น และคณะวงดนตรีชื่อดังอย่าง แอ๊ดเทวดา (ยังติดคุก)

5. คุณเกิดมาทันพอดีในยุคที่รองเท้าและถุงเท้านักเรียนแลกซื้อของเล่น (หลอกเด็ก) และหลังจากหมดยุคคุณ มันก็ไม่ทำมาหลอกเด็กอีกเลย

6. คุณโชคดีที่เกิดมาทันในยุคที่เมืองไทย มีดาราเด็กชื่อดังอย่าง น้องตูมตาม เพราะสามารถนำมาเปรียบเทียบ กับความน่ารักของ น้องพลับ ในยุคนี้ได้

7. คุณโตมาพร้อมกับโงกุน ดราก้อนบอล มันออกฉายทีวีครั้งแรกปี2529–2538 หนังสือการ์ตูนอัพเดท ทุกสัปดาห์ มีพิมพ์ทุกสำนัก ไม่มีการดองเพราะยังไม่มีลิขสิทธ์ อ่านแล้วไปดูช่อง9อีกยังมันส์ ถามเด็กผู้ชายยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จักพลังคลื่นเต่า กินเวลา10กว่าปีถึงจะจบ ( แต่เด็กรุ่นใหม่ใช้เวลาอ่านแค่วันเดียว)

8. สุดยอดแห่งการ์ตูนก็มีในยุคนี้ เช่น เซ็นต์เซย่า เจ็ทแมน จีบัน เกียบัน ชาลีบัน ซึบาสะ นายมดแดง อุลตร้าแมน เซเลอร์มูน รันม่า1/2 ฯลฯ มันก็เข้ามาฉายตอนเราอยู่อนุบาล - ประถม แล้วพอขึ้นชั้นมัธยมมันก็ค่อยๆหายไป (แล้วฮีโร่ของเด็กยุคนี้ล่ะ จาพนม)

9. คุณเกิดมาทันพอดี กับช่วงเกมกด วีดีโอเกม คอนตร้า มาริโอ พอโตขึ้น ก็ยังไม่แก่เกินไปที่จะเล่น play station และทามาก็อตจิ

10. จงเติมคำในช่องว่างมดแดงกำลังเป่าปี่ มานี…………… ..............................มานะชอบใจ ไม่ยากใช่ไหมสำหรับเพลงดังในยุคคุณ (ระวังเจ๊เบียบและกรุณาอย่าอิจฉาพี่มานะ)

11. ในช่วงเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น คุณก็โตมาพร้อมกับอาร์เอส ยุคที่นักร้องอายุไล่เลี่ยกับคุณออกเทปกันให้ควั่ก และคุณยังได้เห็น ตำนานร็อค หรั่ง หินเหล็กไฟ เสือ อิทธิ ไฮร็อค ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา หลังการเข้ามาของเต๋า ทัช บอยเก๊าท์แก๊งใจง่าย หลังจากนั้นก็เป็นยุคทองของอาร์เอส โดยแท้จริง (แต่นั่นมันอดีต ยุคนี้เขาห้ามเอาของเกี่ยวกับอาร์เอสเข้าบ้าน)

12.. หนังไทยก็ทำมาตามวัยของคุณ แล้วมันก็มีเยอะจริงๆ อนึ่งคิดถึงฯ น้ำเต้าหู้กับครูระเบียบ ปีหนึ่งเพื่อนกัน กระโปรงบานขาสั้น โลกทั้งใบ เด็กเสเพล พอคุณโตเข้าหน่อยก็มีหนังอย่าง โอเนกาทีฟ จักรยานสีแดง แล้วที่ทำมาโดนใจคนยุคนี้จริงๆ อย่างหนังระลึกชาติ แฟนฉัน

13. คุณโชคดีมากๆที่เคยร้องไห้ ตอนฟังเพลง เราและนาย ของโลโซ ในงานวันปัจฉิมนิเทศน์ เพราะตอนนี้คงไม่ทีใครเสียน้ำตาให้กับเพลงนี้อีกแล้ว เพราะเนื้อเพลงช่างตรงข้ามกับภาพลักษณ์ของวงสิ้นดี

14. คุณได้ซึมซับอารมณ์ และบรรยากาศของการเข้าฉายครั้งแรก ของสุดยอดหนังตื่นตาตื่นใจในยุคนั้นอย่าง terminater2, jurassic park, speed-เร็วกว่านรก (ภาคหลังอย่าได้พูด)

15. คุณรู้ว่า “ช้าไปต๋อย” คือคำพูดที่สุดฮิตของโฆษณาชิ้นหนึ่งในยุคของคุณ หาใช่ความหมายที่เด็กเข้าใจว่า ต๋อย ปลาร้า เชื่องช้าแห่งไอทีวีไม่

16. รองเท้าแตะในตำนานอย่าง scholl (สกอลล์)ก็มาฮิตที่สุดในยุคคุณนี่แหละใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง ( ร้อยละ 70ของเด็กวัยรุ่นในยุคนั้นโดนขโมยแต๊บมาแล้ว)

17. คุณเกิดมาทัน ได้ดูลิเวอร์พูลยุคล่าอาณานิคมยุค’80 และตกเป็นเมืองขึ้นยุค’90 จนถึงปัจจุบัน

18. ตอนมัธยมสิ่งที่ทำให้คุณบ้าบาสเกตบอลเพราะชิคาโก้บูล ร็อตแมน โอนีล พิพเพน จอร์แดน และการ์ตูนแสลมดังค์ ไม่ได้บ้าเพราะอยากโชว์สาว

19. มีหมากฝรั่งบุหรี่ด้วย อิอิ กินแล้วโดนดุประจำ

20. ตอนเรียนภาษาไทย ต้องท่องพระเวสสันดรด้วย

21. เรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์

22. ดูดาวพระศุกร์ .. สายโลหิต เวอร์ชั่น ศรราม สุวนันท์

23. ดูนิทานชีวิต ช่องเจ็ด ที่เป็นเลือด

24. 10ปีที่แล้วเจ้าขุนทองเป็นยังไง 10ปีให้หลังเจ้าขุนทองก็ยังอยู่มันไม่แก่ขึ้นเลยว่ะ

25. คุณได้เห็นยุคที่นักฟุตบอลไทยยังเป็น Dream Team จนปัจจุบันกลายเป็น ฝันค้าง

26. 3 หนุ่ม 3 มุม

27. windows 95 โอ้ว..... จอร์จ มัน ยอดมาก word ,excell, access 97 ใช้ยากจริงๆ..(โถ่ใช้แมคดิ ใช้ง่ายกว่าเยอะเลย)

28. packlink, 1145 ใช้ส่งข้อความ เป็นไรที่ วัยรุ่น hit hot มาก

29. ยุคเฟื่องฟูสุดขีด ของ วง Micro อารมณ์ "ขอมือ ขวา หน่อยคร๊าบ"

30. มุข นายก ชวน ยัง เล่นได้เสมอ "เอ่อ ผมคิดว่า.... ในกรณีนี้ เรายังไม่ควรรีบด่วน......ตัดสินใจ ควรจา... ยืดวาระ ในการ พิณาาาาา........ ออกไป ซัก 10 ชาติก่อน "

31. แผ่นซีดี ยังราคา 250 บาท... ทั้ง Grammy และ RS.

32. เจ้าพ่อ เซี่ยงไฮ้.... ฉายแล้วฉายอีก.. ไม่รู้ ทำไม เจ้าพ่อ มันออกลูกดก เหลือเกิน... ดนตรีเปิดตัว มาพร้อมกับ ท่าเดินอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อม ชุดสูท สวมหมวก...เท่ จริงๆ...

33. โอ้ว...... Internet .. สุดยอดส์... ใช้ chat ได้ด้วย..

34. หนังจีน... เล่นไพ่ โคตรสารพัด เทคนิค ในการโกง... คนตัดคน ภาค 1 2 3 พระเอกต้องโง่ก่อน แล้วมาเก่ง สุดๆ... ได้อาจารย์ ที่เก่งกว่า ตัวโกง.. แต่ถูกโกง แล้วมาถ่ายทอดฝีมือ โคตรเซียน ให้ลูกศิษย์

35. โฆษณา ฮิต "อยากรู้เรื่อง ยาคู๊...ถามสาว ยาคู๊ สิคะ

36. หนังจีนทุกเรื่อง มีประโยคฮิต "ใครฆ่าท่านพ่อ .. ท่านแม่..อาจารย์" "แก้แค้น 10 ปีไม่สาย" "บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ" และที่ขาดไม่ได้..... ถ้ามีฉากในพระราชวัง... -ข้าน้อยมีตา หามีแววไม่.. (มันเป็น หมีแพนด้า หรอเนี่ย) -ข้าน้อย สมควรตาย..

37. ทำบัตรประชาชน มีออกใบเหลือง อีกสามเดือน มารับ.... รูปที่ได้ มาติดบัตร... แมร่ง..ใช่ผม เหรอวะ

38. ไม่มีรายการ "ถึงลูก ถึงคน" เจอแต่ "มาตามนัด" "ฝันที่เป็นจริง" “..ตาวิเศษ เห็นนะ” “ตามไปดู” ฯลฯ

39. ประธานาธิบดี จอห์น เอฟเคเนดี..ยังมีประโยคเท่ห์ ๆ ให้ฟังก่อนตาย.."อย่าถามว่าประเทศชาติให้อะไรแก่ท่าน..... "

40. เขาทราย ดิ..... เก่งที่สุด..ดูต่อยมวยทีไร ชนะทุกที...

41. สุดยอดเพลงฮิต.. -หมากเกมส์นี้ (อินคา) -บูมเมอแรง (ป้า เบิร์ด...-ดอกทานตะวัน กะ ไม้ขีดไฟ ( วิยะดาโกมารกุล) ฯลฯ

42. เป็นสมัยที่ เราเริ่มใช้คอมกันด้วย Dos แล้วก็ได้เห็นการมาของ windows แล้วอาจจะได้พบกับจุดจบ หึหึ

43. เราได้ดูมังกรหยกทุกภาคทุกเวอร์ชั่นทั้งจอแก้วและจอเงิน

44. เราได้กินไอติมแท่งตราจรวดแถวบ้าน

45. เราได้เรียนรู้พร้อมกับมานี มานะ ปิติ วีระ เพชร ชูใจ จันทร ฯลฯ

46. เราได้ดูอิ๊คคิวซังตั้งแต่เด็กยันโต ทำไรต้องนั่งมาธิ ใช้หมองก่อนปิ๊ง

47. เราทันอ่านศรีธนนชัยกับความเจ้าเล่ห์แกมโกงของเขา

48. เราได้ดูหนังจักรๆวงศ์ๆทั้งช่อง 3 จ. ถึง ศ. และช่อง 7 ส./อ.

49. เราได้เที่ยวโดยเรือขณะที่น้ำเจ้าพระยา ยังใสแจ๋ว

50. เราได้ดูขวัญเรียม บ้านทรายทอง แหวนทองเหลือง มนต์รักอสุร ผยอง ฯลฯ ที่ทำซ้ำไปซ้ำมา

51. เราได้เล่น dos ก่อน windows และ linux

52. เราเล่น gameboys ตั้งแต่เวอร์ชั่นแรก จนปัจจุบันอันเล็ก

53. เราเล่นกล้องตั้งแต่กล้องใช้แสงจนมาถึงกล้องดิจิตอล

54. เราโทรทางไกล เขียนจม.ถึงเพื่อนต่างจังหวัด ยังมาใช้มือถือ เล่น net ใช้ e-mail

55. เราเห็นชายหาดยังขาวสวย จนเกาะช้างมีเครื่องบินไปถึง

56. เรานั่งรถเมลล์จนมีรถไฟฟ้าใต้ดิน

57. เราทันสี่แผ่นดิน ๒เวอร์ชั่น

58. เราดูคู่กรรมตั้งแต่พี่เบิร์ดยังหนุ่ม จนเป็นศรราม

59. เราใช้กล่องดินสอกิ๊กก๊อกที่มีแถบแม่เหล็ก จนเป็นถุงดินสอ

60. เราใช้ดินสอไม้ พอลโล่ โดบี้ ยัน rotting

61. เรามี bmx ขี่

62. เราเต้นแร๊พตามแบบพี่ทัช

63. เราใส่รองเท้าที่ร้อยเชือกสีสะท้อนแสงแบบที่เดี๋ยวนี้มันเสี่ยวแล้ว

64. โดเรม่อนเป็นสิ่งที่มีมาควบคู่กับเรา

63. ได้อยู่ทั้ง พฤษภาทมิฬ เมษาทมิฬ

64. ในโรงเรียนจะมีหลุมลูกแก้ว และเส้น อยู่เต็มไปหมด

65. ในยุคที่อีริค คันโตน่า ไมเคิล จอร์แดน อังเดร อากัสซี่ เป็นตัวแทนของ 3 กีฬาที่เรารู้จัก

66. เราโตมาทันเห็น dragon ball กำเนิด ยันตายจากเราไปจำได้ว่านานมาก

67. ขบวนการเรนเจอร์ทั้งหลาย... - ทำไมต้องมี 5 คน - ทำไมต้องมีตัวที่ 6 โผล่มาทุกเรื่อง (มาแล้วก็ไป แต่ยังทิ้งหุ่นยนต์ไว้ให้) - ทำไมนายตัวที่ทำตัวเป็นหัวหน้าทีมต้องเป็นสีแดง - ทำไมผุ้ร้ายต้องอยากครองโลก แล้วต้องเป็นญี่ปุ่นด้วย - ทำไมตัวกิ๊กกิ๊วเป็นร้อยถึงสู้นาย 5 ตัวไม่ได้ - ทำไม......

68. ได้เห็นรายการสัมผัสที่ 6 ที่เดี๋ยวนี้เห็นว่ากลับมาฉายอีก

69. เราได้เรียนมัธยม 3เทอม จนเปลี่ยนมาเรียน 2 เทอม

70. เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของโทรศัพท์มือถือตั้งแต่กระติกน้ำจนถึงกล่องไม้ขีด

71. ตอนนั้นจำได้ว่ามีสะสมสติ๊กเกอร์ที่แถมมากับขนมที่เป็นรูปดรากอนบอลอะ แล้วมันก็ไม่เคยครบเลย

72. ดูตั้งแต่คริสติน่า อากีล่า ตั้งแต่สาวๆจนเป็นป้าไปแล้วพร้อมๆกับพี่เบิร์ด

73. เราได้เห็นการลุ้นผล Ent ตั้งแต่แบบสอบครั้งเดียว จนกระทั้งผล Ent ที่สามารถจะโกงกันได้

74. ได้เล่น pacman ตั้งกะอยู่เครื่อง family ยันปัจจุบันลงมือถือยังกลับมาฮิตได้อีก"

75. ยังได้ นอนอยู่บ้าน วันเสาร์ ไม่ยอมไปไหน เพราะ ต้องคอยดู" โหด มัน ฮา " เกมส์บ้าบอคอแตก จากญี่ปุ่น ช้างมาลาก ก็ไม่ยอมลุกไป

76. ยังมีต่อจาก 75 โหดมันฮา จบ ......จะเอาช้างมาฉุดต่อ ก็ไม่ไป เพราะ ต้อง ดู "คู่หูคู่ฮา" เท่านั้น............ ไดโจบุได๋ เฮี้ยะๆๆๆ

77. และคุณก็ยังอยู่ทันที่จะดู เว็บไซด์ Ragnarokclub.com จนมาถึง Online-Station.net ^^

ก้อนเล็กๆ เหลืองๆ เหม็นๆ ในคอ มันคืออะไร


ใครเคยมีประสบการณ์ ก้อนเล็กๆ สีขาวนวลหรือเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นเหม็นๆ หลุดออกมาจากในคอบ้างไหมคะ คนที่เคยประสบพบเจออาจจะนึกสงสัยว่าร่างกายของเรามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เจ้าก้อนเล็กๆ เหลืองๆ เหม็นๆ ที่ว่านี้ มันคืออะไร วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

เจ้าก้อนปริศนานี้มาจากต่อมทอนซิล ดังนั้น ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับต่อมทอนซิลกันก่อน ต่อมทอนซิล คือ ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณด้านข้างลำคอตรงโคนลิ้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำหน้าที่คอยดักจับเชื้อโรค

ปกติต่อมทอนซิลจะมีร่องหรือซอกหลืบ ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปติดอยู่ได้ นอกจากนั้น เซลล์ที่บุร่องหรือซอกนั้น อาจตายแล้วหลุดลอกออกมา แล้วมีแบคทีเรีย เม็ดเลือดขาว และเอนไซม์ในน้ำลายเข้าไปย่อยสลาย จนเกิดเป็นสารลักษณะคล้ายก้อนแป้งอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล เมื่อสะสมไว้ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งขึ้น ทางการแพทย์เรียกเจ้าก้อนนี้ว่า นิ่วทอนซิล (Tonsilloliths หรือ Tonsil Stones)

ปัญหาดังกล่าวพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ผู้ที่มีเจ้าก้อนเล็กๆ นี้ติดอยู่ในร่องของต่อมทอนซิล อาจรู้สึกรำคาญ เหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ และอาจทำให้มีกลิ่นปาก ในบางรายอาจทำให้มีอาการเจ็บคอเป็นๆ หายๆ หรืออาจทำให้กลืนลำบากหากมีขนาดใหญ่มากๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของนิ่วทอนซิลด้วย นอกจากนี้อาจทำให้ต่อมทอนซิลโต ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือมีอาการปวดร้าวไปที่หูได้

วิธีการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและอาการต่างๆ ที่เป็นผลมาจากนิ่วทอนซิล รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แนะนำวิธีการแก้ปัญหานิ่วทอนซิลไว้ว่ามี 2 วิธีด้วยกัน คือ วิธีไม่ผ่าตัดและวิธีผ่าตัด



วิธีไม่ผ่าตัด

- กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ การกลั้วคอแรงๆ อาจช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา นอกจากนี้ น้ำเกลือยังช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากทอนซิลอักเสบ ซึ่งอาจเกิดร่วมกับนิ่วทอนซิลอีกด้วย

- ใช้ไม้พันสำลี แปรงสีฟัน หรือไม้แคะหูที่สะอาด และไม่มีคม ค่อยๆ เขี่ยหรือกดบริเวณต่อมทอนซิล วิธีนี้ควรทำอย่างเบามือและระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจเกิดการบาดเจ็บได้

- ตัดเล็บและล้างมือให้สะอาด แล้วใช้นิ้วมือค่อยๆ ดันบริเวณส่วนล่างของต่อมทอนซิลขึ้น เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา

- ใช้ที่พ่นน้ำทำความสะอาดช่องปาก (water pick) ฉีดบริเวณต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออก

- ใช้นิ้วมือนวดใต้คางบริเวณมุมขากรรไกรล่าง ซึ่งตรงกับตำแหน่งของต่อมทอนซิล เพื่อให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมา

อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยให้นิ่วทอนซิลหลุดออกมาเสมอไป ขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วทอนซิลและตำแหน่งของซอกหลืบนั้นด้วย แต่ปกติแล้วเมื่อก้อนในร่องของต่อมทอนซิลมีขนาดใหญ่กว่าที่ร่องจะรับได้ ก็อาจหลุดออกมาเอง หรือบางครั้งเมื่อไอหรือขากเสมหะแรงๆ เจ้าก้อนนี้ก็อาจหลุดออกมาได้เองเช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นบ่อยๆ รำคาญมากๆ หรือมีปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ แพทย์อาจแนะนำวิธีผ่าตัด

วิธีผ่าตัด

วิธีแรก คือ การใช้กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid) หรือการใช้เลเซอร์ (Laser Tonsillotomy) จี้ต่อมทอนซิลเพื่อเปิดขอบร่องของต่อมทอนซิลให้กว้าง ไม่ให้มีซอกหลืบที่จะเป็นที่สะสมของสิ่งต่างๆ ได้อีก

อีกวิธีหนึ่ง ก็คือ การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอและกลืนลำบากอย่างน้อย 2-3 วันหลังการผ่าตัด วิธีนี้เป็นการรักษาที่หายขาด แต่มักจะทำในกรณีที่ใช้วิธีแรกแล้วไม่ได้ผล

คงจะหายสงสัยกันแล้วว่าเจ้าก้อนปริศนานี้ คืออะไร นิ่วทอนซิลที่มีขนาดเล็กและไม่ก่อปัญหาใดๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรักษา การใช้อุปกรณ์ใดๆ ที่ไม่สะอาดหรือมีคมเข้าไปล้วงแคะ อาจยิ่งก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า แต่ถ้าหากรู้สึกว่านิ่วทอนซิลของคุณก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ก็สามารถปรึกษาแพทย์ได้ค่ะ

3 ก.ค. 2554

เทคนิควิธีการนวดแผนโบราณ นวดฝ่าเท้า

เทคนิควิธีการนวดแผนโบราณ (นวดแผนไทย-นวดไทย) จะเริ่มต้นที่การนวดฝ่าเท้าเป็นอันดับแรก โดยจะให้ผู้รับการนวดนอนหงายอย่างผ่อนคลายแบบสบาย ๆ บนพรมหรือเสื่อหรือที่นอนที่มีความแข็งไม่นุ่มจนเกินไป หนุนศีรษะด้วยหมอนที่ไม่สูงมากนัก ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนปผ่นหลัง วางแขนสบาย ๆ ข้างลำตัว แยกขาทั้งสองให้ห่างจากกันพอประมาณ 1 ฟุต ปลายเท้าหันชี้ออกด้านข้าง จุดประสงค์ของการนวดฝ่าเท้าและขาคือ การกระตุ้นพลังงานให้ไหลผ่านเส้นพลังของฝ่าเท้าและช่วงขาเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

►ประโยชน์ของการนวดฝ่าเท้า

1 ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงฝ่าเท้าได้ดียิ่งขึ้น
2 เพิ่มการยืดหยุ่นของข้อเท้า
3 ผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้า
4 ช่วยทำให้ฝ่าเท้ารองรับน้ำหนักได้ดีขึ้น
5 บรรเทาอาการปวดศีรษะ
6 กระตุ้นให้ร่างกายกระฉับกระเฉงและสดชื่น
7 ช่วยผ่อนคลายความเครียด
8 ปรับสมดุลร่างกาย
9 ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา

1. เทคนิควิธีการนวดเส้นบนฝ่าเท้า
ฝ่าเท้ามีเส้นอยู่ทั้งหมด 5 เส้น ทุกเส้นจะเริ่มต้นจากจุดเดียวกันแล้วพุ่งไปยังนิ้วเท้าทั้งห้านิ้ว


การเริ่มต้นในการนวดเพื่อผ่อนคลายนั้น ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบริเวณตอนกลางของส้นเท้า จากนั้นค่อย ๆ กดไปตามแนวเส้นไปยังแต่ละนิ้วจนครบห้าเส้นหลาย ๆ รอบ แล้วย้ายไปทำเท้าอีกข้างหนึ่ง เหมือนกัน

2. เทคนิควิธีการนวดฝ่าเท้าพร้อมกันทั้งสองข้าง
- คุกเข่าลงที่ปลายเท้าของผู้รับการนวด


- ยืดแขนให้ตึงเพื่อให้สามารถทิ้งน้ำหนักตัวลงบนฝ่ามือได้เต็มที่ และรักษาระดับของการทิ้งน้ำหนักให้ดี
- ใช้มือทั้งสองข้างจับที่ข้อเท้าด้านใน
- กดไล่น้ำหนักด้วยนิ้วหัวแม่มือและฝ่ามือไปจนถึงนิ้วเท้า

3. เทคนิควิธีการนวดข้างเท้า

- ให้ผู้รับการนวดวางเท้าหงาย ด้านนอกเท้าราบติดพื้น


- ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปที่ข้างเท้าด้านใน กดค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที แล้วค่อย ๆ คลาย
- จากนั้นให้พับฝ่าเท้าเข้ามา วางฝ่ามือลงบนหลังเท้า แล้วกดเท้าพับลงไป กดค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที แล้วค่อย ๆ คลาย
- ทำเช่นนี้สลับกัน 3-4 ครั้ง

4. เทคนิควิธีการนวดประสานฝ่าเท้า

- ประสานฝ่าเท้าของผู้รับการนวดเข้าด้วยกัน ครั้งแรกให้วางเท้าขวาทับเท้าซ้ายก่อน
- ประสานฝ่ามือทั้งสองของผู้นวดบนหลังเท้า แล้วกดลงเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มแรงกด กดค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที แล้วปล่อย

- จากนั้นให้เปลี่ยนเท้าซ้ายทับเท้าขวา
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน สลับไปมา ประมาณ 4-5 ครั้ง

5. เทคนิควิธีการนวดบีบเท้า

- กำข้อเท้าของผู้รับการนวดหลวม ๆ

- จากนั้นค่อย ๆ บีบแบบเน้น ๆ ไล่ไปจนถึงนิ้วเท้า
- ทำซ้ำกันอย่างน้อย 10 ครั้ง

6. เทคนิควิธีการนวดพับนิ้วเท้าขึ้นลง

- วางส่วนล่างของฝ่ามือผู้นวดบนโคนนิ้วเท้าของผู้รับการนวด แล้วกุมนิ้วเท้าทั้งหมดเอาไว้

- พับนิ้วเท้าไปข้างหลัง (ดันไปทางข้อเท้า) ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที
- ดึงกลับมาด้านหน้า ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ทำซ้ำประมาณ 5-10 ครั้ง

7. เทคนิควิธีการนวดกดจุด

- ใช้หัวแม่มือกดหนัก ๆ ลงบนข้อเท้าด้านใน จากนั้นให้กดจุดไล่ไปรอบ ๆ ส้นเท้า ทำซ้ำประมาณ 5-10 รอบ

►ประโยชน์ของการนวดเท้าพร้อมกันทั้งสองข้าง

1 เป็นการกระตุ้นและผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้า
2 เพิ่มการยืดหยุ่นของข้อเท้า
3 กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต บริเวณส่วนล่างของร่างกาย
4 ปรับสมดุลให้กับระบบสืบพันธุ์ และอวัยวะบริเวณหลังส่วนล่าง

►เทคนิควิธีการนวดเท้าทีละข้าง

8. เทคนิควิธีการนวดกดจุดบนฝ่าเท้า

- จับเท้าข้างใดข้างหนึ่งของผู้รับการนวดด้วยฝ่ามือทั้งสอง
- กดนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างลงบนจุดกึ่งกลางของฝ่าเท้า

- กดไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปลายเท้า ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง อย่างน้อย 5 ครั้ง
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

9. เทคนิควิธีการนวดกระตุกนิ้วเท้า

- วางส่วนล่างของฝ่ามือลงบนโคนนิ้วเท้า
- กำนิ้วเท้าทุกนิ้วเอาไว้


- กระตุกนิ้วเท้าทุกนิ้วด้วยความแรงพอประมาณ ทำซ้ำอย่างน้อย 5-10 ครั้ง
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

10. เทคนิควิธีการนวดดึงนิ้วเท้า

- จับนิ้วเท้าทีละนิ้ว ดึงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจได้ยินเสียงกระดูกลั่นได้ ทำซ้ำจนครบทุกนิ้ว (การดึงนิ้วเท้าเหมาะสำหรับผู้นวดที่ชำนาญการนวด เพราะอาจเกิดอันตรายได้ง่าย)
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

11. เทคนิควิธีการนวดนิ้วเท้า

- ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลาง จับนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว

- ใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงปลายนิ้วเท้าที่จับไว้ พร้อมกับหมุนเป็นลักษณะวงกลม หลาย ๆ รอบ ทำซ้ำจนครบทุกนิ้ว
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

12. เทคนิควิธีการนวดยืดเท้า

- ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างจับปลายเท้าข้างใดข้างหนึ่งของผู้รับการนวด
- ให้นิ้วหัวแม่มือประสานกันบริเวณหลังเท้าตอนบนของผู้รับการนวด ยกขาขึ้นมา


- จากนั้นให้กดนิ้วหัวแม่มือลงไป พร้อมกับดึงฝ่าเท้าเข้าหาตัว
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

13. เทคนิควิธีการนวดหมุนเท้า

- ใช้มือทั้งสองข้างจับฝ่าเท้าของผู้รับการนวด

- ใช้มือที่ถนัดจับปลายเท้าหมุนขึ้นลง ทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้ง
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

14. เทคนิควิธีการนวดกดเส้นเอ็นที่หลังเท้าส่วนบน

- ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนเส้นเอ็นที่หลังเท้าส่วนบนเป็นแนวโค้ง ไล่จากนิ้วหัวแม่เท้าไปจนถึงนิ้วก้อย ทำซ้ำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง


- จิกปลายนิ้วลงบนฝ่าเท้าพร้อม ๆ กัน ให้ครบทั้งห้าเส้นบนฝ่าเท้า
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

16. เทคนิควิธีการนวดหมุนส้นเท้า

- นั่งคุกเข่า ใช้มือจับปลายเท้าของผู้รับการนวด ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับส้นเท้าไว้


- หมุนส้นเท้าเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา แล้วหมุนทวนเข็มนาฬิกา ทำสลับไปมา 3-5 ครั้ง
- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

17. เทคนิควิธีการนวดหมุนข้อเท้า

- นั่งคุกเข่าใช้มือจับข้อเท้าหลวมๆ ของผู้รับการนวด ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับปลายเท้าไว้
- หมุนปลายเท้าเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา แล้วหมุนทวนเข็มนาฬิกาทำสลับไปมา 3-5 ครั้ง



- ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเท้าอีกข้างหนึ่ง

18. เทคนิควิธีการนวดทุบส้นเท้า
- นั่งคุกเข่าข้าง ๆ ผู้รับการนวด ยกขาข้างหนึ่งของผู้รับการนวดพาดบนหน้าตักไว้ ใช้มือข้างหนึ่งดันปลายเท้าไปทางศีรษะของผู้รับการนวด










โดยกองบรรณาธิการ YesSpaThailand.com

เทคนิควิธีการนวดแผนโบราณ นวดใบหน้า คอ แขนและมือ

เทคนิควิธีการนวดแผนโบราณ (นวดแผนไทย-นวดไทย) จะเริ่มต้นที่การนวดฝ่าเท้าเป็นอันดับแรกและตามด้วยการนวดขา นวดแขน นวดมือ นวดคอและนวดใบหน้า เพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนหน้าที่ค่อนข้างบอบบางและผ่านการใช้งานอย่างหนัก แต่มักไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลเท่าที่ควร เทคนิควิธีการนวดใบหน้า คอ แขนและมือ จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าวกลับมาดีและยืดหยุ่นได้ดีดั่งเดิม

►ประโยชน์ของการนวดใบหน้า คอ แขนและมือ

1 ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้า
2 ช่วยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึก
3 ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ
4 ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก
5 ช่วยทำให้มือแข็งแรงและกระชับขึ้น
6 ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยและยืดหยุ่นกล้ามเนื้อบริเวณข้อมือ ข้อศอกและแขนส่วนบน
7 ช่วยปรับเส้นให้เกิดความสมดุล
8 ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อนิ้ว
9 ช่วยลดอาการปวดเมื่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอ
10 ช่วยยืดกล้ามเนื้อไหล่ให้หมุนคล่องแคล่วขึ้น
11 ช่วยทำให้การฟังเสียงของหูดีขึ้น
12 ช่วยลดความเจ็บปวดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ อันเกิดจากการยกของหนัก
13 ช่วยยืดลำคอและกระดูกสันหลังให้ตั้งตรงอย่างสมดุล
14 ช่วยทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของข้อต่อดีขึ้น
15 ช่วยทำให้ไหล่ทั้งสองข้างเกิดความสมดุล

1. เทคนิควิธีการนวดดันรักแร้
- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย หงายฝ่ามือ วางแขนไว้ข้างลำตัว

 - ผู้นวดนั่งข้างลำตัวด้านซ้ายของผู้รับการนวด นั่งทับขาขวา ขาซ้ายเหยียดตึง
 - ผู้นวดสอดฝ่าเท้าทาบรักแร้ด้านซ้ายของผู้รับการนวด พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างจับมือซ้ายของผู้รับการนวด

 - ออกแรงดันรักแร้ พร้อมกับดึงแขนของผู้รับการนวดเข้าหาตัวผู้นวด แขนเหยียดตึง เอนลำตัวไปด้านหลัง แล้วคลาย ทำสลับไปมาหลาย ๆ ครั้ง
- คลึงบริเวณหัวเข่าเบา ๆ
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน กับแขนข้างขวา

2. เทคนิควิธีการนวดหมุนข้อมือ

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย หงายฝ่ามือ วางแขนไว้ข้างลำตัว
- ผู้นวดนั่งคุกเข่าข้างลำตัวด้านซ้ายของผู้รับการนวด ใช้ฝ่ามือซ้ายสอดประสานกับมือซ้ายของผู้รับการนวด











 - ใช้มือขวาจับข้อมือซ้ายของผู้รับการนวด
- ใช้มือซ้ายหมุนข้อมือของผู้รับการนวดไปมาหลาย ๆ รอบ
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน กับข้อมือข้างขวา



3. เทคนิควิธีการนวดดึงแขนด้วยท่ายืน

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย หงายฝ่ามือ วางแขนไว้ข้างลำตัว



 - ผู้นวดยืนเหนือศีรษะของผู้รับการนวด แล้วให้ผู้รับการนวดยกมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะ
- ผู้นวดจับมือของผู้รับการนวดให้แน่น ออกแรงดึงแขนของผู้รับการนวดในแนว 45 องศา ดึงแล้วคลาย ทำซ้าหลายๆ ครั้ง

4. เทคนิควิธีการนวดกดเส้นบนหลังมือ

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว







 - ผู้นวดนั่งคุกเข่าข้างลำตัวด้านซ้ายของผู้รับการนวด ใช้มือซ้ายจับข้อมือข้างซ้ายของผู้รับการนวดวางบนตัก แล้วใช้มือขวากดไล่ไปมาตามความยาวของเส้นเอ็นทั้งห้าเส้น
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน กับมือข้างขวา

5. เทคนิควิธีการนวดกดประสานฝ่ามือ

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว




 - ผู้นวดนั่งคุกเข่าข้างลำตัวด้านซ้ายของผู้รับการนวด

- ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างสอดประสานกันกับมือซ้ายของผู้รับการนวด จากนั้นให้กดฝ่ามือและกดนิ้วหัวแม่มือพร้อม ๆ กัน ไล่ไปมาให้ทั่วทั้งฝ่ามือ
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน กับมือข้างขวา

6. เทคนิควิธีการนวดหมุน กดและดึงนิ้ว

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว
- ผู้นวดนั่งคุกเข่าข้างลำตัวด้านซ้ายของผู้รับการนวด ใช้มือซ้ายจับฝ่ามือซ้ายของผู้รับการนวดวางบนตัก ใช้มือขวาจับนิ้วแต่ละนิ้วหมุนไปมาหลาย ๆ ครั้ง




 - จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้นวดแต่ละนิ้ว ขึ้นลงทีละนิ้ว
- ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ดึงนิ้วทีละนิ้วหลาย ๆ ครั้ง
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน กับมือข้างขวา

7. เทคนิควิธีการนวดกดข้อมือ

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว


 - ผู้นวดนั่งคุกเข่าข้างลำตัวด้านซ้ายของผู้รับการนวด โดยตั้งเข่าซ้ายขึ้น


- จับฝ่ามือซ้ายของผู้รับการนวด ทาบกดบนหน้าแข้งของผู้นวด พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง นวดฝ่ามือด้านล่างและข้อมือ นวดด้วยความแรงพอสมควรหลาย ๆ รอบ
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน กับมือข้างขวา

8. เทคนิควิธีการนวดกดคอ

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว ไม่ต้องมีหมอนรองศีรษะ


 - ผู้นวดนั่งคุกเข่าอยู่เหนือศีรษะของผู้รับการนวด ใช้ฝ่ามือซ้ายรองรับท้ายทอยของผู้รับการนวด
- จากนั้นใช้นิ้วมือขวากดนวดไล่ไปมาให้ทั่วลำคอด้านขวาของผู้รับการนวด
- ทำตามขั้นตอนเดียวกัน กับคอข้างซ้าย

9. เทคนิควิธีการนวดใบหู

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว ไม่ต้องมีหมอนรองศีรษะ




 - ผู้นวดนั่งคุกเข่าอยู่เหนือศีรษะของผู้รับการนวด
- วางฝ่ามือประกบใบหูแต่ละข้างของผู้รับการนวดเอาไว้ กดใบหูค้างไว้ประมาณ 30 วินาที แล้วคลาย ทำซ้ำประมาณ 5 ครั้ง

10. เทคนิควิธีการนวดใบหน้าและศีรษะ

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว ไม่ต้องมีหมอนรองศีรษะ
- ผู้นวดนั่งคุกเข่าอยู่เหนือศีรษะของผู้รับการนวด


 - ผู้นวดวางนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างลงบนตีนผมกึ่งกลางหน้าผากของผู้รับการนวด ส่วนนิ้วที่เหลือประคองใบหน้าบริเวณข้างขมับเอาไว้
- ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดไล่ไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ดังรูป ทำซ้ำหลาย ๆ รอบ

11. เทคนิควิธีการนวดยืดลำคอ

- ผู้รับการนวดนอนหงาย ปล่อยตัวตามสบาย วางแขนไว้ข้างลำตัว ไม่ต้องมีหมอนรองศีรษะ
- ผู้นวดนั่งคุกเข่าอยู่เหนือศีรษะของผู้รับการนวด


- ใช้ฝ่ามือทั้งสอง หนุนใต้ลำคอและท้ายทอยของผู้รับการนวด แล้วออกแรงดึงเบา ๆ โดยจะต้องออกแรงดึงเป็นแนวเส้นตรงเสมอ ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง


โดยกองบรรณาธิการ YesSpaThailand.com