31 ส.ค. 2552

10 ไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กสุดแนว

ลืม Facebook หรือ Hi5 ไปได้เลย เพราะเราจะพาคุณไปพบกับไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก 10 แห่งที่คุยแต่เรื่องซึ่งคุณอาจคลั่งไคล้อยู่

Facebook, MySpace หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมอื่นๆ คือช่องทางที่ยอดเยี่ยมในการติดต่อกับเพื่อนและแชร์เรื่องราวของคุณ แต่ถ้าคุณมีสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายเรื่องโปรด คอลเล็กชันของไวน์ หรือรักกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ ไซต์เหล่านี้อาจทำได้ไม่ดีนักในการคัดกรองให้เหลือเฉพาะสิ่งคุณชอบ หรือเฉพาะคนที่เป็นคอเดียวกับคุณ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมคุณไม่เข้าโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เน้นเฉพาะเรื่องในแนวของคุณล่ะ

โซเชียลเน็ตเวิร์กลักษณะนี้มีอยู่มากมายในปัจจุบัน และก็มีในแทบทุกเรื่องที่คุณสนใจ ที่สำคัญคือ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นคนรักหนังสือ สุนัข หรืออุปกรณ์กระจุกกระจิก เราเชื่อว่าคุณจะพบโซเชียลเน็ตเวิร์กของคนที่ชอบอะไรเหมือนคุณอย่างแน่นอน หรือถ้าหาแล้วไม่มี คุณก็สามารถใช้เซอร์วิสอย่าง Ning ซึ่งให้ยูสเซอร์แต่ละรายสร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กของตัวเองขึ้นมาได้ (ปัจจุบันก็มีสังคมออนไลน์มากกว่าล้านเครือข่ายที่สร้างขึ้นโดยใช้บริการนี้)

ถ้าไม่นับเรื่องของคอนเทนต์ ในด้านของรูปแบบแล้ว ไซต์เหล่านี้ไม่แตกต่างไปจากโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยม คือมีฟอรัมให้แฟนๆ และสาวกได้ปลดปล่อยความคลั่งไคล้ที่มีอยู่ในตัวและคุยกับคนคอเดียวกัน และนี่คือ 10 ไซต์ตัวอย่างที่คุณอาจสนใจ

BallHype (ballhype.com)

BallHype คือโซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับคอกีฬาทุกประเภท ในอินเทอร์เฟซที่คล้ายกับ Digg คุณจะพบทั้งรายงานข่าวกีฬาล่าสุด และการวิจารณ์ข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งในแวดวงของเอ็นบีเอ เมเจอร์ลีกเบสบอล ไปจนถึงกีฬาด้านศิลปะป้องกันตัว (มีเรื่องของฟุตบอลด้วยเช่นกัน แต่จะเน้นไปที่กีฬายอดฮิตในสหรัฐอเมริกามากกว่า)


สังคมสำหรับผู้คลั่งไคล้กีฬาที่ไม่ควรพลาด

Bottletalk (www.bottletalk.com)

โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับคนรักไวน์แห่งนี้ จะให้ยูสเซอร์ได้แชร์ประสบการณ์ของตัวเอง และค้นพบไวน์ใหม่ๆ โดยดูจากที่ยูสเซอร์คนอื่นๆ แนะนำ แต่ถ้าคุณชอบเบียร์มากกว่าไวน์ ก็ต้องเข้าไปที่ Coastr (www.coastr.com) ในไซต์แห่งนี้คุณจะพบน้ำเมาสารพัดยี่ห้อ รวมถึงผับเก๋ๆ ที่ให้บรรยากาศดีๆ ในการดื่ม แต่ที่สำคัญคือ คุณต้องไม่ลืมกฎเหล็กที่ว่า “เมาไม่ขับ”

Epernicus (www.epernicus.com)
โซเชียลเน็ตเวิร์กแห่งนี้คือที่สิงสถิตย์ของนักวิจัยค้นคว้า ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และก็เป็นศูนย์รวมที่ให้นักวิทยาศาสตร์ได้แชร์รีซอร์ส รวมถึงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในงานที่ตนกำลังศึกษาอยู่

ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจเรื่องการค้นคว้า แต่ยังไม่มีที่อยู่ สังคมนี้นี่ใช่เลย

Fotolog (www.fotolog.com)

Fotolog จะแตกต่างไปจาก Flickr และไซต์แชร์ภาพถ่ายอื่นๆ เพราะคุณสามารถโพสต์ได้แค่ภาพเดียวต่อวัน แต่อำนวยความสะดวกในการสร้างชุมชนหรือช่องทางการติดต่อให้อย่างเต็มที่ ไซต์แห่งนี้ยังได้รับความนิยมสูงในหลายๆ ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุโรปและลาตินอเมริกา


Glee (www.glee.com)

ชุมชนสำหรับผู้อนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกัน ชายรักชาย หญิงรักหญิง Glee (ย่อมาจาก Gay, Lesbian and Everyone Else) ไม่เพียงแต่จะมีโอกาสในการทำงานหรือเพิ่มความก้าวหน้าในอาชีพให้กับผู้คนที่หัวอกเดียวกัน แต่ยังใช้คุณแชร์ตัวตนผ่านทางเสียงเพลง บล็อก กลุ่ม และการแชตเหมือนกับไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กทั่วไป


โซเชียลเน็ตเวิร์กแห่งนี้คือ แหล่งชุมนุมที่ผู้คลั่งไคล้ยานยนต์ได้มาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทรรศนะกัน ประกาศขายรถกับสมาชิกคนอื่นๆ หรือบล็อกเรื่องราวงานอดิเรกของตัวเองให้คนอื่นได้อ่าน ถ้ารถยนต์ไม่ใช่สิ่งที่คุณหลงไหล แต่เป็นจักรยาน เรือ หรือแม้แต่เครื่องบิน ไซต์แห่งนี้ก็มีแท็บแยกสำหรับพาหนะเหล่านี้ให้เช่นกัน


MuggleSpace (www.mugglespace.com)

แฮรี่พอตเตอร์ฉบับภาพยนตร์ตอนล่าสุดจะออกฉายในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ (กำหนดฉายในสหรัฐอเมริกา บ้านเราก็น่าจะใกล้เคียงกัน) และนั่นน่าจะมีอะไรให้สาวกพอตเตอร์ได้คุยกันอีกเยอะ MuggleSpace คือหนึ่งในโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดฮิตของนวนิยายเรื่องนี้ โดยจะมีทั้งแชต บล็อก กลุ่ม และฟีเจอร์อื่นๆ ให้ครบตามสูตร แต่ถ้าคุณชอบ The Leaky Cauldron (เว็บไซต์ของสาวกแฮรี่พอตเตอร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุด) บางที MyLeaky (www.the-leaky-cauldron.org/myleaky) อาจเป็นอะไรที่ตรงกว่า


สำหรับสาวกมักเกิ้ลแล้ว นี่คือสวรรค์
Ravelry (www.ravelry.com)

Ravelry คือสวรรค์สำหรับผู้รักการถักนิตติ้ง โครเชต์ ปักผ้า ย้อมผ้า และงานฝีมือทำนองนี้อย่างแท้จริง นี่คือสถานที่ซึ่งคุณจะพบคำแนะนำและความช่วยเหลือเกี่ยวกับอุปกรณ์ ไหมพรม ข้อมูลเรื่องแพตเทิร์น และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงยังเป็นที่ซึ่งยูสเซอร์เข้ามาแชร์ไอเดียและแรงบันดาลใจในการทำงานฝีมือชิ้นเอกซึ่งกันและกัน


Shelfari (www.shelfari.com)

Shelfari คือหนึ่งในไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับคนรักหนังสือ เราชอบไซต์นี้มากกว่า Goodreads (www.goodreads.com) ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า เพราะอินเทอร์เฟซดูเนี้ยบกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับส่วนที่เป็นชั้นหนังสือแบบวิชวล และให้คุณเผยรสนิยมการอ่านของตัวเองกับโลก


สังคมของหนังสือ เชื่อได้ว่าไม่มีที่ใดที่ไหนจะเป็นที่สิงของหนอนหนังสือได้ดีไปกว่านี้

MyDogSpace (www.mydogspace.com)

ถ้าคุณชอบโชว์รูปสุนัขของคุณให้เพื่อนๆ ดู เข้ามาที่ MyDogSpace แล้วคุณจะรู้สึกเพลิดเพลินกับกิจกรรมนี้เพิ่มขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นการแชร์ให้คนรักสุนัขเหมือนกันทั่วโลกได้ดูแล้ว คุณยังเห็นรูปสุนัขน่ารักๆ ที่คนอื่นๆ นำมาโพสต์อีกด้วย แล้วคุณเกลียดหมาแต่รักแมวล่ะ งั้นก็ต้องเข้าไปที่ MyCatSpace (www.mycatspace.com) แทน

ถ้าคิดที่จะโชว์สุนัขของคุณอวดให้ชาวโลกได้เห็น คนไม่มีที่ได้เกินสังคมแห่งนี้

ลบไม่ได้? ไฟล์ถูกล็อค!!!

หากคุณผู้อ่านกำลังเผชิญกับปัญหาที่ว่า Windows ไม่ยอมให้ลบไฟล์ที่ไม่ต้องการออกไป ทำอย่างไรก็ลบไม่ได้ คำแก้ตัวที่ได้ยินจนคุ้นเคยจากระบบปฏิบัติการก็คือ ไฟล์ดังกล่าวถูก"ล็อค" หรือไม่ก็กำลังถูกใช้งานโดยโปรแกรมตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่ารำคาญมีใช่น้อย โดยเฉพาะมือใหม่หัดใช้คอมพิวเตอร์

บางทีสิ่งที่ระบบปฏิบัติการแจ้งข้อผิดพลาดให้ทราบนั้น อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เราลบไฟล์เจ้าปัญหาไม่ได้เสียทีเดียว แต่ถ้าคุณมีความรู้เรื่องการใช้คำสั่ง Command Line ปัญหาระบบไม่ยอมให้ลบไฟล์อาจจะแก้ไขได้ง่ายขึ้น เอ่อ...แต่ว่า แค่จะลบไฟล์ทีไม่ต้องการถึงกับต้องรู้ลึกขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย? แล้วเมื่อไรจะได้ลบพวกมันออกไปสักทีล่ะ

วันนี้ผมมีวิธีที่ง่ายกว่ามานำเสนอครับ นั่นก็คือ LockHunter ฟรีแวร์ตัวเล็กๆ แค่เม็กกว่าๆ ที่ช่วยปลดล็อคพันธนาการไฟล์เจ้าปัญหาเหล่านี้ให้คุณได้ภายในอึดใจ อีกทั้งยังแสดงผลให้คุณทราบด้วยว่า ใครกันนะที่เหนี่ยวรั้งไฟล์ไว้ไม่ยอมให้คุณลบได้สำเร็จ เพียงแค่คลิกขวาบนไฟล์ที่คุณลบไม่ได้ เลือกรายการ "What is locking this file?" โปรแกรม LockHunter จะปรากฎขึ้นม พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบทันทีว่า ไฟล์ของคุณถูกล็อคโดยใคร ซึ่งอาจจะเป็น process ของวินโดวส์ที่คุณไม่รู้จักก็ได้ จากนั้นคลิ้กปุ่ม Unlock It! แล้วคลิ้กปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์เจ้าปัญหาออกไปซะ ไฟล์ที่ถูกลบจะถูกส่งไปยัง Recycle Bin เผื่อคุณเปลี่ยนใจในภายหลัง


ดูแลแบตฯโน้ตบุ๊กให้ใช้ได้นานๆ

ผู้ใช้โน้ตบุ๊กเรื่องส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจกับ "แบตเตอรี่" น้อยกมาก ยกเว้นเวลาทีมีข่าวว่า มันร้อนจนลุกไหม้ หรือมีประกาศเรียกคืน ถึงจะตื่นเต้นให้ความสนใจพวกมันทีหนึ่ง อย่างมากก็อาจจะตั้งค่าการใช้พลังงานของแบตฯ (นึกแล้วน่าน้อยใจเหมือนกันนะเนี่ย) แต่สำหรับ Battery Care ฟรีแวร์เล็กๆ ตัวนี้จะช่วยดูแลสุขภาพของแบตเตอรี่ให้แทนคุณได้


Battery Care จะให้ความสนใจห่วงใยแบตเตอรี่ในโน้ตบุ๊กของคุณมากเป็นพิเศษ โดยมันสามารถตอบคำถามในสิ่งทีคุณนึกไม่ถึง ตัวโปรแกรมจะคอยตรวจสอบรอบเวลาที่ใช้ในการชาร์จ และดิสชาร์จแบตเตอรี่ตลอดเวลา ก่อนที่จะใช้อัลกอริธีมในการประเมินจากข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้ว่า ถึงเวลาหรือยัง? ที่คุณควรจะดิสชาร์จแบตฯให้้หมดโดยสมบูรณ์สักที ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยยืดอายุ หรือลดอาการเสื่อมของแบตฯได้

ได้เวลาดิสชาร์จ (discharge) แบตเตอรี่โดยสมบูรณ์ เพื่อยืดอายุแบตฯ แล้ว

และเนื่องจากโปรแกรมสามารถเรียนรู้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ ทำให้มันคำนวณเวลาที่เหลือสำหรับการใช้งานต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังแสดงพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่ ตลอดจนยี่้ห้อผู้ผลิตให้ทราบได้อีกด้วย นอกจากนี้ โปรแกรมสามารถช่วยปรับแต่งค่าการใช้พลังงานของระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Aero graphic ของ Vista และบริการอื่นๆ ที่กินไฟมากๆ ซึ่งสามารถใช้แทนยูทิลิตี้ Power Management ได้ อ้อ...โปรแกรมสามารถแสดงผลอุณหภูมิของ CPU ได้อีกด้วย

ตรวจสอบแก้ไขไฟล์ MP3

เชื่อว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณผู้อ่านจะต้องมีไฟล์ mp3 อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณก็คงจะไม่ค่อยได้จัดระเบียบ หรือตรวจตราความเรียบร้อยสมบูรณ์ของไฟล์(บางทีไฟล์มีปัญหา) ตลอดจนรายละเอียดต่างๆ ที่เกียวข้องแต่อย่างใด ถึงเวลาแล้วครับที่เราควรจะดูแล แก้ไข และปรับปรุงไฟล์ mp3 ทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่องให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม หรือดีขึ้นด้วยฟรีแวร์ที่มีชื่อว่า MP3 Diags


ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้สนใจรายละเอียดของไฟล์ mp3 สักเท่าไร ทั้งๆ ทีมันมีประโยชน์ต่อผู้ใช้มากมาย ตั้งแต่ชื่อเพลงที่เล่น ศิลปินที่ร้อง ความยาวของเพลง ตลอดจนความชัดเจนของเสียงทีเล่นจากไฟล์ บ่อยครั้งที่พบว่า มันมีความผิดเพี้ยนในรายละเอียดเหล่านี้ ชื่อเพลงไม่ต้องกับเพลงที่เล่น หรือไม่มีข้อมูล บางทีไฟล์มีปัญหาทำให้คุณภาพของเสียงที่ได้ไม่ค่อยเวิร์ก ปัญหาเหล่านี้ สามารถทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยฟรีแวร์ MP3 Diags เพียงตัวเดียว!!!

สำหรับ MP3 Diags สามารถวินิจฉัยไฟล์ mp3 ได้อย่างละเอียดยิบ แถมยังแก้ไขแทร็คเสียงต่างๆ ที่มีปัญหา เพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์ ตั้งแต่ชื่อเพลง ภาพปก ตลอดจนความยาวของเพลงที่เล่น แก้ไขไฟล์ต่างๆ ที่ไม่สามารถเล่นบนเครื่องเล่นบางเครื่อง แก้ไขชื่อเพลงที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เพิ่มชื่อนักดนตรี เปลี่ยนชื่อไฟล์ แก้ปัญหาคุณภาพเสียงให้ดีขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย ลองดาวน์โหลดมาใช้ดูนะครับ (* โปรแกรมอาจจะมีการใช้รหัสต่างๆ เกียวกับคามผิดพลาด หรือข้อมูลของเพลง แต่คุณผู้อ่านก็สามารถทำความเข้าใจได้จากคำอธิบายที่อยู่ในหน้าต่างโปรแกรม)

โฮมเพจใหม่ Twitter "เสิร์ช"ได้เลย

ทวิตเตอร์ (twitter) ดีไซน์โฮมเพจใหม่ โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เข้ามาเป็นครั้งแรก (ยังไม่มีบัญชีผู้ใช้) หรือสมาชิกที่ยังไม่ได้ล็อกอิน ซึ่งดีไซน์ของเดิมจะเน้นให้ล็อกอินเข้าไช้ระบบ เท่ากับเป็นการบังคับให้ผู้ใช้มีทางเลือกเดียวคือสมัครเป็นสมาชิก แต่ล่าสุดทวิตเตอร์เปิดให้ผู้ใช้ค้นหา (Search) สิ่งที่ผู้คนในโซเชียลเน็ตเวิร์กแห่งนี้พูดคุยกันได้ทันที หรือเลือกจะลงทะเบียน(Sign up)เป็นสมาชิก



สำหรับการเปิดช่องทางให้ผู้ใช้บริการทวิตเตอร์ได้เสิร์ช ซึ่งเป็นพฤติกรรมพื้นฐานของผู้ใช้เน็ตทั่วโลก ถือเป็นความฉลาดในการออกแบบที่ทำให้ผู้ใช้ (ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก หรือไม่ได้ต้องการล็อกอิน) ได้เห็นความคิดในประเด็นเรื่องราวต่างๆ ของผู้คนในสังคมนี้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความคิด ไอเดีย และความเห็นต่อ"คีย์เวิร์ด"ที่สดใหม่จากผู้คนทั่วโลกที่อาจจะเพิ่งโพสต์เข้าไปเมื่อหนึ่งนาทีทีผ่านมา ด้านล่างจะเป็นแนวโน้มที่ผู้คนในสังคมขนาดใหญ่นี้กำลังพูดถึงกัน (ด้วยระดับความเร็วของการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่นาทีจนถึงชั่วโมง วันจนถึงสัปดาห์) ซึ่งการทำให้ผู้ใช้มือใหม่ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าว จะช่วยให้เข้าใจ และเห็นประโยชน์ของการเป็นส่วนหนึ่งของไมโครบล็อกแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว



การออกแบบให้ช่องค้นหาเป็นสิ่งที่ผู้ใช้พบเห็นเป็นอันดับแรก เป็นการยั่วให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้จักทวิตเตอร์ได้ลองสำรวจความคิดของคนในสังคมผ่านบริการนี้ แถมผลลัพธ์ที่ได้ยังอยู่ในหน้าเว็บเดียวกันอีกด้วย นอกจากนี้ที่ด้านข้างยังมีลิงค์ของหัวข้อที่กำลังได้รับการพูดถึงมากเป็นพิเศษ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นประเด็นที่อยู่ในกระแส หรือแนวโน้มนั่นเอง (Trending Topics) ซึ่งเมื่อคลิ้กเข้าไปจะสังเกตเห็นแถบสีน้ำเงินเข้มด้านบน จะมีการให้คำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อแนวโน้มนั้นๆ ด้วยว่า มันคืออะไร? ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้ใช้บริการมาก (Techcrunch รายงานว่า คำอธิบายแนวโน้มที่เห็นนั้น ดึงมาจากบริการ What The Trend?)


ดูเหมือน Twitter จะออกแบบใหม่เฉพาะส่วนของบริการที่อยู่ในโฮมเพจ สำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ หรือยังไม่ได้ล็อกอินเท่านั้น สว่นรายละเอียดของอินเตอร์เฟซหน้าบริการสมาชิกยังคงมีฟังก์ชันต่างๆ เหมือนเดิม นั่นหมายความว่า เป้าหมายสำคัญของการปรับเปลียนหน้าโฮมของทวิตเตอร์ก็คือ การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการมากขึ้น (แต่เดิมเน้นให้ล็อกอิน เพื่อบังคับให้สมัครก่อนใช้บริการ) พร้อมทั้งทำให้เกิด engagement หรือการอยู่ใช้บริการนานขึ้นด้วย เพราะนอกจากโพสต์ และอ่านข้อความที่โต้ตอบกับกลุ่มเพื่อนๆ แล้ว หากเข้ามาที่โฮมเพจใหม่ก็สามารถเสิร์ชเรื่องที่สนใจ หรืออยู่ในกระแสได้ทันที ซึ่ง Twitter เลือกใช้บริการค้นหา/แนวโน้ม (Search/Trend) เป็นคีย์ฟังก์ชันในการออกแบบหน้าโฮมใหม่ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ใหญ่กว่าก็คือ การทำให้ทวิตเตอร์มีฟังก์ชันที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจในการเข้ามาใช้บริการ และเกิดการหารายได้ให้กับทวิตเตอร์เองในอนาคต อย่างเช่น ล่าสุดทวิตเตอร์เปิดบริการวิธีทำธุรกิจด้วยทวิตเตอร์ (Twitter 101 Special) เป็นต้น

6 วิธีใช้ประโยชน์จาก Twitter

หากคุณเคยได้ยินคำนี้และยังสงสัยถึงประโยชน์ของทวิตเตอร์ (Twitter)? ซึ่งจริงๆแล้วมันมีมากไปกว่าแค่ใช้ดูว่าคนแปลกหน้ากินอะไรเป็นอาหารกลางวัน เพราะคุณสามารถติดตามข่าวด่วน ใช้เป็นช่องทางร้องเรียนไปถึงบริษัทผู้ผลิต หรือแม้แต่แชตกับคนดัง

ทวิตเตอร์มีแต่เรื่องไร้สาระ ทวิตเตอร์เป็นที่ให้คนใช้ยกหางบูชาตัวเอง และอื่นๆ อีกนานาสารพัดที่คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์กแห่งนี้ แต่จริงๆ แล้วทวิตเตอร์จะเป็นประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อถ้าคุณใช้งานเป็น และมองข้ามเรื่องที่หลายคนพูดไป (ซึ่งก็จริง เราไม่เถียง) เพราะโดยธรรมชาติของบริการแห่งนี้ จะเอื้อต่อการฝากข้อความสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เหมาะสำหรับใช้เป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้า หรือใช้ติดตามเหตุการณ์ที่คุณสนใจจากคนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ รวมไปถึงใช้ตามดูชีวิตของบุคคลที่คุณสนใจเป็นพิเศษ และนี่คือ 6 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้ทวิตเตอร์มีประโยชน์สำหรับคุณ

ติดตามข่าว

เว็บไซต์โดยส่วนใหญ่ยังถือเป็นแหล่งข้อมูลและแหล่งข่าวที่สมบูรณ์กว่า แต่ถ้าคุณต้องการตามข่าวเฉพาะเรื่องในแบบหายใจรดต้นคอ และสนใจแม้แต่รายละเอียดยิบย่อย ทวิตเตอร์จะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะคุณสามารถอ่านรายงานสดจากยูสเซอร์ของทวิตเตอร์คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือสถานที่เกิดเหตุ เช่นกรณีเครื่องบินตกที่แม่น้ำฮัดสัน ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็จะโพสต์เล่าเรื่องราวที่พบเห็นไว้ในทวิตเตอร์ของพวกเขา (คอนเซ็ปต์ของทวิตเตอร์ก็คือ การบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันด้วยข้อความสั้นๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษรต่อหนึ่งอัพเดต)

นอกจากประชาชนคนธรรมดาแล้ว คุณยังสามารถติดตามทวิตเตอร์ของไซต์ข่าวอย่าง CNN (www.twitter.com/cnn หรือเรียกย่อๆ ว่า @CNN) ซึ่งจะโพสต์หัวข้อข่าวพร้อมกับลิงก์ไปยังเนื้อหารายละเอียด แต่เราชอบ @cnnbrk มากกว่า แม้จะไม่ได้เป็นทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของสถานีข่าวแห่งนี้ แต่ก็ดีตรงที่จะสรุปข่าวให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายๆ ในประโยคเดียว ไม่ต้องตามลิงก์ไปอ่านอีก (เว้นแต่ว่าคุณสนใจรายละเอียด)

@NYTimes ก็เป็นอีกจุดที่คุณจะพบหัวข้อข่าวด่วนทุกชั่วโมง แถมด้วยทวิตเตอร์ของนักเขียนและของคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลฉบับนี้ ที่น่าสนใจอื่นๆ สำหรับเรื่องของข่าวก็จะมีอย่างเช่น @BreakingNewsOn, @nprnews, @weirdnews, @macrumors, @MarsPhoenix, @Astronautics และแน่นอนว่าพีซีแมกะซีนเองก็มีทวิตเตอร์รายงานข่าวในด้านเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน (@PCMag) ช่อง

ทางติดต่อกับบริษัทผู้ผลิต

การใช้ทวิตเตอร์เป็นช่องทางให้บริการหลังการขายอย่างเต็มรูปแบบ อาจยังฟังดูไม่ค่อยเข้าทีเท่าไรสำหรับบริษัทส่วนใหญ่ อย่างน้อยก็จนกว่าบริการแห่งนี้จะมีสมาชิกเพิ่มอีก 10 ล้านราย อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน คุณสามารถใช้ทวิตเตอร์เป็นช่องทางในการร้องเรียนได้ และเสียงของคุณก็จะดังไปถึงเจ้าของสินค้า เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Zappos, Starbucks, Whole Foods, JetBlue และอื่นๆ อีกมากมาย (มากมายจริงๆ) ล้วนแล้วแต่มีแอ็กเคานต์ทวิตเตอร์ให้คุณใช้ในการติดต่อ

ดังนั้นต่อจากนี้ไป ถ้าคุณมีเรื่องอยากร้องเรียนเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ลองใช้กูเกิ้ลเสิร์ชชื่อของบริษัทเจ้าของสินค้า แล้วตามด้วยคำว่า Twitter ถ้าบริษัทดังกล่าวมีแอ็กเคานต์บนทวิตเตอร์ คุณก็จะพบในผลการค้นหาลำดับต้นๆ ที่สำคัญคือ พยายามเรียบเรียงเรื่องร้องเรียนของคุณให้กระชับได้ใจความ เพราะคุณต้องไม่ลืมว่าข้อความจะถูกจำกัดไว้แค่ไม่เกิน140 ตัวอักษร

ขอความช่วยเหลือ

เช่นเดียวกับบล็อกและฟอรัม ทวิตเตอร์คือสถานที่ที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการถามคำถามที่คุณขี้เกียจค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง รวมไปถึงการขอความช่วยเหลือ (เช่น “มีใครว่างช่วยขนของย้ายบ้านวันศุกร์ไหม?”) ขอความคิดเห็น (“กล้วยแบบออร์แกนิกมีรสชาติดีกว่าหรือเปล่า?”) หรือขอคำแนะนำ (“ใส่แรมให้กับแมคบุ๊กใหม่เท่าไรดี?”) เป็นต้น

โอเว่น ริ้งเคิ้ล ผู้พัฒนาทวิตเตอร์บอกกับเราว่า ปัญหาที่คุณเคยใช้เวลาคิด 5 นาที อาจได้คำตอบออกมาภายในเวลา 10 วินาทีบนทวิตเตอร์ แต่นี่หมายถึงอย่างน้อยคุณต้องมีเพื่อนๆ ในชีวิตจริงตามดู (follow) ทวิตเตอร์ของคุณอยู่ และแน่นอนว่าถ้าจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณก็ควรตามดูทวิตเตอร์ของเพื่อนด้วย เพื่อเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

โปรโมตผลงานหรือบริษัทของคุณ

เช่นเคยคือ ทวิตเตอร์ไม่ใช่บริการแรกที่ให้คุณใช้ประโยชน์ในลักษณะนี้ แต่ด้วยธรรมชาติของตัวมันเอง ทำให้ทวิตเตอร์เป็นทางเลือกที่เหมาะมากสำหรับการโปรโมตผลงานหรือประชาสัมพันธ์บริษัทของคุณ ขอแค่คุณทำแบบไม่กระโตกกระตาก มีลิงก์ไปยังแอพพลิเคชันที่คุณเพิ่งเขียนเสร็จ หรือสินค้าตัวใหม่ของบริษัทบ้างในบางโอกาส ผสมผสานไปกับเรื่องราวอื่นๆ ของคุณ ถ้าเป็นไปได้ พยายามอย่าให้ลิงก์โปรโมตงานมีเกินกว่า 3 ลิงก์ต่อสัปดาห์ เพราะนั่นจะเป็นการยัดเยียดและทำให้คนที่ตามดูคุณรู้สึกไม่ดีเปล่าๆ หรือหนักๆ เข้าก็อาจไม่สนใจที่จะตามคุณอีก

ไม่ขาดการติดต่อกับเพื่อนฝูง

นอกจากดูเรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวันของคนแปลกหน้าเพื่อความบันเทิงแล้ว ทวิตเตอร์ยังเป็นช่องทางโปรดที่เราชอบใช้เพื่อไม่ให้ขาดการติดต่อจากเพื่อนฝูง แค่เขียนข้อความบอกเล่าเรื่องราวสั้นๆ ในแต่ละวัน เพื่อนๆ ก็จะรู้ความเป็นไปของคุณ ว่ากำลังทุกข์หรือสุขแค่ไหน ในทางตรงกันข้าม คุณก็สามารถรู้ได้ว่ามีเพื่อนคนไหนเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่หรือเปล่า หรือคนไหนกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าและต้องการกำลังใจ ต้องการให้คุณไปหา นี่ยังไม่นับรวมถึงการใช้ชวนกินข้าว หรือชวนทำกิจกรรมอื่นๆ

พบคนดัง

ยูสเซอร์ชื่อดังของทวิตเตอร์ที่มีคนตามดูเป็นจำนวนมากบางรายอาจไม่สนใจข้อความที่คุณส่งไปถึง แต่ไม่ใช่กับเบรนท์ สปินเนอร์ (ดาราจากสตาร์เทร็ก) ซึ่งค่อนข้างเป็นมิตรทีเดียว เช่นเดียวกับดาราตลกอย่างสตีเฟ่น ฟราย หรือถ้าคุณมีไอดอลหรือฮีโร่ในดวงใจ ลองเสิร์ชหาทวิตเตอร์ของเขาเหล่านั้น แล้วติดตามดูว่า พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณอยากเข้าสังคมออนไลน์แห่งนี้ แต่ยังรู้สึกขัดๆ เขินๆ และก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ลองดู 10 ทิปที่เราแนะนำในบทความนี้ เชื่อว่าน่าจะทำให้คุณใช้งานทวิตเตอร์ได้คล่องขึ้นราวกับว่าใช้งานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

1. ย่อ URL ให้สั้นลง

ในการใช้งานทวิตเตอร์ เรื่องหนึ่งที่คุณหนีไม่พ้นก็คือการแชร์ลิงก์ แต่เนื่องจากในแต่ละทวีต คุณเขียนข้อความได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร ถ้า URL ที่คุณต้องการแชร์ยาวเหยียด ใช้บริการย่อ URL ให้สั้นลง เพื่อที่คุณจะได้มีพื้นที่สำหรับเขียนข้อความมากขึ้น ที่เราชอบก็อย่างเช่น tinyurl.com, is.gd, ow.ly และ bit.ly

2. RT = Retweet

ถ้าคุณพบทวีตที่ถูกใจ และต้องการก๊อบปี้ไปแปะ (paste) ไว้บนไซต์ของตัวเอง หรือที่ไหนก็ตาม คุณสามารถทำได้ไม่มีปัญหา ตราบใดที่คุณให้เครดิตกับผู้เขียนข้อความในทวีตนั้น ซึ่งโดยธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว จะใช้การใส่คำว่า RT แล้วตามด้วยชื่อทวิตเตอร์ของเจ้าของทวีต เช่นถ้าคุณนำทวีตของเราไปใช้ คุณก็ควรใส่คำว่า RT @PCMag ไว้น่าทวีตนั้น

3. ส่งเมสเซจส่วนตัว

ด้วยฟังก์ชัน Direct Messages ของทวิตเตอร์ คุณสามารถส่งข้อความส่วนตัวที่มีขนาดไม่เกิน 140 ตัวอักษรไปยังผู้ใช้ทวิตเตอร์คนอื่นๆ ได้ ลักษณะจะคล้ายกับอีเมล์ฉบับย่อ แต่มีข้อแม้ว่าคนที่คุณจะส่งข้อความถึงได้นั้น ต้องเป็นยูสเซอร์ที่ตามดู (follow) คุณเท่านั้น

4. ใช้สัญลักษณ์ @

ถ้าคุณต้องการอ้างถึง ให้เครดิต หรืออยากติดต่อกับผู้ใช้ทวิตเตอร์คนอื่นๆ ให้ใส่สัญลักษณ์ @แล้วตามด้วยชื่อทวิตเตอร์ของคนๆ นั้นไว้ในทวีตของคุณ ข้อความในส่วนดังกล่าว (@ยูสเซอร์เนม) ก็จะกลายเป็นลิงก์นำไปยังทวิตเตอร์ของยูสเซอร์รายที่ว่า และที่สำคัญคือ ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนั้นสามารถเห็นข้อความในทวีตนี้ของคุณด้วย ในทางตรงกันข้าม คุณก็สามารถเช็กได้ว่ามีใครอ้างถึงคุณในทวีตของพวกเขาบ้าง ด้วยการคลิกที่ @ยูสเซอร์เนมของคุณเองจากกรอบทางขวามือในหน้า Home

5. หาเพื่อนของคุณ

ถ้าคุณยังไม่รู้จะเริ่มต้นสังคมออนไลน์แห่งนี้อย่างไร ลองใช้ Search.twitter.com หาทวิตเตอร์ของเพื่อนคุณ ทวิตเตอร์ของคนดัง หรือของบริษัทที่คุณสนใจ เพื่อที่คุณจะได้ตามดู หรือถ้าคุณมีหัวข้อที่สนใจอยู่แล้ว ก็สามารถใช้หัวข้อนั้นเป็นคีย์เวิร์ดในการค้นหาได้เลย

6. เพิ่มโอกาสในการถูกพบให้กับทวีตของคุณ

ถ้าเรื่องที่คุณกำลังจะเขียนเป็นหัวข้อซึ่งอยู่ในกระแสความสนใจ (เช่นโอบาม่า ซีรีส์เรื่อง Lost หรืออื่นๆ) การใส่เครื่องหมาย # ไว้ข้างหน้าหัวข้อนั้น (เช่น #Lost) จะทำให้คนอื่นๆ พบทวีตของคุณได้ง่ายขึ้น และบางทีเขาเหล่านั้นก็อาจตามดูคุณต่อ ยกตัวอย่างเช่นกรณีของเครื่องบินตกที่แม่น้ำฮัดสัน #flight1549 ได้กลายมาเป็นแท็กยอดฮิต เช่นเดียวกับเป็นคีย์เวิร์ดที่ผู้คนจำนวนมากใช้ในการเสิร์ช

7. แชร์ภาพถ่าย

ผู้คนส่วนใหญ่ชอบที่จะแชร์ภาพของตัวเองให้กับคนทั้งโลกได้ดู และบางคนก็โด่งดังจากการเรื่องนี้ อย่างเช่นกรณีของจานิส คลุมส์ ซึ่งใช้ TwitPic โพสต์ภาพของเที่ยวบิน 1549 ไว้บนทวิตเตอร์ของเขาได้ก่อนใครเพื่อน เช่นเดียวกันคุณสามารถใช้ TwitPic รวมถึงอีกหลายๆ บริการที่ลักษณะคล้ายกันนี้ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการอัพโหลดและโพสต์ภาพไว้บนทวิตเตอร์

8. ทวีตจากมือถือ

ทวิตเตอร์ให้คุณส่งข้อความตัวอักษรจากโทรศัพท์มือถือเพื่ออัพเดตทวีตของคุณ เช่นเดียวกับที่รับทวีตใหม่ของคนอื่นๆ ซึ่งคุณตามดูอยู่ได้ แต่ก่อนอื่นคุณต้องเข้าไปที่ Settings คลิกที่แท็บ Devices แล้วใส่หมายเลขโทรศัพท์ของคุณก่อน ในทางตรงกันข้าม ถ้าใช้ไปสักพักแล้วคุณรู้สึกว่าการรับทวีตของคนอื่นๆ บนโทรศัพท์มือถือ สร้างความรำคาญให้กับคุณมากกว่าการได้อัพเดตเรื่องราว คุณก็สามารถเข้ามายกเลิกได้จากในแท็บเดียวกันนี้

9. หาเดสก์ทอปไคลเอ็นต์ดีๆ มาใช้

ด้วยเดสก์ทอปไคลเอ็นต์อย่าง TweetDeck, Twhirl หรือ TwitterFox คุณสามารถรับทวีตและจัดให้เป็นหมวดหมู่หรือเป็นระบบระเบียบสำหรับการตามอ่านได้ ไคลเอ็นต์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากถ้าคุณตามดูทวีตของหลายคน และมีการปฏิสัมพันธ์โต้ตอบ รวมไปถึงใช้ฟังก์ชัน direct messages อยู่บ่อยๆ 10. ดาวน์โหลดโมบายไคลเอ็นต์

ถ้าคุณมีแบล็กเบอร์รี่ ไอโฟน หรือสมาร์ตโฟนอื่นๆ ที่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือทำงานบนเครือข่าย 3G เราอยากแนะนำให้ดาวน์โหลดโมบายไคลเอ็นต์ของทวิตเตอร์มาใช้ เพราะจะช่วยให้คุณทำอะไรได้มากกว่าแค่ส่งข้อความที่เป็นเท็กซ์ ไคลเอ็นต์ที่น่าสนใจก็จะมีอย่างเช่น Twitterific, TwitterBerry, PocketTweets และ Twidroid เป็นต้น

แอดแวร์ FastAntivirus 2009 ระบาดไม่เลิก

ข้อมูลสำคัญจาก PandaLabs หลังจากได้ตรวจพบแอดแวร์ FastAntivirus2009 MSNworm.GM และ Banbra.GIM แต่ยังมีผู้ได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่อง

โปรแกรม FastAntivirus2009 เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสปลอม ซึ่งแอดแวร์นี้แสดงให้ทราบว่าระบบมีการแสกนและตรวจหามัลแวร์ ที่ไม่จริงๆในคอมพิวเตอร์ ในการกำจัดไวรัสดังกล่าวจำเป็นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการป้องกันไวรัสปลอม โดยมีเป้าหมายคือ การหลอกหลวงทางการเงินในการแก้ไขไวรัส

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถตรวจสอบได้ที่นี่ http://www.flickr.com/photos/panda_security/tags/fastantivirus2009

MSNworm.GM เป็นหนอนที่กระจายใช้ผ่านทางโปรแกรม MSN โดยไวรัสดังกล่าวจะส่งข้อความผ่านโปรแกรมการสนทนา จากเครื่องของผู้ที่ติดไวรัโดยเชื้อเชิญให้เข้ามาดูรูปถ่าย เมื่อคลิ๊กที่ link ดังกล่าวไวรัสจะทำสำเนาตัวเองลงในเครื่องและเมื่อไฟล์ ถูกเปิดขึ้นก็จะพบข้อความ error เกิดขึ้น

Banbra.GIM โทรจันที่ขโมยข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่พบจากประเทศบราซิล เพื่อให้ได้ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินโปรแกรมดังกล่าวจะแฝงกายตัวเองออกเป็นแอปพลิ เคชันการรักษาความปลอดภัย ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อไปยังธนาคารของตนอย่างปลอดภัย และเมื่อผู้ใช้ป้อนรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลธนาคารจนเสร็จสิ้น จะมีข้อความจะปรากฏที่สิ้นสุดกระบวนการแจ้งบัญชีที่ได้รับหลักประกัน โดยความเป็นจริงที่ข้อมูลที่มัลแวร์สร้างขึ้นค่อนข้างแตกต่างกัน

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวรัสเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ที่ (http://www.pandasecurity.com/homeusers/security-info/about-malware/encyclopedia/)

และบริษัทแพนด้าซีคิวริตี้ได้เปิดเวบเพจเพื่อให้ผู้ใช้ได้ร่วมแชร์ประสบการณ์เ รื่องไวรัสต่างๆ ( ไม่ว่าจะเป็นการขโมยข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลอื่นๆฯลฯ โดยผู้ใช้ที่ส่งความคิดเห็นดังกล่าว จะได้รับฟรีโปรแกรมแอนตี้ไวรัส 2009 ฟรี 2 เดือน http://www.pandasecurity.com/homeusers/media/malware-stories/

เตือน!!! หนอน Conficker กำลังกลับมา

รายงานข่าววันนี้ ตั้งแต่ที่มีการตราวจพบ Conficker หนอนไวรัสครั้งแรก เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2008 ซึ่งมันได้รับการออกแบบให้สามารถแพร่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ที่รันวินโดวส์ด้วยอัตราเร็วที่น่าตกใจ โดยสถิติสูงสุดที่เคยทำได้คือ 15 ล้านเครื่องทั่วโลก หลังจากนั้นข่าวคราวของมันก็เงียบไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า มันหายไปแล้ว...แต่กำลังรอวันที่จะกลับมาต่างหาก

Conficker Working Group ที่เกิดจากกลุ่มบริษัทต่างๆ ทางด้านระบบรักษาความปลอดภัย และซอฟต์แวร์ที่เกียวข้องรวมตัวกัน ยังคงเฝ้าติดตามจำนวนบ็อตเน็ต (botnet) ที่ถูกสร้างขึ้นโดยการแพร่กระจายของหนอนตัวนี้ ซึ่งตัวเลขล่าสุดมันมีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 6.2 ล้านหมายเลขไอพี โดยแพร่กระจายอยู่ในกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ในจำนวนี้ 80% จะเป็น Conficker สายพันธุ์ A และ B ส่วนสายพันธุ์ C จะไม่ประสบความสำเร็จในการแพร่กระจาย เนื่องจากเส้นทางการแพร่ของพวกมันส่วนใหญ่ถูกตัดออกไปแล้ว

ข้อเท็จจริงของตัวเลขที่ดูเหมือนจะอิ่มตัว ขึ้นลงในช่วงแคบๆ หมายความว่า เครือข่ายบ็อตเน็ตที่มันสร้างขึ้นมีความสเถียรมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะฟันธงได้ว่า ผู้พัฒนาจะสั่งให้บ็อตเน็ตทำอะไรหลังจากนี้ แต่ด้วยความที่มันเป็นเครือข่ายบ็อตเน็ตที่แข็งแรงพอสมควร ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า พวกมันจะยังคงแพร่กระจายต่อไปเรื่อยๆ (แม้จะไม่รวดเร็วนัก) โดยเฉพาะผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้อัพเดตแพตช์ ตลอดจนติดตั้งซอฟต์แวร์แอนตี้มัลแวร์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่า เกิดความผิดปกติอะไรกับเครื่องของพวกเขาแล้ว และนั่นเป็นเหตุให้ แม้ทางกลุ่มฯจะพยายามพัฒนาซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่ฉลาดขึ้น เพื่อลดจำนวนพวกกมันให้เหลือน้อยลงได้ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจกำจัดมันให้สิ้นซากได้อยู่ดี



ขณะเดียวกัน FBI ก็เร่งพยายามจะตามล่าตัวผู้พัฒนา Conficker ที่ยังคงพยายามเพิ่มความสามารถให้กับหนอนร้ายตัวนี้ ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า ผู้พัฒนาจะตัดสินใจเลิกทำมันสักวันหนึ่ง เพราะด้วยความเจ้าเล่ห์(ในการหลอกล่อผู้ใช้ให้ติดตั้ง)ของหนอนดังกล่าวทำให้เครือข่ายของพวกมันสามารถแฝงตัวเข้าไปอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งของหน่วยงานรัฐบาล ธุรกิจเอกชน บริษัท ห้างร้าน สถานศึกษา และโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จัดอันดับยอดฮิตหัวข้อล่อลวงที่ใช้แพร่ไวรัสปี 2009

ผู้สร้างไวรัสนิยมนิยมใช้ข่าวดังเพื่อล่อความสนใจของผู้ใช้งาน เช่น ข่าวการเสียชีวิตของไมเคิลแจ็คสัน ข่าวคราวโรคระบาดไวรัสหวัด 2009 นอกจากนี้ยังมีข่าวเกี่ยวกับประธานาธิบดี Obama กลายเป็นสามหัวข้อ ที่แพร่ระบาดของไวรัสมากที่สุดในเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม ในการกระจายไวรัสทางสังคมอินเทอร์เน็ตและทางอีเมล์ อีกทั้งเรื่องราวของความไม่ซื่อสัตย์และ วิธีการจับ กล โกง ของคู่ค้านั้น ยัง เป็น หัวข้อที่ ได้รับความนิยมสูงเช่นกัน

ข่าวการเสียชีวิตของไมเคิลแจ็คสัน ข่าวคราวของโรคระบาดของไวรัสหวัด 2009 ข่าวของประธานาธิบดี บารัค โอบามา เกี่ยวกับการเมืองนั้นการเป็นหัวข้อยอดนิยมที่ผู้ผลิตไวรัสใช้แพร่ระบาดไวรัสในปี 2009 ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตต่างๆ อาทิ อีเมล์ หรือ เฟสบุ๊ค “ Facebook ” เป็นที่สังเกตว่าคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข่าวสารข้อมูลต่างๆ ในสังคมออนไลน์ ผู้สร้างไวรัสได้จำลองตัวเองใกล้เคียงกับการให้ข่าวและใช้ข่าวสารในการแพร่ระบาดไวรัส นอกจากนี้ยังมี ประเด็นเกี่ยวกับ หัวข้อการการสอดแนมและ วิธีการจับ กล โกง ของคู่ค้าและเรื่องราวผิดศีลธรรม ยก ตัวอย่างเช่น ผู้ไม่หวังดีได้พยายามส่งข้อความผ่าน SMS เพื่อเสนอให้ท่านดาวน์โหลดโปรแกรมเพื่ออ่าน ข้อความที่ส่งหรือได้รับในโทรศัพท์มือถือ สามารถเชื่อมต่อ ทางอินเทอร์เน็ต

PandaLabs ได้ มีการศึกษา หัวข้อ ที่แพร่ระบาดของไวรัสมากที่สุดในเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2009 ทำให้ทราบผลดังนี้

หนึ่งในไวรัสที่พบว่าแพร่ระบาดมากที่สุดคือคือไวรัสในตระกูล Waledac ซึ่งไวรัส Waledac เคย ปรากฏขึ้นในสองปีที่แล้ว และยังคงสามารถพบอยู่ในหัวข้อที่กล่าวถึงเช่นกัน สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: http://www.pandasecurity.com/img/enc/Boletines%20PandaLabs5_en.pdf

เทคนิคสี่ข้อง่ายๆเคล็ดลับเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดี

โดยปกติเมื่อมีดึงดูดความสนใจพวกมันมักจะนำคุณไปยังหน้าเว็บเพื่อดูหรือดาวน์โหลดบางอย่าง อย่างไรก็ตาม ขอยกตัวอย่าง เวบไซต์ YouTube เป็นเวบไซต์ที่คุณ ไม่จำเป็นต้องคุณดาวน์โหลดตัวแปลงสัญญาณเพื่อดูไฟล์วิดีโอ ถ้า หากคุณเข้าสู่เว็บเพจที่มีลักษณะเช่นกันกับเวบไซต์ที่ถูกกฎหมายเช่น YouTube คุณสามารถตรวจสอบ ให้แน่ใจว่า URL ที่ปรากฏในแถบที่ address bar เป็นเว็บไซต์ที่เชื่อถือ หากคุณไม่ทราบว่า Link หรือ เว็บไซต์ดังกล่าวสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ คุณสามารถตรวจสอบ ที่อยู่จากการค้นหา search engine โดยจะทราบผลลัพธ์ปรากฎขึ้นมาจะสามารถตรวจสอบเว็บไซต์ทางการได้ทันที

คุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้นที่ถูกต้องจากการตรวจสอบด้วยตนเองอีกระดับหนึ่ง

หากคุณไม่ได้เตรียมตัวรับมือหรือมีทางออกให้กับปัญหาเหล่านี้และไม่สามารถทราบได้ว่าเว็บไซต์ที่ปลอดภัยหรือไม่ นั่นหมายความว่าคอมพิวเตอร์ของคุณยังเสี่ยงต่อการการติดเชื้อ พึงระลึกว่า การที่คุณตัดสินใจดาวน์โหลดไฟล์นั้น เสี่ยงอันตรายต่อระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ และ สุดท้าย สแกนทุกไฟล์กับระบบป้องกันไวรัสก่อนใช้งานไฟล์นั้นๆ

30 ส.ค. 2552

โรคแพนิค (Panic Disorder)

โรคแพนิค เป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีคนเป็นกันมากและเป็นกันมานานแล้ว แต่ประชาชนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จักและยังไม่มีชื่อโรคอย่างเป็นทางการในภาษาไทย บางคนอาจเรียกโรคนี้ว่า "หัวใจอ่อน" หรือ " ประสาทลงหัวใจ" แต่จริงๆ แล้วโรคนี้ไม่มีปัญหาอะไรที่หัวใจ และ ไม่มีอันตราย เวลามีอาการผู้ป่วย จะรู้สึกใจสั่นหัวใจเต้นแรง อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน หรือหายไม่เต็มอิ่ม ขาสั่น มือสั่น มือเย็น บางคนจะมีอาการวิงเวียนหรือมึนศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน ขณะมีอาการผู้ป่วยมักจะรู้สึกกลัวด้วย

โดยที่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะกลัวว่าตัวเองกำลังจะตาย กลัวเป็นโรคหัวใจ บางคนกลัวว่าตนกำลังจะเสียสติหรือเป็นบ้า อาการต่างๆมักเกิดขึ้นทันทีและค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มที่ในเวลาประมาณ 10 นาที คงอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วค่อยๆ ทุเลาลง อาการมักจะหายหรือเกือบหายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากอาการแพนิคหายผู้ป่วยมักจะเพลีย และในช่วงที่ไม่มีอาการผู้ป่วยมักจะกังวลกลัวว่าจะเป็นอีก

อาการ แพนิค จะเกิดที่ไหนเมื่อไรก็ได้และคาดเดาได้ยากแต่ผู้ป่วยมักพยายามสังเกตุ และเชื่อมโยงหาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการเพื่อที่ตนจะได้หลีกเลี่ยงและ รู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้บ้าง เช่น ผู้ป่วยบางราย ไปเกิดอาการขณะขับรถก็จะไม่กล้าขับรถ บางรายเกิดอาการขณะกำลังเดินข้ามสะพานลอยก็จะไม่กล้าขึ้นสะพานลอย ผู้ป่วยบางรายไม่กล้าไปไหนคนเดียวหรือไม่กล้าอยู่คนเดียวเพราะกลัวว่าถ้าเกิดอาการขึ้นมาอีกจะไม่มีใครช่วย ในบางรายอาจมีเหตุกระตุ้นจริงๆบางอย่างได้ เช่น การออกกำลังหนักๆ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำโคล่า ในกรณีแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ เหล่านี้

ขณะเกิดอาการผู้ป่วยมักกลัวและรีบไปโรงพยาบาลซึ่งแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินมักตรวจ ไม่พบความผิดปกติและมักได้รับการสรุปว่าเป็นอาการเครียดหรือคิดมาก ซึ่งผู้ป่วยก็มักยอมรับไม่ได้และปฏิเสธว่าไม่ได้เครียด เมื่อเกิดอาการอีกในครั้งต่อมาผู้ป่วยก็จะไปโรงพยาบาลอื่นและมักได้คำตอบแบบเดียวกัน ผู้ป่วยหลายๆ รายไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพ โดยเฉพาะหัวใจซึ่งก็มักได้รับการตรวจเช็ค ร่างกายอย่างละเอียดและไม่พบความผิดปกติอะไรที่สามารถอธิบายอาการดังกล่าวได้

ซึ่งก็ยิ่งทำให้ผู้ป่วยกังวลมากขึ้นไปอีก อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นเรียกว่า อาการแพนิค (panic attack) ซึ่งแปลว่า "ตื่นตระหนก" เราจะสังเกตุได้ว่าอาการต่างๆ จะคล้ายกับอาการของคนที่กำลังตื่นตระหนก ในโรคแพนิคผู้ป่วยจะเกิดอาการแพนิคนี้ขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุกระตุ้น และคาดเดาไม่ถูกว่าเมื่อไรจะเป็นเมื่อไรจะไม่เป็น การไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นอะไรจะยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกให้รุนแรงขึ้น อาการแพนิค ไม่มีอันตราย อาการนี้ทำให้เกิดความไม่สบายเท่านั้นแต่ ไม่มีอันตราย สังเกตุได้จากการที่ผู้ป่วยมักจะ มีอาการมานาน บางคนเป็นมาหลายปี เกิดอาการแพนิคมาเป็นร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักที บางคนเป็นทีไรต้องรีบไปโรงพยาบาล "แทบไม่ทัน" แต่ไม่ว่ารถจะติดอย่างไรก็ไป "ทัน" ทุกครั้งเพราะอาการ แพนิค ไม่มีอันตราย ในปัจจุบันเราพอจะทราบว่าผู้ป่วยโรคแพนิคมีปัญหาในการทำงานของสมองส่วนที่ทำให้เกิดอาการ “ตื่นตระหนก” โดยเป็น ความผิดปกติของสารสื่อนำประสาท บางอย่างเราจึงสามารถรักษาโรคนี้ได้ด้วยยา

ยาที่ใช้รักษาโรคนี้จะมี 2 กลุ่ม คือ

1. ยาป้องกัน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า ปรับยาครั้งหนึ่งต้องรอ 2-3 สัปดาห์ จึงจะเริ่มเห็นผลคืออาการแพนิคจะห่างลง และเมื่อเป็นขึ้นมาอาการก็จะเบาลงด้วย เมื่อยาออกฤทธิ์เต็มที่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพนิคเกิดขึ้นเลย ยากลุ่มนี้จะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าบางตัว เช่น เล็กซาโปร (lexapro) โปรแซก (prozac) โซลอฟ (zoloft) ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดการติดยาและสามารถหยุดยาได้เมื่อโรคหาย ในการรักษาด้วยยาเราจะจ่ายทั้งยาป้องกันและยาแก้

เพราะในช่วงแรกๆ ยาป้องกันยังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจะยังมีอาการจึงยังต้องใช้ยาแก้อยู่ เมื่อยาป้องกันเริ่มออกฤทธิ์ผู้ป่วยจะกินยาแก้น้อยลงเอง แพทย์จะค่อยๆเพิ่มยาป้องกันจนผู้ป่วย "หายสนิท" คือไม่มีอาการเลย แล้วให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อไปเป็นเวลา 8-12 เดือน หลังจากนั้นจะให้ผู้ป่วยค่อยๆ หยุดยา ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถหยุดยาได้โดยไม่มีอาการกลับมาอีก แต่ก็มีบางรายที่มีอาการอีกเมื่อลดยาลง ในกรณีแบบนี้เราจะเพิ่มยากลับขึ้นไปใหม่แล้วค่อยๆ ลดยาลงช้าๆ

2. ยาแก้ เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้เฉพาะเมื่อเกิดอาการขึ้นมา เป็นทีกินที กินแล้วหายเร็ว ได้แก่ยาที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามของยา “กล่อมประสาท” หรือยา “คลายกังวล” เช่น แวเลี่ยม (valium) แซแนก (xanax) อะติแวน (ativan) ยาประเภทนี้มีความปลอดภัยสูง (แปลว่าไม่มีพิษ ไม่ทำลายตับ ไม่ทำลายไต) แต่ถ้ารับประทาน ติดต่อกันนานๆ (2-3 สัปดาห์ขึ้นไป) จะเกิดการติดยาและเลิกยากและเมื่อหยุดยากระทันหันจะเกิดอาการขาดยา ซึ่งจะมีอาการเหมือนอาการแพนิค ทำให้แยกแยะไม่ได้ว่าหายหรือยัง ดังนั้นแพทย์จะเน้นกับผู้ป่วยว่าให้กินเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น ยังไม่เป็นห้ามกิน รอให้เริ่มมีอาการแล้วค่อยกินก็ทันเพราะมันออกฤทธิ์เร็ว

ลิ้นหัวใจรั่วอย่ามัวเฉยชา

โรคหัวใจอื่นเราเฝ้าระวังดูแลสุขภาพก็ลดเสี่ยงได้ ต่างจากโรคลิ้นหัวใจรั่ว ที่สาเหตุจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจมาแต่กำเนิด

เรียนกันมาตั้งแต่ประถม รู้กันดีว่าหัวใจมีสี่ห้อง แต่ละห้องจะมีลิ้นหัวใจคล้ายกลีบดอกทิวลิปคอยหุบคอยบานทำหน้าที่เหมือนวาล์วน้ำอัตโนมัติเปิดปิดให้เลือดไหลผ่านจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งส่งไปให้ปอดฟอกออกซิเจนกลับมาไหลเวียนสู่ระบบโลหิตอีกครั้ง

ลิ้นหัวใจบางคนโชคร้าย ใช้งานไปนานวันเกิดอาการลักปิดลักเปิดทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ รบกวนชีวิตประจำวันทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อย อาบน้ำยังเหนื่อยเลย ทางที่ดีควรไปให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียด เล่าอาการให้หมดเปลือก พบเร็วรักษาเร็วไม่ต้องเสียเงินทองมากมาย

โรคหัวใจอื่นเราเฝ้าระวังดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ไม่บริโภคอาหารเสี่ยงได้ ต่างจากโรคลิ้นหัวใจรั่วที่มักมีสาเหตุจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจมาแต่กำเนิด ส่งผลให้ลิ้นหัวใจเสื่อมไวกว่าคนทั่วไป โรคลิ้นหัวใจรั่วที่พบบ่อยในคนไทยคือ ลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างห้องบนและห้องล่างด้านซ้าย

“โรคลิ้นหัวใจรั่วที่เกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด มักไม่แสดงอาการในวัยเด็ก แต่จะเริ่มเหนื่อยง่าย ใจสั่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น โดยมีผลให้การออกกำลังกายได้น้อย หรือบางคนเดินขึ้นบันได 1-2 ชั้น ก็เหนื่อย นอนราบไม่ได้หายใจไม่ออก เป็นต้น

” นพ.วิสุทธิ์ วิเวกาภิรัต ผู้อำนวยการอายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบาย

การดำเนินอาการของโรคลิ้นหัวใจรั่วไม่รุนแรง แต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจยาวนานจนกระทั่ง 40 ปีผ่านไป จึงเริ่มแสดงอาการรุนแรง จากการที่ลิ้นหัวใจเสื่อมมากขึ้น จนทำให้ร่างกายเหนื่อย อ่อนเพลียง่ายกับทุกอิริยาบถการเคลื่อนไหว บางรายที่เป็นมากอาจเสียชีวิตเนื่องจากการทำงานของหัวใจล้มเหลว

ปัจจัยที่ทำให้ลิ้นหัวใจเสื่อมไวที่อายุประมาณ 40-50 คือ การติดเชื้อที่ผิวของเนื้อเยื่อจากกระแสโลหิตนั่นเอง เช่น จากการทำฟัน ในขณะที่ช่องปากมีแผลอักเสบอยู่ ซึ่งภูมิต้านทานร่างกายที่ต่ำจะทำให้เกิดการติดเชื้อเข้าสู่แผลและกระแสเลือด และทำให้ลิ้นหัวใจติดเชื้อได้ด้วย

ผู้อำนวยการอายุรศาสตร์โรคหัวใจ บอกว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีการทำสถิติว่ามีคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมากน้อยแค่ไหน แต่จากสถิติการวิจัยของต่างประเทศพบว่า 5-10% ของประชากร สามารถเกิดโรคลิ้นหัวใจผิดปกติได้ เพราะเนื้อเยื่อของลิ้นหัวใจมีความผิดปกติแต่กำเนิดเป็นหลัก หรือเนื้อเยื่อลิ้นหัวใจเสื่อมเร็วกว่าปกติ โดยลักษณะความเสื่อมจะแสดงในรูปของสภาพหย่อน ยาว หรือลิ้นหัวใจหนากว่าคนปกติ

มาตรฐานการวินิจฉัยโรคลิ้นหัวใจรั่ว คือ การใช้คลื่นเสียงสะท้อน หรือเครื่องอัลตราซาวนด์ ใช้เวลาตรวจเพียง 30 นาทีก็สามารถรู้ผลการวินิจฉัยได้แล้วว่า หัวใจมีความผิดปกติอย่างที่สงสัยหรือไม่ และสภาพการทำงานของหัวใจปัจจุบันเป็นอย่างไร ด้วยค่าบริการตรวจประมาณ 2,500-4,000 บาทต่อคน

การวินิจฉัย แพทย์จะดูการทำงานของหัวใจทุกอย่าง เช่น ทิศทางการไหลเวียนของเลือด จังหวะการสูบฉีดเลือดของหัวใจเมื่อมีการหายใจเข้าออก การปิดเปิดของลิ้นหัวใจเมื่อเลือดสูบฉีดว่ามีการรั่ว หย่อนยาน หรือปูดขึ้นหรือไม่ เพื่อแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

การรักษาในช่วงที่ลิ้นหัวใจรั่วไม่รุนแรงมาก แพทย์จะแนะนำวิธีการป้องกันการติดเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด เช่น การหลีกเลี่ยงทำฟันเมื่อมีแผลอักเสบในช่องปาก หรือควรบอกแพทย์ก่อนที่จะรับการรักษาหากจำเป็นจริง เป็นต้น

สำหรับผู้ป่วยรายที่ลิ้นหัวใจรั่วมากจนกระทั่งกล้ามเนื้อที่พยุงการปิดเปิดลิ้นหัวใจเกิดการหย่อนยาน ปูด หรือหนา ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยแพทย์ ว่าสมควรได้รับการผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจที่เกิดการชำรุดหรือไม่

“การผ่าตัดซ่อมแซมสำหรับโรงพยาบาลเอกชนจะมีราคาสูงประมาณ 4-5 แสนบาทต่อครั้ง โดยรวมทั้งค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการหลังการผ่าตัดเบ็ดเสร็จ โดยผลการรักษาในบางรายอาจดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติได้ตลอดชีวิต และบางรายก็อาจมีการซ่อมแซมซ้ำก็ได้”ผู้อำนวยการอายุรศาสตร์โรคหัวใจ กล่าว

ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดซ่อมแซมบางราย หากเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัว หรือไตวายซึ่งพบได้น้อย แพทย์ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนลิ้นหัวใจทันที การรักษาสำหรับผู้ป่วยที่ลิ้นหัวใจเสื่อม หรือเสียมาก แพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบจากธรรมชาติที่ได้จากเนื้อเยื่อของหัวใจวัว หรือเนื้อเยื่อหัวใจหมู และลิ้นหัวใจเทียมจากสารสังเคราะห์

วิธีการรักษาดังกล่าวจะมีราคาค่ารักษาอยู่ที่ 5-6 แสนเป็นอย่างต่ำ และสามารถรักษาให้กับผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย และผลการรักษาจะได้ผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายคนไข้ต่อลิ้นหัวใจใหม่ด้วย การรักษาด้วยวิธีนี้คนไข้จะต้องกินยาป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะกับเนื้อเยื่อลิ้นเทียมไปตลอด

นพ.วิสุทธิ์ บอกอีกว่า แม้โรคลิ้นหัวใจรั่วจะพบในผู้ใหญ่วัย 40-50 ได้มาก แต่เด็กแรกเกิดบางรายก็เป็นได้เหมือนกัน และมักมีสาเหตุจากความผิดปกติตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ เช่น พัฒนาเด็กที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งการพยากรณ์โรคทำได้ยาก เพราะเนื้อเยื่อของเด็กยังไม่แข็งแรง ทำให้การรักษายาก และโอกาสในการรอดชีวิตน้อยไปด้วย

เครียดบ่อยระวังเป็นโรค IBS

ถ้าสะสมความเครียดอยู่บ่อยๆ อาจเกิดอาการแสบแน่นท้อง ท้องผูก ท้องเสีย หรือคลื่นไส้อาเจียนจนเป็นโรค IBS ได้

คุณแม่ลูกสองอย่าง กวินเน็ธ พัลโทรว์ มักเล่นโยคะเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังหมั่นกินอาหารแมโครไบโอติกและจำกัดการกินน้ำตาล รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ทั้งนี้ นอกจากเธอจะมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว ระบบขับถ่ายของเธอก็ยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เมื่อเธอดูแลตัวเองได้อย่างมีความสุข ปัจจัยที่จะก่อให้เกิดโรค IBS (Imitable Bowel Syndrome) หรือโรคลำไส้แปรปรวนเช่นเดียวกับที่ ไทร่า แบงก์ส เผชิญอยู่ ก็มีน้อยลงไปด้วย

โรค IBS คืออะไร

ถ้าใครเคยมีอาการเครียดลงกระเพาะอยู่บ่อยๆ เช่น เจอความเครียดกับการงาน หรือเจอความเครียดจากปัญหาต่างๆ รุมเร้า รวมทั้งกินอาหารไม่เป็นเวลาและกินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเปรี้ยวจัด มันจัด หรือเผ็ดจัด แล้วเกิดอาการแสบท้อง แน่นอืด มีลมเยอะ ลำไส้บีบมวน คลื่นไส้อาเจียน บางครั้งอาจถ่ายแข็ง ถ่ายเหลว หรือทั้งแข็งและเหลวสลับกันไป

คนวัยใดมักป่วยเป็นโรค IBS

ที่พบบ่อยคือผู้หญิงตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคน อย่างไรก็ดี โรคนี้คนหลากหลายอายุก็สามารถเป็นได้ ถ้าป่วยแล้วเป็นอันตรายถึงชีวิตมั้ย

โรคนี้จะเป็นเรื้อรัง คือเป็นๆ หายๆ ตลอดชีวิต แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างใด โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักรู้สึกรำคาญ แต่สุดท้ายก็ปรับตัวได้ อย่างไรก็ดี ก่อนที่หมอจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ได้ ต้องมีการตรวจอย่างละเอียดเสียก่อน เพราะอาการพื้นฐานของ IBS จะมีอาการคล้ายๆ กับโรคร้ายบางโรค ฉะนั้น ถ้าสงสัยควรให้หมอตรวจให้ถี่ถ้วนเสียก่อนว่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายอื่นๆ เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งตับ ฯลฯ

โรคหวัดลงกระเพาะถือเป็นโรค IBS หรือไม่

ไม่เป็น แม้จะมีอาการคล้ายโรค IBS แต่โรคหวัดลงกระเพาะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ฉะนั้นจึงถือว่าโรคหวัดลงกระเพาะเข้าข่ายกลุ่มอาการการติดเชื้อไวรัสใช้หวัดเสียมากกว่า เมื่อไข้หวัดหายแล้ว อาการเหล่านั้นก็จะหายตามไปด้วย

วิธีรักษาโรค IBS

ก่อนอื่นผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยให้แน่ชัดเสียก่อนว่าป่วยเป็นโรคนี้แน่ๆ อันดับต่อไปให้สร้างความคุ้นเคยกับหมอรักษา เพราะโรคนี้เป็นเรื้อรัง ฉะนั้น ต้อมีหมอที่เข้าใจการรักษาในระยะยาว หลังจากนั้น ก็ต้องรักษาตามอาการ ถ้าท้องผูกให้กินอาหารที่มีกากใยเยอะๆ ถ้ามีอาการท้องเสียให้เลิกกินอาหารที่ก่อให้เกิดการท้องเสีย หรืออาหารที่ทำให้มีแก๊สเยอะๆ อย่างถั่ว

ทางที่ดีเราควรหมั่นกินอาหารที่มีกากใยมากๆ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกน้ำตาลและไขมัน ที่สำคัญควรดีท็อกซ์ความเครียดให้ออกไปจากกายและจิตใจของเราโดยเร็ว

IBS โรคยากที่สุดเกี่ยวกับท้อง

ในคอร์สนี้มีปัญหาเรื่องโรคของท้องมาเป็น อันดับ 1 มีตั้งแต่โรคที่ร้ายแรงมากที่สุด คือ มะเร็งในช่องท้อง (ตับ, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะ, ลำไส้เล็ก, มดลูก, รังไข่)

และโรคใหม่ซึ่งว่ากันที่จริงเป็นโรคเก่าก็คือโรค IBS ซึ่งย่อมาจาก IRRITABLE BOWEL SYNDROME เดี๋ยวนี้กลายเป็นโรคฮิตสำหรับหนุ่มๆ สาวๆ สมัยใหม่ ที่มาหาผมเพื่อจะปรึกษาหารือก็เยอะ หรือฟังที่เขาคุยกันระหว่างเพื่อนฝูงก็พูดถึงโรคนี้กันเยอะ

เวลาที่ใครบอกชื่อโรค IBS นี้ออกมา คนฟังทั่วๆ ไปมักจะทำหน้าฉงน หลายคนทำหน้าตกใจ (เพราะไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจว่าโรคนี้คืออะไร?) IRRITABLE คำนี้ถ้ามาใช้ในด้านการแพทย์ แปลว่าทำให้ระคายเคืองหรือเกิดการอักเสบ BOWEL ก็แปลว่า ท้องไส้ และ SYNDROME ก็แปลว่ากลุ่มอาการต่างๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกัน

IRRITABLE BOWEL SYNDROME แปลว่า โรคของกลุ่มอาการต่างๆ เกี่ยวกับการทำให้ท้องไส้เกิดการระคายเคือง หรือเกิดการอักเสบ

ฟังแล้วก็ยังคงงงๆ อยู่ว่ามันเป็นโรคอะไรกันแน่ ที่ยังงงๆ อยู่ก็เพราะโรคนี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นโรคใหม่ เมื่อประมาณเกือบ 15 ปีมาแล้วไม่มีใครรู้จัก และไม่มีใครได้ยินชื่อ

ที่เริ่มรู้จักกันขึ้นมาก็เพราะมีหมอสองคน คือ ลินน์ ฟรีดแมน ได้ไปเสนอเรื่องในวารสารการแพทย์ นิวอิงค์แลนด์ เจอร์นัลด์ ออฟเมดิซิน เมื่อปี 1993 และหมออีกคนหนึ่ง เมเยอร์ เกดฮาร์ท เสนอในวารสารการแพทย์แกสโทร เอนเทอโรโลจี่ เมื่อปี 1994

วารสารการแพทย์ทั้งสองฉบับนี้ ถือว่าเป็นวารสารสำคัญระดับโลก แพทย์และผู้เกี่ยวข้องทางการแพทย์ทั่วโลกยกย่องให้เป็นวารสารแบบตำราวิชาการของโลกซึ่งเชื่อถือได้ 100% เต็ม

โรค IBS ก็เลยเป็นโรคที่วงการแพทย์เอ่ยถึง และชอบนำมาใช้ในการวินิจฉัย ให้ชื่อโรคว่า IBS มาเป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้ว และโดยเหตุที่ชื่อโรค IBS นี้เป็นชื่อของอาการรวมของอาการต่างๆ หลายรายการ จึงเป็นการยากที่จะวินิจฉัยแบบฟันธงลงไปว่า "คุณเป็นโรคนั้น โรคนี้........" ดังนั้นเมื่อมาถึงการรักษา จึงเป็นการยากสำหรับแพทย์ที่จะสั่งยาตัวนั้นตัวนี้โดยเฉพาะเพื่อแก้โรค IBS นี้ เมื่อเป็นโรคเกี่ยวกับอาการรวม ยาที่ให้ก็ต้องมียาแบบยารวม คือยาหลายๆ ตัวสำหรับแก้อาการหลายๆ อาการ

ต่อไปนี้ขออ้างอิงถึงศาสตราจารย์จุง เอายัง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะแพทย์โรคภายในช่องท้อง แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์มิชิแกน แอนอาเบอร์ ซึ่งถือกันว่าเป็นอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญโรค IBS

ที่น่าสนใจเกี่ยวกับศาสตราจารย์เอายังผู้นี้ก็คือ ท่านเป็นคนจีน (เข้าใจว่าจากสิงคโปร์) แต่ก็สามารถไปทำงานเป็นหัวหน้าแผนกของแพทย์ฝรั่งอีกหลายๆ คน

"ข้อน่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ โรคเกี่ยวแก่ช่องท้องและระบบการย่อยนี้ ชาวเอเชียป่วยกันมากเหลือเกิน" เป็นไปได้ไหมว่าอาหารของชาวเอเชียนั้นค่อนข้างจะหลากหลาย และมีรสจัดผสมกับความเครียดซึ่งเกิดจากสิ่งแวดล้อมและความแออัดของประชากร ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นๆ อย่างรวดเร็ว โรคเกี่ยวกับช่องท้องจึงมีมากเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย

ศาสตราจารย์เอายัง ระบุไว้ว่า IBS นี้จะเป็นโรคในกลุ่มคนอายุวัยหนุ่มสาวและกลางคน ส่วนผู้สูงอายุนั้นไม่ค่อยจะเป็น ถ้าหากจะมีอาการอย่างหนึ่งในอาการรวมของ IBS ก็คืออาการที่ลำไส้หรือบางส่วนของระบบย่อยมีถุงหรือกระพุ้งเล็กๆ และเมื่อมีเศษอาหารติดอยู่ในถุงเหล่านี้ก็เกิดการบูด หรือการอักเสบขึ้นมา ทำให้เกิดการอักเสบ หรือมีลมและแก๊สแน่นในช่องท้อง (DIVERTICULAR DISEASE)

ตามสถิติได้ระบุไว้ว่าผู้หญิงจะเป็นโรค IBS ได้ง่ายและมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า อาการที่เป็นประกอบไปด้วยการปวดท้อง สลับไปกับอาการท้องเสียหรือท้องผูกศาสตราจารย์เอายังได้ระบุอาการสำคัญๆของ IBS ไว้ 3 กลุ่มคือ

1. อาการปวดท้อง การปวดท้องของ IBS นี้ บริเวณที่ปวดจะมีหลายแห่ง ที่เป็นมากที่สุดคือบริเวณส่วนกลางล่างต่ำกว่าสะดือ (HYPOGASTRUM) และรองลงมาก็คือบริเวณด้านขวาและด้านซ้าย อยู่ต่ำกว่าระดับสะดือประมาณ 2-3 นิ้ว

2. ช่วงเวลาถ่ายอุจจาระผิดปกติ ตามปกติแล้วผู้ที่ไม่ได้ป่วย IBS จะถ่ายตรงตามเวลา เช่น บางคนถ่ายตอนเช้า บางคนถ่ายตอนเย็น แต่ผู้ที่ป่วยเป็น IBS นี้ เวลาประจำของการถ่ายตามปกติจะเปลี่ยนไป บางคนเกิดอาการท้องผูกกะทันหัน ผู้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเวลาถ่ายและเกิดท้องผูกขึ้นมานี้ บางคนท้องผูกเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนก็เคยพบ สำหรับอาการท้องผูกเป็นเดือนนี้ขอเตือนว่าต้องพบแพทย์ด่วน และที่ค่อนข้างแปลกเกี่ยวกับการท้องผูกนี้ก็คือ อยู่ๆ อาการท้องผูกก็หายไปเอง แต่กลับกลายเป็นท้องเสียหรือท้องเดินได้ก็มี

3. เกิดลมในช่องท้องและมีการผายลมมากผิดปกติ เคยได้พบว่าคนไข้ IBS ท้องอืด ท้องมีแก๊สมาก พุงมักจะโตจนน่าเกลียด

4. เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่องท้องด้านบน ช่องท้องด้านบนในที่นี้หมายถึงด้านบนเหนือสะดือ และอยู่ในระหว่างยอดอกต่ำลงมาถึงสะดือ อาการที่เป็นก็เช่น แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย (DYSPEPSIA) อาการแสบท้อง อาการคลื่นไส้ อยากจะอาเจียน และเบื่ออาหาร

5. มีอาการแปลกๆ อื่นๆ ซึ่งอาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเรื่องท้องเลย ที่ว่าอาการแปลกๆ นี้ ศาสตราจารย์เอายังท่านบอกว่าเป็นอาการที่เดาไม่ได้ว่าเพราะอะไร เช่น อาการเซื่องซึม หงุดหงิด แถมต่อด้วยอาการทางร่างกาย คือ ผสมกันกับการถ่ายบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับท้องเสียหรือท้องเดิน

เมื่อมาถึงขั้นนี้ ก็พอจะมองเห็นว่าเรื่องของอารมณ์หรือเรื่องเกี่ยวกับทางจิตใจย่อมเข้ามาเกี่ยวด้วย ก็เลยจำเป็นต้องคุยกันยาวอีกแล้ว ที่น่าสนใจในบทต่อๆ ไปก็คือ IBS นี้ดูเหมือนจะเกี่ยวกับอาการของโรคในช่องท้องอีกหลายโรค เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วอาจจะเป็นโรคเดียวกันหมด จึงจำเป็นที่จะต้องพูดกันต่อให้ละเอียดและที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าจะดูว่าเป็นโรคเล็กน้อย แต่ก็อาจจะกลายเป็นโรคร้ายแรงถึงชีวิตได้เช่นกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกันต่อไปโดยละเอียด

ปวดข้อศอก อย่านิ่งนอนใจ

อาการปวดบริเวณข้อศอก เป็นอาการที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์บ่อยๆ ท่านเคยมีอาการเช่นนี้หรือไม่? ปวดข้อศอกเวลาออกแรงทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น ยกของหนัก ทำงานบ้าน บิดผ้า เป็นต้น และกดเจ็บบริเวณตุ่มกระดูกข้อศอกด้านนอก เราเรียกอาการเช่นนี้ว่า Tennis elbow แต่ถ้าอาการเจ็บอยู่ที่ตุ่มกระดูกข้อศอกทางด้านใน เราเรียกอาการนี้ว่า Golfer elbow

โดยพบว่าผู้ป่วยส่วนมากมีอาการของ Tennis elbow มากกว่า Golfer elbow ถึงประมาณ 7 เท่า และพบโรคนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย อายุที่พบบ่อยประมาณ 40 - 50 ปี และพบเกิดอาการในแขนข้างที่ถนัดมากกว่าประมาณ 2 เท่า

อาการของโรค Tennis elbow นี้แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

กลุ่มที่ 1 เกิดจากการเล่นกีฬาจริงๆ ส่วนมากในกลุ่มนี้จะมีอายุน้อย

กลุ่มที่ 2 เกิดจากการทำงานที่เป็นลักษณะใช้งานซ้ำๆ หรือใช้งานหนักๆ เช่น คนทำงานบ้าน ช่างไม้ เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มนี้ส่วนมากมีอายุมากกว่ากลุ่มแรก ปัจจุบันนี้พบว่าผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ส่วนมากเป็นคนทำงานมากกว่านักกีฬา

ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดในปัจจุบัน แต่เชื่อกันว่าน่าจะเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ

1. มีการฉีกขาดของจุดเกาะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระดกข้อมือ (extensor carpi radialis brevis) โดยเป็นการฉีกขาดระดับที่เล็กมากๆ ซึ่งเกิดจากการทำงานซ้ำๆ หรือเกิดจากการทำงานหนักดังที่ได้กล่าวแล้ว

2. เกิดจากความเสื่อมที่บริเวณจุดเกาะของกล้ามเนื้อดังกล่าวข้างต้น เมื่อมีการใช้งานหรือเล่นกีฬาจึงกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บปวดขึ้น

แนวทางในการรักษาสำหรับโรคนี้แบ่งใหญ่ๆ เป็น 2 แนวทาง คือ

1. การรักษาโดยวิธีประคับประคอง (conservative treatment)

2. การรักษาโดยวิธีผ่าตัด (operative treatment)

ผู้ป่วยส่วนมาก (มากกว่า 90%) อาการจะดีขึ้นได้ด้วยวิธีประคับประคอง โดยการรักษาวิธีนี้ยังแบ่งออกเป็น

การพักการใช้งานและพักการออกแรงหนักๆ ในแขนข้างที่ปวด (rest)

การให้ยารับประทาน โดยยาที่ใช้เป็นยากลุ่มลดการอักเสบลดอาการปวด อาจเสริมด้วยยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวดกลุ่มอื่นๆ

การใส่สนับข้อศอกเฉพาะโรคนี้ (tennis elbow brace) โดยใส่เพื่อลดแรงที่มากระทบต่อจุดเกาะของกล้ามเนื้อเวลาออกแรงทำงานหรือเล่นกีฬา

การออกกำลังกาย เป็นการออกกำลังกายแบบยืดกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น (stretching exercise) โดยเริ่มออกกำลังกายวิธีนี้หลังจากอาการปวดลดลงแล้วจากการรักษาสองวิธีแรกประมาณ 3-6 สัปดาห์

การฉีดยากลุ่มลดการอักเสบสเตียรอยด์ ใช้เมื่อปวดมากหรือรักษาด้วยวิธีต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้วมากกว่า 3 เดือนอาการยังไม่ดีขึ้น โดยฉีดยาเข้าตรงบริเวณข้อศอกตำแหน่งที่เจ็บ ผู้ป่วยส่วนมากอาการจะดีขึ้นหลังฉีดยา

แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดเมื่อให้การรักษาด้วยวิธีประคับประคองแล้วอย่างน้อย 6 - 9 เดือน แต่ยังปวดมากและอาการไม่ดีขึ้น หรือในกรณีที่ฉีดยาไปแล้วหลายครั้งก็ยังกลับมีอาการอีก (ไม่ควรฉีดยาเกิน 3 ครั้ง)

ดังนั้น ถ้าท่านมีอาการดังกล่าวข้างต้นไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบปรึกษาแพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ เพราะถ้ามีอาการในระยะต้นๆ หรือยังไม่รุนแรงมากสามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีพัก รับประทานยา ใส่สนับข้อศอก และการออกกำลังกาย แต่หากปล่อยไว้หรือมีอาการปวดมากอาจต้องรักษาด้วยวิธีฉีดยาหรืออาจถึงขั้นผ่าตัดก็ได้

โรคเบาหวานในเด็ก และวัยรุ่น

เชื่อว่าหลายท่าน คงเคยได้ยินคำว่า "โรคเบาหวาน" กันมาพอสมควร โดยไม่ต้องบรรยายกิตติศัพท์ความรุนแรงและความน่ากลัวของโรคนี้ เพราะสถิติในรอบหลายปีหลัง พบว่ามีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มมากขึ้น และไม่เพิ่มขึ้นเฉพาะกับผู้ป่วยสูงอายุเท่านั้น ในผู้ป่วยเด็กเองก็พบโรคเบาหวานมากขึ้นเช่นกัน..อย่าเพิ่งตกใจกันไป เพราะโรคเบาหวานสามารถเกิดขึ้นได้ในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอ้วนหรือเด็กที่มีน้ำหนักมาก

เบาหวานเป็นโรคที่มีน้ำตาลสูงในเลือด เกิดจากความผิดปกติของเมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน สืบเนื่องมาจากการที่ร่างกายมีการหลั่งอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่เพียงพอ หรือมีความผิดปกติของอวัยวะเป้าหมายของอินซูลิน ได้แก่ ตับ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมันร่วมด้วย

ชนิดของโรคเบาหวานในเด็ก

ชนิดของโรคเบาหวานในเด็กมี 2 ชนิดหลัก คือ เบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น เกิดจากการที่เซลล์ตับอ่อนที่เรียกว่า "บีต้าเซลล์" ถูกทำลาย เป็นผลจากกระบวนการทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ต้องได้รับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเท่านั้น และมักเริ่มเป็นโรคเมื่ออายุยังน้อย

ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes) ซึ่งพบมากขึ้นในเด็กและวัยรุ่นปัจจุบัน และมักพบร่วมกับโรคอ้วนหรือภาวะโภชนาการเกิน ในอดีตเชื่อว่าเป็นโรคที่พบในผู้ใหญ่เท่านั้น เบาหวานชนิดที่ 2 นี้ ต้องรักษาด้วยยากินและบางรายต้องใช้การฉีดอินซูลิน นอกจากนี้เบาหวานชนิดที่ 2 ยังอาจรวมถึงผู้ป่วยบางโรคที่ได้รับยาที่ทำให้เกิดน้ำตาลสูงในเลือดชั่วคราวด้วย เช่น ยาเคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น

อุบัติการณ์ของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ในเด็กก็ยังคงมากกว่าเบาหวานชนิดที่ 2 แต่อุบัติการณ์ของเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับโรคอ้วนที่มากขึ้นนั้น เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา

อุบัติการณ์ของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากราวร้อยละ 6 ในปี พ.ศ. 2533 เป็นร้อยละ 13-15 ในระหว่างปี พ.ศ. 2539-2541 ตัวอย่างข้อมูลของหน่วยต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เพียง 4 รายที่ได้รับการวินิจฉัยในช่วง 10 ปีแรก (พ.ศ. 2533-2542) แต่ในช่วง 10 ปีหลัง (พ.ศ. 2543-2552) พบผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 40 ราย หรือประมาณ 10 เท่า

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2 ตามมา ได้แก่ ภาวะโภชนาการเกินและการขาดการออกกำลังกาย การที่มีความไม่สมดุลระหว่างการได้รับ และการใช้พลังงานเป็นเวลานานทำให้เกิดความอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2ความแตกต่างของโรคเบาหวานในเด็กและโรคเบาหวานในผู้ใหญ่

โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่นมีความคล้ายคลึงกับโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ แต่ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้

1. ชนิดของเบาหวาน

ส่วนมากเบาหวานที่พบในเด็กจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 แต่ในผู้ใหญ่จะพบชนิดที่ 2 มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการพบอัตราเพิ่มขึ้นของเด็กอ้วนทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ

2. การดูแลรักษา

เนื่องจากเด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่ยังมีการเจริญเติบโตและช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ ด้านทั้งอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งยังอยู่ในช่วงวัยเรียน มีคนรอบข้างที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ครู และเพื่อนๆ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ด้านต่างๆ ฉะนั้นการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กจึงมีความละเอียดซับซ้อนมาก

3. ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน

เนื่องจากถ้าเริ่มเป็นเบาหวานตั้งแต่เด็กโอกาสที่จะพบภาวะแทรกซ้อนในอนาคตก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

ลักษณะอาการของเด็กที่เป็นโรคเบาหวาน

ถ้าเป็นเบาหวานชนิดที่ 1

เด็กจะมีอาการปัสสาวะมากและบ่อย ดื่มน้ำมาก กินเก่ง แต่น้ำหนักลด ผอมลง บางรายน้ำหนักอาจลดได้ถึง 10 กิโลกรัม บางรายที่มีอาการมานานและไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา เด็กอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ส่วนบางรายที่มีอาการหนักจะมีภาวะเลือดเป็นกรด หายใจเหนื่อยหอบ

ส่วนเด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

เกือบจะทั้งหมดเกิดขึ้นในเด็กและวัยรุ่นที่อ้วนหรือน้ำหนักเกิน และส่วนใหญ่มักเริ่มมีอาการในระยะที่เริ่มเป็นหนุ่มสาวแล้ว ประมาณร้อยละ 50-75 ของผู้ป่วยจะมีพ่อหรือแม่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เกือบร้อยละ 90 ของผู้ป่วยจะมีญาติใกล้ชิดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งนอกจากความอ้วนแล้ว ผู้ป่วยเด็กเบาหวานชนิดที่ 2 มักมีปื้นดำหนาที่คอ รักแร้ ขาหนีบ ซึ่งขัดถูไม่ออก บางรายอาจมีการติดเชื้อราร่วมด้วย เช่น ที่ช่องคลอด ผิวหนัง ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยสังเกตว่าเด็กน้ำหนักลด แต่อาจมีอาการปัสสาวะมาก ดื่มน้ำมาก นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยบางรายที่ยังไม่มีอาการ แต่ตรวจพบจากการตรวจสุขภาพทั่วไปหรือมาปรึกษาแพทย์เรื่องอ้วนและแพทย์ทำการ ตรวจเลือดแล้วพบน้ำตาลสูงในเลือด นอกจากนี้ในเด็กอ้วนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 อาจมีความผิดปกติของระบบอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในหลอดเลือดสูง นอนกรน ปวดข้อ ไขมันเกาะที่ตับ ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น

หลักในการรักษา

หลักในการรักษาผู้ป่วยเด็กเบาหวาน ขึ้นอยู่กับชนิดของเบาหวาน ประกอบด้วย

1. การใช้ยา

การฉีดอินซูลินสำหรับเบาหวานชนิดที่ 1 และยากินหรือฉีดอินซูลินร่วมด้วยสำหรับเบาหวานชนิดที่ 2

2. การปรับวิถีการดำเนินชีวิต

เป็นหัวใจสำคัญและมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2

คำแนะนำในการปรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่

ต้องปรับในเรื่องอาหารการกิน ต้องควบคุมอาหารโดยมีเป้าหมายเพื่อให้น้ำหนักลดลงช้าๆ ในรายที่อ้วน มากกว่าที่จะพยายามทำให้น้ำหนักเป็นปกติ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง รวมทั้งเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ และควรออกกำลังกายอยู่เป็นประจำวันละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง และลดการอยู่นิ่งๆ หรือนอนดูโทรทัศน์ และเล่นเกมคอมพิวเตอร์

แม้ว่าในปัจจุบัน โรคเบาหวานเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายขาด และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ก็อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้

นอกจากนี้ การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค ทางเลือกในการรักษา รวมทั้งสาเหตุและการดำเนินโรครวมทั้งภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก เช่นเดียวกันกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวและโรงเรียน จะทำให้การรักษาประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

ภูมิแพ้ทางอาหาร ร้ายแรงแค่ไหน?

หลายคนทราบไม่ทราบว่า ตัวเองมีปฏิกิริยาที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ แล้วคุณละคิดว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้หรือไม่ ?โรคภูมิแพ้คืออะไร

โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคคือ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้,โรคแพ้อากาศ,โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้,โรคหอบหืด,โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง จากข้อมูลเบื้องต้น ลองมาทำความรู้จัก "โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร" ร้ายแรงแค่ไหน

โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร อาจปรากฏอาการได้ในหลายระบบของร่างกาย โดยอาจเกิดเฉพาะในระบบใดระบบหนึ่งหรือร่วมกันหลายระบบก็ได้ ที่พบบ่อยได้แก่

ระบบผิวหนัง เช่น อาจเป็นลมพิษแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง มีอาการที่ผิวหนังอักเสบ หรือบวมตามผิวหนัง เป็นต้น ที่พบบ่อยในเด็ก พบว่าการแพ้ไข่ หรือนมวัว มักทำให้เกิดผิวหนังอักเสบในทารก ส่วนการแพ้อาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู ปลา มักทำให้เกิดลมพิษแบบเฉียบพลัน สารผสมในอาหารเช่น สี สารกันบูด หรือเชื้อราที่ปนเปื้อน อาจทำให้ลมพิษเรื้อรังมีอาการกำเริบขึ้นได้ เป็นต้น

ระบบทางเดินอาหาร อาจมีปากอักเสบ แผลในปาก ปวดท้อง ท้องเดิน เลือดออกในทางเดิน อาหาร หรือลำไส้อักเสบ เป็นต้น

ระบบหายใจ อาจมีจมูกอักเสบ หลอดลมอักเสบ การบวมของกล่องเสียงและหลอดลม หรือหืดได้ ซึ่งมักเกิดร่วมกับอาการในระบบอื่นด้วย ชนิดของโรคภูมิแพ้จากอาหารตามระยะเวลาที่เกิดอาการหลังได้รับอาหารแล้ว อาจแบ่งได้เป็น

ชนิดที่มีอาการเฉียบพลัน คือเกิดอาการหลังรับประทานภายใน 2-3 นาที ถึง 1 ชั่วโมง โดยอาจมีอาการคันปากและเพดาน ลมพิษขึ้น หากอาการรุนแรงอาจถึงกับช็อคหมดสติได้

ชนิดมีอาการช้า อาจเกิดอาการภายหลังรับประทานอาหารเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันได้ อาหารชนิดใดที่เป็นตัวการของการเกิด โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร

ในเด็ก อาหารที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้มีดังนี้คือ นมวัว ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปลา

ในผู้ใหญ่ อาหารที่เป็นสาเหตุ คือ นม อาหารทะเล ปลา ถั่ว อย่างไรก็ตามอาหารชนิดอื่นนอกเหนือจากนี้ ก็มีโอกาศแพ้ได้ อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร และสาเหตุอื่นๆ

อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร อาจเกิดขึ้นกับระบบใดๆก็ได้ในร่างกาย ในบางคน อาจมีอาการทันทีที่รับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป บางคนอาจมีอาการหลังจากนั้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง อาการที่พบอาจเป็นอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้องแบบบิด อาการทางผิวหนัง เช่น การมีผื่นขึ้น ริมฝีปาก ลิ้น ช่องปากบวม อาการทางระบบทางเดินหายใจเช่น หายใจมีเสียงวี๊ด หายใจลำบาก อึดอัด แน่นในลำคอ อาการที่รุนแรงที่สุดคือ อาการช็อค ซึ่งเกิดเนื่องจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน

อาการต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นอาการที่เกิดจาก ปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างเดียวหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่ อาการต่างๆ เหล่านี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับภูมิแพ้ ดังตัวอย่างที่กล่าวไว้เรื่องท้องเดินจากการดื่มนม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดเอนไซม์ แลคโตส ซึ่งใช้ในการย่อยนม เป็นต้น

สำหรับสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการคล้ายโรคภูมิแพ้ ได้แก่ อาการสั่นจากอาหารหรือเครื่องดื่มที่ผสม คาเฟอีน อาการหอบ ที่เกิดจากการสารประกอบอาหารเช่นผงชูรส สารพิษที่ถูกปล่อยจากเชื้อโรคบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องเดิน การติดเชื้อพยาธิในทางเดินอาหาร โรคของระบบทางเดินอาหารเอง เช่น โรคกระเพาะ โรคทางเดินน้ำดี และสาเหตุทางจิตใจ การวินิจฉัย และสาเหตุที่ทำให้แพ้

ถ้าท่านไม่แน่ใจว่า ท่านเป็นโรคแพ้อาหาร จริงๆ หรือไม่ ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้โดยตรง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการซักประวัติคุณอย่างละเอียด คุณจะได้รับคำถามต่างๆมากมายเกี่ยวกับอาการที่คุณเป็น แพทย์อาจให้คุณลองงดอาหารที่สงสัยว่าจะแพ้ และสังเกตุว่าอาการของคุณดีขึ้นหรือไม่ การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังไม่ค่อยได้ประโยชน์มากนัก สำหรับสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นอาหาร

การรักษาที่สำคัญที่สุด คือ หาอาหารที่แพ้ให้พบ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ร่างกายแพ้ ลองปรึกษาแพทย์ถึงวิธีหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ ากแพทย์ที่ทำการรักษาท่าน

การรักษาโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร ปัจจุบันการรักษาการแพ้อาหารที่ดีที่สุด คือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แพ้ และรับประทานสารอาหารทดแทน เช่น ถ้าแพ้นมวัว อาจใช้นมที่มีสูตรพิเศษซึ่งมีโปรตีนชนิดพิเศษแทน ปัจจุบันเริ่มมีการจำหน่ายนมสำหรับทารกที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ ในประเทศไทยแล้ว โดยทั่วไป หลังจากเลี่ยงอาหารที่แพ้มาแล้วช่วงหนึ่ง เช่น ประมาณ 1-3 ปี ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารเหล่านั้นได้

อาหารที่มักจะรับประทานได้ หลังจากเลี่ยงมาแล้วช่วงหนึ่ง ได้แก่ นมวัว และไข่ไก่ เนื่องจากร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ โดยที่ภูมิคุ้มกันของลำไส้จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารแพ้จากอาหารผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้อาการแพ้ลดความรุนแรงลง จากการศึกษาจากประเทศออสเตรเลียพบว่า ร้อยละ 60 ของเด็กที่แพ้นมวัว จะสามารถรับประทานนมวัวได้โดยไม่มีปฏิกิริยา เมื่ออายุ 6 ปี

สำหรับผู้ป่วยบางคน เช่น ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่แพ้อาหารทะเล เช่นกุ้ง หรือถั่วลิสง และผู้ที่มีอาการแพ้ที่รุนแรง มักจะแพ้สารอาหารเหล่านั้นตลอดชีวิต และจะเกิดอาการซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าจะเลี่ยงอาหารนั้นมานานแล้ว ผู้ป่วยบางคนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงอาจจะเกิดอาการได้ ถึงแม้กระทั่งได้กลิ่นหรือควันที่เกิดจากการประกอบอาหาร เช่นควันจากการปิ้งย่างอาหารทะเล ก็จะเกิดอาการได้โดยไม่ต้องรับประทานอาหารนั้นๆ
การรักษาสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือในกรณีที่เสียน้ำจากการถ่ายเหลวมากๆ หรือให้ยาฉีดพวกแอดดรีนาลีน ในรายที่มีอาการช็อค ในรายที่มีอาการทางผิวหนังอาจให้ยาแก้แพ้ ยาต้านฮิสตามีน หรืออาจใช้ยาพวกเสตียรอยด์ในระยะสั้นๆ ผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจต้องพกยาฉีดที่มียาแอดดรีนาลีน ชนิดบรรจุเสร็จไว้ติดตัว

โรคหลงผิด

หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ "โรคหลงผิด" ซึ่งเป็นความผิดปกติทางจิตเวชกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่ามีอาการอย่างไร เป็นอันตรายหรือไม่ แล้วจะรักษาอย่างไร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า โรคหลงผิด เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ที่คนไข้มีการหลงผิดคิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคทางกายบางอย่าง บางทีก็หลงผิดคิดว่ามีคนปองร้าย หรือหลงผิดคิดว่าภรรยา หรือคู่สมรสมีชู้ ส่วนใหญ่อาการหลงผิดจะเป็นลักษณะนี้ สาเหตุของโรคเกิดจากสารสื่อประสาทในสมอง หรือ สารโดปามีน เสียสมดุลไป

การจะบอกว่าเป็นโรคหลงผิดหรือไม่ คงต้องให้จิตแพทย์วินิจฉัย เพราะบางคนอาจจะไม่ถึงขั้นเป็นโรคหลงผิดก็ได้ อาจแค่วิตกกังวล แต่ถ้าเป็นโรคหลงผิด หมอตรวจวินิจฉัยร่างกายยืนยันอย่างไรก็ไม่เชื่อ คนไข้ก็จะตระเวณเปลี่ยนหมอรักษาไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นแค่วิตกกังวลหมอตรวจแล้วเขาจะเชื่อ โรคหลงผิดจึงเป็นความเชื่อที่ติดแน่น คำอธิบายคงช่วยอะไรไม่ได้

โรคนี้ต้องใช้ยารักษา ส่วนใหญ่รักษาแล้วอาการจะดีขึ้น คนไข้ต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เวลาเป็น ปีๆ เช่นกัน เมื่ออาการหลงผิดดีขึ้นใน 6 เดือน หรือ 1 ปี แพทย์จะค่อยๆ ลดยาลงไปเรื่อยๆ บางคนอาจหยุดยาได้ แต่บางคนอาจต้องกินยาคุมอาการเอาไว้

คนไข้ที่มารักษาส่วนใหญ่ญาติ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่ทราบเรื่องจะพามา แต่เมื่อคนไข้รักษาแล้วอาการดีขึ้น ภายหลังมีอาการกำเริบอีก คนไข้อาจสมัครใจมาพบแพทย์ด้วยตัวเอง

ถามว่าโรคหลงผิดอันตรายหรือไม่ ก็อาจจะอันตรายต่อตัวเองและคนรอบข้าง เช่น ระแวงภรรยา หรือคู่สมรสมีชู้ อาจมีการลงมือทำร้ายกัน ถ้าหลงผิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคทางกาย อาจจะทำให้คนไข้เจ็บเนื้อเจ็บตัว ไปตรวจร่างกายด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการเจาะเลือด หรือส่องกล้อง เป็นต้น
ข้อแนะนำสำหรับคนรอบข้าง คือ อย่าเพิ่งรีบสรุปว่าเขามีอาการหลงผิด แม้บางคนอาจจะแปลกไปจากเดิมบ้าง ต้องค่อยๆ ชวนเขาไปพบจิตแพทย์ ไม่ใช่พาเขาไปพบแล้วบอกเขาว่ามีอาการหลงผิด ต้องพูดทำนองว่า เมื่อเธอไม่สบายใจเรื่องนี้ กลุ้มใจเรื่องนี้ไปคุย ไปปรึกษาจิต แพทย์ดีมั้ย จะได้สบายใจขึ้น คือ คนรอบข้างต้องไม่คล้อยตาม หรือขัดแย้ง ถ้าไปบอกว่าเธอเป็นโรคจิต เป็นบ้านะ แบบนี้คนไข้จะเกิดการต่อต้านแน่นอน บางคนอาจจะเป็นแค่วิตกกังวลเฉยๆ ก็ได้ พอพาไปตรวจกับแพทย์แล้วได้รับคำอธิบายหายกังวล
ท้ายนี้ขอเรียนว่า โรคหลงผิด มิใช่ความผิดหรือความเลวร้าย คนรอบข้าง โดยเฉพาะญาติควรเข้าใจ เพราะถ้ารู้สึกรำคาญหรือเพิกเฉย จะทำให้คนไข้ได้รับการรักษาที่ช้า ส่วนผลการรักษาจะได้แค่ไหนก็ต้องมาดูกันอีกที

นิ้วล็อค ภัยเงียบที่คุณควรรู้

เคยไหม... อยู่ดีๆ ก็ขยับนิ้วไม่ได้ จะงอก็ไม่ได้ จะยืดก็ไม่ได้ หรืออยู่ดีๆ นิ้วก็เกิดอาการกระตุกขึ้นมาซะอย่างงั้น…และนิ้วที่เป็นบ่อยคือนิ้วนาง นิ้วกลาง และนิ้วหัวแม่มือ (แต่จริงๆ แล้วก็สามารถเกิดได้กับทุกนิ้ว) แถมพอจะกระดิกนิ้วก็กระดิกไม่ได้อีก เพราะมันทั้งตึงทั้งเจ็บปวดมากๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกว่า "นิ้วล็อค" นั่นเอง
"นิ้วล็อค" เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกกันง่ายๆ ตามอาการที่เป็น คือผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนนิ้วล็อค นั่นคือ กำมืองอนิ้วได้ แต่เวลาเหยียดนิ้วออก นิ้วใดนิ้วหนึ่งเกิดเหยียดไม่ออกเหมือนโดนล็อคไว้ จึงเป็นที่มาของคำว่า "นิ้วล็อค" ถ้าเรียกกันให้ถูกต้องแล้ว โรคนี้ต้องเรียกว่า "โรคนิ้วเหนี่ยวไกปืน" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Trigger Finger"เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื้อหุ้มเส้นเอ็นงอนิ้ว ซึ่งอยู่ที่บริเวณฝ่ามือตรงตำแหน่งโคนนิ้ว มีโอกาสเป็นได้ทุกนิ้ว ผู้ป่วยบางคนอาจจะเป็น 2 หรือ 3 นิ้วพร้อมกัน (อูย... คงจะปวดน่าดู)

อย่างไรก็ตาม โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอายุที่พบบ่อยอยู่ที่ประมาณ 40 - 50 ปี โดยมากจะเกิดกับผู้ที่ใช้งานมือในลักษณะเกร็งนิ้วบ่อยๆ เช่น การทำงานบ้านต่างๆ การบิดผ้า การหิ้วของหนัก การใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ตัดผ้า การยกของหนักต่างๆ เป็นต้น

นิ้วล็อค

อาการของโรคนี้แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ

1. ระยะแรก มีอาการปวดเป็นอาการหลัก โดยจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ และจะมีอาการปวดมากขึ้น ถ้าเอานิ้วกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด

2. ระยะที่สอง มีอาการสะดุด (triggering) เป็นอาการหลัก และอาการปวดก็มักจะเพิ่มมากขึ้นด้วย เวลาขยับนิ้ว งอ และเหยียดนิ้ว จะมีการสะดุดจนรู้สึกได้

3. ระยะที่สาม มีอาการติดล็อคเป็นอาการหลัก โดยเมื่องอนิ้วลงไปแล้ว จะติดล็อคจนไม่สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยแกะ หรืออาจมีอาการมากขึ้นจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง

4. ระยะที่สี่ มีการอักเสบบวมมาก จนนิ้วบวมติดอยู่ในท่างอเล็กน้อย ไม่สามารถเหยียดให้ตรงได้ ถ้าใช้มือมาช่วยเหยียดจะปวดมาก

นิ้วล็อค

วิธีป้องกัน โรคนิ้วล็อค

1. ไม่หิ้วของหนัก เช่น ถุงพลาสติก ตะกร้า ถังน้ำ ถ้าจำเป็นต้องหิ้ว ควรใช้ผ้าขนหนูรองและหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ แทนที่จะให้น้ำหนักตกที่ข้อนิ้วมือ หรือใช้วิธีการอุ้มประคองช่วยลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือได้

2. ไม่ควรบิดหรือซักผ้าด้วยมือเปล่าจำนวนมากๆ และไม่ควรบิดผ้าให้แห้งสนิท เพราะจะยึดปลอกหุ้มเอ็นจนคราก และเป็นจุดเริ่มต้นของโรคนิ้วล็อค

3. นักกอล์ฟที่ต้องตีแรง ตีไกล ควรใส่ถุงมือ หรือใช้ผ้าสักหลาดหุ้มด้ามจับให้หนาและนุ่มขึ้น เพื่อลดแรงปะทะ และไม่ควรไดร์กอล์ฟต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ

4. เวลาทำงานที่ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่าง ควรระวังการกำหรือบดเครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ ควรใส่ถุงมือหรือห่อหุ้มด้ามจับให้ใหญ่และนุ่มขึ้น

5. ชาวสวนควรระวังเรื่องการตัดกิ่งไม้ด้วยกรรไกร หรืออื่นๆ ที่ใช้แรงมือควรใส่ถุงมือเพื่อลดการบาดเจ็บของปลอกเอ็นกับเส้นเอ็น และควรใช้สายยางรดน้ำต้นไม้แทนการหิ้วถังน้ำ

6. คนที่ยกของหนักๆ เป็นประจำ เช่น คนส่งน้ำขวด ถังแก๊ส แม่ครัวพ่อครัว ควรหลีกเลี่ยงการยกมือเปล่า ควรมีผ้านุ่มๆ มารองจับขณะยก และใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถเข็น รถลาก

7. หากจำเป็นต้องทำงานที่ต้องใช้มือกำ หยิบ บีบ เครื่องมือเป็นเวลานานๆ ควรใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น ใช้ผ้าห่อที่จับให้หนานุ่ม เช่น ใช้ผ้าห่อด้ามจับตะหลิวในอาชีพแม่ครัวพ่อครัว

8. งานบางอย่างต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้าหรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ เช่นทำ 45 นาที ควรจะพักมือสัก 10 นาที

นิ้วล็อค

สำหรับวิธีการรักษา โรคนิ้วล็อค ประกอบไปด้วย...

1. การใช้ยารับประทาน เพื่อลดการอักเสบ ลดบวม และลดอาการปวด ร่วมกับพักการใช้มือ

2. การใช้วิธีทางกายภาพบำบัด ได้แก่ การใช้เครื่องดามนิ้วมือ การนวดเบาๆ การใช้ความร้อนประคบ และการออกกำลังกายเหยียดนิ้ว โดยการรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัด อาจใช้ร่วมกันได้ และมักใช้ได้ผลดีเมื่อมีอาการของโรคในระยะแรก และระยะที่สอง

3. การฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ เพื่อลดการอักเสบ ลดปวดและลดบวม เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างมาก ส่วนมากมักจะหายเจ็บ บางรายอาการติดสะดุดจะดีขึ้น แต่การฉีดยามักถือว่าเป็นการรักษาแบบชั่วคราว และข้อจำกัดก็คือ ไม่ควรฉีดยาเกิด 2 หรือ 3 ครั้ง ต่อ 1 นิ้วที่เป็นโรค การรักษาโดยการฉีดยานี้สามารถใช้ได้กับอาการของโรคตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะท้าย

4. การรักษาโดยการผ่าตัด ถือว่าเป็นการรักษาที่ดีที่สุดในแง่ที่จะไม่ทำให้กลับมาเป็นโรคอีก หลักในการผ่าตัด คือ ตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่หนาอยู่ให้เปิดกว้างออก เพื่อให้เส้นเอ็นเคลื่อนผ่านได้โดยสะดวก ไม่ติดขัดหรือสะดุดอีก ทั้งนี้ การผ่าตัดแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ การผ่าตัดแบบเปิด เป็นวิธีมาตรฐานที่ควรทำในห้องผ่าตัด โดยฉีดยาชาเฉพาะที่ผ่าตัดเสร็จก็กลับบ้านได้ หลังผ่าตัดหลีกเลี่ยงการใช้งานหนัก และการสัมผัสนิ้ว ประมาณ 2 สัปดาห์

อีกวิธีเป็นการผ่าตัดแบบปิด โดยการใช้เข็มเขี่ยหรือสะกิดปลอกหุ้มเอ็นออก โดยแทบไม่มีแผลให้เห็น โดยวิธีนี้อาจมีผลแทรกซ้อนได้ถ้าไปเขี่ยหรือสะกิดถูกเส้นประสาท ดังนั้น จึงไม่แนะนำสำหรับนิ้วที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเส้นประสาทสูง คือ นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้ และการผ่าตัดแบบปิดนี้ใช้ได้สำหรับคนไข้ที่มีอาการของโรคตั้งแต่ระยะที่สองขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม แม้โรคนิ้วล็อคจะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่เพื่อนๆ ก็ควรป้องกันไว้ดีกว่าแก้ตามวิธีที่เรานำมาแนะนำนะคะ

ผมร่วง....รับมือได้

ความจริง "เส้นผม" ไม่มีชีวิต สังเกตง่ายๆ คือเวลาผมหักเราไม่เจ็บ เพราะผมเป็นเคอราตินชนิดแข็งซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้วทับถมกันยาวขึ้น เรื่อยๆ ผิดกับ "รากผม" ที่มีชีวิต มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยง คอยสร้างเส้นผมให้ยาวขึ้นเรื่อยๆ การดึงเป็นการทำลายเนื้อเยื่อที่ยึดรากผมให้ฉีกขาด มีเลือดออกและเจ็บในที่สุด

ตามธรรมชาติรากผมจะมีอายุประมาณ 3 ปี ผลิตเคอราตินทับเส้นเก่ายาวขึ้นเดือนละ 1 เซนติเมตร มีบางส่วนทยอยหยุดการเติบโตพร้อมกับเกิดเส้นใหม่งอกขึ้นมา ดันรากเดิมจนร่วงออกไปเองภายในระยะเวลา 3 เดือน เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยรวมแล้วเส้นผมทั้งศีรษะมีประมาณ 1 แสนเส้น จะร่วงโดยอัตโนมัติวันละ 50-100 เส้น และมีรากแฟบเล็ก

อย่างนี้ถึงเรียกว่าผิดปกติ

จำนวนเส้นผมที่ร่วงมีมากกว่าวันละ 100 เส้น

ผมร่วงแล้วไม่งอกขึ้นมาใหม่

งอกขึ้นมาแต่เส้นเล็กลงกว่าเดิม

ผมร่วงเฉพาะบริเวณ เช่นกลางศีรษะ เป็นรูปตัว M บริเวณหน้าผาก หรือผมร่วงเป็นหย่อมรูปตัว O

ลักษณะผมร่วง

1. ผมร่วงทั้งศีรษะ มีหลายสาเหตุได้แก่

โรค Androgenetic alopecia คือ โรคผมร่วงที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ไม่จำเป็นต้องเกิดกับพี่น้องทุกคน แต่บิดาหรือมารดาอาจมีกรรมพันธุ์แฝงอยู่ แล้วถ่ายทอดมายังบุตรได้ โรคนี้มีฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อว่า di-andro-testrosterone หรือ DHT เป็นตัวกระตุ้นทำให้รากผมฝ่อลง โดยฮอร์โมนนี้ไปจับกับเซลล์รากผม ทำให้เส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่มีขนาดเล็กลง พบได้บ่อยในผู้ชายอายุ 16 ปีขึ้นไป จะมีลักษณะผมบางเป็นรูปตัว M และบางมากขึ้นบริเวณด้านหน้า กลางกระหม่อม สุดท้ายจะเหลือเส้นผมเฉพาะบริเวณด้านข้างและด้านหลัง ในผู้หญิงก็พบเช่นกัน ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปผมจะเริ่มบางบริเวณกลางกระหม่อมและบางมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น วิธีรักษา คือ ใช้ยาปลูกผมและควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

สุขภาพอ่อนแอและเครียด ถ้าร่างกายอ่อนแอ เช่นมีไข้สูง ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เสียเลือดจากประจำเดือน หลังคลอดบุตร หรือมีเรื่องเครียดเสียใจถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้เซลล์ร่างกายเดินถอยหลังและหยุดเติบโต เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมร่วงได้เช่นเดียวกัน การรักษาง่ายๆ เพียงแค่ทำใจให้สบาย พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่เพื่อบำรุงเซลล์ร่างกายให้ฟื้นตัวกลับมาทำงานได้อย่างปกติ

ผมเปียกน้ำ ขณะผมเปียกน้ำ ผมเกาะกัน หวีฝืดกว่าผมที่แห้ง และทำลายเส้นผมให้แตกหัก จึงควรใช้ครีมนวดผมเคลือบหลังสระ ทำให้หวีง่าย จัดทรงง่าย ลดแรงดึงผม การดูแลอย่างถูกวิธี คือ ไม่ควรหวีผมซ้ำนานๆ เมื่อหวีติดอย่าฝืน ไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดถูแรงๆ ขณะผมเปียก ควรใช้หวีห่างหรือปลายเรียบหวีผมแทน

2. ผมร่วงเป็นหย่อมๆ มีหลายสาเหตุได้แก่

โรค Alopecia areata เกิดจากเม็ดเลือดขาวทำงานผิดปกติ ทำลายเซลล์รากผมของตนเอง ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ถ้าเป็นรุนแรงอาจร่วงทั้งศีรษะรวมไปถึงขนคิ้วและขนตาด้วย พบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ การรักษา ควรใช้ยารักษาโรคที่เป็นอยู่ให้หาย ร่วมกับใช้ยาปลูกผมจากแพทย์

เชื้อรา ราบนหนังศีรษะ ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อมได้ มักติดมากับ หวี ผ้าเช็ดผม กรรไกร มีดตัดผมที่ใช้ร่วมกับคนอื่น ควรหมั่นสังเกตตนเองว่าหลังจากนั้นประมาณ 3-4 สัปดาห์มีอาการคันหนังศีรษะ เป็นขุย เส้นผมหักกลางบ้างหรือไม่ การรักษาควรปรึกษาแพทย์และใช้บาฆ่าเชื้อรา

รวบผมแน่นเกินไป การมัดผม รัดผม ทรงหางม้า ถักเปีย ที่ตึงแน่นเกินไปจะมีผลกระทบต่อรากผมได้ เพราะแรงดึงผมทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ ที่ยึดรากผม เส้นผมอาจจะไม่ขึ้นอีก หรืออาจงอกเป็นเส้นหงิก งอ เปราะหักง่ายไม่สมบูรณ์ การรักษา คือ ใช้ยาปลูกผม ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

วิธีปกปิดปัญหาผมบาง

วิกผม : วิกผมปกปิดได้ทั่วศีรษะ แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ วิกผมแท้สามารถสระ ไดร์ หรือทำสีผมได้เหมือนกับผมธรรมชาติ ใช้ได้นานราคา 10,000 บาทขึ้นไป ส่วนวิกผมเทียมทำจากโมโนไฟเบอร์เลียนแบบธรรมชาติ สวยไม่แพ้กันแต่ราคาถูกกว่าคือเริ่มต้นที่ 1,000 บาท หาซื้อได้ที่ร้านเสริมสวยทั่วไป

ทอผมเทียม : คล้ายวิกผมแต่สามารถเลือกปิดผมเฉพาะบริเวณที่บางเท่านั้น โดยสั่งตัดจากช่างเสริมสวยผู้ชำนาญราคา 10,000 บาทขึ้นไป

ปลูกถ่ายผม : เป็นวิธีเอาผมคุณคืนมาได้จากการผ่าตัดของแพทย์โดยนำรากผมจากท้ายทอยของตัว เองมาปลูกบนบริเวณผมบาง เพราะผมที่ท้ายทอยสามารถปิดแผลได้แนบเนียน ซึ่งแพทย์สามารถปลูกได้ครั้งละ 300-2,000 กราฟต่อครั้ง (1 กราฟมี 2-3 เส้นแล้วแต่คน) ราคา 80-120 บาท /กราฟ

ถึงแม้ผมบางไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร แต่ก็ทำให้เสียความมั่นใจไม่ใช่น้อย เพียงแค่เข้าใจธรรมชาติของผมและสนใจดูแลให้มากขึ้น รับรองได้เลยว่าผมสวยสุขภาพดีอยู่กับคุณต่อไปอีนานแสนนาน

28 ส.ค. 2552

พฤติกรรมสุด ยี้ ที่ผู้หญิงรับไม่ได้

หนุ่ม ๆ หลายคนที่ชาตินี้ยังหาแฟนไม่ได้สักทีอาจจะสงสัยว่า พวกเขามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ถึงได้ทำให้ไม่มีใครสนใจ ทั้ง ๆ ที่บางคนหน้าตาดี ฐานะดี แต่เหตุไฉนถึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ในขณะที่บางคนหน้าตาก็งั้น ๆ ฐานะก็ไม่ได้ดี แต่ทำไมถึงมีแฟน

ฉะนั้นคุณหนุ่ม ๆ ต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าเรามีอะไรแตกต่างจากคนอื่นหรือเปล่า สาว ๆ ถึงได้จ้ำอ้าวหนีกันไปหมด ว่าแล้วเราลองไปฟังความเห็นของสาว ๆ กันเลยดีกว่าว่าพฤติกรรมแบบไหนที่ผู้ชายที่เธอเห็นแล้วเป็นต้องร้อง "ยี้"

เริ่มกันที่ เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ กล่าวว่า "เต้ยเองก็พอจะมีเพื่อนผู้ชายที่สนิท ๆ กันนะ บางคนเขาก็ดีทุกอย่างเลย แต่ติดตรงที่บางทีเพื่อนของเราเจ้าชู้ ชอบหลีหญิง บางครั้งเต้ยเองก็อยากจะบอกเพื่อนนะว่าอย่าทำแบบนี้เลย มันไม่ดี แต่ด้วยความเป็นเพื่อนเราก็ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา ซึ่งถ้ามีผู้ชายลักษณะแบบนี้มาจีบเต้ย เต้ยก็คงขอบาย เพราะขนาดเพื่อนเราเป็นคนอย่างนี้เรายังไม่สบายใจเลย ถ้าจะให้ผู้ชายเจ้าชู้มาเป็นแฟนเต้ยยิ่งไม่เอาใหญ่เลย เพราะรู้สึกว่าเราไม่สามารถทำใจให้เชื่อใจเขาได้ คบไปแล้วก็คงไม่เวิร์ก ส่วนผู้ชายที่ดูมีเสน่ห์ในสายตาเต้ย ก็เป็นคนที่รักครอบครัว มีจิตสำนึกที่ดี เพราะคนที่มีสามัญสำนึกเวลาทำอะไรเขาก็จะทำแต่เรื่องดี ๆ ค่ะ"

ตามติดด้วย ซาร่า-นลินธารา โฮเลอร์ เผยว่า "ซาร่าเองก็มีเพื่อนผู้ชายเยอะนะ เขาก็จะมีพฤติกรรมอะไรหลาย ๆ อย่างที่บางทีเราก็รู้สึกไม่ค่อยชอบนะ เช่น พูดจาหรือทำตัวหยาบคาย แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเขาก็เป็นแค่เพื่อน เราก็ให้อภัยได้ แต่ถ้าผู้ชายที่เข้ามาจีบเรา แล้วมีพฤติกรรมแบบนี้ ซาร่าก็จะไม่ยุ่งเลยนะ เพราะรู้สึกว่าเขาไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลย ดูแล้วไม่น่ารัก จริงอยู่บางทีเขาอาจจะอยากสนิทสนมกับเรา เลยคิดว่าการพูดจาหรือทำตัวแบบนั้นอาจจะทำให้ผู้หญิงรู้สึกคุ้นเคยมากกว่า แต่สำหรับซาร่าคิดว่าไม่เหมาะนะ คนเราควรพูดจาใส่กันดี ๆ แค่นี้ก็ทำให้ผู้หญิงรู้สึกประทับใจแล้ว สำหรับผู้ชายที่น่าเข้าใกล้ก็คงจะเป็นผู้ชายที่เทคแคร์เอาใจใส่เรา อยู่ด้วยแล้วรู้สึกมีเสน่ห์ทำให้เราอุ่นใจค่ะ"

ด้าน เมี่ยง-อติมา ธนาเสนีย์วัฒน์ กล่าวว่า "ผู้ชายที่เมี่ยงรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้คือผู้ชายขี้โอ่ อวดเบ่งค่ะ เพราะคนเราถ้ามีอะไรดีจริงไม่จำเป็นต้องอวดกันหรอก คนเราเวลาคบกันดูกันที่ใจ คนที่ยิ่งอวดมั่งอวดมี หรือชอบเบ่งเหมือนคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเบื่อนะ วัน ๆ ไม่มีใครอยากมานั่งฟังว่าบ้านคุณร่ำรวยขนาดไหนหรอก สำหรับคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าน่ารัก คงเป็นคนที่อารมณ์ดี อยู่ด้วยแล้วไม่เครียด เพราะคนเราทุกวันนี้ก็มีเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คิดมากพอแล้ว เราก็อยากอยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกสบายใจมากกว่าค่ะ"

ปิดท้ายที่ ทับทิม-อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์ เผยว่า "ทับทิมไม่ชอบผู้ชายที่ดูซกมกค่ะ อันดับแรกเลยคือดูไม่สะอาดตา ไม่น่าเข้าใกล้ ผู้ชายอาจจะคิดว่าเขาหล่อแบบเซอร์ ๆ แต่คนที่ดูเซอร์แต่สะอาดก็มีหลายคนนะ บางคนยิ้มทีฟันมีคราบหินปูนเกาะ เห็นแล้วรู้สึกว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เขาไม่ดูแลตัวเอง แล้วเขาจะดูแลเราได้เหรอ สำหรับผู้ชายที่อยู่ใกล้แล้วรู้สึกมีเสน่ห์คือ คนที่ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง คนแบบนี้น่าจะทำให้เรายิ้มไปกับเขาได้ง่ายค่ะ".

อย.สั่งแบน 8ผลิตภัณฑ์ ทำหน้าพัง

ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ว่า อย.ได้ออกเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจาก 2 แหล่งจำหน่าย เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์หาสารห้ามใช้ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค พบสารปรอท และกรดเรทิโนอิก ซึ่งเป็นสารอันตรายห้ามใช้ ประกอบด้วย

1.WEIJIAO Fade-Out Day Cream (15 g)
2.Yanko Day Cream Fade-Out Cream
3.Yanko Night Cream
4.FAYLASIS WHITENING CREAM (NIGHTCREAM)
5.Gold Nary Whitening Cream Night Cream
6.Gold Nary Face out Cream Day Cream
7.Yonae Whitening Essence & Double Efficacy (ฝาสีเงิน)
8.YONAE Whitening Essence&Double Efficacy (ฝาสีทอง)

โดยผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยจะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ภญ.วีรวรรณกล่าวถึงอันตรายจากสารทั้ง 2 ชนิดว่า สารปรอทเมื่อเริ่มใช้จะทำให้แลดูดีขึ้นขาวขึ้น แต่เมื่อใช้ไปในระยะหนึ่งจะทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะและไตอักเสบ ส่วนกรดเรทิโนอิก (กรดวิตามินเอ) เมื่อเริ่มใช้จะทำให้ดูผ่องใสขึ้น แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะทำให้หน้าแดง แสบร้อนรุนแรงเกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

7 เคล็ดลับ รักษามือให้น่าหลงใหล

เมื่ออากาศหนาวมาเยือน ก็ต้องรับมือมือกับผิวแห้ง วันนี้เรามี 7 เคล็ดลับกับวิธีรักษามือให้นุ่มนวลน่าหลงใหลมาบอกกัน...

1. ทำความสะอาดมือด้วยน้ำสะอาดอยู่เสมอ โดยใช้แปรงขัดมือกับแปรงขัดเล็บเข้าช่วย แต่ไม่ควรเอามือไปแช่อยู่ในน้ำนานๆ หรือบ่อยครั้ง เพราะจะทำให้มือแห้งเหี่ยว

2. พยายามขัดลอกส่วนที่แห้งกระด้างออกจากผิวมือสัปดาห์ละครั้ง (สูตรง่ายๆ คือ ผสมถั่วอัลมอนด์ป่นเข้ากับน้ำผึ้งและน้ำมะนาว จากนั้นก็ถูไปให้ทั่วมือ เสร็จแล้วก็ล้างออก)

3. ควรนวดมือด้วยโลชั่นบำรุงมือโดยเฉพาะอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เพราะมือคือบริเวณหนึ่งของร่างกายที่มีต่อมผลิตน้ำมันน้อย

4. ระมัดระวังแสงแดดทำลายผิวมือ ด้วยการใช้ครีมที่มีสารป้องกันแสงแดดในระดับ SPF ไม่ต่ำกว่า15 ทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน หรือเจอแสงแดด

5. ควรสวมถุงมือยางในการทำงานบ้านทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม แต่ไม่ควรสวมใส่ถุงมือยางจนนานเกินไป เพราะจะทำให้มือชื้นเหงื่อ และเกิดอาการมือแห้งตามมา

6. ตรงบริเวณเยื่อหุ้มโคนเล็บ ควรได้รับการนวดด้วยโลชั่น หรือครีมบำรุงอยู่เป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี ส่งผลถึงเล็บจะได้ไม่แตกง่าย

7. เปลี่ยนอุปนิสัยในการใช้มือเสียใหม่ อาทิ การจ้วงมือลงในกระเป๋าถือเพื่อหยิบของ ก็ควรเปลี่ยนเป็นเปิดกระเป๋าถือ แล้วมองหา ก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างช้าๆ เพราะการรีบเร่งใช้มือโดยไม่ระวังอาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุที่อาจทำให้ผิวที่มือได้รับความเสียหาย

6 วิธีช่วยวัยรุ่นเก็บเงิน

“ เงินไม่พอใช้....เงินหายไปไหนหมดเนี่ย...ทำไมเราไม่มีเงินเก็บเลย ” เป็นคำถามที่วัยรุ่นมักจะถามตัวเองอยู่เป็นประจำ

ผู้ใหญ่มักจะต่อว่าวัยรุ่นเสมอว่าใช้เงินเก่ง ทั้ง ๆ ที่ยังต้องแบมือขอเงินจากพ่อแม่ ไม่สามารถทำงานหารายได้ด้วยตัวเอง และมันก็เป็นจริงอย่างที่ผู้ใหญ่เค้าว่าซะด้วย...???

การใช้เงินเก่งของน้อง ๆ วัยรุ่นไม่ใช่ว่าจะโทษที่ตัวน้องมือเติบใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่อาจเป็นเพราะน้อง ๆ วัยรุ่นขาดการควบคุม ขาดการจัดสรรการใช้จ่ายที่ถูกต้องต่างหาก

สัปดาห์นี้เลยมีวิธีการบริหารการใช้เงิน 6 วิธีมาฝากกัน

วิธีแรก
เปิดบัญชีธนาคารให้เหมาะสม วิธีนี้จัดให้สำหรับน้อง ๆ เด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หรือต้องไปเรียนในจังหวัดที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง ทุกเดือนน้อง ๆ จะต้องขอเงินเดือนจากพ่อแม่ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีเข้าบัญชีให้เพราะสะดวกดี เลยแนะนำให้เปิดบัญชี ATMสาขาในกรุงเทพฯ หรือในจังหวัดที่เรียนอยู่ เพราะการกดเงินข้ามเขตจะต้องเสียค่าธรรมเนียม และควรกด ATM จากธนาคารเจ้าของบัญชี เห็นว่าตอนนี้กดข้ามธนาคารก็เสียค่าธรรมเนียมเหมือนกัน ยิ่งกดมากยิ่งเสียเงินเยอะ

วิธีที่สอง
ทำบัญชีรายรับรายจ่าย อย่างที่บอกแล้วว่าน้อง ๆ มักจะถามตัวเองเสมอว่าเงินของเราหายไปไหนหว่า.... วิธีแก้ก็คือเราต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย ไม่ว่าจะจ่ายเงินค่าหนังสือ ค่าสบู่ ยาสีฟัน ซื้อของอะไรก็แล้วแต่ ควรจะเก็บบิลไว้และจดบันทึกประจำวันว่าใช้จ่ายอะไรไปบ้าง เราจะได้รู้ว่าใช้เงินเกินเงินเดือนที่คุณพ่อคุณแม่ให้มาหรือเปล่า อ้อ...แล้วอย่าลืมเอาสมุดบัญชีธนาคารไปอัพเดทบ่อย ๆ ด้วย เราจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของยอดเงินแต่ละเดือ

วิธีที่สาม
อยู่ห่างจากเพื่อนไฮโซเข้าไว้ วิธีนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คบเพื่อนไฮโซหรือปฏิเสธสังคมแต่ประการใด แต่อยากให้เลือกกลุ่มเพื่อนที่จะไปกินข้าว ไปช้อปปิ้งซักหน่อย เพราะถ้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ใช้เงินมือเติบ ตกเย็นต้องไปสังสรรค์กินโน่นนี่นั่นทุกวี่วัน เงินเดือนแม่ให้มาเท่าไหร่ก็คงไม่พอ

วิธีที่สี่
เลือกโปรโมชั่นโทรฯมือถือให้เหมาะสม ว่ากันว่าค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดของ วัยรุ่นก็คือค่าโทรศัพท์มือถือ วัยรุ่นหลายคนถือคติ “ไม่มีกินไม่ว่า ขอข้ามีเงินจ่ายค่าโทรฯ มือถือ” แต่ไม่รู้จักใช้ให้เหมาะสม เลือกโปรโมชั่นให้พอดีกับการโทรฯในแต่ละเดือน และโทรฯเท่าที่จำเป็น ส่วนใครที่ชอบเมาท์ติดพันก็ลองใช้วิธีแลกเหรียญมากองไว้เยอะ ๆ และจ้องไปที่นาฬิกา ทุก 1 นาทีที่ผ่านไปกับโทรศัพท์ก็หยิบเงิน 3 บาทออกมากองไว้ตรงหน้า เลิกโทรฯเมื่อไหร่ก็ลองนับเงินที่เสียไปดู แบบนี้เราจะลดเวลาโทรฯมือถือลงโดยอัตโนมัติ

วิธีที่ห้า
ใช้บัตรนักเรียนนักศึกษาให้มีค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าผ่านประตูเวลาไปไหนมาไหน ถ้าเค้ามีโปรโมชั่นสำหรับนักเรียน เราต้องใช้บัตรประจำตัวให้เกิดประโยชน์ อย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าหลาย ๆ ครั้งเข้าก็รวมเป็นเงินโขอยู่

วิธีสุดท้าย
ออมเงินเป็นรายเดือน เราจะต้องกันเงินส่วนหนึ่งจะ 5, 10, 15, หรือ 20% จากเงินเดือนที่แม่ให้มาก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน เข้าบัญชีฝากประจำไว้เลย และสำคัญต้องทำทุกเดือน ครบปีเราจะภูมิอกภูมิใจกับยอดเงินที่เพิ่มขึ้น

วิธีเด็ด ๆ ช่วยเก็บเงิน จะเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ หรือจะผสมกันหลายวิธีก็ดี แต่ถ้าเหมาหมดทุกวิธีก็เยี่ยม คราวนี้แหละ.....เราจะมีเงินเก็บ เป็นเถ้าแก่น้อยคอซองขาสั้นทั้งที่ยังเรียนอยู่เลย

22 เคล็ด(ไม่)ลับ เก็บเงินได้มากขึ้น

เห็นจั่วเรื่องแล้ว คุณผู้อ่านคงแอบงงปนสงสัยกันอยู่ใช่มั้ยล่ะค่ะว่า ในยุคน้ำมันแพง ค่าแรงไม่พอใช้แบบนี้ เรื่องเงินออมนั้น คงทำได้ยากกกก ถึงยากที่สุด เพราะไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แล้วยังมีหนี้บัตรเครดิต ค่างวดโทรศัพท์มือถือ และข้าวของอีกมากมายก่ายกองที่เป็นภาระทุกเดือนๆ ชวนให้ปวดหัว แต่วันนี้ค่ะเรามีกลเม็ดการออมที่ คุณมัทยา ดีจริงจริง เจ้าของหนังสือขายดี "ออมน้อยก็รวยได้" แนะนำไว้เกี่ยวกับแนวคิดและวิถีการออมของโลกตะวันตก ซึ่งหากลองอ่านดูจะเห็นว่าหลายๆ วิธีก็ใช้ได้กับโลกตะวันออกได้เหมือนกัน …ไม่เชื่อลองอ่านดูค่ะ

1. ส่วนหนึ่งของเงินเดือนที่ได้รับ จะมากจะน้อยให้นำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารทุกๆ เดือน แล้วอย่าไปยุ่งกับบัญชีนั้นเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องถอนเงินส่วนนี้ ให้ถือว่ากำลังกู้เงิน เวลาคืนต้องคืนทั้งต้นทั้งดอก

2. เก็บเหรียญทั้งหลายลงกระปุก เปิดอีกบัญชีสำหรับเงินหยอดกระปุก อย่าดูถูกการสะสมเงินเล็กเงินน้อย จากก้อนเล็กๆ เติบโตกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคตได้เชียวนะ

3. เก็บเงินคืนที่ได้รับจากเรื่องต่างๆ เข้าบัญชีธนาคาร เช่น เงินคืนตามโปรโมชั่นการซื้อสินค้า เงินคืนเบี้ยประกัน รายได้เบี้ยใบ้รายทางต่างๆ ให้รวมเป็นบัญชีเดียว แล้วทำบัญชีไว้ คุณจะได้รู้ว่า ณ สิ้นปีรายรับที่ได้จากเงินคืนพวกนี้มันมากขนาดไหน รายรับพวกนี้เป็นรายรับไม่ต้องเสียภาษี น่าเสียดายที่จะใช้ทิ้งๆ ขว้างๆ

4. จ่ายเงินค่างวดผ่อนสิ่งของต่างๆ ที่ผ่อนหมดแล้ว เข้าบัญชีตัวเองด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม วิธีนี้คุณไม่ต้องเดือดร้อน เพราะคุณเคยชินกับภาระการผ่อนนั้นๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขว่าคุณไม่มีภาระผ่อนอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีกนะ

5. หยุดนิสัยฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ตัดทิ้งให้หมด ทำรายการขึ้นมาว่าต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง หลายคนแปลกใจว่ายิ่งคิดยิ่งตัดได้เรื่อยๆ

6. เพิ่มผลตอบแทนการลงทุน ไม่ควรยอมรับผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำ เงินออมที่มีอยู่ควรไปสร้างเงินต่อด้วยการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลในการรับความเสี่ยงด้วย

7. เป็นสมาชิกสหกรณ์ เป็นวิธีง่ายสุดของการออมเงิน พร้อมทั้งเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอีกต่างหาก

8. ซื้อพันธบัตรรัฐบาล สำหรับประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการออกพันธบัตรประเภทต่างๆ การจำหน่ายพันธบัตรให้กับประชาชน สิ่งที่ต้องดูคือประเภทพันธบัตร อัตราดอกเบี้ย และวันจ่ายดอกเบี้ย

9. ใช้ประโยชน์จากการโอนเงินบัญชีธนาคาร เมื่อเงินเดือนถูกนำฝากเข้าในบัญชีของคุณแล้ว คุณควรให้มันอยู่ในบัญชีธนาคารให้นานที่สุด (ฮา)

10. เข้าร่วมแผนออมเงินของบริษัท แผนการออมของบริษัทเป็นแผนออมเงินแบบปลอดภาษี และนายจ้างช่วยจ่ายสมทบ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับลูกจ้าง
11. ใช้การเสียภาษีให้เป็นประโยชน์ เรียนรู้เรื่องภาษี ประโยชน์ที่คุณไม่ควรเสียและประโยชน์ที่คุณควรได้ (เรื่องลดหย่อนนั่นเอง)

12. เข้าโครงการออมเงินที่น่าสนใจ เปิดหูเปิดตาให้กว้าง อาจมีโปรแกรมออมที่นึกไม่ถึง

13. ส้มหล่น อย่าเพิ่งกินหมดในคราวเดียว เงินก้อนใหญ่ไม่มาบ่อยครั้ง เช่น มรดก รางวัลเกมโชว์ ลอตเตอรี่ เงินปันผลกองทุน ฯลฯ เงินก้อนนี้ควรนำไปใช้ในการออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ ทั้งนี้ อย่าลืมปรึกษามืออาชีพด้านภาษีด้วย

14. รัดเข็ดขัดชั่วคราว อยากได้อะไรมากๆ ลองรัดเข็มขัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ เพื่อออมเงินให้มากกว่าปกติ เก็บเงินได้เท่าราคาของ แล้วจึงค่อยกลับสู่การดำเนินชีวิตปกติ

15. ฝากเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคล เพื่อการเกษียณอายุสัปดาห์ละครั้ง ในต่างประเทศนิยมมาก มีการทำบัญชีฝากสะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียว สำหรับเมืองไทยมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งนายจ้างจ่ายสมทบให้

16. ให้นำเงินเดือนส่วนที่เพิ่มไปฝาก ถ้ารับเงินเป็นรายสัปดาห์หรือราย 2 สัปดาห์ อาจเป็นได้ว่าบางเดือนคุณจะได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ เช่น ถ้าได้รับเงินเป็นรายสัปดาห์ จะมี 4 เดือนที่ได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ หรือถ้าได้รับเงินเป็นราย 2 สัปดาห์ จะมี 3 เดือนที่คุณได้เงินเดือน 3 ครั้ง ครั้งที่เกินมาให้นำไปเข้าบัญชีเงินออม (ทันที)

17. เก็บเงินเบิกรายการต่างๆ ส่วนที่เกินจากรายจ่ายจริงเข้าบัญชีเงินออม ค่าเดินทางหรือรายจ่ายอื่นที่เบิกบริษัทได้ ควรเก็บส่วนเกินจากรายจ่ายจริงไว้ หรือคุณอาจได้ค่าล่วงเวลา ควรเก็บเงินส่วนนี้มาออมเช่นกัน เช่น ได้ค่าล่วงเวลาเดือนละ 2,000 บาท ถึงสิ้นปีจะมีเงินก้อน 2.4 หมื่นบาท สามารถนำมาใช้จ่ายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปถอนเงินออมหลัก

18. ยืมมาออม บางคนประสบความสำเร็จในการกู้เงินธนาคาร แล้วนำกลับไปฝากในบัญชีเงินออมของตนเองอีกทีหนึ่ง วิธีนี้ใช้ได้ผลกับคนที่กำลังมีค่าหักลดหย่อน (เช่น กู้ซื้อบ้าน) และใช้ได้กับช่วงเวลาที่ดอกฝากมากกว่าดอกกู้ (หลังภาษี) เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง

19. นำเงินปันผลและดอกเบี้ยไปต่อเงินโดยอัตโนมัติ เมื่อลงทุนหรือฝากเงินในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด จัดการให้เงินปันผลหรือดอกเบี้ยสามารถนำฝากหรือลงทุนต่อได้อัตโนมัติ ในระยะยาวจะเห็นผลน่าพอใจ

20. ทิ้งเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวันให้น้อยที่สุด มีคนจำนวนมากทิ้งเงินไว้ในกระแสรายวัน (เพราะปลอดดอกเบี้ย) แต่หารู้ไม่ว่ากำลังพลาดโอกาสในการทำเงิน ที่ควรก็คือมีเงินในกระแสรายวันให้พอกับรายจ่ายรายเดือน หากเงินเหลือให้โอนไปยังบัญชีเงินฝากที่มีดอกเบี้ยหรือโอนไปลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินที่มีดอกเบี้ยดีสุดในเวลานั้น

21. ใช้ประโยชน์จาก Float ความหมายของ Float คือระยะช่วงที่ผู้ถือเช็คได้รับเช็คไปจนกระทั่งถึงตอนที่ได้รับเงินสั่งจ่ายตามเช็ค กล่าวคือช่วงที่ยังไม่ได้ถูกตัดบัญชีก็ควรแช่เงินไว้ในบัญชีเงินฝากให้นานเท่าที่จะนานได้ ก่อนจะโอนไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเพื่อตัดจ่ายเช็ค

22. จ่ายหนี้ให้หมด คุณอยากได้ผลตอบแทน 17-21% หรือเปล่า? อย่ามีหนี้บัตรเครดิตสิ เคลียร์หนี้บัตรให้หมด รู้มั้ยว่าถ้ายอดหนี้อยู่ที่ 2.4 หมื่นบาท ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งปีอยู่ที่ 4,000-5,200 บาท รีบเคลียร์หนี้ให้หมด ผลตอบแทนที่คุณจะได้คือไม่ต้องเสียดอกเบี้ยก้อนนี้ การปลอดหนี้บัตรจึงเป็นวิธีออมเงินก้อนใหญ่ แต่ถ้าจำเป็นต้องมีหนี้ (จริงๆ) หาบัตรที่ดอกถูกสุดมาใช้

เมื่อรู้ดังนี้แล้ว นักออมทั้งหลาย คงไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น มาเริ่มต้นด้วยการวางแผนคร่าวๆ ถึงวิธีและขั้นตอนปฏิบัติ บันทึกรายการสิ่งที่ต้องทำ จากนั้นให้ลงมือทันที เน้นนะคะว่าคิดแล้วจงลงมือทำทันที ไม่งั้นเดี๋ยวไม่บรรลุจุดหมาย ไม่รู้ด้วยล่ะ

25 ส.ค. 2552

การลดกรรม 45 อย่าง


นอนท่าไหน? (ท่าที่ 11 ฮามาก )‏

นอนหงาย:

1. กางแขนกางขา: ช่างรักอิสระเสรี อะไรขนาดนั้น ท่านอนบ่งบอก ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างแรง รักความสะดวกสบาย รักสวยรักงาม จับจ่ายใช้สอย สุรุ่ยสุร่าย แต่ก็หาเงินเก่งพอๆ กัน ที่แย่หน่อยคือ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และสนุกกับ การตั้งสโมสร ซะด้วยซิ..

2. นอนเอาขาไขว้กันแบบไขว่ห้าง: ท่านว่า คนที่นอนท่านี้ ไม่ค่อยกล้ายอมรับ ความเปลี่ยนแปลงใดได้ง่ายๆ แถมยังชอบ หมกมุ่นอยู่กับ เรื่องของตนเอง รักที่จะอยู่คนเดียว ข้อดีก็คือ ช่างมีน้ำอดน้ำทน กับเรื่องรอบๆ ตัวได้ดีจริงๆ

3. นอนเอามือไพล่ประสานกัน รองศรีษะ: เขาว่า คนนอนท่านี้เป็นนิจ เป็นคนฉลาด ปราดเปรื่อง ปัญญาเฉียบแหลม ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ไม่รู้จบ บางครั้ง ก็มีความคิด แปลก แหวกแนว ที่ชาวบ้านตามไม่ทัน เป็นคนน่ารัก ที่ให้ความสนใจครอบครัว อยู่เสมอ.. แต่มันสำคัญที่ว่า... ช่างเป็นคนที่ รักคนยาก ซะเหลือเกิน... ช่างเลือกเกินไปหรือเปล่า ?

นอนคว่ำ:

4. นอนคว่ำ: ถ้านอนท่านี้ ได้ทั้งคืน ก็ให้รีบสำรวจได้แล้วว่า เป็นคน ใจคอคับแคบ หรือเปล่า มักจะเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ และต้องการให้ ใครต่อใคร ทำตามความต้องการของตัวเองอยู่เสมอๆ แถมยังเป็น คนสับเพร่า จับจดเสียด้วยนะ........รีบเปลี่ยนท่านอนซะเถอะ

นอนตะแคง:

5. นอนตะแคง: ท่านี้ เป็นท่านอนของคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็มักจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ด้วยความอุตสาหะ มานะ พยายาม อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านว่า คนที่ชอบ นอนตะแคงขวา เหยียดแขนขวา ไปเหนือศรีษะละก็... อำนาจ วาสนา ดีนักแล... ?

6. นอนตะแคงงอขาขึ้นข้างหนึ่ง: ไม่ดีละมั้ง... ท่านว่า ขี้ระแวง สงสัยอยู่ไม่สร่าง โดยไร้เหตุผล จู้จี้ขี้บ่นไม่รู้เวลา นอกจากจะขาด ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว อาจจะพาลเป็น โรคประสาทได้ง่ายๆ... ทั้งตัวเอง และคนข้างเคียงน่ะแหล่ะ!

7. นอนงอตัว: นี่ก็อีกคน... น่าจะเป็น คนขี้อิจฉาตาร้อน กลัวใครเขา จะได้ดีไปกว่าตนซะหมด พูดง่ายๆ ก็คือ ค่อนข้างจะเป็น คนเห็นแก่ตัวอย่างแรง แถมยัง เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบพยาบาทรุนแรงด้วยนะ... ระวังหน่อย!

8. นอนทับแขนตัวเอง: คนนี้ตรงกันข้ามกับ คนนอนงอตัว ท่าที่ 7 เลย... ช่างสุภาพอ่อนโยน! จริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก อะไรจะปานนั้น... แต่ดูเหมือน จะมีกรรมมาบัง เพราะเขาจะเป็นคนที่ ขาดความมั่นใจในตนเอง และขาดความอบอุ่นในชีวิต.. น่าสงสารนะ

ท่าพิสดาร:

9. นอนคุดคู้: เป็นคนขี้เหงาอย่างแรง ซึมเศร้าง่าย เพราะไปฝังใจกับเรื่องเศร้าๆ เรืองผิดหวัง หรือสูญเสียในอดีต เป็นคนขี้ระแวง และมีความลังเล ไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกว่า ขาดความรักความอบอุ่น.. เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม

ท่าพิสดาร:

10. นอนคลุมโปง: เชื่อไหมว่า ภายนอก เขาคนนี้อาจจะดูผึ่งผาย น่าเชื่อถือมาก แต่ลึกลงไปแล้ว เขาขี้อาย จิตใจอ่อนแอ... เขาชอบมีความลับ และเก็บความลับเก่งด้วยนะ มีอะไร ก็จะแอบเก็บไว้ในใจ แล้วเก็บเอาไปกังวล วุ่นวายใจ วนเวียนอยู่กับปัญหานั้น คนเดียว ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที... ไม่รู้ว่า นอนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ด้วยรึเปล่า ?

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:

11. นอนเอามือจับอวัยวะเพศของตัวเอง: คนนี้มาแปลก... ท่านว่า จะชอบหมกมุ่น อยู่ใน กามารมณ์ มีความต้องการทางเพศสูง ใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว รักใครหลงใครละก็ เป็นได้หัวปักหัวปำ แบบกู่ไม่กลับ ทั้งๆ ที่เป็น คนมีสติปัญญา เฉลียวฉลาด อยู่หรอกนะ !


พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:

12. นอนละเมอ: จะซีเรียสอะไรกันได้ขนาดนั้น ก็ไม่รู้.. เขาเป็นคนคิดมาก ยังฝังจิตฝังใจกับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยอมลีม... สังเกตดีๆ จะเห็นว่า เขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง และจะคล้อยตามคนอื่นอยู่เสมอ... ถ้าเขาละเมอบ่อยมาก และรุนแรงขึ้นละก็ น่าจะเตือน ให้เขาปรึกษาแพทย์ หรือผู้รู้ซะได้แล้ว

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:

13. นอนกัดฟัน: นี่ก็คนเก็บกด... โบราณว่า เป็นคนอาภัพ ซึ่งเขาอาจจะ คิดไปเอง ก็เลยอมทุกข์ เก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ หน้าฉากอาจจะดูรื่นเริง แต่แอบไปนอนกัดฟันกรอดๆ ทุกคืน... ปล่อยวางซะบ้างเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:

14. นอนอ้าปาก: ชวนเขา ไปตรวจสุขภาพร่างกายบ้างเถอะ เพราะ โบราณท่านว่า คนนอนท่านี้ มักจะมีโรคภัยเบียดเบียน ให้สุขภาพไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะพาลอายุไม่ยืนซะเปล่าๆ

พรสวรรค์พิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ:

15. นอนลืมตา ถ้าไม่ได้เป็นผลมาจาก ทำตา 2 ชั้น ละก็ ท่านให้ระวัง จะถูกใส่ร้าย ใส่ความ หรืออาจจะ เกิดอุบัติเหตุได้ เตือนๆ ให้ระมัดระวัง รอบคอบ อย่าประมาท ก็แล้วกันนะ

ปู่เย็น สอน‏