26 ก.พ. 2555

5 วิธีจับโกหก


เพื่อนสัญญาว่าจะส่งของขวัญมาให้ แต่คุณไม่เคยได้ เพื่อนบ้านชมว่าชอบรั้วใหม่ของคุณมากทั้งที่ทนดูแทบไม่ได้ พนักงานขายบอกว่าลดราคาทั้งร้านแต่กลายเป็นว่ามีของไม่กี่ชิ้นที่ราคาถูก คำโกหกเล็กๆน้อยๆแบบไม่เจตนา (ทุกรูปแบบ) เหล่านี้ผ่านหูเราอยู่ทุกวัน และการจะหาความจริงก็ช่างเสียเวลา น่ารำคาญใจ และบางทีก็ชวนให้โมโห
"
คำโกหกมักเกิดขึ้นระหว่างเพื่อน ครูกับนักเรียน หมอกับคนไข้ สามีกับภรรยา พยานและลูกขุน ทนายกับลูกความ" พอล เอ็กแมน ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว เขาศึกษาเรื่องการโกหกหลอกลวงมากว่าสี่ทศวรรษและเขียนหนังสือหลายเล่มในเรื่องนี้ "การโกหกเป็นลักษณะโดดเด่นของชีวิต และถ้าเราเข้าใจมันดีขึ้นก็จะช่วยในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เกือบทุกเรื่อง"
การที่เราสามารถจับโกหกได้เมื่อมีคนพูดโกหกกับเราทั้งคำโกหกที่ไม่มีพิษภัยและโกหกคำโตที่ก่อเรื่องได้นั้นสำคัญมากโดยเฉพาะในธุรกิจ เพราะนั่นอาจหมายถึงข้อตกลงที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ มาลองพัฒนาทักษะที่จะแยกระหว่างเจตนาดีกับการหลอกลวงด้วยเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ
!!
1.ฟังให้ดี!!
เคยสังเกตหรือไม่ว่าระดับเสียงของบางคนเปลี่ยนไปจากปกติ เคยได้ยินเสียงแตกปร่าทั้งที่คนคนนั้นไม่ใช่คนเสียงแตกไหม ควรใส่ใจกับเสียงที่เปลี่ยนไปเพราะอาจบ่งบอกถึงการหลอกลวง
ผลพิสูจน์ระบุชัดเมื่อพอล เอ็กแมนและมอรีน โอซุลลิแวน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโกทดสอบคน 509 คน ทั้งจากหน่วยราชการลับ, ซีไอเอ, เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ, นักจิตเวช และนักศึกษาเรื่องความสามารถในการจับโกหก โดยให้ผู้ทดสอบทั้งหมดดูวิดีโอที่มีคนสิบคนทั้งคนที่โกหกและคนที่พูดความจริง
ในวิดีโอ หญิงผู้หนึ่งบรรยายความสวยของดอกไม้ที่เธอมองอยู่ แม้จะยิ้มขณะพูด แต่บางคนสังเกตว่าเธอพูดจาไม่เต็มเสียง คำพูดขาดความสดใส และมือดูจะเกร็งไม่ผ่อนคลาย หน่วยราชการลับคนหนึ่งบอกว่าเธอโกหกแน่นอน เขาพูดถูก (ส่วนใหญ่หน่วยราชการลับมักจับคนโกหกได้ถึง 86% พวกเขาเก่งกว่าใครในเรื่องนี้)
ถึงกระนั้น พฤติกรรมอื่นๆก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย เสียงที่เปลี่ยนไปมักบ่งบอกว่าโกหก "ความเร็วในการพูดเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าไป รวมทั้งการหายใจที่เปลี่ยนไป" โอซุลลิแวนกล่าว
2. ดูคำที่ใช้
แล้วถ้าเป็นข้อเขียนล่ะ เราจะจับโกหกในจดหมาย เอกสาร หรืออีเมล์ได้หรือไม่ ที่มหาวิทยาลัยเทกซัส ศาสตราจารย์เจมส์ เพนนีเบเคอร์และเพื่อนร่วมงานพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ชื่อ Linguistic Inquiry and Word Count (LIWC) ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ข้อเขียนและคำพูดว่าโกหกหรือไม่ เพนนีเบเคอร์บอกว่าการพูดโกหกจะบอกได้จากสองสิ่งที่สำคัญ
อย่างแรกคือ นักโป้ปดจะใช้คำสรรพนามของบุรุษที่หนึ่ง เช่น ฉัน, ของฉัน น้อยกว่าคนที่พูดความจริง เหมือนพยายามสร้างระยะห่างระหว่างพวกเขากับเรื่องราวที่แต่งขึ้น เหมือนไม่ได้เป็นเจ้าของเรื่องนั้นๆ เช่น "เอกสารส่งไปเมื่อวานนี้" ซึ่งตรงข้ามกับคำพูดตรงๆบ่งบอกว่าเป็นเรื่องของตัวเองอย่าง "ฉันส่งเอกสารไปเมื่อวานนี้" อย่างที่สองคือ นักโกหกจะไม่ค่อยใช้คำแยกประโยค อย่างคำว่า แต่, ไม่ว่า, นอกเสียจาก, ถึงแม้ว่า เพราะพวกนี้จะมีปัญหากับการคิดซับซ้อนโดยคำที่ใช้นั้นก็ฟ้องอยู่แล้ว
3.อย่ามองแค่ตา
เรามักจะคิดว่าตาหลุกหลิกคือสัญญาณที่รู้กันดีว่าโกหก แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือ เหตุการณ์ตอนนั้นด้วย (นักเล่นโป๊กเกอร์ถึงระวังไม่ให้ตา "แบไต๋" จนเกินไป)
"ถ้าคนคนนั้นมองไปทางอื่นขณะครุ่นคิดเรื่องหนักๆอยู่ไม่ถือว่ามีพิรุธ" โอซุลลิแวนกล่าว "แต่ถ้าเขาเฉไฉมองไปทางอื่นขณะตอบคำถามที่น่าจะง่าย นี่สิน่าสงสัย"
หัวข้อที่โกหกก็เป็นประเด็นสำคัญ "ถ้าคนโกหกเรื่องที่อับอาย ยากที่เขาจะมองตาเราได้" โอซุลลิแวนกล่าว " แต่สำหรับคำโกหกที่ไม่มีพิษภัย ไม่มีอะไรต้องอายในการโกหก คนเราก็จะจ้องตาได้นานขึ้น"
4. สังเกตดูภาษากายโดยรวม
อวัยวะเพียงส่วนเดียวของร่างกาย อย่างเช่น ตา จมูก หู หรือมือ ไม่ได้บอกเราทั้งหมด เมื่อพูดถึงการโกหก มันไม่ง่ายอย่างนั้น "ไม่มีจมูกแบบพิน็อกคิโอให้สังเกตหรอก" เอ็กแมนบอกอย่างหนักแน่น "จะจับโกหกให้แม่นยำ คุณต้องพิจารณาดูความกลมกลืนของสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง ตลอดจนคำพูด"
นั่นหมายถึงการสังเกตคนคนนั้น "โดยรวม" "และเราจะต้องตีความอาการพิรุธจากพฤติกรรมโดยปกติของคนคนนั้น" โอซุลลิแวนกล่าว "ความเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของมือที่เปลี่ยนไป หรือการใช้มือประกอบท่าทางมากขึ้น ท่ายักไหล่ที่ไปกันไม่ได้กับสิ่งที่พูด พวกนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามอง" เธอบอก รวมไปถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปในระหว่างการสนทนาด้วย
จับตาดู "สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม" เธอชี้ "อย่างเช่นคนเงียบๆที่อยู่ๆก็พูดมาก คนที่ปกติเคยพูดมากกลับเงียบ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาโกหกเสมอไป แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาประเมิน"
5. จับอารมณ์ที่ "เล็ดลอด" ออกมา
หลายครั้งที่สีหน้าเพียงแวบเดียวสามารถบอกได้มากมายว่า เขารู้สึกอย่างไรหรือกำลังคิดอะไร ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เขาพยายามสร้างภาพ แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเพียงชั่วแวบนี้ ซึ่งบางทีก็เกิดขึ้นแค่เสี้ยววินาที ไม่ง่ายนักที่จะจับได้ แม้แต่มืออาชีพที่ฝึกศาสตร์ในการจับโกหกอย่างตำรวจ ผู้พิพากษา หรือทนายก็มองไม่ทันอยู่บ่อยๆ และคนที่จงใจโกหกก็มักจะกลบเกลื่อนเช่นใช้รอยยิ้มเพื่ออำพราง
แต่ก็ยังมีช่องโหว่ "ไม่สำคัญว่าเขาจะยิ้มบ่อยแค่ไหน แต่ประเภทของยิ้มต่างหากที่สำคัญ" เอ็กแมนแนะ "ยิ้มที่มาจากความสุข ใจที่แท้จริงไม่ใช่ยิ้มแค่ปาก แต่กล้ามเนื้อรอบๆดวงตาต้องยิ้มไปด้วย ผิดกับยิ้มแบบใส่หน้ากากที่ต้องการปกปิดความกลัวความโกรธ ความเศร้า หรือความเกลียด ถ้าช่างสังเกต คุณจะเห็นร่องรอยอารมณ์เหล่านี้เล็ดลอดออกมา"
หวังว่าคราวหน้าถ้ามีใครโป้ปดกับคุณ คุณ จะรู้วิธีจับโกหกได้

29 เคล็ดลับทางการเงิน



ปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินยังคงถกเถียงกันว่า อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น แล้วเราจะรอดพ้นจากภาวะนี้ได้อย่างไร และขณะที่ยังไม่ได้ข้อสรุป คุณคงอยากรู้วิธีเพิ่มพูนเงินทองจะได้ไม่ต้องหวั่นไหวไปกับตลาดหลักทรัพย์ที่วูบวาบขึ้นลง ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายน้อยลง ลดหนี้ ใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีให้เต็มที่ และสะสมไว้ใช้ยามเกษียณ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมุ่งเน้นในสิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้ เพราะก้าวเล็กๆสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เสมอ
ภาษี
1. หักลดหย่อนให้เต็มที่ พวกเราบางคนอาจยังไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กรมสรรพากรให้มาอย่างเพียงพอ ตัวอย่างเช่น หลายคนอาจยังไม่ได้ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่สามารถนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงถึงร้อยละ 15 ของเงินได้ และไม่เกิน 500,000 บาทต่อกองทุน หรือซื้อประกันชีวิตที่สามารถนำเบี้ยประกันไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 100,000 บาท หากฐานเงินได้ของคุณอยู่ที่อัตราภาษีร้อยละ 37 คุณจะสามารถประหยัดภาษีได้ถึง 407,000 บาท เมื่อซึ้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและกองทุนหุ้นระยะยาวอย่างละ 500,000 บาท และจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 100,000 บาท
2. ให้ลูกมีเงินได้และยื่นภาษีในชื่อลูก ปัจจุบัน กรมสรรพากรให้สิทธิการหักค่าลดหย่อนบุตรได้สามคน เพียงคนละ 17,000 บาท (กรณีที่บุตรยังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในประเทศ) หากฐานภาษีของคุณอยู่ที่ร้อยละ 37 คุณจะประหยัดภาษีจากการหักลดหย่อนบุตรได้เพียง 6,290 บาท แต่หากบุตรของคุณมีเงินได้ เงินได้ 150,000 บาทแรกที่เขาได้รับไม่ต้องเสียภาษี และสามารถหักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้อีก 30,000 บาท รวมแล้วรายได้ของเขา 180,000 บาทไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะประหยัดภาษีกว่ามาก
3. อย่าขอภาษีคืน ทุกครั้งที่คุณขอภาษีคืนจากกรมสรรพากร ขอให้คุณระลึกได้เลยว่า คุณได้ให้กรมสรรพากรยืมเงินใช้โดยไม่เสียดอกเบี้ยแล้ว ตัวอย่างเช่นในปี 2552 นี้ คุณสามารถขอคืนภาษีได้ 100,000 บาท เงินก้อนนี้เป็นสิทธิของคุณ และหากคุณได้ภาษีคืนในเดือนมิถุนายน เท่ากับคุณเสียประโยชน์จากการนำเงินของคุณดังกล่าวไปแสวงหาดอกผลถึงหกเดือน หรือเท่ากับคุณให้กรมสรรพากรยืมเงินใช้โดยไม่เสียดอกเบี้ยนั่นเอง สิ่งที่คุณควรทำคือการเสียภาษี ณ ที่จ่ายให้ต่ำที่สุด เช่น หากคุณมีการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและกองทุนหุ้นระยะยาว หรือซื้อประกันชีวิต คุณควรแจ้งฝ่ายบัญชีขององค์กรที่คุณทำงานอยู่ เพื่อจะได้ปรับลดภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินเดือนตามการลดหย่อนของคุณ ทำให้คุณไม่ต้องไปขอภาษีคืนในปีถัดไป
4. เลือกการลงทุนที่ได้รับประโยชน์ทางภาษี หากฝากเงินในธนาคาร คุณต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับร้อยละ 15 หากคุณลงทุนในกองทุนตราสารทางการเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการขายคืนกองทุนไม่ต้องเสียภาษี แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาความเสี่ยงของกองทุนที่คุณลงทุนว่าลงทุนในอะไร หากเป็นพันธบัตรรัฐบาลก็ปลอดภัย แต่หากเป็นหุ้นกู้เอกชนต้องดูเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนด้วย
บัญชีเงินฝาก
5. ตรวจสอบค่าธรรมเนียมธนาคาร ค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีของธนาคารที่คุณฝากอยู่ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน ทุกธนาคารจะมีการคิดค่าธรรมเนียมดังกล่าวสำหรับบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหวเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดหรือมียอดคงเหลือต่ำกว่าที่กำหนด ดังนั้น คุณควรระมัดระวังไม่ให้ผิดเงื่อนไข
6. ใช้ธนาคารบนอินเทอร์เน็ต คุณจะพบกับความสะดวกสบาย รวดเร็วและปลอดภัยจากการทำธุรกรรมธนาคารบนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน ชำระเงิน ตรวจสอบรายการ การลงทุน ฯลฯ และจากการที่ธนาคารพาณิชย์ต่างให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการทำธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ตดังกล่าว คุณจึงสามารถวางใจได้ในความปลอดภัยมากกว่าการทำธุรกรรมตามสาขาธนาคารที่อาจพบกับพวกมิจฉาชีพที่อาจเข้ามาทำร้ายโดยตรงหรือการลักลอบใช้เครื่องบันทึกไปติดไว้ที่ตู้แล้วปลอมบัตรเอทีเอ็มของคุณ
7. เก็บเงินของคุณไว้ในที่ปลอดภัย หากคุณต้องเก็บเงินสำรองเผื่อใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ตกงาน ฯลฯ คุณควรเก็บเงินสดในที่ๆปลอดภัย เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ (ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลค้ำประกันเต็มวงเงิน) หรือลงทุนในกองทุนตราสารทางการเงินที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ฯลฯ แต่ข้อเสียของการออมเงินแบบนี้คือผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำ หรืออาจเลือกการออมเงินในบัญชีเงินฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า และรัฐบาลค้ำประกันเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีกองทุนพันธบัตรรัฐบาลที่กำหนดอายุการลงทุนที่แน่นอน เช่น สามเดือน หกเดือน เก้าเดือน หรือหนึ่งปี ซึ่งนอกจากความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ผลตอบแทนที่ได้ยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
หนี้
8. ลดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการคืนบัตรเครดิตที่มีอยู่ แต่หมายถึงการรักษาวินัยในการใช้จ่ายผ่านบัตร จริงอยู่แม้การคืนบัตรเครดิตจะเป็นวิธีที่ได้ผลสำหรับการลดการใช้จ่ายผ่านบัตร แต่เป็นการลดเงินสำรองที่คุณสามารถนำมาใช้ได้ยามฉุกเฉินเช่นกัน และการลดจำนวนบัตรอาจมีผลต่อการประเมินเครดิตของคุณ เพราะธนาคารผู้ออกบัตรจะประเมินเครดิตคุณจากยอดการใช้จริงเทียบกับวงเงินที่ให้ หากคุณใช้จ่ายใกล้เคียงกับวงเงินที่ให้ แสดงว่าคุณมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง ดังนั้น หากคุณลดจำนวนบัตร โดยที่คุณไม่ลดการใช้จ่าย จะทำให้ยอดการใช้จ่ายต่อบัตรสูงขึ้น ซึ่งอาจมีผลต่อการประเมินเครดิตของคุณได้ สำหรับจำนวนบัตรเครดิตที่เหมาะสมคือประมาณ 2�3 ใบต่อคน
9. ชำระหนี้ให้ตรงเวลา การชำระหนี้ช้ากว่ากำหนด นอกจากค่าปรับและดอกเบี้ยที่ต้องเสีย
เพิ่ม ประวัติการผิดนัดชำระหนี้ของคุณจะปรากฏอยู่ในบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งจะทำให้คุณมีปัญหาในการกู้เงินครั้งต่อไป หรืออาจต้องเสียดอกเบี้ยที่แพงขึ้น คุณอาจใช้การหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติสำหรับการชำระหนี้รายการสำคัญ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถฯลฯ เพื่อสร้างวินัยในการชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับความไว้วางใจจากเจ้าหนี้มากยิ่งขึ้น
10. ชำระหนี้เพิ่มในแต่ละเดือน การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนปี 2550 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ครัวเรือนไทยมีค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค (ภาษี ดอกเบี้ย ฯลฯ) ร้อยละ 12.2 ของรายจ่ายทั้งหมด หากคุณเพิ่มการชำระหนี้ให้มากขึ้นในแต่ละปี จะช่วยลดภาระหนี้ให้เร็วขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละห้า หากคุณชำระเพิ่มขึ้นร้อยละสิบต่องวด คุณจะสามารถลดเวลาที่เป็นหนี้ได้ถึงร้อยละ 12.59
11. ให้เงินออมทำงานแทนคุณ หลายคนที่แม้เป็นหนี้อยู่ ก็ยังรู้สึกสบายใจที่ออมเงินในเงินฝากธนาคารแม้ดอกเบี้ยต่ำมากเหลือแค่ร้อยละ 0.75 ถึง 2.5 ขณะดอกเบี้ยเงินกู้ยังอยู่ในระดับสูงร้อยละ 6.75 ถึง 9 ผลตอบแทนของเงินฝากที่ต่ำเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้คุณมีภาระในการหารายได้เพิ่มขึ้น แต่หากถอนเงินฝากเพื่อไปลดภาระหนี้ก็น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้เช่นกัน หรือมองอีกด้าน เหมือนคุณเพิ่มผลตอบแทนเงินออมของคุณตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั่นเอง ผู้เชี่ยวชาญการเงินให้คำแนะนำที่น่าสนใจไว้ว่า หากคุณต้องการลดภาระหนี้ ขณะเดียวกันต้องการมีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินด้วย ควรแบ่งร้อยละห้าของรายได้มาชำระหนี้ และอีกร้อยละห้าเก็บเข้าบัญชีออมทรัพย์
12. ผ่อนบ้านให้เร็วขึ้น แม้กรมสรรพากรจะให้สิทธิประโยชน์สำหรับการนำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาทในแต่ละปี แต่อย่างไรก็ตาม คุณยังมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่เช่นเดิม การผ่อนชำระเพียงจำนวนน้อยๆในแต่ละงวด นอกจากอาจจะทำให้คุณไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ (ดอกเบี้ยจ่ายไม่ถึง 100,000 บาท) คุณยังต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากคุณกู้เงินซื้อบ้านหนึ่งล้านบาทที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.75 ต่อปี กำหนดผ่อนทุกเดือนเป็นเวลาสิบปี คุณจะต้องผ่อนเดือนละ 11,300 บาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน 1.356 ล้านบาท (เท่ากับคุณจ่ายดอกเบี้ย 356,000 บาท) หากคุณผ่อนเร็วขึ้นเป็นห้าปี คุณจะต้องผ่อนเดือนละ 17,500 บาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน 1.05 ล้านบาท (เท่ากับคุณจ่ายดอกเบี้ยเพียง 50,000 บาท) จะเห็นได้ว่ายิ่งผ่อนเร็วเท่าไหร่ ภาระดอกเบี้ยก็น้อยลงเท่านั้น และที่สำคัญคือ คุณสามารถใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการนำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านนำมาลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มที่ด้วย
13. ลดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่ไม่จำเป็น แม้ปัจจุบัน บัตรเครดิตบางสถาบันการเงินจะยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี แต่หลายแห่งยังคิดค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรเครดิตโดยพ่วงมากับค่าใช้จ่ายต่างๆของเรา (แม้คุณจะเป็นลูกค้าที่ดีมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ และไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เลยก็ตาม) ซึ่งหากไม่ตรวจสอบรายการในใบแจ้งหนี้ คุณจะไม่ทราบว่าถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้เรียบร้อยแล้ว หากคุณถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว ก็ไม่ต้องรีรอที่จะโทรฯไปแจ้งกับบริษัทผู้ออกบัตรเพื่อขอยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว และหากไม่ได้รับยกเว้นก็ยกเลิกบัตรเครดิตนั้นได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ออกบัตรจะยกเว้นให้เสมอ เพราะทุกแห่งต่างต้องการรักษาลูกค้าที่ดีไว้
14. เจรจากับเจ้าหนี้โดยเร็ว หากมีปัญหาในการชำระหนี้ เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ไม่ต้องการยึดหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือฟ้องร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้สิน เพราะเสียทั้งเวลา และเงิน ดังนั้น เจ้าหนี้ต้องการลูกค้าที่มีความรับผิดชอบและซื่อสัตย์ เมื่อมีปัญหาให้มาปรึกษากัน ซึ่งเจ้าหนี้จะสามารถช่วยหาทางออกให้แก่ลูกหนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นการยืดอายุหนี้ หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
ประกัน
15. หาข้อมูลก่อนซื้อประกันรถยนต์ ด้วยเทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ต ทำให้เราสามารถหาข้อมูลของประกันรูปแบบต่างๆจากบรรดาบริษัทประกันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว และเพียงใช้เวลาในการโทรศัพท์ไม่กี่นาที คุณก็สามารถต่อรองค่าเบี้ยประกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อได้อัตราเบี้ยประกันที่คุณพอใจค่อยลองปรึกษากับผู้แทนประกันที่คุณใช้บริการอยู่ว่าจะสามารถเสนอบริการที่ราคาเดียวกันได้หรือไม่ วิธีดังกล่าวจะช่วยให้คุณประหยัดค่าประกันได้มาก
16. ซื้อประกันสุขภาพแบบกลุ่มร่วมกับบริษัท หลายบริษัทมักมีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในให้แก่พนักงานโดยการทำประกันสุขภาพแบบกลุ่มให้ ขณะเดียวกัน หลายบริษัทยังขยายสิทธินี้ให้แก่ครอบครัวของพนักงานด้วย โดยครอบครัวของพนักงานสามารถเข้าร่วมประกันสุขภาพแบบกลุ่มนี้ได้ในอัตราพิเศษซึ่งเบี้ยประกันต่ำกว่าไปซื้อเองและไม่ต้องตรวจสุขภาพ หากองค์กรที่คุณทำงานอยู่ให้สิทธินี้และคุณมีปัญหาด้านสุขภาพ คุณควรเข้าร่วมประกันกลุ่ม หากคุณมีสุขภาพดี อาจประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่เข้าร่วมในปีนั้นๆได้ แต่ไม่แนะนำให้ประมาท
17. ซื้อประกันภัยการไร้ความสามารถในการหารายได้ คือการประกันภัยที่จ่ายเงินชดเชย (เป็นรายเดือนหรือเงินก้อน) ให้แก่ผู้เอาประกันภัยที่ไม่สามารถทำงานใดๆได้ เนื่องจากการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ทั้งนี้ การประกันภัยการไร้ความสามารถในการหารายได้นั้นเป็นกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมจากกรมธรรม์ประกันชีวิตและกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุซึ่งเป็นกรมธรรม์หลัก ประกันแบบนี้จะเป็นประโยชน์เมื่อคุณไม่สามารถทำงานได้เป็นระยะเวลานาน คุณควรมีประกันชนิดนี้เพื่อรับเงินชดเชยกรณีดังกล่าวประมาณร้อยละ 60 ถึง 70 ของรายได้ในแต่ละเดือน เบี้ยประกันประเภทนี้อาจสูง แต่หากสามารถชำระได้ก็เป็นประกันที่คุณควรพิจารณา
18. ซื้อประกันสุขภาพแต่เนิ่นๆ ค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายคนที่อายุเริ่มเข้าสู่วัย 40 มองหาประกันสุขภาพที่มีอายุกรมธรรม์ยาวๆ จุดมุ่งหมายคือ จะได้เสียเบี้ยต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อตอนอายุมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ประกันชีวิตที่เน้นประกันสุขภาพของบริษัทแห่งหนึ่งอาจคิดเบี้ยประกันสำหรับผู้ที่อายุ 45 ปีที่ 10,754 บาท แต่สำหรับผู้ที่อายุ 55 ปี ต้องชำระเบี้ยประกันที่ 15,367 บาท และบริษัทประกันอาจไม่รับประกันอีกต่างหากถ้าเรามีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว
19. ซื้อประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพ เพื่อคุ้มครองการบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน โดยบริษัทประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเท่ากับจำนวนเงินเอาประกัน และหากเป็นการทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวรและได้ระบุค่าสินไหมทดแทนเท่ากับจำนวนเงินเอาประกันแล้ว จะได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระเบี้ยประกันตามกรมธรรม์ประกันชีวิตหลักอีกต่อไป
20. คิดให้ดีก่อนซื้อประกันชีวิต หากคุณไม่มีบุคคลที่อยู่ในความดูแลหรือรับผิดชอบ เช่น ลูก ภรรยา บิดา มารดา ฯลฯ การซื้อประกันชีวิตอาจไม่จำเป็น และการซื้อประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาอาจเป็นทางเลือกที่ดีเพราะค่าเบี้ยประกันถูก โดยคุณกำหนดช่วงเวลาประกันเพื่อคุ้มครองเฉพาะช่วงเวลาที่ลูกคุณจำเป็นต้องพึ่งพารายได้จากคุณเท่านั้นก็พอ ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่แม้จะให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเมื่อครบอายุกรมธรรม์ เนื่องจากเบี้ยประกันของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์สูงกว่าแบบกำหนดระยะเวลามาก อีกทางเลือกหนึ่งคือการแบ่งเงินมาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ให้โอกาสของผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่า โดยคุณสามารถเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองได้
21.เขียนพินัยกรรม แม้การตายจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึง แต่เพื่อความไม่ประมาท คุณก็ควรเตรียมเรื่องพินัยกรรมไว้ให้ดี เพื่อทรัพย์สินของคุณจะได้เป็นของผู้รับมรดกที่คุณตั้งใจ โดยพินัยกรรมแบบธรรมดาต้องทำเป็นหนังสือ โดยจะเขียนหรือพิมพ์ก็ได้ ต้องลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำเพื่อพิสูจน์ความสามารถของผู้ทำ และผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคนพร้อมกัน และพยานอย่างน้อยสองคนนั้นต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมในขณะนั้น
เกษียณอายุ
22. สะสมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการออมที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในองค์กรที่ มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อเป็นสวัสดิการแก่พนักงาน เพราะนอกจากคุณจะได้รับประโยชน์ทางภาษี คือเงินที่คุณสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในแต่ละปีสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีและยกเว้นภาษีเงินได้ตามที่จ่ายเงินสะสมจริงได้สูงถึงร้อยละ 15 ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน และผลประโยชน์ที่ได้รับจากกองทุนก็ไม่ต้องเสียภาษี อีกทั้งคุณยังจะได้รับเงินสมทบจากนายจ้างในจำนวนที่เท่ากันหรือมากกว่าเงินสะสมของคุณด้วย แล้วแต่จะกำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน เท่ากับคุณได้รับผลตอบแทนทันทีโดยไม่มีความเสี่ยงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่าจากเงินสมทบของนายจ้างนั่นเอง
23. ออมเพื่อเกษียณอายุก่อนออมเพื่อการศึกษาของลูก ฟังดูอาจจะแปลกๆสำหรับผู้ที่มีลูกทั้งหลายที่เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตคือการศึกษาที่ดีของลูก แต่ที่แนะนำเช่นนี้เนื่องจากการออมเพื่อวัยเกษียณโดยการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้และผลตอบแทน ที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี ทำให้ความมั่งคั่งของคุณเพิ่มได้รวดเร็วกว่า เมื่อเทียบกับการออมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาจริงๆในไทยซึ่งยังไม่มีรูปแบบที่เฉพาะ และไม่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่เพื่ออนาคตที่ดีของลูกอาจพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกใช้เครื่องมือการลงทุนอื่นที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีความคาดหวังประมาณผลตอบแทนที่พอเพียง อาทิ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว โดยอาจเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบระมัดระวังที่มีการลงทุนในเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการออมเพื่อการศึกษาของลูก
24. ออมเงินในกองทุนประกันสังคม กองทุนประกันสังคมเป็นการออมบังคับภาคเอกชนอีกรูปแบบหนึ่งที่ให้ประโยชน์ทางภาษี และคุณยังได้เงินสมทบทั้งจากนายจ้างและรัฐบาลอีกด้วย นอกจากนี้ เมื่อประสบปัญหาไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ว่างงาน เกษียณอายุ ฯลฯ คุณก็จะได้รับประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ ดังนั้น จึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องรักษาสถานะสมาชิกกองทุนประกันสังคมไว้อย่างต่อเนื่องพร้อมปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด
25. อย่าซื้อหุ้นขององค์กรที่คุณทำงานอยู่ เพราะเป็นการพึ่งพิงความมั่นคงของตนเองกับบริษัทมากเกินไป ควรกระจายความเสี่ยงออกไป เพราะว่าไม่เพียงรายได้ของคุณจะขึ้นอยู่กับความมั่นคงของบริษัทเท่านั้น เงินออม/เงินลงทุนของคุณยังขึ้นกับความมั่นคงของบริษัทเช่นกัน ดังนั้น หากมีปัญหาเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณทำงานอยู่ เช่น กรณีของบริษัทเลห์แมน บราเทอร์สหรือแบร์ สเทิร์นส์ที่ต่างเคยเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก แต่เมื่อธุรกิจประสบปัญหา พนักงานหลายคนกลายเป็นคนตกงาน ขณะที่เงินออมของพนักงานบางคนที่อยู่ในรูปของหุ้นของบริษัทก็ไร้ค่าไปทันทีเช่นกัน
26. หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นโดยตรง เพราะการลงทุนในหุ้นที่ดี คุณจะต้องมีความรู้ ข้อมูลด้านการวิเคราะห์และลงทุนที่ดี ทางเลือกอื่นที่ดีกว่าคือการลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวม เพราะนอกจากเงินของคุณจะได้รับการบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ มีข้อมูลแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วย แต่ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนหุ้น ควรเป็นการลงทุนระยะยาวและคุณสามารถรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้เช่นกัน
27. ลงทุนในกองทุนดัชนี กองทุนดัชนีคือ กองทุนที่มีการกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นฐานในการคำนวณดัชนีในสัดส่วนที่สอดคล้องกับดัชนีที่อ้างอิง เช่น กองทุนทีเด็กซ์ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่อ้างอิงดัชนีเซ็ต 50 ข้อดีของกองทุนประเภทนี้คือ มีค่าใช้จ่ายต่ำและมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่ดี โดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากมาลงทุน หากคุณคาดหวังประมาณผลตอบแทนจากการลงทุนที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี กองทุนดัชนีก็เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองทุนดัชนีก็ควรเป็นเงินเย็นและสามารถลงทุนได้ระยะยาว
28. ซื้อหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนจากสถาบันการเงินที่คุณเชื่อถือได้ ปัจจุบัน คุณสามารถซื้อกองทุนรวมได้จากสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือบริษัทประกันชีวิต เนื่องจากการลงทุนมีผลต่อความมั่นคงทางการเงินของคุณในอนาคต คุณจึงควรเลือกซื้อกองทุนรวมจากสถาบันการเงินหรือบุคคลที่น่าเชื่อถือเท่านั้น โดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถในการให้คำแนะนำ จรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ การบริการที่ดีและสม่ำเสมอ ฯลฯ เพื่อที่คุณจะได้วางใจได้ว่าเงินของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดี
29. สร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับคุณ พอร์ตการลงทุนคือ สัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่งหากเป็นการลงทุนระยะยาว (มากกว่าสิบปี) พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมคือหุ้นร้อยละ 50 (ตามทฤษฎีการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนในหุ้นจะส่งผลต่อมูลค่าเพิ่มของเงินลงทุนและสามารถชนะเงินเฟ้อได้) ตราสารหนี้ระยะยาวร้อยละ 30 เงินสดหรือหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเหมือนเงินสด เช่น เงินฝากออมทรัพย์ กองทุนตลาดเงิน ฯลฯ ร้อยละ 20 แต่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นปัจจุบัน การจัดสัดส่วนการลงทุนและน้ำหนักการลงทุนในตราสารประเภทต่างๆที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลากหลายของแต่ละบุคคล ทั้งด้านส่วนตัว อาทิ อายุ อาชีพ อายุการทำงานที่เหลือ หรือ ระยะเวลาที่ลงทุน ภาระค่าใช้จ่าย ข้อจำกัดต่างๆ รวมทั้งด้านการเงินการลงทุน อาทิ จำนวน เงินลงทุน และวัตถุประสงค์การลงทุน ประมาณอัตราผลตอบแทนรวมที่คาดหวัง ระดับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ สภาพคล่องของเงินลงทุนที่คุณต้องการ ระยะเวลาลงทุน ภาระภาษี ข้อจำกัดและเงื่อนไขการลงทุน ทั้งนี้ โดยทั่วไป หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้ แต่ก็มีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น หากเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่มีฐานะการเงินที่ไม่ดี แม้จะให้ดอกเบี้ยที่สูง ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในหุ้นที่ดีๆหลายบริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ดี อนึ่ง ภาระภาษีก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม กล่าวคือ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผลของหุ้นเรือกองทุนรวมเพียงร้อยละสิบ ขณะที่ภาระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของเงินฝากหรือตราสารหนี้สูงกว่าอยู่ที่ร้อยละ 15
และคำแนะนำส่งท้ายแต่สำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามก็คือ จงดูแลสุขภาพ กินอาหารที่ดี ออกกำลังสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพทั้งกายและใจที่ดี เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจไม่ว่าจะครั้งนี้หรือครั้งไหนๆ

10 คำถามที่ยากที่สุด เมื่อสัมภาษณ์งาน



คุณต้องค้นหาคำตอบอย่างหนักเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ภูมิหลังของบริษัท หน้าที่รับผิดชอบของงาน จุดอ่อน/จุดแข็ง รวมถึงเป้าหมายในการทำงานของคุณ

#10: ทำไมคุณถึงสนใจสมัครตำแหน่งนี้ ในบริษัทนี้ 
คำตอบที่ใช้ไม่ได้: "เพราะว่าผมต้องการเงินและ/หรือประสบการณ์" เพราะนี้จะหมายความว่าคุณจะใช้บริษัทนี้เป็นเหมือนสถานีผ่านทางไปสู่สิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่ต้องจดจำ: ทุกบริษัทต้องการพนักงานที่ทำงานในบริษัทเป็นระยะเวลายาวนาน
คำตอบที่ดี: ก่อนอื่นต้องตรวจสอบตัวคุณเองก่อนว่าคุณค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและงานที่คุณสมัครเป็นอย่างดี อธิบายว่าคุณเหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัครอย่างไร รวมถึงโอกาสของงานนี้จะช่วยคุณพัฒนาทักษะและความสามารถได้อย่างไร พูดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ (หรือกิจกรรมที่ทำเมื่อเรียน) ที่คุณรักและมีความเชี่ยวชาญ

"(บริษัท ก) เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในเรื่อง (จุดแข็งของบริษัท) ผมต้องการทำงานกับบริษัทที่มีการทำงานแบบนี้ (งาน) นี้จะช่วยพัฒนาทักษะของผมในส่วน (ความสามารถและความสามารถพิเศษอื่นๆ)"
#9: คุณลาออกจากตำแหน่งงานปัจจุบันด้วยสาเหตุใด และคุณประทับใจอะไรกับบริษัทล่าสุดที่คุณทำงาน 
ห้ามพูดถึงเจ้านายคนเก่าของคุณในทางที่ไม่ดี การยุ่งในสิ่งที่ไม่ถูกเรื่องและการลอบกัดจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวคุณเอง ทำให้ภาพของคุณดูไม่ดี ในทางกลับกัน ให้เน้นถึงสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากบริษัทก่อนหน้านี้ ให้เน้นว่าเพราะว่าคุณมองหาความท้าทายที่มากขึ้น และถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวคุณเองแล้ว

#8: สิ่งที่คุณคาดหวังจากตำแหน่งงานนี้ 
ให้คุณเข้าใจถึงหน้าที่รับผิดชอบของงานก่อน เข้าใจถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้น แล้วตอบว่าคุณต้องการเรียนรู้ความรับผิดชอบเหล่านี้และอยากจะเผชิญหน้ากับความกดดันทั้งหลายที่มี

#7: ในห้าปีข้างหน้า คุณมองภาพตัวคุณเองว่าเป็นอย่างไร 
สำหรับผู้จัดการหลายราย คำถามนี้เป็นคำถามที่ท้าทายอย่างมากว่าคุณจะตอบให้ตัวเองได้เกิดหรือตายไปเลย! โปรดตรวจสอบว่าคุณเห็นความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่ดี ก่อนที่จะเข้าสัมภาษณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณมีเป้าหมายที่คุณกำหนดไว้

#6: คุณคิดว่าคุณจะช่วยหน่วยงานนี้ได้ดีที่สุดที่จุดไหน 
ให้คุณคิดให้ดีว่าคุณมีความเก่งในเรื่องใด จำไว้ว่าการอบรมและประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคุณจะช่วยคุณได้ โดยคิดว่าจะนำประสบการณ์เหล่านั้นมาช่วยคุณให้มากที่สุดได้อย่างไร และนำไปใช้ให้ตรงกับความต้องการของบริษัท และกับงานที่คุณสมัครด้วย

#5: คุณจัดการกับคำวิจารณ์อย่างไร ทั้งจากเจ้านาย หรือจากเพื่อนร่วมงาน 
จงยอมรับว่าคำวิจารณ์ล้วนทำให้เจ็บปวด แต่ก็เป็นครูที่ดีด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างที่ผ่านมาซึ่งคุณได้รับคำวิจารณ์ในทางลบ และแม้ว่าคุณจะเจ็บปวดกับคำวิจารณ์เหล่านั้น แต่คุณก็เผชิญหน้ากับมัน และนำคำวิจารณ์เหล่านั้นมาปรับปรุงตัวคุณเอง

#4: คุณจัดการกับความกดดันอย่างไร 
ขอให้พูดตามตรง: ไม่มีใครเป็นคนวิเศษเลิศเลอ ข้อแรก ให้อธิบายประเภทของความกดดันที่คุณคุ้นเคยและสามารถจัดการกับมันได้โดยง่าย (เช่น กำหนดเวลาในการทำงาน) จากนั้นยอมรับว่าแรงกดดันประเภทนี้ทำให้คุณจัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ (เช่น คิดงานไม่ออกเพราะบรรยากาศในการทำงานไม่เอื้ออำนวย) แต่ให้พูดปิดประเด็นในแง่บวก โดยยกตัวอย่างวิธีการปรับปรุงจุดอ่อนเหล่านั้นของคุณ

#3: คุณคิดว่าคุณจะปรับปรุงตัวคุณเองได้อย่างไร
ทั้งในแง่ของทักษะความสามารถ หรือ ในด้านอุปนิสัย

คำถามนี้แยกย่อยมาจากข้อ #2. ผู้สัมภาษณ์ต้องการความซื่อสัตย์ ไม่ใช่การโกหกพกลม มองตัวคุณเอง ดูว่าสิ่งไหนที่คุณต้องการปรับปรุง เป็นเรื่องทักษะด้านการสื่อสาร ความรอบรู้ หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม ให้คุณยอมรับในเรื่องจุดอ่อนของตัวคุณเอง และพูดปิดประเด็นว่าคุณกำลังปรับปรุงตัวคุณเองให้ดีขึ้น (เข้าอบรมเพิ่มเติมในโรงเรียน การสมัครเป็นสมาชิกชมรถทั่วๆ ไป เป็นต้น)

#2: สิ่งที่คุณสามารถทุ่มเทให้กับบริษัท ที่ผู้อื่นไม่สามารถทำได้ 
คำถามนี้เปิดโอกาสให้คุณแสดงคุณสมบัติเด่นของคุณเอง ในการสัมภาษณ์งาน คุณต้องขายตัวคุณเอง นำประสบการณ์ ความสามารถ และอุปนิสัยของคุณมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้คุณ เป็นคนที่บริษัทต้องการ คิดย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาที่ไม่มีใครจะนึกถึง หรือเมื่อคุณมีไอเดียอันบรรเจิดซึ่งทำให้ทุกคนหลงใหลได้ปลื้มมาแล้ว

#1: คำถามที่นิยมถามมากที่สุด คือ ทำไมบริษัทเราจึงต้องจ้างคุณ 
คำตอบที่ถูกต้องหนึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้ คือ
"ผมจะช่วยให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น"

ตอบคำถาม 9 ข้อแรกให้ดี และคุณจะไม่ต้องลำบากเมื่อถึงคำถามในข้อนี้ เพราะคุณได้พิสูจน์คุณค่าของตัวคุณเองไว้ใน 9 ข้อแรกแล้ว!!


ทายนิสัยจากการเขียนตัวหนังสือ



เดี๋ยวนี้การเขียนหนังสือมีความสำคัญน้อยลง เพราะเราอยู่ในโลกยุคไอที ชีวิตผูกพันกับคอมพิวเตอร์มากกว่า แต่วันนี้คุณจะอยากกลับไปเขียนหนังสือขึ้นมาทันใด เพราะตัวหนังสือสามารถบอกได้ว่าคุณเป็นคนแบบไหน

เขียนตัวหนังสือผอม 
สำหรับคนที่เขียนตัวหนังสือที่มีลักษณะผอมสูงจนสามารถแลเห็นได้อย่างชัดเจนนั้น อุปนิสัยนั้นมักจะเป็นคนที่มีความอ่อนไหว จิตใจจะเปราะบางมาก ชอบชีวิตที่เรียบง่ายสบาย ๆ ที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก และค่อนข้างจะเป็นคนที่เก็บตัวอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ค่อยสนใจหรือเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องคนอื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ออกจะขี้อายไม่มีความมั่นใจในตัวเองนัก ทั้งยังถือสาในคำพูดของคนอื่นที่มีต่อตนเอง คนรอบข้างจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตสูง

เขียนตัวหนังสือบาง 
คนที่เขียนตัวหนังสือบางนั้น มีความแตกต่างจากตัวหนังสือแบบผอมสูง เพราะตัวหนังสือบาง หมายถึงเส้นที่เขียนจะเบา ไม่มีความหนักแน่นชัดเจน ส่วนอุปนิสัยของคนที่มีลายมือแบบนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนที่ช่างคิดจนออกไปทางการเป็นคนคิดมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะมีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ติดจะขี้อายพอสมควรทีเดียว ให้พูดหรือแสดงออกท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก มักจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่จะชอบทำในสิ่งที่คุ้นเคยอยู่เสมอ ๆ


เขียนหนังสือตัวหนัก 
สำหรับข้อนี้หมายถึงตัวหนังสือที่เวลาเขียนผู้เขียนจะกดเส้นลงหนักมาก ส่งผลให้ตัวหนังสือมีความชัดเจนเป็นอย่างดี ส่วนอุปนิสัยของคนที่มีลายมือลักษณะนี้ จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน จึงไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นมากนักแต่จะเป็นคนที่สามารถวางแผนและ จัดการทุกเรื่องอย่างเป็นระบบระเบียบเสมอ มักมีเป้าหมายในชีวิตและค่อนข้างจะคาดหวังในชีวิตมาก ชอบการเป็นคนโดดเด่นและมีความสำคัญ

เขียนตัวหนังสือโต ตัวหนังสือตัวโต 
หมายถึงตัวหนังสือที่มีขนาดใหญ่แต่จะมีขนาดของตัวอักษรที่สมดุลย์พอดีกันอย่างสม่ำเสมอทุกตัว สำหรับอุปนิสัยของคนที่มีลายมือเช่นนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจไมตรี สามารถเข้าได้กับคนทุกระดับ ชอบการมีคนรักใคร่ชอบพอมาก ๆและมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์อันคับขันเพราะจะเป็นคนที่มีความหนักแน่นเยือกเย็นอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความรอบคอบ ถี่ถ้วนและไม่ชอบให้เกิดสิ่งที่ผิดพลาดกับตัวเองอีกด้วย

เขียนตัวหนังสืออ้วน 
คนที่เขียนตัวหนังสืออกมาทางอ้วนหมายถึงตัวหนังสือที่มีขนาดความกว้างมากกว่าความยาวนั่นเอง ส่วนอุปนิสัยนั้นบ่งบอกถึงการเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ กับใครทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นคนใจอ่อน ใจดีชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อคนนั้นคนนี้อยู่เสมอจนบางทีตัวเองถึงกับเดือดร้อนอยู่บ่อย ๆ และเมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องใดสักเรื่องจะมีความลังเลใจสูงทำให้คนที่ไม่ชอบรับผิดชอบเรื่องใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้การตัดสินใจแบบเด็ดขาดแต่มักได้รับความเอ็นดูจากคนใกล้ชิดเสมอ

เขียนตัวหนังสือหวัด 
สำหรับคนที่ลายมือหวัดเขียนตัวหนังสือติดพันกันแทบทุกตัว บ่งบอกถึงอุปนิสัยของการเป็นนักคิด นักวางแผนที่ดีแต่ถ้าให้ลงือปฏิบัติเองมักไค่อยประสบผลสำเร็จนอกจากนี้ยังเป็นคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมาก และมองการณ์ไกลทั้งยังมีอุดมการณ์ที่สูงส่ง แต่มักเป็นคนที่ไม่ชอบเปิดเผยตัวเองนัก ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว และหมกมุ่นทำในสิ่งที่ชื่นชอบครั้งละนาน ๆ ในบางครั้งจะเป็นคนที่ใจร้อนกับเรื่องที่คนอื่นไม่ค่อยคาดคิดหรือคิดไม่ถึง

ตัวหนังสือโย้เย้ 
คนที่เขียนตัวหนังสือเดี๋ยวตัวโตเดี๋ยวตัวเล็กไม่มีความสม่ำเสมอกันเลยนั้น บอกถึงนิสัยของการเป็นเด็กไร้เดียงสา และไม่ค่อยคิดอะไรที่ซับซ้อนนัก และยังชอบตามใจตัวเอง โดยไม่ค่อยคำนึงถึงจิตใจคนอื่นสักเท่าไร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ใจกว้าง เปิดเผย ยอมรับความคิดของคนได้ง่าย แต่มักจะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ไม่เอาจริงเอาจัง หรือลึกซึ้งกับสิ่งใดมากนัก โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่สิ่งที่ตนชอบหรือสนใจและยังไม่ใช่คนที่มีเหตุผลอะไรเลย

เขียนหนังสือเป็นระเบียบ 
คนที่เขียนหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เท่ากันทุกวรรค ทุกตอนบ่งบอกถึงนิสัยที่เป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงาน และเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็นแม้ว่าจะมีความแตกต่างจากคนอื่น โดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับตน ทั้งยังเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง และไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ จะมีความอดทนได้ยาวนานจนน่าประหลาดใจกับสิ่งที่ตนมุ่งมั่น นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความมั่นคงในจิตใจสูงมาก จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายมากนัก

เขียนตัวหนังสือเฉียงขึ้น 
คนที่เขียนหนังสือโดยตัวหนังสือจะค่อย ๆ เฉียงขึ้นทุกทีนั้น บ่งบอกถึงการเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นในชีวิตสูงมาก และมีความอดทนพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะค่อย ๆ ไต่เต้านำพาชีวิตของตนให้ไปสู่จุดสูงสุดที่มั่นคงปลอดภัยและเหนือกว่าคนอื่นทั้งยังเป็นที่ให้ค่ากับเรื่องของวัตถุค่อนข้างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่ยื่นอยู่บนความเป็นจริงของชีวิต ไม่มีความซับซ้อนอะไรมากนัก สิ่งใดถูกก็คือถูกและผิดก็คือผิด และจะเชื่อมั่นในความคิดเช่นนี้โดยไม่สนใจรายละเอียดใด ๆ

เขียนตัวหนังสือเฉียงลง 
ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือในลักษณะที่ทะแยงลงจากระดับของบรรทัดนั้นมักเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้หรือในปัจจุบันมากกว่าที่จะคิดคำนึงไปถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ชอบใช้ชีวิตแบบง่าย ๆ ไม่มีระเบียบแบบแผนอะไรมากนัก ทั้งยังไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยานอะไรเลย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ชื่นชมชีวิต มีความสุขได้จากทุกสิ่งรอบตัว และมีน้ำใจเข้ากับผู้คนได้ทุกระดับ และยังชอบหยิบยื่นมิตรภาพแก่ทุกคน

เขียนตัวหนังสือเป็นเหลี่ยม 
ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือมีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมอย่างชัดเจนนั้นบ่งบอกถึงนิสัยที่เชื่อมั่นในความคิดของตนอย่างรุนแรง จนออกไปทางคนที่แข็งกระด้าง และไม่ยอมรับความคิดของใครโดยง่ายนอกจากนี้ยังเป็นคนที่เอาจริงเอาจังเคร่งเครียดไปเสียแทบทุกเรื่องทั้งยังเป็นคนเจ้าระเบียบมองโลกแต่ในแง่ร้าย ทำให้หวาดระแวงคนง่ายไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตเท่าที่ควร

เขียนตัวหนังสือมน 
ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือออกมาทางมน ๆ กลม ๆ นั้นบ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ชอบแสวงหาความรื่นรมย์ให้ชีวิต ทั้งยังเป็นคนใจดี ใจอ่อน ชอบการรับใช้บริการ และตามอกตามใจคนรอบข้าง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ปรับตัวเก่ง สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เร็ว ทั้งยังเป็นคนที่มีความอิสระในตัวเองสูง ไม่ชอบการโดนจำกัดให้อยู่ในกรอบความคิดใดความคิดหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถยอมรับความคิดของคนได้โดยง่าย

เขียนตัวหนังสือเล่นหาง 
สำหรับคนที่เขียนตัวหนังสือที่ลักษณะตวัดมีหางมาก ๆ นั้น บ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นคนช่างฝัน และโรแมนติค ชอบในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จนดูเหมือนคนเจ้าชู้ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่อารมณ์ปรวนแปรรวดเร็ว มีความต้องการในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียงสูง ชอบชีวิตที่มีสีสันหวือหวาให้ตื่นเต้นเร้าใจอยู่เสมอ ชอบการพบปะกับผู้คน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีแต่เป็นที่ไม่ระเบียบแบบแผนในชีวิตเท่าที่ควร 

ภาษาลาววันละหลายๆคำ

บทความนี่ เพื่อความสนุกในคำศัพท์ หาได้มีเจตนากับการดูถูกชนชาติลาวแต่อย่างใด

ร้านขายของ (ไทย) = ร้านขายประเวณี (ลาว)

กระดาษทิชชู่ (ไทย) = ผ้าอนามัย (ลาว)

ถุงยางอนามัย (ไทย) = เสื้อกันฝนตัวน้อย (ลาว)

ถุงยาง (ไทย) = ถุงพลาสติก (ลาว) เที่ยวลาวจงจำให้ขึ้นใจ เจอคนค้าประเวณี น้อง-พี่อย่าเรียกหา "ถุงพลาสติค" (ฮา)

ถุงเท้า (ไทย) = ลองเท้า (ลาว)

รองเท้า (ไทย) = เกิบ (ลาว)

รองเท้าฟุตบอล (ไทย) หรือ สตั๊ด (อังกฤษ) = เกิบมีตุ่ม (ลาว) เช่น ข้อยบ่ย่าน แม้ว่านักเตะไทย จะใส่เกิบมีตุ่มลงแข่ง (ฮา)
ยังมีคำอื่นๆ น่ารักอีกมากมาย อาทิ

โทรทัศน์ (ไทย) = โทละพาบ (ลาว)

จรวด (ไทย) =ลูกศรไฟ (ลาว)

ว่ายน้ำ (ไทย) = ลอยน้ำ (ลาว) (เออจริงของเค้าถ้า "จม" คงว่ายไม่ได้ (ฮา))


ประทับใจ (ไทย) = ออนซอน (ลาว)

การรายงานและรับรายงาน (ไทย) = ส่องแสง (ลาว)

ฉัน (ไทย) = ข้อย (ลาว) (ฉะนั้นคำว่า อย่าทำข้อย หมายถึงว่า อย่าทำ (ร้าย) ฉัน ไม่ใช่ให้ทำแรงๆ (ฮา)
ทำ (ไทย) = เฮ็ด (ลาว)

ช่วย (ไทย) = ซอยเหลือ (ลาว)

พูดคุยหรือการสนทนา (ไทย) = โอ้โลม (ลาว)

ไม่กลัว (ไทย) = บ่ย่าน (ลาว)

วันนี้ (ไทย) = มื่อนี้ (ลาว)

กี่โมงแล้ว (ไทย) = จั๊กโมงแล้ว (ลาว)

พริก (ไทย) = หมากเผ็ด (ลาว)

ผลไม้ (ไทย) = หมากไม้ (ลาว)

น้อยหน่า (ไทย) = หมากเขียบ (ลาว)

ข้าวต้ม (ไทย) = ข้าวเปียก (ลาว)

ฉันรักเธอ (ไทย) = ข้อยฮักเจ้า (ลาว)

สนุกสนาน (ไทย) = ม่วนซื่น (ลาว)

ผงซักฟอก (ไทย) = สบู่ฝุ่น (ลาว)

รักมาก (ไทย) = ฮักแฮง เช่น หนังไทย รักจริงๆ ให้ดิ้นตาย ถอดความเป็นภาษาฝั่งโน้นได้ว่า ฮักคักๆ ชักแหงกๆ (ฮา)
ทั้งระบบ (ไทย) = ทั้งพวง (ลาว)

ล้าง (ไทย) = มาง (ลาว)

ไดโนเสาร์ (ไทย) = กะปอมหลวง (ลาว) ภาพยนตร์ที่เคยโด่งดัง เมื่อหลายปีก่อน "จูราสสิค พาร์ค" พวกบักน่อย เรียก "กะปอมหลวงมางโลก" (ฮา)

...คนไทยคนลาว ใช่คนอื่นไกล ก็พี่น้องกันนั่นเอง
นี้เป็นชื่อภาพยนตร์นะครับ

ท=คำไทย ล=คำลาว จ้า
ท : Superman ล : บักอึดถลาลม

ท : Face Off ล : หน้าข้อยอยู่ปู๊น หน้าเปิ้นอยู่นี่

ท : Speed ล : เบรกบ่อยู่

ท : สองสิงห์ชิงบัลลังก์ ล : สองสิงห์ชิงตั่งนั่ง

ท : รักจริงๆ ให้ดิ้นตาย ล : ฮักคักคัก ชักแงกแงก

ท : โลกทั้งใบให้นายคนเดียว ล : โลกโม้ดม้วยให้โต๋ผู้ เดียว

ท : หนูน้อย พเนจร ล :**น้อย ตุหรั่ดตุเหร่

ท. ไททานิค ล: ชู้รักเรือ ล่ม

ท. ศรราม ออกอัลบั้ม อย่างนี้ต้องตีก้น ล: ศ่อนฮาม ออกแผงอย่างนี่ต้องตีดากกกกก

ท. ห้องผ่าตัด ล. ห้องปาด

ท.จู ราสสิคปาร์ค ล.กะปอมพยศ

ท.เชือด เชือด นิ่ม นิ่ม ล.ปาด ปาด เนิบ เนิบ

ท.หลอด ฟลูออเรสเซนต์ ล. ข้าวหลามแจ้ง

ท. รถไฟ ล.ห้องแถว ไหล 

● คัมภีร์จีนว่าไว้ ●


คัมภีร์จีน..ว่าไว้
การวางเฉยเป็นมารยาทที่ดี แต่มากนักมักเป็นคนลับลมคมใน

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ผู้ที่สามารถควบคุมความโกรธไว้ได้ เป็นผู้มีปัญญายอดเยี่ยม

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
การทำงานอย่าเอาแต่ทิฐิของตน ต้องเข้าใจเหตุผลของงาน

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
อารมณ์โกรธเข้าประตูหน้า สติปัญญาก็โผออกประตูหลัง

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
เมื่ออยากจะรู้ความในใจเขา ต้องฟังเขาพูด

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ถอยสักก้าว ทะเลดูกว้าง ท้องฟ้าสดใส

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
คบหากันเพราะรูปโฉม ความงามร่วงโรย ความรักก็สลาย

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ผู้ให้ไม่หวังผล ผู้รับไม่ควรลืม

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ใคร่ครวญต้องช้า ๆ ลงมือทำต้องรวดเร็ว

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ยามรุ่งเรืองไม่ประมาท ยามตกยากต้องอดทน

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
คุณธรรมความดีไม่ได้อยู่ที่ลิ้น หากเก็บไว้ในใจ

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
คนรักของเพื่อน อย่าได้รังแกล่วงเกิน

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ปัจจุบันละเลยเรื่องเล็กน้อย ภายหน้าเสียใจอย่างใหญ่หลวง

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
หญิงขี้เกียจกับเตียงที่อบอุ่น ย่อมแยกจากกันยาก

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
การกล่าววาจากระทบผู้อื่น เหมือนคมมีดกรีดหัวใจ

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ผู้มีความเพียรอย่างแรงกล้า เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
มารยาทดีงามต่อคน เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ภายใต้ฟ้าไม่มีสิ่งใดมาก สำหรับผู้มีใจพากเพียร

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
คุณความดีคือเว้นจากการทำบาป และยังไม่คิดจะทำบาปอีกด้วย

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
กิจกรรมทั้งมวล ความซื่อสัตย์สำคัญที่สุด

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ความมัธยัสถ์เป็นหนทางแห่งความร่ำรวยที่ยิ่งใหญ่

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ไม่มีสิ่งใดไม่ประสบความสำเร็จ หากมีความขยันอดทน

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ขอให้ทุกคนจงสดับ อย่าได้ไม่รู้จักประมาณตน

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
รายได้น้อย รายจ่ายมาก ยังให้ทุกข์ได้ทั้งชีวิต

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ความโกรธทำให้ตนเองรับทุกข์ทรมาน

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
คนโง่เท่านั้นมักอวดตนเป็นคนฉลาด

คัมภีร์จีน..ว่าไว้
ความรู้ทำให้รู้จักถ่อมตน ไร้ความรู้ทำให้จองหองอวดดี




10 เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้คอมฯ





อันดับ10 : Optical เม้าส์เสีย

เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อย สำหรับผู้ใช้งาน Optical เม้าส์ ซึ่งเป็นเม้าส์ที่ใช้แสงเลเซอร์ในการตรวจสอบการใช้งาน สาเหตุที่ทำให้การทำงานมีปัญหา หรือใช้เม้าส์ไม่คล่อง นั่นคือ การใช้แผ่นรองเม้าส์ที่มีลายการ์ตูน หรือมีลวดลายมากเกินขึ้น ทำให้แสงเลเซอร์ที่ใช้ในการตรวจสอบผิดพลาด ทางแก้ไขก็คือ ให้เลิกการใช้งานแผ่นลองเม้าส์ไปเลย

อันดับ9 : Format ฮาร์ดดิสก์ ทำให้เครื่องเสียเร็ว

โดยปกติแล้ว การ Format ฮาร์ดดิสก์ เป็นการจัดเรียงข้อมูลใหม่ แน่นอนช่วงการ Format ฮาร์ดดิสก์ย่อมทำงานหนัก แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนัก (และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีใครทำบ่อยๆ) ดังนั้น การจะ Format ฮาร์ดดิสก์ เพื่อติดตั้ง Windows ใหม่ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และรับรองว่า หลัง Format แล้ว คอมพิวเตอร์ของคุณ จะทำงานได้เร็วขึ้น เมื่อซื้อเครื่องคอมฯ ใหม่เลยทีเดียว









อันดับ8 : คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คราคาแพงกว่าตั้งโต๊ะ

ถ้าเป็นสมัยก่อน คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค จะมีราคาแพงกว่าคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ถึง 2-3 เท่าตัว แต่ปัจุจบัน ความนิยมในการใช้งานเปลี่ยนไป ความต้องการมีจำนวนมากขึ้น ทำให้มีผู้ผลิตจำนวนมาก เปลี่ยนมาผลิตคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คมากขึ้น ทำให้ราคาในปัจจุบันใกล้เคียงกันแล้ว สำหรับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คและตั้งโต๊ะ บางร่นอาจถูกกว่าด้วยซ้ำไป
อันดับ7 : ซื้อโปรแกรมแบบรวมมิตร ถูกกว่า

คุณทราบหรือไม่ว่า โปรแกรมแบบรวมมิตร ที่หนึ่งแผ่น มีหลากหลายโปรแกรม และราคาก็อยู่ในหลักแค่ร้อยบาท ส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมที่ผิดกฏหมาย








อันดับ6 : จู่ๆ เครื่องคอมฯ ก็ทำงานช้าปกติ สงสัยใกล้เสีย

หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่าเครื่องมีปัญหาจาก ฮาร์ดแวร์ ซึ่งความเป็นจริง อาจเป็นไปได้ แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจากไวรัส แทบทั้งสิ้น ไม่เชื่อลองรันตรวจสอบไวรัสจากโปรแกรม antivirus ในเครื่องคอมฯ ของคุณดู
อันดับ5 : เปิด-ปิด เครื่องคอมฯ ทำให้เครื่องพังเร็ว

ความเป็นจริงแล้ว การเปิด-ปิด เครื่องคอมพิวเตอร์ อาจมีส่วนทำให้คอมฯ มีปัญหาได้บ้าง ถ้าการเปิด-ปิด เกิดไฟช๊อตระหว่างขั้นตอนการเปิด-ปิด (วิธีที่ถูกต้องห้ามทำการเปิด-ปิดแบบทันที ควรเว้นระยะไว้สักครู่ก่อน เปิด-ปิด)








อันดับ4 : โปรแกรมแอนตี้ไวรัส (Antivirus) ติดตั้งแล้ว จะไม่ติดไวรัส

โปรแกรมนี้ไม่ฟรีแน่นอน แต่ต้องการของฟรี ก็มีให้เลือกมากมาย (ค้นหาได้จากเว็บไอที-ไกด์ ของเรา) และทีสำคัญหลังติดตั้งโปรแกรม Antivirus แล้ว หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่า เครื่องคอมฯ ของเราจะไม่ติดไวรัสแล้ว ซึ่งความเป็นจริง ยังต้องมีขั้นตอนการใช้งาน การอัปเดท และอื่นๆ อีกมาก อย่าเพิ่งเข้าใจผิดน่ะครับ
อันดับ3 : ติดตั้งโปรแกรมใหม่ๆ ทำให้เครื่องคอมฯ ทำงานเร็วขึ้น

ความคิดนี้โดยส่วนใหญ่ เป็นความคิดไม่ถูกต้อง เพราะโปรแกรมที่มีการพัฒนาใหม่ๆ (ส่วนใหญ่) โดยเฉพาะ Microsoft Windows / Office ต้องการคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ที่สูงขึ้นเสมอ ดังนั้น ถ้าติดตั้งในเครื่องคอมฯ สเปคเดิมๆ รับรอง ทำงานช้าลงแน่นอน






อันดับ2 : โปรแกรม Microsoft Office เป็นของฟรี

โปรแกรมนี้ก็เช่นเดียวกัน Microsoft Office เป็นโปรแกรมรวม ซึ่งประกอบด้วย Microsoft Word, Excel, PowerPoint และโปรแกรมอื่นๆ แล้วแต่รุ่นย่อยของ Microsoft Office โปรแกรมเหล่านี้ ไม่ใช่ของฟรี และราคาก็ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการ Windows (ถ้าต้องการของฟรี สามารถใช้โปรแกรมประเภท Office ที่เป็นฟรีแวร์ได้เช่นกัน)
อันดับ1 : ระบบปฏิบัติการ Windows เป็นของฟรี

หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่า เมื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว เราจะได้ระบบปฏิบัติการ Windows แถมมาด้วย ซึ่งความเป็นจริงแล้ว คอมพิวเตอร์ที่มีแบรนด์ดังๆ มักแถมมาให้ตอนซื้อเครื่องคอมฯ (แต่ลึกๆ แล้ว เขาได้บวกไปแล้วกับตัวเครื่อง) สำหรับราคาของระบบปฏิบัติการ Windows อยู่ในราคาหลายพันบาท







ของขวัญต้องห้ามวันวาเลนไทน์



ในช่วงวันวาเลนไทน์ปีนี้ คนที่กำลังอินเลิฟอาจกำลังจะเริ่มหาซื้อของขวัญให้คนรักกันใช่ไหมค่ะ แต่ก็มีสิ่งที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก ก็แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ ถือว่าเป็นไกด์ในการเลือกซื้อของขวัญให้คนรักกันดีกว่าค่ะ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลแห่งความรักอย่างนี้
           ของที่มิควรซื้อเด็ดขาด
      รองเท้า
         ข้อนี้เด็ดมาก ใครมีแฟนรีบเอาไปให้อ่านเลย เขาว่ากันว่าหากแฟนซื้อรองเท้าให้จะทำให้เลิกกัน เพราะรองเท้ามันต้องอยู่เป็นคู่ คนที่เป็นแฟนกันแต่ยังไม่ได้อยู่กันเป็นคู่ รองเท้าจึงเป็นอาถรรพ์ที่อาจจะทำให้เลิกกันได้ เรื่องนี้ขอบอกว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายคนนะ ที่แฟนซื้อรองเท้าให้ตอนคบกัน 4 – 5 เดือน หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ แฟนก็ขอเลิกเลย..

      เสื้อผ้าชุดดำ
          อันนี้น่ากลัวมากๆ เขาห้ามให้เสื้อผ้าชุดที่มีสีดำเป็นของขวัญโดยเด็ดขาด เพราะคนโบราณเขาถือ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าคลุม ผู้หลักผู้ใหญ่จะสอนอยู่เสมอว่า ถ้าเราให้ชุดดำใคร เราจะต้องได้ไปงานศพของคนนั้น….ถ้าไม่อยากเป็นม่ายตั้งแต่ยังไม่แต่งอย่าทำค่ะ

      นาฬิกา
          อันนี้มาแนวถือเคล็ดซะมากกว่า เพราะหลายคนเชื่อหนักหนาว่า หากแฟนซื้อนาฬิกาให้ จะทำให้ระยะเวลาที่คบกัน อาจจะต้องหยุดลงเมื่อนาฬิกาเรือนนั้นหยุดเดิน ไม่ว่าสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม…

      รูปถ่าย
         อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามให้เด็ดขาดนั้นก็คือ รูปถ่ายเดี่ยวๆ ของตัวเอง เพราะมันเปรียบเสมือนการให้รูปที่ระลึกไว้ดูต่างหน้าเวลาจากกัน อาถรรพ์นี้หลายคนเจอมาแล้ว หากใครไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หลีกเลี่ยงเด็ดขาด…

      ผ้าเช็ดหน้า
         ความหมายตรงตัวมากๆ ผ้าเช็ดหน้าส่วนใหญ่เขาไว้ใช้ทำอะไร คนรับของขวัญก็จะต้องใช้ทำอย่างนั้นหละ..ซึ่งได้ข่าวมาว่า ผ้าเช็ดหน้า ส่วนใหญ่จะใช้เช็ดน้ำตาซะด้วย..ดังนั้นใครไม่อยากที่จะต้องเสียน้ำตาต้องเลี่ยงให้ของขวัญเป็นผ้าเช็ดหน้านะค่ะ

      ของมีคม
          อันนี้คงไม่เชิงความเชื่อ เพราะมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้แน่นอน แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลาย พวกของมีคมอาวุธ ดาบ ของเล่น โมเดลต่างๆที่มีคม อย่านำเป็นของขวัญ เพราะจะทำให้ผู้รับได้รับอันตราย มีภัย โชคร้าย ไปด้วย..

      หวี
         ถ้าเรามอบหวีให้กับแฟน หรือเพื่อนคนไหน จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราและเขาต้องห่างกันเหมือนซี่ของหวีนั้นเอง..

      เข็มกลัด
         ภายนอกอาจจะดูสวย แต่ภายในแฝงไปด้วยความหมายที่น่าเจ็บปวด เพราะเชื่อว่าหากให้เข็มกลัดแก่ใครจะเป็นการทิ่มแทงใจ สร้างความเจ็บปวด ขัดแย้งให้กับผู้รับคนนั้น..

      เครื่องแก้วต่างๆ
          ของขวัญชิ้นนี้ หลายคนคงได้บ่อยซะด้วย จนถือเป็นของเชยไปแล้ว เพราะตามความเชื่อว่าถ้าเกิดเครื่องแก้วนั้นแตกขึ้นมา นั่นก็หมายถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นอันแตกหัก แตกสลายตามของอย่างแน่นอน


         สิ่งที่กล่าวมาเป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการการรับฟังนะคะ

6 สุดยอดเครื่องดื่มสลายหน้าท้อง


"น้ำ" ที่ทำให้หน้าท้องของเราแบนเรียบ ใช่ว่าจะต้องมีรสชาติไม่น่าอภิรมย์เสมอไป ลองกินน้ำเหล่านี้ดูแล้วคุณจะติดใจ!


      1. ชามินต์ใส่น้ำแข็ง
          รสเย็นของมิ้นต์จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก มิ้นต์ช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราย่อยสลายไขมัน แม้แต่ อาหารไขมันสูงอย่างเบอร์เกอร์ หรือสเต็กก็จะถูกย่อยอย่างรวดเร็ว และลดอาการท้องอืดได้ด้วย

      2. ชาเขียว
        นอกจากลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งและโรคหัวใจ ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสุดยอดตัวหนึ่งชื่อว่า "คาเตชิน" ซึ่งช่วยลด ไขมันบริเวณหน้าท้อง ถ้าคุณจิบชาเขียวก่อนออกกำลัง มันจะช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญในระหว่างออกกำลังกายด้วย

      3. น้ำเปล่าเสริมรส
         การทำให้ร่างกายชุ่มชื้นอยู่เสมอมีความสำคัญมาก หากคุณต้องการจะลดน้ำหนัก การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยรักษาสมดุลของ ของเหลวในร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำ (ที่เป็นสาเหตุให้ท้องอืดป่องขึ้นมา) และแถมยังช่วยให้คุณรู้สึกอิ่ม จึงทำให้กินน้อยลง แต่ถ้าคุณไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ลองใส่สมุนไพรสด มะนาว ผลไม้ (หรือแม้แต่แตงกวาฝานก็ช่วยได้) เพื่อช่วยให้คุณดื่มน้ำมากขึ้น

      4. เฟลปเป้สับปะรด          สับปะรดมีสารที่เรียกว่าโบรมีเลน ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น ช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้ การใส่น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ ซึ่งมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวไม่อิ่มตัวก็จะช่วยให้หน้าท้องแบนราบได้ด้วย

      5. สมูธตี้แตงโม
           ตราบใดที่คุณไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มในสมูธตี้ เครื่องดื่มชนิดนี้จะช่วยให้ร่างกายคุณชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสมูธตี้แตง โมที่มีแคลอรีต่ำเพียง 56 แคลอรีต่อแก้ว ไม่เพียงแต่แตงโมจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่มาก มันยังมีสารอาหารมากมายรวมถึงไล โคปีนที่ช่วยต้านมะเร็ง รวมถึงกรดอะมิโน ชื่อว่าอาร์จินีน ซึ่งการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Nutrition ชี้ว่ามันช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อเรียว จึงช่วยให้หน้าท้องของคุณแฟบลงหน่อยนั่นเอง

       6. ดาร์กช็อกโกแลตเชค
          ขัดกับความเชื่อที่ว่ากันว่า ช็อกโกแลตผสมกับนมจะนำมาซึ่งความอ้วน เพราะดาร์กช็อกโกแลตสามารถช่วยให้คุณผอมได้ โดยการลดความอยากอาหารอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่แก้วหนึ่งอาจมีถึง 400 แคลอรี คุณอาจจะต้องเตือนใจไว้ว่า ช็อกโกแลตเชคถือเป็นมื้ออาหารมากกว่าที่จะเป็นของว่างในวันที่คุณรีบ มันจึงเป็นอาหารเช้าที่ดีเชียวล่ะ!

ดวงวันเกิดเผยถึงเรื่องการงาน


คุณ ทราบหรือไม่ว่าจริงๆแล้ว ... ดวงการงานของแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กับวันเกิดของเราด้วย แล้วคุณหล่ะอยากรู้มั้ยว่าตัวเองเกิดวันอะไร และเหมาะกับงานแบบไหนกันนะ...

คนเกิดวันที่ 1 คนที่เกิดวันนี้จะเป็นคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชอบความท้าทายตลอดเวลา


สไตล์การทำงาน : เป็นที่ชอบคิดในสิ่งต่างๆ แปลกใหม่ตลอดเวลา สามารถแก้ไขปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี ด้วยเหตุผลที่ว่า "สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จะมีทางเป็นไปได้" ในการทำงาน คุณชอบเป็นคนวางแผนอนาคตไว้ด้วยตัวเอง
อาชีพที่เหมาะสม : คุณเหมาะกับอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ใช้ความคิดของตนเองในการนำเสนอออกมา อาจจะเป็น ดีไซน์เนอร์ ครีเอทีฟ หรือศิลปิน


คนเกิดวันที่ 2 เป็นคนที่มีความประนีประนอม มีเหตุผลในด้านความคิด


สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนรู้จักในการวางตัว และวาจาในการพูดคุยกับคนอื่นเป็นเยี่ยม แต่ลักษณะงานของคุณนั้นจะเป็นลักษณะที่ร่วมมือกับผู้อื่นมากกว่าที่จะทำคน เดียว
อาชีพที่เหมาะสม : ที่ปรึกษา นักสังคมสงเคราะห์ หรือเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านหนังสือ นักกฎหมาย สถาปนิก ผู้รับเหมาก่อสร้าง พยาบาล แพทย์


คนเกิดวันที่ 3 เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ และมีความเป็นตัวของตัวเองมาก จะไม่ค่อยสนใจและแคร์ใคร


สไตล์การทำงาน : ชอบทำงานประเภทพบปะกับผู้คนมากๆ เหมาะกับทำงานเป็นทีม คือ ในเรื่องติดต่อประสานงานกับบุคคลภายในและภายนอกองค์กร และคุณยังเป็นคนที่จุดประกายความคิดที่ดีเสมอ ทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณพอใจ
อาชีพที่เหมาะสม : งานประชาสัมพันธ์ งานบริการดูแลลูกค้า หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการประสานงาน เช่น งานออร์แกไนเซอร์ พนักงานต้อนรับโอเปอเรเตอร์


คนเกิดวันที่ 4 เป็นผู้ที่มีความฉลาด ไหวพริบ เบิกบาน ไม่ยอมใคร แต่ก็ไม่โกงใครด้วย เอาง่ายๆว่าเป็นคนที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา


สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนใจกว้างมากเลยทีเดียว ทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณหาคนมาช่วยเหลือคุณ อาจจะหาได้ไม่เหมาะสมก็ได้ ทำให้การทำงานของคุณต้องพึ่งตัวเองป็นส่วนใหญ่
อาชีพที่เหมาะสม : งานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โปรดิวเซอร์ ที่ปรึกษา ด้านการเงินทนายความ สถาปนิก ผู้รับเหมา วิศวกร ศิลปินแขนงต่าง ๆ


คนเกิดวันที่ 5 คุณเป็นคนที่ฝักใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ รักการค้นหาและศึกษา เป็นคนที่ช่างสังเกต สามารถเป็นผู้นำได้


สไตล์การทำงาน : เป็นคนที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เมื่อได้รับงาน ที่มอบหมายมาใหม่ แต่ถ้าคุณทำงานในแบบเดิมๆ คุณจะเบื่อหน่ายเร็ว และยังมีความสามารถในการสื่อสารที่ดีด้วย 
อาชีพที่เหมาะสม : วงการโทรทัศน์ หรืองานประชาสัมพันธ์ เช่น นักเขียน นักบรรยาย อาจารย์มหาวิทยาลัย นักการศึกษา นักโฆษณา

คนเกิดวันที่ 6 คุณเป็นคนคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่กล้าขัดใคร เป็นคนที่ชอบอยู่แวดวงสังคม


สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก ชีวิตของคุณจะก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น แต่เมื่อคุณได้ทำอะไรบ้างอย่าแล้วนั้น และเป็นสิ่งที่ตนเองถนัดคน ก็จะทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว และในทางกลับกันถ้างานไหนคนไม่ชอบคนก็จะไม่ฝืนที่จะทำมัน
อาชีพที่เหมาะสม : งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ อาชีพเพื่อสังคมงานบริการต่าง ๆ งานที่ต้องใช้อารมณ์และความสุนทรีภาพสูง ๆ


คนเกิดวันที่ 7 คุณเป็นคนที่ทะเยอทะยานเกินกว่าที่จะเป็น และยังเป็นคนที่ช่างแสวงหาอีกด้วย


สไตล์การทำงาน : เป็นคนมีหลักการมาก คิดใคร่ครวญไตร่ตรองรอบคอบมากๆ เป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว มีความเป็นส่วนตัวสูง ชอบความสันโดษ
อาชีพที่เหมาะสม : นักบำบัด นักเขียน นักกฎหมาย ช่างถ่ายรูป นักวิจัย นักวิเคราะห์ ครูบาอาจารย์


คนเกิดวันที่ 8 เป็นผู้นำประเภทที่ว่ากล้าได้กล้าเสีย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หากแพ้หรือมีข้อผิดพลาดจะขอแก้ตัวอยู่เสมอ


สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ทำงานได้ดี และไม่ชอบที่จะอยู่นิ่ง ๆ นาน ๆ มักจะย้ายๆไปโน้นไปนี่บ่อย ๆ เพื่อได้เป้าหมายที่ท้าทายกว่าเดิม คุณเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็ว จนคนรอบข้าง คุณปรับตัวไม่ทัน แต่คุณก็ดูมีความสุขกับการทำงานไม่เครียด และยังคงอยู่ในสภาพการทำงานได้นาน โดยไม่เหนื่อยกับงานมากเกินไป
อาชีพที่เหมาะสม : งานทางด้านการเงิน ฝ่ายติดต่อประสานงานต่าง ๆ ผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางศาสนา นักกฎหมาย นักบุญ และธุรกิจบันเทิง


คนเกิดวันที่ 9 คุณจะปราดเปรื่องเรื่องจิตวิทยา เพราะจะเข้าใจ ในคนใกล้ตัวด้วยการสังเกตการณ์


สไตล์การทำงาน : การประสบความสำเร็จของคุณไม่ค่อยได้เห็นเท่าไร แต่ว่าคุณจะมองเห็นอะไรต่างได้เด่นชัดกว่าผู้อื่น จึงทำให้คุณก้าวก่อนคนอื่นเสมอ แต่คุณยังเป็นคนที่ทำตามใจตัวเองอยู่
อาชีพที่เหมาะสม : ครูบาอาจารย์ นักปราชญ์ นักเขียน ช่างภาพ ศิลปิน นักบำบัด นักวางกลยุทธ์ นักแต่งหนังสือ นักขาย นักบริหาร


คนเกิดวันที่ 10 คุณเป็นคนที่ดิ้นรนด้วยตัวคุณเองจนสำเร็จได้ นับถือตัวเองมากกว่าใคร


สไตล์การทำงาน : มีความเชื่อมั่นสูง และศรัทธาในตัวเองอยู่ด้วย จึงทำให้คนรอบข้างของคุณอุ่นใจเมื่อมีคุนอยู่ใกล้ ๆ
อาชีพที่เหมาะสม : นักวิทยาศาสตร์ นักบิน นักการศึกษา นักสื่อสารมวลชน ศิลปิน เทรนเนอร์ นักสิ่งแวดล้อม


คนเกิดวันที่ 11 ผู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่งจะดิ้นรนเพราะไม่พอใจ กับสถานภาพที่เป็นอยู่ของตนเอง แต่เป็นนักคิดสร้างสรรค์ จะริเริ่มในสิ่งใหม่ๆในชีวิตเสมอ


สไตล์การทำงาน : คุณจะทำทุกอย่างในสิ่งที่คุณชื่นชอบ เพราะคุณจะสนุกสนานกับการทำงาน โดยคุณจะมีเอกลักษณ์การทำงานไม่เหมือนใคร เพราะคุณจะก้าวหน้ากว่าใครก็ด้วยในสิ่งนี่แหล่ะจะบ่งบอกความเป็นตัวคุณ
อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน นักแสดง ศิลปิน นักปรัชญา นักศาสนา นักธุรกิจ นักประพันธ์ ที่ปรึกษาทางธุรกิจหรือด้านต่าง ๆ


คนเกิดวันที่ 12 เป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดในตัวของคนเอง เพื่อให้ไปสู่ความประสบความสำร็จ


สไตล์การทำงาน : เรื่องที่เค้าว่ายากกัน แต่คุณสามารถสรุปมันให้ง่ายต่อการคิดและการปฏิบัติได้ อย่างกระชับ ชัดเจน สามารถนำไปทำได้ทันที ทำให้คุณทำงานได้รวดเร็วและถูกต้องอยู่เสมอๆ
อาชีพที่เหมาะสม : งานที่เกี่ยวข้องกับติดต่อกับคนที่มากๆ


คนเกิดวันที่ 13 เป็นคนที่คิดรอบคอบในการแก้ไขปัญหา เพื่อความยุติธรรม มั่นคง และแน่นอน และเอกลักษณ์ของคนที่เกิดวันนี้คือเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์มากคนหนึ่ง


สไตล์การทำงาน : บอกได้คำเดียวว่า "ช้าแต่ชัวร์"
อาชีพที่เหมาะสม : งานทางด้านเงิน นักสังคมสงเคราะห์ งานก่อสร้าง งานประชาสัมพันธ์ ผู้กำกับ


คนเกิดวันที่ 14 คุณเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นอย่างมาก แต่จะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจมากกว่าเหตุผล


สไตล์การทำงาน : เรื่องการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ เพราะคนเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง คุณเป็นคนที่มีความเข้าใจและการเรียนรู้ที่รวดเร็ว สามารถรู้ความเป็นไปของสถานการณ์ได้ดีเยี่ยม
อาชีพที่เหมาะสม : นักเจรจาต่อรอง นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี นักสังคมวิทยา นักประมูลผู้จัดการฝ่ายขาย โค้ชกีฬา เทรนเนอร์ นักข่าว นักพาณิชยศิลป์


คนเกิดวันที่ 15 มีความพยายาม ความเพียร เพื่อให้เกิดความสำเร็จ คุณจึงคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณ แต่ก็มีความคิดแบบเห็นแก่ตัวบ้าง


สไตล์การทำงาน : ความเด็ดเดี่ยวของคุณ ทำให้คุณคุณวางเป้าหมายอย่างแน่ชัดเพื่อความสำเร็จ คุณยังกระหายการเรียนรู้เสมอ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ใหม่ ๆ คุณเป็นคนที่มีความสามารถมาก
อาชีพที่เหมาะสม : สถาปนิก ครูอาจารย์ นักวิชาการ มัณฑนศิลป์ บรรณารักษ์ นักวิจัยนักบำบัด นักออกแบบ


คนเกิดวันที่ 16 น่าสงสารคนเกิดวันนี้ที่ยากลำบากในชีวิต ต้องสะสมประสบการณ์ด้วยตนเองมากมาย ถึงจะประสบความสมเร็จ แต่ความพิเศษก็มีเช่นกัน เพราะเป็นคนที่มีไหวพริบและมนุษยสัมพันธ์ดีมาก


สไตล์การทำงาน : การทำงานของคุณจะนำไปสู่เป้าหมายให้เร็วที่สุด เพราะสิ่งที่วกวนอ้อมไปอ้อมมาคุณจะไม่ถนัดเลย และยิ่งทำให้คุณเสียเวลา คุณจึงตรงไปตรงมารวมถึงวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คุณ คิด
อาชีพที่เหมาะสม : นักประพันธ์เอก วิศวกร นักกฎหมาย นักวิจัย นักสืบ


คนเกิดวันที่ 17 เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีมาก และยังมีความเป็นผู้นำ ไม่ชอบเดินตามใครหรือให้ใครบงการ


สไตล์การทำงาน : สิ่งที่คุณถนัดคือเรื่องของการเมืองในบริษัท และยังถนัดเรื่องการประสานงานไม่ว่าเรื่องความคิดเห็น คุณจะทำได้ดีมาก
อาชีพที่เหมาะสม : นักแสดง นักการเมือง ทนาย นักเอนเตอร์เทน นักบริหาร นักการเงิน การธนาคาร ผู้นำทางศาสนา นายหน้า


คนเกิดวันที่ 18 คุณเป็นคนเด็ดขาดและชอบงานอิสระ คนยังสามารถควบ คุมบรรดาลูกน้องของคุณได้เพื่อคุณเป็นผู้นำที่มีอำนาจ


สไตล์การทำงาน : ชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วอีกด้วย คุณยังสามารถจัดการหรือฝ่าวิกฤตที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงไปด้วยดี เพราะความเป็นนักสู้ของคุณนั้นเอง
อาชีพที่เหมาะสม : การจัดการ นักกฎหมาย อัยการศาล นักปรัชญา หรือปรากฏการณ์ บรรณาธิการ นักสื่อสารมวลชน หัวก้าวหน้า นักกีฬานักกรีฑา


คนเกิดวันที่ 19 คุณเป็นคนชังสังเกต และมีความเป็นผู้นำสูง จึงเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป


สไตล์การทำงาน : คนเป็นคนที่ชอบการร่วมมือกับคนอื่นไม่ว่าเป็นเรื่องเวลา การลงทุน ลงแรง คุณจะพร้อม และมีความมั่นใจยิ่งขึ้น และคุณยังเป็นคนที่ไม่ค่อยมีศัตรูอีกด้วย
อาชีพที่เหมาะสม : ผู้กำกับฯ นักดนตรี นักเขียน ที่ปรึกษา ผู้กำกับศิลป์ แดนเซอร์ นักเคมี เภสัชกร


คนเกิดวันที่ 20 เป็นคนที่ตรงไปตรงมาจริงใจ ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณก็ไม่อยาก ให้ใครเอาเปรียบคุณเช่นกัน


สไตล์การทำงาน : การทำงานของคุณเป็นคนที่ฉกฉวยโอกาสจากช่องว่างต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยม
อาชีพที่เหมาะสม : งานทุกอย่างที่ต้องทำกันเป็นทีมเพราะคุณจะถนัดงานทางด้านนี้ ที่ปรึกษาสุขภาพ ที่ปรึกษาทางด้านบุคลิกภาพ ครูบาอาจารย์ นักการทูตนักบริหาร


คนเกิดวันที่ 21คุณเป็นคนที่ลังเล โลเลจนทำให้เสียโอกาศทองไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังเป็นคนที่ช่างฝันอยู่ เพื่อสู้ที่จะทำจริง ความสำเร็จเลยไม่ยากเกินความต้องการคุณ


สไตล์การทำงาน : คุณมักจะเลือกงานที่ใช้ความคิด และจินตนาการอย่างเต็มที่ เพราะงานทุกชิ้นของคุณออกมาจากใจจริง นับว่าคุณเป็นศิลปินด้วยจิตวิญญาณ
อาชีพที่เหมาะสม: งานที่เกี่ยวข้องกับทางสื่อโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ถ้าคุณทำงานทางด้านสายนี้จะดีเอามากๆเลย เช่น วงการดารา นักร้อง นางแบบ นักสื่อสารมวลชน วงการโฆษณา


คนเกิดวันที่ 22 เป็นคนที่แสวงหาความสุขให้ตัวเองพร้อมกับเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันได้ และยังเป็นคนที่วางแผนชีวิตอย่างซีเรียสเสมอ


สไตล์การทำงาน : คุณพยายามที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆให้หมดเพื่อจะได้ฉกฉวยมาได้ก่อนคนอื่น จริงๆคุณไม่ได้เป็นคนที่โลภะหรอกนะ เพียงแต่ว่าคุณไม่อยากที่จะเสียเวลาในการทำอย่างอื่น เป็นเพียงเพราะคุณเป็นคนที่กระหายความสำเร็จเท่านั้น
อาชีพที่เหมาะสม : สถาปนิก ครูบาอาจารย์ นักบริหาร ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ทนาย หรือทำงานทางด้านการเงิน


คนเกิดวันที่ 23 คนเกิดวันนี้เป็นคนที่คล่องแคล่วในการตัดสินปัญหาทุก ๆ อย่าง และยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างทำให้คุณถึงจุดสุดขีดขึ้นมา คุณก็สามารถระเบิดสิ่งนั้นออกมาได้ทันที


สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนชั่งสังเกต และมีความรู้สึกพิเศษที่ว่าใครที่ดีกับคุณ หรือช่วยเหลือคุณได้
อาชีพที่เหมาะสม : นักสังคมสงเคราะห์ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักเขียน ศิลปิน


คนเกิดวันที่ 24 เป็นคนที่ชอบความชัดเจน ตรงไปตรงมา มีความอดทนและยังเป็นนักปกครองที่ดีอีกด้วย


สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ทำงานไม่รวดเร็ว แต่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้น จะเหนือความคาดหมายที่วางไว้ตอนแรกเสมอ
อาชีพที่เหมาะสม : งานที่ต้องเขียนออกมาหรืองานนักดนตรี ผู้นำทางด้านศาสนา


คนเกิดวันที่ 25 เป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมากเกินไป คุณเป็นคนที่ใจร้อนในการทำงาน เพื่อให้ผลงานออกมาอย่างรวดเร็ว


สไตล์การทำงาน : คุณต้องทำงานที่เริ่มต้น หรืองานประเภทบุกเบิกตั้งแต่แรก เพื่อคุณชอบที่จะพยายามใช้ความสามารถในการวางแผนหรือคิดค้นอะไร ๆ
อาชีพที่เหมาะสม : งานทางด้านการเงิน หรืองานที่จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์


คนเกิดวันที่ 26 คนเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง เอาแต่ใจตัวเองบ้าง สมองไหวพริบดี ชอบทำงานที่ท้าทายกับตัวเอง เพื่อความประสบความสำเร็จ


สไตล์การทำงาน : เรียนรู้อะไรได้ถูกต้อง เพื่อให้บรรลุความสำเร็จได้เร็ว และก่อนใครคนอื่น แต่งานของคุณต้องเป็นงานที่ทำคนเดียว เพราะคุณชอบที่ทำตั้งแต่เริ่มวางแผนยันลงมือทำงานหมดเลย
อาชีพที่เหมาะสม : ครูบาอาจารย์ นักเจรจา นักไกล่เกลี่ย นักสืบนักตกแต่ง งานการตลาด วานทางด้านการตัดต่อ


คนเกิดวันที่ 27 เป็นคนที่วางแผน คิดรอบคอบ รู้ทันเกม เจรจาเป็นเลิศ แต่ก็ตรงไปตรงมา


สไตล์การทำงาน : คุณก็เป็นคนที่คิดรอบคอบ คือ คิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะลงมือทำ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ มิให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต แถมคุณยังเป็นคนที่รักงานเอามาก ๆ ไม่ชอบให้ใครทำงานที่ชุ่ย ๆ
อาชีพที่เหมาะสม : นักอบรม นักจัดงานสัมมนา นักบริหาร นักแสดง นักดนตรี นักวาดรูป วาทยกร


คนเกิดวันที่ 28 จัดว่าคนเป็นเจ้าระเบียบจัดเลยก็ว่าได้ ชอบที่จะคิดปฏิวัติแก้ไขแนวคิดด้วย


สไตล์การทำงาน : เอาง่ายๆเลยว่า งานที่ยาก ๆ เป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบ
อาชีพที่เหมาะสม : ศิลปิน นักแสดง นักออกแบบเสื้อผ้า งานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาพื้นที่ นักพัฒนาองค์กร


คนเกิดวันที่ 29 เป็นคนที่มีความเชื่อมั่น ขยันหมั่นเพียรสูง พยายามที่จะสร้างความคิดใหม่ ๆ ออกมา ชอบคิด วางแผนเสมอ เหมาะที่จะเป็นผู้นำ หัวหน้าคน เพราะเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น และยังมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีอีกด้วย


สไตล์การทำงาน : คุณชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างในคราวเดียวกัน ประมาณว่าทำงานหลายอย่างพร้อมกันบางทีคุณก็มีความสับสนอยู่บ้าง แต่คุณก็มีทักษะที่สามารถที่ทำหลายอย่างพร้อมกันได้
อาชีพที่เหมาะสม : งานทางด้านการทำหนังสือ หรืองานช่วยเหลือสังคม ทางด้านการเงิน


คนเกิดวันที่ 30 จะเป็นคนที่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำ เพราะตนเองได้วางแผนในการทำงานไว้อย่างรอบคอบแล้ว และเป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปินสูงด้วย


สไตล์การทำงาน : การทำงานที่คุณควรทำคือ มีความอดทน เข้าใจกับผู้อื่น เพราะคุณมีความสามารถทางด้านจิตวิทยาสูงทำให้เข้าใจคนอื่นได้ดี แต่ไม่ค่อยเข้าใจกับตัวเองเท่าไหร่
อาชีพที่เหมาะสม : งานทางด้านการทำหนังสือ อาชีพการบริการ งานเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร


คนเกิดวันที่ 31 เป็นคนที่แสวงหาทุกอย่าง พยายามที่จะทะเยอทะยาน ให้ไปได้ไกล ๆ แถมยังใฝ่สูงอีกด้วย


สไตล์การทำงาน : เป็นคนที่ตัดสินใจแล้วต้องทำให้ได้
อาชีพที่เหมาะสม : นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักระดมทุน นักกายภาพบำบัด นักกฎหมาย งานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ หรือที่เกี่ยวข้องทางด้
านสื่อ