30 ต.ค. 2554

ขั้นตอนที่ควรทำทันที เมื่อรถยนต์ถูกน้ำท่วม


1.ล้างรถ รวมถึงการฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถและซุ้มล้อ เพื่อล้างเศษดินทรายที่ตกค้างหรือติดอยู่ออกให้หมด ซึ่งอาจมีเศษขยะหรือหญ้าแห้งติดอยู่ ที่อาจก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย เช่นเดียวกับกรณีของรถที่ติดตั้งตัวกรองไอเสีย หรือ CAT ที่ไม่แนะนำให้จอดในที่ที่มีหญ้าขึ้นสูง เนื่องจากอุณหภูมิของ Catalytic Converter ค่อนข้างสูง และอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย

2.พึงเอาไว้ว่าอย่าทำการสตาร์ทรถ หรือบิดกุญแจให้ไฟออนโดยเด็ดขาด จากนั้นเดินไปเปิดฝากระโปรงรถและปลดขั้วแบตเตอรี่ทันที โดยจะปลดขั้วใดขั้วหนึ่งหรือจะปลดทั้ง ขั้วบวกขั้วลบก็ได้ (จริงๆถ้าคุณคาดว่าน้ำจะท่วมสูงถึงห้องเครื่องให้เตรียมปลดขั้วแบตเตอรี่ เอาไว้ล่วงหน้าก่อนจะเป็นการดีที่สุด) เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆของรถ รวมถึงเครื่องยนต์

3.เปิดประตูออกทุกบาน ให้ลมโกรก หรือถ้ามีแดดให้จอดตากแดด จากนั้นถอดเบาะนั่ง พรม ผ้าต่างๆ ที่อยู่ภายในรถออกมาซักทันที เพราะถ้าทิ้งเอาไว้นาน ความเหม็นอับจะมาเยือน และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและเชื้อโรคต่างๆ

4.เริ่มเข้าสู่กระบวนการทางเทคนิคที่พอจะทำได้เอง คือ ปลดทุกอย่างที่เป็นขั้วไฟฟ้า ในกรณีที่เป็นเครื่องเบนซินให้ใช้ลมเป่าไปที่เบ้าหัวเทียนไล่น้ำออกให้หมดทุกซอกทุกมุม จากนั้นให้ถอดหัวเทียนออก ตรวจดูแผงฟิวส์ตัวฟิวส์ กล่องรีเลย์ต่างๆรวมทั้งกล่องอีซียูต้องถอดออกให้หมดตากแดดทิ้งไว้ ตรวจดูปลั๊กไฟใช้ลมเป่าทำความสะอาดทั้งหมด หรือใช้สเปรย์ไล่ความชื้นฉีดทิ้งไว้

5.สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ คือถ้ามีลักษณะคล้ายสีชาเย็น นั่นแสดงว่ามีน้ำเข้าไปปะปนแล้ว ต้องรีบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทันที เช่นเดียวกับน้ำมันเกียร์ รวมถึงเปลี่ยนกรองอากาศ ซึ่งประเด็นนี้ใครทำเองได้ก็ทำเลย เพราะยิ่งจัดการเร็วโอกาสที่สนิมจะมาเยือนก็น้อยตามไปด้วย แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องเข้าศูนย์บริการหรืออู่ ซึ่งจะมีขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายที่ถูกต้องและละเอียดมาก

6.เพลาขับ หากยางหุ้มเพลาขาดน้ำจะเข้าไปนำเอาจารบีออกไป ต้องอัด จารบีใหม่และเปลี่ยนยางหุ้มเพลาด้วย อีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ คือลูกปืนล้อทั้งหน้าและหลังที่มีอยู่ในรถทั่วไป ต้องนำออกมาล้างอัดจารบีใหม่แล้วใส่กลับคืนที่ด้วยการปรับใหม่ให้แน่นตามลำดับไม่แน่นเกินไปจนล้อหมุนฝืด

7.ในกรณีที่เป็นเครื่องเบนซินให้ใช้ลมเป่าไปที่เบ้าหัวเทียนไล่น้ำออกให้หมดทุกซอกทุกมุม จากนั้นให้ถอดหัวเทียนออก ตรวจดูแผงฟิวส์ตัวฟิวส์ กล่องรีเลย์ต่างๆรวมทั้งกล่องอีซียูต้องถอดออกให้หมดตากแดดทิ้งไว้ ตรวจดูปลั๊กไฟใช้ลมเป่าทำความสะอาดทั้งหมด หรือใช้สเปรย์ไล่ความชื้นฉีดทิ้งไว้

8.โคมไฟหน้าเลนส์ ไฟท้าย เบาะนั่ง พรมปูพื้น ที่ถอดออกมาตากแดดแห้งแล้วยังไม่ต้องรีบใส่ แม้ว่าส่วนประกอบอื่นๆจะแห้งดีแล้ว ให้เอารถออกตากแดดเปิดประตูรถทุกบาน พยายามให้แผงหน้าปัดรถตากแดดแรงๆเพื่อไล่ความชื้นออกจากแผงหน้าปัดให้หมด

9.เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างแห้งสนิทดีแล้วค่อยใส่ทุกอย่างที่ถอดออกจากในห้องเครื่องเข้าที่ให้หมด ยกเว้นหัวเทียนในกรณีของรถเครื่องยนต์เบนซินหรือหัวฉีดในกรณีเครื่องดีเซล ให้ยกแบตเตอรี่เข้าที่ก่อนโดยใส่ขั้วแบตเตอรี่ เสียบกุญแจบิดกุญแจไปจังหวะแรก(จังหวะสำหรับตรวจมาตรวัดต่างๆก่อนสตาร์ทรถ) หากเกจ์วัดไหนยังไม่ทำงานอย่าเพิ่งกังวล ให้เปิดสวิตช์ค้างไว้แล้วลงมาตรวจสอบที่ห้องเครื่องยนต์ว่ามีควันหรือความร้อนอะไรเกิดขึ้นจากการใช้ไฟจากแบตเตอรี่หรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีทุกอย่างปกติดีจึงค่อยบิดกุญแจปิดสวิตช์

10.ตรวจสอบเบ้าหัวเทียนอีกครั้งว่ามีอะไรติดขัดหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ หากดูแล้วว่าเรียบร้อยดีให้ลองสตาร์ทเครื่องใหม่ โดยคนหนึ่งบิดกุญแจส่วนอีกคนหนึ่งคอยเช็คที่รูหัวเทียน เมื่อเครื่องหมุน หากถ้ามีน้ำ น้ำจะถูกพ่นออกมาทางรูหัวเทียน ให้สตาร์ทต่อไปจนแน่ใจว่าน้ำถูกพ่นออกมาจนหมด ต่อไปก็ให้ใส่หัวเทียนเข้าที่ หากทำมาถูกต้องและไม่มีอุปกรณ์อื่นที่เสียหายรุนแรง เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ หากว่าได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงานดังกระหึ่มขึ้นตามมา แสดงว่าทุกอย่างเป็นปกติ

วิธีการยกรถหนีน้ำ ด้วยการนำแม่แรงที่อยู่ภายในรถงัดรถให้สูงขึ้น จากนั้นให้นำก้อนอิฐไปค้ำล้อรถทั้ง 4 ล้อให้สูงเหนือระดับน้ำ ส่วนกรณีที่รถอาจต้องจมน้ำ ข้อแนะนำคือควรปิดกระจกให้แน่น หลังจากนั้นให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ ขั้วบวกหรือขั้วลบออก เพื่อป้องกันระบบไฟฟ้าภายในรถช็อต

ภายหลังน้ำท่วมรถ ให้แกะลูกยางที่อยู่ใต้ท้องรถออก เพื่อเป็นการระบายน้ำที่ท่วมขังอยู่ภายในรถ

เมื่อรถยนต์ถูกน้ำท่วมทั้งคันควรทำอย่างไร?

1.ห้ามเปิดสวิตช์ไฟหรือสตาร์ตเครื่องเด็ดขาด และถอดสายแบตเตอรีออก

2.ลากรถยนต์ออกจากน้ำให้เร็วที่สุด เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานจะก่อให้เกิดความเสียหายบริเวณตัวรถเพิ่มขึ้น

เมื่อรถจมน้ำทั้งคัน หลายคนเข้าใจว่าไฟฟ้าจะลัดวงจร แต่ในความเป็นจริงไฟฟ้ายังไม่ได้ลัดวงจรเพราะว่าไม่มีไฟฟ้าลงดิน แต่ความเสียหายจะเกิดขึ้นหลังจากที่ระบบอิเลคทรอนิกส์ต้องจมอยู่ในน้ำ และจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อมอเตอร์ไฟฟ้า กล่องอีซียูซึ่งปัจจุบันใช้ระบบกล่องรวมที่ควบคุมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแอร์ ไฟส่องสว่างและเครื่องยนต์


หลังจากกู้รถขึ้นจากน้ำแล้ว ข้อห้ามอย่างแรกที่สำคัญคือห้ามติดเครื่องยนต์เด็ดขาด จนกว่าจะตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีน้ำค้างในเครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง รถที่ถูกน้ำท่วมต้องเปลี่ยนถ่ายของเหลวและกรองต่างๆออก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีฝุ่นหรือดินโคลนค้างอยู่ การซ่อมบำรุงรถน้ำท่วมจะต้องทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญรถยี่ห้อนั้นจริงๆ เพราะแทบจะต้องประกอบใหม่ทั้งคันทีเดียว

26 ต.ค. 2554

สุขาใช้ง่าย สบายก้น กับวิธีป้องกันน้ำทะลักจากส้วม


จากสภาวะน้ำท่วมที่กำลังวิกฤติในขณะนี้ ... หลายพื้นที่ในหลายจังหวัดต่างต้องจมอยู่ใต้บาดาล โดยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เมื่อไรสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้จะผ่านพ้นไปสักที ชาวบ้านบางคนต้องอพยพออกจากบ้านไปยังศูนย์อพยพต่าง ๆ เพราะน้ำท่วมสูงมิดหลังคาจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ส่วนชาวบ้านบางคนก็ติดอยู่บนชั้นสอง รอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง...

สำหรับบางบ้านที่น้ำท่วมไม่สูงมาก พอจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะกั้นปูน กั้นกระสอบทราย ซีลซิโคลนไว้เรียบร้อยพร้อมรับมือกับน้ำท่วมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่น้ำเจ้ากรรมดันมาผุดตามท่อระบายน้ำ ไหลเข้ามาเอ่อล้นชักโครก จนไม่สามารถปลดทุกข์ได้เสียอย่างนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเอาวิธีง่าย ๆ ของคุณกรุงเทพตะวันออก บอกกล่าว "ในการสร้างส้วมฉุกเฉิน และวิธีกันน้ำทะลักจากชักโครก" มาฝากกันค่ะ




สุขาฉุกเฉิน สบายก้น

วิธีทำ

ขั้นตอนแรก ต้องปิดวาล์วน้ำเสียก่อน ป้องกันการทะลักของน้ำ

ตักน้ำในชักโครกออก

ยกฝารองนั่งขึ้น นำถุงดำใส่ลงไปแล้วปิดฝารองนั่ง โดยให้ฝารองนั่งทับถุงดำไว้ จากนั้นพอทำธุระเสร็จก็รวบแล้วมัดปากถุงให้แน่น


วิธีป้องกันน้ำทะลักมาจากชักโครก

วิธีทำ

หาวิธีอุดน้ำที่จะเข้ามาทางชักโครก อาจจะใช้ทราย, ดินน้ำมัน, ดินเหนียว หรืออื่น ๆ ใส่เข้าไปในโถ (ตามรูป) แล้วเหยียบอัดเข้าไปแน่น ๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเผื่อตอนที่ดึงออกมาด้วย อย่าเหยียบจนลึกเกินไปจนเอาออกไม่ได้

ตักน้ำในชักโครกออก

หาเสื้อตัวใหญ่ ๆ ที่ไม่ได้ใช้ มัดแขน ปิดคอให้แน่น ๆ จากนั้นใส่ทรายเข้าไปให้เต็มแล้ววางทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง พร้อมอุดให้แน่น ๆ พยายามอย่างให้มีช่องว่าง



วิธีกันน้ำล้นจากท่อระบายน้ำในห้องน้ำ

วิธีทำ

หาท่อพีวีซี (PVC) ที่มีขนาดเล็กกว่าท่อน้ำทิ้งยาวประมาณ 2 เมตร เสียบลงตรงรูระบายน้ำ

จากนั้นเอาซิลิโคนยางอัดเข้าไป หรือใช้ดินน้ำมันอุด อัดรอบ ๆ ให้แน่น

14 ต.ค. 2554

แบบทดสอบ คุณมีสมองแบบผู้ชายหรือผู้หญิงมากกว่ากัน


แบบทดสอบรูปแบบสมอง

คำถามต่างๆในแบบทดสอบ เป็นคำถามที่ได้จากบทวิจัยของสถาบันต่างๆที่ทำเกี่ยวกับสมองของมนุษย์ทั้ง 2 เพศ และระบบการให้คะแนนก็นำมาจาก แอนน์ มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านยีนชาวอังกฤษ

แบบทดสอบนี้ไม่มีคำตอบใดถูกหรือผิด แต่สามารถบอกให้ทราบว่ารูปแบบสมองของคุณเป็นแบบใด เป็นสมองแบบผู้หญิงหรือแบบผู้ชาย

วิธีคิดคะแนน

ขั้นแรกให้นับจำนวน ก, ข, ค ที่คุณเลือกตอบ ว่ามีอย่างละกี่ตัว และใช้เกณฑ์ข้างล่างในการคำนวณหาคะแนนรวม

ผู้ชาย
คำตอบที่เป็น ก x 15 = ..........
คำตอบที่เป็น ข x 5 = ..........
คำตอบที่เป็น ค x (-5) = ..........
รวมคะแนน = ..........

ผู้หญิง
คำตอบที่เป็น ก x 10 = ..........
คำตอบที่เป็น ข x 5 = ..........
คำตอบที่เป็น ค x (-5) = ..........
รวมคะแนน = ..........

*** สำหรับคำถามที่ไม่มีคำตอบถูกใจคุณ หรือไม่ตรงตามที่คุณปฏิบัติ เว้นว่างไว้ไม่ต้องตอบ ให้บวกคะแนนเพิ่มอีกข้อละ 5 คะแนน

เลือกข้อที่ใกล้เคียงความจริงที่คุณมักจะปฏิบัติมากที่สุด

1) ถ้าต้องดูแผนที่หรือแผนผังบอกถนนหนทาง คุณมักจะ..

ก. ดูไม่เป็น และต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ข. พยายามพลิกให้ตรงกับเส้นทางที่ต้องการจะไป
ค. ดูได้สบายๆ ไม่ยากเย็น

2) คุณกำลังทำอาหารที่ค่อนข้างปรุงยาก โดยเปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วย จู่ๆ เพื่อนก็โทรศัพท์มา คุณจะ..

ก. เปิดวิทยุไว้และปรุงอาหารต่อ พร้อมๆกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย
ข. ปิดวิทยุ แล้วคุยโทรศัพท์ พร้อมกับปรุงอาหารไปด้วย
ค. บอกเพียงว่าจะโทรกลับไปทันทีที่ปรุงอาหารเสร็จ

3) เพื่อนต้องการมาเที่ยวที่บ้านใหม่ของคุณ และถามถึงถนนหนทาง คุณจะ..

ก. วาดแผนที่บอกเส้นทางที่ชัดเจนให้เพื่อนดู หรือไม่ก็วานคนอื่นอธิบายให้เข้าใจ
ข. ถามเพื่อนว่ารู้จักสถานที่สำคัญๆในย่านนั้นหรือไม่ เพื่อจะได้อธิบายเพิ่มเติมจากจุดนั้นมายังบ้าน
ค. อธิบายปากเปล่าเป็นฉากๆ อาทิ "ขึ้นรถเมล์สาย 26 ไปลงที่อนุสาวรีย์หลักสี่ จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายตรงไปอีก 2 ไฟแดง ฯลฯ"

4) ถ้าต้องอธิบายความคิดอ่านบางอย่างของคุณเอง คุณมักจะ..

ก. ใช้ดินสอ กระดาษ และภาษามือช่วยอธิบายด้วย
ข. อธิบายด้วยวาจา โดยใช้ภาษามือด้วย
ค. อธิบายด้วยปากเปล่าได้อย่างแจ่มแจ้ง และกระชับได้ใจความ

5) เมื่อกลับจากดูภาพยนต์ คุณมักจะชอบ..

ก. นึกถึงฉากเก่าๆ ที่ได้ชมในภาพยนตร์
ข. พูดถึงฉากต่างๆ และคำพูดของตัวละคร
ค. ทวนคำพูดของตัวละครได้ทุกประโยค

6) ขณะที่อยู่ในโรงภาพยนตร์ คุณมักจะเลือกที่นั่ง

ก. ทางด้านขวาของโรง
ข. ตรงไหนก็ได้ ไม่มีปัญหา
ค. ทางด้านซ้ายของโรง

7) เครื่องยนต์กลไกบางอย่างของเพื่อนเกิดใช้การไม่ได้ขึ้นมา คุณมักจะ..

ก. แสดงความเห็นอกเห็นใจและชวนคุย เพื่อให้เขาระบายความรู้สึกออกมา
ข. แนะนำคนที่ไว้ใจได้สักคน ให้มาช่วยซ่อมให้
ค. พยายามช่วยซ่อมให้ด้วยตัวของคุณเอง

8) คุณอยู่ในที่แปลกถิ่น จู่ๆก็มีคนมาถามว่าทิศเหนือไปทางไหน คุณจะ..

ก. บอกตามตรงว่าคุณเองก็ไม่รู้
ข. พยายามนึกแล้วเดาว่าน่าจะเป็นทางไหน
ค. ชี้บอกทิศเหนือได้ทันที โดยไม่ต้องลังเลใจ

9) คุณกำลังดูทีวี จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คุณจะ..

ก. รับโทรศัพท์โดยเปิดทีวีเอาไว้
ข. ปิดทีวีเสียก่อน ค่อยรับโทรศัพท์
ค. ปิดทีวี แล้วบอกคนที่อยู่ในห้องให้เงียบก่อนค่อยรับโทรศัพท์

10) คุณพบที่จอดรถแต่ค่อนข้างแคบ ต้องถอยรถหักเลี้ยวหลายครั้งจึงจะจอดได้ คุณจะ..

ก. ขับเลยไปหาที่จอดอื่น
ข. พยายามถอยจอดด้วยความอดทน
ค. ถอยจอดได้อย่างคล่องแคล่ว

11) คุณเพิ่งได้ยินเพลงใหม่ล่าสุดของศิลปินคนโปรด คุณมักจะ..

ก. ร้องบางท่อนของเพลงนั้นได้อย่างคล่องแคล่ว
ข. ร้องบางท่อนของเพลงนั้นได้ ถ้าหากเป็นเพลงที่จำง่าย
ค. จำทำนองเพลงไม่ค่อยได้ แต่จำเนื้อเพลงบางประโยคได้

12) คุณมักจะเก่งในเรื่องการคาดเดา หรือการทำนายทายทักโดยใช้

ก. ความหยั่งรู้
ข. ใช้ทั้งข้อมูลเท่าที่หาได้ และใช้ความหยั่งรู้
ค. ใช้ข้อมูล สถิติ และข้อเท็จจริงต่างๆ

13) คุณวางกุญแจผิดที่แล้วนึกไม่ออกว่าวางไว้ตรงไหน คุณจะ..

ก. ทำงานอย่างอื่นไปก่อนจนกว่าจะนึกออกเอง
ข. ทำงานอย่างอื่นไปก่อน แต่ก็พยายามนึกไปด้วยว่าวางไว้ไหน
ค. ตั้งหน้าตั้งตานึกย้อนหลังไปทีละก้าวจนกว่าจะจำได้ว่าวางตรงไหน

14) ขณะอยู่ในโรงแรม คุณได้ยินเสียงไซเรนดังมาแต่ไกล คุณจะ..

ก. บอกได้ทันทีว่า เสียงไซเรนดังมาจากทางไหน
ข. ถ้าตั้งใจฟังดีๆ ก็อาจจะบอกได้ว่าเสียงไซเรนดังมาจากทางไหน
ค. จับไม่ได้เลยว่าดังมาจากทางไหน

15) คุณไปงานสังสรรค์งานหนึ่งและได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ 7-8 คน วันรุ่งขึ้นคุณจะ..

ก. นึกหน้าของแต่ละคนได้อย่างง่ายดาย
ข. จำหน้าได้เพียงไม่กี่คน
ค. จำชื่อได้ แต่จำหน้าไม่ค่อยได้

16) คุณอยากไปเที่ยวเขาใหญ่ แต่คู่ครองของคุณอยากจะไปหัวหิน คุณจะโน้มน้าวให้เขาหรือเธอเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ด้วยวิธีใด

ก. พูดเสียงหวาน สาธยายว่าคุณชอบเขาใหญ่ตรงไหน และลูกๆเองก็สนุกทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยวที่นั่น
ข. บอกว่า คุณจะซาบซึ้งมากถ้าเขาหรือเธอยอมไปเขาใหญ่ และครั้งต่อไปคุณจะยอมไปหัวหินด้วยความเต็มใจ
ค. ใช้ข้อมูลต่างๆมาอ้างอิง อาทิ เขาใหญ่ใกล้กว่า ค่าใช้จ่ายถูกกว่าและมีกิจกรรมให้ลูกๆเล่นมากกว่าหัวหิน

17) เมื่อต้องการเตรียมแผนงานของกิจกรรมในแต่ละวัน คุณจะ..

ก. เขียนลงบนกระดาษเพื่อจะได้รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง
ข. คิดถึงสิ่งที่คุณต้องทำ
ค. นึกภาพของคนที่คุณต้องเจอ สถานที่ที่คุณต้องไป และสิ่งที่คุณต้องทำเอาไว้ในใจ

18) เพื่อนมีปัญหาส่วนตัว และนำมาเล่าให้คุณฟัง คุณจะ..

ก. แสดงความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจปัญหาของเขา
ข. บอกว่าปัญหาของเขาไม่เลวร้ายอย่างที่คิด และอธิบายด้วยว่าเพราะเหตุใด
ค. ให้คำแนะนำอย่างมีเหตุมีผลถึงวิธีแก้ไขปัญหา

19) เพื่อน 2 คน ซึ่งมีคู่ครองแล้วทั้งคู่กำลังแอบปิ๊งกัน คุณสังเกตเห็นเร็วแค่ไหน

ก. เห็นตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มมีใจให้กันใหม่ๆ
ข. เห็นตอนที่ทั้งคู่ชอบกันมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
ค. ไม่รู้ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆเลย

20) ชีวิตคืออะไรในความคิดเห็นของคุณ

ก. คือการมีเพื่อนฝูง และอยู่ร่วมกับคนรอบข้างอย่างปรองดอง
ข. คือการเป็นมิตรกับผู้อื่นแต่ยังรักษาอิสรภาพส่วนตัวเอาไว้
ค. คือการได้มาซึ่งชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง และความสำเร็จ นานัปการ

21) ถ้ามีโอกาสเลือกได้ คุณจะเลือกทำงานที่

ก. ทำงานร่วมกันเป็นทีมกับคนที่ใช้การได้
ข. ทำงานร่วมกับผู้อื่น แต่ยังรักษาความเป็นส่วนตัวเอาไว้
ค. ทำงานคนเดียว

22) หนังสือที่คุณชอบอ่านคือ

ก. นิยาย
ข. นิตยสารและหนังสือพิมพ์
ค. หนังสือวิชาการและอัตชีวประวัติ

23) ขณะชอปปิ้งอยู่ในห้างคุณมักจะ

ก. ซื้อของตามใจชอบ ถ้าเจออะไรถูกใจก็ซื้อเลย
ข. ซื้อตามรายการที่เตรียมเอาไว้แล้ว แต่ก็อาจจะซื้อบางอย่างที่ถูกใจเพิ่มเติม
ค. อ่านฉลากและเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนซื้อ

24) คุณจะเข้านอน ตื่นและรับประทานอาหาร

ก. เมื่อคุณนึกอยากทำเท่านั้น
ข. ตามเวลาอันสมควร แต่ก็ยืดหยุ่นได้
ค. ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ทุกวัน

25) คุณได้งานใหม่และต้องทำงานร่วมกับเพื่อนใหม่หลายต่อหลายคน เพื่อนใหม่คนหนึ่งโทรมาหาคุณที่บ้าน คุณจะ..
ก. จำเสียงเขาได้ทันทีอย่างง่ายดาย
ข. ต้องพูดด้วยสักพักถึงจะจำเขาได้
ค. นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร

26) อะไรทำให้คุณหงุดหงิดที่สุดขณะถกเถียงกับใครสักคน

ก. ความเงียบหรือไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากคู่กรณี
ข. ความไม่เข้าใจในประเด็นที่คุณต้องการชี้แจง
ค. การตั้งคำถามที่ท้าทายและการวิพากวิจารณ์

27) ในห้องเรียน คุณรู้สึกอย่างไรกับการสอบเรียงความและเขียนคำยาก

ก. เป็นวิชาที่ง่ายมากทั้งสองวิชา
ข. คุณชอบวิชาหนึ่งแต่ไม่ชอบอีกวิชาหนึ่ง
ค. คุณไม่ชอบเลยทั้งสองวิชา

28) เมื่อต้องเต้นรำหรือเต้นแจ๊สเพื่อออกกำลังกาย คุณมักจะ

ก. เข้าถึงท่วงทำนองเพลงทันทีที่คุณรู้จักจังหวะการเต้น
ข. เต้นได้ในบางท่า แต่บางท่าก็เต้นไม่ถูกจังหวะ
ค. เต้นไม่ถูกจังหวะเอาเลย

29) คุณทำเสียงเลียบแบบเสียงร้องของสัตว์ได้ดีแค่ไหน

ก. ไม่ค่อยดี
ข. พอไหว
ค. ดีมาก

30) หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันคุณมักจะชอบ

ก. คุยกับเพื่อนและครอบครัวถึงเรื่องราวต่างๆ ที่คุณพานพบในวันนี้
ข. ฟังคนอื่นคุยถึงเรื่องราวของพวกเขา
ค. อ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี และไม่คุยกับใครเลย


วิเคราะห์ผล

ผู้ชายส่วนใหญ่จะทำคะแนนได้ระหว่าง 0-180 ส่วนผู้หญิงนั้นจะทำคะแนนได้ระหว่าง 150-300 คะแนน

สมอง ที่ถูกจัดแต่งมาสำหรับการคิดแบบผู้ชายนั้น มักจะทำคะแนนได้ต่ำกว่า 150 คะแนน ยิ่งใกล้ระดับ 0 คะแนนมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความเป็นผู้ชายมากขึ้นเท่านั้น เพราะมีฮอร์โมนเพศชาย "เทสทอสเทอโรน" ค่อนข้างสูง คนกลุ่มนี้จะเป็นคนที่ใช้เหตุใช้ผล ชอบวิเคราะห์ ค่อนข้างเจ้าระเบียบและมีวินัยเป็นเยี่ยม ยิ่งได้คะแนนต่ำเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นคนสุขุม ไม่ใช้อารมณ์ใดๆ ในการทำงาน ชอบวางแผนโดยใช้ข้อมูลทางสถิติล้วนๆ และค่อนข้างเก่งในเรื่องแจกแจงตัวเลขเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ส่วนคนที่ได้คะแนนติดลบนั้นแสดงว่าตอนอยู่ในครรภ์ช่วง 6-8 สัปดาห์ได้รับ "เทสทอสเทอโรน" สูงมาก จึงมีความเป็นผู้ชายสูงลิบลิ่ว ถ้าคนที่ทำคะแนนได้ระดับนี้เป็นผู้หญิง ก็มีแนวโน้มที่เธอผู้นั้นจะเป็นเลสเบี้ยน

ส่วนสมองที่ได้รับการจัด แต่งมาให้คิดแบบผู้หญิงนั้น จะทำคะแนนได้สูงกว่า 180 คะแนน ยิ่งได้คะแนนสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความเป็นผู้หญิงมากเท่านั้น คนกลุ่มนี้เป็นผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีศิลปะและมีความสามารถทางดนตรี การตัดสินใจของคนกลุ่มนี้จะใช้อารมณ์หรือสัญชาตญาณมากกว่าเหตุผล และสามารถเข้าใจปัญหาต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาข้อมูลมากมายนัก ที่สำคัญคือสามารถแก้ปัญหาได้โดยใช้ความคิดคำนึงและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เป็นหลัก ผู้ชายที่ทำคะแนนได้สูงกว่าระดับ 180 คะแนน มีแนวโน้มว่าจะเป็นเกย์

ผู้ชายที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า 0 คะแนน (สมองมีความเป็นผู้ชายสูง) และผู้หญิงที่ทำคะแนนได้สูงกว่า 300 คะแนน (สมองมีความเป็นผู้หญิงสูง) จัดอยู่ในกลุ่มคนที่มีรูปแบบของสมองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งสองฝ่ายแทบจะไม่มีอะไรที่คิดและทำเหมือนกันเลย สิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ การอาศัยอยู่ในโลกเบี้ยวๆ ใบเดียวกันนั่นเอง

ช่วงคะแนนที่เหลื่อมกัน
ช่วง ระหว่าง 150-180 คะแนน เป็นช่วงที่แสดงถึงความคิดอ่านที่เป็นกลางระหว่างคนทั้ง 2 เพศ คนที่ได้รับคะแนนระดับนี้จะไม่แสดงออกชัดเจนว่ามีความคิดแบบผู้หญิงหรือ ผู้ชาย แต่จะมีความยืดหยุ่นในระบบการคิดแก้ไขปัญหา เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด คนกลุ่มนี้สามารถเข้าได้ดีกับเพื่อนทั้งเพศชายและเพศหญิง

11 ต.ค. 2554

9 เรื่อง ที่มีแต่ประเทศไทยเท่านั้น Thailand Only


1. ประเทศไทย….ทำไมมีสีประจำวัน ?
ขอบอกว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้มาก่อนเลยจริง ๆ จนวันหนึ่งซึ่งเป็นวันศุกร์ใส่เสื้อสีฟ้า ก็มีเพื่อนต่างชาติคนนึงถามว่าทำไมใส่เสื้อสีฟ้าล่ะ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร จริง ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ใส่แล้วสวย (กล้าพูด) เลยตอบไปว่า ก็วันนี้เป็นวันศุกร์ไงล่ะ เพื่อนก็งงใหญ่ว่า แล้วทำไมล่ะ วันศุกร์เกี่ยวอะไรกับสีฟ้า สรุปคุยกันยาวววจนสรุปได้ว่า ที่ประเทศอื่น ๆ เค้าไม่ค่อยมีสีประจำวันเหมือนบ้านเรา ที่วันจันทร์สีเหลือง วันอังคารสีชมพู เอ๊ะ แล้วใครเป็นคนคิดริเริ่มให้มีสีประจำวันนะ?


2. ประเทศไทย….ทำไมดื่มน้ำอัดลม/เบียร์ ต้องใส่น้ำแข็ง
อันนี้หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินมาจากเดี่ยว 8 แล้ว (ฮามาก) เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมต่างประเทศเค้าถึงดื่ม น้ำอัดลมกันแบบไร้น้ำแข็งได้ ซึ่งในทางกลับกับ คนต่างชาติ เค้าก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคนไทยถึงต้องดื่มแบบใส่น้ำแข็งด้วยล่ะ ก็แหม…ประเทศเราเมืองร้อนนี่คะ เอะอะอะไรก็ใส่น้ำแข็งไว้ก่อน 555+


3. ประเทศไทย….ทำไมกินข้าวโพดเป็นของหวาน ?
ประเทศแถบตะวันตกพวกยุโรป อเมริกา เค้าไม่ถือว่าข้าวโพดเป็นของหวาน แต่ถือว่าเป็นของคาว น้อยคนมาก ๆ ที่จะเอามานั่งแทะกินเปล่า ๆ หรือหากเอาไปใส่ไอศกรีมนี่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกมาก แต่คนไทยเราเอามานั่งแทะ ๆ กันจนฟันเหยินซะงั้น แทะไป ดูหนังไป เพลินจะตาย


4. ประเทศไทย….ทำไมอะไร ๆ ก็ ต้องใส่ซอส ?
ไม่ว่าจะกินอะไร ตั้งแต่ไข่เจียว แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ ทอด คนไทยเราต้องมีซอสหรือมีน้ำจิ้มไว้เคียงคู่เสมอ แต่สำหรับในบางประเทศเค้าถือว่าเป็นเรื่องไม่สุภาพเพราะคนทำอาจจะน้อยใจได้ว่า เอ๊ะ ทำไมต้องใส่น้ำจิ้มอีกล่ะ ที่ฉันทำไปมันไม่อร่อยเหรอ? โดยเฉพาะในร้านอาหารใหญ่ ๆ เช่น ถ้าสั่งพิซซ่ามาแล้วดันไปขอซอสเพิ่ม พ่อครัวอาจจะค้อนใส่ได้นะ


5. ประเทศไทย….ทำไมคนไทยเก่งเลขจัง ?
เพราะคนไทยชอบจั่ว … เอ๊ย ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยิน มาหนาหูมาก ๆ ว่า ถ้าเทียบกับพวกฝรั่งแล้ว คนไทยถือว่าเก่งเลขมาก ๆ โดยเฉพาะน้อง ๆ นักเรียนแลกเปลี่ยนชอบมาเล่าให้พี่เป้ ฟังว่า ‘เลข ม.ปลายที่นั่นง่ายประมาณ ม.1ของที่ ไทยเลยค่ะพี่ หนูชอบเรียนเลขเพราะมันง่ายมาก’ เวลา เพื่อนฝรั่งเห็นเราแก้สมการซับซ้อนได้ ทุกคนก็จะ โอ้โห อู้หู amazing thailand จริง ๆ !


6. ประเทศไทย….ทำไมไม่คิดค่า ถุงหิ้ว ?
เวลาที่เราไปซื้อของในหลาย ๆ ประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย บางประเทศนั้น ตามร้านค้าต่าง ๆ เค้าคิดค่าถุงหิ้วกันด้วยนะคะ เช่น ถ้าในยุโรปก็จะประมาณ 10 เซนต์ ในเกาหลีใต้ก็จะ 10 วอน อะไรทำนองนี้ค่ะ (อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อรณรงค์การลดโลกร้อนนั่นเอง


7. ประเทศไทย….ทำไมมีวิธีอาบน้ำสารพัด ?
อย่างที่รู้ ๆ ว่าฝรั่งไฮโซอาบน้ำกันด้วยฝักบัว ไม่ก็รองน้ำใส่ อ่างแล้วลงไปแช่ แต่คนไทยไม่น้อยหน้าใคร นอกจากฝักบัว หรืออ่างแล้ว เรายังมีขันไว้ตักอาบ มีตุ่มไว้ลงไปแช่อีกด้วย 5555+ เย็นสบาย !!…..มีเพื่อนคนนึงอยู่ต่างจังหวัด เคยรับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนจากอเมริกามาที่บ้าน (สมมติว่าชื่อซูซี่) พอถึงเวลาอาบน้ำ ก็พาซูซี่ไปหลังบ้านซึ่งมีตุ่มใส่น้ำและขันวางไว้ ซูซี่ก็บอก OK I see Don’t worry ไออาบน้ำได้เอง สบายมาก ยูไม่ ต้องห่วง จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ซักพัก 10 นาทีต่อมา เพื่อนก็เดินกลับไปตามซูซี่ ปรากฏว่า !! ภาพที่เห็นคือน้องซูซี่เล่นลงไปในว่ายน้ำอยู่ในตุ่ม ซะงั้น 55555 สรุปว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีในเมืองไทย ตุ่มนั้นก็ตกเป็นสมบัติของน้องซูซี่ไปโดยปริยาย


8. ประเทศไทย….ทำไมคนไทยต่อราคากันเก่งจัง ?
เรื่องต่อราคานี่ต้องยกให้คนไทยเลยจริง ๆ ต่อได้ต่อดี จาก 99 ต้องเป็น 90 …. จาก 49 ต้องเป็น 40 ….จาก 19 ก็ยังจะต่อให้ได้เป็น 2 อัน 35 ได้มั้ยพี่ ? จนฝรั่งหรือชาติอะไรต่ออะไรที่มาเที่ยวเมืองไทยก็เริ่มจะติดนิสัยนี้ไปด้วยแล้วล่ะค่ะ เผลอ ๆ เดี๋ยวนี้ฝรั่งต่อราคาเก่งกว่าคนไทยซะอีกแน่ะ ถือว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามคนไทยละกันนะ


9. ประเทศไทย….ทำไมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเปล่า ๆ แบบไม่ต้ม ?
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คงฟังกันมาแล้วจากเดี่ยว 8 …. ขอย้ำกันให้ชัด ๆ เลยว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้มก็อร่อย กินเปล่า ๆ ใส่พริกใส่น้ำมัน บีบให้แตกแล้วมาจกกินนี่ก็อร่อยสุดๆ เพราะบะหมี่ของเราเส้นเล็ก แต่บะหมี่ของพวกญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงอะไรอย่างนี้เส้นมันจะใหญ่และหนามาก ๆ เอามากินเปล่า ๆ ไม่ได้แน่นอน แถมยังมีจำกัดแค่ไม่กี่รส เช่น รสไก่ รสต้มยำ รสกิมจิ แต่ของเมืองไทยนี่มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ หมูสับ ต้มยำ เป็ดพะโล้ เย็นตาโฟ หมูน้ำตก สุกี้ ต้มโคล้ง พริกเผา โอ๊ยยย…สารพัด สามารถกินได้ไปเป็นเดือน ๆ โดยไม่ซ้ำรส (ถ้าผมไม่ร่วงหมดหัวซะก่อน)


และนั่นก็คือ เรื่องราวที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย Thailand Only ! เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ดูน่ารักและน่าภาคภูมิใจมากเลยใช่มั้ยคะ ? ^^ จริง ๆ แล้วเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรานี่เอง แต่บางทีอาจจะมองข้ามไปจนคิดไม่ถึง

เรื่องเกี่ยวกับผมร่วง


ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ให้ความรู้สรุปความได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีผมร่วงเองตามธรรมชาติประมาณ 100 เส้นต่อวัน ผู้ที่สงสัยว่า “ตนเองจะมีภาวะผมร่วงผิดปกติ”

ให้สังเกตและลองนับจำนวนเส้นผมที่ร่วงในแต่ละวันดู ถ้ามีจำนวนน้อยกว่า 100 เส้นต่อวัน ถือว่าเป็นภาวะของเส้นผม แต่ถ้ามีจำนวนเส้นผมที่หลุดร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวัน จึงจะถือว่ามีความผิดปกติของการหลุดร่วงของเส้นผม อย่างไรก็ดี ในบางสภาวะอาจทำให้ผมร่วงได้มากกว่าปกติ เช่น ความเครียด หลัง คลอดบุตร เสียเลือดอาจทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลงได้ และร่วงมากขึ้นได้แต่มักกลับมาเป็นปกติได้ หลังจากที่ได้ผ่านภาวะนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว


ผมร่วงแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

1.ผมร่วงแบบเพศชาย เป็นการหลุดร่วงของเส้นผมตามธรรมชาติ มักพบในผู้ที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ที่พบบ่อยคือหัวล้านบริเวณกลางศีรษะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์และฮอร์โมนเพศชาย เมื่ออายุมากขึ้นจะมีการหลุดร่วงมากขึ้น

2.ผมร่วงจากภาวะของโรค ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุคือการติดเชื้อราและเกิดจากภูมิคุ้มกัน ถ้าเกิดจากเชื้อรา มักมีอาการอักเสบ การลอกของหนังศีรษะและเป็นสะเก็ดร่วมด้วย ส่วนชนิดที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน ในรายที่เป็นน้อยอาจมีอาการร่วงเป็นหย่อมๆ บางๆ แต่ในรายที่เป็นมาก อาจร่วงทั้งศีรษะได้ หรืออาจร่วงทั่วทั้งตัว คือมีการร่วงทั้งผมและขน ซึ่งควรไปปรึกษาแพทย์


3.ผมร่วงจากภาวะอื่นๆ เช่น การฉายรังสี การได้รับยาบางชนิด ความเครียด การดึงรั้งผมแรงๆ และต่อเนื่องนานๆ เป็นต้น ผมร่วงที่เกิดจากภาวะเครียด เช่น การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร การเจ็บป่วยเรื้อรังหรือรุนแรง การขาดสารอาหาร โรคไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น ส่วนการดึงรั้งผมอย่างแรงๆ และต่อเนื่องนานๆ มักเกิดจากการยืดผม ดัดผม ม้วนผม ย้อมผม เป็นประจำ ซึ่งล้วนมีผลทำลายความสมบูรณ์ของเส้นผม

ส่วนวิธีธรรมชาติในการรักษาอาการผมร่วง ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า สมุนไพรพื้นบ้านที่สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ มี

1.เหงือกปลาหมอ โดยนำใบมาโขลกผสมน้ำ คั้นออกมาทาหนังศีรษะ บำรุงรากผม

2.ขิงแก่ นำ 1 แง่งขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียดแล้วห่อผ้าขาวบางทำลูกประคบ แล้วเอาหม้อมาใส่น้ำและขึงผ้าขาวบางไว้ตรงปากหม้อ ต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาขิงที่ห่อผ้าขาวบางไว้มาวางบนปากหม้อ เมื่อน้ำเดือด ไอน้ำจะระเหยขึ้นทำให้ลูกประคบขิงมีความร้อน นำมาประคบบริเวณที่ผมร่วง พอเย็นเอากลับไปวางที่ปากหม้อเพื่อรมไอน้ำ แล้วเปลี่ยนอีกห่อมาประคบแทน ทำวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที 3-5 วัน จะเห็นผล


3.ใบทองพันชั่ง แก้เชื้อราบนหนังศีรษะ ใช้ใบทองพันชั่งตำจนละเอียด ผสมน้ำพอเหนียว นำมาพอกบนศีรษะบริเวณที่ผมร่วง หลังสระผม จากนั้นใช้ผ้าคลุมไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าล้างออก ทำติดต่อกัน 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน อาการผมร่วงจะดีขึ้น 4.มะกรูด ให้นำมะกรูด

4 ผล ใส่หม้อแล้วต้มกับน้ำสักครู่ ใช้ไฟปานกลาง พอมะกรูดนิ่มๆ ยกลง จากนั้นผ่ามะกรูดครึ่งลูกทั้ง 4 ลูก นำไปคั้นเอาแต่น้ำมะกรูดแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำมะกรูดใส่ภาชนะไว้ หลังจากสระผมให้สะอาดไม่ต้องสระผมด้วยแชมพูอีกแล้ว ให้ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สูตรนี้เหมาะสำหรับผมร่วงที่เกิดจากแชมพูเป็นด่างมากเกินไป


5.ผักบุ้งหรือใบบัวบก เอามาตำคั้นน้ำ หมักผมประมาณ 2 นาที ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม

6.น้ำมันงา ใช้ทาผม หรือชโลมก่อนการสระผมประมาณ 15 นาที ทำให้ผมดกดำและบำรุงรากผม 7.น้ำมันงาและมะกรูด ใช้หมักผม ทำให้ผมดำและเงางาม ผสมน้ำมันงา 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำคั้นจากมะกรูดสด 2-3 ผล ทำแล้วใช้หมดในครั้งเดียว

9 ต.ค. 2554

คำแนะนำสำหรับผู้ใช้รถช่วงน้ำท่วม

สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้รถสัญจรไปมาเพื่อทำธุระผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง

- โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขณะขับรถลุยน้ำ ห้ามเปิดแอร์เพราะเป็นสาเหตุทำให้เครื่องดับเนื่องจากพัดลมจะทำงานและพัดน้ำให้กระจายไปทั่วห้องเครื่อง

-ควรใช้เกียร์ต่ำในการขับรถ รถเกียร์ธรรมดาควรใช้เกียร์ 1-2 สำหรับเกียร์ออโต้ใช้ L แล้วขับให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าหยุด และไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง เพราะจะทำให้เกิดความร้อนสูงใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน

- ไม่ต้องห่วงว่าน้ำจะเข้าทางท่อไอเสีย ต่อให้น้ำท่วมมิดท่อไอเสียแล้วสตาร์ทรถยังติดแน่นอน สำหรับเครื่องหัวฉีดทั่วไป

- ลดความเร็วลงเมื่อขับรถสวนอีกคันป้องกันคลื่นที่จะปะทะกันไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้ หลังจากนั้นเมื่อลุยน้ำมาแล้วก็ควรย้ำเบรกบ่อยๆเพื่อไล่น้ำ ซึ่งหลังจากการลุยน้ำมาลึกๆ อาจทำให้เบรกไม่อยู่ แนะนำเมื่อถึงจุดหมายแล้วควรติดเครื่องต่อสักพัก โดยสังเกตว่าไม่มีไอน้ำออกท่อไอเสียแล้ว



สำหรับการดูแลรถหลังน้ำท่วม ล้างรถให้สะอาดฉีดน้ำเข้าท้องรถ ล้อรถ กำจัดเศษหินดินทราย เศษหญ้า ใบไม้ ที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้

- ตรวจสอบพื้นพรมในรถ เปิดผ้ายาง รื้อพรม ป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ

- เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ เพราะจะมีน้ำซึมเข้าไปทำให้พังได้

- เช็คลูกปืนล้อ เพราะการแช่น้ำนานๆอาจทำให้เกิดเสียงดัง รวมถึงตรวจสอบระบบต่างๆให้อยู่ในความเรียบร้อยหรือเข้าศูนย์เช็คสภาพรถ



ทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำเบื้องต้น หากพบมีสิ่งผิดปกติใดๆ เช่นเสียงดัง เข้าเกียร์ไม่ได้ ควรรีบปรึกษาช่างทันที ขอบคุณคำแนะนำดีๆที่ได้นำมาโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ประปาดอทคอม

สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตายมี 3 ชนิด

สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อนตายมี 3 ชนิด คือ

1. กรรม

ภาพกรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตมักหวนกลับมาปรากฏให้เห็นทั้งๆ ที่เราลืมไปนานแล้ว เช่นใครเคยฆ่าคนตาย ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับฆาตกรรมจะกลับมาปรากฏในจิต ถ้าเคยช่วยชีวิตคนไว้ภาพตอนนั้นจะมาปรากฏ นี้แสดงว่านึกถึงกรรมหรือกระบวนการทำความดีหรือความชั่ว ดังพระบาลีว่าในสมัยนั้น กรรมทั้งหลายที่ตนทำไว้ก่อนนั้น ย่อมเกาะติดในจิตของบุคคลผู้ใกล้ตายนั้น

2. กรรมนิมิต

บางคนเคยเห็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำกรรม เช่นบางคนเห็นมีดที่ตนเคยใช้ฆ่าวัว บางคนนึกถึงภาพโบสถ์วิหารที่ตนเคยสร้าง เราระลึกถึงนิมิตของกรรมใด ก็จะไปเกิดใหม่ตามพลังของกรรมนั้น

3. คตินิมิต



บางคนไม่นึกถึงกรรมในอดีต แต่กลับนึกถึงภาพของที่ที่จะไปเกิดในชาติหน้านั้น คือเห็นคตินิมิต หมายถึงภาพเกี่ยวกับที่ที่จะไปเกิด เช่นใครที่จะไปเกิดในสวรรค์ คนนั้นจะนึกเห็นวิมาน ใครจะไปเกิดเป็นประเภทสัตว์กินหญ้า จะนึกเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหล่านี้เป็นนิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิใด คงเหมือนกับภาพที่บางคนฝันเห็นล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์จริงๆ (สุบิน)

รวมความว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต จิตของเราระลึกถึงกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทใด เราจะไปเกิดในภพภูมิอันสอดคล้องกับกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทนั้น ดังนั้นบางคนวางแผนลักไก่คือชั่วชีวิตเขาทำบาปมากกว่าบุญ เขาจึงกะจะนึกถึงกรรมดีนิดหน่อยนั้นก่อนตาย ถ้านึกถึงพระด้วยตนเองไม่ได้ ก็สั่งลูกช่วยเตือนความจำ คนเรามักจะเตือนคนใกล้ดับจิตให้นึกถึงพระเอาไว้ แต่ใครทำบาปไว้มากคงไม่อาจหลอกตัวเองก่อนตายได้

ดังมีเรื่องเล่าว่า เสี่ยคนหนึ่งเป็นพ่อค้าขายข้าวเปลือก ชอบโกงชาวบ้านด้วยวิธีตวงข้าวเปลือกไม่เต็มถัง พอเสี่ยคนนี้ใกล้ตาย ลูกสาวก็กระซิบให้เตี่ยนึกถึงพระด้วยการบริกรรมว่า สัมมา อะระหังๆ แต่เตี่ยบริกรรมตามว่า สัมมา กี่ถังๆ

แท้ที่จริงนั้น กรรมที่ปรากฏในจิตก่อนตาย มีลำดับการให้ผลก่อนหลัง ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ

1. ครุกรรม (กรรมหนัก)

กรรมหนักจะให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ถ้าใครทำกรรมหนักภาพของกรรมหนักจะปรากฏในจิตก่อนตาย กรรมอื่นต้องรอโอกาสต่อไป กรรมหนักฝ่ายดี เช่น สมาบัติ 8 กรรมหนักฝ่ายไม่ดี คืออนันตริยกรรม 5 เช่น ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เป็นต้น

2. อาจิณกรรม (กรรมที่ทำจนชิน)

ถ้าไม่มีกรรมหนัก อาจิณกรรมจะให้ผลก่อนคือปรากฏในจิตก่อนตาย อาจิณกรรมหมายถึงกรรมที่ทำสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย กรรมประเภทนี้มีความสำคัญรองมาจากครุกรรม

3. อาสันกรรม (กรรมใกล้ตาย)

ถ้าไม่มีครุกรรมและอาจิณกรรม อาสันกรรมจะให้ผล อาสันกรรมหมายถึงกรรมทำก่อนสิ้นใจ เช่นการทำสังฆทานก่อนตาย หรือนิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ฟังในวาระสุดท้าย

4. กตัตตากรรม (กรรมที่สักว่าทำ)

ถ้ากรรมสามอย่างข้างต้นไม่มี กตัตตากรรมจะให้ผลโดยมาปรากฏในจิตก่อนตาย กตัตตากรรมหมายถึงกรรมด้วยเจตนาอันอ่อน คือไม่ได้ตั้งใจทำ เช่น เพื่อนเอาซองผ้าป่าให้ เราก็เอาเงินทำบุญใส่ซองทำบุญอย่างเสียไม่ได้ หรือแม่สั่งให้เราใส่บาตรพระเราก็ใส่ไปอย่างนั้นเอง นี้เป็นกตัตตากรรม ที่มีน้ำหนักน้อย เพราะเจตนาอ่อน

เหตุดังกล่าวนี้เองทำให้เราไม่สามารถลักไก่ได้ นั่นคือ เช่นคนที่ทำอาสันกรรมด้วยการใส่บาตรพระ ก่อนตัวเองจะตายย่อมไม่สามารถหนีกรรมหนักที่เกิดจากการฆ่าพ่อแม่ไปได้ เป็นต้น เพราะกรรมต่างๆ ให้ผลตามลำดับอย่างนี้ เราจะไปเกิดที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรม กรรมนิมิต หรือคตินิมิตที่เรานึกถึงก่อนตาย

7 ต.ค. 2554

25 เคล็ดลับความสำเร็จของ Steve Jobs (หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Pixar)

เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่ Steve Jobs หนึ่งในผู้ที่เข้ามาปฏิวัติวงการ IT และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Pixar บริษัทที่ทำอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงของโลก วันนี้ จขกท มี เคล็ดลับการประสบความสำเร็จของเค้ามาฝากค่ะ


"เขาว่ากันว่ามีแอ็ปเปิ้ลสามลูกที่เปลี่ยนโลกใบนี้ แอ็ปเปิ้ลลูกแรกคือ ลูกที่อดัมและอีฟกินเข้าไป แอ็ปเปิ้ลลูกที่สองคือ ลูกที่ตกใส่หัวของเซอร์ไอแซ็ค นิวทัน ทำให้เขาค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก และแอ็ปเปิ้ลลูกที่สาม คือ แอ็ปเปิ้ลของสตีฟ จ็อบส์"

สตีฟ จ็อบส์ อุทิศชีวิตให้กับการคิดนอกกรอบ เขาทำให้เส้นกั้นอันหนาเตอะระหว่างสุนทรีย์แห่งความงามและความกระด้างแห่งวิศวกรรมกลายเป็นเพียงเส้นใยอันบางเบา ผลลิตทางความคิดนี้ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่พลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมดนตรี และขับเคลื่อนพลโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว เขาสมควรได้รับการยกย่องในฐานะนักประดิษฐ์แห่งสหัสวรรษที่สาม

ข้อคิดดีๆ ต่อไปนี้ คือผลพวงจากการตามติดชีวิตของเขา ทั้งในยามยากและยามรุ่งโรจน์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการทำงาน ในชีวิตจริงเราคงอาจฝันถึงความเป็นสุดยอดเฉกเช่นเขา แต่จะเป็นจริงได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล อย่างไรก็ตามอย่างน้อยที่สุดการได้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน ก็น่าจะพอแล้ว มาปลุกวิญญาณความเป็น สตีฟ จ็อบส์ ในตัวเราด้วยกันเถอะ

1. Beginners don’t have baggage – เริ่มอย่างไร้กังวล

เริ่มต้นเล็กแต่คิดใหญ่ ผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเริ่มจากศูนย์แล้วนับหนึ่ง จากเอแล้วไปบี มักเป็นคนที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ดีๆ “ผมไม่รู้คุณค่าของปรัชญานี้จนกระทั่งผมโดนเฉดหัวออกจากแอ็ปเปิ้ลครั้งแรก นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยทีเดียว ความกดดันในความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกโปร่งโล่งสบายของการเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความคิดสร้างสรรค์และมีไอเดียกระฉูดมากที่สุด”

2. Be bold – จงห้าวหาญ
สตีฟมักย้ำถึงการทำสิ่งที่ชัดเจนด้วยความกล้าและปราศจากความกลัว เขากล่าวว่า “ชีวิตคนสั้นนัก จะตายเมื่อไหร่ไม่รู้”

3. Be what’s next – มองหาสิ่งใหม่ มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ จงเรียนรู้ อย่าฟูมฟายกับอดีตที่จบไปแล้ว อย่าคร่ำครวญกับสิ่งที่หายไป เราควรที่จะคิดถึงสิ่งใหม่ๆในชีวิตของเราที่ยังรอการค้นพบ บางครั้งก้าวแรกอาจจะแสนยาก แต่จงเริ่มต้นทำ และความกล้าหาญจะเกิดขึ้นตามมา “ถ้าผมได้บริหารแอ็ปเปิ้ล ผมคงจะมุ่งพัฒนาให้แม็คอินทอชเป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าสุดๆ ด้วยการคิดค้นลูกเล่นใหม่ๆ สงครามพีซีมันจบนานแล้ว และไมโครซอฟท์คือผู้ชนะ”

4. Design by committee doesn’t work. – อย่าให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาตัดสินชี้ชะตา
มันเป็นเรื่องยากที่จะออกแบบอะไรซักอย่างตามความต้องการของพวกคนที่มานั่งประชุมกัน คนเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าอยากได้อะไรจริงๆ จนกว่าจะได้เห็นสิ่งนั้น”

5. Design is more than veneer – การออกแบบไม่ใช่การสร้างเปลือกนอกเพื่อห่อหุ้ม แต่มันคือสิ่งที่มีมิติและมีองค์ประกอบซ้อนกันหลายชั้น
“ในบริบทของใครหลายคน การออกแบบเป็นแค่การสร้างเปลือกนอก เป็นแค่การตกแต่งภายใน เปรียบเสมือนผ้าหุ้มโซฟา แต่สำหรับผมแล้ว การออกแบบคือจิตวิญญาณขั้นต้นของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์ที่มีหัวใจของการออกแบบที่ดีแสดงออกถึงพิ้นผิวของมัน ซึ่งทับซ้อนกันอยู่หลายระดับ”

6. Don’t live someone else’s life – จงใช้ชีวิตในแบบของคุณ
“ช่วงเวลาชีวิตสั้นนัก อย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่าด้วยการทำตามผู้อื่น อย่ายึดติดกับกฎเกณฑ์ข้อบังคับ และอย่าปล่อยใจไปตามความคิดของคนอื่น เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ทำตามที่หัวใจคุณเรียกร้องและสัญชาตญาณ”

7. Drive to do great things – ค้นหาความทะเยอทะยานและปรารถนาที่แท้จริงของคุณให้พบ “นึกถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และทำมันให้แตกต่างจากคนอื่น หนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้ก็คือรักในสิ่งที่คุณทำ จงสร้างความประทับใจให้ตัวเองมิใช่ผู้อื่น”

8. Excellence is a way of life – มองหาความเป็นเลิศ
สตีฟได้บรรลุแนวทางนี้ด้วยการนำศิลปะและวิศวกรรมมาเรียงร้อยด้วยกันอย่างลงตัว เขาได้ยกระดับของสุนทรีย์แห่งการออกแบบให้สูงขึ้น “คุณภาพและความงามคือเป้าหมายสูงสุด หลายคนมักไม่คุ้นเคยกับสภาวะการทำงานที่ต้องอาศัยความเป็นเลิศ เพราะไม่ต้องใช้มันบ่อยนัก ถึงกระนั้นความเป็นเลิศคือหัวใจสำคุญที่สุดของการทำงาน”

9. Get out of the way for the moving force – จงอย่าเป็นตัวถ่วง
สตีฟไม่เคยเก็บคนไร้ประโยชน์เอาไว้ เขาตระหนักดีว่าคนที่ทำงานคือพวกที่สร้างประโยชน์ “หน้าที่หลักของผมคือทำให้คนที่ทำงานจริงๆ นั้นอยู่ดีมีสุข และเก็บพวกคนที่ไม่ทำงานเอาไว้ให้ห่างจากคนที่มีประโยชน์เหล่านี้”

10. If they fall in love with the company, everything else takes care of itself – มองหาคนทำงานที่มีความรักทุ่มเทให้กับองค์กร
“จริงอยู่ที่สมรรถภาพคือตัวแปรแห่งความสำเร็จ แต่คนทำงานเหล่านั้นจะรักบริษัทหรือเปล่า ผมเชื่อมั่นว่าถ้าเขารักแอ็ปเปิ้ล เขาจะนำพาแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาสู่แอ็ปเปิ้ล ไม่ใช่ทำเพื่อตัวผมหรือตัวเองหรือใครก็ตาม”

11. It better be worth it. – ไม่ลองไม่รู้ จงทำให้ดีที่สุด อย่ามัวแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่
“เมื่อเราได้เลือกแล้วว่าจะทำอะไร ฉะนั้นจงเชื่อว่ามันจะออกมาดีคุ้มค่าเหนื่อย”

12. It’s not the money. It’s the impact.- เงินไม่ใช่คำตอบของชีวิต คุณค่าของเราอยู่ที่การได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่โลก
“ผมไม่แคร์หรอกว่าจะได้นอนกอดเงินเป็นล้านอยู่ในหลุมศพ สิ่งสำคัญสำหรับผมคือการได้ระลึกถึงสิ่งดีงามที่เราได้ทำลงไปก่อนเข้านอน”

13. It’s the crazy ones who change the world – จงคิดนอกกรอบ
กล้าทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น คนที่บ้าพอที่จะทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใครสามารถเปลี่นแปลงโลกได้ เพราะสิ่งนั้นคือผลพวงของอัจฉริยะ

14. Innovation distinguishes between a leader and a follower.- สร้างนวัตกรรมใหม่
นวัตกรรมจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้ตาม จ้างคนที่ต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดในโลกมาทำงาน ถึงแม้คุณจะมีคนทำงานเก่งกาจมากมาย คุณต้องเป็นผู้นำ ทำหน้าที่ชี้นำให้พวกเขาทำงานร่วมกันเป็นทีม “นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากการหว่านเม็ดเงิน มันเกิดจากการใช้มันสมองของคนให้เต็มที่ด้วยการเป็นผู้นำที่ดี ตอนที่เราคิดค้นเครื่องแม็คขึ้นมา ไอบีเอ็มใช้เงินลงทุนมากกว่าเรา 100 เท่า มันอยู่ที่คนของคุณ อยู่ที่แนวทางของการนำพาคนเหล่านั้น”

15. Make people great. – เคี่ยวเข็ญคนของคุณให้เป็นคนเก่ง
“ผมจะไม่ทำตัวเหลาะแหละกับลูกน้อง หน้าที่ผมคือเขี่ยวเข็ญให้พวกเขาเก่งยิ่งขึ้นไปอีก”

16. Perseverance pays off.- ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
สตีฟเชื่อว่า “ครึ่งหนึ่งขององค์ประกอบทั้งมวลแห่งความสำเร็จของพวกนักลงทุนทางการเงินคือความวิริยะอุตสาหะ”

17. Put your heart and soul into it – จงทำมันให้เต็มที่ เพราะเป้าหมายมีไว้พุ่งชนและพิชิต
“กุญแจสำคัญคือความไม่กลัว ทำงานด้วยหัวใจและจิตวิญญาณแห่งการบรรลุเป้าหมาย”

18. Pick your priorities carefully – ลำดับความสำคัญอย่างระมัดระวัง

การมีไอเดียดีๆ ในหัวเป็นร้อยเรื่องคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่มันจะกลายเป็นเรื่องเยี่ยมที่สุด หากเราลำดับความสำคัญให้ดี “การเพ่งความสนใจให้กับทุกเรื่องในหัวเป็นสิ่งดี แต่นั่นไม่ใช่คำตอบแห่งความสำเร็จ ควรยึดมั่นในบางอย่างก็พอ แล้วปล่อยที่เหลือเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจ”

19. Simplicity wins – ความเรียบง่ายคืออาวุธลับและอำนาจที่จะทำให้พิชิตความสำเร็จ
“เราควรตรวจสอบขั้นตอนการทำงาน และขจัดความยุ่งยาก ด้วยการตั้งคำถามว่า เราจะทำให้มันเรียบง่ายมากขึ้นและแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นได้ในเวลาเดียวกันได้หรือไม่”

20. Talent is a huge multiplier.- พรสวรรค์ทำให้เกิดการแตกหน่อ คนเก่งมักดึงคนเก่งให้มาอยู่ด้วยกัน
“ประสบการณ์สอนผมว่า การที่เราได้คนเก่งมาร่วมงาน ทำให้องค์กรสามารถดึงคนเก่งจากที่อื่นมาร่วมงานได้มากขึ้น ทั้งนี้โดยธรรมชาติของคนพวกนี้ มักชอบทำงานกับคนเก่งด้วยกัน”

21. Take responsibility for the complete user experience.- ความคิดเห็นจากผู้ใช้และลูกค้าคือเสียงสำคัญ
“ดีเอ็นเอของเราคือบริษัทที่คำนึงถึงผู้บริโภค เสียงตอบรับไม่ว่าดีหรือร้าย บวกหรือลบ ล้วนแล้วแต่มีบทบาทเท่ากันในการปรับปรุงการให้บริการ หน้าที่ของเราคือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่ลูกค้าได้รับจากเรา”

22. What you don’t do defines you as much as what you do – “ผมมีความภูมิใจในสิ่งที่ยังไม่ได้ลงมือทำเท่ากับสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว”

23. You have nothing to lose.- ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว
ทำด้วยใจ สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ด้วยความรัก “อีกไม่กี่วันพวกเราก็ตายแล้ว ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าเราได้สูญโอกาสไปแล้วเท่าไหร่ การคิดแบบนี้เหมือนกับดักทางความคิด ให้คิดว่าเราได้เปลือยกายจนล่อนจ้อน จะมีเหลืออยู่ก็แต่ร่างกายและหัวใจ จงทำทุกอย่างให้เต็มที่”

24. You just might be right, even if nobody listens to you. -การที่ไม่มีใครฟังคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณผิด
สทีฟเคยเจอกับตัวเอง เลยเล่าให้ฟังงว่า “คุณรู้มั้ย ผมเคยมีแผนการวิเศษที่จะช่วยกู้ชีพแอ็ปเปิ้ลได้ มันเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ผมไม่สามารถบอกใครได้ เพราะไม่มีใครยอมฟัง” อุทาหรณ์ของเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การที่ไม่มีใครฟังคุณเลย ไม่ได้หมายความว่าคุณผิด

25. Your brand is your most valuable asset – จุดยืนของตัวเองคือสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด
นั่นคือคุณแตกต่างจากคนอื่น ทำให้คนอื่นทราบว่านี่แหละคือตัวคุณ นี่แหละคือออร่าของคุณ

“เมื่อพูดถึงแอ็ปเปิ้ล แบรนด์ของเราคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในสายตาผม”

2 ต.ค. 2554

ถนอมดวงตาด้วยวิธีง่าย ๆ

*ถนอมตาสวย ด้วยวิถีธรรมชาติ*


เมื่อพูดถึงการดูแลผิว ไม่ว่าผิวส่วนไหน
ก็แน่นอนอยู่แล้วค่ะว่าจะต้องเกี่ยวพันกับสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้แต่ผิวรอบดวงตา ที่เมื่อใดที่เราเริ่มมีปัญหาสุขภาพ
โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดอาการ ธาตุไฟไม่สมดุล
ผิวบริเวณนี้จะได้รับผลกระทบก่อนใครเพื่อนเลยทีเดียว
อาการธาตุไฟไม่สมดุลนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย
โดยสิ่งกระตุ้นจากอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา
รวมไปทั้งปัจจัยความเครียด และความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
เป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้บริเวณรอบๆดวงตาเป็นรอยหมองคล้ำและบวมแดง
เห็นได้ชัดกว่าผิวบริเวณอื่น
เพราะผิวส่วนนี้มีความละเอียดอ่อนและบอบบางมากกว่าผิวบริเวณอื่นๆ
และยังเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและเซลล์ต่างๆอยู่เป็นจำนวนมาก
จึงถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายยังไวต่อการร่วงโรยเป็นพิเศษซะอีกด้วย และบางที
การที่คุณทำความสะอาดผิวหรือเมคอัพรอบดวงตาอย่างไม่ระวัดระวังหรือหนักมือ
เกินไป ก็เป็นการทำร้ายผิวได้พอๆ


ปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลรอบดวงตาโดยเฉพาะ
แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังต้องพึ่งการดูแลด้วยธรรมชาติควบคู่ไปพร้อมๆกัน


* วิธีการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตามีอยู่หลายข้อทีเดียว
ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติกับตัวเองได้อย่างง่ายๆ*
เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ให้ดวงตาดูสวยสดใส
- ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกๆ 2 - 4 ปี แต่สำหรับผู้ที่อายุ 65
ปีขึ้นไปแล้ว ควรจะตรวจให้บ่อยขึ้นคือทุกๆ 1 - 2 ปี
- สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ
ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตา โดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10 - 15 นาที
- ควรสวมแว่นตาดำที่สามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้
ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัดจ้า
- ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับควันและฝุ่นละอองต่างๆโดยตรง


*อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
* - รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti Oxidant) ในปริมาณสูง
เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท
ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา
และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้
อีกทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด และมีความไวในที่แสงน้อยๆดีกว่า
- รับประทานผักที่มีสารลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)
ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง มีสีเหลือง
พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอะโวคาโด บร็อคโคลี่ ข้าวโพด
ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง
เหล่านี้ล้วนเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา
ทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา
ไม่ให้ถูกทำลาย โดยการต้านอนุมูลอิสระพร้อมทั้งกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
- รับประทานสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ


*เคล็ดลับการนวดกดจุดเพื่อผ่อนคลาย บริเวณรอบดวงตา*
1. ใช้ปลายนิ้วชี้ กลาง และนาง ยืดคิ้วออกทางด้านข้าง 3 ครั้ง
2. ใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้าง หมุนวนรอบดวงตาพร้อมๆกัน
ในลักษณะวนตามเข็มนาฬิกา และแต่ละครั้งให้หยุดกดที่บริเวณหัวคิ้ว
ทำแบบนี้ซ้ำทั้งหมด 60 รอบ
3. ใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้วไปถึงขมับ 3 รอบ
4. กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาไปถึงหางตา 3 รอบ
5. ใช้นิ้วกลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำทั้งหมด 6 รอบ
6. ทำซ้ำข้อ 2 - 5 ทั้งหมด 3 รอบ
7. นำมือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตา โดยลากน้ำหนักลงที่ปลายนิ้ว
ออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วจึงค่อยๆ ยกฝ่ามือออกจากใบหน้า


*ถนอมดวงตาด้วยวิธีง่าย ๆ*


ดวง ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการมองเห็น และการรับรู้สิ่งต่าง ๆ บนโลก
ดวงตานั้นมีความอ่อนโยน และบอบบาง
จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเป็นพิเศษ
วันนี้ก็เลยถือโอกาสนำวิธีการถนอมดวงตาแบบง่าย ๆ มาให้ลองปฏิบัติกัน


1. ควรใช้สายตาที่มีแสงสว่างเพียงพอและหลีกเลียงการเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตาได้
2. ควรสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่มีแสงจ้า
3. ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสกปรกขยี้ตา หรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น
ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจจะมีเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผ้าเช็ดหน้า
มาทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้
4. กรณีที่ใช้สายตานาน ๆ เช่น อ่านหนังสือ ก็ควรหาช่วงพักผ่อนสายตา
ด้วยการทอดสายตาออกไปไกล ๆ หรือมองต้นไม้สีเขียวบ้าง
5. การนอนอย่างเพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เป็นการพักผ่อนสายตาที่ดี
6. การแต่งหน้าอาจทำให้เกิดถุงใต้ตา และรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
เนื่องจากเนื้อครีมเข้มข้นอาจใช้แรงกดในการทา ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้
ดังนั้นควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวหน้าและผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ
ต้องมีเนื้อครีมที่บางเบา ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
7. ถ้าดวงตาเกิดอาการบวมแดงหรือดูอิดโรยไม่สดใส
ให้ใช้สำลีชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็ง มาวางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง
เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น
8. บริหารดวงตา โดยการกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลม เริ่มจากตามเข็มนาฬิกาครบหนึ่งรอบ
แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กัน วันละ 2-3 ครั้ง
หรือนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก แล้วใช้แตงกวาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ
นำมาแปะไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง
เมื่อลืมตาขึ้นมาจะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

8 ข้อ "เสียดาย" ของมนุษย์เงินเดือน

*อ่านแล้วรู้สึกว่า เสียดายกันบ้างไหมล่ะ*
*เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว*ไม่มีโอกาสแก้ตัว
เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้น­ถูกหรือผิด
ดีหรือไม่ดี
และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนคือประ­สบการณ์ชีวิตหรือข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง
ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น
เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ
จึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆ
อดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่าคนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นพี่ที่ผ่านๆ
มาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึก " เสียดาย " อะไรบ้างหรือพูดง่ายๆ คือ
เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา


*1. เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน*
ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ ในปัจจุบัน
มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆ
ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก
เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย
ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำงาน
เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว
มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที
เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว
ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอน­เรียน
ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก
เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน
(เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร
กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว
เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่
บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ
แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชันกลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ
อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ *อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน
และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ
และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง
เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุข­ภาพร่างกายระยะยาว


*2. เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย*
มนุษย์เงินเดือนเงินหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป
คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว
ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆ
ที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ)
เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว
ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆ
ที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่
ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ
เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่ทุ่มเทกับงานก็น้อยลง
ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว
เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆ
ที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คิดง่ายๆ
ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ
ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา
แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย
นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ *อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง
อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้วจึงคิดจะแต่งงาน
อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว
หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่­สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน
และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น


*3. เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ*
ความเสียดายข้อนี้เชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้
เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ
รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน
แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น
งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิม คือ
รอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้
(เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย
เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น
อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับ­นี้
ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ
เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง
เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว
ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง
แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม
เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ *คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ
สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง
และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว


*4. เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน*
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า
ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆ
เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น
ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่
เลยใช้เวลากับมันมาก
เครียดกับมันบ่อยแทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองเลย
ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆ
แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เรา­ไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน
แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้
คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก
คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด
ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา
คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป
แต่....ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
*อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมัน­ให้มากนัก
แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่ไกลหรือไม่
เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่
ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดช­ีวิตเช่นกัน
และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้
เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้
เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น


*5. เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย*
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆ ละครั้งสองครั้ง
ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า
อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ
ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่
คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี
แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก
เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ *อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี
เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform)
และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve)
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต
เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง
แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์
ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น


*6. เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ*
" เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี "
เป็นคำพูดที่ได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ
ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ
แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก
และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว
ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
*จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่าง­ชาติตั้งแต่ต้น
หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ


*7. เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย*
มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว
ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร
จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ
ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย
อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละ พูดง่ายๆ
คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆ
ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงานเสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน
รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี
มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆ
รุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้*อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะ­เป็นอะไร
จะทำอะไร
จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร


*8. เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป*
คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย
ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย
แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงา­นอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว
สังคมเดียว
คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน
พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง
อายุงานเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ
สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ (แถมเงินเดือนสูงอีกต่างหาก)


*ถ้าย้อนเวลากลับไปได้*อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน
โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใด องค์กรหนึ่งนานจนเกินไป


ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง
แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า " เสียดาย "
ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ หรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป
อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่อ­งนี้เหมือนรุ่นพี่ๆ
หรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้

7 วิธี ขับประหยัดกับเกียร์ สำหรับเกียร์ ออโต้


ช่วงนี้แม้ราคาน้ำมันอาจจะลงไปแล้วหลังนโยบายรัฐบาลตัดสินลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันส่งผลให้ราคาทรุดฮวบไปในทันใด แต่ถึงจะเริ่มวางใจได้แต่นโยบายนี้ก็เปิดมาแล้วว่าเป็นเพียงแค่ชั่วคราว และการประหยัดที่แท้จริงยังอยู่กับเราๆท่านๆเหมือนเดิม

หลายครั้งที่เราออกมาพูดเรื่องการประหยัดน้ำมันปาวๆ ทำโน่นนี่นั่น แต่ครั้งนี้เราจะต่างออกไปด้วยการพูดถึงเทคนิคการขับเสียส่วนใหญ่ ที่คราวนี้เราขอตามกระแสกับ 7 เทคนิคที่คุณต้องรู้เอาไว้ ถ้าคุณกำลังใช้รถเกียร์อัตโนมัติ

1.รู้จักรถยิ่งขับยิ่งประหยัด เราหลายคนรู้จักรถดีขับมันทุกวันแต่ไม่คุ้นเคยกับนิสัยของมันเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่น่าแปลก เพราะการขับขี่นั้นจำเป็นต้องรู้จักรถให้ดี สิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำคือช่วงที่แรงบิดสูงสุดถูกเรียกออกมา ซึ่งจะมีประโยชน์มากยามเร่งแซง

2.Walking Speed หลายคนที่ขับรถนั้นไม่ค่อยคุ้นกับคำนี้เท่าไรนักแต่ walking Speed นั้นหมายถึงการที่รถยนต์สามารถเคลื่อนได้ด้วยตัวเองโดยที่เราไม่ต้องแตะคันเร่ง ตามปกติสำหรับเกียร์ออโต้แล้ว Walking speed คือสิ่งที่เราทำกันอยู่ประจำยามที่เราไม่ได้เดินคันเร่ง ซึ่งมีประโยชน์ตอนที่กาจราจรติดขัดหรือตอนเข้าที่จอดรถ เพราะยิ่งเร่งน้อยก็ยิ่งประหยัด

3 เกียร์ L ขึ้นทางชันรับรองว่าประหยัดกว่า ในการขึ้นทางชันนั้นเราหลายคนมักละเลยในการเปลี่ยนโหมดเกียร์มาใช้เกียร์ L ด้วยความสะดวกเข้าว่า ความจริงแล้วถามว่าผิดหรือคำตอบคือไม่ แต่มันไม่เหมาะสม เพราะเกียร์ D นั้นจะทำการเปลี่ยนเกียร์ แต่ในการขึ้นทางชันที่แรงต้านทานจากเนินสูง โดยเฉพาะการขึ้นที่จอดรถ การใช้เกียร์ L โดยใช้กำลังแรงบิดเครื่องส่งขึ้นนั้นจะทำให้รถไม่ต้องออกแรงสู้กับเนินมากผลคือประหยัดกว่า ชัวร์!

4.คิกดาวน์อย่าทำบ่อยถ้าไม่จำเป็น การคิกดาวน์ในเกียร์อัตโนมัตินั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสร้างความสะดวกสบายในการเร่งแซง แต่มันก็ต้องแลกมาดัวยอัตรากินน้ำมัน ซึ่งแม้ระบบเกียร์ปัจจุบันจะมีการพัฒนาให้ตอบสนองได้ดีส่งกำลังได้มากยิ่งขึ้น แต่การคิกดาวน์ก็ยังเปรียบได้ดั่งการกระชากเกียร์อยู่ดี

หลายคนที่ขับเกียร์อัตโนมัติเข้าใจว่าการคิกดาวน์นั้นเป็นหนทางเดียวที่เร่งแซง แต่ความจริงแล้วนอกจากที่ปลายเท้าแล้วยังมีการใช้ระบบ Overdrive หรือ O/d ซึ่งทำให้เกียร์เปลี่ยนอย่างนิ่มนวลมากกว่าการคิกดาวน์หรือบางคันเป็นตำแหน่ง 3/D3 ตามแต่ยี่ห้อรถ

5 คันเร่งเดินให้เนียน หลายคนที่ไม่ได้ฝึกขับรถอย่างจริงจังนั้นมักจะไม่ทราบว่าการเดินคันเร่งนั้น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งชีพในการพิชิตความประหยัดที่จะใช้น้ำมันทุกหยดให้คุ้มค่า การใช้คันเร่งนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากในรถเกียร์ออโต้ เพราะเมื่อเรากดคันเร่งลึกไประบบเกียร์ก็จะคิกดาวน์หรือน้อยไป รถก็วิ่งแบบคลานๆ เราต้องหาความพอดี โดยอาจจะใช้วิธีกดเร่งไปถึงระดับความเร็วที่ต้องการก่อนแล้วผ่อนรักษาความเร็ว ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งที่ให้การประหยัดน้ำมันที่ดีทีเดียว และที่สำคัญไปกว่านั้นพยายามรักษาความเร็วให้คงที่ตลอดทาง หากรถคุณมีระบบ Cruise Control อย่าลืมที่จะใช้มันในการขับขี่

6.เบรคให้น้อยชะลอบ่อยๆ เราหลายคนที่ขับรถยนต์เกียร์ออโต้ที่ชินกับการเร่งและเบรคนั้น อาจจะไม่ค่อยมีสไตล์การขับขี่ที่ใช้วิธีชะลอความเร็วเหมือนคนที่ขับรถเกียร์รรมดา ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากความคุ้นเคย แต่เชื่อหรือไม่การชะลอความเร็วโดยไม่เบรคนั้นเป็นหนึ่งในกระบวนการของวิธีประหยัดน้ำมันด้วย

เรื่องนี้ฟังดูไม่น่าเกี่ยวกันแต่มันคือข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อเราเบรคลดลมจากท่อไอดีจะถูกดูดมาที่หม้อลมเพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์ซึ่งจะมีอัตราลดลงมากกว่าการที่เราไม่เหยียบคันเร่งหรือชะลอความเร็ว นี่ยังไม่นับการสูญเสียน้ำมันกับการเร่งเมื่อความเร็วลดลงกว่าที่ขับปติ ซึ่งเท่ากับการซดน้ำมัน 2 เท่าตัว

7.หัดใช้เทคโนโลยีใหม่ ปัจจุบันรถยนต์เกียร์ออโต้หลายรุ่นเริ่มมีการติดตั้งระบบ start/stop function เข้ามาเพื่อหยุดการทำงานเครื่องยนต์ชั่วคราว ระบบนี้ช่วยคุณประหยัดได้มาก-มาที่สุดในสภาวะการจราจรที่ติดขัด เพราะเมื่อเครื่องยนต์หยุดทำงานก็หยุดจ่ายน้ำมัน ผลคือประหยัดแน่นอน ดังนั้นจึงควรเรียนรู้ไว้ โดยปกติแล้วระบบดังกล่าวจะทำงานเมื่อเราเหยียบแป้นเบรคเป็นระยะเวลานานๆ ส่วนวิธีการรีสตาร์ทเครื่องนั้นก็เพียงกดคันเร่งก็สามารถขับขี่ต่อได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายระบบที่สำคัญต้องลองหัดดูครับ

ทั้ง 7 ข้อนี้เป็นเพียงเรื่องราวเล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้คุณสามารถเซฟเงินในกระเป๋าได้เมื่อขับรถเกียร์ออโต้ ที่แม้ราคาน้ำมันในชั่วโมงนี้อาจจะยังไม่น่าห่วงแต่ฝึกเอาไว้ให้ชินจะมีประโยชน์มากเมื่อยามน้ำมันกลับมาแพง

'ผีอำ' น่ากลัวจริงไหม


ถึง น้าชาติ

เมื่อคืนหนูนอนอยู่ แล้วเหมือนกับว่ารู้สึกตัวตื่น ลืมตาขึ้นมา แต่ขยับตัวไม่ได้ ป้าบอกว่า 'หนูถูกผีอำ' อยากรู้ว่าผีอำเกิดจากอะไร ไม่ได้เป็นผีจริงๆ ใช่ไหมคะ

จาก คนกลัวผี

ตอบ คนกลัวผี

ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ไขข้อสงสัยในวิทยาศาสตร์รอบตัว จากเว็บไซต์ สสวท. ว่าความจริงแล้วอาการผีอำ คือ ล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าโดยเฉพาะหลังจากทำงานหรือดูหนังสือ แม้กระทั่งดูโทรทัศน์ เมื่อเข้านอนด้วยความล้า และเกิดการประสานกันระหว่างสารเคมีกับสภาพชีวเคมีของร่างกาย ทำให้เกิดอาการทั้งกดทั้งค้าง ทำให้เราขยับเขยื้อนไม่ไหว ในขณะนั้นความจริงแล้วกำลังตื่นอยู่ สมองทำงานได้ แต่ร่างกายเราขยับเขยื้อนไม่ไหว เหมือนมีคนมาจับเราอยู่ จึงคิดเลยเถิดว่ามีผีมาจับตัวเรา

น.พ.เทอดศักดิ์ เดชคง นายแพทย์เชี่ยวชาญ กลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เขียนไว้ในเว็บไซต์ หมอชาวบ้าน ว่าผีอำเป็นปัญหาในการนอน เกิดอาการในสภาวะคล้ายๆ กับการฝัน ขณะที่ถูกผีอำคนๆ นั้นจะอยู่ในสภาวะที่ขยับตัวไม่ได้

สภาวะการหลับมี 2 ระยะ คือ non-REM เป็นช่วงที่หลับ แต่ตาไม่ได้กลอกไปมา ยังพอมีกำลังขยับตัวได้ พลิกตัวได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเราจะลุกขึ้นมาได้ แต่ในภาวะหลับตาแบบตากระตุก หรือ REM sleep จะมีการฝัน กล้ามเนื้อต่างๆ จะผ่อนคลายหมด ขยับตัวไม่ได้ยกเว้นต้องตื่นในช่วงเวลาเอง ถ้ามีสิ่งเร้าอะไรที่มาทำให้เราไม่สบาย เช่น อาจจะมีหมอนข้างมาวางอยู่บนตัวหรือขา หรืออาจจะนอนในท่าที่ไม่สบาย อยากจะออกจากสถานการณ์นั้น แต่ว่าทำไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อมันคลายไปหมดแล้ว ก็จะเป็นสภาวะที่รู้สึกเหมือนกับว่าใครมากดทับ สักพักหนึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง

คนที่มีอาการ 'ผีอำ' ไม่ได้เป็นความผิดปกติทางจิตใจ แต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกในเบื้องต้นว่าเริ่มมีภาวะความเครียด ซึ่งไม่ได้เกิดอาการนี้ทุกๆ วัน ยกเว้นบางคนที่เป็นมาก แสดงว่าปัญหาเยอะ แล้วมักจะเก็บไปฝัน ถ้าตื่นขึ้นมานิดหนึ่งก็จะรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้ ตกอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น

วิธีการจัดการเมื่อถูกผีอำ คือ ผ่อนคลายความเครียดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง อย่าไปทำอะไรที่ตื่นเต้น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกม อาจจะผ่อนคลายก่อนนอนด้วยการอาบน้ำอุ่น หรือดื่มนมอุ่นๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง จะทำให้หลับสบายขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีสะกดจิตเข้าช่วยโดยการโปรแกรมจิตใหม่

รายที่อาการมากๆ แพทย์จะจ่ายยาคลายเครียดหรือยาต้านเศร้า จะทำให้หลับสนิทขึ้นโดยไม่ฝันมากนัก เพราะคนที่ผีอำจะฝันปนอยู่ด้วย เมื่อฝันน้อยลงจะลดอาการผีอำได้

หลักง่ายๆ เวลาโดนผีอำให้นอนเฉยๆ สักพักอาการจะหายไปเอง

ผู้ใหญ่มักจะเตือนว่าอย่านอนตอนโพล้เพล้เพราะจะถูกผีอำ น.พ.เทอดศักดิ์บอกว่าในทางวิทยาศาสตร์เวลาเย็นๆ หรือโพล้เพล้เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของแสง การเปลี่ยนแปลงของแสงนั้นเป็นสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่ทำให้มีปัญหาในการนอน ถ้าเรานอนตอนกลางคืนหรือกลางวันไปเลยจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้านอนช่วงโพล้เพล้อาจจะหลับไม่สบาย หลับไม่สนิท

ผีอำ จึงไม่ใช่ผีเข้า อย่างที่เข้าใจผิดกันมา และสามารถแก้ไขได้โดยทำใจให้สบายก่อนนอน





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด