ผมอยู่ในวงการรถยนต์นี้มา กว่า 25ปี อยากออกความคิดเห็นเผยแพร่ให้เพื่อนๆชาวรัชดา ได้รู้ได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน ถึงแม้หลายท่านจะรู้มากกว่า เก่งกว่า แต่ก็ถือว่าได้ทำประโยชน์แก่สังคม ทำสิ่งดีๆในวันใหม่ ปีใหม่ ให้แก่เพื่อนๆที่ยังไม่ทราบได้ทราบ ไม่เข้าใจก็เข้าใจมุมมองของพ่อค้ารถบ้างว่า
มุมมองของพวกผมเป็นยังไง แล้วจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆยังไง ก็คอยติดตามอ่านไป
"รถยนต์ " คือพาหนะ ทางบกอย่างนึง ที่ พาคุณ พาผู้โดยสาร ไปถึง จุดหมาย ได้
รถยนต์ เป็นเครื่องจักร มีการเสื่อมโทรม เสียหาย และ สูญเสีย รวมถึงสูญหาย
รถยนต์ บ่งบอกถึง สถานภาพทางเศรษฐกิจของคุณได้
รถยนต์เป็นปัจจัยที่ 5 หรือที่6 รองจากโทรศัพท์มือถือ
รถยนต์มีมูลค่าของมัน หากขายก็มีราคาตลาด เช่นทองคำ หรือเงินสด
รถยนต์มีเสื่อมราคา
รถยนต์มีเก่า แก่ เจ็บ และ ตาย เช่นคนสัตว์ แต่วงจรชีวิต แค่ ไม่เกิน 20ปี
รถยนต์มีหลายประเภท หลายขนาด และหลายรูปแบบ ตามความต้องการ
รถใหม่วันนี้ คือรถเก่าในวันรุ่งขึ้น
รถให้ดีเพียงไหน หรูเพียงใด เมื่อแก่แล้ว ย่อมสู้รถใหม่ในวันนี้ไม่ได้ และรถวันนี้ย่อมสู้รถในวันหน้าไม่ได้
รถที่ใช่และรถที่ชอบ นั่นแหละคือรถที่คุณว่าเหมาะที่สุดสำหรับคุณ อย่าถามคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว หรือคนที่ใช้รถร่วมกับคุณ
ฯลฯ กับคำจำกัดความว่า "รถยนต์"
อารัมภบท มาซะนาน เข้าเรื่องดีกว่า
ผมมีอาชีพค้าขาย หรือเรียกว่า พ่อค้า เรียกให้เพราะๆ ก็นักธุรกิจ ซื้อขายรถยนต์มือสอง หรือใช้แล้ว
"พ่อค้า ทุกสินค้า ก็ ทำแบบเดียวกัน คือซื้อมา ขายให้มีกำไร "
แต่ถ้ารถยนต์ค้าขายง่ายๆ แบบมาม่า ไวไว หรือแสน็ค มันมัน เลย์ที่ซองละ5 บาท 10 บาท ซื้อมา4ขาย5 ซื้อมา8ขาย 10บาทก็สบายๆสิครับ ไม่ต้องคิดมาก และก็คงมีร้านโชว์ห่วยขายรถมือสองทั่วทุกซอยก็ได้
รถยนต์มือสองมันมีหลากหลายกว่านั้นเยอะ ทั้งรุ่น ยี่ห้อ ประเภท สี แม้กระทั่งสภาพรถ ทำให้การตีราคาและกำหนดราคากันยาก
เอาข้อแรก * รถมือสองประเมินราคากันยังไง *
ก่อนอื่น ขอแยกประเภทรถก่อน ว่ามี รถคอมแพ็ค ซิตี้คาร์ เก๋งเล็ก กลาง กลางใหญ่ และรถหรูผู้บริหาร และพวกกระบะ ช่วงยาวบรรทุก แค๊บ, 4ประตู แวน และรถครอบครัว เอนกประสงค์หรือรถแวน รถMPV แล้วแต่จะเรียก
การกำหนด ว่าราคาซื้อขายจะเท่าไร ขอให้มองความPopular ของรถรุ่นนั้น ก่อน ว่ามากน้อย ขนาดไหน เป็นที่นิยมของตลาดมากหรือไม่ รถที่นิยม ก็ย่อมซื้อมาแล้วขายได้ง่าย ได้เร็ว จึงได้ราคาดีกว่า
การคำนวณจะคิดยังงี้ครับ
ทันทีที่รถหลุดป้ายแดง สมมติ ป้ายแดงราคา 1ล้าน
ค่าเสื่อม 25% ก็จะเหลือ 750,000 Vat 7% ประมาณ 52500 รวมก็ 825000 ผมเอากำไร 10% 82500 ก็จะตั้งขาย 900000 ตัวเลขนี้ มีคนซื้อไม๊ ถ้ารถมีความต้องการสูง ราคานี้ ก็น่าจะมีคนสนใจ อาจจะต่อรองได้บ้าง ขาดทุนกำไรกันไป แต่ถ้าคุณจะซื้อที่ 8แสน เพราะ ไม่น่าใช้ ถ้างั้นผมก็ต้องซื้อให้ต่ำลง เหลือ 650000 บวก Vat บวก กำไรไป ก็น่าจะได้
แต่เจ้าของรถที่ไหนจะยอมขายละ ก็ต้องแข็งเรื่องราคากันใช่ไม๊
อันนี้เป็นตัวเลขสมมติครับ ดิ้นไปได้อีกหลายรูปแบบ
** ตารางการคิดค่าเสื่อมราคาคร่าวๆ **
รถคอมแพ็ค ตลาดจ๋า เช่น ยาริส แจ๊ส วีออส มาสดา2 และ ซิตี้
ผมว่า น่าจะอยู่ที่ 20-25% จากราคาป้ายแดง
รถกลางเล็ก เช่น ซีวิค อัลติส น่าจะอยู่ที่ 25 -30%
รถกลางใหญ่ เช่น แอคคอร์ด แคมรี่ น่าจะอยู่ที่ 30-35%
รถไม่ตลาดจ๋า เช่น นิสสัน มิตซู มาสด้า ฟอร์ด ให้ลดเพิ่มอีก 5-10 %จากรถตลาดจ๋า
ค่าเสื่อมราคาจะลดลงไป ตามอายุ เพิ่มอีกปีก็ลดไปอีก 5-10% ไปเรื่อยๆ จน... รุ่นนั้น มีโฉมใหม่ เกิดขึ้นมา หรือ Model Change จึงจะมีการปรับราคากันอีกครั้ง ตามแต่ว่ารุ่นใหม่มีกระแสความนิยมดีหรือไม่
**ทำไมค่าเสื่อมถึงไม่เท่ากันละ**
ทำความเข้าใจเรื่องต้นทุน ของเงินครับ
พ่อค้ารถ ส่วนใหญ่ กู้เงิน มาทำธุรกิจครับ ก็ร้อยละ 2 หรือ3 ต่อเดือน บางที่โชคดีก็เจอถูกกว่านี้
รถที่ขายดี ขายเร็ว ดอกเบี้ยก็เสียน้อย ต้นทุนก็เลยนิ่ง ซื้อมา 4แสน ขาย450000 คำนวณง่ายมีกำไรเอ้าขาย
แต่ถ้ารถที่ จอดนาน ดอกเบี้ยก็กินนาน ต้นทุนก็สูงขึ้นตาม ซื้อ4แสน จอด3เดือน ดอกเดือนละ 8000 สามเดือน ก็ 24000 ทุนเป็น 424000 ขาย 450000 อูยไม่พอค่าใช้จ่าย ทำไง ขายแพงก็ไม่มีคนซื้อ คราวหลังซื้อรุ่นนี้ ถูกลงอีกดีกว่า ทำนองนั้น
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมรถดี รถตลาดจึงราคาไม่ตก ประการนึง
**รถดีรถสวย ทำไมราคาดีกว่ารถไม่ดีไม่สวยละ**
คำถามที่ไม่น่าจะมีคนถาม แต่ผมอยากตอบ รถสวยของคุณๆ คืออะไรครับ
รถแต่งซิ่ง ของแต่งเพียบ เครื่องเสียงเป็นล้าน แม็ก20 ช่วงล่างซูโค่ย
" เอาของคุณกลับไปเลยครับ ผมขอรถเดิมๆ จากห้างกลับคืนมาได้ไม๊"
จริงๆครับ ของที่คุณทำไปเพื่อประดับกิเลสคุณ ผมไม่ต้องการจริงๆ จุดขายก็ไม่ใช่ คนซื้อก็ไม่รู้คุณค่าของแต่งคุณว่า เอาไปทำอะไร
"รถสวย" ความหมายของผม คือ รถที่มีสภาพใกล้เคียงรถใหม่ป้ายแดงที่สุด ขยายว่า สีเงาใหม่ ไม่มีรอยสีโป๊วมองรถนี่เงางาม สภาพภายในเก๋ง ใหม่หมดจด ไม่มีร่องรอยต่างๆ เป็นต้น นั่นแหละคือรถสวย
"รถดี" คือ รถที่ ผ่านการใช้งานมาไม่มาก บำรุงรักษาถึง เข้าใจการใช้งานรถยนต์ และ รักษารถตามสมควร
ทีนี้รถดี รถสวย ทำไมราคาดีละ ก็ ผมขายง่ายนี่ ผมไม่ต้องเอามาซ่อมให้ต้นทุนผมบานปลาย และ เมื่อยามขาย ก็ไม่ต้องกลัวว่า หลังจากขายไปจะโดนลูกค้ามาสาปแช่งทีหลัง ไอ้แช่งผมไม่กลัว กลัวบอกต่อ ว่า "เต้นท์นี้อย่าไปซื้อนะ มันเอารถเน่าๆมาขาย " ผมกลัวกว่าเยอะ
***รถชน แค่หน้านิด หลังหน่อย โห กดเป็นแสน***
ทำความเข้าใจว่า รถที่ผมขาย ถ้าเป็นรถประวัติดี คนซื้อๆไป ก็สบายใจ มีแต่คำชม แต่ถ้า รถที่ขายไป แม้จะบอกว่าชนมาหน่อย ขายราคาเท่ากัน เป็นคุณๆจะซื้อไม๊ ก็ไม่ ผมทำยังไงละ
ก็ต้องไปซ่อม ให้ดูไม่ออก หรือซื้อถูกลงบ้าง เพื่อชดเชยให้คนซื้อ ได้ทำใจ หรือชดเชยดอกเบี้ยที่ต้องแช่ยาว หากขายไม่ได้ ทั้งหมดก็คือเหตุผลที่ต้องซื้อต่ำกว่า รถสวยครับ แต่ก็ไม่ถึงแสนอย่างที่ว่าหรอก แค่พอประมาณกัน
***รถติดแก๊สแล้วทำไมราคาต้องตกด้วย***
ที่จริง สมัยนี้ เทคโนโลยีมันดีมาก จนรถที่ใช้แก๊ส LPG เครื่องยังดี และไม่รวน เหมือนเมื่อก่อน ที่เครื่องรวน หลวม และ กวน ตลอดจนต้องยกเครื่องทิ้งเปลี่ยนใหม่ แต่ความรู้สึกของคนซื้อที่เมื่อรู้ว่า รถคันนี้เคยติดตั้งแก๊สมา โอกาสในการใช้รถคันนี้แบบไม่ต้องซ่อมก็สั้นลง
จึง คิดเผื่อ ไปถึงวันข้างหน้าว่าต้องยกเครื่องอีกเท่าไร แล้วไปเทียบรถรุ่นเดียวกัน คันอื่นเต้นท์อื่นที่ดีกว่า มีไม๊
ผมทำไงละ ก็ต้องซื้อถูกลงมา เพื่อให้ขายได้ต่ำลง เพื่อให้ลูกค้าได้ตัดสินใจไงครับ
*** การดูแลรถ ให้เป็น ให้อยู่คู่เจ้าของไปนานๆ****
ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ช่าง แต่พอรู้เรื่องรถนิดหน่อย อาศัยปากต่อปากมาและ โดนอู่ สอนมากับตัวเอง บ่อยๆ
เครื่องยนต์ ใช้น้ำมันเครื่องในการหล่อลื่นลูกสูบ และชิ้นส่วนภายในเครื่อง การที่น้ำมันเครื่องที่เกรดต่ำและเกรดรวม รวมถึงปล่อยให้น้ำมันเครื่องหมดสภาพไปหล่อลื่นเครื่องยนต์ ย่อมทำให้เครื่องสึกหรอเร็วและง่ายกว่า ฉะนั้น ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ทุก 5000 หรือ10,000 km หรือระยะเวลาครึ่งปี ถ้าไม่ได้ใช้งานมาก
เครื่องยนต์ มีการเสียดสีของโลหะ ทำให้เกิดความร้อน ก็จะมี หม้อน้ำ นำน้ำมาผ่านเครื่องยนต์ โดยมีปั้มน้ำดูดน้ำจากหม้อน้ำ วนผ่านเครื่อง แล้วจึงกลับสู่หม้อน้ำวนเวียนเช่นนี้ ควรและจำเป็นที่ต้องใช้น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำซึ่งจะช่วยรักษาอุณหภุูมิน้ำไม่ให้ร้อนจัด และช่วยป้องกันและกัดสนิมให้ด้วย ถ้าน้ำหม้อน้ำเป็นสนิม แสดงว่า ภายในเครืองหรือระบบหม้อน้ำมีรั่ว หรือฝาหม้อน้ำผิดปกติ ก็ซ่อมแซมไปครับ
ช่วงล่าง สำคัญมากครับ ชีวิตคุณ เมื่อยามขับรถ อยู่หลังพวงมาลัยรถ คุณบังคับพวงมาลัย แล้วพวงมาลัยไปบังคับ ตัวเลี้ยว เช่นแร็ค กระปุกพวงมาลัย ตัวช่วยเลี้ยวไปบังคับลูกหมากแร็ค คันส่งคันชัก อะไรต่างๆเหล่านี้ คุณรู้ไม๊ครับ พวกนี้คือลูกหมาก ที่เป็นโลหะ เสียดสีกันทุกวัน ทุกยามที่ล้อหมุน ควรตรวจเช็คที่ร้านตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ทุก 6เดือน หรือ 20000km
น้ำมันเกียร์ออโต คุณทราบไม๊ครับ ว่าต้องถ่าย และต้องถ่ายทุก 20,000 กม ทำไมต้องเปลี่ยนถ่าย โห ภายในห้องเกียร์ออโตถ้าลื้อมา แล้วบอกได้ว่า ละเอียดอ่อนเหมือนผ้ากระดาษทรายไปบังคับกลไก เกียร์ ให้วิ่ง แล้วถ้ามีสิ่งสกปรกอยู่ในนั้น เช่นทรายสักเม็ด หรือเศษผงโลหะอยู่ละ วิ่งกันเพลิน ไอ้กระดาษทรายที่ว่า หรือ แผ่นซิงโครแมท ก็หมดความหยาบ ไม่สามารถจะหยุดจะเบรดกลไก มันได้ หรือที่เรียกว่าคลัทซ์ลื่นของเกียร์ออโต นั่นแหละครับ ผ่าเกียร์สมัยนี้ไม่ค่อยแพงแล้วครับ แค่ 2-30000เอง
ยางรถยนต์ ตัวนี้สิ สำคัญสำหรับชีวิตคุณอีกอย่าง ยางที่รีดน้ำไม่ดี และโล้น อายุยางเกิน 2ปี ใช้ไปเกินกว่า 5หมื่น กม อย่างกกับเงินค่ายางครับ เปลี่ยนเถิด อะไรคุณควบคุมได้ทั้งคัน แต่ยางควบคุมไม่ได้นะครับ ยามที่มัน ลื่น มันปัด มันไถล นะ แล้วที่มันควบคุมไม่ได้ ย่อมไปถึงรถคุณด้วยว่ามาเร็วขนาดไหน ถ้าเร็วมาก ก็ย่อมสูญเสียมาก ยางที่ดี ก็คือยางที่รีดน้ำดี และให้ความนุ่มนวล จะเงียบหรือดัง หรือ เกาะถนน ไปถามเอาจากร้านขายยางเองครับ
นั่นคือการแนะนำการดูแล ขั้นต้นก่อน หากอยากรู้ละเอียด ก็อ่านดูจากคู่มือรถคุณๆดูครับ อ่านช้าๆเรื่อยๆ แล้วรถคุณก็จะรักคุณ ไม่รวนไม่เกเร น่ารัก และขายต่อราคาดี
********การ ดูรถ เบื้องต้น ***********
ถ้าผมบอกว่าผมดูรถ ไม่เก่ง ประเภทคันนี้พ่นสีมากี่ชิ้น เคยทำสีมาตรงไหนบ้าง ผมบอกไม่ได้หรอก แต่ถ้าคันนี้มีชนไม๊ ชนหนักแค่ไหน คว่ำไม๊ เหตุการณ์การชนคันนี้เป็นยังไง ก็พอเดาๆได้ ไม่ถึงกับแม่นเหมือนตาเห็น แล้วรู้ได้ไง ดูยังไง ล่ะ
คุณ รู้จัก เหล็กแผ่น บางๆ มาพับ มาตัด ด้วยการใช้เครื่องปั้มโลหะไม๊ครับ นั่นแหละ รถทุกคัน เกิดจาก การปั๊มเหล็กแผ่น ขึ้นรูปตามชิ้นส่วนต่างๆของรถ เช่น ฝากระโปรง ก็ปั๊มมาตามแบบ แก้มซ้าย ขวา ก็ปั๊มมา หลังคารถ เฟรมรถ หลายๆ ชิ้นส่วนเข้า ก็นำมาเชื่อม ด้วยหุ่นยนต์ หรือแรงคน แล้วมาประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ จนเป็นรถยนต์ให้คุณขับ
แล้วรถชน กับรถอุบัติเหตุมาดูยังไงตรงไหน
รถที่ชน หรือมีอุบัติเหตุมา ก็ดูง่ายๆ ว่ามันแตกต่างจาก รถที่ไม่ได้มีอุบัติเหตุไง เน้นตรงนี้นะ อย่าว่าผมกวนสิ ผมบอกตรงๆ จริงๆอย่างนี้แหละ ทำไมละ ถ้าคุณ อยากรู้จริงก็ต้องช่างสังเกตุ โดยดูจาก รถคันนึงที่ไม่ได้ชน แล้วจดจำไว้ ทุกอย่าง แล้วไปเปรียบเทียบอีกคัน ว่าแตกต่างกันไม๊ ถ้าแตกต่างกันบ้าง แสดงว่า สงสัยไว้ก่อนว่ามีชน ง่ายไม๊ครับ
นั่นง่ายไปไม่ใช่ผม เอาความรู้ผมไปใช้ดีกว่า จากเมื่อกี้ เรื่องการปั้ม และตัดโลหะ โดยเครื่องจักร ปั้มและตัดโดยไฮโดรลิค แรงสูง การปั้มและตัดโลหะจึงให้ผล วัตถุที่ถูกตัดนั้น สวยคม ไม่มีรอยเศษ เว้าแหว่งของชิ้นงาน และ คำว่า สวยคม ของผม คือ รู เม็ดปั๊ม เม็ดอาร์ค น่ะแหล่ะ
รถชนมา ย่อมกระแทก โลหะคือเหล็ก ก็มีการ บุบ มีหัก มีพับไป ใช่มั้ย การซ่อม ก็ซ่อมด้วยการ เปลี่ยนชิ้น เคาะ ดึง ไฟเป่า แล้วดึง เคาะ ต่างๆให้เข้ารูป คืนเช่นเดิม ตรงนี้ละคือจุดสังเกตุ ว่าเหตุการณ์ การชนมันหนักเบายังไง
ถ้าชนหนักถึงขั้นตาย คุณเปิดฝากระโปรงหน้า มองไป ด้านหลังเครื่อง จะเห็นเลขตัวถัง ถ้าเลขตัวถังและเหล็กด้านนั้น ยับเยิน บู้บี้ ตรงนี้เคาะยากครับ ส่วนใหญ๋จะยกหัวเก๋งใส่เลย ถ้าถึงตรงนี้ ไม่ต้องยุ่งกับคันนั้นเลยครับ ไม่มีผีมาคุยด้วยก็วิ่งไม่ดีแล้วละครับ
ถ้าชนถึงซุ้มล้อ เบ้าโช๊ค คุณก็ดูที่เบ้าโช๊ค ซุ้มล้อสิครับ ว่ามันเรียบมันมีความคมของรอยปั๊มเหล็กไม๊หรือมีร่องรอยการถูกชน แล้วเคาะมา มันไม่มีทางคมเหมือนของเดิมที่โรงงานปั้มมาหรอกครับ หรือไม่มั่นใจ ก็ไปดูอีกฝั่งว่าเหมือนกันไม๊ ถ้า มันแตกต่างเรื่องความคม และมีร่อยรอยบุบบิบ ก็อย่าไปยุ่งกับมัน
ชนแค่คานรับหม้อน้ำ และ ฝากระโปรงหน้าพับ เหตุการณ์นี้เจอบ่อย และรถหลายคันก็ชนมาแค่นี้ เนื่องจาก โทรแล้วขับ ฮิๆๆ
***วิธีดู ก็เปิดฝาโปง หน้ามา ดูว่าฝาแท้ไม่แท้ ผมไม่เป็นครับ ส่วนใหญ๋ก็จะเอาฝาห้าง มาเปลี่ยน แต่ของเดิม ดูยังไงละ คร่าวๆก็จะมี สติ๊กเกอร์น้ำยาแอร์ เอย ระบบหม้อน้ำ อะไรเนี่ย ติดอยู่ แล้วดูว่ามันเก่า ติดรถมา ก็พอจะเชื่อได้ว่า ฝาเดิมนะ เจ้าของเค้าไม่เคยไปยุ่งเลย
แล้วถ้าไม่เปลี่ยนแค่เคาะละ ยิ่งดูง่ายครับ ก็ร่องรอยที่เคาะแล้วดึงกลับมา ยังไงก็ไม่เรียบต้องมีรอยแต่งสี และ ใช้สีโป๊วเคลือบอีกที ผมอาจว่าง่าย คุณบอกยาก ดูครับ ต้องดูบ่อยๆแล้วสังเกตุ ความแตกต่างระหว่าง ของเดิม และ ของที่มีการซ่อมแซมมา มันเพี้ยนให้เห็นจนคุณจับผิดได้ มันง่ายกว่าเกมจับผิด ที่คุณไปเล่นตามห้าง หรือในคอมแน่ๆ
............
********เรื่องกรอไมล์*********
คนเราทุกคน ย่อมอยากได้ของดีๆ ราคาถูก และโดยเฉพาะเรื่องรถนี่อยากได้ใช้น้อยๆ ไม่มีชน สภาพดีๆ ราคาถูกๆ นั่นแหละเป็นทุกคน
ทำใจให้เป็นกลางๆ รถวิ่งเยอะ วิ่งน้อย ผมซื้อหมด และมีเหตุผลที่จะซื้อ มีเหตุผลที่รับได้ จริงๆ ว่าบางคัน ผมกรอไมล์ บางคันผมขายทั้งไมล์ สามแสน แค่4 ปี เพราะอะไร
รถวิ่งเยอะเพราะอยู่ไกล เช่น ทำงานนิคมอมตะนคร พัก กรุงเทพ บางนา ไปกลับวันละ 200 กม จันทร์ถึงศุกร์ อาทิตย์นึงก็ 1000 กม เดือนนึงก็ 4000กม ปีนึงก็36000 5ปี ก็วิ่งไป ร่วม สองแสนโล มันดูวิ่งเยอะ แต่ถนนนั้นนะ มันดีกว่าวิ่งในเมืองเยอะ รถไม่ติด และเครื่องได้ใช้รอบที่เหมาะสมกว่า เผาไหม้ได้หมดจดกว่า เมื่อเทียบกับรถวิ่งในเมือง 50000 กม เครื่องวัดกำลังอัดได้ไม่แตกต่างกันเลย
แต่ไมล์เยอะไมล์น้อย มีผลต่อ สุขภาพจิตผู้ซื้อ เพราะกลัวว่าวิ่งเยอะ ใช้เยอะแล้ว เด๋วต้องมาซ่อม ต้องซื้อ รถไมล์น้อยๆ เขาใช้น้อย รถไม่สมบุกสมบันหรอก ที่ไหนได้ คุณต้องซ่อมมากกว่า รถที่ใช้งานเยอะแต่ดูแลรักษาถึงอีก
******วิธีการดูว่ารถไมล์เยอะ หรือไมล์น้อยจาก การใช้งานจริงๆ ด้วยสายตา ***********
ผมเองก็โดนหลอกมา เมื่อตอนหัดเล่นรถใหม่ๆ ไมล์แค่ ไม่กี่หมื่นโล แต่เอ ทำไม รถมันแย่จัง
จนประสบการณ์มันสอนผมว่า รถที่วิ่งเยอะ ให้ดูจาก
วง พวงมาลัย จะมีรอยหยักให้มือจับ ถ้า จับจนลื่น หรือสึกหรอ อยู่ที่เดียว (สังเกตุจากพฤติกรรมของคนขับ จะจับพวงมาลัยที่ตำแหน่งนั้นประจำ) ก็แสดงว่าใช้มาเยอะ จนสึก
ดูยางรถยนต์ ว่า สัมพันธ์กับความเป็นจริงไม๊
ยางรถใช้ได้50000 กม นั่นคือดอกยางจะเริ่มหมดสภาพ เริ่มลด% สภาพยาง จากศรบอก ตำแหน่งยาง ถ้ารถใช้น้อยจริง ยางชุดแรก ที่ออกจากห้าง จะอยู่และ สึกหรอไปสัมพันธ์กับไมล์
ดูที่Book Service ถ้าคุณอยากได้รถที่มีไมล์จริง และไม่กรอไมล์ เรียกดูBook เลยครับ ถ้าผมมีBook อยู่ผมก็โชว์ ถือว่าเป็นจุดขายของรถคันนี้ จริงไม๊ครับ
ดูที่ภายในครับ ดูว่ามันโทรมกว่า สภาพปีรถนั้นไม๊เช่นรถสองปีแต่ทำไมดูเหมือนรถสิบปี ยังงั้นก็ไม่ไหว
***แล้ว พ่อค้ารถดูรถยังไง อะไรสำคัญที่สุด *****
จากคำว่า ต้นทุนเงิน พอเข้าใจนะครับ ว่า เงินลงทุน 5แสน ซื้อสินค้า ถ้าขายได้เลย และขายได้เร็ว กำไร 5หมื่น เงินก็เพิ่ม แต่ถ้า ซื้อมา 5แสน ต้องซ่อมอีก 2เดือน ค่าซ่อม เพื่อให้รถสวยพร้อมสรรพ ให้ผู้ซื้อติไม่ได้ อีกหลายหมื่น นั่นก็คือ ต้นทุนของทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้น เต้นท์ จะมองรถตรงนี้ครับ
1. รถสวยหรือไม่ ถ้าสวยก็ตีราคาได้ง่าย เป็นสูตรสำเร็จ ตามราคาตลาด
2. รถมีอุบัติเหตุหรือไม่ ถ้ามีเล็กๆน้อยๆ เช่นกันชน หน้าหลัง เฉี่ยวครูดบางๆ พวกนั้นค่าซ่อมสีไม่เกินหมื่น หักจากราคารถสวยเท่านั้นแหละครับ
3. รถมีเสน่ห์หรือไม่ คำว่า เสน่ห์ หรือพูดเพราะๆว่า First Impression รักแรกพบ อะไรปานนั้น ดุจเดียวกับ คุณมองสาวๆหนุ่มๆ ที่มองปร๊าดเดียว ก็ชอบเลย ใช่เลย นั่นแหละคือเสน่ห์ ถ้ามีก็อาจเพิ่มให้ หรือเทียบกับรถสวยก็อาจง้อซื้อ
4. รถโทรมหรือไม่ คำว่าโทรมก็คือใช้ไม่ทะนุถนอม การที่ผมจะเอามาบูรณะให้สวยเช่นรถใหม่ มันก็ต้องใช้ ตังค์ ใช้เวลา ใช้คนงาน และใช้ความเครียด ในการสรรหาอะไหล่มาใส่ไป และ เสียดอกเบี้ย นั่นคือ ผมก็ต้องซื้อให้ถูกลง เพื่อชดเชยกับ สิ่งที่เสียไป
5. รถชนหนัก ซื้อไม๊ ถ้าผมบอกว่าผมซื้อหมด ผมเลวไม๊ แต่ผมขายลูกค้าผมไม่ได้ ผมมีที่ไป ไปไหนไม่บอก และก็แน่ละ มันออกไม่ง่าย เงินทุนที่ผมมีผมเลือกซื้อรถสวย รถดี ซ่อมนิดหน่อยมาขายดีกว่า สบายใจกว่า
*******แล้วคุณจะเลือกซื้อรถยังไง ไม่ให้ถูกหลอก********
นั่นสิ จะมีพ่อค้าคนไหนมั่ง ที่ยอมบอกความจริงและจาระไนให้ฟังหมดว่าประวัติคันนี้เป็นยังไง มีชนมีเฉี่ยวแค่ไหน ซื้อไปต้องซ่อมอะไรบ้าง ถ้าผมบอกว่า คุณต้องวัดดวงและความสามารถเอง นั่นก็กำปั้นทุบดินไป
เอาหลักใหญ่ และต้องจำให้มั่นว่า " รถทุกคัน คนไทยซ่อมได้เหมือนเดิมหมด ยกเว้นชนหนัก"
ครับ รถชนหนัก จนเฟรมรถ หรือแชชซีส์ คด ดุ้ง งอ หัก อันนั้นซ่อมมายังไงก็ไม่ดีเท่าเดิม และพาลไปถึงระบบของรถทั้งคัน ยิ่งซ่อม ยิ่งบานปลาย ซ่อมให้หมดไปเท่าไร ก็ไม่ได้ดี ฉะนั้น จงเลี่ยงรถชนหนัก ให้ดี อย่าได้ยุ่งเกี่ยวด้วย
(เอาไว้ผมมีเวลา ผมจะเอาภาพรถสวย และหลักการดู ให้ชม พร้อมๆกับรถที่มีการซ่อม จากการชนมาให้ชมกัน )
เรื่องอื่นๆ คุณก็มองดูที่งบประมาณคุณ ว่า คุณเหมาะจะซื้อรถรุ่นไหน อะไรเวอร์ชั่นไหน รุ่นท๊อปรุ่น ย่อยยังไง แล้วถ้าซื้อคันนี้ คุณต้องลงทุน แต่งอะไรอีก ทำอะไรบ้างให้ถูกใจ และ สีอะไรที่ถูกโฉลก รวมถึง เหตุผล ที่พวกเต้นท์ดูและ แสกนให้แล้ว
อย่าลืมครับ พ่อค้ารถ ก็คือบริการ ดูรถให้ และแต่งรถให้สวยเพื่อลูกค้าจะได้รีบมาซื้อ มาเป็นลูกค้า
13 ก.พ. 2554
5 ก.พ. 2554
10 นาทีแรก (วิธีคิดบวก + แบบแก้ปัญหา)
ในวันที่คุณสะกดคำว่า “ความสุข” ยากขึ้นทุกทีๆ
ในวันที่คุณหมดพลังจะทำงานหรือทำอะไรต่อมิอะไร
คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าชีวิตกำลังขาดอะไรไป ?
เงิน
ตำแหน่งหน้าที่การงาน
บ้าน
รถ
การยอมรับ
คำชื่นชม
หรือความสุขเล็กน้อยๆ แบบพอเพียง แต่ทำให้จิตใจเบิกบานได้ยาวไกล
อะไรคือสิ่งที่คุณกำลังขาดหายและต้องการมากเหลือเกิน นั่นคือภาระหน้าที่ที่คุณต้องค้นหาคำตอบ จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่รู้คำตอบไม่ได้อีกต่อไป มีแต่คำถาม แต่ไม่พยายามหาคำตอบ หรือไม่คิดที่จะหาคำตอบเพื่อให้ตัวเองมีความสุขนั้นไม่ได้แล้ว
หากมัวแต่เอาตัวเองเวียนว่ายอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา ใจป่วย ก็ไม่รีบรักษา กายป่วย ก็โทษว่าทำงานหนักมากไป เครียดมากไป อะไรๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ สุขภาพเลยแย่ ทั้งๆ ที่ความจริงคือสภาพจิตใจย่ำแย่มากกว่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ต้องปั้นหน้ายิ้มระรื่น ฝืนตัวเองให้ตื่นขึ้นมาเพื่อออกไปทำงาน กลายเป็นคนไม่มีความสุข กลายเป็นคนมีทุกข์ถาวร กลายเป็นคนที่ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากคุยเรื่องงานด้วย เพราะวันๆ เอาแต่ทำหน้ายักษ์หน้าย่น
คิดอยากจะลาออกไปทำงานที่ไหน
แค่คิดก็ผิดแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อมีเหตุก็ย่อมต้องมีผล เมื่อมีผล ก็ย่อมต้องมีผลกระทบตามมาเสมอ และผลกระทบที่ตามมาในรูปแบบคาดไม่ถึงนี่แหละ ที่ทำให้ใครหลายคนเกิดอาการเมาหมัด ไม่รู้จะแก้ไขยังไง ไม่รู้จะเริ่มต้นแบบไหน และไม่รู้ว่าจะเดินไปในทิศทางใด
หากลองคิดตามและลองนำไปเทียบเคียงกับตัวเองเวลาทำงานดู คุณจะเห็นคำตอบของคำถามที่ว่าที่เป็นทุกข์เพราะทำงานไม่มีความสุขนั้น เป็นเพราะอะไรกันแน่
1 ทุกข์เพราะต้องทนกับสภาพที่ทนได้ยากเย็นแสนเข็ญ...หรือเปล่า
2 ทุกข์เพราะเจอสภาวะบีบคั้นและกดดัน...หรือเปล่า
3 ทุกข์เพราะเกิดความขัดแย้ง...หรือเปล่า
4 ทุกข์เพราะเกิดข้อขัดข้อง มีความบกพร่อง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...หรือเปล่า
5 ทุกข์เพราะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ในตัวเองเลย ไม่มีอะไรเที่ยงแท้และทำให้พึงพอใจได้เต็มอิ่มอย่างแท้จริงเลย...หรือเปล่า
หรือแท้ที่จริงแล้ว เป็นเพราะคุณไม่พอใจเจ้านาย ไม่พอใจระบบวิธีการทำงาน ไม่พอใจกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กร ไม่พอใจค่าตอบแทนที่ได้รับ เพราะไม่สอดคล้องกับการทำงานที่ได้ทุ่มเททำลงไป ไม่พอใจเรื่องเวลาการทำงานที่ขอกันมากเกินไป เวลาพักผ่อนจึงน้อยเต็มที
“ไม่พอใจ”
สิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้คุณกำไว้ในมือ และไม่ยอมเรียนรู้ที่จะจ๊ะเอ๋ทักทาย แล้วก็บ๊ายบายโบกมือลาไป ลองหาให้เจอว่าไอ้ที่ไม่พอใจนั้นคืออะไร เพื่อจะได้หาหนทางแก้ไขและสะสางให้หมดไป จะได้ไม่ฝังลึกลงรากในจิตใจเราทั้งวันทั้งคืน
หากไม่รู้ว่าทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะมีวิธีใดที่ทำให้ความไม่พอใจหมดสิ้นไปได้ คุณต้องนำ พลังความคิดด้านบวก + จากวิธีคิดแบบแก้ปัญหา ไปใช้ เพื่อให้คุณรู้ว่า
เหตุคืออะไร
จะได้ไปแก้ที่ต้นเหตุ
เพื่อที่ผลลัพธ์
จะได้พบเจอหนทางสว่าง
ไม่ใช่เขาวงกต
หากไม่พอใจเจ้านาย เพราะ... เพราะตัวคุณหรือเพราะตัวเจ้านาย เพราะคุณคิดไปเองล่วงหน้า หรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วมีผลกระทบกับคุณโดยตรง เพราะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งหรือเจ้านายเอาตัวเองเป็นใหญ่
ไม่พอใจระบบวิธีการทำงาน เพราะ... เพราะการจัดระบบตัวเองไม่ดีเพียงพอ หรือเพราะเจ้านายวางรากฐานไม่ดีและไม่มีกลไก เพราะคุณฟังเจ้านายอธิบายงานไม่ลึกซึ้ง หรือเจ้านายอธิบายงานไม่ละเอียด เพราะคุณต่อต้านระบบตลอดเวลา ไม่เป็นใจยอมรับ หรือเพราะเจ้านายบังคับจนต้องฝืนใจยอมรับ
ไม่พอใจกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กร เพราะ... เพราะคุณทำไม่ได้ หรือไม่อยากทำ หรือเพราะกฎระเบียบมันมากมายจูจี้เกินไป หรือเพราะคุณเคยชินกับความสบาย และอะไรที่ไม่ต้องมาวุ่นวายใจ
ไม่พอใจค่าตอบแทนที่ได้รับ เพราะไม่สอดคล้องกับการทำงานที่ได้ทุ่มเททำลงไป เพราะ.. เพราะคุณต้องการมากเกินไป หรือได้เงินน้อยจริงๆ เพราะอยากได้เงินมาก แต่ไม่อยากทำงานมาก หรือทำงานมาก แต่เจ้านายไม่ให้เงินมาก
ไม่พอใจเรื่องเวลาการทำงานที่ขอกันมากเกินไป เวลาพักผ่อนจึงน้อยเต็มที เพราะ... เพราะเจ้านายเห็นแก่งานมากเกินไป หรือเพราะคุณไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับทีม เพราะคุณไม่เห็นความสำคัญเรื่องเวลา หรือเพราะเจ้านายเห็นแก่เวลา เพราะงานมาก่อน หรือคุณต้องเอาตัวเองมาก่อน
ลองวางใจเป็นกลาง แล้วหาทางค้นหาวิธีแก้ไขและจัดการให้ได้ โดยไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเจ็บช้ำน้ำใจ และระลึกไว้เสมอว่าอารมณ์ที่บูดเน่าเวลาหน้าดำคร่ำเครียดกับงาน มีผลต่อการแก้ไขมากมายทีเดียว เพราะเมื่ออารมณ์มีผลกระทบกับใจ จนทำให้ใจและกายป่วยไข้ เวลาที่ใจกายกำลังป่วย หากคุณได้มองเห็นหน้าตาอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะ สุข ทุกข์ เหงา เศร้า น้อยใจ หวั่นไหว เซ็งจิต หงุดหงิด รำคาญใจ อ่อนไหว อ่อนแอ เวลาทำงานแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายโลก และเกิดคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมถึงต้องทนใช้ชีวิตอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กๆ ที่เรียกกันว่า “ที่ทำงาน”
ตื่นแต่เช้า
(เมา) เข้านอน ทำงาน
กลับบ้าน (กินเหล้า)
แค่กระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขาเขียนแปะไว้ ก็สะท้อนใจได้ว่า สิ่งที่เป็นอยู่อาจทำให้เขาไม่รู้สึกรักในงานที่ทำ หัวหน้างานสั่งให้ทำอะไรก็ทำได้ แต่อาจไม่รู้สึกตื่นเต้นกับงานที่กองอยู่ตรงหน้า และอาจมองไม่เห็นว่าชีวิตอยู่ตรงส่วนไหนบนโลกใบนี้ ทำไมที่ที่ยืนอยู่ถึงได้อึดอัด ไม่สุขสบายใจ และเกิดคำถามคาใจว่าตัวของเรากลายเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีหัวใจไปตั้งแต่ เมื่อไรกันนี่
คำตอบคือ...
หากเราไม่รู้จักมองให้เห็นหน้าตาอารมณ์ด้านลบที่แวะเวียนเข้ามาหลอกล่อให้ เราติดกับ เราจะกลายเป็นหนูตัวหนึ่งที่ต้องทนทุกข์อยู่ในกับดักนั้น เจ็บปวด หลุดไม่พ้น และล้มหายตายจากไปในวังวนที่เราหลงเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
หากเราไม่พยายามฟังเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเบาลงทุกที เสียงที่คอยบอกให้เราอดทนเข้าไว้ เสียงที่มันซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจที่เรามักเผลอลืมมัน เมื่อไม่พยายามเราอาจพ่ายแพ้แรงกระทบจากนั่นโน่นนี่มากมายที่คอยฉุดดึงให้ เราล้มลงอยู่ตลอดเวลา และกลายเป็นซากมนุษย์ที่เอาแต่พกร่างกายมาทำงาน แต่จิตและวิญญาณล่องลอยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
หากไม่ลองสัมผัสความพยายามและความมุ่งมั่นดูอีกสักครั้ง เหนื่อย ก็ลองดูอีกสักครั้ง ท้อแท้ใจ ก็ลองดูอีกสักครั้ง เราคงไม่รู้หรอกว่า รสชาติของความสำเร็จหอมหวานเพียงใด หากเหนื่อยล้าท้อแท้ใจซ้ำซากอยู่อย่างนี้โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง หรือดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
เราก็เป็นได้แค่คนที่มัวแต่พร่ำบ่น
และถูกกลืนหายไปในท้ายที่สุด
หากไม่คิดจะลิ้มลองรสชาติความกดดันดูบ้าง เราคงไม่รู้ว่า ไม่ว่าเราจะทำงานที่ไหน หรือทำอะไรที่แตกต่างออกไป เราต้องเจอภาวะกดดันและอยู่ภายใต้กรอบเหมือนกันหมด หาข้อดีและข้อเสียของแรงกดดันนั้นให้เจอ เรียนรู้ ยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุข การทนอยู่ด้วยความคิดด้านลบ - มีแต่ทัศนคติแย่ๆ และพยายามหัวชนฝา ท้ายที่สุด เราก็จะอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะย้ายงานไปอีกกี่ครั้งกี่ที่กี่แห่ง เราก็จะอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน
จำไว้เลยว่า
คิดจะเปลี่ยนแปลงองค์กร หรือเปลี่ยนแปลงใคร
สู้เปลี่ยนตัวเราเองเสียยังจะดีกว่า
ง่ายกว่า
และมีความสุขมากกว่า
หากรู้สึกไม่มีความสุข ลองให้โอกาสตัวเองรู้สึกอยากมีความสุขดูบ้างสิ แค่อยากปล่อยและวางปัญหาต่างๆ ให้ห่างตัว ไม่พยายามรู้สึกเป็นทุกข์ และคิดแต่เรื่องที่เข้ามากระทบให้ปวดหัว คิดและรู้สึกให้ได้ว่า มันก็เป็นแค่ความตึงเครียดเพียงชั่วครู่ของชีวิต เดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป เพราะไม่มีอะไรในโลกที่จีรังยั่งยืน มีแต่ความทุกข์ที่เรากำมันไว้อยู่ในมือนั่นแหละที่ยั่งยืนไม่ยอมหยุด แค่เขวี้ยงมันทิ้ง ในมือก็ว่างเปล่า แล้วเรายังจะกำมันไว้อยู่อีกทำไม
หากได้หัวเราะกับปัญหา ได้หัวเราะกับความงี่เง่าของใครหรือสิ่งอื่นใดในบางเรื่อง และได้ยกมันออกไปจากใจบ้าง บางทีอะไรหนักๆ มันก็เป็นแค่สำลีก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ไม่อยากฟังเสียงของใครให้ปวดหัว เราก็ยังเอาสำลีก้อนนี้อุดหูตัวเองได้ เรื่องง่ายๆ ที่บางทีดูเหมือนงี่เง่า แต่บางทีก็ช่วยทำให้เราเบาสบายได้เหมือนกัน
และหากเราไม่มีความรักให้แก่งาน ไม่รักตัวเอง เหยียบย่ำตัวเองด้วยการมัวแต่นอย นอย แล้วก็นอยตั้งแต่เช้ายันเย็น...เลิกทำงานไปเลยดีกว่า อยู่บ้านอย่างเดียวให้เหี่ยวเฉาตายกันไปข้างนึงเลย
.
.
ได้มากมายเพียงนี้ และทำไมถึงไม่มีทางไปที่ดีกว่าเดิมแล้วละก็ คุณจะไม่เกิดวงจรชีวิตที่ซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย เหมือนที่กราฟิค ดีไซเนอร์คนหนึ่งที่ได้ร่วมงานด้วย เขาเคยเขียนวงจรชีวิตอันน่าเศร้าใส่กระดาษใบเล็กๆ แล้วแปะทิ้งไว้ที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองไว้อย่างนี้ ค่า ของคน อยู่ที่ผลของงาน และ ค่าของคน ก็ยังอยู่ที่ผลของงาน นี่คือเกียรติยศของชีวิตที่เราต้องท่องจำให้ขึ้นใจไว้ เพราะมันคือความจริงของชีวิต เพราะมันคือ พลังความคิดด้านบวก + ที่ผลักดันให้ได้มองเห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่สร้างภาระให้ตัวเองต้องแย่ลงไปกว่าเดิม แต่เพิ่มศักยภาพของชีวิตอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เมื่อเรามี พลังความคิดด้านบวก + จากวิธีคิดแบบแก้ปัญหา เป็นคู่มือ และเป็นอาวุธช่วยป้องกันภัย เมื่อนั้นเราก็จะได้เรียนรู้ว่า
ปัญหาคืออะไร ปัญหาอยู่ที่ไหน รู้ว่าต้องเข้าใจสภาพปัญหาและขอบเขตของมัน และรู้ว่าได้เข้าใจสภาพและขอบเขตของปัญหานั้นๆ แล้ว
รู้ว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร รู้ว่าจะต้องแก้ไขที่สาเหตุนั้น และรู้ว่าสาเหตุนั้นได้แก้ไขและกำจัดแล้ว
รู้ว่าภาวะหมดปัญหาที่ต้องการ หรือต้องทำ คืออะไร รู้ว่าภาวะนั้นเป็นจุดหมายที่จะต้องไปให้ถึง และรู้ว่าได้ทำสำเร็จแล้ว
รู้ว่าวิธีแก้ปัญหาเป็นอย่างไร รู้ว่าวิธีการนั้นจะต้องลงมือปฏิบัติตามวิธีที่วางไว้ และรู้ว่าได้ปฏิบัติจัดการตามวิธีนั้นเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
หากวันนี้ คุณเหนื่อยล้าท้อแท้ใจและไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จนกลายร่างเป็นเครื่องจักรชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่เริ่มฝืดๆ ติดๆ ขัดๆ และต้องการน้ำมันหล่อลื่นที่เรียกกันว่า “ความสุข”
คุณลองนึกถึง 10 นาทีแรกที่ได้งานที่สมัครไว้ดูสิ
คุณตื่นเต้นแค่ไหน
คุณมีไฟ มีพลังกาย มีพลังใจมากแค่ไหน
คุณมีความอยากที่จะทำงานนั้นมากมายเพียงใด
ค้นหา moment นั้นให้เจอ
แล้วคุณจะพบคำตอบของหนทางไป
สิ่งที่ได้รับจาก พลังความคิดด้านบวก +
* ได้มองเห็นหน้าตาอารมณ์ด้านลบ – ที่แวะเวียนเข้ามาหลอกล่อให้ติดกับ
* ได้ฟังเสียงหัวใจตัวเองที่คอยบอกให้อดทนเข้าไว้
* ได้สัมผัสความพยายามและความมุ่งมั่นจนติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือท้อแท้ใจอีกกี่ครั้งกี่หน
* ได้ค้นหาข้อดีข้อเสียของแรงกดดันจนเจอ และได้เรียนรู้ ยอมรับ และอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข
* ได้ให้โอกาสตัวเองรู้สึกอยากมีความสุข
* ได้หัวเราะกับปัญหาและความงี่เง่าของใครต่อใคร หรือสิ่งอื่นใด และได้ยกมันออกไปจากใจ
* ได้ความรักที่เป็นของจริง คือรักตัวเอง และรักงานที่ทำ
* และได้รู้จักความทุกข์ สาเหตุ ที่มาที่ไป วิธีแก้ไขอย่างรู้เท่าทัน เพื่อผลประโยชน์คือความสุขที่เกิดขึ้นทั้งตัวเราเองและคนรอบข้างที่ร่วมงาน ด้วย ทั้งระดับสูงกว่า ระดับเดียวกัน และระดับน้อยลงไป
ในวันที่คุณหมดพลังจะทำงานหรือทำอะไรต่อมิอะไร
คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าชีวิตกำลังขาดอะไรไป ?
เงิน
ตำแหน่งหน้าที่การงาน
บ้าน
รถ
การยอมรับ
คำชื่นชม
หรือความสุขเล็กน้อยๆ แบบพอเพียง แต่ทำให้จิตใจเบิกบานได้ยาวไกล
อะไรคือสิ่งที่คุณกำลังขาดหายและต้องการมากเหลือเกิน นั่นคือภาระหน้าที่ที่คุณต้องค้นหาคำตอบ จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่รู้คำตอบไม่ได้อีกต่อไป มีแต่คำถาม แต่ไม่พยายามหาคำตอบ หรือไม่คิดที่จะหาคำตอบเพื่อให้ตัวเองมีความสุขนั้นไม่ได้แล้ว
หากมัวแต่เอาตัวเองเวียนว่ายอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา ใจป่วย ก็ไม่รีบรักษา กายป่วย ก็โทษว่าทำงานหนักมากไป เครียดมากไป อะไรๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ สุขภาพเลยแย่ ทั้งๆ ที่ความจริงคือสภาพจิตใจย่ำแย่มากกว่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ต้องปั้นหน้ายิ้มระรื่น ฝืนตัวเองให้ตื่นขึ้นมาเพื่อออกไปทำงาน กลายเป็นคนไม่มีความสุข กลายเป็นคนมีทุกข์ถาวร กลายเป็นคนที่ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากคุยเรื่องงานด้วย เพราะวันๆ เอาแต่ทำหน้ายักษ์หน้าย่น
คิดอยากจะลาออกไปทำงานที่ไหน
แค่คิดก็ผิดแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อมีเหตุก็ย่อมต้องมีผล เมื่อมีผล ก็ย่อมต้องมีผลกระทบตามมาเสมอ และผลกระทบที่ตามมาในรูปแบบคาดไม่ถึงนี่แหละ ที่ทำให้ใครหลายคนเกิดอาการเมาหมัด ไม่รู้จะแก้ไขยังไง ไม่รู้จะเริ่มต้นแบบไหน และไม่รู้ว่าจะเดินไปในทิศทางใด
หากลองคิดตามและลองนำไปเทียบเคียงกับตัวเองเวลาทำงานดู คุณจะเห็นคำตอบของคำถามที่ว่าที่เป็นทุกข์เพราะทำงานไม่มีความสุขนั้น เป็นเพราะอะไรกันแน่
1 ทุกข์เพราะต้องทนกับสภาพที่ทนได้ยากเย็นแสนเข็ญ...หรือเปล่า
2 ทุกข์เพราะเจอสภาวะบีบคั้นและกดดัน...หรือเปล่า
3 ทุกข์เพราะเกิดความขัดแย้ง...หรือเปล่า
4 ทุกข์เพราะเกิดข้อขัดข้อง มีความบกพร่อง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...หรือเปล่า
5 ทุกข์เพราะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ในตัวเองเลย ไม่มีอะไรเที่ยงแท้และทำให้พึงพอใจได้เต็มอิ่มอย่างแท้จริงเลย...หรือเปล่า
หรือแท้ที่จริงแล้ว เป็นเพราะคุณไม่พอใจเจ้านาย ไม่พอใจระบบวิธีการทำงาน ไม่พอใจกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กร ไม่พอใจค่าตอบแทนที่ได้รับ เพราะไม่สอดคล้องกับการทำงานที่ได้ทุ่มเททำลงไป ไม่พอใจเรื่องเวลาการทำงานที่ขอกันมากเกินไป เวลาพักผ่อนจึงน้อยเต็มที
“ไม่พอใจ”
สิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้คุณกำไว้ในมือ และไม่ยอมเรียนรู้ที่จะจ๊ะเอ๋ทักทาย แล้วก็บ๊ายบายโบกมือลาไป ลองหาให้เจอว่าไอ้ที่ไม่พอใจนั้นคืออะไร เพื่อจะได้หาหนทางแก้ไขและสะสางให้หมดไป จะได้ไม่ฝังลึกลงรากในจิตใจเราทั้งวันทั้งคืน
หากไม่รู้ว่าทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะมีวิธีใดที่ทำให้ความไม่พอใจหมดสิ้นไปได้ คุณต้องนำ พลังความคิดด้านบวก + จากวิธีคิดแบบแก้ปัญหา ไปใช้ เพื่อให้คุณรู้ว่า
เหตุคืออะไร
จะได้ไปแก้ที่ต้นเหตุ
เพื่อที่ผลลัพธ์
จะได้พบเจอหนทางสว่าง
ไม่ใช่เขาวงกต
หากไม่พอใจเจ้านาย เพราะ... เพราะตัวคุณหรือเพราะตัวเจ้านาย เพราะคุณคิดไปเองล่วงหน้า หรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วมีผลกระทบกับคุณโดยตรง เพราะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งหรือเจ้านายเอาตัวเองเป็นใหญ่
ไม่พอใจระบบวิธีการทำงาน เพราะ... เพราะการจัดระบบตัวเองไม่ดีเพียงพอ หรือเพราะเจ้านายวางรากฐานไม่ดีและไม่มีกลไก เพราะคุณฟังเจ้านายอธิบายงานไม่ลึกซึ้ง หรือเจ้านายอธิบายงานไม่ละเอียด เพราะคุณต่อต้านระบบตลอดเวลา ไม่เป็นใจยอมรับ หรือเพราะเจ้านายบังคับจนต้องฝืนใจยอมรับ
ไม่พอใจกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กร เพราะ... เพราะคุณทำไม่ได้ หรือไม่อยากทำ หรือเพราะกฎระเบียบมันมากมายจูจี้เกินไป หรือเพราะคุณเคยชินกับความสบาย และอะไรที่ไม่ต้องมาวุ่นวายใจ
ไม่พอใจค่าตอบแทนที่ได้รับ เพราะไม่สอดคล้องกับการทำงานที่ได้ทุ่มเททำลงไป เพราะ.. เพราะคุณต้องการมากเกินไป หรือได้เงินน้อยจริงๆ เพราะอยากได้เงินมาก แต่ไม่อยากทำงานมาก หรือทำงานมาก แต่เจ้านายไม่ให้เงินมาก
ไม่พอใจเรื่องเวลาการทำงานที่ขอกันมากเกินไป เวลาพักผ่อนจึงน้อยเต็มที เพราะ... เพราะเจ้านายเห็นแก่งานมากเกินไป หรือเพราะคุณไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับทีม เพราะคุณไม่เห็นความสำคัญเรื่องเวลา หรือเพราะเจ้านายเห็นแก่เวลา เพราะงานมาก่อน หรือคุณต้องเอาตัวเองมาก่อน
ลองวางใจเป็นกลาง แล้วหาทางค้นหาวิธีแก้ไขและจัดการให้ได้ โดยไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเจ็บช้ำน้ำใจ และระลึกไว้เสมอว่าอารมณ์ที่บูดเน่าเวลาหน้าดำคร่ำเครียดกับงาน มีผลต่อการแก้ไขมากมายทีเดียว เพราะเมื่ออารมณ์มีผลกระทบกับใจ จนทำให้ใจและกายป่วยไข้ เวลาที่ใจกายกำลังป่วย หากคุณได้มองเห็นหน้าตาอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะ สุข ทุกข์ เหงา เศร้า น้อยใจ หวั่นไหว เซ็งจิต หงุดหงิด รำคาญใจ อ่อนไหว อ่อนแอ เวลาทำงานแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายโลก และเกิดคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมถึงต้องทนใช้ชีวิตอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กๆ ที่เรียกกันว่า “ที่ทำงาน”
ตื่นแต่เช้า
(เมา) เข้านอน ทำงาน
กลับบ้าน (กินเหล้า)
แค่กระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขาเขียนแปะไว้ ก็สะท้อนใจได้ว่า สิ่งที่เป็นอยู่อาจทำให้เขาไม่รู้สึกรักในงานที่ทำ หัวหน้างานสั่งให้ทำอะไรก็ทำได้ แต่อาจไม่รู้สึกตื่นเต้นกับงานที่กองอยู่ตรงหน้า และอาจมองไม่เห็นว่าชีวิตอยู่ตรงส่วนไหนบนโลกใบนี้ ทำไมที่ที่ยืนอยู่ถึงได้อึดอัด ไม่สุขสบายใจ และเกิดคำถามคาใจว่าตัวของเรากลายเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีหัวใจไปตั้งแต่ เมื่อไรกันนี่
คำตอบคือ...
หากเราไม่รู้จักมองให้เห็นหน้าตาอารมณ์ด้านลบที่แวะเวียนเข้ามาหลอกล่อให้ เราติดกับ เราจะกลายเป็นหนูตัวหนึ่งที่ต้องทนทุกข์อยู่ในกับดักนั้น เจ็บปวด หลุดไม่พ้น และล้มหายตายจากไปในวังวนที่เราหลงเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
หากเราไม่พยายามฟังเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเบาลงทุกที เสียงที่คอยบอกให้เราอดทนเข้าไว้ เสียงที่มันซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจที่เรามักเผลอลืมมัน เมื่อไม่พยายามเราอาจพ่ายแพ้แรงกระทบจากนั่นโน่นนี่มากมายที่คอยฉุดดึงให้ เราล้มลงอยู่ตลอดเวลา และกลายเป็นซากมนุษย์ที่เอาแต่พกร่างกายมาทำงาน แต่จิตและวิญญาณล่องลอยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
หากไม่ลองสัมผัสความพยายามและความมุ่งมั่นดูอีกสักครั้ง เหนื่อย ก็ลองดูอีกสักครั้ง ท้อแท้ใจ ก็ลองดูอีกสักครั้ง เราคงไม่รู้หรอกว่า รสชาติของความสำเร็จหอมหวานเพียงใด หากเหนื่อยล้าท้อแท้ใจซ้ำซากอยู่อย่างนี้โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง หรือดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
เราก็เป็นได้แค่คนที่มัวแต่พร่ำบ่น
และถูกกลืนหายไปในท้ายที่สุด
หากไม่คิดจะลิ้มลองรสชาติความกดดันดูบ้าง เราคงไม่รู้ว่า ไม่ว่าเราจะทำงานที่ไหน หรือทำอะไรที่แตกต่างออกไป เราต้องเจอภาวะกดดันและอยู่ภายใต้กรอบเหมือนกันหมด หาข้อดีและข้อเสียของแรงกดดันนั้นให้เจอ เรียนรู้ ยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุข การทนอยู่ด้วยความคิดด้านลบ - มีแต่ทัศนคติแย่ๆ และพยายามหัวชนฝา ท้ายที่สุด เราก็จะอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะย้ายงานไปอีกกี่ครั้งกี่ที่กี่แห่ง เราก็จะอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน
จำไว้เลยว่า
คิดจะเปลี่ยนแปลงองค์กร หรือเปลี่ยนแปลงใคร
สู้เปลี่ยนตัวเราเองเสียยังจะดีกว่า
ง่ายกว่า
และมีความสุขมากกว่า
หากรู้สึกไม่มีความสุข ลองให้โอกาสตัวเองรู้สึกอยากมีความสุขดูบ้างสิ แค่อยากปล่อยและวางปัญหาต่างๆ ให้ห่างตัว ไม่พยายามรู้สึกเป็นทุกข์ และคิดแต่เรื่องที่เข้ามากระทบให้ปวดหัว คิดและรู้สึกให้ได้ว่า มันก็เป็นแค่ความตึงเครียดเพียงชั่วครู่ของชีวิต เดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป เพราะไม่มีอะไรในโลกที่จีรังยั่งยืน มีแต่ความทุกข์ที่เรากำมันไว้อยู่ในมือนั่นแหละที่ยั่งยืนไม่ยอมหยุด แค่เขวี้ยงมันทิ้ง ในมือก็ว่างเปล่า แล้วเรายังจะกำมันไว้อยู่อีกทำไม
หากได้หัวเราะกับปัญหา ได้หัวเราะกับความงี่เง่าของใครหรือสิ่งอื่นใดในบางเรื่อง และได้ยกมันออกไปจากใจบ้าง บางทีอะไรหนักๆ มันก็เป็นแค่สำลีก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ไม่อยากฟังเสียงของใครให้ปวดหัว เราก็ยังเอาสำลีก้อนนี้อุดหูตัวเองได้ เรื่องง่ายๆ ที่บางทีดูเหมือนงี่เง่า แต่บางทีก็ช่วยทำให้เราเบาสบายได้เหมือนกัน
และหากเราไม่มีความรักให้แก่งาน ไม่รักตัวเอง เหยียบย่ำตัวเองด้วยการมัวแต่นอย นอย แล้วก็นอยตั้งแต่เช้ายันเย็น...เลิกทำงานไปเลยดีกว่า อยู่บ้านอย่างเดียวให้เหี่ยวเฉาตายกันไปข้างนึงเลย
.
.
ได้มากมายเพียงนี้ และทำไมถึงไม่มีทางไปที่ดีกว่าเดิมแล้วละก็ คุณจะไม่เกิดวงจรชีวิตที่ซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย เหมือนที่กราฟิค ดีไซเนอร์คนหนึ่งที่ได้ร่วมงานด้วย เขาเคยเขียนวงจรชีวิตอันน่าเศร้าใส่กระดาษใบเล็กๆ แล้วแปะทิ้งไว้ที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองไว้อย่างนี้ ค่า ของคน อยู่ที่ผลของงาน และ ค่าของคน ก็ยังอยู่ที่ผลของงาน นี่คือเกียรติยศของชีวิตที่เราต้องท่องจำให้ขึ้นใจไว้ เพราะมันคือความจริงของชีวิต เพราะมันคือ พลังความคิดด้านบวก + ที่ผลักดันให้ได้มองเห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่สร้างภาระให้ตัวเองต้องแย่ลงไปกว่าเดิม แต่เพิ่มศักยภาพของชีวิตอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เมื่อเรามี พลังความคิดด้านบวก + จากวิธีคิดแบบแก้ปัญหา เป็นคู่มือ และเป็นอาวุธช่วยป้องกันภัย เมื่อนั้นเราก็จะได้เรียนรู้ว่า
ปัญหาคืออะไร ปัญหาอยู่ที่ไหน รู้ว่าต้องเข้าใจสภาพปัญหาและขอบเขตของมัน และรู้ว่าได้เข้าใจสภาพและขอบเขตของปัญหานั้นๆ แล้ว
รู้ว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร รู้ว่าจะต้องแก้ไขที่สาเหตุนั้น และรู้ว่าสาเหตุนั้นได้แก้ไขและกำจัดแล้ว
รู้ว่าภาวะหมดปัญหาที่ต้องการ หรือต้องทำ คืออะไร รู้ว่าภาวะนั้นเป็นจุดหมายที่จะต้องไปให้ถึง และรู้ว่าได้ทำสำเร็จแล้ว
รู้ว่าวิธีแก้ปัญหาเป็นอย่างไร รู้ว่าวิธีการนั้นจะต้องลงมือปฏิบัติตามวิธีที่วางไว้ และรู้ว่าได้ปฏิบัติจัดการตามวิธีนั้นเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
หากวันนี้ คุณเหนื่อยล้าท้อแท้ใจและไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จนกลายร่างเป็นเครื่องจักรชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่เริ่มฝืดๆ ติดๆ ขัดๆ และต้องการน้ำมันหล่อลื่นที่เรียกกันว่า “ความสุข”
คุณลองนึกถึง 10 นาทีแรกที่ได้งานที่สมัครไว้ดูสิ
คุณตื่นเต้นแค่ไหน
คุณมีไฟ มีพลังกาย มีพลังใจมากแค่ไหน
คุณมีความอยากที่จะทำงานนั้นมากมายเพียงใด
ค้นหา moment นั้นให้เจอ
แล้วคุณจะพบคำตอบของหนทางไป
สิ่งที่ได้รับจาก พลังความคิดด้านบวก +
* ได้มองเห็นหน้าตาอารมณ์ด้านลบ – ที่แวะเวียนเข้ามาหลอกล่อให้ติดกับ
* ได้ฟังเสียงหัวใจตัวเองที่คอยบอกให้อดทนเข้าไว้
* ได้สัมผัสความพยายามและความมุ่งมั่นจนติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือท้อแท้ใจอีกกี่ครั้งกี่หน
* ได้ค้นหาข้อดีข้อเสียของแรงกดดันจนเจอ และได้เรียนรู้ ยอมรับ และอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข
* ได้ให้โอกาสตัวเองรู้สึกอยากมีความสุข
* ได้หัวเราะกับปัญหาและความงี่เง่าของใครต่อใคร หรือสิ่งอื่นใด และได้ยกมันออกไปจากใจ
* ได้ความรักที่เป็นของจริง คือรักตัวเอง และรักงานที่ทำ
* และได้รู้จักความทุกข์ สาเหตุ ที่มาที่ไป วิธีแก้ไขอย่างรู้เท่าทัน เพื่อผลประโยชน์คือความสุขที่เกิดขึ้นทั้งตัวเราเองและคนรอบข้างที่ร่วมงาน ด้วย ทั้งระดับสูงกว่า ระดับเดียวกัน และระดับน้อยลงไป
กฎของข้าราชการปี 2554 (เวอร์ชั่นใหม่ ขำๆ)
กฎของข้าราชการปี 2554
ทางคณะผู้บริหารมีความยินดีที่จะแจ้งกฎที่เพิ่งจะได้อนุมัติจากสภาฯ หลังจากที่มีการประชุมใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางผู้บริหารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า .. ข้าราชการ ทุกท่านคงจะยินดีปรีดาไม่น้อยกว่าผู้บริหารเหมือนกัน คริๆๆ..
A: ยวดยานพาหนะ
ให้ข้าราชการทุกคนเดินทางมาทำงานโดยใช้ยวดยานพาหนะที่เหมาะสมกับขั้นเงินเดือนของตัวเอง
* หากเห็นว่าพนักงานท่านใดขับรถยนต์ใหม่ มาทำงานทางเราก็ตระหนักดีว่า ท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน เพราะท่านก็ พอมี พอกิน อยู่แล้ว
* หากข้าราชการท่านใด ที่ขับรถยนต์เก่าเกินกว่า 10 ปี มาทำงาน หรือนั่งรถโดยสารมาทำงาน ทางหัวหน้า ก็ตระหนักดีว่า ท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเหมือนกันเพราะท่านเป็นคนที่มัธยัสถ์และเก็บเงินเก่งอยู่แล้ว
* หากข้าราชการท่านใดที่ขับรถยี่ห้ออื่นมาทำงาน เช่นรถมอเตอร์ไซด์ รถซาเล้ง หรือเกาะคนอื่นมาทำงานท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาปรับเงินเดือนขึ้นแต่อย่างใด เพราะท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว จริงไหม
B: การขอลาพักผ่อน
ให้ข้าราชการทุกคนมีสิทธิ์ที่จะลาหยุดได้ 104 วัน ต่อปี คือวันเสาร์และวันอาทิตย์
C: พักกลางวัน
* ข้าราชการท่านใดที่ผอมสลิม สเลนเดอร์ จะได้รับอนุญาตให้พักเที่ยงได้ถึง 30 นาที เพื่อที่จะได้ทานอาหารอย่างเต็มที่และเต็มอิ่ม
* ข้าราชการท่านใดที่ดูไม่ผอม ไม่อ้วน กำลังพอดี จะได้รับอนุญาต ให้พักเที่ยง ได้ 15 นาที เพื่อจะได้ไม่มีเวลาทานมากจนเกินไป เดี๋ยวจะอ้วนขึ้นซะเปล่าๆ
* ข้าราชการท่านใดที่น้ำหนักเกินพิกัด จะได้รับอนุญาตให ้พักได้ 5 นาที เพื่อว่าจะได้ดื่มอาหารจำพวกธัญญพืชหรือยาลดความอ้วน
D: การขอลาป่วย ลากิจ
ห้ามหัวหน้าหน่วยยอมรับใบรับรองแพทย์อีกแล้ว เพราะหัวหน้าหน่วยได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดีว่า หากข้าราชการท่านใดป่วยแต่ยังสามารถไปหาแพทย์ได้ ก็สามารถไปทำงานได้เช่นเดียวกัน การลากิจก็เช่นกันระหว่างกิจของราชการกับกิจของท่านเลือกเอาซิว่าจะเอากิจไหน อะไรสำคัญกว่ากัน
E : การใช้ห้องน้ำ
ผู้ออกระเบียบนี้ได้สังเกต ค้นคว้า วิจัย ออกมาแล้วว่า ข้าราชการส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับห้องน้ำนานมาก โดยเฉพาะผู้หญิงได้ติดตั้งเครื่องมือเอาไว้ หากข้าราชการท่านใดใช้เวลาเกินกว่า 3 นาที เสียงเตือนระบบไซเรนท์จะดังขึ้น ม้วนกระดาษชำระจะถูกเก็บเข้ากล่อง ประตูจะเปิดออกโดยอัตโนมัติ และข้าราชการท่านนั้นจะถูกถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหากข้าราชการท้องถิ่นท่านใดยังนั่ง &n bsp; ห้องน้ำ เกิน 3 นาทีเป็นครั้งที่สอง รูปที่ถูกบันทึกไว้จะถูกตีพิมพ์ ส่งไปตามบอร์ดต่างๆในทุกกอง เพื่อเป็นการเตือนผู้ร่วมงานท่านอื่นๆว่าอย่า..
F : การผ่าตัด
ตราบใดที่ท่านยังเป็นข้าราชการอยู่ ท่านไม่สามารถไปผ่าตัดได้ตามอำเภอใจ หรือจังหวัดใจ เพราะ.ต้องการท่าน และได้รับท่านเข้ามาทำงาน พร้อมกับอวัยวะที่ครบ 32 ประการ หากท่านไปผ่าตัดถือว่าท่านไม่ได้ทำตามสัญญาและข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ เราจะดำเนินการฟ้องให้ถึงที่สุด
G : การใช้ INTERNET
การใช้เน็ตจะถูกบันทึกไว้ในระบบ หากเห็นว่าท่านใช้เน็ตเป็นการส่วนตัว จะหักค่าใช้จ่ายนี้จากโบนัสประจำปีของท่าน โดยเฉพาะการเเชต เฟสบุค ไฮ 5 เกมส์ออนลาย เกมส์ติ๋งต๋อง หรือส่งค่าขนมเด็กพานิชย์ ค่าเทอมเด็กมหาลัยและหากในปีนั้นไม่มีโบนัสประจำปี จะหักค่าใช้จ่ายนี้จากเงินเดือนของท่าน ตามบันทึกของระบบ 73% ของพนักงาน จะไม่ได้รับเงินเดือน เป็นเวลา 3 เดือน
***PS.. หากข้าราชการท่านใด มีข้อสงสัย หรือต้องการจะปรึกษา หารือ หรือกล้าโต้เเย้งก็ให้ติดต่อที่ห้องผู้บริหารได้ทุกเมื่อ (ถ้าอยู่)**
ทางคณะผู้บริหารมีความยินดีที่จะแจ้งกฎที่เพิ่งจะได้อนุมัติจากสภาฯ หลังจากที่มีการประชุมใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางผู้บริหารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า .. ข้าราชการ ทุกท่านคงจะยินดีปรีดาไม่น้อยกว่าผู้บริหารเหมือนกัน คริๆๆ..
A: ยวดยานพาหนะ
ให้ข้าราชการทุกคนเดินทางมาทำงานโดยใช้ยวดยานพาหนะที่เหมาะสมกับขั้นเงินเดือนของตัวเอง
* หากเห็นว่าพนักงานท่านใดขับรถยนต์ใหม่ มาทำงานทางเราก็ตระหนักดีว่า ท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน เพราะท่านก็ พอมี พอกิน อยู่แล้ว
* หากข้าราชการท่านใด ที่ขับรถยนต์เก่าเกินกว่า 10 ปี มาทำงาน หรือนั่งรถโดยสารมาทำงาน ทางหัวหน้า ก็ตระหนักดีว่า ท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเหมือนกันเพราะท่านเป็นคนที่มัธยัสถ์และเก็บเงินเก่งอยู่แล้ว
* หากข้าราชการท่านใดที่ขับรถยี่ห้ออื่นมาทำงาน เช่นรถมอเตอร์ไซด์ รถซาเล้ง หรือเกาะคนอื่นมาทำงานท่านไม่สมควรที่จะได้รับการพิจารณาปรับเงินเดือนขึ้นแต่อย่างใด เพราะท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว จริงไหม
B: การขอลาพักผ่อน
ให้ข้าราชการทุกคนมีสิทธิ์ที่จะลาหยุดได้ 104 วัน ต่อปี คือวันเสาร์และวันอาทิตย์
C: พักกลางวัน
* ข้าราชการท่านใดที่ผอมสลิม สเลนเดอร์ จะได้รับอนุญาตให้พักเที่ยงได้ถึง 30 นาที เพื่อที่จะได้ทานอาหารอย่างเต็มที่และเต็มอิ่ม
* ข้าราชการท่านใดที่ดูไม่ผอม ไม่อ้วน กำลังพอดี จะได้รับอนุญาต ให้พักเที่ยง ได้ 15 นาที เพื่อจะได้ไม่มีเวลาทานมากจนเกินไป เดี๋ยวจะอ้วนขึ้นซะเปล่าๆ
* ข้าราชการท่านใดที่น้ำหนักเกินพิกัด จะได้รับอนุญาตให ้พักได้ 5 นาที เพื่อว่าจะได้ดื่มอาหารจำพวกธัญญพืชหรือยาลดความอ้วน
D: การขอลาป่วย ลากิจ
ห้ามหัวหน้าหน่วยยอมรับใบรับรองแพทย์อีกแล้ว เพราะหัวหน้าหน่วยได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงดีว่า หากข้าราชการท่านใดป่วยแต่ยังสามารถไปหาแพทย์ได้ ก็สามารถไปทำงานได้เช่นเดียวกัน การลากิจก็เช่นกันระหว่างกิจของราชการกับกิจของท่านเลือกเอาซิว่าจะเอากิจไหน อะไรสำคัญกว่ากัน
E : การใช้ห้องน้ำ
ผู้ออกระเบียบนี้ได้สังเกต ค้นคว้า วิจัย ออกมาแล้วว่า ข้าราชการส่วนใหญ่เสียเวลาไปกับห้องน้ำนานมาก โดยเฉพาะผู้หญิงได้ติดตั้งเครื่องมือเอาไว้ หากข้าราชการท่านใดใช้เวลาเกินกว่า 3 นาที เสียงเตือนระบบไซเรนท์จะดังขึ้น ม้วนกระดาษชำระจะถูกเก็บเข้ากล่อง ประตูจะเปิดออกโดยอัตโนมัติ และข้าราชการท่านนั้นจะถูกถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหากข้าราชการท้องถิ่นท่านใดยังนั่ง &n bsp; ห้องน้ำ เกิน 3 นาทีเป็นครั้งที่สอง รูปที่ถูกบันทึกไว้จะถูกตีพิมพ์ ส่งไปตามบอร์ดต่างๆในทุกกอง เพื่อเป็นการเตือนผู้ร่วมงานท่านอื่นๆว่าอย่า..
F : การผ่าตัด
ตราบใดที่ท่านยังเป็นข้าราชการอยู่ ท่านไม่สามารถไปผ่าตัดได้ตามอำเภอใจ หรือจังหวัดใจ เพราะ.ต้องการท่าน และได้รับท่านเข้ามาทำงาน พร้อมกับอวัยวะที่ครบ 32 ประการ หากท่านไปผ่าตัดถือว่าท่านไม่ได้ทำตามสัญญาและข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ เราจะดำเนินการฟ้องให้ถึงที่สุด
G : การใช้ INTERNET
การใช้เน็ตจะถูกบันทึกไว้ในระบบ หากเห็นว่าท่านใช้เน็ตเป็นการส่วนตัว จะหักค่าใช้จ่ายนี้จากโบนัสประจำปีของท่าน โดยเฉพาะการเเชต เฟสบุค ไฮ 5 เกมส์ออนลาย เกมส์ติ๋งต๋อง หรือส่งค่าขนมเด็กพานิชย์ ค่าเทอมเด็กมหาลัยและหากในปีนั้นไม่มีโบนัสประจำปี จะหักค่าใช้จ่ายนี้จากเงินเดือนของท่าน ตามบันทึกของระบบ 73% ของพนักงาน จะไม่ได้รับเงินเดือน เป็นเวลา 3 เดือน
***PS.. หากข้าราชการท่านใด มีข้อสงสัย หรือต้องการจะปรึกษา หารือ หรือกล้าโต้เเย้งก็ให้ติดต่อที่ห้องผู้บริหารได้ทุกเมื่อ (ถ้าอยู่)**
ดูแลรักษาแผลเป็น
แผล เป็นบนใบหน้าหรือส่วนนอกร่มผ้าคงทำให้หลายต่อหลายคนขาดความมั่นใจ ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดแผลแล้วควรรีบรักษาป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมและเจลทาแผลหรือแผ่นเจลที่ใช้แปะก็ช่วยได้ แต่อาจได้ผลลัพธ์ไม่ดีเหมือนกันทุกคน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของแผล และกรรมพันธุ์ของแต่ละคน
แผล เป็น คือ แผลที่หายแล้วแต่ยังมีรอยอยู่ เมื่อเกิดบาดแผลบนผิวหนัง ร่างกายของเราจะรักษาแผลเองโดยผลิตอิลาสตินและคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในชั้นหนังแท้ขึ้นมาปกป้องผิวหนัง และซ่อมแซมชั้นผิวหนังส่วนที่ฉีกขาด แผลที่ลึกนั้นมี ความเสียหายของชั้นผิวหนัง รวมทั้งเส้นเลือดและเส้นประสาทมากกว่า จึงใช้เวลาในการรักษามากกว่าแผลตื้นๆ ที่มีการสูญเสียแค่เซลล์หนังกำพร้า โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นจึงมีมากขึ้น แผลเป็นเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะค่อยๆ จางลงเองตามธรรมชาติแต่จะใช้เวลานานเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับสี ความเรียบ และขนาดของแผลนั้นๆ
สี ที่แตกต่าง แผลเป็นที่มีรอยเป็นสี มักเกิดจากแผลที่ไม่ลึกมาก เกิดจากการเปลี่ยนของเซลล์เม็ดสี ทำให้แผลแลดูมีสีดำหรือสีคล้ำ รักษาได้โดยการทาวิตามินเพื่อผลัดเซลล์ผิว เช่น วิตามินเอ วิตามินซีหรืออาจใช้เลเซอร์ประเภททำลายเซลล์เม็ดสี (Pigment Laser) ที่ทำให้เมลานินที่เข้มผิดปกติให้แตกออก และร่างกายของเราก็จะกำจัดออกไปเองโดยอัตโนมัติ
แผล เป็นแบบที่ลึกขึ้นมาหน่อยจะเป็นสีแดง รักษาได้ด้วยการทาวิตามินเพื่อผลัดเซลล์ผิวได้เช่นกัน แต่หากเลือกการรักษาด้วยเลเซอร์ ควรเป็นเลเซอร์ที่ใช้ลบรอยแดง ประเภท V-beam หรือ Pulse Dye ซึ่งใช้แก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดระบบเส้นเลือดให้เป็นปกติ
"นาฬิกาชีวิต"รวน-เพิ่มเสี่ยงป่วยความดันสูง
นัก วิจัยมหาวิทยาลัยเกียวโด ญี่ปุ่น เผยว่า ถ้าระบบการทำงานของ "นาฬิกาชีวภาพ" ในร่างกายคนเราถูกรบกวน อาจส่งผลต่อความดันโลหิต และทำให้เป็นโรคหัวใจง่ายขึ้น
ดังนั้น บุคคลที่ต้องทำงานเป็นกะ เช่น พนักงานบนเที่ยวบินระยะทางไกลๆ หลับพักผ่อนไม่เป็นเวลา จึงต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ "นาฬิกา ชีวภาพในร่างกายมีอิทธิพลต่อปัจจัยเสี่ยงด้านยีน (พันธุกรรม) ที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไตเสียหายและโรคอื่นๆ" นักวิจัย ระบุ
นาฬิกา ชีวภาพประกอบด้วยการทำงานของยีนหลายตัว ผลการทดลองในหนูพบว่า จังหวะการทำงานของนาฬิกาชีวภาพที่ผิดปกติไป ทำให้หนูขาดโมเลกุล "คริปโตโครม"
ส่งผลให้มีความเสี่ยงเกิดอาการความดันโลหิตสูงมากขึ้น เพราะมีฮอร์โมนอัลโดสเตอโรนสูงผิดปกติ ทำให้แคลเซียมถูกดูดกลับเข้าไตมากเกินไปจนไตบวมน้ำ อย่างไรก็ตาม ต้องวิจัยขยายผลต่อไปว่า หากนาฬิกาในร่างกายมนุษย์ถูกรบกวนจะทำให้คนๆ นั้นเกิดความดันโลหิตสูงเหมือนหนูหรือไม่
ทั้งนี้ ความดันโลหิตจะสัมพันธ์กับช่วงเวลาของวัน เช่น ช่วงเช้าความดันโลหิตจะสูงกว่าปกติ แต่บางคนความดันโลหิตอาจสูงเพราะฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน ส่วนเรื่องยีนควบคุมความดันโลหิตเป็นเรื่องใหม่ การศึกษาครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อการคิดวิธีรักษาความดันโลหิตให้ดีขึ้น
เทคนิคการขับขี่รถยนต์ให้ได้เปรียบเชิงกล
หลักการง่ายๆ ในการขับรถยนต์ให้ได้เปรียบเชิงกลและไม่เสียเปรียบเชิงกล สามารถขับรถยนต์ได้อย่างชาญฉลาดและมีความปลอดภัยครับ เราจะแบ่งได้เป็น 5 กรณีง่าย ๆ ครับ
1. ในกรณีที่รถยนต์ของคุณติดไฟแดงเป็นเวลาค่อนข้างนาน ไม่ควรเหยียบเบรคแช่ไว้ตลอดเวลา ควรใส่เบรคมือไว้เพื่อผ่อนคลายความล้าของขาและช่วยยืดอายุหลอดไฟเบรค และสวิตช์ไฟเบรค ตลอดจนช่วยประหยัดพลังงานรถยนต์ของคุณด้วยครับ ถ้ารถยนต์ของคุณใช้เกียร์อัตโนมัติก็ควรโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง เกียร์ว่าง (เกียร์ N) และใส่เบรคมือเช่นกันนอกจากข้อดีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีข้อดีอีกข้อครับคือ จะช่วยลดความร้อนที่เกิดในน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งถ้าน้ำมันร้อนจัดแล้วจะทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วขึ้นครับ
2. ในกรณีที่คุณขับรถบนถนนเปียก ความเสียดทานระหว่างยางกับถนนจะลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของถนนแห้ง ดังนั้นการยึดเกาะถนนไม่ดีเท่ากับถนนแห้งโอกาสที่ล้อจะล็อคตายและลื่นไถลไปบนถนนจึงมีสูงมากครับ ดังนั้นจึงต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังและอย่าใช้ความเร็วสูงเป็นอันขาด เพราะอุบัติเหตุที่พบเห็นอยู่เสมอมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีฝนตกจนถนนเปียกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ ฝุ่นบนถนนจะผสมกับน้ำฝนจนเป็นเมือก ซึ่งมีความลื่นมากเป็นพิเศษครับ
3. ในกรณีที่คุณเหยีบเบรคอย่างกะทันหันจนล้อล็อคตายคุณจะไม่สามารถควบคุมการเลี้ยวของรถยนต์ได้ครับ รถยนต์จะเลื่อนไหลไปตามแรงเฉื่อยของรถยนต์โดยที่ยางเสียดสีไปบนถนนเป็นทางยาว เรื่องนี้เป็นอันตรายมากครับดังนั้นถ้ารถยนต์ของคุณไม่ได้ใช้ เบรค ABS คุณอาจลดการล็อคตายของล้อได้ (เพราะในขณะที่คุณกำลังเบรค คุณสามารถรู้สึกได้ว่าล้อกำลังจะล็อคตาย) โดยอาจผ่อนเบรคเล็กน้อยแล้วจึงเหยียบเบรคลงไปใหม่อย่างรวดเร็วจะช่วยได้ครับ
4. ในกรณีที่คุณขับรถลงทางชันซึ่งมีความลาดชันค่อนข้างมากคุณควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยในการเบรค ซึ่งในทางวิศวกรรมเราเรียกว่า การเบรคด้วย เครื่องยนต์ (ENGINE BRAKE) แต่ถ้าคุณไม่ใช้การเบรคด้วยเครื่องยนต์ (อาจเป็นเพราะว่าความเคยชินหรือ กลัวเครื่องพัง หรือกลัวเปลืองน้ำมัน) อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่นะครับ คุณก็จะต้องคอยเหยียบเบรคไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ความเร็วของรถยนต์เพิ่มสูงเกินไปใช่มั้ยครับ การกระทำเช่นนี้จะมีผลเสียต่อระบบเบรค คือ เบรคจะสึกหรอเร็วกว่าปกติ เบรคจะร้อนจัดเกินไปเพราะ รถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำเพราะการเบรคอยู่บ่อยครั้งอากาศจึงไม่สามารถเข้าไประบายความร้อนเบรคได้ทัน ประสิทธิภาพการเบรคจะลดลงครับ ถ้าเบรคร้อนมากจนทำให้น้ำมันที่ลูกปั้มเดือดก็จะส่งผลเสียอย่างมากครับ คือจะทำให้เบรคไม่อยู่และอาจเกิดอุบัติเหตุได้ครับ
5. ในกรณีที่คุณขับรถอยู่บนถนนและ ยางรถยนต์ เกิดระเบิดขึ้นอย่างทันทีทันใด คุณจะรู้สึกได้ว่ารถยนต์เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง การควบคุมรถจะทำได้ยากครับ ถ้าเกิดเหตุการณ์ยางระเบิดดังกล่าว ต้องตั้งสติให้มั่น จับพวงมาลัยให้มั่นคง อย่าเหยียบเบรคอย่างทันทีนันใดเพราะจะทำให้รถยนต์เสียหลักได้ครับ ควรแตะเบรคอย่างนิ่มนวลเพื่อลดความเร็วของรถยนต์ แล้วเปลี่ยนช่องทางจราจรจอดข้างถนนตรงบริเวณที่ปลอดภัยเพื่อเปลี่ยนยางอะไหล่ หรือขอความช่วยเหลือครับ
ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถของคุณดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่าการขับรถที่มีประสิทฺธิภาพได้เปรียบเชิงกลและมีความปลอดภัยนั้นจะทำให้รถยนต์ของคุณมีความสุข และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและอยู่เคียงข้างคุณไปอีกนานแสนนานครับ
1. ในกรณีที่รถยนต์ของคุณติดไฟแดงเป็นเวลาค่อนข้างนาน ไม่ควรเหยียบเบรคแช่ไว้ตลอดเวลา ควรใส่เบรคมือไว้เพื่อผ่อนคลายความล้าของขาและช่วยยืดอายุหลอดไฟเบรค และสวิตช์ไฟเบรค ตลอดจนช่วยประหยัดพลังงานรถยนต์ของคุณด้วยครับ ถ้ารถยนต์ของคุณใช้เกียร์อัตโนมัติก็ควรโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง เกียร์ว่าง (เกียร์ N) และใส่เบรคมือเช่นกันนอกจากข้อดีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีข้อดีอีกข้อครับคือ จะช่วยลดความร้อนที่เกิดในน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งถ้าน้ำมันร้อนจัดแล้วจะทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วขึ้นครับ
2. ในกรณีที่คุณขับรถบนถนนเปียก ความเสียดทานระหว่างยางกับถนนจะลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของถนนแห้ง ดังนั้นการยึดเกาะถนนไม่ดีเท่ากับถนนแห้งโอกาสที่ล้อจะล็อคตายและลื่นไถลไปบนถนนจึงมีสูงมากครับ ดังนั้นจึงต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังและอย่าใช้ความเร็วสูงเป็นอันขาด เพราะอุบัติเหตุที่พบเห็นอยู่เสมอมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีฝนตกจนถนนเปียกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ ฝุ่นบนถนนจะผสมกับน้ำฝนจนเป็นเมือก ซึ่งมีความลื่นมากเป็นพิเศษครับ
3. ในกรณีที่คุณเหยีบเบรคอย่างกะทันหันจนล้อล็อคตายคุณจะไม่สามารถควบคุมการเลี้ยวของรถยนต์ได้ครับ รถยนต์จะเลื่อนไหลไปตามแรงเฉื่อยของรถยนต์โดยที่ยางเสียดสีไปบนถนนเป็นทางยาว เรื่องนี้เป็นอันตรายมากครับดังนั้นถ้ารถยนต์ของคุณไม่ได้ใช้ เบรค ABS คุณอาจลดการล็อคตายของล้อได้ (เพราะในขณะที่คุณกำลังเบรค คุณสามารถรู้สึกได้ว่าล้อกำลังจะล็อคตาย) โดยอาจผ่อนเบรคเล็กน้อยแล้วจึงเหยียบเบรคลงไปใหม่อย่างรวดเร็วจะช่วยได้ครับ
4. ในกรณีที่คุณขับรถลงทางชันซึ่งมีความลาดชันค่อนข้างมากคุณควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยในการเบรค ซึ่งในทางวิศวกรรมเราเรียกว่า การเบรคด้วย เครื่องยนต์ (ENGINE BRAKE) แต่ถ้าคุณไม่ใช้การเบรคด้วยเครื่องยนต์ (อาจเป็นเพราะว่าความเคยชินหรือ กลัวเครื่องพัง หรือกลัวเปลืองน้ำมัน) อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่นะครับ คุณก็จะต้องคอยเหยียบเบรคไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ความเร็วของรถยนต์เพิ่มสูงเกินไปใช่มั้ยครับ การกระทำเช่นนี้จะมีผลเสียต่อระบบเบรค คือ เบรคจะสึกหรอเร็วกว่าปกติ เบรคจะร้อนจัดเกินไปเพราะ รถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำเพราะการเบรคอยู่บ่อยครั้งอากาศจึงไม่สามารถเข้าไประบายความร้อนเบรคได้ทัน ประสิทธิภาพการเบรคจะลดลงครับ ถ้าเบรคร้อนมากจนทำให้น้ำมันที่ลูกปั้มเดือดก็จะส่งผลเสียอย่างมากครับ คือจะทำให้เบรคไม่อยู่และอาจเกิดอุบัติเหตุได้ครับ
5. ในกรณีที่คุณขับรถอยู่บนถนนและ ยางรถยนต์ เกิดระเบิดขึ้นอย่างทันทีทันใด คุณจะรู้สึกได้ว่ารถยนต์เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง การควบคุมรถจะทำได้ยากครับ ถ้าเกิดเหตุการณ์ยางระเบิดดังกล่าว ต้องตั้งสติให้มั่น จับพวงมาลัยให้มั่นคง อย่าเหยียบเบรคอย่างทันทีนันใดเพราะจะทำให้รถยนต์เสียหลักได้ครับ ควรแตะเบรคอย่างนิ่มนวลเพื่อลดความเร็วของรถยนต์ แล้วเปลี่ยนช่องทางจราจรจอดข้างถนนตรงบริเวณที่ปลอดภัยเพื่อเปลี่ยนยางอะไหล่ หรือขอความช่วยเหลือครับ
ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถของคุณดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่าการขับรถที่มีประสิทฺธิภาพได้เปรียบเชิงกลและมีความปลอดภัยนั้นจะทำให้รถยนต์ของคุณมีความสุข และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและอยู่เคียงข้างคุณไปอีกนานแสนนานครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)