5 ก.พ. 2554

10 นาทีแรก (วิธีคิดบวก + แบบแก้ปัญหา)

ในวันที่คุณสะกดคำว่า “ความสุข” ยากขึ้นทุกทีๆ


ในวันที่คุณหมดพลังจะทำงานหรือทำอะไรต่อมิอะไร

คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าชีวิตกำลังขาดอะไรไป ?

เงิน

ตำแหน่งหน้าที่การงาน

บ้าน

รถ

การยอมรับ

คำชื่นชม

หรือความสุขเล็กน้อยๆ แบบพอเพียง แต่ทำให้จิตใจเบิกบานได้ยาวไกล

อะไรคือสิ่งที่คุณกำลังขาดหายและต้องการมากเหลือเกิน นั่นคือภาระหน้าที่ที่คุณต้องค้นหาคำตอบ จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่รู้คำตอบไม่ได้อีกต่อไป มีแต่คำถาม แต่ไม่พยายามหาคำตอบ หรือไม่คิดที่จะหาคำตอบเพื่อให้ตัวเองมีความสุขนั้นไม่ได้แล้ว

หากมัวแต่เอาตัวเองเวียนว่ายอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา ใจป่วย ก็ไม่รีบรักษา กายป่วย ก็โทษว่าทำงานหนักมากไป เครียดมากไป อะไรๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ สุขภาพเลยแย่ ทั้งๆ ที่ความจริงคือสภาพจิตใจย่ำแย่มากกว่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ต้องปั้นหน้ายิ้มระรื่น ฝืนตัวเองให้ตื่นขึ้นมาเพื่อออกไปทำงาน กลายเป็นคนไม่มีความสุข กลายเป็นคนมีทุกข์ถาวร กลายเป็นคนที่ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากคุยเรื่องงานด้วย เพราะวันๆ เอาแต่ทำหน้ายักษ์หน้าย่น

คิดอยากจะลาออกไปทำงานที่ไหน

แค่คิดก็ผิดแล้ว

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อมีเหตุก็ย่อมต้องมีผล เมื่อมีผล ก็ย่อมต้องมีผลกระทบตามมาเสมอ และผลกระทบที่ตามมาในรูปแบบคาดไม่ถึงนี่แหละ ที่ทำให้ใครหลายคนเกิดอาการเมาหมัด ไม่รู้จะแก้ไขยังไง ไม่รู้จะเริ่มต้นแบบไหน และไม่รู้ว่าจะเดินไปในทิศทางใด

หากลองคิดตามและลองนำไปเทียบเคียงกับตัวเองเวลาทำงานดู คุณจะเห็นคำตอบของคำถามที่ว่าที่เป็นทุกข์เพราะทำงานไม่มีความสุขนั้น เป็นเพราะอะไรกันแน่



1 ทุกข์เพราะต้องทนกับสภาพที่ทนได้ยากเย็นแสนเข็ญ...หรือเปล่า

2 ทุกข์เพราะเจอสภาวะบีบคั้นและกดดัน...หรือเปล่า

3 ทุกข์เพราะเกิดความขัดแย้ง...หรือเปล่า

4 ทุกข์เพราะเกิดข้อขัดข้อง มีความบกพร่อง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...หรือเปล่า

5 ทุกข์เพราะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ในตัวเองเลย ไม่มีอะไรเที่ยงแท้และทำให้พึงพอใจได้เต็มอิ่มอย่างแท้จริงเลย...หรือเปล่า



หรือแท้ที่จริงแล้ว เป็นเพราะคุณไม่พอใจเจ้านาย ไม่พอใจระบบวิธีการทำงาน ไม่พอใจกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กร ไม่พอใจค่าตอบแทนที่ได้รับ เพราะไม่สอดคล้องกับการทำงานที่ได้ทุ่มเททำลงไป ไม่พอใจเรื่องเวลาการทำงานที่ขอกันมากเกินไป เวลาพักผ่อนจึงน้อยเต็มที

“ไม่พอใจ”



สิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้คุณกำไว้ในมือ และไม่ยอมเรียนรู้ที่จะจ๊ะเอ๋ทักทาย แล้วก็บ๊ายบายโบกมือลาไป ลองหาให้เจอว่าไอ้ที่ไม่พอใจนั้นคืออะไร เพื่อจะได้หาหนทางแก้ไขและสะสางให้หมดไป จะได้ไม่ฝังลึกลงรากในจิตใจเราทั้งวันทั้งคืน

หากไม่รู้ว่าทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะมีวิธีใดที่ทำให้ความไม่พอใจหมดสิ้นไปได้ คุณต้องนำ พลังความคิดด้านบวก + จากวิธีคิดแบบแก้ปัญหา ไปใช้ เพื่อให้คุณรู้ว่า

เหตุคืออะไร

จะได้ไปแก้ที่ต้นเหตุ

เพื่อที่ผลลัพธ์

จะได้พบเจอหนทางสว่าง

ไม่ใช่เขาวงกต



หากไม่พอใจเจ้านาย เพราะ... เพราะตัวคุณหรือเพราะตัวเจ้านาย เพราะคุณคิดไปเองล่วงหน้า หรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วมีผลกระทบกับคุณโดยตรง เพราะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งหรือเจ้านายเอาตัวเองเป็นใหญ่

ไม่พอใจระบบวิธีการทำงาน เพราะ... เพราะการจัดระบบตัวเองไม่ดีเพียงพอ หรือเพราะเจ้านายวางรากฐานไม่ดีและไม่มีกลไก เพราะคุณฟังเจ้านายอธิบายงานไม่ลึกซึ้ง หรือเจ้านายอธิบายงานไม่ละเอียด เพราะคุณต่อต้านระบบตลอดเวลา ไม่เป็นใจยอมรับ หรือเพราะเจ้านายบังคับจนต้องฝืนใจยอมรับ

ไม่พอใจกฎระเบียบข้อบังคับขององค์กร เพราะ... เพราะคุณทำไม่ได้ หรือไม่อยากทำ หรือเพราะกฎระเบียบมันมากมายจูจี้เกินไป หรือเพราะคุณเคยชินกับความสบาย และอะไรที่ไม่ต้องมาวุ่นวายใจ

ไม่พอใจค่าตอบแทนที่ได้รับ เพราะไม่สอดคล้องกับการทำงานที่ได้ทุ่มเททำลงไป เพราะ.. เพราะคุณต้องการมากเกินไป หรือได้เงินน้อยจริงๆ เพราะอยากได้เงินมาก แต่ไม่อยากทำงานมาก หรือทำงานมาก แต่เจ้านายไม่ให้เงินมาก

ไม่พอใจเรื่องเวลาการทำงานที่ขอกันมากเกินไป เวลาพักผ่อนจึงน้อยเต็มที เพราะ... เพราะเจ้านายเห็นแก่งานมากเกินไป หรือเพราะคุณไม่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับทีม เพราะคุณไม่เห็นความสำคัญเรื่องเวลา หรือเพราะเจ้านายเห็นแก่เวลา เพราะงานมาก่อน หรือคุณต้องเอาตัวเองมาก่อน

ลองวางใจเป็นกลาง แล้วหาทางค้นหาวิธีแก้ไขและจัดการให้ได้ โดยไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเจ็บช้ำน้ำใจ และระลึกไว้เสมอว่าอารมณ์ที่บูดเน่าเวลาหน้าดำคร่ำเครียดกับงาน มีผลต่อการแก้ไขมากมายทีเดียว เพราะเมื่ออารมณ์มีผลกระทบกับใจ จนทำให้ใจและกายป่วยไข้ เวลาที่ใจกายกำลังป่วย หากคุณได้มองเห็นหน้าตาอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะ สุข ทุกข์ เหงา เศร้า น้อยใจ หวั่นไหว เซ็งจิต หงุดหงิด รำคาญใจ อ่อนไหว อ่อนแอ เวลาทำงานแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายโลก และเกิดคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมถึงต้องทนใช้ชีวิตอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กๆ ที่เรียกกันว่า “ที่ทำงาน”



ตื่นแต่เช้า



(เมา) เข้านอน ทำงาน



กลับบ้าน (กินเหล้า)



แค่กระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขาเขียนแปะไว้ ก็สะท้อนใจได้ว่า สิ่งที่เป็นอยู่อาจทำให้เขาไม่รู้สึกรักในงานที่ทำ หัวหน้างานสั่งให้ทำอะไรก็ทำได้ แต่อาจไม่รู้สึกตื่นเต้นกับงานที่กองอยู่ตรงหน้า และอาจมองไม่เห็นว่าชีวิตอยู่ตรงส่วนไหนบนโลกใบนี้ ทำไมที่ที่ยืนอยู่ถึงได้อึดอัด ไม่สุขสบายใจ และเกิดคำถามคาใจว่าตัวของเรากลายเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีหัวใจไปตั้งแต่ เมื่อไรกันนี่

คำตอบคือ...

หากเราไม่รู้จักมองให้เห็นหน้าตาอารมณ์ด้านลบที่แวะเวียนเข้ามาหลอกล่อให้ เราติดกับ เราจะกลายเป็นหนูตัวหนึ่งที่ต้องทนทุกข์อยู่ในกับดักนั้น เจ็บปวด หลุดไม่พ้น และล้มหายตายจากไปในวังวนที่เราหลงเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

หากเราไม่พยายามฟังเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเบาลงทุกที เสียงที่คอยบอกให้เราอดทนเข้าไว้ เสียงที่มันซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจที่เรามักเผลอลืมมัน เมื่อไม่พยายามเราอาจพ่ายแพ้แรงกระทบจากนั่นโน่นนี่มากมายที่คอยฉุดดึงให้ เราล้มลงอยู่ตลอดเวลา และกลายเป็นซากมนุษย์ที่เอาแต่พกร่างกายมาทำงาน แต่จิตและวิญญาณล่องลอยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

หากไม่ลองสัมผัสความพยายามและความมุ่งมั่นดูอีกสักครั้ง เหนื่อย ก็ลองดูอีกสักครั้ง ท้อแท้ใจ ก็ลองดูอีกสักครั้ง เราคงไม่รู้หรอกว่า รสชาติของความสำเร็จหอมหวานเพียงใด หากเหนื่อยล้าท้อแท้ใจซ้ำซากอยู่อย่างนี้โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนตัวเอง หรือดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง

เราก็เป็นได้แค่คนที่มัวแต่พร่ำบ่น

และถูกกลืนหายไปในท้ายที่สุด

หากไม่คิดจะลิ้มลองรสชาติความกดดันดูบ้าง เราคงไม่รู้ว่า ไม่ว่าเราจะทำงานที่ไหน หรือทำอะไรที่แตกต่างออกไป เราต้องเจอภาวะกดดันและอยู่ภายใต้กรอบเหมือนกันหมด หาข้อดีและข้อเสียของแรงกดดันนั้นให้เจอ เรียนรู้ ยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุข การทนอยู่ด้วยความคิดด้านลบ - มีแต่ทัศนคติแย่ๆ และพยายามหัวชนฝา ท้ายที่สุด เราก็จะอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะย้ายงานไปอีกกี่ครั้งกี่ที่กี่แห่ง เราก็จะอยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน

จำไว้เลยว่า

คิดจะเปลี่ยนแปลงองค์กร หรือเปลี่ยนแปลงใคร

สู้เปลี่ยนตัวเราเองเสียยังจะดีกว่า

ง่ายกว่า

และมีความสุขมากกว่า

หากรู้สึกไม่มีความสุข ลองให้โอกาสตัวเองรู้สึกอยากมีความสุขดูบ้างสิ แค่อยากปล่อยและวางปัญหาต่างๆ ให้ห่างตัว ไม่พยายามรู้สึกเป็นทุกข์ และคิดแต่เรื่องที่เข้ามากระทบให้ปวดหัว คิดและรู้สึกให้ได้ว่า มันก็เป็นแค่ความตึงเครียดเพียงชั่วครู่ของชีวิต เดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป เพราะไม่มีอะไรในโลกที่จีรังยั่งยืน มีแต่ความทุกข์ที่เรากำมันไว้อยู่ในมือนั่นแหละที่ยั่งยืนไม่ยอมหยุด แค่เขวี้ยงมันทิ้ง ในมือก็ว่างเปล่า แล้วเรายังจะกำมันไว้อยู่อีกทำไม

หากได้หัวเราะกับปัญหา ได้หัวเราะกับความงี่เง่าของใครหรือสิ่งอื่นใดในบางเรื่อง และได้ยกมันออกไปจากใจบ้าง บางทีอะไรหนักๆ มันก็เป็นแค่สำลีก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ไม่อยากฟังเสียงของใครให้ปวดหัว เราก็ยังเอาสำลีก้อนนี้อุดหูตัวเองได้ เรื่องง่ายๆ ที่บางทีดูเหมือนงี่เง่า แต่บางทีก็ช่วยทำให้เราเบาสบายได้เหมือนกัน

และหากเราไม่มีความรักให้แก่งาน ไม่รักตัวเอง เหยียบย่ำตัวเองด้วยการมัวแต่นอย นอย แล้วก็นอยตั้งแต่เช้ายันเย็น...เลิกทำงานไปเลยดีกว่า อยู่บ้านอย่างเดียวให้เหี่ยวเฉาตายกันไปข้างนึงเลย

.

.

ได้มากมายเพียงนี้ และทำไมถึงไม่มีทางไปที่ดีกว่าเดิมแล้วละก็ คุณจะไม่เกิดวงจรชีวิตที่ซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย เหมือนที่กราฟิค ดีไซเนอร์คนหนึ่งที่ได้ร่วมงานด้วย เขาเคยเขียนวงจรชีวิตอันน่าเศร้าใส่กระดาษใบเล็กๆ แล้วแปะทิ้งไว้ที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองไว้อย่างนี้ ค่า ของคน อยู่ที่ผลของงาน และ ค่าของคน ก็ยังอยู่ที่ผลของงาน นี่คือเกียรติยศของชีวิตที่เราต้องท่องจำให้ขึ้นใจไว้ เพราะมันคือความจริงของชีวิต เพราะมันคือ พลังความคิดด้านบวก + ที่ผลักดันให้ได้มองเห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่สร้างภาระให้ตัวเองต้องแย่ลงไปกว่าเดิม แต่เพิ่มศักยภาพของชีวิตอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

เมื่อเรามี พลังความคิดด้านบวก + จากวิธีคิดแบบแก้ปัญหา เป็นคู่มือ และเป็นอาวุธช่วยป้องกันภัย เมื่อนั้นเราก็จะได้เรียนรู้ว่า

ปัญหาคืออะไร ปัญหาอยู่ที่ไหน รู้ว่าต้องเข้าใจสภาพปัญหาและขอบเขตของมัน และรู้ว่าได้เข้าใจสภาพและขอบเขตของปัญหานั้นๆ แล้ว

รู้ว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร รู้ว่าจะต้องแก้ไขที่สาเหตุนั้น และรู้ว่าสาเหตุนั้นได้แก้ไขและกำจัดแล้ว

รู้ว่าภาวะหมดปัญหาที่ต้องการ หรือต้องทำ คืออะไร รู้ว่าภาวะนั้นเป็นจุดหมายที่จะต้องไปให้ถึง และรู้ว่าได้ทำสำเร็จแล้ว

รู้ว่าวิธีแก้ปัญหาเป็นอย่างไร รู้ว่าวิธีการนั้นจะต้องลงมือปฏิบัติตามวิธีที่วางไว้ และรู้ว่าได้ปฏิบัติจัดการตามวิธีนั้นเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว



หากวันนี้ คุณเหนื่อยล้าท้อแท้ใจและไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จนกลายร่างเป็นเครื่องจักรชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่เริ่มฝืดๆ ติดๆ ขัดๆ และต้องการน้ำมันหล่อลื่นที่เรียกกันว่า “ความสุข”



คุณลองนึกถึง 10 นาทีแรกที่ได้งานที่สมัครไว้ดูสิ

คุณตื่นเต้นแค่ไหน

คุณมีไฟ มีพลังกาย มีพลังใจมากแค่ไหน

คุณมีความอยากที่จะทำงานนั้นมากมายเพียงใด

ค้นหา moment นั้นให้เจอ

แล้วคุณจะพบคำตอบของหนทางไป

สิ่งที่ได้รับจาก พลังความคิดด้านบวก +

* ได้มองเห็นหน้าตาอารมณ์ด้านลบ – ที่แวะเวียนเข้ามาหลอกล่อให้ติดกับ

* ได้ฟังเสียงหัวใจตัวเองที่คอยบอกให้อดทนเข้าไว้

* ได้สัมผัสความพยายามและความมุ่งมั่นจนติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือท้อแท้ใจอีกกี่ครั้งกี่หน

* ได้ค้นหาข้อดีข้อเสียของแรงกดดันจนเจอ และได้เรียนรู้ ยอมรับ และอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข

* ได้ให้โอกาสตัวเองรู้สึกอยากมีความสุข

* ได้หัวเราะกับปัญหาและความงี่เง่าของใครต่อใคร หรือสิ่งอื่นใด และได้ยกมันออกไปจากใจ

* ได้ความรักที่เป็นของจริง คือรักตัวเอง และรักงานที่ทำ

* และได้รู้จักความทุกข์ สาเหตุ ที่มาที่ไป วิธีแก้ไขอย่างรู้เท่าทัน เพื่อผลประโยชน์คือความสุขที่เกิดขึ้นทั้งตัวเราเองและคนรอบข้างที่ร่วมงาน ด้วย ทั้งระดับสูงกว่า ระดับเดียวกัน และระดับน้อยลงไป

ไม่มีความคิดเห็น: