จัดว่างานกับความเครียดเป็นคู่หูดูโอที่ไม่ค่อยจะยอมแยกจากกันสักเท่าไร จนกลายเป็นเหตุให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำ สมองล้า ลามไปจนถึงอาการหน้าแก่คล้ายคุณป้าโดยไม่รู้ตัว เห็นทีต้องปลีกเวลาสัก 10-15 นาที เพื่อป้องกันอาการร้ายๆ ดังกล่าว ด้วยการรีแลกซ์แบบง่ายๆ ที่ล้วนแต่ทำได้ที่โต๊ะทำงานของคุณนั่นเอง
E - Relaxing Sound
เสียงจากธรรมชาติช่วยให้จิตใจสงบขึ้น ทำให้มีสติพร้อมรับมือกับปัญหาจากที่ทำงานไม่ว่าจะหนักแค่ไหน ลองเลือกฟังเพลงเพราะๆจากธรรมชาติได้ที่
http://www.sulger.net/soundsculptures/
รับรองว่าถูกใจคนทำงานออฟฟิศที่ไม่ค่อยจะได้สัมผัสกับธรรมชาติ มีให้เลือกทั้งเสียงฝนตก เสียงคลื่นกระทบฝั่ง เสียงน้ำพุ ไปจนถึงเสียงจิ้งหรีด EQ นั่งทำงานติดต่อกันนานๆเป็นสาเหตุที่ทำให้เครียดได้ ลองเช็คตัวเองดูหน่อยดีกว่าว่า ภาวะทางอารมณ์ ความเครียด ความสุข ของตัวเองในขณะนี้อยู่ในระดับไหนแล้ว จะได้ปรับอารมณ์ตัวเองได้ถูก
แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของกรมสุขภาพจิต คลิก!
แบบประเมินความเครียด คลิก!
แบบประเมินชี้วัดความสุข คลิก!
Planting flower
แฟลชออนไลน์ตัวนี้ช่วยคลายเครียดได้เป็นอย่างดี เมื่อเปิดเข้าไปจะพบกับหน้าจอสีดำเป็นอย่างแรก แต่เมื่อคลิกที่หน้าจอไม่ว่าจะมุมไหนก็จะมีภาพของดอกไม้หลายสีปรากฏขึ้น ทำให้ลืมเรื่องเครียดๆไปได้ชั่วขณะเหมือนกัน
http://www.procreo.jp/labo/flower_garden.swf
Relaxing Mist
กลิ่นของลาเวนเดอร์มีชื่อเสียงในเรื่องการบำบัดความเครียด และแน่นอนว่าเราหาวิธีสูดกลิ่นหอมอโรมาอ่อนๆ ได้แม้ในที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ โดยไม่จำเป็นต้องมีตะเกียงจุดเครื่องหอมให้ยุ่งยาก ลองทำตามวิธีนี้ดู
1. รินน้ำเย็นลงในขวดสเปรย์ ประมาณ 6-8 ช้อนชา
2. หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์เข้มข้นลงไปเพียงเล็กน้อย ประมาณ 2-4 หยด และเขย่า
3. หลับตาและฉีดพรมสเปรย์ลาเวนเดอร์อโรมาลงบนใบหน้า เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงจากกลิ่นหอมอ่อนๆ ของลาเวนเดอร์ แถมน้ำเย็นยังช่วยมอบความชุ่มชื่นแก่ใบหน้าได้อย่างรวดเร็วและทำให้ผิวสดชื่นขึ้นด้วย
4. สามารถสเปรย์ลงบนโต๊ะเพื่อสร้างอาณาเขตความหอมให้กว้างขึ้น
Relaxing Cosmetics
ถูกใจที่สุดสำหรับสาวออฟฟิศรักการแต่งตัวเมื่อแบรนด์ดังอย่าง Philosophy สรรค์สร้างเครื่องสำอางที่นอกจากจะช่วยเติมความสวยระหว่างวันของสาวๆ แล้วยังทำเก๋โดยการนำเอาสารสกัดจากใบมิ้นต์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์และช่วยให้ร่างกายสดชื่นมาเป็นส่วนประกอบใน 1 เซตจะมี สเปรย์กลิ่นมิ้นท์เพื่อฉีดพรมบนใบหน้า ลิปชายน์กลิ่นมิ้นท์และแฮนด์ครีมกลิ่นมิ้นท์ อีกเช่นกัน
Relaxing Drink
สำหรับคนที่อยากใช้เวลาในการพักสมองเพื่อคลายเครียดไปกับการได้เครื่องดื่มอุ่นๆสักถ้วย ลองเครื่องดื่มเหล่านี้ดูนอกจากจะถูกปากแล้ว กลิ่นหอมๆยังช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
1. Red Bush Tea สำหรับคนชอบดื่มชาแต่ก็ยังหวั่นใจกับเรื่องคาเฟอีน ต้องมีชาพันธุ์ดีไร้คาเฟอีนจากแอฟริกาชนิดนี้ติดลิ้นชักโต๊ะทำงาน เพราะนอกจากกลิ่นหอมๆ ของมันจะช่วยลดอาการเครียดได้ชะงัดแล้ว ยังมีสรรพคุณยังช่วยลด บรรเทาอาการปวดท้อง และลดอาการแพ้ต่างๆ ได้ด้วยนะ แต่ในเมืองไทยอาจยังไม่ฮิต ลองเข้า เวบไซต์ที่ขายชายี่ห้อนี้โดยตรงได้ที่ www.redseal.co.nz
2. Chamomile Tea ชาอุ่นๆจากดอกคาโมไมล์มีคุณสมบัติช่วยคลายเครียดทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยทางด้านระบบการย่อยอาหาร แต่ที่แนะนำว่าเหมาะกับสาวๆออฟฟิศที่สุดก็ด้วยสรรพคุณบรรเทาอาการปวดประจำเดือน เพราะคงไม่ดีแน่ถ้าต้องทำงานไปด้วยแล้วเกิดอาการปวดท้องจนเครียดจัดเนื่องจากเป็นวันนั้นของเดือน
3. Hot Chocolate คอช็อคโกแลตได้เฮ เพราะผลการวิจัยว่าสารเธอร์โบรไมน์ในช็อคโกแลต จะช่วยทำให้ร่างกายลดระดับดีกรีความเครียดลงได้มาก ลองสูตรเด็ดอย่าง President's Hot Chocolateของสตรีหมายเลขหนึ่ง Laura Bush ที่ทำดื่มได้ง่ายในแม้ในครัวของออฟฟิศ
ผงโกโก้ชนิดไม่หวาน 6 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 6 ช้อนโต๊ะ
นมสด 2 ½ ถ้วย
ครีมสดพร่องมันเนย 2 ½ ถ้วย
วานิลลา ½ ช้อนชา
ผสมนม น้ำตาลและผงโกโก้เข้าด้วยกัน ต้มจนเดือด ตามด้วยครีมสดพร่องมันเนย ซินนามอนและวานิลลาลงไป บีบวิปครีมลงไปอีกนิดเพื่อเพิ่มความหอมมัน
Relaxing Power Nap
เชื่อหรือไม่ว่าการงีบหลับในตอนกลางวันจัดเป็นการพักผ่อนอย่างล้ำลึก คอนเฟิร์มโดยองค์การนาซ่า กับผลการวิจัยว่า การงีบในช่วงระยะสั้นๆ เพียง 26 นาทีสามารถเพิ่มสมรรถภาพในการทำงานของนักบินอวกาศได้มากถึง 34% จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายบริษัทในอเมริกาถึงกับลงทุนซื้อ ‘Pods’ หรือห้องนอนเคลื่อนที่ไว้อำนวยความสะดวกให้กับพนักงานของพวกเขา เพราะตระหนักถึงทั้งสุขภาพกายและใจ เพื่อผลลัพธ์ของงานในองค์กรที่จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้ายังไม่มีเจ้า ‘Pods’ มาไว้ให้นอนงีบ ก็สามารถแบ่งเวลา 1 ชั่วโมงในช่วงพักกลางวันให้เป็น 2 ช่วง คือ 30 นาทีแรกสำหรับมื้อกลางวันและ 30 นาทีก็งีบหลับเพื่อพักสมอง และรีบตื่นมาทำงานต่อแบบปลอดโปร่งสบายใจ จนลืมเวลาเลิกงานกันเลยทีเดียว ว๊าว....
18 ต.ค. 2551
สุขภาพน่ารู้
1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ
คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร “ ลูทีน ” ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย
2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง
ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “ เคอร์ซีทิน ” สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร “ เพกทิน ” จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย
4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร “ โอพีซี ” (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย
คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร “ ลูทีน ” ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย
2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง
ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “ เคอร์ซีทิน ” สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร “ เพกทิน ” จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย
4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร “ โอพีซี ” (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย
สังเกตมะเร็งชนิดต่างๆ ก่อนชีวิตจะเสี่ยง
มะเร็งอาจเกิดกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้หญิง หรือผู้ชาย จะร่ำรวยหรือยากจน มะเร็งยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของผู้คน ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาแต่อย่ากังวลใจจนเกินไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีวิธีการสังเกตมะเร็งชนิดต่างๆ ในเบื้องต้นมาให้คุณเฝ้าระวัง หากมีแนวโน้มเข้าข่ายอย่ารอช้า การรีบไปพบแพทย์อย่างทันท่วงทีสามารถช่วยรักษาโรคร้ายได้แน่ๆ
* มะเร็งปากมดลูก
อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นการตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้แม่นยำขึ้น
* มะเร็งในมดลูก
อาการมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
* มะเร็งรังไข่
อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
* มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)
อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืด และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
* มะเร็งปอด
มักมีอาการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอก และหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
* มะเร็งตับ
ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลือง และเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
* มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
อาการ- มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
* มะเร็งสมอง
มักปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียวๆ แดงๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษ หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
* มะเร็งในช่องปาก
มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือที่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
* มะเร็งในลำคอ
มีอาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
* มะเร็งในกระเพาะอาหาร
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
* มะเร็งทรวงอก
มีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม หัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมให้ชัดเจน
* มะเร็งลำไส้
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว คือ ถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้
* มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
* มะเร็งผิวหนัง
อาการ - มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่าง หรือไฝ ถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
แพทย์จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีข้อแนะนำ 10 ประการ เพื่อชีวิตที่ห่างไกลมะเร็ง
1.ลดหรือเลิกบุหรี่ มะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่างๆ หากผู้สูบพยายามลด ละ เลิก เสียแต่วันนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุด ที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ แม้การเลิกจะยาก แต่แพทย์มีวิธีการเลิกแบบต่างๆ ให้คุณปรึกษาได้
2.กินอาหารมีประโยชน์ กิน ผัก ผลไม้สด ผ่านการปรุงให้น้อยที่สุด เช่น บรอกโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียว ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ปกติ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง และควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบนักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิก ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด
4.ตรวจสุขภาพประจำปี มีหลักฐานยืนยันว่า การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่นๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะสมกับวัยของคุณ เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรทำเมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายวัย 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก
5.ดื่มแต่พอดี การดื่มสุรามากเกินไปเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะคือไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน
6.กรรมพันธุ์ มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่ายๆ ว่าสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ หากทราบว่าคนในครอบครัวมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและควรแจ้งประวัติการป่วยของคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็งให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะให้คำแนะนำและดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม
7.หลีกเสี่ยงแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ 2 วิธี คือใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งและพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-16.00 น ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด
8.มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก เชื่อกันว่าร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อ HPV ซึ่งเชื้อนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่งโดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์
9.นอนหลับให้สนิท จากการศึกษาพบว่าการนอนหลับให้สนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่า เมลาโทนินซึ่งเป็นฮฮร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับสนิทมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อการนอนนั้นเป็นการนอนหลับที่สนิทต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น
10.เลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย สารจำพวกยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซิน เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในบ้าน หรือที่ทำงานย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ ด้วย
ป้องกันไว้ดีกว่ามาแก้กันภายหลัง ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเข้าไว้ เช็คอาการ เช็คร่างกายสม่ำเสมอนะคะ
* มะเร็งปากมดลูก
อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นการตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้แม่นยำขึ้น
* มะเร็งในมดลูก
อาการมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
* มะเร็งรังไข่
อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
* มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)
อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืด และเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
* มะเร็งปอด
มักมีอาการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอก และหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
* มะเร็งตับ
ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลือง และเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
* มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
อาการ- มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
* มะเร็งสมอง
มักปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียวๆ แดงๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษ หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
* มะเร็งในช่องปาก
มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือที่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน
* มะเร็งในลำคอ
มีอาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
* มะเร็งในกระเพาะอาหาร
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
* มะเร็งทรวงอก
มีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม หัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมให้ชัดเจน
* มะเร็งลำไส้
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว คือ ถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคืออาการของโรคมะเร็งในลำไส้
* มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
* มะเร็งผิวหนัง
อาการ - มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโนมา (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่าง หรือไฝ ถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย หรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
แพทย์จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีข้อแนะนำ 10 ประการ เพื่อชีวิตที่ห่างไกลมะเร็ง
1.ลดหรือเลิกบุหรี่ มะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่างๆ หากผู้สูบพยายามลด ละ เลิก เสียแต่วันนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุด ที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ แม้การเลิกจะยาก แต่แพทย์มีวิธีการเลิกแบบต่างๆ ให้คุณปรึกษาได้
2.กินอาหารมีประโยชน์ กิน ผัก ผลไม้สด ผ่านการปรุงให้น้อยที่สุด เช่น บรอกโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียว ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ปกติ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง และควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบนักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิก ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด
4.ตรวจสุขภาพประจำปี มีหลักฐานยืนยันว่า การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่นๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะสมกับวัยของคุณ เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรทำเมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายวัย 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก
5.ดื่มแต่พอดี การดื่มสุรามากเกินไปเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะคือไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน
6.กรรมพันธุ์ มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่ายๆ ว่าสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ หากทราบว่าคนในครอบครัวมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและควรแจ้งประวัติการป่วยของคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็งให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะให้คำแนะนำและดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม
7.หลีกเสี่ยงแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ 2 วิธี คือใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งและพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-16.00 น ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด
8.มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก เชื่อกันว่าร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อ HPV ซึ่งเชื้อนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่งโดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์
9.นอนหลับให้สนิท จากการศึกษาพบว่าการนอนหลับให้สนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่า เมลาโทนินซึ่งเป็นฮฮร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับสนิทมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อการนอนนั้นเป็นการนอนหลับที่สนิทต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น
10.เลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย สารจำพวกยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซิน เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในบ้าน หรือที่ทำงานย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ ด้วย
ป้องกันไว้ดีกว่ามาแก้กันภายหลัง ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเข้าไว้ เช็คอาการ เช็คร่างกายสม่ำเสมอนะคะ
ยาสตรีคุณรู้จักดีแล้วหรือยัง ?
คาดว่าเพื่อน ๆ ที่นี่น่าจะเคยได้ยินชื่อยาสตรีกันมาบ้าง ยิ่งช่วงเหตุการณ์เจ้าหญิงของวงการ "แหม่ม คัทรียา เบนโล" ใคร ๆ ต่างก็พูดถึงเรื่องยาสตรีกันมากขึ้น ซึ่งยาสตรีนั้นเป็นยาที่ขายดีอย่างหนึ่ง เป็นที่นิยมไม่ว่าจะเป็นหญิงที่รอบเดือนไม่มา หรือชายที่กินเพื่อทดแทนการดื่มสุรา ส่วนประกอบหลักของยาสตรีมีอยู่สองส่วน คือสมุนไพรโกฏเชียง หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ตังกุย กับแอลลกอฮอล์ แอลกอฮอร์ที่มีอยู่เพื่อไว้เป็นตัวสกัดตัวยาออกมา ตัวยาที่ว่าคือ ไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen)
ยาสตรีที่มีจำหน่ายในประเทศไทย มีหลายหลายยี่ห้อ เช่นยาสตรีเพ็ญภาค ยาสตรีเบลโล ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งส่วนประกอบยาสตรีส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสมุนไพรขนิดต่าง ๆ ตามสูตรแต่โบราณดั้งเดิมมา แล้วแต่เจ้าไหนมีสูตรอะไร บ้างก็เป็นสูตรเฉพาะของตัวเองEstrogen เอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งร่างกายเราผลิตจากรังไข่ รก หรือต่อมอะดรีนาล estradiol ซึ่งเป็นหนึ่งในเอสโตรเจนหลัก ๆ 3 ชนิดที่พบในร่างกายมนุษย์ ฮอร์โมนกลุ่มนี้มีผลโดยตรงต่อการแสดงลักษณะของเพศหญิง นับตั้งแต่การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ มีประจำเดือน ตกไข่ ตั้งท้อง ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน estradiol มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเนื้อเยื่อปากมดลูก มดลูกและเต้านม
Phytoestrogen เป็นสารอินทรีย์ซึ่งสร้างขึ้นโดยพืช แต่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเอสโตรเจน สารเหล่านี้พบได้ทั้งในส่วนเมล็ด ลำต้น รากหรือดอก โดยในพืช สารนี้จะทำหน้าที่เป็นสารฆ่า เชื้อรา (fungicide) หรือเป็น phytoalexin นั่นคือเป็นสารเคมีที่พืชสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตน เองเมื่อถูกรุกรานโดยจุลชีพ phytoestrogen จะมีบางส่วนของสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงหรือเทียบได้กับ steroid nucleus ของ estradiol อันเป็นเอสโตรเจนที่พบในธรรมชาติหรือในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเสพยาชนิดนี้แล้ว ก็จะมีผลในทาง estrogen ต่อร่างกาย จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมบางคนใช้ยานี้แล้ว ทำให้รอบเดือนมาได้ยาสตรีไม่ใช่ยาทำแท้ง
ยังมีหลายคนเข้าใจผิดว่า ยาสตรีเป็นยาขับเลือด ความจริงยานี้ไม่ใช่ยาขับเลือด ไม่ใช่ยาทำแท้ง ถ้าท้องแล้ว กินจนเมาก็ไม่ออกกินบ่อยๆ อันตรายไหม กินบ่อยๆ ก็เหมือนคนกินเหล้า เพราะส่วนประกอบหลักของยานี้คือแอลกอฮอร์ มีกลุ่มคนชนบท(ชาย)หลายคนหันมาดื่มยานี้แทนดื่มเหล้า ถ้าใช้บ่อยๆก็อาจติดเหล้าได้เพราะฉะนั้นเพื่อน ๆ ที่นี่คนไหนที่ต้องการทานเพื่อความสมบูรณ์ของร่างกายก็ขอแนะนำว่าไม่ควรทานต่อเนื่องนาน ๆ นะคะ ควรจะมีการเว้นระยะบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดอาการติดยาได้ และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือต้องใส่ใจสุขภาพของตัวเองหมั่นออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กันไปด้วยนะคะ
ยาสตรีที่มีจำหน่ายในประเทศไทย มีหลายหลายยี่ห้อ เช่นยาสตรีเพ็ญภาค ยาสตรีเบลโล ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งส่วนประกอบยาสตรีส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสมุนไพรขนิดต่าง ๆ ตามสูตรแต่โบราณดั้งเดิมมา แล้วแต่เจ้าไหนมีสูตรอะไร บ้างก็เป็นสูตรเฉพาะของตัวเองEstrogen เอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งร่างกายเราผลิตจากรังไข่ รก หรือต่อมอะดรีนาล estradiol ซึ่งเป็นหนึ่งในเอสโตรเจนหลัก ๆ 3 ชนิดที่พบในร่างกายมนุษย์ ฮอร์โมนกลุ่มนี้มีผลโดยตรงต่อการแสดงลักษณะของเพศหญิง นับตั้งแต่การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ มีประจำเดือน ตกไข่ ตั้งท้อง ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน estradiol มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเนื้อเยื่อปากมดลูก มดลูกและเต้านม
Phytoestrogen เป็นสารอินทรีย์ซึ่งสร้างขึ้นโดยพืช แต่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเอสโตรเจน สารเหล่านี้พบได้ทั้งในส่วนเมล็ด ลำต้น รากหรือดอก โดยในพืช สารนี้จะทำหน้าที่เป็นสารฆ่า เชื้อรา (fungicide) หรือเป็น phytoalexin นั่นคือเป็นสารเคมีที่พืชสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตน เองเมื่อถูกรุกรานโดยจุลชีพ phytoestrogen จะมีบางส่วนของสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงหรือเทียบได้กับ steroid nucleus ของ estradiol อันเป็นเอสโตรเจนที่พบในธรรมชาติหรือในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นเมื่อเสพยาชนิดนี้แล้ว ก็จะมีผลในทาง estrogen ต่อร่างกาย จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมบางคนใช้ยานี้แล้ว ทำให้รอบเดือนมาได้ยาสตรีไม่ใช่ยาทำแท้ง
ยังมีหลายคนเข้าใจผิดว่า ยาสตรีเป็นยาขับเลือด ความจริงยานี้ไม่ใช่ยาขับเลือด ไม่ใช่ยาทำแท้ง ถ้าท้องแล้ว กินจนเมาก็ไม่ออกกินบ่อยๆ อันตรายไหม กินบ่อยๆ ก็เหมือนคนกินเหล้า เพราะส่วนประกอบหลักของยานี้คือแอลกอฮอร์ มีกลุ่มคนชนบท(ชาย)หลายคนหันมาดื่มยานี้แทนดื่มเหล้า ถ้าใช้บ่อยๆก็อาจติดเหล้าได้เพราะฉะนั้นเพื่อน ๆ ที่นี่คนไหนที่ต้องการทานเพื่อความสมบูรณ์ของร่างกายก็ขอแนะนำว่าไม่ควรทานต่อเนื่องนาน ๆ นะคะ ควรจะมีการเว้นระยะบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดอาการติดยาได้ และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือต้องใส่ใจสุขภาพของตัวเองหมั่นออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กันไปด้วยนะคะ
14 ต.ค. 2551
อาหารชีวจิต
ชีวจิต คือ ร่างกายและจิตใจ สำหรับจุดประสงค์หลักของชีวจิตก็คือ ความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ โดยยึดเอาวิธีปฏิบัติและความคิดในแนวธรรมชาติเป็นหลัก ในด้านร่างกายและจิตใจนั้น ชีวจิตถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายมีผลต่อจิตใจ และจิตใจก็มีผลต่อร่างกายด้วยความสุขสมบูรณ์ (Wholeness as Perfection)
การปฏิบัติตามชีวจิตจะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน โดยการใช้ อาหารสุขภาพ การใช้เครื่องมืออุปโภคที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด ในขณะเดียวกันชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุขสดชื่นตลอดเวลา
เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย ในด้านจิตใจเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุดคือความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยจะทำให้เกิดความสงบทางใจ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือ ความหลุดพ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง
การปฏิบัติตามชีวจิตจะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน โดยการใช้ อาหารสุขภาพ การใช้เครื่องมืออุปโภคที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด ในขณะเดียวกันชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุขสดชื่นตลอดเวลา
เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย ในด้านจิตใจเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุดคือความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยจะทำให้เกิดความสงบทางใจ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือ ความหลุดพ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism)
นับว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดและการส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวแขนงหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจแก่ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism)
ในปัจจุบัน สามารถแบ่งความหมายตามวัตถุประสงค์ได้
2 ประเภท คือ
1. การท่องเที่ยวเชิงบำบัดรักษาสุขภาพ (Health healing)
เป็นการเดินทางท่องเที่ยวโดยมีโปรแกรมการทำกิจกรรมบำบัดรักษาโรคหรือฟื้นฟูสุขภาพต่างๆที่หลากหลาย รวมทั้งการทำฟัน การผ่าตัดเสริมความงาม หรือการผ่าตัดแปลงเพศ ฯลฯ ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
2. การท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion)
เป็นการเดินทางท่องเที่ยวโดยมีการจัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพอันประกอบด้วยกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเดินทางไปในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และพักแรมในโรแรม รีสอร์ทหรือศูนย์สุขภาพ ซึ่งมีการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในสถานที่นั้นๆ จัดขึ้น อาทิ การนวดแผนไทย การอบสมุนไพรไทย กิจกรรมบริการสุคนธบำบัด (Aroma Therapy) การบริการอาบน้ำแร่ (Spa) เป็นต้น ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
นับว่าเป็นกลยุทธ์การตลาดและการส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวแขนงหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจแก่ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism)
ในปัจจุบัน สามารถแบ่งความหมายตามวัตถุประสงค์ได้
2 ประเภท คือ
1. การท่องเที่ยวเชิงบำบัดรักษาสุขภาพ (Health healing)
เป็นการเดินทางท่องเที่ยวโดยมีโปรแกรมการทำกิจกรรมบำบัดรักษาโรคหรือฟื้นฟูสุขภาพต่างๆที่หลากหลาย รวมทั้งการทำฟัน การผ่าตัดเสริมความงาม หรือการผ่าตัดแปลงเพศ ฯลฯ ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล
2. การท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion)
เป็นการเดินทางท่องเที่ยวโดยมีการจัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพอันประกอบด้วยกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเดินทางไปในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และพักแรมในโรแรม รีสอร์ทหรือศูนย์สุขภาพ ซึ่งมีการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในสถานที่นั้นๆ จัดขึ้น อาทิ การนวดแผนไทย การอบสมุนไพรไทย กิจกรรมบริการสุคนธบำบัด (Aroma Therapy) การบริการอาบน้ำแร่ (Spa) เป็นต้น ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
วิธีป้องกันสมองเสื่อม
ความแก่เป็นความทุกข์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ คนส่วนมากกลัวความแก่ไม่มากก็น้อย คนบางคนกลัวมากบางคนกลัวน้อย บางคนกลัวหน้าแก่ บางคนกลัวเซ็กส์แก่ แต่ที่ทุกคนกลัวเหมือนกันคือสมองแก่ สมองเสื่อม เนื่องจากสมองเป็นที่อยู่ของจิตใจ ซึ่งสามารถทำให้เกิดความรู้สึกสุขทุกข์ได้มาก เมื่อมีอาการสมองแก่ เช่นขี้หลงขี้ลืม ทำเงินหาย ทำบัตรเอทีเอ็มหายบ่อยๆ ทำให้เกิดความทุกข์ใจมาก หลายคนจึงต้องดิ้นรนเสาะแสวงหาทางป้องกันความแก่ทุกวิถีทาง
ในสมัยก่อนคนเราเที่ยวเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะ เสียเงินเสียทอง เสียค่าโง่กันไปมากมาย โดยหลงเชื่อคำเล่าลือปากต่อปาก เช่น แนะให้กินสมองสัตว์ โสมเกาหลี แปะก๊วย มีเมียสาว ฯลฯ แต่ปัจจุบันนี้การแพทย์สมัยใหม่มีข้อมูลความเข้าใจ ในเรื่องสมองเสื่อมมากขึ้น ทำให้การชะลอภาวะสมองเสื่อมดีขึ้นบ้าง
เอาแค่สิ่งพื้นๆ ที่มีอยู่ตามบ้านเรา เช่น กาแฟซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีกินกันมานานนม มีการศึกษาวิจัยเรื่องการกินกาแฟกันมามาก ทุกวันนี้สามารถบอกได้ว่าคาเฟอีนในกาแฟ สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของสมองหรือเพิ่มไอคิวของคนกินได้ การดื่มกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้แจ่มใสทำงานดีขึ้น เคยมีการทดลองที่อินสบรูคโดยใช้อาสาสมัคร 15 คน เขาให้อาสาสมัครกินกาเฟอีน 100 มก. (เท่ากับคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟ 2 แก้ว) แล้วทดลองความจำ ในเวลาต่อมาใช้อาสาสมัครกลุ่มเดียวกันทดลองให้กินยาหลอกเปรียบเทียบกัน ผลปรากฎว่าคนที่กินคาเฟอีนมีความจำระยะสั้นดีกว่าคนที่กินยาหลอกอย่างชัดเจน และเมื่อเขาใช้เครื่องตรวจสแกนสมองที่เรียกว่า Functional MRIS เขาพบว่าสมองบริเวณ anterior cingular cortex และสมองส่วนหน้า frontal lobe ทำงานมากขึ้นจากผลของคาเฟอีน สรุปได้ว่าการดื่มกาแฟทำให้การทำงานของสมองในระยะสั้นดีขึ้น แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไปซึ่งจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้
การเข้าสมาธิหรือกรรมฐานช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้ไหม คำถามนี้เป็นคำถามที่ถูกถามมานาน แต่เพิ่งจะมีคำตอบออกมาเมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นที่รู้กันแล้วว่าการฝึกกรรมฐานทำให้ใจสงบ มีสมาธิ ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น จากการวิจัยในประเทศอุตสาหกรรมพบว่า ทำให้ผลผลิตของพนักงานในบริษัท ในโรงงานดีขึ้น การลาป่วยขาดงานของพนักงานน้อยลง จนบริษัทใหญ่ๆ เช่น บริษัทรถยนต์ฟอร์ด และบริษัทใหญ่ๆ อีกหลายแห่งที่สหรัฐฯ รับเอาการฝึกกรรมฐานไปใช้กับพนักงานมากขึ้น ทุกวันนี้ชาวตะวันตกสนใจวิชากรรมฐานมากขึ้น จึงมีการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาโดยการตรวจสแกนสมองอาสาสมัคร 20 คน ที่ทำกรรมฐานเป็นประจำวันละ 40 นาที เขาพบว่าสมองส่วนเปลือกนอก (Cortex) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์สมองมากมีขนาดหนาขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้ทำกรรมฐาน อันนี้เป็นหลักฐานพิสูจน์ทางกายภาพที่ชัดเจนว่าการฝึกกรรมฐานมีผลดี สามารถต้านความเสื่อมของสมองได้ คนที่ต้องการลดความเสื่อมของสมองจึงควรฝึกหัดทำกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิปัสสนากรรมฐานของพระพุทธเจ้า ซึ่งรู้กันมานานแล้วว่ามีผลดีต่อจิตใจ และเราเพิ่งรู้กันตอนนี้ว่ามีผลดีต่อกายภาพของสมองด้วย
อาหารสมองเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงกันมานาน มีการเอาสารเสริม-อาหารมาขายกันมาก บางอย่างเขาก็อ้างว่าทำให้สมองดีขึ้น ความจำดีขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจน ระยะหลังนี้มีข้อมูลจากการวิจัยมากขึ้น หมอแอนดรู วีล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ทางเลือกเขียนแนะนำเรื่องอาหารสมองไว้หลายอย่าง เช่น เนื้อปลา น้ำมันปลา ขมิ้น ผักผลไม้ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม คาโรตีนอยด์
กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acid) ที่อยู่ในน้ำมันปลามีคุณสมบัติบำรุงสมองได้ ทั้งนี้เพราะสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์สมอง ถ้าขาดไปจะทำให้เซลล์สมองอ่อนแอ เป็นโรคได้ง่าย อาหารของชนชาติญี่ปุ่น และเมดิเตอเรเนียน ทำให้คนของเขาอายุยืนล้วนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 มาก เนื่องจากมีเนื้อปลาอยู่มาก ผู้รู้จึงแนะนำให้กินเนื้อปลาบำรุงสมองมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น คนที่ไม่ถนัดกินเนื้อปลาก็อาจจะใช้น้ำมันปลาที่ทำขายเป็นเม็ด (แต่ไม่ใช่น้ำมันตับปลาที่เหม็นคาวอย่างที่เด็กสมัยผมเคยถูกบังคับให้กิน) เช่น Krill Oil ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสสระและไม่เหม็นคาว เขาใช้สารตัวนี้รักษาโรคซึมเศร้า สมาธิสั้น ออทิซึม สำหรับนักมังสวิรัติ อาจจะหากรดไขมันโอเมก้า 3 กินในถั่ววอลนัท เม็ดแฟล็กซ์ ปอ หรือ สาหร่ายทะเล
ขมิ้นที่เราเอามาทำเครื่องแกงมีสาร Curcumin ต้านการอักเสบ ช่วยลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลโซเมอร์ได้ มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตไว้ว่าคนอินเดียมีอัตราการเกิดโรคอัลโซเมอร์ต่ำที่สุดในโลก อาจเป็นเพราะคนอินเดียมีการใช้ขมิ้นทำเครื่องแกงกินกันมากนั่นเอง
หมอวีลแนะนำว่าควรกินผักผลไม้ให้มากเข้าไว้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านสารพิษ ที่ทำให้เกิดมะเร็งและทำลายสมอง วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม และคาโรทีนอยด์ ถ้ากินเสริมอาหารเข้าไปอาจช่วยป้องกันความเสื่อมของสมองได้ แต่ในบรรดาสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หมอแอนดรู วีล กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุนแข็งขันเท่ากับเนื้อปลาและน้ำมันปลา
ตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีไทยสมัยต้มยำกุ้งถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์นี้มีคนรู้จักกันมาก ใครๆ ก็กลัวโรคนี้จนมีคำถามว่าโรคนี้ป้องกันได้หรือไม่ คำตอบคือป้องกันได้บางส่วน คือชะลอมันลงไปได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันหรือชะลอโรคอัลไซเมอร์นี้คือ การรักษาสุขภาพของระบบหลอดเลือดและหัวใจให้อยู่ในสภาพดี โดยการออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว เต้นแอโรบิค ว่ายน้ำ เต้นรำ หรือที่ดีที่สุดคือ ทำหลายกิจกรรมอย่างว่าแบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปจะช่วยรักษาสมองของเราได้ดีกว่าอย่างอื่น (และทำให้บาดเจ็บจากการออกกำลังกายน้อยลง) นอกจากนี้ควรเลิกสูบบุหรี่ กินอาหารไขมันต่ำ ถ้าเป็นโรคเบาหวาน ต้องใส่ใจควบคุมรักษาให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับดี กินผักผลไม้ให้เพียงพอ กินปลา และน้ำมันปลา (ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น) ทุกอย่างที่ว่ามานี้ร่วมช่วยกันรักษาให้หลอดเลือดทั่วร่างกายรวมทั้งของสมองด้วยไม่ให้ตีบตัน สามารถนำออกซิเจนไปต้านความเสื่อมได้ดี
เมื่อไม่นานมานี้พบว่าการออกกำลังกายนอกจากจะมีผลดีต่อหลอดเลือด หัวใจ และสมองแล้ว ยังกระตุ้นให้มีการผลิตสารเร่งการ เสริมสร้าง (Growth Factor) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เซลล์ประสาทมีสุขภาพดีด้วย
การฝึกสมองทดลองปัญญาเป็นประจำก็สามารถช่วยรักษาคุณภาพของสมองเอาไว้ได้ดี เช่น การเรียนภาษาใหม่ๆ ฝึกทดสอบความจำ ทำข้อสอบไอคิว ฯลฯ จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่าการใช้สมองอ่านหนังสือ แก้ปริศนาอักษรไขว้ เล่นหมากรุก เล่นดนตรี สามารถลดการเกิดสมองเสื่อมได้ดีกว่าการอยู่เฉยๆ และพบว่ายิ่งทำมากยิ่งมีผลดีมาก เช่น คนแก้ปริศนาอักษรไขว้อาทิตย์ละ 4 ครั้ง สมองเสื่อมน้อยกว่าคนแก้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ถึง 47%
จากข้อมูลของผู้รู้เท่าที่กล่าวมานี้ ก็สามารถช่วยให้เรารักษาประคับประคองสมองอันเป็นที่รักของเรา ให้อยู่ยั้งยืนยงไปได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งสำคัญคือต้องลงมือทำตั้งแต่บัดนี้เลย ไม่ว่าท่านจะยังหนุ่มยังสาวซิงๆ แค่ไหนก็ตาม
ในสมัยก่อนคนเราเที่ยวเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะ เสียเงินเสียทอง เสียค่าโง่กันไปมากมาย โดยหลงเชื่อคำเล่าลือปากต่อปาก เช่น แนะให้กินสมองสัตว์ โสมเกาหลี แปะก๊วย มีเมียสาว ฯลฯ แต่ปัจจุบันนี้การแพทย์สมัยใหม่มีข้อมูลความเข้าใจ ในเรื่องสมองเสื่อมมากขึ้น ทำให้การชะลอภาวะสมองเสื่อมดีขึ้นบ้าง
เอาแค่สิ่งพื้นๆ ที่มีอยู่ตามบ้านเรา เช่น กาแฟซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีกินกันมานานนม มีการศึกษาวิจัยเรื่องการกินกาแฟกันมามาก ทุกวันนี้สามารถบอกได้ว่าคาเฟอีนในกาแฟ สามารถช่วยเพิ่มการทำงานของสมองหรือเพิ่มไอคิวของคนกินได้ การดื่มกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้แจ่มใสทำงานดีขึ้น เคยมีการทดลองที่อินสบรูคโดยใช้อาสาสมัคร 15 คน เขาให้อาสาสมัครกินกาเฟอีน 100 มก. (เท่ากับคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟ 2 แก้ว) แล้วทดลองความจำ ในเวลาต่อมาใช้อาสาสมัครกลุ่มเดียวกันทดลองให้กินยาหลอกเปรียบเทียบกัน ผลปรากฎว่าคนที่กินคาเฟอีนมีความจำระยะสั้นดีกว่าคนที่กินยาหลอกอย่างชัดเจน และเมื่อเขาใช้เครื่องตรวจสแกนสมองที่เรียกว่า Functional MRIS เขาพบว่าสมองบริเวณ anterior cingular cortex และสมองส่วนหน้า frontal lobe ทำงานมากขึ้นจากผลของคาเฟอีน สรุปได้ว่าการดื่มกาแฟทำให้การทำงานของสมองในระยะสั้นดีขึ้น แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไปซึ่งจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้
การเข้าสมาธิหรือกรรมฐานช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้ไหม คำถามนี้เป็นคำถามที่ถูกถามมานาน แต่เพิ่งจะมีคำตอบออกมาเมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นที่รู้กันแล้วว่าการฝึกกรรมฐานทำให้ใจสงบ มีสมาธิ ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น จากการวิจัยในประเทศอุตสาหกรรมพบว่า ทำให้ผลผลิตของพนักงานในบริษัท ในโรงงานดีขึ้น การลาป่วยขาดงานของพนักงานน้อยลง จนบริษัทใหญ่ๆ เช่น บริษัทรถยนต์ฟอร์ด และบริษัทใหญ่ๆ อีกหลายแห่งที่สหรัฐฯ รับเอาการฝึกกรรมฐานไปใช้กับพนักงานมากขึ้น ทุกวันนี้ชาวตะวันตกสนใจวิชากรรมฐานมากขึ้น จึงมีการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาโดยการตรวจสแกนสมองอาสาสมัคร 20 คน ที่ทำกรรมฐานเป็นประจำวันละ 40 นาที เขาพบว่าสมองส่วนเปลือกนอก (Cortex) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์สมองมากมีขนาดหนาขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้ทำกรรมฐาน อันนี้เป็นหลักฐานพิสูจน์ทางกายภาพที่ชัดเจนว่าการฝึกกรรมฐานมีผลดี สามารถต้านความเสื่อมของสมองได้ คนที่ต้องการลดความเสื่อมของสมองจึงควรฝึกหัดทำกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิปัสสนากรรมฐานของพระพุทธเจ้า ซึ่งรู้กันมานานแล้วว่ามีผลดีต่อจิตใจ และเราเพิ่งรู้กันตอนนี้ว่ามีผลดีต่อกายภาพของสมองด้วย
อาหารสมองเป็นสิ่งที่มีการพูดถึงกันมานาน มีการเอาสารเสริม-อาหารมาขายกันมาก บางอย่างเขาก็อ้างว่าทำให้สมองดีขึ้น ความจำดีขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจน ระยะหลังนี้มีข้อมูลจากการวิจัยมากขึ้น หมอแอนดรู วีล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแพทย์ทางเลือกเขียนแนะนำเรื่องอาหารสมองไว้หลายอย่าง เช่น เนื้อปลา น้ำมันปลา ขมิ้น ผักผลไม้ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม คาโรตีนอยด์
กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty Acid) ที่อยู่ในน้ำมันปลามีคุณสมบัติบำรุงสมองได้ ทั้งนี้เพราะสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์สมอง ถ้าขาดไปจะทำให้เซลล์สมองอ่อนแอ เป็นโรคได้ง่าย อาหารของชนชาติญี่ปุ่น และเมดิเตอเรเนียน ทำให้คนของเขาอายุยืนล้วนมีกรดไขมันโอเมก้า 3 มาก เนื่องจากมีเนื้อปลาอยู่มาก ผู้รู้จึงแนะนำให้กินเนื้อปลาบำรุงสมองมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น คนที่ไม่ถนัดกินเนื้อปลาก็อาจจะใช้น้ำมันปลาที่ทำขายเป็นเม็ด (แต่ไม่ใช่น้ำมันตับปลาที่เหม็นคาวอย่างที่เด็กสมัยผมเคยถูกบังคับให้กิน) เช่น Krill Oil ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสสระและไม่เหม็นคาว เขาใช้สารตัวนี้รักษาโรคซึมเศร้า สมาธิสั้น ออทิซึม สำหรับนักมังสวิรัติ อาจจะหากรดไขมันโอเมก้า 3 กินในถั่ววอลนัท เม็ดแฟล็กซ์ ปอ หรือ สาหร่ายทะเล
ขมิ้นที่เราเอามาทำเครื่องแกงมีสาร Curcumin ต้านการอักเสบ ช่วยลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลโซเมอร์ได้ มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตไว้ว่าคนอินเดียมีอัตราการเกิดโรคอัลโซเมอร์ต่ำที่สุดในโลก อาจเป็นเพราะคนอินเดียมีการใช้ขมิ้นทำเครื่องแกงกินกันมากนั่นเอง
หมอวีลแนะนำว่าควรกินผักผลไม้ให้มากเข้าไว้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านสารพิษ ที่ทำให้เกิดมะเร็งและทำลายสมอง วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม และคาโรทีนอยด์ ถ้ากินเสริมอาหารเข้าไปอาจช่วยป้องกันความเสื่อมของสมองได้ แต่ในบรรดาสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หมอแอนดรู วีล กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์สนับสนุนแข็งขันเท่ากับเนื้อปลาและน้ำมันปลา
ตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีไทยสมัยต้มยำกุ้งถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์นี้มีคนรู้จักกันมาก ใครๆ ก็กลัวโรคนี้จนมีคำถามว่าโรคนี้ป้องกันได้หรือไม่ คำตอบคือป้องกันได้บางส่วน คือชะลอมันลงไปได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันหรือชะลอโรคอัลไซเมอร์นี้คือ การรักษาสุขภาพของระบบหลอดเลือดและหัวใจให้อยู่ในสภาพดี โดยการออกกำลังกาย เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว เต้นแอโรบิค ว่ายน้ำ เต้นรำ หรือที่ดีที่สุดคือ ทำหลายกิจกรรมอย่างว่าแบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปจะช่วยรักษาสมองของเราได้ดีกว่าอย่างอื่น (และทำให้บาดเจ็บจากการออกกำลังกายน้อยลง) นอกจากนี้ควรเลิกสูบบุหรี่ กินอาหารไขมันต่ำ ถ้าเป็นโรคเบาหวาน ต้องใส่ใจควบคุมรักษาให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับดี กินผักผลไม้ให้เพียงพอ กินปลา และน้ำมันปลา (ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น) ทุกอย่างที่ว่ามานี้ร่วมช่วยกันรักษาให้หลอดเลือดทั่วร่างกายรวมทั้งของสมองด้วยไม่ให้ตีบตัน สามารถนำออกซิเจนไปต้านความเสื่อมได้ดี
เมื่อไม่นานมานี้พบว่าการออกกำลังกายนอกจากจะมีผลดีต่อหลอดเลือด หัวใจ และสมองแล้ว ยังกระตุ้นให้มีการผลิตสารเร่งการ เสริมสร้าง (Growth Factor) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เซลล์ประสาทมีสุขภาพดีด้วย
การฝึกสมองทดลองปัญญาเป็นประจำก็สามารถช่วยรักษาคุณภาพของสมองเอาไว้ได้ดี เช่น การเรียนภาษาใหม่ๆ ฝึกทดสอบความจำ ทำข้อสอบไอคิว ฯลฯ จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่าการใช้สมองอ่านหนังสือ แก้ปริศนาอักษรไขว้ เล่นหมากรุก เล่นดนตรี สามารถลดการเกิดสมองเสื่อมได้ดีกว่าการอยู่เฉยๆ และพบว่ายิ่งทำมากยิ่งมีผลดีมาก เช่น คนแก้ปริศนาอักษรไขว้อาทิตย์ละ 4 ครั้ง สมองเสื่อมน้อยกว่าคนแก้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ถึง 47%
จากข้อมูลของผู้รู้เท่าที่กล่าวมานี้ ก็สามารถช่วยให้เรารักษาประคับประคองสมองอันเป็นที่รักของเรา ให้อยู่ยั้งยืนยงไปได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งสำคัญคือต้องลงมือทำตั้งแต่บัดนี้เลย ไม่ว่าท่านจะยังหนุ่มยังสาวซิงๆ แค่ไหนก็ตาม
โรคมะเร็ง ที่พบบ่อยใน ผู้สูงอายุ และการป้องกัน
โรคมะเร็ง ที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งช่องปาก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง
ตารางแสดงโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ที่พบบ่อย 5 อันดับแรกของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2539
อันดับ เพศชาย เพศหญิง
1 มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก
2 มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม
3 มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก มะเร็งตับ
4 มะเร็งช่องปาก มะเร็งปอด
5 มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก
การป้องกันโรคมะเร็ง
•หยุดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ สำหรับโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งช่องปาก โรคมะเร็งโพรงจมูก เป็นต้น
•รับประทานอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ จำกัดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารปรุงสำเร็จ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกปิ้ง ย่าง รมควัน เนื่องจากมีสารก่อมะเร็งในปริมาณมาก
•ลดน้ำหนักในกรณีที่อ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เกินเป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเยื่อบุมดลูก
•หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปริมาณมาก เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งในช่องปาก
•หลีกเลี่ยงการอาบแดดหรือถูกแดดจัด เนื่องจากอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ควรหลีกเลี่ยงการถูกแดดช่วง 10.00 – 16.00 น. ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 15 สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดกุม และสวมแว่นกันแดด
•ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากการที่ไม่ออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านม อย่างน้อยควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง และพยายามเปลี่ยนกิจกกรมที่ทำอยู่แล้ว เป็นการออกกำลังกาย เช่น เดินขึ้นบันได แทนการใช้ลิฟท์ จอดรถไกลกว่าที่จอดเดิม และใช้การเดินแทน เป็นต้น
•หลีกเลี่ยงจากรังสีและสารเคมีในที่ทำงานและที่บ้าน โดยคอยอ่านคำเตือนของเอกสาร ที่แนบมากับผลิตภัณฑ์เสมอ
•ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และปฏิบัติตามคำแนะนำ ในการตรวจเพิ่มเติมของแพทย์ เช่น ตรวจแป๊บสเมียร์ (Pap's smear) ทุกปีเพื่อหามะเร็งปากมดลูกในระยะแรก ฝึกการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นประจำทุกเดือน และตรวจโดยแพทย์ทุก 1 ปี เป็นต้น
•หลีกเลี่ยงจากการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น ไม่เที่ยวสำส่อน หรือถ้าไม่แน่ใจควรใช้ถุงยางอนามัย ตรวจเลือดว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือยัง ถ้ายังไม่มีควรฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากเป็นสาเหตุ ที่สำคัญของการเกิดโรคมะเร็งตับ ในรายที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรติดตามตรวจกับแพทย์เป็นระยะทุก 6 เดือน
•ในกรณีที่ เคยรับประทานปลาดิบ อาศัยหรือเคยอาศัยอยู่ในภาคอีสาน หรือในชุมชนที่มีผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีตับ หรือมีประวัติมะเร็งท่อน้ำดีในครอบครัว ควรรับการตรวจอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิใบไม้ในตับ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี
คอยสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและรีบไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้
•มีการเปลี่ยนแปลงในการย่อยอาหาร และการขับถ่ายอย่างเรื้อรัง เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น
•มีเลือดออกผิดปกติ เช่น ทางช่องคลอด หรือเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ
•มีแผลเรื้อรังไม่หายใน 3 สัปดาห์
•มีก้อนที่เต้านมหรือตามตัว ไฝโตขึ้นหรือเปลี่ยนสี
•ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ
•น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
•หูอื้อเรื้อรัง
ตารางแสดงโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ที่พบบ่อย 5 อันดับแรกของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2539
อันดับ เพศชาย เพศหญิง
1 มะเร็งตับ มะเร็งปากมดลูก
2 มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม
3 มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก มะเร็งตับ
4 มะเร็งช่องปาก มะเร็งปอด
5 มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก
การป้องกันโรคมะเร็ง
•หยุดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ สำหรับโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งช่องปาก โรคมะเร็งโพรงจมูก เป็นต้น
•รับประทานอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ จำกัดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารปรุงสำเร็จ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกปิ้ง ย่าง รมควัน เนื่องจากมีสารก่อมะเร็งในปริมาณมาก
•ลดน้ำหนักในกรณีที่อ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เกินเป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเยื่อบุมดลูก
•หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปริมาณมาก เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งในช่องปาก
•หลีกเลี่ยงการอาบแดดหรือถูกแดดจัด เนื่องจากอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ควรหลีกเลี่ยงการถูกแดดช่วง 10.00 – 16.00 น. ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 15 สวมใส่เสื้อผ้าที่รัดกุม และสวมแว่นกันแดด
•ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากการที่ไม่ออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านม อย่างน้อยควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง และพยายามเปลี่ยนกิจกกรมที่ทำอยู่แล้ว เป็นการออกกำลังกาย เช่น เดินขึ้นบันได แทนการใช้ลิฟท์ จอดรถไกลกว่าที่จอดเดิม และใช้การเดินแทน เป็นต้น
•หลีกเลี่ยงจากรังสีและสารเคมีในที่ทำงานและที่บ้าน โดยคอยอ่านคำเตือนของเอกสาร ที่แนบมากับผลิตภัณฑ์เสมอ
•ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และปฏิบัติตามคำแนะนำ ในการตรวจเพิ่มเติมของแพทย์ เช่น ตรวจแป๊บสเมียร์ (Pap's smear) ทุกปีเพื่อหามะเร็งปากมดลูกในระยะแรก ฝึกการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นประจำทุกเดือน และตรวจโดยแพทย์ทุก 1 ปี เป็นต้น
•หลีกเลี่ยงจากการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น ไม่เที่ยวสำส่อน หรือถ้าไม่แน่ใจควรใช้ถุงยางอนามัย ตรวจเลือดว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือยัง ถ้ายังไม่มีควรฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากเป็นสาเหตุ ที่สำคัญของการเกิดโรคมะเร็งตับ ในรายที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรติดตามตรวจกับแพทย์เป็นระยะทุก 6 เดือน
•ในกรณีที่ เคยรับประทานปลาดิบ อาศัยหรือเคยอาศัยอยู่ในภาคอีสาน หรือในชุมชนที่มีผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีตับ หรือมีประวัติมะเร็งท่อน้ำดีในครอบครัว ควรรับการตรวจอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิใบไม้ในตับ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี
คอยสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและรีบไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้
•มีการเปลี่ยนแปลงในการย่อยอาหาร และการขับถ่ายอย่างเรื้อรัง เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น
•มีเลือดออกผิดปกติ เช่น ทางช่องคลอด หรือเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ
•มีแผลเรื้อรังไม่หายใน 3 สัปดาห์
•มีก้อนที่เต้านมหรือตามตัว ไฝโตขึ้นหรือเปลี่ยนสี
•ไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ
•น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
•หูอื้อเรื้อรัง
คุมเบาหวานให้อยู่หมัดในผู้สูงอายุ
ผู้เป็นเบาหวาน คือ ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เลือดต้องมีน้ำตาลอยู่บ้างเพื่อเป็นพลังงานให้ร่างกาย และอวัยวะต่างๆ แต่น้ำตาลสูงเกินไปก็เป็นโทษกับสุขภาพได้
น้ำตาลในเลือดมาจากอาหารที่รับประทาน นอกจากนี้มาจากการผลิตจากตับ และจากกล้ามเนื้อด้วย เลือดเป็นตัวนำน้ำตาลไปที่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย อินซูลิน คือ สารหรือฮอร์โมนที่หลั่งจากตับอ่อนเพื่อเป็นตัวนำพาน้ำตาลจากอาหารเข้าเซลล์ ถ้าร่างกายผลิตอินซูลินไม่พอหรือถ้าอินซูลินทำงานได้ไม่เต็มที่ น้ำตาลก็จะเข้าไปในเซลล์ไม่ได้ จึงส่งผลให้เลือดมีน้ำตาลสูง
เบาหวานที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ ที่เรียกว่าเบาหวานประเภทที่ 2 อาจเกิดขึ้นช่วงอายุใดก็ได้ แม้กระทั่งวัยเด็ก เบาหวานชนิดนี้เกิดจากภาวะต้านอินซูลิน นั่นคือ เซลล์ต่างๆ ไม่สามารถใช้อินซูลินได้เต็มที่ ในช่วงแรกๆ ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น แต่แล้วตับอ่อนก็จะไม่สามารถหลั่งอินซูลินมาเพื่อตอบสนองกับน้ำตาลสูงๆ ได้ การมีน้ำหนักตัวมากและขาดการออกกำลังกาย ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภทที่2 มาก เมื่อผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้มากเท่าที่ต้องการจึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน
ถ้าน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์คุมได้ไม่ดีจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ทั้งโรคตา โรคไต โรคระบบประสาท แต่ที่จะเป็นปัญหามากที่สุด คือ โรคหัวใจ ผู้เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือเส้นเลือดสมองแตกมากเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่เป็นเบาหวาน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย วิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อนนี้คือ ต้องคุมไขมันในเลือด และความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมากที่สุด
การตรวจน้ำตาลเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะจะทำให้ทราบว่าแบบแผนการรับประทาน และการออกกำลังกายเหมาะสมหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องรอตรวจเฉพาะช่วงเช้าตอนตื่นนอน แต่จะตรวจ 1 ถึง 2 ชั่วโมงหลังอาหาร หรือจะเป็นช่วงก่อนนอนก็ได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะยากสักนิดที่จะคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ตลอดเวลา แต่ถ้าระดับน้ำตาลใกล้เป้าหมายเท่าใด ก็จะทำให้ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ลดลง และจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้นด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นขั้นเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะช่วยได้มาก
เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้เป็นเบาหวานคือ
ช่วงเวลา เป้าหมายระดับน้ำตาล (มก./ดล.)
ก่อนอาหารเช้า 90 – 130
1-2 ชม. หลังอาหาร < 180
ผู้เป็นเบาหวาน ควรมีแบบแผนการรับประทานอาหารที่เฉพาะเจาะจงให้เข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของตนเอง ควรให้แพทย์แนะนำไปปรึกษากับนักกำหนดอาหาร เพื่อให้จัดแบบแผนการรับประทานขึ้นมา
อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวานไม่น่าแตกต่างจากบุคคลอื่นๆ ในครอบครัว ซึ่งควรเป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนจากอาหารหลากหลาย มีสารอาหารที่มีส่วนช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อน โดยคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
• ครึ่งหนึ่งของอาหารประเภทแป้งที่รับประทาน ควรเป็นธัญพืช ได้แก่ ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโพด มันเทศ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต แป้งโฮลวีท อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งสำคัญของเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ มีส่วนช่วยป้องกันโรค
• รับประทานผัก และผลไม้ ให้ต่างชนิดกันไป เพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วย ควรรับประทานผัก ให้ได้ 2 ทัพพี ต่อมื้อ และผลไม้ 1 จานเล็กต่อมื้อ
• เลือกดื่มนมพร่องไขมัน หรือนมถั่วเหลืองรสจืด เสริมแคลเซียม 2-3 กล่องต่อวัน
• รับประทานปลา และเต้าหู้ให้มากขึ้น เป็นแหล่งโปรตีน เต้าหู้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรค ส่วนปลามีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีส่วนช่วยระบบไหลเวียนของโลหิต ส่วนเนื้อสัตว์อื่นๆ เลือกเนื้อล้วนที่ไม่ติดหนังติดมัน ให้บ่อยกว่าชนิดที่มีมันเยอะ อย่างเช่น หมู/เนื้อบด ซี่โครงหมู คอหมู ไส้กรอก หรือเบคอน
• เลือกใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าวสลับกันไป หรือน้ำมันมะกอกก็ได้ น้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากไขมันแล้ว ถั่วเปลือกแข็ง อะโวคาโด ก็เป็นแหล่งของไขมันที่ดี ควรรับประทานในปริมาณเล็กน้อยทุกวัน ผู้ที่จำกัดไขมันมากๆ อาจมีความเสี่ยงของการขาดวิตามินอี ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ จึงไม่แนะนำให้งดไขมันโดยสิ้นเชิง
• และที่สำคัญสำหรับผู้เป็นเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่ฉีดอินซูลินด้วยนั้น คือต้องรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ครบทุกมื้อ และมีปริมาณอาหารใกล้เคียงกันทุกๆ วัน
สิ่งหนึ่งที่ผู้ฉีดอินซูลินมักประสบเมื่อมีน้ำหนักลง หรือเมื่อรับประทานอาหารไม่ได้ คือ จะมีภาวะน้ำตาลต่ำบ่อย จึงควรสังเกตอาการของภาวะน้ำตาลต่ำ ได้แก่ รู้สึกอ่อนเพลีย มึน ใจสั่นมือสั่น หงุดหงิด ปวดศีรษะ รู้สึกหิว ถ้าปล่อยไว้อาจทำให้ช็อกเป็นลมได้
วิธีแก้ภาวะน้ำตาลต่ำควรปฏิบัติดังนี้
• ถ้ามีเครื่องเจาะน้ำตาล ควรเจาะน้ำตาลในเลือด ถ้าน้ำตาลต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรรีบหาน้ำหวาน น้ำผลไม้ดื่มครึ่งแก้ว (120 ซีซี) หรือกินน้ำตาลทราย หรือน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา หรือดื่มนมหวาน 1 แก้ว (120 ซีซี) ทันที
• ควรรอประมาณ 15 นาที หลังได้รับน้ำตาลแล้วจึงควรตรวจน้ำตาลอีกครั้ง ถ้ายังไม่ถึง 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรปฏิบัติข้อ 1 อีกครั้ง
• เมื่อระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์มากกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรแล้ว อาจรอจนมื้ออาหารถัดไป ถ้ามื้ออาหารอยู่ในช่วงภายใน 1 ชั่วโมง แต่ถ้านานไปกว่านั้น ควรรับประทานมื้อว่างที่มีประโยชน์ไปก่อน
ข้อควรระวังสำหรับการแก้ไขภาวะน้ำตาลต่ำ
• อย่ารับประทานของหวาน/น้ำหวาน มากเกินกว่าที่แนะนำ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลแกว่งและทำให้คุมได้ยาก น้ำหนักตัวลงยากด้วย
• อย่ารับประทานของหวานที่มีไขมันสูง โปรตีนสูง และ/หรือแป้งเชิงซ้อน (ข้าว ขนมปัง เส้นต่างๆ) สูง เพราะจะย่อยช้าไม่ช่วยให้น้ำตาลสูงขึ้นทันที แต่จะไปสูงเอาอีกหลายชั่วโมงถัดมา ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากขึ้น
• ควรรีบบอกแพทย์ทันที เมื่อมีภาวะน้ำตาลต่ำ เพื่อให้แพทย์ปรับลดอินซูลิน
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำทำได้โดย
• รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ถ้าต้องเดินทางควรดูว่าจะรับประทานอาหารได้ตอนไหน ถ้าคิดว่าจะนานเกินไปหรือจะหาซื้ออาหารได้ลำบาก ควรพกอาหารติดตัวไปด้วย
• รับประทานอาหารในปริมาณอาหารที่ใกล้เคียงกันทุกวัน
• ห้ามอดมื้ออาหาร
• ฉีดอินซูลินตามที่แพทย์แนะนำ และให้เป็นเวลา
• ตรวจน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
น้ำตาลในเลือดมาจากอาหารที่รับประทาน นอกจากนี้มาจากการผลิตจากตับ และจากกล้ามเนื้อด้วย เลือดเป็นตัวนำน้ำตาลไปที่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย อินซูลิน คือ สารหรือฮอร์โมนที่หลั่งจากตับอ่อนเพื่อเป็นตัวนำพาน้ำตาลจากอาหารเข้าเซลล์ ถ้าร่างกายผลิตอินซูลินไม่พอหรือถ้าอินซูลินทำงานได้ไม่เต็มที่ น้ำตาลก็จะเข้าไปในเซลล์ไม่ได้ จึงส่งผลให้เลือดมีน้ำตาลสูง
เบาหวานที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ ที่เรียกว่าเบาหวานประเภทที่ 2 อาจเกิดขึ้นช่วงอายุใดก็ได้ แม้กระทั่งวัยเด็ก เบาหวานชนิดนี้เกิดจากภาวะต้านอินซูลิน นั่นคือ เซลล์ต่างๆ ไม่สามารถใช้อินซูลินได้เต็มที่ ในช่วงแรกๆ ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น แต่แล้วตับอ่อนก็จะไม่สามารถหลั่งอินซูลินมาเพื่อตอบสนองกับน้ำตาลสูงๆ ได้ การมีน้ำหนักตัวมากและขาดการออกกำลังกาย ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานประเภทที่2 มาก เมื่อผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้มากเท่าที่ต้องการจึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน
ถ้าน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์คุมได้ไม่ดีจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ทั้งโรคตา โรคไต โรคระบบประสาท แต่ที่จะเป็นปัญหามากที่สุด คือ โรคหัวใจ ผู้เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือเส้นเลือดสมองแตกมากเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่เป็นเบาหวาน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย วิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อนนี้คือ ต้องคุมไขมันในเลือด และความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมากที่สุด
การตรวจน้ำตาลเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะจะทำให้ทราบว่าแบบแผนการรับประทาน และการออกกำลังกายเหมาะสมหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องรอตรวจเฉพาะช่วงเช้าตอนตื่นนอน แต่จะตรวจ 1 ถึง 2 ชั่วโมงหลังอาหาร หรือจะเป็นช่วงก่อนนอนก็ได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะยากสักนิดที่จะคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ตลอดเวลา แต่ถ้าระดับน้ำตาลใกล้เป้าหมายเท่าใด ก็จะทำให้ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ลดลง และจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้นด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นขั้นเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะช่วยได้มาก
เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้เป็นเบาหวานคือ
ช่วงเวลา เป้าหมายระดับน้ำตาล (มก./ดล.)
ก่อนอาหารเช้า 90 – 130
1-2 ชม. หลังอาหาร < 180
ผู้เป็นเบาหวาน ควรมีแบบแผนการรับประทานอาหารที่เฉพาะเจาะจงให้เข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของตนเอง ควรให้แพทย์แนะนำไปปรึกษากับนักกำหนดอาหาร เพื่อให้จัดแบบแผนการรับประทานขึ้นมา
อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวานไม่น่าแตกต่างจากบุคคลอื่นๆ ในครอบครัว ซึ่งควรเป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนจากอาหารหลากหลาย มีสารอาหารที่มีส่วนช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อน โดยคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
• ครึ่งหนึ่งของอาหารประเภทแป้งที่รับประทาน ควรเป็นธัญพืช ได้แก่ ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโพด มันเทศ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต แป้งโฮลวีท อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งสำคัญของเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ มีส่วนช่วยป้องกันโรค
• รับประทานผัก และผลไม้ ให้ต่างชนิดกันไป เพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วย ควรรับประทานผัก ให้ได้ 2 ทัพพี ต่อมื้อ และผลไม้ 1 จานเล็กต่อมื้อ
• เลือกดื่มนมพร่องไขมัน หรือนมถั่วเหลืองรสจืด เสริมแคลเซียม 2-3 กล่องต่อวัน
• รับประทานปลา และเต้าหู้ให้มากขึ้น เป็นแหล่งโปรตีน เต้าหู้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรค ส่วนปลามีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีส่วนช่วยระบบไหลเวียนของโลหิต ส่วนเนื้อสัตว์อื่นๆ เลือกเนื้อล้วนที่ไม่ติดหนังติดมัน ให้บ่อยกว่าชนิดที่มีมันเยอะ อย่างเช่น หมู/เนื้อบด ซี่โครงหมู คอหมู ไส้กรอก หรือเบคอน
• เลือกใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าวสลับกันไป หรือน้ำมันมะกอกก็ได้ น้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากไขมันแล้ว ถั่วเปลือกแข็ง อะโวคาโด ก็เป็นแหล่งของไขมันที่ดี ควรรับประทานในปริมาณเล็กน้อยทุกวัน ผู้ที่จำกัดไขมันมากๆ อาจมีความเสี่ยงของการขาดวิตามินอี ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ จึงไม่แนะนำให้งดไขมันโดยสิ้นเชิง
• และที่สำคัญสำหรับผู้เป็นเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่ฉีดอินซูลินด้วยนั้น คือต้องรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ครบทุกมื้อ และมีปริมาณอาหารใกล้เคียงกันทุกๆ วัน
สิ่งหนึ่งที่ผู้ฉีดอินซูลินมักประสบเมื่อมีน้ำหนักลง หรือเมื่อรับประทานอาหารไม่ได้ คือ จะมีภาวะน้ำตาลต่ำบ่อย จึงควรสังเกตอาการของภาวะน้ำตาลต่ำ ได้แก่ รู้สึกอ่อนเพลีย มึน ใจสั่นมือสั่น หงุดหงิด ปวดศีรษะ รู้สึกหิว ถ้าปล่อยไว้อาจทำให้ช็อกเป็นลมได้
วิธีแก้ภาวะน้ำตาลต่ำควรปฏิบัติดังนี้
• ถ้ามีเครื่องเจาะน้ำตาล ควรเจาะน้ำตาลในเลือด ถ้าน้ำตาลต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรรีบหาน้ำหวาน น้ำผลไม้ดื่มครึ่งแก้ว (120 ซีซี) หรือกินน้ำตาลทราย หรือน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา หรือดื่มนมหวาน 1 แก้ว (120 ซีซี) ทันที
• ควรรอประมาณ 15 นาที หลังได้รับน้ำตาลแล้วจึงควรตรวจน้ำตาลอีกครั้ง ถ้ายังไม่ถึง 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรปฏิบัติข้อ 1 อีกครั้ง
• เมื่อระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์มากกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรแล้ว อาจรอจนมื้ออาหารถัดไป ถ้ามื้ออาหารอยู่ในช่วงภายใน 1 ชั่วโมง แต่ถ้านานไปกว่านั้น ควรรับประทานมื้อว่างที่มีประโยชน์ไปก่อน
ข้อควรระวังสำหรับการแก้ไขภาวะน้ำตาลต่ำ
• อย่ารับประทานของหวาน/น้ำหวาน มากเกินกว่าที่แนะนำ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลแกว่งและทำให้คุมได้ยาก น้ำหนักตัวลงยากด้วย
• อย่ารับประทานของหวานที่มีไขมันสูง โปรตีนสูง และ/หรือแป้งเชิงซ้อน (ข้าว ขนมปัง เส้นต่างๆ) สูง เพราะจะย่อยช้าไม่ช่วยให้น้ำตาลสูงขึ้นทันที แต่จะไปสูงเอาอีกหลายชั่วโมงถัดมา ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากขึ้น
• ควรรีบบอกแพทย์ทันที เมื่อมีภาวะน้ำตาลต่ำ เพื่อให้แพทย์ปรับลดอินซูลิน
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำทำได้โดย
• รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ถ้าต้องเดินทางควรดูว่าจะรับประทานอาหารได้ตอนไหน ถ้าคิดว่าจะนานเกินไปหรือจะหาซื้ออาหารได้ลำบาก ควรพกอาหารติดตัวไปด้วย
• รับประทานอาหารในปริมาณอาหารที่ใกล้เคียงกันทุกวัน
• ห้ามอดมื้ออาหาร
• ฉีดอินซูลินตามที่แพทย์แนะนำ และให้เป็นเวลา
• ตรวจน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
โรคที่พบใน ผู้สูงอายุ
โรคที่พบในผู้สูงอายุนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดมา ตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว แต่ไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้น เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ บางโรคเกิดเนื่องจาก ความเปลี่ยนแปลงของ การบริโภคอาหาร ภายหลังจากเกษียนอายุราชการ โรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ โภชนาการในอดีตหรือปัจจุบัน ได้แก่
โรคอ้วน
อ้วนนับเป็นโรคอย่างหนึ่ง ที่เกิดจากการสะสมของพลังงาน ที่ได้จากอาหารที่รับประทาน เกินความต้องการของร่างกาย และมีการเก็บสะสมไว้ ในรูปของไขมันในระยะนานเข้า ก็จะปรากฏให้เห็น ด้วยการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จากเดิมทีละน้อยๆ อายุที่เพิ่มขึ้น มีโอกาสมีน้ำหนักตัวเพิ่มอยู่แล้ว เพราะการใช้แรงงานน้อยลง การรับประทานอาหารยังคงเดิม ดังนั้น ถ้าไม่ควบคุมการรับประทานอาหาร โอกาสอ้วนย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว โรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงนำไปสู่การเป็นโรคอื่นๆ อีกหลายโรค เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคเกี่ยวกับข้อ ฯลฯ คนทั่วๆ ไปจะมีการเปลี่ยนแปลง น้ำหนักตัว และสังเกตเห็นว่า เริ่มอ้วนเมื่ออายุประมาณ 35-40 ปี ถ้าให้ความสนใจต่อสุขภาพ ระวังน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ ปัญหาของโรคต่างๆ ที่จะเกิด ย่อมน้อยลงได้ หรือเมื่อมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานแล้ว ต้องพยายามควบคุมอาหาร จัดอาหารที่ให้คุณค่าอาหารสูง แต่พลังงานต่ำ เพื่อช่วยลดน้ำหนักลง ก็เป็นการช่วยลด ปัญหาสุขภาพได้อีกทางหนึ่ง
โรคโลหิตจาง
บางครั้งเราเรียกว่า โรคซีด โรคโลหิตจางเกิดได้ เนื่องจากการรับประทานอาหาร ที่ขาดธาตุเหล็กมาในระยะเวลานาน หรืออาจเกิดจากการสูญเสียเลือด ในปริมาณที่ไม่มากนัก จนไม่สามารถตรวจพบ แต่เกิดเรื้อรังมาเป็นเวลานาน เช่น เลือดออกในลำไส้ หรือกระเพาะอาหาร เป็นต้น โรคนี้ทำให้ผู้สูงอายุซีด ร่างกายอ่อนเพลีย ความต้านทานโรคน้อยลง ทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น การจัดอาหารที่มีเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ให้รับประทานเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับเหล็กที่เพียงพอ
โรคหัวใจและหลอดเลือด
สถิติของการเกิดโรคนี้มากที่สุด ในช่วงอายุ 45 ปี ความรุนแรงจะมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการรักษา และดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง เพราะสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค คือ การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เกินความต้องการของร่างกาย และการเลือกรับประทานที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารที่มีไขมันสูง โคเลสเตอรอลสูง รวมถึงการสูบบุหรี่ และการขาดการออกกำลังกาย การป้องกันโรคนี้ ควรเริ่มเมื่อก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น หนังเป็ด หนังไก่ เครื่องในสัตว์ กะทิ เป็นต้น งดการสูบบุหรี่ และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ
โรคเบาหวาน
ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ เป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัว มากกว่ามาตรฐาน ในช่วงอายุเกิน 50 ปี ผู้สูงอายุที่ชอบรับประทานน้ำตาลมากๆ พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น มากกว่าคนหนุ่ม-สาว และลดระดับคืนสู่ปกติได้ช้า โรคเบาหวานพบในผู้สูงอายุ ที่มีการเกิดโรคนี้ในครอบครัว การรับประทานอาหารมากและอ้วน การเป็นโรคนี้จะนำไปสู่ การเป็นโรคหลอดเลือดแข็ง และอุดตันได้ง่าย และเป็นสาเหตุการตายของผู้สูงอายุ เป็นโรคเบาหวานด้วย ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักตัว ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ให้อ้วน เป็นทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคได้
โรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อ
ผู้สูงอายุ มีการเสียสมดุลของฮอร์โมน ทำให้การเผาผลาญอาหารในร่างกายผิดปกติ การดูดซึมสารอาหาร และแร่ธาตุโดยเฉพาะ แคลเซียมเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การเกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่พบมากในผู้สูงอายุ ที่ทำให้กระดูกเปราะและหักได้ง่าย เกิดมากในผู้หญิงอายุเกิน 50 ปี และผู้ชายอายุเกิน 60 ปี การอักเสบต่างๆ ของข้อ เกิดจากการมีน้ำหนักตัวมากเกินไป ทำให้เป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว และการช่วยตัวเอง ของผู้สูงอายุ การจัดอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและผลไม้ ให้ผู้สูงอายุรับประทานเป็นประจำ เพื่อช่วยบำรุงความแข็งแรงให้แก่กระดูก
จากตัวอย่างของโรค ที่พบในผู้สูงอายุที่กล่าวมา คงทำให้เห็นความสำคัญของโภชนาการ ที่มีผลกระทบต่อผู้สูงอายุ การให้การดูแลในเรื่องอาหารการกิน เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหาร ในปริมาณที่มากพอต่อความต้องการของร่างกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังช่วยชะลอการเกิดโรค หรือบรรเทาความรุนแรงของโรคได้
โรคอ้วน
อ้วนนับเป็นโรคอย่างหนึ่ง ที่เกิดจากการสะสมของพลังงาน ที่ได้จากอาหารที่รับประทาน เกินความต้องการของร่างกาย และมีการเก็บสะสมไว้ ในรูปของไขมันในระยะนานเข้า ก็จะปรากฏให้เห็น ด้วยการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จากเดิมทีละน้อยๆ อายุที่เพิ่มขึ้น มีโอกาสมีน้ำหนักตัวเพิ่มอยู่แล้ว เพราะการใช้แรงงานน้อยลง การรับประทานอาหารยังคงเดิม ดังนั้น ถ้าไม่ควบคุมการรับประทานอาหาร โอกาสอ้วนย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว โรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงนำไปสู่การเป็นโรคอื่นๆ อีกหลายโรค เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคเกี่ยวกับข้อ ฯลฯ คนทั่วๆ ไปจะมีการเปลี่ยนแปลง น้ำหนักตัว และสังเกตเห็นว่า เริ่มอ้วนเมื่ออายุประมาณ 35-40 ปี ถ้าให้ความสนใจต่อสุขภาพ ระวังน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ ปัญหาของโรคต่างๆ ที่จะเกิด ย่อมน้อยลงได้ หรือเมื่อมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานแล้ว ต้องพยายามควบคุมอาหาร จัดอาหารที่ให้คุณค่าอาหารสูง แต่พลังงานต่ำ เพื่อช่วยลดน้ำหนักลง ก็เป็นการช่วยลด ปัญหาสุขภาพได้อีกทางหนึ่ง
โรคโลหิตจาง
บางครั้งเราเรียกว่า โรคซีด โรคโลหิตจางเกิดได้ เนื่องจากการรับประทานอาหาร ที่ขาดธาตุเหล็กมาในระยะเวลานาน หรืออาจเกิดจากการสูญเสียเลือด ในปริมาณที่ไม่มากนัก จนไม่สามารถตรวจพบ แต่เกิดเรื้อรังมาเป็นเวลานาน เช่น เลือดออกในลำไส้ หรือกระเพาะอาหาร เป็นต้น โรคนี้ทำให้ผู้สูงอายุซีด ร่างกายอ่อนเพลีย ความต้านทานโรคน้อยลง ทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น การจัดอาหารที่มีเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ให้รับประทานเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับเหล็กที่เพียงพอ
โรคหัวใจและหลอดเลือด
สถิติของการเกิดโรคนี้มากที่สุด ในช่วงอายุ 45 ปี ความรุนแรงจะมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการรักษา และดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง เพราะสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค คือ การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เกินความต้องการของร่างกาย และการเลือกรับประทานที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารที่มีไขมันสูง โคเลสเตอรอลสูง รวมถึงการสูบบุหรี่ และการขาดการออกกำลังกาย การป้องกันโรคนี้ ควรเริ่มเมื่อก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น หนังเป็ด หนังไก่ เครื่องในสัตว์ กะทิ เป็นต้น งดการสูบบุหรี่ และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ
โรคเบาหวาน
ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ เป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัว มากกว่ามาตรฐาน ในช่วงอายุเกิน 50 ปี ผู้สูงอายุที่ชอบรับประทานน้ำตาลมากๆ พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น มากกว่าคนหนุ่ม-สาว และลดระดับคืนสู่ปกติได้ช้า โรคเบาหวานพบในผู้สูงอายุ ที่มีการเกิดโรคนี้ในครอบครัว การรับประทานอาหารมากและอ้วน การเป็นโรคนี้จะนำไปสู่ การเป็นโรคหลอดเลือดแข็ง และอุดตันได้ง่าย และเป็นสาเหตุการตายของผู้สูงอายุ เป็นโรคเบาหวานด้วย ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักตัว ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ให้อ้วน เป็นทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคได้
โรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อ
ผู้สูงอายุ มีการเสียสมดุลของฮอร์โมน ทำให้การเผาผลาญอาหารในร่างกายผิดปกติ การดูดซึมสารอาหาร และแร่ธาตุโดยเฉพาะ แคลเซียมเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การเกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่พบมากในผู้สูงอายุ ที่ทำให้กระดูกเปราะและหักได้ง่าย เกิดมากในผู้หญิงอายุเกิน 50 ปี และผู้ชายอายุเกิน 60 ปี การอักเสบต่างๆ ของข้อ เกิดจากการมีน้ำหนักตัวมากเกินไป ทำให้เป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว และการช่วยตัวเอง ของผู้สูงอายุ การจัดอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและผลไม้ ให้ผู้สูงอายุรับประทานเป็นประจำ เพื่อช่วยบำรุงความแข็งแรงให้แก่กระดูก
จากตัวอย่างของโรค ที่พบในผู้สูงอายุที่กล่าวมา คงทำให้เห็นความสำคัญของโภชนาการ ที่มีผลกระทบต่อผู้สูงอายุ การให้การดูแลในเรื่องอาหารการกิน เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหาร ในปริมาณที่มากพอต่อความต้องการของร่างกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังช่วยชะลอการเกิดโรค หรือบรรเทาความรุนแรงของโรคได้
ตรวจภายในไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
ตรวจภายใน
ประโยคสั้นๆ นี้ที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สบายใจไปตามๆ กันหากต้องรับการตรวจ ไม่ว่าจะเป็นหญิงมีบุตรแล้วหรือ หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ตาม อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า การตรวจภายในเป็นการตรวจทางการแพทย์ที่ผู้หญิงทุกคนจำเป็นต้องตรวจตามความเหมาะสม
ผู้หญิงควรจะตรวจภายในเมื่อไร ตรวจแล้วจะบอกอะไรได้บ้าง เวลาตรวจควรเตรียมตัวมาอย่างไร
คำถามเหล่านี้มีคำตอบ....
การตรวจภายใน ทำได้ทุกอายุของผู้หญิงเลย ถ้าเกิดมีตกขาวผิดปกติ มีเลือดออก ช่องคลอดมีกลิ่น ปวดท้องน้อย สงสัยมีก้อนหรือ มีน้ำในท้อง ในเด็กวัยอนุบาลประถม ก็ตรวจได้ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าว จะมีเครื่องมืออันเล็กเหมือนที่ตรวจรูจมูก บางครั้งสูตินรีแพทย์ใช้นิ้วก้อยตรวจได้ หรือตรวจทางทวารหนักแทน
เด็กผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เร็วตั้งแต่วัยรุ่นก็สามารถตรวจได้ เพื่อรักษาโรคทางเพศสัมพันธ์ ตกขาว เลือดออกผิดปกติ ปวดท้องน้อย หรือเกิดโชคร้ายท้องนอกมดลูก เป็นถุงน้ำที่รังไข่ ก็สามารถตรวจภายในวินิจฉัยได้ ส่วนผู้หญิงโสด ถ้าประจำเดือนปกติ ตรวจสุขภาพทั่วไปและอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกปกติ จะเริ่มตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูกตอนอายุ 30 ปีขึ้นไปก็ได้
ในการตรวจภายใน สิ่งที่ต้องคำนึงด้วยเสมอเพื่อมิให้วินิจฉัยโรคผิดพลาด คือ
เรื่องประจำเดือน ซึ่งต้องเน้นรายละเอียดและความแม่นยำที่ถูกต้อง ในบางครั้งคำนำหน้าชื่อของผู้หญิงที่ยังเป็นนางสาว มิได้ยืนยันการไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ถ้าเชื่อตามคำนำหน้าชื่ออาจทำให้วินิจฉัยโรคผิดพลาดได้ การสอบถามประวัติของแพทย์และการให้ข้อมูลที่เป็นจริงของผู้ได้รับการตรวจเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เคยเจอมาแล้วก็คือ สูตินรีแพทย์บางคนเกรงใจไม่กล้าถามมาก ปรากฏว่าได้ผ่าตัดสิ่งที่คิดว่าเป็นเนื้องอกในมดลูกที่มีขนาดเท่าอายุครรภ์ 4 เดือนออกไป หลังจากตรวจชิ้นเนื้อกลับพบว่าเป็นเด็กทารก เป็นที่น่าเสียใจว่าเธอถูกตัดมดลูกออกไป โดยที่ไม่มีโอกาสมีบุตรอีก เพราะพยายามปิดบังข้อมูลกับแพทย์ และแพทย์ท่านนั้นก็ไม่นึกว่าเธอจะมีเพศสัมพันธ์จนมีบุตร เพราะลักษณะภายนอกเธอเป็นผู้ดีและเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ เพราะฉะนั้นการซักประวัติส่วนตัวอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ การใช้ยาคุม จำนวนบุตร การแท้งธรรมชาติ หรือการทำแท้งจะมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคมาก ขอให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่แพทย์จำเป็นต้องถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เด็กผู้หญิงบางคนจะใจแข็งมาก บางครั้งอยู่ที่หอพักเดียวกัน พากันมาส่งเพราะมีอาการปวดท้องน้อยรุนแรง ท้องป่อง แพทย์ห้องฉุกเฉินนึกว่าปัสสาวะไม่ออกเลยปวด กำลังจะสวนปัสสาวะให้ ปรากฏว่าเบ่งแป็บเดียวเด็กออกมาเลย ก็เคยพบกันบ่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มารดาพามาตรวจ นึกว่าเป็นโรคท้องป่องท้องมาร นึกว่าใครเสกอะไรเข้าท้อง พอหมอตรวจท้อง ฟังแล้วพบว่ามีเสียงหัวใจอีกดวง ก็ยังไม่ยอมรับ ผู้หญิงเรามักจะใจแข็งจริงๆ แต่พอเอกซเรย์ดูจึงเห็นกระดูกศีรษะ ซี่โครง แขนขา มารดาเข่าอ่อนไปเลยก็มี ส่วนใหญ่มารดาของเด็กสาวมักจะห้ามบอกบิดา เพราะบิดาจะอารมณ์รุนแรงรับไม่ได้ ทั้งที่พ่อแม่ควรให้อภัยแก่ลูกสาว บางเรื่องพลาดแล้วย้อนกลับคืนไม่ได้ แต่โอกาสทำความดีต่อไปของคนเรายังมี อย่าไปด่าว่าหรือทุบตีรุนแรงเลย
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ในบางครั้งระยะที่ขาดประจำเดือนกับขนาดท้องไม่สัมพันธ์กัน เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่เสมอ ต้องติดตามดูอาการและได้รับการตรวจครรภ์ตามแพทย์ และใส่ใจประเมินครบกำหนดคลอด
บางคนมีลูกมา 2 – 3 คนแล้ว ท้องลาย ก้นลาย แต่มาบอกหมอสูติว่าท้องแรก เอ้า ท้องแรกก็ท้องแรก แต่เวลาคุณเธอคลอดเราต้องระวัง เพราะท้องแรกจะคลอดช้า ท้องสองและสามจะไวมาก หมอสูติต้องเตรียมพร้อม
เรื่องอาการทางกระเพาะปัสสาวะ มักเกี่ยวข้องกับช่องคลอดและมดลูกเสมอในเรื่องการรักษา เช่น ถ้ากระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ รักษาไม่หาย ควรนึกถึงการอักเสบเรื้อรังในช่องคลอดด้วย บางครั้งปัสสาวะไม่ออก เพราะมดลูกจากผู้หญิงที่เบ่งลูกหลายคน เอ็นที่ยึดมดลูกจะไม่ตึง ทำให้มดลูกหย่อนมาจุกตรงช่องคลอด กดช่องปัสสาวะทำให้ปัสสาวะไม่ออก 1. มดลูก 3. ช่องคลอด 2. ปากมดลูก 4. คีมปากเป็ด
การเก็บตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูกและช่องคลอดนำส่งตรวจหามะเร็งต่อไป
เรื่องควรรู้เพื่อเตรียมตัวรับการการตรวจภายใน ผู้หญิงสามารถตรวจภายในได้ทุกเวลา ยกเว้นช่วงที่มีประจำเดือน แต่ถ้ามีเลือดออกผิดปกติไม่ใช่ประจำเดือน ก็ตรวจ ได้เลยจะได้ดูจุดที่เลือดออก สีของเลือด ปริมาณมากน้อยแค่ไหน วินิจฉัยได้แม่นยำไม่ต้องรอเลือดหยุด ซึ่งควรเตรียมตัวก่อนรับการตรวจภายในดังนี้
•ควรปัสสาวะทิ้งให้หมดก่อน เพื่อที่แพทย์จะได้คลำขนาดมดลูกและปีกมดลูกให้ชัดเจน
•ถ้ามีปัญหาเรื่องกระเพาะปัสสาวะ สูตินรีแพทย์อาจสวนตรวจเพาะเชื้อโรคและให้ยา ปฏิชีวนะตามเชื้อโรคนั้นๆ
• ถ้ามีปัญหาเรื่องตกขาวมีกลิ่น คัน ตกขาวเปลี่ยนสี ไม่ควรสอดยามาเอง ควรรีบมาพบ แพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ตรวจเชื้อได้ถูกต้อง ให้ยาได้ทันท่วงที ถ้าสอดยามา จะมียาเต็มในช่องคลอด จะตรวจไม่ได้
•ไม่ควรใช้น้ำยาล้างลึกเข้าไปในช่องคลอดก่อนมาตรวจมะเร็งปากมดลูก หรือมาตรวจการ เพราะภาวะความเป็นกรดด่างถูกทำลาย เซลล์ที่หลุดลอกออกมาถูกล้างไปหมด
•ไม่ต้องงดอาหารและน้ำดื่มมาในการตรวจภายในมาตรวจได้เลย ทางสูตินรีแพทย์จะ ตรวจคลำเต้านมให้ด้วย ถ้ามีน้ำไหลจากหัวนม จะบีบใส่ slide ไปตรวจเซลล์มะเร็ง
•ในการวินิจฉัยบางโรค เช่น เยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ อาจตรวจทางทวารหนักร่วมด้วยโดย ใช้นิ้วชี้ตรวจทางช่องคลอด นิ้งกลางตรวจทางทวารหนัก และอีกมือคลำหน้าท้องด้วย
•เวลาตรวจภายในจะเริ่มจาก ดูต่อม Bartholin และต่อม Skene ซึ่งหลั่งสิ่งหล่อลื่นใน ช่องคลอดรวมทั้งกลิ่นด้วย ว่ามามีหนองหรือเป็น cyst ไหม มีการหย่อนด้านหลังของผนังช่องคลอดไหม ตรวจดูว่าหูรูดกระเพาะปัสสาวะหย่อนหรือไม่ ให้เบ่งดูหรือไอดูขณะมีน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะอยู่เต็ม ว่าเล็ดกระเด็นออกมาหรือไม่ มดลูกเคลื่อนต่ำลงมาหรือเปล่า มีหนองอยู่ในที่ปัสสาวะและในช่องคลอดหรือไม่ สังเกตปากมดลูกว่าปลิ้น มีรอยฉีกขาด อักเสบเรื้อรัง หรือมีหนองจากรูมดลูกหรือไม่ จังหวะนี้ก็จะตรวจมะเร็งปากมดลูกจากรูมดลูก รอบคอมดลูก และด้านหลังของช่องคลอด ส่วนลึกต่ำกว่าปากมดลูก นอกจากนี้ก็จะคลำขนาด ตำแหน่ง การเคลื่อนไหวของมดลูก กดแล้วเจ็บหรือไม่ รวมทั้งผิวเรียบหรือไม่ และคลำปีกมดลูก 2 ข้างด้วย เพื่อดูเนื้องอกรังไข่และท่อรังไข่ว่ามีความผิดปกติอย่างไรหรือไม่
การตรวจภายในไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด แต่จะกลับทำให้ผู้หญิงเรามั่นใจได้ว่าสุขภาพสตรีของตัวเองนั้นปกติดี หรือ ไม่ หรือหากพบความผิดปกติก็จะได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ง่ายต่อการรักษาและหายได้เร็ว ลดโอกาสการสูญเสียต่างๆ ได้มากกว่าค่ะ
ประโยคสั้นๆ นี้ที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สบายใจไปตามๆ กันหากต้องรับการตรวจ ไม่ว่าจะเป็นหญิงมีบุตรแล้วหรือ หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ตาม อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า การตรวจภายในเป็นการตรวจทางการแพทย์ที่ผู้หญิงทุกคนจำเป็นต้องตรวจตามความเหมาะสม
ผู้หญิงควรจะตรวจภายในเมื่อไร ตรวจแล้วจะบอกอะไรได้บ้าง เวลาตรวจควรเตรียมตัวมาอย่างไร
คำถามเหล่านี้มีคำตอบ....
การตรวจภายใน ทำได้ทุกอายุของผู้หญิงเลย ถ้าเกิดมีตกขาวผิดปกติ มีเลือดออก ช่องคลอดมีกลิ่น ปวดท้องน้อย สงสัยมีก้อนหรือ มีน้ำในท้อง ในเด็กวัยอนุบาลประถม ก็ตรวจได้ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าว จะมีเครื่องมืออันเล็กเหมือนที่ตรวจรูจมูก บางครั้งสูตินรีแพทย์ใช้นิ้วก้อยตรวจได้ หรือตรวจทางทวารหนักแทน
เด็กผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เร็วตั้งแต่วัยรุ่นก็สามารถตรวจได้ เพื่อรักษาโรคทางเพศสัมพันธ์ ตกขาว เลือดออกผิดปกติ ปวดท้องน้อย หรือเกิดโชคร้ายท้องนอกมดลูก เป็นถุงน้ำที่รังไข่ ก็สามารถตรวจภายในวินิจฉัยได้ ส่วนผู้หญิงโสด ถ้าประจำเดือนปกติ ตรวจสุขภาพทั่วไปและอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกปกติ จะเริ่มตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูกตอนอายุ 30 ปีขึ้นไปก็ได้
ในการตรวจภายใน สิ่งที่ต้องคำนึงด้วยเสมอเพื่อมิให้วินิจฉัยโรคผิดพลาด คือ
เรื่องประจำเดือน ซึ่งต้องเน้นรายละเอียดและความแม่นยำที่ถูกต้อง ในบางครั้งคำนำหน้าชื่อของผู้หญิงที่ยังเป็นนางสาว มิได้ยืนยันการไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ถ้าเชื่อตามคำนำหน้าชื่ออาจทำให้วินิจฉัยโรคผิดพลาดได้ การสอบถามประวัติของแพทย์และการให้ข้อมูลที่เป็นจริงของผู้ได้รับการตรวจเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เคยเจอมาแล้วก็คือ สูตินรีแพทย์บางคนเกรงใจไม่กล้าถามมาก ปรากฏว่าได้ผ่าตัดสิ่งที่คิดว่าเป็นเนื้องอกในมดลูกที่มีขนาดเท่าอายุครรภ์ 4 เดือนออกไป หลังจากตรวจชิ้นเนื้อกลับพบว่าเป็นเด็กทารก เป็นที่น่าเสียใจว่าเธอถูกตัดมดลูกออกไป โดยที่ไม่มีโอกาสมีบุตรอีก เพราะพยายามปิดบังข้อมูลกับแพทย์ และแพทย์ท่านนั้นก็ไม่นึกว่าเธอจะมีเพศสัมพันธ์จนมีบุตร เพราะลักษณะภายนอกเธอเป็นผู้ดีและเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ เพราะฉะนั้นการซักประวัติส่วนตัวอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ การใช้ยาคุม จำนวนบุตร การแท้งธรรมชาติ หรือการทำแท้งจะมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคมาก ขอให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่แพทย์จำเป็นต้องถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เด็กผู้หญิงบางคนจะใจแข็งมาก บางครั้งอยู่ที่หอพักเดียวกัน พากันมาส่งเพราะมีอาการปวดท้องน้อยรุนแรง ท้องป่อง แพทย์ห้องฉุกเฉินนึกว่าปัสสาวะไม่ออกเลยปวด กำลังจะสวนปัสสาวะให้ ปรากฏว่าเบ่งแป็บเดียวเด็กออกมาเลย ก็เคยพบกันบ่อยๆ
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มารดาพามาตรวจ นึกว่าเป็นโรคท้องป่องท้องมาร นึกว่าใครเสกอะไรเข้าท้อง พอหมอตรวจท้อง ฟังแล้วพบว่ามีเสียงหัวใจอีกดวง ก็ยังไม่ยอมรับ ผู้หญิงเรามักจะใจแข็งจริงๆ แต่พอเอกซเรย์ดูจึงเห็นกระดูกศีรษะ ซี่โครง แขนขา มารดาเข่าอ่อนไปเลยก็มี ส่วนใหญ่มารดาของเด็กสาวมักจะห้ามบอกบิดา เพราะบิดาจะอารมณ์รุนแรงรับไม่ได้ ทั้งที่พ่อแม่ควรให้อภัยแก่ลูกสาว บางเรื่องพลาดแล้วย้อนกลับคืนไม่ได้ แต่โอกาสทำความดีต่อไปของคนเรายังมี อย่าไปด่าว่าหรือทุบตีรุนแรงเลย
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ในบางครั้งระยะที่ขาดประจำเดือนกับขนาดท้องไม่สัมพันธ์กัน เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่เสมอ ต้องติดตามดูอาการและได้รับการตรวจครรภ์ตามแพทย์ และใส่ใจประเมินครบกำหนดคลอด
บางคนมีลูกมา 2 – 3 คนแล้ว ท้องลาย ก้นลาย แต่มาบอกหมอสูติว่าท้องแรก เอ้า ท้องแรกก็ท้องแรก แต่เวลาคุณเธอคลอดเราต้องระวัง เพราะท้องแรกจะคลอดช้า ท้องสองและสามจะไวมาก หมอสูติต้องเตรียมพร้อม
เรื่องอาการทางกระเพาะปัสสาวะ มักเกี่ยวข้องกับช่องคลอดและมดลูกเสมอในเรื่องการรักษา เช่น ถ้ากระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ รักษาไม่หาย ควรนึกถึงการอักเสบเรื้อรังในช่องคลอดด้วย บางครั้งปัสสาวะไม่ออก เพราะมดลูกจากผู้หญิงที่เบ่งลูกหลายคน เอ็นที่ยึดมดลูกจะไม่ตึง ทำให้มดลูกหย่อนมาจุกตรงช่องคลอด กดช่องปัสสาวะทำให้ปัสสาวะไม่ออก 1. มดลูก 3. ช่องคลอด 2. ปากมดลูก 4. คีมปากเป็ด
การเก็บตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูกและช่องคลอดนำส่งตรวจหามะเร็งต่อไป
เรื่องควรรู้เพื่อเตรียมตัวรับการการตรวจภายใน ผู้หญิงสามารถตรวจภายในได้ทุกเวลา ยกเว้นช่วงที่มีประจำเดือน แต่ถ้ามีเลือดออกผิดปกติไม่ใช่ประจำเดือน ก็ตรวจ ได้เลยจะได้ดูจุดที่เลือดออก สีของเลือด ปริมาณมากน้อยแค่ไหน วินิจฉัยได้แม่นยำไม่ต้องรอเลือดหยุด ซึ่งควรเตรียมตัวก่อนรับการตรวจภายในดังนี้
•ควรปัสสาวะทิ้งให้หมดก่อน เพื่อที่แพทย์จะได้คลำขนาดมดลูกและปีกมดลูกให้ชัดเจน
•ถ้ามีปัญหาเรื่องกระเพาะปัสสาวะ สูตินรีแพทย์อาจสวนตรวจเพาะเชื้อโรคและให้ยา ปฏิชีวนะตามเชื้อโรคนั้นๆ
• ถ้ามีปัญหาเรื่องตกขาวมีกลิ่น คัน ตกขาวเปลี่ยนสี ไม่ควรสอดยามาเอง ควรรีบมาพบ แพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ตรวจเชื้อได้ถูกต้อง ให้ยาได้ทันท่วงที ถ้าสอดยามา จะมียาเต็มในช่องคลอด จะตรวจไม่ได้
•ไม่ควรใช้น้ำยาล้างลึกเข้าไปในช่องคลอดก่อนมาตรวจมะเร็งปากมดลูก หรือมาตรวจการ เพราะภาวะความเป็นกรดด่างถูกทำลาย เซลล์ที่หลุดลอกออกมาถูกล้างไปหมด
•ไม่ต้องงดอาหารและน้ำดื่มมาในการตรวจภายในมาตรวจได้เลย ทางสูตินรีแพทย์จะ ตรวจคลำเต้านมให้ด้วย ถ้ามีน้ำไหลจากหัวนม จะบีบใส่ slide ไปตรวจเซลล์มะเร็ง
•ในการวินิจฉัยบางโรค เช่น เยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ อาจตรวจทางทวารหนักร่วมด้วยโดย ใช้นิ้วชี้ตรวจทางช่องคลอด นิ้งกลางตรวจทางทวารหนัก และอีกมือคลำหน้าท้องด้วย
•เวลาตรวจภายในจะเริ่มจาก ดูต่อม Bartholin และต่อม Skene ซึ่งหลั่งสิ่งหล่อลื่นใน ช่องคลอดรวมทั้งกลิ่นด้วย ว่ามามีหนองหรือเป็น cyst ไหม มีการหย่อนด้านหลังของผนังช่องคลอดไหม ตรวจดูว่าหูรูดกระเพาะปัสสาวะหย่อนหรือไม่ ให้เบ่งดูหรือไอดูขณะมีน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะอยู่เต็ม ว่าเล็ดกระเด็นออกมาหรือไม่ มดลูกเคลื่อนต่ำลงมาหรือเปล่า มีหนองอยู่ในที่ปัสสาวะและในช่องคลอดหรือไม่ สังเกตปากมดลูกว่าปลิ้น มีรอยฉีกขาด อักเสบเรื้อรัง หรือมีหนองจากรูมดลูกหรือไม่ จังหวะนี้ก็จะตรวจมะเร็งปากมดลูกจากรูมดลูก รอบคอมดลูก และด้านหลังของช่องคลอด ส่วนลึกต่ำกว่าปากมดลูก นอกจากนี้ก็จะคลำขนาด ตำแหน่ง การเคลื่อนไหวของมดลูก กดแล้วเจ็บหรือไม่ รวมทั้งผิวเรียบหรือไม่ และคลำปีกมดลูก 2 ข้างด้วย เพื่อดูเนื้องอกรังไข่และท่อรังไข่ว่ามีความผิดปกติอย่างไรหรือไม่
การตรวจภายในไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด แต่จะกลับทำให้ผู้หญิงเรามั่นใจได้ว่าสุขภาพสตรีของตัวเองนั้นปกติดี หรือ ไม่ หรือหากพบความผิดปกติก็จะได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ง่ายต่อการรักษาและหายได้เร็ว ลดโอกาสการสูญเสียต่างๆ ได้มากกว่าค่ะ
หลักการปฏิบัติของผู้สูงอายุ เพื่อการมีสุขภาพดี 10 อ.
อาหารดี กินอาหารครบ 5 หมู่ทุกวัน และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
อนามัย หมั่นดูแลสุขภาพปากและฟันตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ออกกำลังกาย ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน (วันละ 20 นาที อย่างต่อเนื่อง)
อุจจาระ ถ่ายอุจจาระทุกวัน
อากาศดี อยู่ในที่ร่มรื่น อากาศสดชื่นถ่ายเทได้สะดวก
อุบัติเหตุ ระมัดระวังเกี่ยวกับอุบัติเหตุให้มากขึ้น
อารมณ์ ทำจิตใจให้สบาย แจ่มใส ไม่เครียด
อดิเรก หางานอดิเรกทำ
อบอุ่น สร้างความผูกพันกับลูกหลาน ตั้งแต่ลูกหลานยังอยู่ในวัยเด็ก
อนาคต เตรียมตัวเตรียมใจรับวัยชรา
อนามัย หมั่นดูแลสุขภาพปากและฟันตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ออกกำลังกาย ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน (วันละ 20 นาที อย่างต่อเนื่อง)
อุจจาระ ถ่ายอุจจาระทุกวัน
อากาศดี อยู่ในที่ร่มรื่น อากาศสดชื่นถ่ายเทได้สะดวก
อุบัติเหตุ ระมัดระวังเกี่ยวกับอุบัติเหตุให้มากขึ้น
อารมณ์ ทำจิตใจให้สบาย แจ่มใส ไม่เครียด
อดิเรก หางานอดิเรกทำ
อบอุ่น สร้างความผูกพันกับลูกหลาน ตั้งแต่ลูกหลานยังอยู่ในวัยเด็ก
อนาคต เตรียมตัวเตรียมใจรับวัยชรา
10 วิธี ดูแลฮาร์ดดิสก์ ให้มีสุขภาพดี
วันนี้เรามีบทความแนะนำการบำรุงรักษาอุปกรณ์สำคัญของคอมพิวเตอร์นั่นก็คือ “ฮาร์ดดิสก์” ซึ่งสำหรับใครที่ยังมีฮาร์ดดิสก์ อยู่กับตัว ไม่พังไปเสียก่อน อ่านบทความนี้แล้วหมั่นปฏิบัติตามนะคะ รับรองว่าดีต่อฮาร์ดดิสก์ของคุณแน่นอน โปรแกรมที่คุณใช้งานอยู่เป็นประจำทำงานช้าลงหรือเปล่า? หรือพีซีอายุใช้งาน 4 เดือนของคุณมีอาการงอแงหรือไม่? ต่อไปนี้คือวิธีการแก้ปัญหาและเพิ่มความเร็วให้กับฮาร์ดดิสก์ตัวเก่งของคุณ
การเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดดิสก์โดยไม่เคยสแกนตรวจสอบก็เหมือนกับการมีรถยนต์คันหรูที่เอาแต่ขับอย่างเดียวไม่เคยเข้า ศูนย์บริการ ซึ่งทิปต่อไปนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนัก เพียงแค่เจียดเวลาสักนิดในการปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ ฮาร์ดดิสก์ของคุณกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
1.สแกนหาไวรัส
จัดเป็นข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่คุณควรให้ความสำคัญและหมั่นทำเป็นประจำ เราคงไม่ต้องบอกคุณแล้วว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดช ร้ายแรงแค่ไหน เอาเป็นว่าให้คุณลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ถูกทำลายหรือเสียหายเพียงแค่เพราะว่าคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกัน ไวรัสเอาไว้ในเครื่อง หรือใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจ ลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) ถ้าเก่า เกินกว่า 30 วัน ก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันเพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพ จากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในระบบ ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประจำทุกสัปดาห์
2.ปัดกวาดไฟล์หรือขยะที่ไม่ได้ใช้
ยิ่งใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่า โปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราว ที่หลงเหลือจากการท่องอินเทอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการติดตั้งโปรแกรมในโฟลเดอร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์ส ซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการ กำจัดไฟล์ขยะเหล่า นี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์สหรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)
3.กำจัดขยะในซอกหลืบ
แม้ว่าคุณจะทำการลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมาย โดยเศษขยะในที่นี้ หมายถึงบรรดา สปายแวร์หรือแอดแวร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษคือโปรแกรมอย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังกล่าวก่อนเริ่ม ทำการสแกนระบบด้วย
4.หมั่นใช้สแกนดิสก์
เมื่อใดก็ตามที่พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบกพร่องเสียหาย เรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า “Bad Sector” ซึ่งมีความหมายว่า บริเวณพื้นผิวของจาน แม่เหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการอ่านข้อมูลได้ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้ Scandisk ของวินโดว์ส ในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูล โดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้คุณเลือกออปชัน Scan for and attempt recovery of bad sectors ด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงาน ของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่ม Scandisk ด้วย
5.จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ
โปรแกรม Defragmenter ที่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุกเวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วยในการจัดเรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์ อย่างสะเปะสะปะ ให้มีระเบียบและเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนักและใช้เวลาในการอ่านข้อมูลสั้นลง และโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรม จะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของคุณไปสลับสับเปลี่ยนหรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอ เพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่งผล กระทบต่อโครงสร้างการเก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด
6.เก็บทุกอย่างให้เข้าที่
ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก็ล้วนต้องการระบบระเบียบในการจัดเก็บที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ฟังดูอาจเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดี แต่ถ้าไม่อยากก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้
7.แบ็กอัพข้อมูล
ไม่มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาล แต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของคุณจะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูล ทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจะสูญหายไปด้วย เพียงแต่สิ่งที่คุณควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือการแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ เก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่ หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยากหรือทำให้คุณลำบากเกินไป แนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคา แสนถูก และถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก
8.เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง
เมื่อคุณกดปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของคุณจะถูกลบออกไป แต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของคุณจะยังไม่ถูกลบ ออก ไปจริงๆ เพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆ ว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็สามารถเขียนทับตำแหน่งนั้นๆ ได้ นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่คุณลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่า แม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเอง ดังนั้นหากคุณมั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้ว หรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไป แนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก
9.แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูล
ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการแบ่งพาร์ทิชันเอาไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มาใช้งาน แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้คุณทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆ หรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ 40GB ซึ่งคุณก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D: ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วย ลดภาระของหัวอ่านและเพิ่มความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้ว คุณยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้ง วินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่นงานจนเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นคุณสามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลย แต่ถ้าไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่โปรแกรม Partition Magic
10.เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน
วิธีการที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อย อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ ใหม่ แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้งาน เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที) ที่มีราคาถูกถ้าคุณใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของคุณ เกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกม ก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลยก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก ซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็กสูงและมีขนาดของแคชภายในมากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับคุณมากยิ่งขึ้น
การเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดดิสก์โดยไม่เคยสแกนตรวจสอบก็เหมือนกับการมีรถยนต์คันหรูที่เอาแต่ขับอย่างเดียวไม่เคยเข้า ศูนย์บริการ ซึ่งทิปต่อไปนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนัก เพียงแค่เจียดเวลาสักนิดในการปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ ฮาร์ดดิสก์ของคุณกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
1.สแกนหาไวรัส
จัดเป็นข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่คุณควรให้ความสำคัญและหมั่นทำเป็นประจำ เราคงไม่ต้องบอกคุณแล้วว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดช ร้ายแรงแค่ไหน เอาเป็นว่าให้คุณลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ถูกทำลายหรือเสียหายเพียงแค่เพราะว่าคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกัน ไวรัสเอาไว้ในเครื่อง หรือใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจ ลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) ถ้าเก่า เกินกว่า 30 วัน ก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันเพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพ จากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในระบบ ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประจำทุกสัปดาห์
2.ปัดกวาดไฟล์หรือขยะที่ไม่ได้ใช้
ยิ่งใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่า โปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราว ที่หลงเหลือจากการท่องอินเทอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการติดตั้งโปรแกรมในโฟลเดอร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์ส ซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการ กำจัดไฟล์ขยะเหล่า นี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์สหรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)
3.กำจัดขยะในซอกหลืบ
แม้ว่าคุณจะทำการลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมาย โดยเศษขยะในที่นี้ หมายถึงบรรดา สปายแวร์หรือแอดแวร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษคือโปรแกรมอย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังกล่าวก่อนเริ่ม ทำการสแกนระบบด้วย
4.หมั่นใช้สแกนดิสก์
เมื่อใดก็ตามที่พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบกพร่องเสียหาย เรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า “Bad Sector” ซึ่งมีความหมายว่า บริเวณพื้นผิวของจาน แม่เหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการอ่านข้อมูลได้ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้ Scandisk ของวินโดว์ส ในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูล โดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้คุณเลือกออปชัน Scan for and attempt recovery of bad sectors ด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงาน ของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่ม Scandisk ด้วย
5.จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ
โปรแกรม Defragmenter ที่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุกเวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วยในการจัดเรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์ อย่างสะเปะสะปะ ให้มีระเบียบและเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนักและใช้เวลาในการอ่านข้อมูลสั้นลง และโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรม จะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของคุณไปสลับสับเปลี่ยนหรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอ เพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่งผล กระทบต่อโครงสร้างการเก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด
6.เก็บทุกอย่างให้เข้าที่
ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก็ล้วนต้องการระบบระเบียบในการจัดเก็บที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ฟังดูอาจเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดี แต่ถ้าไม่อยากก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้
7.แบ็กอัพข้อมูล
ไม่มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาล แต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของคุณจะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูล ทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจะสูญหายไปด้วย เพียงแต่สิ่งที่คุณควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือการแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ เก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่ หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยากหรือทำให้คุณลำบากเกินไป แนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคา แสนถูก และถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก
8.เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง
เมื่อคุณกดปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของคุณจะถูกลบออกไป แต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของคุณจะยังไม่ถูกลบ ออก ไปจริงๆ เพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆ ว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็สามารถเขียนทับตำแหน่งนั้นๆ ได้ นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่คุณลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่า แม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเอง ดังนั้นหากคุณมั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้ว หรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไป แนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก
9.แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูล
ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการแบ่งพาร์ทิชันเอาไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มาใช้งาน แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้คุณทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆ หรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ 40GB ซึ่งคุณก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D: ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วย ลดภาระของหัวอ่านและเพิ่มความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้ว คุณยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้ง วินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่นงานจนเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นคุณสามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลย แต่ถ้าไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่โปรแกรม Partition Magic
10.เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน
วิธีการที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อย อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ ใหม่ แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้งาน เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที) ที่มีราคาถูกถ้าคุณใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของคุณ เกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกม ก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลยก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก ซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็กสูงและมีขนาดของแคชภายในมากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับคุณมากยิ่งขึ้น
9 สมุนไพรเพื่อสุขภาพ และ ความงาม
โสม : ช่วยสร้างสารต้านเชื้อไวรัสทำให้ระบบคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงมากขึ้น และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย
ข้าวกล้อง : ที่หลายคนบอกว่าเป็นข้าววิเศษ เพราะมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย ทั้งวิตามิน โปรตีน เกลือแร่ กว่า 20 ชนิด
ว่านหางจระเข้ : ช่วยล้างพิษ และช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น ลดอาการปวดตามข้อมือ ข้อเท้า
เลมอน : ใครที่กลัวจะแก่เกินวัย เลมอนช่วยได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งเพิ่มความสดชื่น
กระปรื้กระเปร่า
กุหลาบ : ประโยชน์จะเน้นไปเรื่องความสวยความงามของผิว เพราะ มีวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น สดใสขึ้น
ดอกเก๊กฮวย : ใครที่เป็นร้อนในบ่อยๆ เก๊กฮวยช่วยได้ดีทีเดียว และ ยังช่วยย่อยอาหาร อีกทั้งแก้ไอได้ด้วย
พุทราจีน : คนที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลในเลือดสูงฟังทางนี้ พุทราจีนเป็นอีกสมุนไพรที่โดนเด่นในการช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
เก๋ากี้ : ชื่ออ่านยากแต่สรรพคุณเหลือร้าย เพราะมีสารที่ช่วยต่อต้านมะเร็ง และลดระดับนำตาลในเลือด
แก้อาการวิงเวียนศีรษะได้
ตะไคร์ : สมุนไพรคู่ครัวที่มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา มีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก แก้อาการท้องอืด
จุกเสียดได้
ข้าวกล้อง : ที่หลายคนบอกว่าเป็นข้าววิเศษ เพราะมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย ทั้งวิตามิน โปรตีน เกลือแร่ กว่า 20 ชนิด
ว่านหางจระเข้ : ช่วยล้างพิษ และช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น ลดอาการปวดตามข้อมือ ข้อเท้า
เลมอน : ใครที่กลัวจะแก่เกินวัย เลมอนช่วยได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งเพิ่มความสดชื่น
กระปรื้กระเปร่า
กุหลาบ : ประโยชน์จะเน้นไปเรื่องความสวยความงามของผิว เพราะ มีวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น สดใสขึ้น
ดอกเก๊กฮวย : ใครที่เป็นร้อนในบ่อยๆ เก๊กฮวยช่วยได้ดีทีเดียว และ ยังช่วยย่อยอาหาร อีกทั้งแก้ไอได้ด้วย
พุทราจีน : คนที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลในเลือดสูงฟังทางนี้ พุทราจีนเป็นอีกสมุนไพรที่โดนเด่นในการช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
เก๋ากี้ : ชื่ออ่านยากแต่สรรพคุณเหลือร้าย เพราะมีสารที่ช่วยต่อต้านมะเร็ง และลดระดับนำตาลในเลือด
แก้อาการวิงเวียนศีรษะได้
ตะไคร์ : สมุนไพรคู่ครัวที่มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา มีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก แก้อาการท้องอืด
จุกเสียดได้
12 ต.ค. 2551
รวมแผนที่ภาคกลาง
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดอุทัยธานี(UTHAI THANI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองอุทัยธานี (UTHAI THANI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดอ่างทอง (ANG THONG TOURIST MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดอ่างทอง (ANG THONG TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองอ่างทอง (ANG THONG CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (PHRA NAKHON SI AYUTHAYA TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา (AYUTHAYA CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดสระบุรี (SARABURI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองสระบุรี (SARABURI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดสระแก้ว (SA KAEO TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองสระแก้ว (SA KAEO CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการ (SAMUT PRAKAN TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองสมุทรปราการ (SAMUT PRAKAN CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสงคราม (SAMUT SONGKHRAM TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองสมุทรสงคราม (SAMUT SONGKHRAM MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสาคร (SAMUT SAKHON TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองสมุทรสาคร ( SAMUT SAKHON CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรี (SUPHAN BURI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองสุพรรณบุรี (SUPHAN BURI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดสิงห์บุรี (SING BURI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองสิงห์บุรี (SING BURI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดลพบุรี (LOP BURI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองลพบุรี (LOP BURI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดราชบุรี (RATCHABURI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองราชบุรี (RATCHABURI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี (PHETCHABURI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองเพชรบุรี (PHETCHABURI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยงจังหวัดปราจีนบุรี (PRACHIN BURI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองปราจีนบุรี (PRACHIN BURI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานี ( PATHUM THANI TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองปทุมธานี (PATHUM THANI CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ( PRACHUAP KHIRI KHAN TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ (PRACHUAP KHIRI KHAN CITY MAP)
แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดนครนายก (NAKHON NAYOK TOURIST MAP)
แผนที่ตัวเมืองนครนายก(NAKHON NAYOK CITY MAP)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)