ยามรักกันใหม่ๆ น้ำต้มผักก็ยังว่าหวาน ไม่ต่างอะไรกับตันโออิชิ และเจ้าสัวเจริญแห่งเบียร์ช้าง
ตัน ภาสกรนที ไม่ใช่ผู้บุกเบิกในตลาดใด แต่ตั้งแต่เขาเข้าสู่วงการอาหารและเครื่องดื่ม ก็ได้สร้างปรากฎการณ์ที่สามารถ “เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยให้ไปตลอดกาล” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เริ่มตั้งแต่การทำบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นราคา500บาทให้เป็น “ Talk of the Town” ในช่วงที่ผู้ใช้อินเทอร์เนตในเมืองไทยยังอยู่แค่ระดับแสนกว่าคนเท่านั้นเอง เหตุการณ์นั้นสร้างให้รับประทานอาหารญี่ปุ่นกลายเป็น “แฟชั่น” และกลืนเป็นวัฒนธรรมการกินของคนไทยในที่สุด
ถ้าลองย้อนกลับไปดูเมื่อ15ปีที่แล้ว ห้างสรรพสินค้าทั่้วไปยังไม่มีร้านอาหารญี่ปุ่นไว้คอยบริการลูกค้าเท่าใดนัก เหมือนที่ตอนนี้ห้างส่วนใหญ่ก็ไม่มีอาหารอิตาเลียนแท้เลย (ถ้าไม่นับพิซซ่า) จะทานแต่ละทีต้องไปตามโรงแรม หรือสุขุมวิทเท่านั้น
แต่พอปัจจุบันหากห้างสรรพสินค้าใดไม่มีร้านอาหารญี่ปุ่นกลับเป็นเรื่องแปลก อย่างน้อยก็ต้องมี 3 ร้านขึ้นไปในแต่ละห้างแน่นอน จนลามไปถึงตลาดนัดต่างๆ ที่มีซูชิคำละ 5 บาทให้เห็น ก็เป็นผลมาจากการเริ่มต้นของโออิชิบุฟเฟ่ต์ทั้งสิ้น
พอเข้าสู่ธุรกิจชาเขียว ตันก็ไม่ใช่เจ้าแรก และเจ้าใหญ่ที่สุด ณ ตอนนั้น คนที่บุกเบิกตลาดก็คือยูนิฟ (UNIF) คนไทยฮือฮากับโฆษณาหนอนพ่อลูก และวลีติดปากที่ว่า “ชิมเมะโจได๋” โออิชิเข้ามาเป็นรายหลัง แต่ตันมีเพื่อนซี้คนหนึ่งเป็นคนไต้หวัน ผู้อยู่เบื้องหลังการปรุงรสชาเขียวและเครื่องดื่มหลากหลายชนิดของโออิชิในตอนนั้น มาทำรสชาติให้ถูกปากคนไทย
และความกล้าทำตลาดของตันที่สร้างปรากฎการณ์อีกครั้งหนึ่งด้วยการแจก “30 ฝา 30 ล้าน” แจกถึงที่สดๆทันที
แม้ว่าตอนแรกๆคนที่ได้ไปจะเป็นคนเก็บขยะก็ตามที แต่พอการแจกจริง เงินสดๆ ลงข่าวไปทั่วทุกสื่อ พี่ไทยก็ต้องหามาลองให้ได้
ทำให้ตอนนั้นชาเขียวโออิชิขาดตลาดขึ้นมาทั่วประเทศทันที ใครๆก็อยากซื้อมาลอง โชคดีที่มีโรงงานที่เป็นพาร์ทเนอร์ต่างๆของคุณตันช่วยดูแล และผลิตให้เพียงพอกับความต้องการในเวลานั้น คุณตันก็ยังซึ้งถึงน้ำใจกันมาถึงทุกวันนี้
หลังจากปรากฎการณ์ 30 ฝา 30 ล้านสักพัก ก็เกิดดีล 3000 ล้านขึ้นมา เมื่อได้เข้าสู่การทำงานที่ต้องมีเป้าหมายชัดเจน คือต้องคิดถึงกำไรของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก คือกำไรมากขึ้นในทุกๆปี คุณตันก็เริ่มออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาหลายตัว ดีบ้าง แป๊กบ้าง ไม่ว่าจะเป็น น้ำส้มเซกิ ชาเขียวรสใหม่ๆ อามิโนโอเค คอฟฟี่โอ หรือไลน์ร้านอาหารชาบูชิ และเปิดโออิชิสาขาใหม่ๆ
ปรากฎการณ์ความแตกร้าวเริ่มมาจากไหน ก็คงเริ่มมาจากความระแวงจากทั้งสองฝ่ายนั้นเอง
คุณตันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน เพราะเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยแล้ว สถานะตอนนั้นก็เป็นแค่ลูกจ้างรับบริหารให้เท่านั้น เจ้าของตัวจริงจะเตะกระเด็นเมื่อไหร่ก็ได้ หากมีผลประกอบการไม่น่าพอใจ
เจ้าสัวเจริญเองก็เป็นเจ้าของบริษัท ถึงปากจะพูดว่าให้ตันดูแล แต่เขาก็กลัวตันดูแลให้เขาไม่เต็มที่ หรือตันเป็นตัวเองมากเกินไปจนเขาควบคุมไม่ได้
จากฝั่งเจ้าสัวที่เริ่มปรับโครงสร้างก็คือการส่งคนเข้ามาเป็นกรรมการบริษัท ดูแลเรื่องการเงิน เซ็นเช็คสำคัญๆ แต่เหตุผลที่สำคัญคือน่าจะเป็นคนที่รายการเหตุการณ์ในบริษัทสายตรงมากกว่า
ส่วนตัน โออิชิ เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนมาก นามบัตรของเขาไม่ใช่CEO ของโออิชิ แต่เป็น ตัน ภาสกรนที ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่เขาจดทะเบียนขึ้นมาใหม่ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทกล้วย กล้วย ทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่ลพบุรี)
โฆษณาของโออิชิใช้ตันเป็นพรีเซนต์เตอร์แทบทุกอย่าง ทั้งน้ำส้มเซกิ อามิโนโอเค แคมเปญไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊งค์ ฯลฯ ที่หากในมุมมองของคนทำธุรกิจแบบรุ่นเก่าเช่น คุณเจริญ เจ้าของขนมปังเซี่ยงไฮ้ เจ้าของกระทิงแดง เจ้าของเอ็มเค ฯลฯ เขาจะไม่ออกหน้าออกตาในสื่อใดๆทั้งสิ้่น
ทีมงานเจ้าสัวมีสิทธิ์คิดได้ว่า ตัน กำลังเริ่มใช้ทรัพยากรในบริษัทโออิชิเพื่อโปรโมตตัวเอง เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นในอนาคต หรืออาจจะมองในแง่ดีว่า ช่วยประหยัดค่าพรีเซนต์เตอร์ ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่มหาศาลในการโฆษณา ถ้าบริษัทมีสินค้าใหม่ปีละ 6 รายการ จ้างดาราเกรด A เฉลี่ยก็ไม่ต่ำกว่าคนละ 5 ล้านบาท ปีหนึ่งก็ต้องใช้เงินถึง 30 ล้านบาททีเดียว
การใช้ผู้บริหารเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าก็เป็นเรื่องที่มีมาแล้วในเมืองไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น DTAC ก็เคยทำมาแล้ว แม้จะรู้ว่าCEOจะบริหารงานในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น การตัดสินใจเวลานั้นเพราะคนขาดความเชื่อมั่นในแบรนด์DTAC จึงไม่มีใครจะมาทำให้ผู้บริโภคเชื่อได้นอกจากCEOมาพูดเอง แต่กับโออิชิน่าจะมีทางเลือกมากกว่าให้ตันเป็นพรีเซนเตอร์มากมายนัก
อีกเรื่องคือการทำหนังสือ “ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน” ซึ่งมีการทั้งพิมพ์เพื่อจำหน่าย ทั้งแจก ทั้งแถม ไปหลักแสนเล่ม ถึงหนังสือจะมีก่อนขายบริษัทให้เบียร์ช้าง
การเดินสายพูดบรรยายไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆ อาจจะเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์โออิชิให้แข็งแรงขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่
หากมองกลับกันหากจะคิดในแง่ร้ายว่าตันวางแผนสร้างตัวเองเป็นแบรนด์ก็ย่อมได้ อะไรๆที่มากไปย่อมไม่ดี ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท แต่กรรมการผู้จัดการเดินสายไปทั่วประเทศ เน้นการตลาด ไม่ค่อยอยู่ออฟฟิศ มันก็อาจจะก่อให้เกิดความไม่พอใจอยู่ลึกๆได้
ถ้าถามว่าตันเริ่มสร้างตัวเองเป็นแบรนด์ตั้งแต่เมื่อไหร่ “ก็ตั้งแต่ใส่หมวก” นั่นแหละครับ
เรื่องอื่นๆก็พออลุ่มอลวยกันได้ ตราบใดที่บริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โออิชิเป็นยังเป็นเจ้าตลาดขอชาเขียว ระดับคนที่มีเงินเป็นพันล้าน และแสนล้าน เขาคงไม่มาทะเลาะกันด้วยเรื่องหยุมหยิม แต่ฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดสะบั้นลง เพราะการมาของผู้ชายที่ชื่อ แมทธิว กิจโอธาน หรือว่ากรรมการผู้จัดการบริษัทโออิชิในปัจจุบันนั้นเอง
ที่มา www.blogger.com โดย assuming
30 พ.ค. 2554
อิชิตันชาเขียว - การย้อนเกล็ดโออิชิที่เจ็บแสบ ภาค1
ทุกคนมีข้อดีและข้อเสีย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทั้งหมด แต่เรามักจะดูคนที่ประสบความสำเร็จไว้เป็นแรงบันดาลใจ ให้สู้ต่อไป ให้มุ่งมั่นกับความฝัน
คุณตัน (โออิชิ) หรือภาสกรนที ก็เป็นหนึ่งในไอดอลของผมมาตลอด เพราะเขาเริ่มมาจากศูนย์ มีเงินเป็นสิบล้าน ติดลบเป็นร้อยล้าน แล้วก็กลับมามีอีกเป็นพันล้านได้ ด้วยความสามารถและการตัดสินใจที่เฉียบคมของเขาล้วนๆ
จุดหักเหที่ทำให้ตันต้องมาเปิดตัวเองเป็นแบรนด์ใหม่ โดยใช้ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์นั้นก็ต้องย้อนกลับไปที่ “การเข้ามาถือซื้อหุ้นโออิชิของเบียร์ช้างในปี 2006”
ตอนเข้าตลาดมูลค่าของโออิชิประมาณ 300 ล้านบาทเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าสัวเจริญยื่นข้อเสนอที่ปฎิเสธไม่ได้ด้วยดีล 3000 ล้านบาท กำไรถึง 10 เท่าภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี ที่สำคัญกว่านั้นคือการยอมให้ตันบริหารต่อไปในฐานะCEOโดยคงหุ้นไว้ 10%เท่านั้น โดยที่เจ้าสัวก็จะไม่เข้ามายุ่ง หรือแทรกแซงอะไร ให้ตันบริหารไปเต็มที่
“ข้อเสนอแบบนี้จะมีคนสักกี่คนที่จะปฎิเสธ”
เป้าหมายของเบียร์ช้าง มี2ประการคือ
1. ลงทุนในธุรกิจส่วนอื่นที่เป็น Non-Alcohol ซึ่งได้โออิชิซึ่งมีส่วนแบ่งของชาเขียวสูงที่สุดในประเทศไทย แถมยังมีธุรกิจเชนร้านอาหารที่มีคนรู้จักทั้งประเทศ เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่คนไทยให้การยอมรับในเรื่องอาหารและเครื่องดื่มในระดับต้นๆของเมืองไทยเลยทีเดียว
2. การเข้าตลาดหลักทรัพย์แบบ BACK DOOR หรือว่าประตูหลัง หากจะย้อนกลับไปเบียร์ช้างพยายามลองเชิงในการเข้าตลาดหุ้นไทยมาหลายครั้ง ในสมัยที่ กิตติรัตน์ ณ ระนองยังเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่
แต่จะพิจารณาทีไรก็โดนม็อบมาประท้วงทุกที สุดท้ายเมื่อเข้าไปเทรดตลาดที่สิงค์โปร์ กิตติรัตน์ก็ลาออก เพราะตามสัจจะวาจาที่เคยให้ไว้ ว่าอยากให้เบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้นไทย มันไม่ได้มีผลต่อการที่จะทำให้คนไทยทานเหล้ามากขึ้นหรือน้อยลง แต่มันจะเป็นโอกาสที่นักลงทุนไทยจะมีทางเลือกมากขึ้น
ว่ากันว่า สาเหตุที่เบียร์ช้างไม่สามารถเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้นั้น เป็นเพราะการตกลงผลประโยชน์ทางการเมืองไม่ได้มากกว่า ฝ่ายการเมืองอาจจะเรียกร้องสูงเกินกว่าที่เจ้าสัวจะรับได้ ซึ่งก็พอจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เพราะรัฐบาลสมัยนั้นมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากจะผลักดันให้เบียร์ช้างหรือไทยเบพฯ เข้าตลาดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถแน่นอน
เมื่อคุณเจริญถอดใจไปเข้าตลาดสิงค์โปร์เสร็จแล้ว ก็ซื้อกิจการของโออิชิ ก็เปรียบเสมือนการเข้าตลาดหุ้นไทยทางประตูหลัง (BACK DOOR) ถึงจะไม่ใช่เป้าหมายแบบที่หวังไว้ตอนแรก แต่การมีหุ้นเทรดในตลาดไทยในชื่อบริษัทที่มีมูลค่าน้อยกว่าไทยเบฟ แถมยังได้โออิชิที่ธุรกิจที่มีกระแสเงินสดดีมากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรนัก
ดีลที่หอมหวานนี้จึงเกิดขึ้น ตันได้เงินมา 3000 ล้าน เจ้าสัวได้โออิชิไปทั้งแบรนด์ ได้เข้าตลาดหุ้นทันที ทุกฝ่ายจึงดูน่าจะWIN WIN แต่ตันโออิชิในวันนั้นก็ไม่ประมาท และเจ้าสัวเจริญก็รู้ว่าวันหนึ่งตันต้องไป แต่คงไม่นึกว่าจะโดนย้อนเกล็ดแบบเจ็บแสบที่สุดขนาดนี้
ที่มา www.blogger.com โดย assuming
คุณตัน (โออิชิ) หรือภาสกรนที ก็เป็นหนึ่งในไอดอลของผมมาตลอด เพราะเขาเริ่มมาจากศูนย์ มีเงินเป็นสิบล้าน ติดลบเป็นร้อยล้าน แล้วก็กลับมามีอีกเป็นพันล้านได้ ด้วยความสามารถและการตัดสินใจที่เฉียบคมของเขาล้วนๆ
จุดหักเหที่ทำให้ตันต้องมาเปิดตัวเองเป็นแบรนด์ใหม่ โดยใช้ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์นั้นก็ต้องย้อนกลับไปที่ “การเข้ามาถือซื้อหุ้นโออิชิของเบียร์ช้างในปี 2006”
ตอนเข้าตลาดมูลค่าของโออิชิประมาณ 300 ล้านบาทเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าสัวเจริญยื่นข้อเสนอที่ปฎิเสธไม่ได้ด้วยดีล 3000 ล้านบาท กำไรถึง 10 เท่าภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี ที่สำคัญกว่านั้นคือการยอมให้ตันบริหารต่อไปในฐานะCEOโดยคงหุ้นไว้ 10%เท่านั้น โดยที่เจ้าสัวก็จะไม่เข้ามายุ่ง หรือแทรกแซงอะไร ให้ตันบริหารไปเต็มที่
“ข้อเสนอแบบนี้จะมีคนสักกี่คนที่จะปฎิเสธ”
เป้าหมายของเบียร์ช้าง มี2ประการคือ
1. ลงทุนในธุรกิจส่วนอื่นที่เป็น Non-Alcohol ซึ่งได้โออิชิซึ่งมีส่วนแบ่งของชาเขียวสูงที่สุดในประเทศไทย แถมยังมีธุรกิจเชนร้านอาหารที่มีคนรู้จักทั้งประเทศ เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่คนไทยให้การยอมรับในเรื่องอาหารและเครื่องดื่มในระดับต้นๆของเมืองไทยเลยทีเดียว
2. การเข้าตลาดหลักทรัพย์แบบ BACK DOOR หรือว่าประตูหลัง หากจะย้อนกลับไปเบียร์ช้างพยายามลองเชิงในการเข้าตลาดหุ้นไทยมาหลายครั้ง ในสมัยที่ กิตติรัตน์ ณ ระนองยังเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่
แต่จะพิจารณาทีไรก็โดนม็อบมาประท้วงทุกที สุดท้ายเมื่อเข้าไปเทรดตลาดที่สิงค์โปร์ กิตติรัตน์ก็ลาออก เพราะตามสัจจะวาจาที่เคยให้ไว้ ว่าอยากให้เบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้นไทย มันไม่ได้มีผลต่อการที่จะทำให้คนไทยทานเหล้ามากขึ้นหรือน้อยลง แต่มันจะเป็นโอกาสที่นักลงทุนไทยจะมีทางเลือกมากขึ้น
ว่ากันว่า สาเหตุที่เบียร์ช้างไม่สามารถเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้นั้น เป็นเพราะการตกลงผลประโยชน์ทางการเมืองไม่ได้มากกว่า ฝ่ายการเมืองอาจจะเรียกร้องสูงเกินกว่าที่เจ้าสัวจะรับได้ ซึ่งก็พอจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เพราะรัฐบาลสมัยนั้นมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากจะผลักดันให้เบียร์ช้างหรือไทยเบพฯ เข้าตลาดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถแน่นอน
เมื่อคุณเจริญถอดใจไปเข้าตลาดสิงค์โปร์เสร็จแล้ว ก็ซื้อกิจการของโออิชิ ก็เปรียบเสมือนการเข้าตลาดหุ้นไทยทางประตูหลัง (BACK DOOR) ถึงจะไม่ใช่เป้าหมายแบบที่หวังไว้ตอนแรก แต่การมีหุ้นเทรดในตลาดไทยในชื่อบริษัทที่มีมูลค่าน้อยกว่าไทยเบฟ แถมยังได้โออิชิที่ธุรกิจที่มีกระแสเงินสดดีมากๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรนัก
ดีลที่หอมหวานนี้จึงเกิดขึ้น ตันได้เงินมา 3000 ล้าน เจ้าสัวได้โออิชิไปทั้งแบรนด์ ได้เข้าตลาดหุ้นทันที ทุกฝ่ายจึงดูน่าจะWIN WIN แต่ตันโออิชิในวันนั้นก็ไม่ประมาท และเจ้าสัวเจริญก็รู้ว่าวันหนึ่งตันต้องไป แต่คงไม่นึกว่าจะโดนย้อนเกล็ดแบบเจ็บแสบที่สุดขนาดนี้
ที่มา www.blogger.com โดย assuming
29 พ.ค. 2554
100 อันดับยี่ห้อที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ประจำปี 2011
ผลล่าสุดจากการจัดอันดับของเว็บ brandz.com ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้าน marketing research and consultant ดูแลโดย Millward Brown (www.millwardbrown.com) ทำหน้าที่สำรวจข้อมูล และทำการจัดอันดับ ranking มูลค่าของแบรนด์จากทั่วโลกมาจัดอันดับ
ผลการประกาศล่าสุด Top 100 ของปี 2011 ค่าแอปเปิ้ลขึ้นเป็นอันดับหนึ่งว่าเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นจาก 16,000 ล้านเหรียญในปี 2006 กลายเป็น 153,000 ล้านเหรียญในปี 2011 ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้ CEO ของแอปเปิ้ลที่สร้างนวตกรรมอย่างต่อเนื่องผ่านผลิตภัณฑ์ iPhone และ iPad
ซึ่งแน่นอนหมวดที่น่าสนใจคือหมวดไอทีที่เกาะอันดับ 1-5 ถึง 4 อันดับคือโดยแบรนด์ที่ได้อันดับ 1-5 มีดังนี้
อันดับ 1 apple และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 84%
อันดับ 2 google
อันดับ 3 IBM
อันดับ 4 McDonald
อันดับ 5 Microsoft
สำหรับอันดับอื่น ๆ ที่น่าสนใจอย่าง Baidu บริการค้นหาข้อมูลของจีนที่อยู่ในอันดับที่ 29 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว สูงมากเช่นกันคือ 141% ได้อันดับ 29นำหน้า Facebook ที่อยู่ในอันดับที่ 35 ซึ่งมีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มจากปีที่แล้วสูงสุดถึง 246% ติดอยู่ในอันดับที่ 35ส่วนยักษ์เคยใหญ่ด้านโทรศัพท์มือถืออย่างโนเกียอยู่ในอันดับที่ 81 และกระทิงแดงหรือที่ฝรั่งรู้จักในนาม Red Bull อยู่ในอันดับที่ 93 จากทั้งหมด 100 แบรนด์
ซึ่งหากดูเฉพาะในสายเทคโนโลยี 20 อันดับแรก มีดังนี้ (หน่วย: “ล้านดอลลาร์”)
1. Apple 153,285
2. Google 111,498
3. IBM 100,849
4. Microsoft 78,243
5. HP 35,404
6. Oracle 26,948
7. SAP 26,078
8. BlackBerry 24,623
9. Baidu 22,555
10. Facebook 19,102
11. Cisco 16,314
12. Accenture 15,427
13. Tencent/QQ 15,131
14. Intel 13,904
15. Samsung 12,160
16. Siemens 11,998
17. Nokia 10,735
18. Sony* 9,511
19. Infosys 8,172
20. Canon 7,588
สำหรับเกณฑ์การประเมินมูลค่าของแบรนด์ออกมาเป็นจำนวนเงินนั้น brandz.com วัดจากข้อมูลทางด้านการเงินของบริษัท กลุ่มลูกค้าของแบรนด์นั้นๆ พฤติกรรมการบริโภค และแนวโน้มการเจริญเติบโตของแบรนด์ ตามสูตรนี้ครับ มูลค่าของแบรนด์ = ($)รายได้รวมทั้งหมดของบริษัท รวมถึงรายได้ของแบรนด์อื่นในเครือบริษัทเดียวกัน x (%) พฤติกรรมความผูกมัดระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ x แนวโน้มและกำลังในการเจริญเติบโตของแบรนด์
สำหรับในปีนี้ไม่ต้องบอกนะครับว่า Trend การบริโภค พฤติกรรมของผู้ซื้อชอบจับจ่าย และบริโภคสินค้าอะไรมากที่สุด!
อย่างไรก็ตามท่านที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลด: หรือดู e-Report ได้ที่ http://brandz.ogilvyeditions.com/top100/2011/
25 พ.ค. 2554
4 นิสัยแย่ๆ ของคนไทยที่เหล่าคนใช้รถ ต้องปรับปรุง
1.*เปิดไฟฉุกเฉิน แต่ไม่ได้มีเหตุฉุกเฉิน* ไฟฉุกเฉิน
หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ไฟผ่าหมาก" นั้น
เป็นไฟที่จะทำให้ไฟเลี้ยวกระพริบ 2 ด้าน ความหมายจริงๆ คือ
ให้รถหลังแซงเราขึ้นไป ผิดกับไฟเลี้ยว ที่จะเป็นการขอทาง
คนไทยไม่น้อยใช้ไฟฉุกเฉิน กรณีที่เราต้องผ่าน 4 แยก
ในยามที่ข้างหน้าเราไม่มีรถนั่น โดยเฉพาะตอนกลางคืน จะต้องเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อ
ให้รถที่รออยู่รู้ว่าเราจะตรงไป เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผิดมหันต์
เนื่องจากไฟฉุกเฉิน ความจริงแล้วคุณจะได้ใช้ใน 2 กรณี คือ
1.1. เมื่อรถเสีย- ขัด ข้องหรือ มีปัญหา ไม่ว่าจะจอดตายกลางถนน หรือข้างทาง
ไฟฉุกเฉิน จะช่วยแสดงตำแหน่งรถที่ตามมารู้ได้
1.2. เมื่อจะเข้าที่จอดรถ การเปิดไฟฉุกเฉินในกรณีนี้ จริงๆไม่ถูกและไม่ผิด
แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมากกว่า
เพื่อให้รถที่ตามมารู้ว่าเรากำลังรอรถที่กำลังจะออกจากช่องจอดรถ
2.*ใช้ไฟเลี้ยว**ไม่ถูกต้อง* *และไม่เปิดไฟเลี้ยว* กรณีนี้เป็นกรณีใหม่
ที่เริ่มมีหลายคนพูดถึงและเราไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนสอนคนพวกนี้ในการขับรถ
พบมากในกลุ่มรถแท็กซี่ และรถรับจ้างอื่นๆ ตามปกติของการใช้ไฟเลี้ยว
คือคุณเปิดในทางที่คุณจะไป ยกตัวอย่างเลี้ยวซ้าย <-- ,เลี้ยวขวา -->
ซึ่งจะทำให้รถที่ตามมาด้านข้าง และด้านหลัง รู้ทิศทางที่คุณจะไป และตามกฎจราจร
คุณต้องเปิดไฟเลี้ยวในระยะ 100 เมตร ก็ถึงจุดเปลี่ยนเส้นทาง
แต่ในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับสังคมใช้ถนนบ้านเรา คือ
เปิดไฟเลี้ยวตรงข้ามกับทิศทางที่จะไป
ซึ่งล่าสุดเราเจอเลี้ยวซ้ายเปิดไฟเลี้ยวขวา จนจ๊ะเอ๋เกือบเกิดอุบัติเหตุ
ซึ่งคนขับรถที่ทำพฤติกรรมเช่นนี้ให้เหตุผลว่า รถที่มาทางด้านข้าง (ในกรณี 3
แยก) จะได้เห็นว่าเขาจะออกและทำให้ง่าย ซึ่งความมักง่ายนี่เอง
เกือบทำให้เราลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นแล้ว
การใช้ไฟเลี้ยวที่ถูกต้องคุณควรให้สัญญาณทางที่คุณไป
เพื่อไม่ให้รถที่ตามมาทางด้านหลังสับสน ในกรณี 3 แยกก็ทำแบบเดียวกัน
แต่คุณต้องคอยมองกะระยะรถที่ใช้ทาง และออกรถเมื่อเห็นว่าปลอดภัย
ไม่ใช่หวังว่าทุกคันจะยอมให้คุณไปได้เสมอ
อีกกรณีที่เราอยากจะฝากไว้เพิ่มเติมคือ
*ไม่เปิดไฟเลี้ยว*ไม่ว่าจะเลี้ยวเข้าซอย หรือไปยังเส้นทางอื่น
การเปิดไฟเลี้ยว
ล่วงหน้าช่วยให้ผู้ขับคนอื่น
รับทราบเส้นทางของเราและทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น
การที่คุณไม่เปิดไฟเลี้ยวกรณีเกิดการชนขึ้น อาจโดนข้อฐานขับขี่โดยประมาท
ซึ่งทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ หากเกิดอุบัติเหตุ
3.* **ขับรถช้าแต่ชิดขวา*เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แก้ไม่หายสักทีสำหรับคนไทยที่ใช้รถใช้ถนน
โดยเฉพาะ
เขตต่างจังหวัด หรือเส้นทางระหว่างเมือง ทางด่วน หรือ ถนนที่มีหลายช่องทาง
ซึ่งเราจะพบว่า เมื่อรัฐบาลประกาศขับ 90 ช่วยชาติประหยัดน้ำมันนั้น
คนไทยก็พร้อมกันช่วยชาติ แช่เลนขวานับเลขต่อม่อสะพานกันเพลินๆ
กรณีขับช้าชิดขวานั้นถือว่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ใน*
ข้อหากีดขวางการจราจร* ถ้าเจ้าหน้าที่พบเห็นสามารถจับคุณได้ในข้อหาดังกล่าว
ซึ่งมีคนจำนวนมากไม่ทราบและทำกันเป็นประจำ
ซึ่งเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุบ่อยครั้ง การขับช้าชิดขวานั้นเป็นเรื่องที่ผิด
เพราะตามหลักแล้วหากคุณไม่ประสงค์จะใช้ความเร็วมากนักในการเดินทาง
ตามกฎว่าให้ใช้ช่องทางซ้ายมือ ซึ่งแน่นอนว่าจะไปเจอกับรถบรรทุก
ทำให้หลายคนเลี่ยงที่จะมาใช้เลนขวา พฤติกรรมเยี่ยงนี้ควรปรับเปลี่ยน
เพราะถ้าคุณไม่รีบใช้เลนซ้ายเมื่อจำเป็นต้องแซงก็ค่อยออกเลนกลางหรือเลขขวา
ด้วยไฟขอทางมาจะดีกว่า การแช่ขวาทำให้การจราจรเกิดความไม่คล่องตัว
และท้ายที่สุดอาจลงเอยด้วยอุบัติเหตุ หรือตำรวจจับได้
4. *ไฟตัดหมอก**ใช้ให้เป็น* เรื่องนี้เราเคยพูดถึงไปแล้ว
แต่ก็จะมาย้ำเตือนกันอีกรอบ ว่าไฟตัดหมอกควร*
จะเปิดใช้เวลาที่ทัศนวิสัยไม่ดีเท่านั้น* นอกนั้นไม่ควรจะนำมาใช้งาน
เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากลำแสงไฟนั้นมีลักษณะเป็นสปอร์ตไลท์ เมื่อมันส่อง
แม้จะมีระยะสูงจากพื้นไม่มาก แต่การกระจายแสงที่ดีเลิศ
ทำให้มันอาจจะแยงตาสำหรับใครหลายๆ ซึ่งเราแนะนำว่าไม่ควรเปิดใช้
โดยเฉพาะในเขตเมือง
คิดว่าบทความเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้รถเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามนิสัยหรือวัฒนธรรมบางอย่างที่เราปฏิบัติกันมาไม่อาจเปลี่ยนแปลง
ได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น ทางที่ดีผู้ใช้รถทุกๆ คนต้องช่วยกันปรับ เปลี่ยน
พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดี แล้วท้องถนนบ้านเราก็จะน่าใช้ขึ้นอีกเยอะนะครับ ช่วยๆ
กันครับ
หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "ไฟผ่าหมาก" นั้น
เป็นไฟที่จะทำให้ไฟเลี้ยวกระพริบ 2 ด้าน ความหมายจริงๆ คือ
ให้รถหลังแซงเราขึ้นไป ผิดกับไฟเลี้ยว ที่จะเป็นการขอทาง
คนไทยไม่น้อยใช้ไฟฉุกเฉิน กรณีที่เราต้องผ่าน 4 แยก
ในยามที่ข้างหน้าเราไม่มีรถนั่น โดยเฉพาะตอนกลางคืน จะต้องเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อ
ให้รถที่รออยู่รู้ว่าเราจะตรงไป เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผิดมหันต์
เนื่องจากไฟฉุกเฉิน ความจริงแล้วคุณจะได้ใช้ใน 2 กรณี คือ
1.1. เมื่อรถเสีย- ขัด ข้องหรือ มีปัญหา ไม่ว่าจะจอดตายกลางถนน หรือข้างทาง
ไฟฉุกเฉิน จะช่วยแสดงตำแหน่งรถที่ตามมารู้ได้
1.2. เมื่อจะเข้าที่จอดรถ การเปิดไฟฉุกเฉินในกรณีนี้ จริงๆไม่ถูกและไม่ผิด
แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมากกว่า
เพื่อให้รถที่ตามมารู้ว่าเรากำลังรอรถที่กำลังจะออกจากช่องจอดรถ
2.*ใช้ไฟเลี้ยว**ไม่ถูกต้อง* *และไม่เปิดไฟเลี้ยว* กรณีนี้เป็นกรณีใหม่
ที่เริ่มมีหลายคนพูดถึงและเราไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนสอนคนพวกนี้ในการขับรถ
พบมากในกลุ่มรถแท็กซี่ และรถรับจ้างอื่นๆ ตามปกติของการใช้ไฟเลี้ยว
คือคุณเปิดในทางที่คุณจะไป ยกตัวอย่างเลี้ยวซ้าย <-- ,เลี้ยวขวา -->
ซึ่งจะทำให้รถที่ตามมาด้านข้าง และด้านหลัง รู้ทิศทางที่คุณจะไป และตามกฎจราจร
คุณต้องเปิดไฟเลี้ยวในระยะ 100 เมตร ก็ถึงจุดเปลี่ยนเส้นทาง
แต่ในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับสังคมใช้ถนนบ้านเรา คือ
เปิดไฟเลี้ยวตรงข้ามกับทิศทางที่จะไป
ซึ่งล่าสุดเราเจอเลี้ยวซ้ายเปิดไฟเลี้ยวขวา จนจ๊ะเอ๋เกือบเกิดอุบัติเหตุ
ซึ่งคนขับรถที่ทำพฤติกรรมเช่นนี้ให้เหตุผลว่า รถที่มาทางด้านข้าง (ในกรณี 3
แยก) จะได้เห็นว่าเขาจะออกและทำให้ง่าย ซึ่งความมักง่ายนี่เอง
เกือบทำให้เราลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นแล้ว
การใช้ไฟเลี้ยวที่ถูกต้องคุณควรให้สัญญาณทางที่คุณไป
เพื่อไม่ให้รถที่ตามมาทางด้านหลังสับสน ในกรณี 3 แยกก็ทำแบบเดียวกัน
แต่คุณต้องคอยมองกะระยะรถที่ใช้ทาง และออกรถเมื่อเห็นว่าปลอดภัย
ไม่ใช่หวังว่าทุกคันจะยอมให้คุณไปได้เสมอ
อีกกรณีที่เราอยากจะฝากไว้เพิ่มเติมคือ
*ไม่เปิดไฟเลี้ยว*ไม่ว่าจะเลี้ยวเข้าซอย หรือไปยังเส้นทางอื่น
การเปิดไฟเลี้ยว
ล่วงหน้าช่วยให้ผู้ขับคนอื่น
รับทราบเส้นทางของเราและทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น
การที่คุณไม่เปิดไฟเลี้ยวกรณีเกิดการชนขึ้น อาจโดนข้อฐานขับขี่โดยประมาท
ซึ่งทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ หากเกิดอุบัติเหตุ
3.* **ขับรถช้าแต่ชิดขวา*เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แก้ไม่หายสักทีสำหรับคนไทยที่ใช้รถใช้ถนน
โดยเฉพาะ
เขตต่างจังหวัด หรือเส้นทางระหว่างเมือง ทางด่วน หรือ ถนนที่มีหลายช่องทาง
ซึ่งเราจะพบว่า เมื่อรัฐบาลประกาศขับ 90 ช่วยชาติประหยัดน้ำมันนั้น
คนไทยก็พร้อมกันช่วยชาติ แช่เลนขวานับเลขต่อม่อสะพานกันเพลินๆ
กรณีขับช้าชิดขวานั้นถือว่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ใน*
ข้อหากีดขวางการจราจร* ถ้าเจ้าหน้าที่พบเห็นสามารถจับคุณได้ในข้อหาดังกล่าว
ซึ่งมีคนจำนวนมากไม่ทราบและทำกันเป็นประจำ
ซึ่งเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุบ่อยครั้ง การขับช้าชิดขวานั้นเป็นเรื่องที่ผิด
เพราะตามหลักแล้วหากคุณไม่ประสงค์จะใช้ความเร็วมากนักในการเดินทาง
ตามกฎว่าให้ใช้ช่องทางซ้ายมือ ซึ่งแน่นอนว่าจะไปเจอกับรถบรรทุก
ทำให้หลายคนเลี่ยงที่จะมาใช้เลนขวา พฤติกรรมเยี่ยงนี้ควรปรับเปลี่ยน
เพราะถ้าคุณไม่รีบใช้เลนซ้ายเมื่อจำเป็นต้องแซงก็ค่อยออกเลนกลางหรือเลขขวา
ด้วยไฟขอทางมาจะดีกว่า การแช่ขวาทำให้การจราจรเกิดความไม่คล่องตัว
และท้ายที่สุดอาจลงเอยด้วยอุบัติเหตุ หรือตำรวจจับได้
4. *ไฟตัดหมอก**ใช้ให้เป็น* เรื่องนี้เราเคยพูดถึงไปแล้ว
แต่ก็จะมาย้ำเตือนกันอีกรอบ ว่าไฟตัดหมอกควร*
จะเปิดใช้เวลาที่ทัศนวิสัยไม่ดีเท่านั้น* นอกนั้นไม่ควรจะนำมาใช้งาน
เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากลำแสงไฟนั้นมีลักษณะเป็นสปอร์ตไลท์ เมื่อมันส่อง
แม้จะมีระยะสูงจากพื้นไม่มาก แต่การกระจายแสงที่ดีเลิศ
ทำให้มันอาจจะแยงตาสำหรับใครหลายๆ ซึ่งเราแนะนำว่าไม่ควรเปิดใช้
โดยเฉพาะในเขตเมือง
คิดว่าบทความเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้รถเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามนิสัยหรือวัฒนธรรมบางอย่างที่เราปฏิบัติกันมาไม่อาจเปลี่ยนแปลง
ได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น ทางที่ดีผู้ใช้รถทุกๆ คนต้องช่วยกันปรับ เปลี่ยน
พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดี แล้วท้องถนนบ้านเราก็จะน่าใช้ขึ้นอีกเยอะนะครับ ช่วยๆ
กันครับ
22 พ.ค. 2554
ฟิต"แบตเตอรี่"เดือนละครั้ง ฟื้น"พลัง"ให้โน้ตบุ๊คตัวเก่งของคุณได้
เมื่อโน้ตบุ๊ค (notebook) ตัวเก่ง (หรือตัวเก่า) ของคุณ เริ่มทำงานช้าลง ซึ่งคุณผู้อ่านอาจจะสังเกตได้จากการโหลดหน้าเว็บที่ช้าลง รอวิดีโอตั้งนานกว่าจะเริ่มเล่น ตลอดจนความเชื่องช้าของการทำงานส่วนอื่นๆ ทั่วไปจนคุณรู้สึกได้ น่าเสียดายที่ผู้ใช้โน้ตบุ๊คหลายรายในแต่ละปี เลือกใช้วิธีเปลียนแบตเตอรี่ โดยไม่เคยได้ทำให้แบตเตอรี่ฟิตปั๋งเหมือนวันแรกๆ เลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่ความจริง มันเป็นกิจกรรมที่ควรทำทุกเดือน โดยเฉพาะหากต้องการให้โน้ตบุ๊คทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดูครับ
-ชาร์จแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คจนเต็ม 100%
-เมื่อแบตฯเต็มแล้วถอดปลั๊ก จากนั้นใช้งานเครื่องจนแบตเตอรี่เกือบจะหมด จัดเก็บงานเอกสารที่แก้ไข ปิดบราวเซอร์เว็บ และโปรแกรมต่างๆ ให้หมด แล้วปล่อยให้โน้ตบุ๊คชัตดาวน์ไปเอง (Hibernate Mode) แบตฯจะเหลือประมาณ 5% - 10%
-ทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นเวลา 5 - 6 ชั่วโมง หรือหนึ่งคืน ซึ่งแบตฯจะมีการคายประจุไฟฟ้าจนเกือบจะสมบูรณ์ เพื่อการชาร์จแบตฯครั้งต่อไปจะได้เหมือนกับเป็นการชาร์จครั้งแรกๆ
-จากนั้นเปิดเครื่องแล้วชาร์จแบตฯจนเต็ม 100% แล้วค่อยนำไปใช้
-ทำขั้นตอนทั้งหมดนี้ เดือนละครั้ง หรือทุกๆ การชาร์จแบตฯ 30 ครั้ง
การดูแลแบตเตอรี่ หรือ Calibration เป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะละเลย การฟิตแบตฯด้วยขั้นตอนข้างต้นทุกเดือน มันก็น่าจะทำให้ได้ผลลัพธ์ของประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดอยู่เสมอ หากคุณทำเป็นปกติ คุณจะสังเกตเห็นว่า แบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คใช้งานได้นานขึ้น แถมยังช่วยยืดอายุใช้งานแบตฯ ไม่ต้องเปลี่ยนอันใหม่ในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม: แบตเตอรี่ Lithium-ion จะไม่ต้องการให้มีการ"ดิสชาร์จ"จนหมด โดยเฉพาะการใช้งานจนแบตฯเหลือต่ำกว่า 10% ทุกครั้งแล้วค่อยชาร์จ ซึ่งอาจทำให้แบตฯเสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควร แต่สำหรับการทำ Calibration ที่แนะนำข้างต้น จะทำแค่ครั้งเดียวต่อเดือน (หรือทุกๆ 30 ครั้งของการชาร์จแบตฯ) สำหรับการใชั้งานทั่วไป เมื่อแบตเตอรี่เหลือไฟประมาณ 30% - 40% ก็ควรชาร์จได้แล้ว นอกจากนี้ ความร้อนของโน้ตบุ๊ค หรือแหล่งความร้อนภายนอก อย่างเช่น ทิ้งโน้ตบุ๊คไว้กลางแดด ก็ส่งผลต่อแบตฯเสื่อมเร็วขึ้นได้อีกด้วย หากคุณผู้อ่านไม่ต้องการทำ Calibration ให้หลีกเลี่ยงการเสียบปลั๊กโน้ตบุ๊คนานเกินกว่า 8 ชั่วโมง เนื่องจากคุณสมบัติของแบตฯ Lithium-ion จะใช้ได้นาน เมื่อมีการชาร์จ และดิสชาร์จตามความเหมาะสม หากต้องทิ้งโน้ตบุ๊คไว้โดยไม่ใช้นานเกินกว่า 1 สัปดาห์ ควรมั่นใจว่า มีแบตเตอรี่เหลืออยู่อย่างน้อย 40%
โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.th
-ชาร์จแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คจนเต็ม 100%
-เมื่อแบตฯเต็มแล้วถอดปลั๊ก จากนั้นใช้งานเครื่องจนแบตเตอรี่เกือบจะหมด จัดเก็บงานเอกสารที่แก้ไข ปิดบราวเซอร์เว็บ และโปรแกรมต่างๆ ให้หมด แล้วปล่อยให้โน้ตบุ๊คชัตดาวน์ไปเอง (Hibernate Mode) แบตฯจะเหลือประมาณ 5% - 10%
-ทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นเวลา 5 - 6 ชั่วโมง หรือหนึ่งคืน ซึ่งแบตฯจะมีการคายประจุไฟฟ้าจนเกือบจะสมบูรณ์ เพื่อการชาร์จแบตฯครั้งต่อไปจะได้เหมือนกับเป็นการชาร์จครั้งแรกๆ
-จากนั้นเปิดเครื่องแล้วชาร์จแบตฯจนเต็ม 100% แล้วค่อยนำไปใช้
-ทำขั้นตอนทั้งหมดนี้ เดือนละครั้ง หรือทุกๆ การชาร์จแบตฯ 30 ครั้ง
การดูแลแบตเตอรี่ หรือ Calibration เป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะละเลย การฟิตแบตฯด้วยขั้นตอนข้างต้นทุกเดือน มันก็น่าจะทำให้ได้ผลลัพธ์ของประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดอยู่เสมอ หากคุณทำเป็นปกติ คุณจะสังเกตเห็นว่า แบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คใช้งานได้นานขึ้น แถมยังช่วยยืดอายุใช้งานแบตฯ ไม่ต้องเปลี่ยนอันใหม่ในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม: แบตเตอรี่ Lithium-ion จะไม่ต้องการให้มีการ"ดิสชาร์จ"จนหมด โดยเฉพาะการใช้งานจนแบตฯเหลือต่ำกว่า 10% ทุกครั้งแล้วค่อยชาร์จ ซึ่งอาจทำให้แบตฯเสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควร แต่สำหรับการทำ Calibration ที่แนะนำข้างต้น จะทำแค่ครั้งเดียวต่อเดือน (หรือทุกๆ 30 ครั้งของการชาร์จแบตฯ) สำหรับการใชั้งานทั่วไป เมื่อแบตเตอรี่เหลือไฟประมาณ 30% - 40% ก็ควรชาร์จได้แล้ว นอกจากนี้ ความร้อนของโน้ตบุ๊ค หรือแหล่งความร้อนภายนอก อย่างเช่น ทิ้งโน้ตบุ๊คไว้กลางแดด ก็ส่งผลต่อแบตฯเสื่อมเร็วขึ้นได้อีกด้วย หากคุณผู้อ่านไม่ต้องการทำ Calibration ให้หลีกเลี่ยงการเสียบปลั๊กโน้ตบุ๊คนานเกินกว่า 8 ชั่วโมง เนื่องจากคุณสมบัติของแบตฯ Lithium-ion จะใช้ได้นาน เมื่อมีการชาร์จ และดิสชาร์จตามความเหมาะสม หากต้องทิ้งโน้ตบุ๊คไว้โดยไม่ใช้นานเกินกว่า 1 สัปดาห์ ควรมั่นใจว่า มีแบตเตอรี่เหลืออยู่อย่างน้อย 40%
โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.th
ฮาร์ดดิสก์ไร้สายสำหรับมือถือ+แท็บเล็ต
คุณผู้อ่านเคยอยากให้ iPhone หรือ iPad ทีใช้สามารถจัดการกับข้อมูลได้มากกว่าทีเป็นอยู่ หรือเปล่าครับ? หลายคนอาจเลือกวิธีใช้บริการสตอเรจคลาวด์ โดยยอมเสียค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่มันก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง นั่นก็คือ การซิงค์ฮาร์ดดิสก์พกพาไร้สายกับอุปกรณ์โมบายของคุณ
Seagate GoFlex Satellite ฮาร์ดดิสก์พกพาไร้สายที่เป็นคำตอบข้างต้นให้กับคุณได้ โดยมันจะเป็นฮาร์ดดิสก์พกพารุ่นแรกของทางบริษัทที่เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ผู้ใช้ต้องการ สำหรับคุณสมบัติของ GoFlex Satellite จะมีความจุ 500GB และเข้ากันได้กับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สาย 802.11 b/g/n ภายในมีแบตเตอรี่ที่สามารถสตรีมวิดีโอที่มีความยาวนานถึง 5 ชั่วโมงได้ แถมยังสามารถรองรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อเข้ามาได้พร้อมกันถึง 3 ชิ้น
Seagate GoFlex Satellite มาพร้อมกับแอพฯ iOS ฟรี เพื่อให้ผู้ใช้ iPhone และ iPad สะดวกในการใช้งาน ในขณะที่ผู้ใช้อุปกรณ์โมบายสายพันธุ์ Android จะต้องเข้าถึงคอนเท็นต์ต่างๆ ใน GoFlex Satellite ผ่านทางบราวเซอร์ สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ Seagate.com, Amazon.com และ BestBuy.com โดยสนนราคาอยู่ที่ 199.99 เหรียญฯ (ประมาณ 6,000 บาท) กำหนดการวางตลาดจะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม ศกนี้
โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.th
Seagate GoFlex Satellite ฮาร์ดดิสก์พกพาไร้สายที่เป็นคำตอบข้างต้นให้กับคุณได้ โดยมันจะเป็นฮาร์ดดิสก์พกพารุ่นแรกของทางบริษัทที่เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ผู้ใช้ต้องการ สำหรับคุณสมบัติของ GoFlex Satellite จะมีความจุ 500GB และเข้ากันได้กับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สาย 802.11 b/g/n ภายในมีแบตเตอรี่ที่สามารถสตรีมวิดีโอที่มีความยาวนานถึง 5 ชั่วโมงได้ แถมยังสามารถรองรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อเข้ามาได้พร้อมกันถึง 3 ชิ้น
Seagate GoFlex Satellite มาพร้อมกับแอพฯ iOS ฟรี เพื่อให้ผู้ใช้ iPhone และ iPad สะดวกในการใช้งาน ในขณะที่ผู้ใช้อุปกรณ์โมบายสายพันธุ์ Android จะต้องเข้าถึงคอนเท็นต์ต่างๆ ใน GoFlex Satellite ผ่านทางบราวเซอร์ สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ Seagate.com, Amazon.com และ BestBuy.com โดยสนนราคาอยู่ที่ 199.99 เหรียญฯ (ประมาณ 6,000 บาท) กำหนดการวางตลาดจะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม ศกนี้
โดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ ARiP.co.th
ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสม
เรื่องน่ารู้***สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสม
สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสม
เคยไหม๊ ที่ผิวหนังเป็นผดผื่น คัน ลอกเป็นขุยอย่างไม่มีสาเหตุ ...
อาการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่ค่ะ...
วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10
ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมาฝากกัน
1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว
อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม
หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ
ไม่ควร ทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด
เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้
2. ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย
เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ
หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก
ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ
ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก
และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน
3. ท้องผูก
เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย
เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย
4. ผายลมบ่อย (ตด...เหม็น)
แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป
หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่ว
หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกาย
ของคุณจะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่าย
ตามปกติ วิธีแก้ปัญหา คือค่อย ๆเพิ่มสารอาหารพวก
ไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม
อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น
ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม
5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ
อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป
กรดไขมันประเภทโอเมก้า - 3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น
ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ
6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก
ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ
อาจเป็นไปได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C
ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการศึกษาพบว่า
วิตามิน
C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D.,
ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston
แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ
1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C
มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ
ด้าน
7. หัวใจเต้นผิดปกติ
หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน
คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ
คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด
เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ
ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3
แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม
ให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง
และผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ
8. ปวดเหงือก
ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก
แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์
ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย
ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุกวัน
9. กระดูกแตก
ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่
อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ
อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม
ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ
ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส
ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น
อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต
นมและเนยแข็ง ( ไขมันต่ำได้ก็ดี)
10. ขี้ลืม
อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research
Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B
folate สูงในเลือด
จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่
และยังช่วยควบคุม
homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย
ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง
ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน
B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B 12
เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล
หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด... แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร
สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสม
เคยไหม๊ ที่ผิวหนังเป็นผดผื่น คัน ลอกเป็นขุยอย่างไม่มีสาเหตุ ...
อาการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่ค่ะ...
วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10
ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมาฝากกัน
1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว
อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม
หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ
ไม่ควร ทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด
เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้
2. ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย
เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ
หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก
ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ
ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก
และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน
3. ท้องผูก
เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย
เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย
4. ผายลมบ่อย (ตด...เหม็น)
แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป
หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่ว
หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกาย
ของคุณจะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่าย
ตามปกติ วิธีแก้ปัญหา คือค่อย ๆเพิ่มสารอาหารพวก
ไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม
อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น
ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม
5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ
อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป
กรดไขมันประเภทโอเมก้า - 3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น
ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ
6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก
ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ
อาจเป็นไปได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C
ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการศึกษาพบว่า
วิตามิน
C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D.,
ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston
แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ
1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C
มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ
ด้าน
7. หัวใจเต้นผิดปกติ
หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน
คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ
คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด
เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ
ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3
แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม
ให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง
และผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ
8. ปวดเหงือก
ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก
แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์
ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย
ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุกวัน
9. กระดูกแตก
ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่
อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ
อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม
ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ
ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส
ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น
อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต
นมและเนยแข็ง ( ไขมันต่ำได้ก็ดี)
10. ขี้ลืม
อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research
Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B
folate สูงในเลือด
จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่
และยังช่วยควบคุม
homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย
ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง
ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน
B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B 12
เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล
หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด... แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร
21 พ.ค. 2554
เกาะพยาม ระนอง มัลดีฟเมืองไทย
เกาะพยาม ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะพยาม ห่างจากปากน้ำระนองประมาณ 33 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือ 1-2 ชั่วโมง เกาะพยามเป็นแหล่งปลูกมะม่วงหิมพานต์ หรือกาหยู ที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัด บนเกาะมีพื้นที่ประมาณ 35 ตารางกิโลเมตร มีป่าที่สมบูรณ์เป็นที่อยู่อาศัยของนกเงือกที่พบเห็นได้ง่าย
มีชายหาดที่สวยงามขาวสะอาดหลายแห่ง ได้แก่ อ่าวใหญ่ และอ่าวเขาควาย ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ และเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทหลายแห่ง ส่วนอ่าวแม่ม่ายซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นท่าเทียบเรือ มีร้านค้าต่าง ๆและเกสท์เฮ้าส์มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่าและมีเรือเช่าเที่ยวรอบเกาะ ไปดำน้ำเกาะขามซึ่งอยุ่ใกล้กัน
การเดินทาง จากท่าเรือไปเกาะพยาม ตำบลปากน้ำ ใกล้กับสะพานปลา มีบริการเรือโดยสารขนาด 60 คน ไปยังเกาะพยามวันละ 2 เที่ยว
-เที่ยวเช้าเวลาประมาณ 9.00 น.
-เที่ยวบ่ายเรือออกเวลา 14.00 น. ค่าเรือโดยสารคนละ 150 บาท
-เที่ยวกลับเรือออกจากท่าเรืออ่าวแม่ม่ายบนเกาะพยามเวลา 9.30 น.และ 14.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
-นอกจากนี้ยังมีเรือเร็วบริการใช้เวลาประมาณ 40 นาทีค่าโดยสารคนละ 400 บาท จากระนองเรือออกเวลา 10.00 และ 14.00 น. ขากลับจากเกาะพยาม เรือออกเวลา 9.00 และ13.00 น. หรือติดต่อกับรีสอร์ทบนเกาะพยาม
ส่วนการคมนาคมบนเกาะมีเพียงเส้นทางสำหรับมอร์เตอร์ไซค์เท่านั้น นอกจากนี้ ในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะพยามยังมีเกาะอีกหลายแห่ง ซึ่งเป็นแหล่งตกปลา เช่น เกาะสินไห เกาะช้าง นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อเช่าเหมาเรือจากปากน้ำระนอง ท่าเรือสะพานปลาได้เช่นเดียวกัน
อาหารเสริมกับชีวิตปัจจุบัน
วิถีชีวิตอันเคร่งเครียดท่ามกลางมลภาวะของคนกรุงเทพฯ เป็นแรงผลักดันให้อาหารเสริม เข้ามามีบทบาทต่อผู้ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ
อาหารเสริมจำเป็นหรือไม่
อาหารเสริมจำเป็นแค่ไหนมีวิธีการเลือกซื้อเลือกกินอย่างไร แพทย์ส่วนใหญ่ถือว่า การรับประทานอาหารได้ครบถ้วนอาหารเสริมไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร แต่แพทย์บางท่านเห็นความจำเป็นเพราะวิถีชีวิตของคนเราในปัจจุบันต่างจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ หากผู้ที่มีรายได้เพียงวันละ 100 บาท ต้องมาเสียเงินซื้ออาหารเสริมวันละ 10 บาท ไม่เหมาะสมแน่ เพียงรับประทานผัก-ปลา ก็ได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว แต่ผู้ที่มีกิจวัตรประจำวันค่อนข้างเร่งรีบและเครียด รับประทานอาหารไม่ครบทุกหมู่ ทุกมื้อและมีเงินทองเหลือเฟือ การซื้ออาหารเสริมขวดละไม่แพงนัก เมื่อเทียบกับไวน์ขวดละเป็นแสนบาทรับประทานคงเป็นประโยชน์ที่คุ้มค่าทีเดียว
อาหารเสริมเพื่ออะไร
อาหารเสริมมีส่วนช่วยป้องกันโรคบางอย่างได้ ส่วนวัตถุประสงค์หลักของคนไทยที่หันมาสนใจอาหารเสริม คือ เพื่อการลดน้ำหนัก ซึ่งมักเป็นผู้หญิง นอกจากนี้คนไทยนิยมอาหารเสริมในกลุ่มวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินรวม วิตามินอีและซี สำหรับผู้ชายรับประทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงสมอง และบำรุงกำลัง เช่น โสม บิโลบ้า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ไปรับประทานอาหารเสริมเพื่อคลายเครียด ได้แก่กลุ่มวิตามินบี ซึ่งยังไม่มีรายงานทางการแพทย์สนับสนุนว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด
เลือกบริโภคอย่างไร
หลักการเลือกอาหารเสริมอย่างง่าย ๆ คือความต้องการของแต่ละคนผู้ที่รู้สึกเคร่งเครียด ควรเสริมด้วยวิตามินรวม ถ้าเป็นผู้หญิงควรรับประทานวิตามินรวมที่มีเหล็กด้วย นอกจากนี้วิตามินกลุ่ม "แอนตีออกซิแตนท์" ซึ่งได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบตาแคโรทีน ซึ่งมีรายงานการแพทย์ว่าสารอาหารกลุ่มนี้ช่วยลดการเสื่อมสภาพของร่างกาย ส่วนผู้หญิงอายุตั้งแต่ 35-40 ปีขึ้นไป ควรเลือกกลุ่มเสริมแคลเซียม เนื่องจากกระดูก เริ่มบาง ตั้งแต่วัยนี้แล้ว ไม่ได้เริ่มในวัยหมดประจำเดือนอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน
นอกจากนี้ไม่จำเป็นว่าต้องรับประทานสูตรเดียวตลอดทุกวัน เช่น บางวันรู้สึกใกล้เป็นหวัด อาจรับประทานวิตามินซีมากกว่าปกติ เป็นต้น
มีอันตรายหรือไม่หากรับประทานมากเกินไป
วิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น บีและซี หากรับประทานมากเกินไปจะถูกขับถ่ายออกทาง ปัสสาวะ ส่วนวิตามินที่ละลายในไขมัน อาจสะสมในร่างกายได้ จึงเกิดอันตรายได้ จึงควรบริโภคในขนาดที่แนะนำเพื่อความปลอดภัย แร่ธาตุอื่น ๆ ก็เช่นกัน เช่น แคลเซียมระดับที่ปลอดภัย คือ 800-1,000 มก./วัน
โปรตีนเม็ดทำให้อ้วนหรือไม่
คำตอบคือ ไม่ เนื่องจากเม็ดโปรตีนที่มีในทั่วไป เป็นโมเลกุลย่อยที่เรียกว่า "กรดอะมิโน" ในเม็ดหนึ่งมีไม่กี่มิลลิกรัม น้อยกว่ากินสเต็ก 1 ชิ้นเสียอีก โปรตีนเม็ดเหมาะกับผู้ป่วย พักฟื้น หรือผู้สูงอายุ ซึ่งระบบการย่อยทำงานไม่ปกติ ย่อยเนื้อสัตว์ยาก แต่ว่าร่างกาย ยังต้องการ โปรตีน อาหารเสริมจึงมีบทบาทสำคัญ โปรตีนเม็ดแต่ละชนิดประกอบด้วยกรดอะมิโนต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ซึ่งประโยชน์ก็ต่างกัน ออกไป ควรต้องเลือกตามจุดประสงค์ โดยปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เช่นอาหารเสริมบำรุงผิวตัวใหม่ (อิมิดีน) มีกรดอะมิโนอิมิดีน ซึ่งสกัดจากปลาทะเล ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษซึ่งไม่ได้จาก ปลาทั่วไปที่เป็นอาหารในชีวิตประจำวัน ทำหน้าที่ฟื้นฟูสภาพผิว
อาหารเสริมก็เหมือนอาหารทั่วไป บางคนอาจแพ้อาหารเสริมบางอย่าง บางทีไม่ใช่แพ้สารอาหารโดยตรง จึงควรระวังหากท่านเคยแพ้อาหารหรือสารบางอย่าง ซึ่งอาการแพ้อาหารเสริมหรือการแพ้อาหารทั่วไป เช่น มีผื่นขึ้นตามตัว มีแผลที่ปาก ปากบวม ฯลฯ ซึ่งจะหายภายใน 2-3 วันเมื่อหยุดรับประทานและใช้ยาแก้แพ้ หรือปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
พญ.ลลิดา สิงหติราช นิตยสารใกล้หมอ
โดยปกติเมื่อเราต้องการส่งไฟล์ไปให้เพื่อทางอีเมล์ เราก็จะทำการแนบไฟล์ไปกับเมล์นั้น แต่การส่งไฟล์ทางอีเมล์นั้นก็สามารถส่งไฟล์ได้ไม่เกิน 10 เมกกะไบต์ หรือบางทีก็กำหนดให้ไม่เกิน 5 เมกกะไบต์ แต่ถ้าไฟล์ของเรามีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะส่งได้ เราก็จะต้องทำการบีบอัดไฟล์เพื่อให้มีขนาดเล็กลงก่อนที่จะแนบไปกับเมล์ แต่บางครั้งหลังจากทำการบีบอัดแล้ว ไฟล์ก็ยังมีขนาดใหญ่เกินไปอีก ดังนั้น เราจึงต้องแบ่งไฟล์นั้นออกเป็นไฟล์ย่อยๆ จากนั้นจึงส่งเมล์โดยแนบไฟล์ไปที่ละหนึ่งไฟล์ต่อเมล์ไปให้เพื่อน เมื่อปลายทางได้รับเมล์จนครบแล้วก็จะสามารถรวมไฟล์นั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
โปรแกรม WinRAR เป็นโปรแกรมหนึ่งที่สามารถทำการบีบอัพไฟล์ และแบ่งเป็นไฟล์ย่อยๆ ได้ในคราวเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถบีบอัดไฟล์ได้เล็กกว่า WinZIP อีกด้วย
การบีบอัดไฟล์ และแยกเป็นไฟล์ย่อย
1. ถ้ามีหลายไฟล์ ให้ทำการไฟล์ที่ต้องการบีบอัดก่อน จากนั้นค่อยคลิกขวาที่ไฟล์ที่เราเลือกเอาไว้ แต่ถ้ามีไฟล์เดียวก็คลิกขวาที่ไฟล์นั้นได้เลย แล้วเลือกที่รายการ "Add to archive..."
2. เราจะได้หน้าต่างใหม่ขึ้นมา โดยโปรแกรมจะทำการตั้งชื่อให้อัตโนมัติ แต่เราก็สามารถพิมพ์ชื่อใหม่ที่เราต้องการเข้าไปได้
3. ตรงจุดนี้ เราสามารถเลือกขนาดไฟล์ที่ต้องการได้ โดยสามารถเลือกจากรายการที่โปรแกรมมีมาให้ หรือพิมพ์ขนาดไฟล์ที่เราต้องการลงไปโดยตรงก็ได้ ถ้าเราพิมพ์ 5M ก็จะเป็นการกำหนดขนาด 5 เมกกะไบต์ จากภาพ เป็นการกำหนดขนาด 5000000 ไบต์ โปรแกรมก็จะทำการบีบอัดไฟล์ และแบ่งออกเป็นไฟล์ย่อยๆ โดยแต่ละไฟล์จะมีขนาดไม่เกิน 5000000 ไบต์ จากก็คลิกที่ปุ่ม OK
4. โปรแกรมกำลังทำการบีบอัดไฟล์อยู่ โดยโปรแกรมจะแสดงเวลาที่ใช้ไปโดยประมาณ (Elapsed time) และต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ (Time left)
5. เมื่อโปรแกรมทำงานเสร็จ เราก็จะได้ไฟล์ที่ทำการบีบอัดแล้วโดยแบ่งออกเป็นไฟล์ย่อยๆ ซึ่งแต่ละไฟล์จะมีขนาดไม่เกินจากที่เรากำหนดไว้
6. เมื่อเราต้องการแตกไฟล์ออกมาเป็นไฟล์เดิมอีกครั้งก็ให้ก๊อปปี้ไฟล์นามสกุล rar ทั้งหมดมาไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน จากนั้นคลิกขวา เลือก "Extract Here"
7. ถ้าเราเลือกที่รายการ "Extract to klcodec425f\" โปรแกรมจะทำการสร้างโฟลเดอร์ชื่อ "klcodec425f" ขึ้นมาก่อน และแตกไฟล์ไปยังโฟลเดอร์นั้น (แนะนำว่าให้ใช้วิธีนี้ดีกว่า)
หมายเหตุ
1.ในกรณีที่แปลงไฟล์กลับเป็นอย่างเดิมโดยเลือกรายการ "Extract Here" แล้วชื่อไฟล์ไปซ้ำกับ ไฟล์เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว จะมีหน้าต่าง Confirm file replace ขึ้นมาถามว่า ต้องการลงทับไฟล์เดิมที่มีอยู่ก่อนหรือไม่ ถ้าเราตอบ Yes ไป ไฟล์เดิมนั้นจะไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้
2.ในข้อ 7 ที่เป็นรายการ "Extract to klcodec425f\" นั้น จะขึ้นอยู่กับว่าไฟล์ที่เราจะแยกนั้นมีชื่อว่าอะไร เช่นถ้าไฟล์ชื่อ windows.part1.rar เมื่อเราคลิกขวาก็จะเห็นเป็น "Extract to windows\" แทน ซึ่งถ้าเราเลือกรายการนี้ โปรแกรมก็จะทำการสร้างโฟลเดอร์ใหม่ชื่อ windows ขึ้นมาก่อนที่จะแตกไฟล์ไปไว้ข้างใน
3.ถ้าโปรแกรมสามารถบีบอัดไฟล์ได้เล็กว่าขนาดที่เรากำหนด เราก็จะได้ไฟล์นามสกุล rar แค่เพียงไฟล์เดียว
4.เมื่อเราได้ไฟล์ย่อยๆ มาแล้วไม่ควรไปเปลี่ยนชื่อไฟล์ เพราะเมื่อแปลงไฟล์กลับ โปรแกรมจะแจ้งว่าไม่พบไฟล์ที่ต้องการ ทำให้ไม่สามารถแปลงไฟล์กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
5.5 เมกกะไบต์ เท่ากับ 5,242,880 ไบต์ หรือเท่ากับ 5120 KB
6.ผู้รับไฟล์จากเราจำเป็นต้องมีโปรแกรม WinRAR จึงจะสามารถแปลงไฟล์กลับได้
โปรแกรม WinRAR เป็นโปรแกรมหนึ่งที่สามารถทำการบีบอัพไฟล์ และแบ่งเป็นไฟล์ย่อยๆ ได้ในคราวเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถบีบอัดไฟล์ได้เล็กกว่า WinZIP อีกด้วย
การบีบอัดไฟล์ และแยกเป็นไฟล์ย่อย
1. ถ้ามีหลายไฟล์ ให้ทำการไฟล์ที่ต้องการบีบอัดก่อน จากนั้นค่อยคลิกขวาที่ไฟล์ที่เราเลือกเอาไว้ แต่ถ้ามีไฟล์เดียวก็คลิกขวาที่ไฟล์นั้นได้เลย แล้วเลือกที่รายการ "Add to archive..."
2. เราจะได้หน้าต่างใหม่ขึ้นมา โดยโปรแกรมจะทำการตั้งชื่อให้อัตโนมัติ แต่เราก็สามารถพิมพ์ชื่อใหม่ที่เราต้องการเข้าไปได้
3. ตรงจุดนี้ เราสามารถเลือกขนาดไฟล์ที่ต้องการได้ โดยสามารถเลือกจากรายการที่โปรแกรมมีมาให้ หรือพิมพ์ขนาดไฟล์ที่เราต้องการลงไปโดยตรงก็ได้ ถ้าเราพิมพ์ 5M ก็จะเป็นการกำหนดขนาด 5 เมกกะไบต์ จากภาพ เป็นการกำหนดขนาด 5000000 ไบต์ โปรแกรมก็จะทำการบีบอัดไฟล์ และแบ่งออกเป็นไฟล์ย่อยๆ โดยแต่ละไฟล์จะมีขนาดไม่เกิน 5000000 ไบต์ จากก็คลิกที่ปุ่ม OK
4. โปรแกรมกำลังทำการบีบอัดไฟล์อยู่ โดยโปรแกรมจะแสดงเวลาที่ใช้ไปโดยประมาณ (Elapsed time) และต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ (Time left)
5. เมื่อโปรแกรมทำงานเสร็จ เราก็จะได้ไฟล์ที่ทำการบีบอัดแล้วโดยแบ่งออกเป็นไฟล์ย่อยๆ ซึ่งแต่ละไฟล์จะมีขนาดไม่เกินจากที่เรากำหนดไว้
6. เมื่อเราต้องการแตกไฟล์ออกมาเป็นไฟล์เดิมอีกครั้งก็ให้ก๊อปปี้ไฟล์นามสกุล rar ทั้งหมดมาไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน จากนั้นคลิกขวา เลือก "Extract Here"
7. ถ้าเราเลือกที่รายการ "Extract to klcodec425f\" โปรแกรมจะทำการสร้างโฟลเดอร์ชื่อ "klcodec425f" ขึ้นมาก่อน และแตกไฟล์ไปยังโฟลเดอร์นั้น (แนะนำว่าให้ใช้วิธีนี้ดีกว่า)
หมายเหตุ
1.ในกรณีที่แปลงไฟล์กลับเป็นอย่างเดิมโดยเลือกรายการ "Extract Here" แล้วชื่อไฟล์ไปซ้ำกับ ไฟล์เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว จะมีหน้าต่าง Confirm file replace ขึ้นมาถามว่า ต้องการลงทับไฟล์เดิมที่มีอยู่ก่อนหรือไม่ ถ้าเราตอบ Yes ไป ไฟล์เดิมนั้นจะไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้
2.ในข้อ 7 ที่เป็นรายการ "Extract to klcodec425f\" นั้น จะขึ้นอยู่กับว่าไฟล์ที่เราจะแยกนั้นมีชื่อว่าอะไร เช่นถ้าไฟล์ชื่อ windows.part1.rar เมื่อเราคลิกขวาก็จะเห็นเป็น "Extract to windows\" แทน ซึ่งถ้าเราเลือกรายการนี้ โปรแกรมก็จะทำการสร้างโฟลเดอร์ใหม่ชื่อ windows ขึ้นมาก่อนที่จะแตกไฟล์ไปไว้ข้างใน
3.ถ้าโปรแกรมสามารถบีบอัดไฟล์ได้เล็กว่าขนาดที่เรากำหนด เราก็จะได้ไฟล์นามสกุล rar แค่เพียงไฟล์เดียว
4.เมื่อเราได้ไฟล์ย่อยๆ มาแล้วไม่ควรไปเปลี่ยนชื่อไฟล์ เพราะเมื่อแปลงไฟล์กลับ โปรแกรมจะแจ้งว่าไม่พบไฟล์ที่ต้องการ ทำให้ไม่สามารถแปลงไฟล์กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
5.5 เมกกะไบต์ เท่ากับ 5,242,880 ไบต์ หรือเท่ากับ 5120 KB
6.ผู้รับไฟล์จากเราจำเป็นต้องมีโปรแกรม WinRAR จึงจะสามารถแปลงไฟล์กลับได้
รู้จัก ‘โฮลเกรน’ กินดีมื้อเช้า
เผยผลวิจัยเรื่องการรับประทานอาหารเช้าของเด็กไทย พบว่า เด็กไทยวัยเรียน ช่วงอายุ 6-14 ปี ร้อยละ 20 ทานอาหารไม่ครบมื้อ และจำนวนดังกล่าว ร้อยละ 60 ไม่ได้ทานอาหารมื้อเช้า เนื่องจาก... “ตื่นนอนเช้าเกินไปจนไม่รู้สึกหิว มีเวลาทำกิจวัตรตอนเช้าไม่มาก ต้องรีบเดินทางไปโรงเรียน บางบ้านคุณแม่มีไม่เวลาเตรียมอาหารเช้าให้ หรือมีไม่ก็มีอาหารพร้อมแต่ไม่น่าทาน” ...อ่านดูตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นกันบ้างไหมคะ?
โดยเฉพาะเด็กๆ ถ้าละเลยอาหารมื้อเช้า ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า ร่างกายจะขาดพลังงาน เนื่องจากต้องอดอาหารเป็นเวลายาวนานหลายชั่วโมง นับตั้งแต่เข้านอนไปจนถึงอาหารมื้อเที่ยง ซึ่ง ‘ทวีทรัพย์ เหลืองนทีเทพ’ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เตือนถึงโทษของการไม่ทานอาหารเช้าว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่หากอดมื้อเช้าซึ่งสำคัญที่สุดนั้น จะไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน สมองเฉื่อยชา สับสน หงุดหงิดง่าย ร่างกายอ่อนเพลีย
ในทางตรงกันข้าม เด็กๆ ที่ทานอาหารเช้าเป็นประจำจะมีสุขภาพแข็งแรง สุขภาพจิตดี ความจำดี มีความสามารถในการคิดและจดจำได้ดี ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านได้สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้ทานอาหารเช้า เข้าสังคมและร่วมกิจกรรมได้อย่างกระตือรือร้น ส่วนประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่ ช่วยลดโคเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมน้ำหนัก เสริมการทำงานระบบขับถ่าย ลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน
อาหารมื้อเช้า นอกจากต้องทานแล้วยังควรเลือกให้เหมาะสม ทั้งนี้ควรเน้นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลเกรน ซีเรียลโฮลเกรน เพราะคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะถูกร่างกายย่อยอย่างช้าๆ ค่อยๆ ปล่อยพลังงานอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จึงอิ่มนานอยู่ท้อง ไม่ต้องทานจุบจิบ
ตัวอย่างอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและง่ายต่อการเตรียมเพื่อทานเป็นมื้อเช้า เข้ากันไลฟ์สไตล์คนเมือง ก็คือ ‘ซีเรียล โฮลเกรน’ เป็นโฮลเกรน หรือธัญพืชเต็มเมล็ด ไม่ผ่านการขัดสี คงส่วนประกอบของสารอาหารสำคัญไว้ครบถ้วน
ส่วนประกอบและสรรพคุณของ โฮลเกรน มีทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด เป็นส่วนนอกสุดที่มีใยอาหาร ไฟโตนิวเตรียนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินบี และโปรตีน
ส่วนเนื้อเมล็ด เป็นส่วนหลักของธัญพืช และแหล่งรวมของคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนอีกเล็กน้อย และส่วนจมูกข้าว แม้จะเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของธัญพืช แต่ก็มีสารอาหารมากกมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟโตนิวเตรียนท์ วิตามินบี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ทองแดง สังกะสี และไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อน
เคล็ดไม่ลับในการทำอาหารมื้อเช้าด้วย ซีเรียล โฮลเกรน ให้อร่อยน่าทาน ง่ายๆ เพียงเติมนม ชนิดและรสที่ชื่นชอบ แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวหรือเรื่องระดับน้ำตาล อาจเลือกนมพร่องหรือขาดมันเนย พวกไขมันต่ำ เติมผลไม้หั่นเป็นชิ้นสีเหลี่ยมลูกเต๋า เช่น แคนตาลูป แตงโม แอปเปิ้ล กล้วย ช่วยเพิ่มสีสันและรสชาติที่หลากหลาย ดูน่าทานยิ่งขึ้น.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
6 ทางด่วน ชวนได้โรคจากโรงพยาบาล
พูดถึงเรื่องผ่าตัดก็น่ากลัวพออยู่แล้ว แต่ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า หลังผ่านมีดหมอ เสร็จสิ้นการผ่าตัดแล้ว แผลที่เกิดยังมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคยามเมื่อท่านนอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลอีกด้วย
เรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เตือนว่ามี
6 ช่องทาง หรือ 6 ทวาร เป้าหมายของเชื้อโรคร้ายนำความเจ็บป่วยมาเพิ่มให้...
เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา คุณพ่อของผมต้องเข้ารับการผ่าตัดลำไส้ที่โรงพยาบาลจุฬา เพื่อกำจัดหนองที่อยู่ในจุดลึกในหมดไป ซึ่งในการผ่าตัดนี้ผมก็ได้คอยดูแลช่วยทำแผลให้พ่อในภายหลัง แผลผ่าตัดที่กว้างทำให้พ่อลุกนั่งไม่สะดวกเพราะเจ็บระบมต้องให้ยาแก้ปวดก่อนทำแผล...สงสารพ่อจับหัวใจ
ตอนทำแผลไปก็ให้ระวังอย่างที่สุดเพราะหลังผ่าตัดมีสิทธิ์ติดเชื้อได้อีกโดยเฉพาะผ่านทางทวารต่างๆของร่างกาย ไหนจะทางเลือดที่มีสายน้ำเกลือคาอยู่ ท่อปัสสาวะที่ต้องคาสายสวนไว้และในหลอดลมที่พ่อต้องคอยขากเสมหะออก เลยอยากนำมาบอกเล่าให้ท่านที่รักฟังกันว่าทางด่วนชวนติดเชื้อหลังผ่าตัดมีดังนี้ครับ...
'หลอดลม' ระดมจัดหนักเข้าปอดได้ถือเป็นจุดอ่อนให้เชื้อเข้ามาเป็นอย่างดี แค่นอนมากเกินไปหลังผ่าตัดจนเสมหะไปคั่งในปอดหรือแค่สำลักน้ำก็ทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อรุนแรงได้ ในยามพักฟื้นหลังผ่าตัดจึงต้องถือว่าเป็นช่วงวิกฤตที่ต้องคอยให้ลุกขึ้นมาไอขับเสมหะครับ
'โพรงไซนัส' เป็นแหล่งซ่อนของการติดเชื้อได้เหมือนกัน สิ่งสำคัญจึงต้องห้ามการเยี่ยมด้วยดอกไม้สดที่จะมีละอองเรณูและละอองเชื้อราปนอยู่ นอกจากนั้นการใส่ท่อยางให้อาหารทางจมูกก็ถือว่าเป็นทางด่วนให้เชื้อขึ้นไปได้เหมือนกัน
' หลอดเลือด' ดูเป็นเรื่องเข้าถึงยากแต่หากมีแผลกดทับจากการนอนนานเกิดขึ้น การเจาะเลือดบ่อยๆ หรือเอาเข็มแทงเส้นคาไว้ในเส้นเลือดดำใหญ่ที่คอ ก็เป็นแหล่งของการติดเชื้อผ่านกระแสเลือดเข้าไปทั่วร่างกายได้ อันตรายอยู่ที่อาจช็อคจากโลหิตเป็นพิษ(Septicemia)ได้ครับ
'หลอดอาหาร' เป็นทางผ่านของอาหารและแน่นอนเชื้อที่มากับอาหารด้วย คนไข้หลังผ่าตัดควรได้รับอาหารอ่อนที่ไม่บูดง่าย พวกเข้านม,เนยหรือกะทิควรเลี่ยงไว้ก่อน รวมถึงผักผลไม้สดที่อาจปนเปื้อนเชื้อจากดินและฝุ่นที่ผิว
'ทวารหนัก' แม้เป็นช่องขับถ่ายของเสียแต่ยามติดเชื้อขึ้นมาก็ลามยาวขึ้นไปถึงช่องท้องได้ มักเกิดจากแผลกดทับ(Pressure sore)จากพักฟื้นอยู่นาน ต้องระวังเรื่องการขับถ่ายให้ดีเพราะเชื้อที่มีมักเป็นเชื้อในอุจจาระส่วนใหญ่
'ท่อปัสสาวะ' หลังผ่าตัดบางรายอาจต้องคาสายสวนปัสสาวะไว้ทำให้เป็นแหล่งเรียกเชื้อเข้ามา นอกจากนั้นเมื่อถอดออกใหม่ก็ยังไม่ชินต้องค่อยฝึกเบ่งปัสสาวะกันอีกครั้งเหมือนเมื่อยังเด็ก เทคนิกป้องกันคือให้ดื่มน้ำเยอะเข้าไว้ให้ล้างท่อปัสสาวะและถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แล้วอย่าคาสายสวนไว้นาน
จะเห็นว่าทุกทางล้วนแต่เป็นเส้นทางธรรมดาแต่ทว่ายามผ่าตัดแล้วมันจะกลายเป็น “ทางด่วนอันตราย” ได้ง่ายๆ ไหนจะร่างกายที่กะปลกกะเปลี้ยอยู่แล้ว อีกทั้งสายระโยงระยางที่ประดังกันเข้ามาเพื่อช่วยรักษาอีก
มากสายก็มากโรค เพราะของทางการแพทย์เหล่านี้แม้จะมีการฆ่าเชื้อสเตอไรส์เป็นอย่างดีแต่ถ้าทิ้งไว้นานก็เป็นบ้านของเชื้อโรคได้เหมือนกัน มันมีหลักอยู่ข้อหนึ่งว่าถ้ามีรูเปิดที่ใดในร่างกายเราก็อาจเป็นประตูเข้าให้เชื้อโรคได้หมด ดังนั้นถ้าเมื่อใดที่หมดข้อบ่งชี้ของการใส่ท่อคอ,ท่ออาหาร,ท่อเลือด,ท่อฉี่และอีกสารพัดท่อแล้วก็ขอให้ถอดออกเถิดครับ.
ระวัง 5 สารพิษใกล้ตัว
ในชีวิตประจำวันของพวกเรา มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาทำให้ชีวิตเราสบายและรวดเร็วมากขึ้น แต่ในทางกลับกันความสะดวกสบายเหล่านั้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะสารพิษ สารเคมีใกล้ตัวที่เป็นภัยต่อสุขภาพและไม่อาจมองข้ามได้
1. เฟอร์นิเจอร์
เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงานจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้มักตรวจพบสารฟอร์มาลดีไฮด์ตกค้าง และสารเคลือบเงาเช่น โทลูอีน ไซลีน และ เอธิลเบนซิน รวมถึงสีที่มีสารตะกั่วเป็นส่วนประกอบหลุดลอกจากเฟอร์นิเจอร์ หรือผนังอาคารปะปนกับฝุ่นผงในอากาศ
อาการ : สารฟอร์มาลดีไฮด์ โทลูอีน ไซลีน เมื่อสูดดมเข้าไปบ่อย ๆ จะมีอาการระคายเคืองจมูกและลำคอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองต่อผิวหนังหรือระบบทางเดินหายใจ ส่วนสารตะกั่วนอกจากจะก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหารแล้ว ถ้าได้รับเป็นเวลานานและปริมาณมากจะมีผล คือ ปวดท้องรุนแรง ทำลายสมอง ไต ระบบการย่อยอาหารและระบบการได้ยิน
วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี
2. น้ำยาลบคำผิดและกาว
มีส่วนผสมของสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะมีทินเนอร์และสารประกอบอินทรีย์เคมีชนิดต่าง ๆ ประกอบอยู่ ได้แก่ สารโทลูอีน เบนซิน และสไตลีน ซึ่งมีกลิ่นพิเศษ เฉพาะและระเหยปะปนในอากาศได้ง่าย
อาการ : หากสูดดมในระยะสั้นจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ วิงเวียน หน้ามืด มีผลกระทบต่อประสาทส่วนกลาง และเสียการทรงตัวได้ หากสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้โครโมโซมในเม็ดเลือดผิดปกติจนถึงขั้นเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด หรือหากกลืนสารเหล่านี้เข้าไปและมีการสำลักร่วมด้วยอาจทำให้ปอดอักเสบได้
วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการสูดดม และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี
3. ฝุ่นละอองในสำนักงาน
อาจเกิดจากผงหมึกที่กระจายออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร ฝุ่นเยื่อกระดาษที่อาจพบตามเอกสารต่าง ๆ บนโต๊ะทำงาน หรือกระดาษปิดผนังหรือวอลเปเปอร์ โดยฝุ่นเหล่านี้สามารถเข้าไปสะสมในปอดได้
อาการ : จะมีอาการไอ จาม และระคายเคืองต่อตา จมูก และคันผิวหนัง หากได้รับบ่อย ๆ อาจก่อให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหอบหืดได้
วิธีป้องกัน : ควรจัดวางโต๊ะทำงานไม่ให้หนาแน่น ทำความสะอาดห้อง และโต๊ะทำงานเป็นประจำ แบ่งโซนเครื่องถ่ายเอกสารหรือหนังสือให้อยู่ในมุมที่ห่างไกลจากคนทำงาน
4. สารเคมีจากคอมพิวเตอร์
มีผลการศึกษาของนักวิจัยในสวีเดนระบุว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ โดยสารเคมีที่ชื่อ Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในจอวิดีโอหรือปากกาเคมี ตลอดจนสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งมีกลิ่นจากสารเคมี
อาการ : ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกและตาได้
วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี
5. ไอเสียจากรถยนต์
ในระหว่างการเดินทางไปทำงานและกลับบ้านทุก ๆ วันท่ามกลางการจราจรอันแออัด คุณแม่มีโอกาสได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่มีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามถนน และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สุขภาพของคุณแม่แย่ลงได้
อาการ : ถ้าได้รับปริมาณน้อย ๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หายใจ หอบสั้น คลื่นไส้ ง่วงซึม และการตัดสินใจไม่ค่อยเด่นชัด มีความสับสน แต่ถ้าในระดับความเข้มข้นที่สูงมาก ๆ ก็ทำให้ประสาทมึนงง ซึม และหมดสติ
วิธีป้องกัน : ใช้ผ้าปิดปาก หลีกเลี่ยงการสูดดมหรืออยู่ในสถานที่ที่ระบายอากาศได้ดี
สาว ๆ ชอบไดเอ็ต ระวังไตอักเสบ
ไตอักเสบเกิดขึ้นได้กับวัยรุ่นหรือหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่ไดเอ็ต กลั้นปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือมีโรคบางอย่าง เช่น SLE ต่อมทอนซิลอักเสบ
นางแบบสาวแมรี่-เคต โอลเซ่น เคยเข้าโรงพยาบาลที่นิวยอร์ก เนื่องจากไตอักเสบ ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจากการที่เธออดอาหารลดความอ้วนมานานจนขาดสารอาหาร ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และก่อให้เกิดการติดเชื้อในไต เช่นเดียวกับดาราสาว ลินด์ซีย์ โลแฮน ก็เคยประสบกับไตอักเสบจากการไดเอ็ตมาแล้ว จึงเป็นข้อเตือนใจให้แก่สาว ๆ ที่นิยมอดอาหารลดน้ำหนัก สาว ๆ ที่ไม่ค่อยดื่มน้ำ หรือกลั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ก็จะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ และส่งผลให้กรวยไตอักเสบได้
ไต...สำคัญไฉน
ไตเป็นอวัยวะที่มีสองข้าง ทำหน้าที่หลัก ๆ ก็คือกรองของเสีย ปรับน้ำ ปรับความสมดุลของร่างกาย และขับของเสียส่วนใหญ่ที่เกิดจากการย่อยสลายโปรตีน นอกจากนี้ ไตยังทำงานคล้ายกับต่อมไร้ท่อที่หลั่งฮอร์โมนอีกหลายตัว
ไตอักเสบจากการติดเชื้อ
จะมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย และกะปริดกะปรอย ซึ่งสาเหตุมาจากกระเพาะปัสสาวะ แต่บางคนการอักเสบจากการติดเชื้อก็ทำให้ไตวายได้ ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียก็จะเป็นแบบเฉียบพลันอาจไม่ได้เริ่มจากกระเพาะปัสสาวะ แต่มีอาการไข้ หนาวสั่น และปวดเอว หรือบางคนมีนิ่วแล้วมีทางเดินปัสสาวะผิดปกติก็จะทำให้ติดเชื้อเฉียบพลันที่ไตได้ โดยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องก็อาจเป็นไตอักเสบแบบเฉียบพลันได้เช่นกัน
ไตอักเสบจากการไม่ติดเชื้อ
จะมีอาการบวม ตาบวม หน้าบวม แขนขาบวม เพราะมีน้ำขังอยู่ เนื่องจากไตขับน้ำไม่ออก ทำงานแปรปรวน ปัสสาวะเป็นฟอง หรืออาจมีเลือดปนกับปัสสาวะ คือ มีสีชาหรือสีน้ำล้างเนื้อ มีความดันสูงเฉียบพลัน ตรวจพบโดยการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ทั้งนี้ไตอักเสบที่ไม่ได้ติดเชื้อมีหลายกรณี ต้องวินิจฉัยโดยการเจาะไต ผู้ที่เสี่ยงไตอักเสบ เช่นเป็นโรค SLE โรคเบาหวาน หรือเกิดจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งที่เรากินเข้าไป หรือสูดดมเข้าไป ก็จะเกิดปฏิกิริยาทางด้านระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีการอักเสบของเนื้อเยื่อแล้วลงที่ไตเช่น ต่อมทอนซิลเป็นหนองแล้วไม่ได้กินยารักษาให้ครบ
รักษาอย่างไรเมื่อไตอักเสบ
ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หากรักษาไม่หายขาดหรือเป็น ๆ หาย ๆ ก็จะทำให้กรวยไตอักเสบเรื้อรังจนกระทั่งไตวายได้ ดังนั้น เมื่อแพทย์สั่งจ่ายยาปฏิชีวนะให้ ก็ควรกินยาให้ครบตามแพทย์สั่ง อย่าหยุดยาเอง เพราะจะทำให้เชื้อโรคดื้อยา ซึ่งจะส่งผลให้รักษาไม่หายขาด ที่สำคัญคือควรไปพบแพทย์ตามนัด
ทำอย่างไรให้ไตทำงานดี
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้มีการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขและช่วยกระตุ้นให้เลือดที่ไตไหลเวียนดี
การออกกำลังกายวันละ 15 นาทีทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงโรเบาหวาน และปกป้องไต
ควบคุมน้ำหนักตัว เพราะยิ่งอ้วนก็จะทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานหนักในการขจัดพิษ
ไม่สูบบุหรี่ เพราะนอกจากจะทำลายผิว ไม่ดีต่อหัวใจและเส้นเลือดแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อไตด้วย
การป้องกันไตอักเสบ
กินผักผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ เพื่อให้ไตได้รับวิตามินอย่างเพียงพอ หากหิวเล็กน้อยระหว่างวันก็กินสาลี่หนึ่งผล หรือสลัดจานเล็ก ก็จะช่วยบำรุงไตได้
กินโปรตีนน้อยลง การกินโปรตีนมากเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนักในการขับออก จึงควรกินโปรตีนจากสัตว์ประมาณวันละไม่เกิน 100 กรัม แต่กินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยววันละประมาณ 500 กรัม ข้อแนะนำก็คือ ไม่กินเนื้อสัตว์ 2 ครั้งต่อสัปดาห์
หากมีอาการไตอักเสบ ก็ควรนอนหลับพักผ่อนร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ การป้องกันการอักเสบที่ไม่รุนแรงของไต ก็อย่างเช่น ดื่มน้ำผสมน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลหนึ่งช้อนชาทุกวัน เพื่อช่วยรักษาน้ำปัสสาวะให้สมดุล
กินอาหารรสเค็มให้น้อยลง เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก
ดื่มน้ำประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน
ความเครียดและการกินอาหารผิดสุขลักษณะก่อให้เกิดกรดในร่างกายมากเกินไป มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง กระดูกพรุน และเมื่อร่างกายต้องขจัดกรดที่มากเกิน ก็มีผลเสียกับไต
หากรู้สึกว่ากระเพาะปัสสาวะเริ่มอักเสบก็ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อขับเชื้อโรคออก แต่หากเป็นมากก็ควรไปพบแพทย์ และกินยาตามแพทย์สั่งให้ครบ
หากเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ หรือแผลพุพอง ควรกินยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งให้ครบ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่กรวยไต
ข้อแนะนำ จาก พญ.นภิสวดี ว่องชวณิชย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต จากบำรุงราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนลคลินิก
การป้องกัน คือวิธีที่ดีที่สุด ควรตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำทุกปี ไม่กินโปรตีนมาก ยกเว้นนักกีฬายกน้ำหนักและเด็กในวัยเจริญเติบโต และควรกินอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุทุกวัน เช่น ผักและผลไม้ นอกจากนี้ ก็ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เพื่อป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้กรวยไตอักเสบได้
ทำไมถึงเรียก ละครซิทคอม
สำหรับคำว่า "ซิทคอม" นั้นเป็นการรวมคำระหว่างพยางค์แรกของคำ 2 คำไว้ด้วยกัน คือ "ซิทูเอชัน" [situation] ที่แปลว่า เหตุการณ์ กับคำว่า "คอมเมอดี" [comedy] ที่แปลว่าตลกขบขัน ซึ่งหากแปลรวมๆ กันแล้ว ก็หมายถึงเรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่สร้างความตลกขบขัน..
ละครซิทคอม คือละครที่มีเนื้อหาสนุกสนาน เผยแพร่ตามสถานีวิทยุ ในช่วงทศวรรษที่ 1920 ซึ่งละครซิทคอมที่เชื่อว่าเป็นเรื่องแรกของโลกก็คือเรื่อง "แซมแอนด์เฮนรี" ที่นำออกเผยแพร่ทางสถานีวิทยุดับเบิลยูจีเอ็น ในสหรัฐฯ เมื่อปี 1926 ส่วนซิทคอมที่นำออกเผยแพร่เป็นครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์คือเรื่อง "อะมอส แอนด์ เอนดี" ที่ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ในปี 1928
สำหรับในปัจจุบันนั้น ซิทคอมทางโทรทัศน์ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากเห็นทั้งภาพ และเสียงไปพร้อมกัน ทำให้ผู้ชม ผู้ฟังมีความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น จนทำให้ซิตคอมแบบดั้งเดิม หาฟังได้ยากเต็มที ทั้งในประเทศไทย หรือแม้แต่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
สำหรับซิทคอมที่ยังคงออกอากาศอยู่ในปัจจุบัน อย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุด ก็ต้องยกให้กับเรื่อง "ลาสต์ ออฟ เดอะ ซัมเมอร์ ไวน์" ของอังกฤษ ที่เริ่มออกอากาศเป็นตอนแรกในปี 1973 และถือเป็นเรื่องที่ยาวนานที่สุดจนมาถึงปัจจุบัน..
ส่วนลักษณะเนื้อหาของซิทคอมนั้น จะเป็นการจำลองเหตุการณ์ในสถานที่ทำงาน หรือในบ้าน โดยใช้ฉากไม่กี่ฉาก ถ่ายทำซ้ำอยู่ในสถานที่เดียวกัน และไม่ได้เน้นความสำคัญของสถานที่เท่าใดนัก แต่ใช้ความสามารถของตัวละครในการเล่าเรื่อง และที่แน่นอน ต้องมีความสนุกสนานเป็นแก่นหลักของเรื่อง..
18 พ.ค. 2554
กิจวัตรประจำวัน..บั่นทอนสุขภาพได้
กิจวัตรประจำวัน..บั่นทอนสุขภาพได้ (ไทยโพสต์)
กิจวัตรประจำวันที่เราทำทุกค่ำเช้า เช่น อาบน้ำทุกวัน นอนวันละ 8 ชั่วโมง แปรงฟันหลังกินข้าว นั่งส้วมชักโครก ทำงานบ้าน อาจบั่นทอนสุขภาพอย่างที่เราคาดไม่ถึง ผู้เชี่ยวชาญได้พูดถึงกิจวัตรประจำวันหลายอย่าง ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างที่เคยเข้าใจกัน พร้อมกับแนะนำวิธีปรับปรุงแก้ไข
อาบน้ำทุกวัน
ดร.นิก โลว์ แพทย์โรคผิวหนังแห่งคลินิกแครนลีย์ในลอนดอน บอกว่า ถ้าอาบน้ำอุ่นและใช้สบู่ชนิดแรง ก็จะทำให้ไขมันบนผิวหนังหายไป ทำให้ผิวแห้ง ผิวแตก หรือกระทั่งอาจเกิดการติดเชื้อได้
"เราไม่จำเป็นต้องอาบน้ำชำระร่างกายทั่วทั้งตัวทุก ๆ วัน ถ้าไม่อยากอาบน้ำวันเว้นวัน อย่างน้อยก็ควรอาบน้ำเย็น" คุณหมอบอก
สำหรับคนผิวแห้ง ควรใช้เจลอาบน้ำที่ไม่มีสบู่ หรือครีมซึ่งประกอบด้วยน้ำมันพาราฟิน น้ำ และสารที่ใช้แทนสบู่
นอนวันละ 8 ชั่วโมง
ศาสตราจารย์จิม ฮอร์น แห่งศูนย์วิจัยการนอน มหาวิทยาลัยลัฟโบโร บอกว่า การนอนหลับวันละ 8 ชั่วโมงทำให้รู้สึกเพลีย เราสามารถมีความยืดหยุ่นในการนอนได้ ไม่จำเป็นต้องนอนรวดเดียว 8 ชั่วโมง เช่น เราอาจงีบหลับในเวลากลางวันสัก 15 นาที
เขาบอกว่า คนสมัยก่อนไม่ได้ตื่นเป็นเวลานาน และหลับคราวละนาน ๆ อย่างสมัยนี้ แต่นอนหลับวันละหลายรอบ เริ่มด้วยการนอนหลับ 2 ชั่วโมงในช่วงบ่าย กินอาหารเย็น ใช้เวลากับเพื่อนฝูงครอบครัว เข้านอนตอนเที่ยงคืน หลับไปประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาสวด แล้วหลับต่ออีกสัก 2 ชั่วโมงจนรุ่งสาง รวมแล้วได้นอนวันละ 7 ชั่วโมง
"ความคิดสมัยใหม่สอนว่า การตื่นขึ้นเดินไปเดินมากลางดึกเป็นเรื่องไม่ดี แต่การสอนแบบนี้ต่างหากที่ผิดเพี้ยนจากลักษณะการนอนของคนเรา"
"บางทีเราตื่นขึ้นมาตอนตีสาม แล้วก็วิตกว่าตัวเองกำลังนอนไม่หลับ อันที่จริง เราควรลุกขึ้นหาอะไรทำสบาย ๆ เช่น เล่นตัวต่อจิ๊กซอว์ หรืออ่านหนังสือ จนกระทั่งรู้สึกง่วง แล้วกลับเข้านอนใหม่"
"ถ้ามนุษย์ถ้ำหลับเป็นตายตลอดทั้งคืน เขาก็คงได้ตายจริง ๆ เพราะถูกตัวอะไรย่องมาเขมือบ"
บ้วนปากด้วยน้ำยาหลังแปรงฟัน
ทันตแพทย์ ดร.ฟิล สเต็มเมอร์ แห่งคลินิกเฟรช เบรธ เซ็นเตอร์ ในลอนดอน บอกว่า ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาบ้วนปากหลังการแปรงฟัน
"ในยาสีฟันมีฟลูโอไรด์ช่วยเคลือบฟัน น้ำยาบ้วนปากจะไปล้างสารเคลือบออกหมด ฟลูโอไรด์จะช่วยปกป้องฟันได้นานหลายชั่วโมง"
"ผมพยายามไม่ดื่มอะไรในช่วงครึ่งชั่วโมงหลังจากแปรงฟัน และผมไม่เอาแปรงสีฟันไปล้างน้ำให้เปียกก่อนแปรงด้วย เพราะมันจะลดประสิทธิภาพการทำงานของยาสีฟัน ในปากมีความชื้นอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้น้ำเพิ่มก็ได้ และไม่ควรแปรงฟันในทันทีหลังกินเสร็จ ควรรอสักครึ่งชั่วโมง เพราะกรดและน้ำตาลในอาหารจะทำให้เคลือบฟันอ่อนตัวลงครู่หนึ่ง ถ้าคุณแปรงฟันเร็วเกินไปก็จะเป็นการแปรงเอาเคลือบฟันออกไปก่อนที่มันจะได้ฟื้นสภาพกลับมาแข็งใหม่ ที่ดีที่สุด ควรแปรงฟันก่อนกิน หลังจากกินเสร็จก็ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์"
นั่งโถชักโครก
ส้วมชักโครก ก็บั่นทอนสุขภาพได้ โดยผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอล ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Digestive Diseases and Sciences เผยว่า การนั่งยองเป็นท่าที่เป็นธรรมชาติสำหรับการขับถ่ายมากกว่า และช่วยลดโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ริดสีดวงทวาร
ดร.ชาร์ลส์ เมอร์เรย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระเพาะอาหารและลำไส้ โรงพยาบาลรอยัลฟรีในลอนดอน แนะนำว่า คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ ควรหาอะไรมาหนุนที่เท้าเวลานั่งบนโถส้วม ซึ่งจะช่วยให้เราอยู่ในท่าคล้ายนั่งยองมากขึ้น
6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม
6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม (Momypedia)
หลายคนคงจะได้ทราบข่าวเกี่ยวกับโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่กันมาบ้างแล้วว่ามีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งนั้นหลายคน จนถูกขนานนามว่าเป็น "โรงแรมอาถรรพ์" แต่ไม่นานนี้ก็มีข่าวใหม่ออกมาว่าแท้จริงแล้วสาเหตุการเสียชีวิตนั้น เกิดจากการได้รับสารพิษที่มีอยู่ในโรงแรมนั่นเอง
สารพิษที่ตรวจพบคือ chloypyrifos ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งในยาฆ่าแมลงที่ทางโรงแรมใช้ฉีดพ่นเตียงนอนเพื่อกำจัดไรฝุ่นหรือแมลงบนที่นอน แต่จากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตก็ไม่พบสารพิษใด ๆ ดังนั้นข้อกล่าวอ้างนี้เรายังคงต้องติดตามต่อไปค่ะ แต่นั่นก็ยังทำให้หลาย ๆ คนกังวลอยู่ไม่น้อยหากต้องไปพักตามโรงแรมอื่น ๆ "แล้วโรงแรมที่เราไปพักล่ะ ปลอดภัยจริงหรือเปล่า"
การจะตรวจสอบสารพิษหรือสารเคมีด้วยตัวเองคงเป็นเรื่องยากค่ะ แต่เราสามารถป้องกันหรือดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้นเมื่อต้องไปเข้าพักตามโรงแรมต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีอยู่ในห้องพักของเราค่ะ
1. ตรวจสอบข้อมูลของโรงแรมก่อนเข้าพัก : จริง ๆ แล้วมีการรีวิวโรงแรมหรือที่พักต่าง ๆ ในอินเตอร์เนตให้เราได้เข้าไปอ่านเยอะมาก รวมทั้งความคิดเห็นของผู้ที่ไปใช้บริการมาแล้วจริง ๆ และภาพถ่ายมุมต่าง ๆ ของโรงแรม ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกโรงแรม โดยควรจะเลือกโรมแรมหรือห้องพักที่มีหน้าต่างภายในห้องสามารถเปิดระบายอากาศ ได้ มีพัดลมระบายอากาศ หรือเป็นห้องพักที่มีการห้ามสูบบุหรี่ภายในห้อง ก็จะทำให้เรามั่นใจในเรื่องอากาศที่ถ่ายเท หมุนเวียนตลอดเวลา
2. รู้อาการแพ้ของตัวเอง : ข้อนี้สำคัญค่ะ เพราะเราอาจจะมีอาการแพ้สารเคมีไม่ เหมือนกัน เช่น บางคนแพ้สเปรย์ปรับอากาศ บางคนแพ้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดพื้น หรือบางคนแพ้ไรฝุ่นจากหมอนหรือที่นอน ดังนั้นเพื่อความสบายใจและปลอดภัย ควรสอบถามเจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนว่ามีการใช้สารเคมีดังกล่าวในห้องพักบ้างไหม ใช้มากแค่ไหน หรือหากต้องการพักที่โรงแรมนั้นจริง ๆ ก็สามารถขอเป็นกรณีพิเศษได้ค่ะว่าไม่ให้สารเคมีดังกล่าวมในห้องที่จะพัก โรงแรมส่วนใหญ่จะยินดีให้บริการอยู่แล้วค่ะ
3. พกพายาส่วนตัว : บอกตรง ๆ ว่าบางครั้งเราก็ไม่สามารถเลี่ยงสารเคมีได้ อาจจะเพราะความไม่รู้ ไม่ตรวจสอบ หรือไม่ระวังตัว ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรพกพายาแก้แพ้ของตัวเองไปด้วย เช่น บางคนจะมีอาการจาม มีน้ำมูกเหมือนเป็นหวัดเมื่อสูดกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศเข้าไป ก็ควรจะพกยาแก้แพ้ไปด้วย เพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้
4. สำรวจทุกซอกมุม : อาจจะทำตัวเหมือนนักสืบคอยจ้องจับผิดไปหน่อย แต่เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยในการเข้าพักค่ะ เมื่อเข้าห้องพักแล้ว ให้ลองเดินสำรวจห้องก่อนทั้งในห้องน้ำ ในตู้เสื้อผ้า ใต้โต๊ะ มุมห้อง ซอกเตียง เพราะเป็นไปได้ว่าในจุดเหล่านั้นจะมีสิ่งสกปรกที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ และหากเจอซอกมุมที่มีฝุ่น มีแมลงที่อาจทำให้เราแพ้ ก็สามารถให้ทางโรงแรมจัดเจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดอีกครั้งก่อนเข้าพัก หรือหากมีห้องพักอื่นว่างก็สามารถเปลี่ยนห้องได้ค่ะ
5. ปัด ๆ จัด ๆ ก่อนนอน : อย่าคิดว่าเมื่อเดินเข้าห้องพักแล้วเห็นเตียงจัดไว้สวย ๆ จะดีเสมอไปค่ะ (ต่อให้เป็นโรงแรม 5 ดาวก็เถอะ) เพราะเป็นไปได้เช่นกันว่าบนเตียงนอนหรือแม้แต่ในผ้าห่ม ผ้าปูเตียงเองอาจจะมีไรฝุ่น สิ่งสกปรก หรือแมลงตัวเล็ก ๆ เล็ดลอดเข้ามาแบบคาดไม่ถึง ก่อนขึ้นไปนั่งไปนอนบนเตียงให้ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ๆ ปัดที่นอนก่อน อย่ากลัวว่าจะไม่มีผ้าผืนเล็กไว้เช็ดหน้าเช็ดผมค่ะ ขอใหม่จากทางโรงแรมได้ค่ะ
6. อาบน้ำอาบท่า อย่ามัวแต่นอนกลิ้ง : แน่นอนค่ะว่าหลาย ๆ โรงแรมมีเตียงนอนที่นอนสบายกว่าเตียงที่บ้าน แอร์ก็เย็น บรรยากาศก็ดี แต่ก็อย่าเผลอนอนกลิ้งอยู่เป็นวัน ๆ จนไม่ทำอะไรนะคะ เมื่อตื่นแล้วก็ควรจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด เพื่อกำลังฝุ่นไร หรือสารเคมีที่อาจจะมีอยู่บนที่นอนให้หลุดออกจากผิวหนังของเราค่ะ
6 วิธีข้างต้นนี้ บางคนมองว่ายุ่งยาก ลำบาก หรือแม้แต่กลัวว่าทางโรงแรมจะไม่ยินยอมให้บริการดังกล่าว เพราะคิดว่าเรื่องมาก แต่อย่างหนึ่งที่อยากบอกให้ทราบไว้ค่ะว่าในแง่มุมของการบริการนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบริการที่จะทำให้ลูกค้าอย่างเราปลอดภัยและประทับจนไปบอกต่อ ซึ่งจะสร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงแรมได้เช่นกัน และในแง่ของผู้บริโภคสินค้าและบริการอย่างเรา กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคก็มีมารองรับในเรื่องสินค้าและบริการที่ปลอดภัยอยู่แล้ว
คงไม่มีใครอยากจะเข้าไปพักแบบเสี่ยงว่าจะได้รับอันตรายจากสารเคมีหรือสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรอก จริงไหมคะ... ครั้งต่อไปที่ต้องไปพักในโรงแรม อย่าลืมลองนำไปทำกับดูนะคะ
วิธีปฏิบัติตัวเมื่อได้รับพิษเข้าสู่ร่างกาย
การดูแลตนเองถือเป็นเรื่องสำคัญ หลายคนมีวิธีการดูแลตนเองที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิต
แต่ถึงแม้ว่า..เราดูแลตนเองเป็นอย่างดีแล้ว โรคภัยก็ยังถามหาได้อยู่เสมอ และหากเกิดโรคภัยที่มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้ต้องดูแลตนเองมากยิ่งขึ้น อย่างเมื่อฉบับที่แล้ว นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผลชนิดต่างๆ ขึ้น ฉบับนี้ก็ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น สารเคมี หรือสัตว์มีพิษกัด ซึ่งเรามีวิธีการที่เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ที่ได้รับพิษเข้าไปเพื่อเป็นการฝึกเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นแบบกะทันหันการได้รับสารพิษเข้าไปในที่นี้จะขอกล่าวถึงใน 3 ประเด็นได้แก่ การได้รับสารพิษจากสารเคมี สัตว์มีพิษกัด และงูกัด
การได้รับสารพิษเข้าไปจากสารเคมี สิ่งที่ควรกระทำได้แก่
1. หากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ควรจัดให้นอนตะแคงหันหน้าไปด้านข้าง
2. กรณีที่ผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นก่อน หากไม่ทราบวิธีการให้รีบพาส่งโรงพยาบาล
3. แต่หากผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ให้ดื่มนมหรือน้ำเย็น 4–5 แก้ว หรือกลืนไข่ขาวดิบ 5–10 ฟอง ก็จะช่วยให้พิษยาถูกดูดซึมได้น้อยลง
4. เมื่อผู้ป่วยอาเจียนสารพิษออกมา ให้เก็บสิ่งอาเจียนไว้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้วย
การได้รับสารพิษจากการถูกสัตว์กัด สิ่งที่ควรกระทำได้แก่
1. ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้การช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นเสียก่อน
2. หากมีบาดแผล ให้ทำความสะอาดด้วยการล้างด้วยน้ำสบู่
3. เมื่อมีเลือดออก ให้ห้ามเลือดโดยการกดบาดแผลโดยตรงไว้
4. ให้ไปรับการรักษาพยาบาล เช่น ทำแผล เย็บแผล ให้ยาฆ่าเชื้อ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก และโรคพิษสุนัขบ้า ทุกราย
5. หากสามารถนำสัตว์ที่กัดไปให้เจ้าหน้าที่ดูได้ด้วยก็จะดีต่อการวินิจฉัยรักษา
6. ผู้ป่วยที่ถูกสัตว์กัดควรได้รับการฉีดวัคซีนทุกรายหรือปรึกษาแพทย์เรื่องการฉัดวัคซีนทุกครั้ง
7. ในกรณีที่สามารถสังเกตอาการของสัตว์ได้ เช่น ถ้าสัตว์มีอาการซึม หรือตาย ให้นำสัตว์ไปตรวจที่สถานเสาวภาทันที
การได้รับสารพิษจากการถูกงูกัด ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า งูพิษในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1) งูพิษต่อระบบประสาท ได้แก่ งูจงอาง งูเห่า งูสามเหลี่ยม เป็นต้น ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้มีอาการหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก และอาจเป็นอัมพาตได้
2) งูพิษต่อระบบโลหิต ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ เป็นต้น ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้บวมบริเวณที่ถูกกัด มีเลือดซึมตามรอยเขี้ยว จ้ำเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะเป็นสีดำ รวมทั้งอาจมีเลือดปน
3) งูพิษต่อระบบกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้เจ็บปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่ตะโพกและไหล่
สิ่งที่ควรกระทำได้แก่
1. กรณีที่ผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นก่อน
2. ให้ดูรอยแผลที่งูพิษกัด ว่ามีรอยเขี้ยว 1 หรือ 2 จุด (งูไม่มีพิษ แผลจะเป็นรอยถลอก)
3. จัดให้มือหรือเท้าที่ถูกกัด อยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าระดับหัวใจ
4. บีบเลือดบริเวณปากแผลออกให้มากที่สุด บาดแผลที่ถูกกัด ควรล้างด้วยสบู่และน้ำ
5. ให้ยาระงับความเจ็บปวดได้ แต่อย่าให้ยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ยาระงับประสาทหรือยานอนหลับ
6. ใช้ความเย็นประคบบริเวณแผล เพื่อให้พิษเข้าสู่หัวใจช้าลง
7. พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด และให้นอนลง
8. ปลอบโยนให้กำลังใจผู้ป่วย
9. ถ้าจับงูได้ให้นำงูมาให้เจ้าหน้าที่ด้วย
เหล่านี้คือวิธีการเบื้องต้นที่ผู้ถูกสัตว์มีพิษกัดเข้า หรือได้รับสารพิษจากเคมี ควรศึกษาวิธีการไว้ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะที่พิษเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าสู่ระบบโลหิต และระบบหัวใจ อีกข้อแนะนำหนึ่งก็คือ ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุด.
พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง/นพ.พงศ์ศิษฏ์ สิงหทัศน์
แต่ถึงแม้ว่า..เราดูแลตนเองเป็นอย่างดีแล้ว โรคภัยก็ยังถามหาได้อยู่เสมอ และหากเกิดโรคภัยที่มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้ต้องดูแลตนเองมากยิ่งขึ้น อย่างเมื่อฉบับที่แล้ว นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผลชนิดต่างๆ ขึ้น ฉบับนี้ก็ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น สารเคมี หรือสัตว์มีพิษกัด ซึ่งเรามีวิธีการที่เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ที่ได้รับพิษเข้าไปเพื่อเป็นการฝึกเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นแบบกะทันหันการได้รับสารพิษเข้าไปในที่นี้จะขอกล่าวถึงใน 3 ประเด็นได้แก่ การได้รับสารพิษจากสารเคมี สัตว์มีพิษกัด และงูกัด
การได้รับสารพิษเข้าไปจากสารเคมี สิ่งที่ควรกระทำได้แก่
1. หากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ควรจัดให้นอนตะแคงหันหน้าไปด้านข้าง
2. กรณีที่ผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นก่อน หากไม่ทราบวิธีการให้รีบพาส่งโรงพยาบาล
3. แต่หากผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ให้ดื่มนมหรือน้ำเย็น 4–5 แก้ว หรือกลืนไข่ขาวดิบ 5–10 ฟอง ก็จะช่วยให้พิษยาถูกดูดซึมได้น้อยลง
4. เมื่อผู้ป่วยอาเจียนสารพิษออกมา ให้เก็บสิ่งอาเจียนไว้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้วย
การได้รับสารพิษจากการถูกสัตว์กัด สิ่งที่ควรกระทำได้แก่
1. ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้การช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นเสียก่อน
2. หากมีบาดแผล ให้ทำความสะอาดด้วยการล้างด้วยน้ำสบู่
3. เมื่อมีเลือดออก ให้ห้ามเลือดโดยการกดบาดแผลโดยตรงไว้
4. ให้ไปรับการรักษาพยาบาล เช่น ทำแผล เย็บแผล ให้ยาฆ่าเชื้อ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก และโรคพิษสุนัขบ้า ทุกราย
5. หากสามารถนำสัตว์ที่กัดไปให้เจ้าหน้าที่ดูได้ด้วยก็จะดีต่อการวินิจฉัยรักษา
6. ผู้ป่วยที่ถูกสัตว์กัดควรได้รับการฉีดวัคซีนทุกรายหรือปรึกษาแพทย์เรื่องการฉัดวัคซีนทุกครั้ง
7. ในกรณีที่สามารถสังเกตอาการของสัตว์ได้ เช่น ถ้าสัตว์มีอาการซึม หรือตาย ให้นำสัตว์ไปตรวจที่สถานเสาวภาทันที
การได้รับสารพิษจากการถูกงูกัด ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า งูพิษในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1) งูพิษต่อระบบประสาท ได้แก่ งูจงอาง งูเห่า งูสามเหลี่ยม เป็นต้น ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้มีอาการหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก และอาจเป็นอัมพาตได้
2) งูพิษต่อระบบโลหิต ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ เป็นต้น ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้บวมบริเวณที่ถูกกัด มีเลือดซึมตามรอยเขี้ยว จ้ำเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะเป็นสีดำ รวมทั้งอาจมีเลือดปน
3) งูพิษต่อระบบกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล ลักษณะอาการเมื่อได้รับพิษจากการถูกกัด จะทำให้เจ็บปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่ตะโพกและไหล่
สิ่งที่ควรกระทำได้แก่
1. กรณีที่ผู้ป่วยไม่หายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นก่อน
2. ให้ดูรอยแผลที่งูพิษกัด ว่ามีรอยเขี้ยว 1 หรือ 2 จุด (งูไม่มีพิษ แผลจะเป็นรอยถลอก)
3. จัดให้มือหรือเท้าที่ถูกกัด อยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าระดับหัวใจ
4. บีบเลือดบริเวณปากแผลออกให้มากที่สุด บาดแผลที่ถูกกัด ควรล้างด้วยสบู่และน้ำ
5. ให้ยาระงับความเจ็บปวดได้ แต่อย่าให้ยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ยาระงับประสาทหรือยานอนหลับ
6. ใช้ความเย็นประคบบริเวณแผล เพื่อให้พิษเข้าสู่หัวใจช้าลง
7. พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด และให้นอนลง
8. ปลอบโยนให้กำลังใจผู้ป่วย
9. ถ้าจับงูได้ให้นำงูมาให้เจ้าหน้าที่ด้วย
เหล่านี้คือวิธีการเบื้องต้นที่ผู้ถูกสัตว์มีพิษกัดเข้า หรือได้รับสารพิษจากเคมี ควรศึกษาวิธีการไว้ เพื่อเป็นการป้องกันภาวะที่พิษเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าสู่ระบบโลหิต และระบบหัวใจ อีกข้อแนะนำหนึ่งก็คือ ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุด.
พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง/นพ.พงศ์ศิษฏ์ สิงหทัศน์
อร่อยทุกไร่ ชิมไปทุกสวน ระยอง-จันทบุรี
ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคมของทุกปี จังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรีจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เพราะเป็นช่วงที่ผลไม้หลากหลายชนิดทยอยจากสวนออกสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นราชาแห่งผลไม้อย่างทุเรียน หรือราชินีแห่งผลไม้อย่างมังคุด ก็มาอวดโฉมให้ได้ลิ้มลอง อีกทั้งยังมีเงาะ ลองกอง ลางสาด สละ ระกำ สับปะรด แก้วมังกร องุ่น ลำไย และอีกมากมาย ตลอดจนผลิตภัณฑ์แปรรูปผลไม้อีกหลากหลายรูปแบบ ให้ท่านได้เลือกซื้อเลือกชิมกันอย่างจุใจ
นอกจากนี้ สวนผลไม้ต่าง ๆ ยังเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวสวน ทั้งสวนผลไม้แบบโบราณ สวนผลไม้แบบเกษตรอินทรีย์ ไปจนถึงสวนผลไม้เพื่อการส่งออก โดยมีกิจกรรมภายในสวน เช่น ชมสวนด้วยรถกอล์ฟ รถไฟ จักรยาน ชิมผลไม้สด ๆ จากต้น โฮมสเตย์ อาหารพื้นเมือง เรียนรู้การเกษตร เป็นต้น
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานระยอง ชาวสวนจังหวัดระยอง และจันทบุรี ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ช่วงฤดูกาลผลไม้แห่งภาคตะวันออก ด้วยความสนุก อร่อย มันส์ และขอให้ทุกท่านเดินทางด้วยความปลอดภัย สุขกายสบายใจตลอดเวลาที่มาเยี่ยมเยียนเรา
แนะนำสวนผลไม้ จ.ระยอง
(ควรติดต่อสวนล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง)
1. สวนยายดา-เจ๊บุญชื่น
30 เขายายดา ตำบลตะพง อำเภอเมือง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้ อาหารพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์แปรรูป
ผลไม้ เงาะ ทุเรียน มังคุด
โทร. 08 9099 1297, 08 9043 1330
2. สวนปาหนัน
หมู่ 3 ตำบลตะพง อำเภอเมือง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้ Homestay
ผลไม้ เงาะ ทุเรียน มังคุด
โทร. 08 1300 9518, 08 1861 6927
3. สวนลุงทองใบ
96/1 หมู่ 11 ตำบลตะพง อำเภอเมือง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน เงาะ มังคุด
โทร. 08 9810 6411
4. สวนลำดวน
78 หมู่ 4 ตำบลตะพง อำเภอเมือง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน เงาะ มังคุด
โทร. 08 9933 3798
5. สวนผู้ใหญ่เสวต
เขายายดา ตำบลตะพง อำเภอเมือง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน เงาะ มังคุด
โทร. 08 6149 6268
6. สวนคุณไพบูลย์
21 หมู่ 4 ตำบลนาตาขวัญ อำเภอเมือง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน (พันธุ์นกกระจิบ หมอนทอง ชะนี หลงลับแล) เงาะ มังคุด ลองกอง มะยงชิด แก้วมังกร
โทร. 08 1567 6368, 08 6149 1772
7. สวนผู้ใหญ่สมควร
ถนนหนองหญ้า-ก้นหนอง ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง กะท้อน
โทร. 08 1761 9497
8. สวนสุภัทราแลนด์
70 หมู่ 10 ตำบลหนองระลอก อำเภอบ้านค่าย ระยอง
กิจกรรม ชมสวนด้วยรถราง ชิมผลไม้จากต้น บุฟเฟต์ผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน เงาะ มังคุด มะเฟือง มะพร้าว ขนุน สละ มะม่วง แก้วมังกร ลองกอง ลำใย ส้มโอ องุ่น
โทร. 03889 2048-9
9. สวนลุงพา
30/1 หมู่ 4 ตำบลหนองตะพาน อำเภอบ้านค่าย ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้ Homestay
ผลไม้ มังคุด
โทร. 08 7822 8609
10. สวนอรัญ
ตำบลหนองตะพาน อำเภอบ้านค่าย ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน เงาะ มังคุด
โทร. 08 9404 9685, องค์การบริหารส่วนตำบล โทร. 0 3887 5129
11. สวนมังคุดไทย (คุณปัญญา)
31 หมู่ 4 ตำบลหนองตะพาน อำเภอบ้านค่าย ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้ อาหารพื้นเมือง Homestay
ผลไม้ มังคุดภาพ
โทร. 08 1694 5727, 0 3862 8256
12. สวนประสมทรัพย์
หมู่ 5 ตำบลบางบุตร อำเภอบ้านค่าย ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้ Homestay
ผลไม้ มะยงชิด ทุเรียน ลองกอง มังคุด เงาะ
โทร. 08 1377 3056, 08 1481 6598
13. สวนกำนันพงษ์
หมู่ 4 ตำบลกระแสบน อำเภอแกลง ระยอง
กิจกรรม ชมสวน ชิมผลไม้
ผลไม้ ทุเรียน ลองกอง มังคุด เงาะ
โทร. 08 9939 1564
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ททท.สำนักงานระยอง โทร. 0 3865 5420 - 1
ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งปะเทศไทย
โรคโมยาโมยา
จั่วหัวเรื่องนี้ขึ้นมา หลายคนอาจขำกันไม่มากก็น้อย เพราะคงคิดว่านายแพทย์ที่ค้นพบโรคและตั้งชื่อโรคนี้คงชอบชื่อน่ารักๆ เป็นแน่แท้ แต่แท้ที่จริงแล้ว โรคโมยาโมยา คือ โรคหลอดเลือดอักเสบ ซึ่งค้นพบโดยประสาทศัลยแพทย์ชาวญี่ปุ่น และคำว่า โมยาโมยา มีความหมายถึง กลุ่มควันบุหรี่ เป็นการเทียบถึงลักษณะของเส้นเลือดที่ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก
ที่ผมได้เกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่าเมื่อหลายวันก่อน มีแม่พาลูกน้อยมาดูลายมือ และให้ผมตรวจเช็คลายมือ ตอนแรกผมก็บอกว่า เด็กอายุไม่ถึง 6 ขวบ ยังไม่ต้องรีบร้อนดูก็ได้ รอให้โตกว่านี้ แล้วค่อยมาดูก็ได้ แต่คุณแม่ก็คะยั้นคะยอให้ดู พอผมได้ตรวจดูมือเท่านั้นแหล่ะ ผมถามกลับไปทันทีเลยว่า
ลูกป่วยเป็นอะไรเกี่ยวกับระบบไหลเวียนที่สมองหรือเปล่า (เรื่องลายมือในการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ ไม่ผิดพลาด และได้ผลที่ถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว ซึ่งพวกเราทุกท่าน ถ้ารู้หลักแล้ว สามารถตรวจโรคภัยไข้เจ็บกันเองได้อย่างง่ายๆ ครับ)
คุณแม่ของเด็กน้อย ก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการป่วยของลูกน้อยคนนี้ว่า เป็นโรคสมองขาดเลือด และทุกครั้งต้องไปหาหมอเพื่อรักษา ผมได้ยินที่คุณแม่พูด ผมก็นับถือกับความรักของแม่ที่มีต่อลูกครับ ต่อให้ลำบากขนาดไหน ก็พร้อมที่จะสละให้ลูกได้เสมอ
เรามาดูภาพมือของเด็กอายุไม่ถึง 6 ขวบกันดีกว่าครับ เขาป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองอักเสบ ทำให้สมองขาดเลือด และมีอีกหลายโรคที่จะเกิดตามมาร่วมกับโรค ก็คือ อัมพาต โรคหัวใจ โรควูบ และเด็กน้อยรายนี้ โรงพยาบาลบอกว่า เป็นโรคโมยาโมยา
วินิจฉัยโรคจาก "เส้นสมอง" ถ้าเปรียบเทียบเส้นสมองกับเรื่องของสุขภาพแล้ว เปรียบได้ดั่งศูนย์รวมเส้นประสาทสั่งการทั้งหมด รวมไปถึงระบบการไหลเวียนของเลือดหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย จะแบ่งออกเป็นสามส่วน ตามลักษณะร่างกาย นั่นคือ
1.ต้นเส้น คือ ตั้งแต่ศีรษะเป็นต้นไป จนถึงบริเวณหน้าอก
2.กลางเส้น คือ ตั้งแต่หน้าอก ลงไปจนถึงช่วงท้องน้อย
3.ปลายเส้น คือ ตั้งแต่ท้องน้อย ลงไปจนถึงฝ่าเท้า
จะเห็นได้อย่างชัดเจนทั้ง 2 มือ ว่าเส้นสมองเป็นเกาะเป็นลูกโซ่ทั้งหมด ตั้งแต่ต้นเส้นจนถึงกลางเส้นดั่งฝ่ามือนี้แล้วล่ะก็ ทำนายได้ทันทีเลยว่าจะต้องป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นประสาท และระบบการไหลเวียนของเลือดอย่างแน่นอน
วินิจฉัยโรคจาก "เส้นใจ" ในทางหัตถศาสตร์สามารถบอกถึงระบบการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงของหัวใจ ถ้าเส้นใจผิดปกติ อย่างเช่นในภาพมือนี้ นั่นก็คือ เป็นเกาะลูกโซ่ที่ไขว้กันไปไขว้กันมา ไม่เป็นระเบียบ สามารถทำนายได้ทันทีเลยว่า หัวใจมีปัญหาอย่างแน่นอน
อาการเหล่านี้ คือ เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไปเลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้หัวใจทำงานมากขึ้น เพราะหัวใจต้องปั้มเลือดไปเลี้ยง เมื่อมากเข้าก็กลายเป็นหัวใจโต และมีโรคตามมานั่นก็คือ หมดสติ โรควูบ โรคหัวใจ อาการที่กล่าวมานี้ แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ก็เป็นได้เหมือนกัน ไม่ต้องรอจนถึงวัยผู้ใหญ่
สถิติทางการแพทย์ในประเทศไทยกล่าวถึง อัตราการหายขาดจากโรคนี้ ไว้ว่า การรักษาเป็นไปได้ยากยิ่ง มีความเป็นไปได้ในระดับต่ำ (30%) ที่จะหายขาด เพราะอาการผิดปกติเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ทางรอดจะน้อยมาก
หลายคนคงสงสัยว่าเด็กตัวแค่นี้ป่วยด้วยโรคที่ร้ายแรง เป็นเพราะอะไรหรือ? ถ้าเป็นเรื่องกรรม เด็กอายุน้อยๆ ก็ไม่เคยไปทำกรรมมาเลย ถูกต้องครับ เด็กยังคงบริสุทธิ์อยู่ แต่เรื่องของบุญกรรมนั้น เป็นเรื่องของอดีตชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ชาติที่แล้วเคยไปทำกรรมไว้ ชาตินี้จึงต้องเสวยกรรม เมื่อเป็นเรื่องของกรรม จึงจ้องแก้กับบุญ
มีอยู่ทางเดียว คือ บวชเป็นสามเณร ไปอยู่วัด ปฏิบัติธรรม ใช้ธรรมะเป็นโอสถรักษา โอกาสหายเป็นปกติก็จะมีมากขึ้น ขอให้บุญรักษาน้องคนนี้ด้วย โชคดีครับ
15 พ.ค. 2554
ชะนีตะกรุบเก้ง คู่มือสังเกต (เกย์)
ข้อ1 : เสื้อรัดรูป แต่งกายสไตล์ญี่ปุ่น เกาหลี
พวกชาวเกย์มักแต่งตัวสไตล์บอยแบนด์แนวญี่ปุ่น เกาหลี ใส่เสื้อเข้ารูป
กางเกงฟิต
ตัวเล็กแทบถอดไม่ได้ โทนสีสว่างแต่ไม่ฉูดฉาด เช่น สีแดงอ่อน, ฟ้าอ่อน, ชมพู,
สีเหลือง หรือสีครีม เกย์ประเภทนี้มักมีรูปร่างผอม สูง ขาว
ชอบใส่เครื่องประดับที่ข้อมือ
ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา, กำไล, ห่วง, เชือกถัก และมักใส่สร้อยหลายๆ เส้น
แต่เครื่องประดับ
ที่ชาวเกย์ไม่พลาดคือ ต่างหูเพชรเม็ดเล็กข้างขวา!
หรือบางคนเนี้ยบจัดหัวจรดเท้า เข็มขัดตั้งในระนาบเดียวกับกระดุมและซิปกางเกง
ความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 เซนติเมตร เสื้อรีดเรียบ หอมน้ำยาปรับผ้านุ่ม
แต่ถ้าเป็นเกย์ไฮโซเขาจะปะพรมน้ำหอมแบรนด์ดังกลิ่นฟุ้งกระจาย เรียกว่า
เดินจากไปห้านาทีแต่กลิ่นยังอยู่ครบ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ2 : ไว้เคราแพะ กล้ามเป็นมัด
สังเกตแต่เพียงเสื้อรัดรูปอย่างเดียวคงจะไม่ได้ เกย์ไม่ได้จะมาเนี้ยบ
หรือเสื้อฟิตอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ แบบเซอร์ๆ เค้าก็มีจ๊ะ
พวกนี้มักเป็นผู้ชายหุ่นดี
มีกล้าม จงใจไว้หนวด หรือเคราแพะ เพื่อให้กลมกลืนกับผู้ชายแท้ การแต่งตัวก็
แสนจะเรียบง่าย สังเกตยากมากแทบมองไม่ออก ชอบสังสรรค์ กลิ่นเหล้า ดูดบุรุษ
เอ้ยย! บุหรี่
แต่เซียนจับเกย์จะทราบดี เพราะพวกนี้จะมีพิรุธตรงที่ว่าจงใจเซอร์ คือ
จัดทรงผม หรือเคราให้เซอร์ในแบบที่กำหนด และส่องกระจกบ่อยเกินความจำเป็น
เดี๋ยวเล็มหนวด ซอยเครา ตัดขนจมูก เป็นต้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ3 : รู้เรื่องแฟชั่นดีกว่าเรา
เค้าเอาท์ไปนานแล้วจ๊ะที่รักเกาะอก สายเดี่ยวอ่ะ
สมัยนี้ต้องเอวสูงปรี๊ดเข้าไว้
ที่รักอย่าแต่งหน้าสไตล์นี้นะ มันดูแก่มาก ที่รักต้องกรีดอายไลเนอร์เส้นโตๆ นะ
ลิปสติกสีชมพูออกนู้ดๆ หน่อย
เทรนด์นี้กำลังมาเลยจ๊ะที่รักโหยยรู้ดีกว่าผู้หญิงซะอีก
ถ้าเขาแนะนำแบบนี้ต้องเอะใจด่วน!
บางครั้งชอบคอมเม้นท์การแต่งกายทำเราแทบไม่อยากออกจากบ้าน
ที่รักใส่แซ็กตัวนี้ แต่ใส่กางเกงในทรงนี้ไม่ได้นะ มันต้องจีสตริง
ไม่งั้นมันจะเห็นขอบกางเกงใน ไม่ผ่านเข้ารอบถัดไป อุ้ยย! จะไปไหนจ๊ะยายทวด
ใส่เสื้อตัวนี้เหมือนใส่เสื้อคอกระเช้าเลย
ถ้าผมเดินกับคุณต้องเหมือนพาป้าไปวัดแน่ๆเลย
ฮ่าฮ่าฮ่าพวกเกย์มักมีสำนวนจิกกัดผู้หญิงแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนจนเราด่าตอบไม่ทันเลยล่ะ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ4 : เข้าฟิตเนสทำกล้ามปู
ว่ากันว่าร้อยละ 80 ของผู้ชายที่เข้าฟิตเนส (Fitness) มักเป็นเกย์
เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับรูปร่างมากพอๆ กับหน้าตา
กล้ามต้องเป็นมัด หน้าท้องต้องแบนราบ
เช่นเดียวกับผู้หญิงใส่ใจในรูปร่างนั่นแหล่ะ
เพราะเวลาใส่เสื้อผ้าจะแลดูหุ่นดี น่าฟัด อยากคลุกวงใน จึงเป็นที่มาว่า
ทำไมพวกเกย์มักชอบใส่เสื้อผ้ารัดรูป ก็เพื่อโชว์หุ่นและกล้ามปูนั่นเอง
ใส่ใจในรูปร่างไม่พอ สังเกตง่ายๆ
พวกชาวเกย์มักเลือกกินอาหารดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ไม่ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสารอนุมูลอิสระทำให้หน้าตา
ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง สดใส ส่วนพวกอาหารเสริมจะต้องกินควบคู่กันไปด้วย วิตามิน
A ยัน Z เลยล่ะ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ5 : พกเครื่องสำอางติดตัว ของเต็มห้องน้ำ
ต้องมีเครื่องสำอางติดตัวอย่างน้อย 1 ชิ้น เช่น ลิปมัน กระดาษซับหน้า แป้งฝุ่น
แป้งพัฟ โลชั่นกันแดด เป็นต้น ปกติผู้ชายทั้งแท่งเค้ามีกันมั้ยล่ะ
แค่เดินออกจากบ้านไปหยิบกระเป๋าตังค์ก็หรูแล้ว
และโปรดสังเกตข้อนี้ให้ดีในห้องน้ำบ้านเขาจะอะไรที่มากกว่าสบู่ ยาสระผม
และยาสีฟัน จะต้องมีเพิ่มเติมไป เช่น สบู่ จะมาใช้สบู่ก้อนไม่ได้หรอกนะ
ต้องเป็นครีมอาบน้ำเท่านั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ใช้ครีมนวด
แต่สำหรับชาวเกย์ต้องใช้ครีมนวดผม บางครั้งต้องสำหรับผมทำสีซะด้วย
ไม่อาวว เดี๋ยวผมเค้าแตกปลาย! อาจมีใยบวบ ฟองน้ำขัดตัว สครับขัดผิว
น้ำยาคอนแทกเลนส์ (Contact Lens) เจลจัดแต่งทรงผม มีดโกน แหนบ (เอาไว้กันคิ้ว
เดี๋ยวไม่จ๋วย)
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 6 : พิสมัยครีมบำรุงหน้า ประทินผิวกาย
ใส่ใจกับครีมบำรุงหน้า และโลชั่นบำรุงผิวกายเป็นพิเศษ
บางครั้งต้องบำรุงหลากหลายตัว
กว่าจะออกจากบ้านได้ ทั้งอายครีม (Eye Cream) โทนเนอร์ (Toner)
มอยส์เจอร์ไรเซอร์
(Moisturizer) ครีมกันแดด เผลอๆ แอบมีโบ๊ะรองพื้นให้หน้าเด้งด้วยด้วยนะตัวเอง
สังเกตซิหน้าเขาจะเด้ง ใสจนผู้หญิงอายเลยล่ะ
มีครีมบำรุงหน้าแล้ว ไหนเลยจะละเลยเรื่องผิวกายล่ะ พวกเขาต้องมีไว้ประจำกาย
หลังอาบน้ำต้องชโลมผิวกายให้ชุ่มฉ่ำ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกไวท์เทนนิ่ง (Whittening)
รวมถึงครีมกันแดดตัวด้วย เพราะเขาจะกลัวมากดำ ไม่ชอบแดด เกลียดผิวแทน
ชอบความขาวใสนั่นเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 7 : ให้ความสำคัญกางเกงใน
เกย์จะให้ความสำคัญกับกางเกงในมากเป็นพิเศษ และที่สำคัญ จะต้องซื้อเอง
แฟนสาวไม่มีสิทธิ์ซื้อให้ สังเกตชาวเกย์ส่วนใหญ่ชอบใส่กางเกงในสีขาว หรือสีเทา
แต่นี้ก็ไม่ได้สรุปว่าผู้ชายที่ใส่ชุดชั้นในสีขาวจะต้องเป็นเกย์นะยะ
กางเกงในประเภท จีสตริง (G-String) บิกินี่(Bikini) แทงก้า (Tanga)
โอ้ย...มีพวกเขาจะมีสะสมครบทุกทรง ไม่ว่าจะขลิบดำ เขียว ฟ้า ชมพู
ชอบนักกางเกงในดีไซน์เยอะ ผ้าต้องคอตตอนอย่างดีเนี้ย
เพราะหากเป็นผู้ชายแท้ๆ เขาไม่ค่อยใส่ใจกางเกงในเท่าไหร่หรอก
ส่วนใหญ่พวกแฟนผู้หญิงต้องบากหน้าไปซื้อให้ประจำ
ผู้ชายบางคนนาฬิกาอย่างหรูเรือนเฉียหมื่นแต่ใส่ กกน.เป้าขาด รูเบ้อเริ้มตรงก้น
ราขึ้นจนเหลืองอ๋อย ขอบกางเกงในย้วยแล้วยานอีก แทบจะเอาหนังยางมัด
ยังไม่คิดจะทิ้งเลย !
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 8 : มองภาพระยะไกลได้ดี
ชาวเกย์จะมีสัญชาตญาณการมองภาพระยะไกลได้ดีเลิศ
โดยเฉพาะสามารถประเมินความหล่อของผู้ชายที่อยู่ระยะเกิน 30 เมตร
เมื่ออยู่ในแก๊งเกย์มักสะกิดกันยิกๆหล่อนมองไปที่ 11 นาฬิกา
หัวโค้งบันไดเลื่อนชั้น 5 ฝั่งซ้ายมือซิ ชั้นว่า หน้าเหมือนโดม มังกรลำ
มากเลยอ่ะ คนนี้ชั้นจองนะ ชั้นจะกิน เราลองไปเดินโฉบสแกนกันมั้ย
ว่าเป็นพวกเดียวกับเราหรือเปล่า
แต่หากเป็นพวกชะนีสวยระดับนางงามแต่งกายชนะเลิศ เสื้อ ผ้า หน้า ผมเป๊ะ!
เดินผ่านกายเกย์ สีหน้าสีตาจะต่างจากการมองผู้ชายไปในบัดดล
จะเปลี่ยนจากการส่งสายตาหวานเยิ้มหยดย้อย เป็นการมองแบ;จิกหรือ เหยียดในทันที
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 9 : ความเป็นศิลปินสูง
จากผลวิจัยในยุโรปพบว่า แกนสมองบริเวณใต้กะโหลกของคนที่เป็นเกย์
จะหนากว่าผู้ชายแท้เล็กน้อย
และเกย์ส่วนใหญ่มีการเติบโตในสมองซีกขวาได้ดีกว่าซีกซ้าย
นั่นหมายถึง เกย์มักมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัวเองสูง
จึงส่งผลให้เราพบเกย์จำนวนมากในแวดวง
การแสดงและอาชีพที่ต้องใช้ภาษาหรือความคิดสร้างสรรค์สูงๆ เช่น สไตลิสต์,
ดีไซเนอร์, ผู้ประกาศข่าว, สจ๊วต, นักดนตรี
สำหรับเกย์ที่อยู่ในสายอาชีพอื่นอาจแสดงความเป็นศิลปินออกทางงานอดิเรก
เช่น วาดรูป, แต่งคำประพันธ์, ทำอาหารเก่ง เป็นต้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 10 : นิ้วชี้เท่านิ้วนาง
แวดวงชาวเกย์เกือบ 80% เมื่อวางมือบนที่ราบ เช่นโต๊ะ โดยให้นิ้วทั้ง 5
แนบชิดติดกัน
จะมีความยาวของนิ้วชี้เท่ากับนิ้วนาง ซึ่งคนทั่วไป นิ้วนางจะยาวกว่าเล็กน้อย
ไม่เชื่อ ลองสังเกตกันดูซี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 11 : อย่าสังเกตนิ้วก้อยกระดก เพราะเกย์รู้ทัน!
การจับแก้วน้ำหรือสิ่งของที่เคยเข้าใจกันว่าถ้ามีการกรีดนิ้วก้อยออกแล้วจะเป็นเกย์นั้น
เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด เพราะคนเป็นเกย์รู้ถึงข้อนี้ดี
ดังนั้นจึงต้องระแวดระวังตัวอยู่ตลอด
วิธีการเลี่ยงก็คือ มักใช้นิ้วก้อยไปวางแนบกับก้นแก้วแทน ในขณะที่ยกขึ้นดื่ม
และการจับสิ่งของใดๆ ก็จะเหมือนๆ กับผู้ชายทั่วไป
จนไม่สามารถนำมาเป็นข้อสังเกตได้อีกต่อไป
เพราะเดี๋ยวนี้เกย์เค้าพัฒนาแล้ว เค้ารู้ทันหรอก
แหม เจ็บใจ ยิ่งทำให้ผู้หญิงอย่างต้องระแวดระวัง
มิฉะนั้นอาจโดนเกย์กินตับ..เสียของกันพอดี!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ12 : เดินช้า ก้าวเท้าสม่ำเสมอ
โดยทั่วไปเกย์มักจะเดินช้า หรือเดินเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
จะไม่เดินตุ้งติ้งเด็ดขาด แต่จะเดินนิ่งๆ มีเกย์ส่วนน้อยเท่านั้นที่เดินเร็ว
ซอยยิก และก้าวเท้ายาวเหมือนเพิ่งไปกระชากสร้อยคอทองคำใครมา
และจะไม่เดินโยก เป็นนักเลงหัวไม้เด็ดขาด
การเดินเหินจะต้องมีท่วงท่าอย่างเป็นสไตล์
มีจังหวะมั่นคง มีลีลาแบบฉบับของตนเอง บางคนขนาดเดิน หรือยืนนิ่งๆ
ต้องแอ๊บท่าเท่ห์ ให้สาวกรี๊ดอยู่ตลอดเวลา เช็กเรทติ้งตัวเองตลอดชะอุ้ย!
วันนี้ไม่หลุด แอ๊บเนียน แต๊บเก่ง ชนะเลิศ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ13 :ไม่ชอบมีเซ็กซ์ อ้าง"เหนื่อย-ง่วง"
วันนี้ผมทำงานทั้งวันเลย ผมเหนื่อยไม่มีแรงอ้างตลอดเวลา
พอแฟนสาวอยากจะล้วงลับตับแตกกลับปฏิเสธพร้อมหาวอ้างว่า ง่วง เหนื่อย ไม่สบาย
ใช่ซี้! ชั้นเป็นชะนีนี่ ไม่ใช่เก้ง กวาง ละมั่ง ละอู ที่หล่อนเห็นปั้บเขาสวยๆ
ก้นงามๆ
จะได้กระโดดใส่ปั้บ ตับ ตับ ตับ อ่ะ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 14 : เกลียดตุ๊ด!
ชอบทำตัวรังเกียจกะเทย เพื่อปกปิดความเป็นเกย์ในตัว มีอคติกับตุ๊ดเสียเหลือเกิน
เห็นอะไรที่เป็นตุ๊ดแต๋วแตกแหวกชิมิ จะออกอาการไม่ชอบอย่างแรง
ด่าแบบสาดเสียเทเสีย ยิ่งกะเทยแปลงเพศที่สวยระดับน้องปอย
เป็นต้องเกลียดเข้าไส้ เพราะชีงามเกินหญิง ไม่รู้อิจฉาความสวย
หรือพวกกะเทยกล้าเฉือน&แต่ตรูมิกล้าอ่ะครับดังนั้น ขอสรุปเอาเองได้ว่า
เกย์มักไม่กินเส้น(เกาเหลา)กับตุ๊ดนั่นเอง!
--
พวกชาวเกย์มักแต่งตัวสไตล์บอยแบนด์แนวญี่ปุ่น เกาหลี ใส่เสื้อเข้ารูป
กางเกงฟิต
ตัวเล็กแทบถอดไม่ได้ โทนสีสว่างแต่ไม่ฉูดฉาด เช่น สีแดงอ่อน, ฟ้าอ่อน, ชมพู,
สีเหลือง หรือสีครีม เกย์ประเภทนี้มักมีรูปร่างผอม สูง ขาว
ชอบใส่เครื่องประดับที่ข้อมือ
ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา, กำไล, ห่วง, เชือกถัก และมักใส่สร้อยหลายๆ เส้น
แต่เครื่องประดับ
ที่ชาวเกย์ไม่พลาดคือ ต่างหูเพชรเม็ดเล็กข้างขวา!
หรือบางคนเนี้ยบจัดหัวจรดเท้า เข็มขัดตั้งในระนาบเดียวกับกระดุมและซิปกางเกง
ความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 เซนติเมตร เสื้อรีดเรียบ หอมน้ำยาปรับผ้านุ่ม
แต่ถ้าเป็นเกย์ไฮโซเขาจะปะพรมน้ำหอมแบรนด์ดังกลิ่นฟุ้งกระจาย เรียกว่า
เดินจากไปห้านาทีแต่กลิ่นยังอยู่ครบ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ2 : ไว้เคราแพะ กล้ามเป็นมัด
สังเกตแต่เพียงเสื้อรัดรูปอย่างเดียวคงจะไม่ได้ เกย์ไม่ได้จะมาเนี้ยบ
หรือเสื้อฟิตอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ แบบเซอร์ๆ เค้าก็มีจ๊ะ
พวกนี้มักเป็นผู้ชายหุ่นดี
มีกล้าม จงใจไว้หนวด หรือเคราแพะ เพื่อให้กลมกลืนกับผู้ชายแท้ การแต่งตัวก็
แสนจะเรียบง่าย สังเกตยากมากแทบมองไม่ออก ชอบสังสรรค์ กลิ่นเหล้า ดูดบุรุษ
เอ้ยย! บุหรี่
แต่เซียนจับเกย์จะทราบดี เพราะพวกนี้จะมีพิรุธตรงที่ว่าจงใจเซอร์ คือ
จัดทรงผม หรือเคราให้เซอร์ในแบบที่กำหนด และส่องกระจกบ่อยเกินความจำเป็น
เดี๋ยวเล็มหนวด ซอยเครา ตัดขนจมูก เป็นต้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ3 : รู้เรื่องแฟชั่นดีกว่าเรา
เค้าเอาท์ไปนานแล้วจ๊ะที่รักเกาะอก สายเดี่ยวอ่ะ
สมัยนี้ต้องเอวสูงปรี๊ดเข้าไว้
ที่รักอย่าแต่งหน้าสไตล์นี้นะ มันดูแก่มาก ที่รักต้องกรีดอายไลเนอร์เส้นโตๆ นะ
ลิปสติกสีชมพูออกนู้ดๆ หน่อย
เทรนด์นี้กำลังมาเลยจ๊ะที่รักโหยยรู้ดีกว่าผู้หญิงซะอีก
ถ้าเขาแนะนำแบบนี้ต้องเอะใจด่วน!
บางครั้งชอบคอมเม้นท์การแต่งกายทำเราแทบไม่อยากออกจากบ้าน
ที่รักใส่แซ็กตัวนี้ แต่ใส่กางเกงในทรงนี้ไม่ได้นะ มันต้องจีสตริง
ไม่งั้นมันจะเห็นขอบกางเกงใน ไม่ผ่านเข้ารอบถัดไป อุ้ยย! จะไปไหนจ๊ะยายทวด
ใส่เสื้อตัวนี้เหมือนใส่เสื้อคอกระเช้าเลย
ถ้าผมเดินกับคุณต้องเหมือนพาป้าไปวัดแน่ๆเลย
ฮ่าฮ่าฮ่าพวกเกย์มักมีสำนวนจิกกัดผู้หญิงแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนจนเราด่าตอบไม่ทันเลยล่ะ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ4 : เข้าฟิตเนสทำกล้ามปู
ว่ากันว่าร้อยละ 80 ของผู้ชายที่เข้าฟิตเนส (Fitness) มักเป็นเกย์
เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับรูปร่างมากพอๆ กับหน้าตา
กล้ามต้องเป็นมัด หน้าท้องต้องแบนราบ
เช่นเดียวกับผู้หญิงใส่ใจในรูปร่างนั่นแหล่ะ
เพราะเวลาใส่เสื้อผ้าจะแลดูหุ่นดี น่าฟัด อยากคลุกวงใน จึงเป็นที่มาว่า
ทำไมพวกเกย์มักชอบใส่เสื้อผ้ารัดรูป ก็เพื่อโชว์หุ่นและกล้ามปูนั่นเอง
ใส่ใจในรูปร่างไม่พอ สังเกตง่ายๆ
พวกชาวเกย์มักเลือกกินอาหารดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ไม่ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสารอนุมูลอิสระทำให้หน้าตา
ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง สดใส ส่วนพวกอาหารเสริมจะต้องกินควบคู่กันไปด้วย วิตามิน
A ยัน Z เลยล่ะ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ5 : พกเครื่องสำอางติดตัว ของเต็มห้องน้ำ
ต้องมีเครื่องสำอางติดตัวอย่างน้อย 1 ชิ้น เช่น ลิปมัน กระดาษซับหน้า แป้งฝุ่น
แป้งพัฟ โลชั่นกันแดด เป็นต้น ปกติผู้ชายทั้งแท่งเค้ามีกันมั้ยล่ะ
แค่เดินออกจากบ้านไปหยิบกระเป๋าตังค์ก็หรูแล้ว
และโปรดสังเกตข้อนี้ให้ดีในห้องน้ำบ้านเขาจะอะไรที่มากกว่าสบู่ ยาสระผม
และยาสีฟัน จะต้องมีเพิ่มเติมไป เช่น สบู่ จะมาใช้สบู่ก้อนไม่ได้หรอกนะ
ต้องเป็นครีมอาบน้ำเท่านั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ใช้ครีมนวด
แต่สำหรับชาวเกย์ต้องใช้ครีมนวดผม บางครั้งต้องสำหรับผมทำสีซะด้วย
ไม่อาวว เดี๋ยวผมเค้าแตกปลาย! อาจมีใยบวบ ฟองน้ำขัดตัว สครับขัดผิว
น้ำยาคอนแทกเลนส์ (Contact Lens) เจลจัดแต่งทรงผม มีดโกน แหนบ (เอาไว้กันคิ้ว
เดี๋ยวไม่จ๋วย)
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 6 : พิสมัยครีมบำรุงหน้า ประทินผิวกาย
ใส่ใจกับครีมบำรุงหน้า และโลชั่นบำรุงผิวกายเป็นพิเศษ
บางครั้งต้องบำรุงหลากหลายตัว
กว่าจะออกจากบ้านได้ ทั้งอายครีม (Eye Cream) โทนเนอร์ (Toner)
มอยส์เจอร์ไรเซอร์
(Moisturizer) ครีมกันแดด เผลอๆ แอบมีโบ๊ะรองพื้นให้หน้าเด้งด้วยด้วยนะตัวเอง
สังเกตซิหน้าเขาจะเด้ง ใสจนผู้หญิงอายเลยล่ะ
มีครีมบำรุงหน้าแล้ว ไหนเลยจะละเลยเรื่องผิวกายล่ะ พวกเขาต้องมีไว้ประจำกาย
หลังอาบน้ำต้องชโลมผิวกายให้ชุ่มฉ่ำ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกไวท์เทนนิ่ง (Whittening)
รวมถึงครีมกันแดดตัวด้วย เพราะเขาจะกลัวมากดำ ไม่ชอบแดด เกลียดผิวแทน
ชอบความขาวใสนั่นเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 7 : ให้ความสำคัญกางเกงใน
เกย์จะให้ความสำคัญกับกางเกงในมากเป็นพิเศษ และที่สำคัญ จะต้องซื้อเอง
แฟนสาวไม่มีสิทธิ์ซื้อให้ สังเกตชาวเกย์ส่วนใหญ่ชอบใส่กางเกงในสีขาว หรือสีเทา
แต่นี้ก็ไม่ได้สรุปว่าผู้ชายที่ใส่ชุดชั้นในสีขาวจะต้องเป็นเกย์นะยะ
กางเกงในประเภท จีสตริง (G-String) บิกินี่(Bikini) แทงก้า (Tanga)
โอ้ย...มีพวกเขาจะมีสะสมครบทุกทรง ไม่ว่าจะขลิบดำ เขียว ฟ้า ชมพู
ชอบนักกางเกงในดีไซน์เยอะ ผ้าต้องคอตตอนอย่างดีเนี้ย
เพราะหากเป็นผู้ชายแท้ๆ เขาไม่ค่อยใส่ใจกางเกงในเท่าไหร่หรอก
ส่วนใหญ่พวกแฟนผู้หญิงต้องบากหน้าไปซื้อให้ประจำ
ผู้ชายบางคนนาฬิกาอย่างหรูเรือนเฉียหมื่นแต่ใส่ กกน.เป้าขาด รูเบ้อเริ้มตรงก้น
ราขึ้นจนเหลืองอ๋อย ขอบกางเกงในย้วยแล้วยานอีก แทบจะเอาหนังยางมัด
ยังไม่คิดจะทิ้งเลย !
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 8 : มองภาพระยะไกลได้ดี
ชาวเกย์จะมีสัญชาตญาณการมองภาพระยะไกลได้ดีเลิศ
โดยเฉพาะสามารถประเมินความหล่อของผู้ชายที่อยู่ระยะเกิน 30 เมตร
เมื่ออยู่ในแก๊งเกย์มักสะกิดกันยิกๆหล่อนมองไปที่ 11 นาฬิกา
หัวโค้งบันไดเลื่อนชั้น 5 ฝั่งซ้ายมือซิ ชั้นว่า หน้าเหมือนโดม มังกรลำ
มากเลยอ่ะ คนนี้ชั้นจองนะ ชั้นจะกิน เราลองไปเดินโฉบสแกนกันมั้ย
ว่าเป็นพวกเดียวกับเราหรือเปล่า
แต่หากเป็นพวกชะนีสวยระดับนางงามแต่งกายชนะเลิศ เสื้อ ผ้า หน้า ผมเป๊ะ!
เดินผ่านกายเกย์ สีหน้าสีตาจะต่างจากการมองผู้ชายไปในบัดดล
จะเปลี่ยนจากการส่งสายตาหวานเยิ้มหยดย้อย เป็นการมองแบ;จิกหรือ เหยียดในทันที
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 9 : ความเป็นศิลปินสูง
จากผลวิจัยในยุโรปพบว่า แกนสมองบริเวณใต้กะโหลกของคนที่เป็นเกย์
จะหนากว่าผู้ชายแท้เล็กน้อย
และเกย์ส่วนใหญ่มีการเติบโตในสมองซีกขวาได้ดีกว่าซีกซ้าย
นั่นหมายถึง เกย์มักมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัวเองสูง
จึงส่งผลให้เราพบเกย์จำนวนมากในแวดวง
การแสดงและอาชีพที่ต้องใช้ภาษาหรือความคิดสร้างสรรค์สูงๆ เช่น สไตลิสต์,
ดีไซเนอร์, ผู้ประกาศข่าว, สจ๊วต, นักดนตรี
สำหรับเกย์ที่อยู่ในสายอาชีพอื่นอาจแสดงความเป็นศิลปินออกทางงานอดิเรก
เช่น วาดรูป, แต่งคำประพันธ์, ทำอาหารเก่ง เป็นต้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 10 : นิ้วชี้เท่านิ้วนาง
แวดวงชาวเกย์เกือบ 80% เมื่อวางมือบนที่ราบ เช่นโต๊ะ โดยให้นิ้วทั้ง 5
แนบชิดติดกัน
จะมีความยาวของนิ้วชี้เท่ากับนิ้วนาง ซึ่งคนทั่วไป นิ้วนางจะยาวกว่าเล็กน้อย
ไม่เชื่อ ลองสังเกตกันดูซี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 11 : อย่าสังเกตนิ้วก้อยกระดก เพราะเกย์รู้ทัน!
การจับแก้วน้ำหรือสิ่งของที่เคยเข้าใจกันว่าถ้ามีการกรีดนิ้วก้อยออกแล้วจะเป็นเกย์นั้น
เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด เพราะคนเป็นเกย์รู้ถึงข้อนี้ดี
ดังนั้นจึงต้องระแวดระวังตัวอยู่ตลอด
วิธีการเลี่ยงก็คือ มักใช้นิ้วก้อยไปวางแนบกับก้นแก้วแทน ในขณะที่ยกขึ้นดื่ม
และการจับสิ่งของใดๆ ก็จะเหมือนๆ กับผู้ชายทั่วไป
จนไม่สามารถนำมาเป็นข้อสังเกตได้อีกต่อไป
เพราะเดี๋ยวนี้เกย์เค้าพัฒนาแล้ว เค้ารู้ทันหรอก
แหม เจ็บใจ ยิ่งทำให้ผู้หญิงอย่างต้องระแวดระวัง
มิฉะนั้นอาจโดนเกย์กินตับ..เสียของกันพอดี!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ12 : เดินช้า ก้าวเท้าสม่ำเสมอ
โดยทั่วไปเกย์มักจะเดินช้า หรือเดินเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
จะไม่เดินตุ้งติ้งเด็ดขาด แต่จะเดินนิ่งๆ มีเกย์ส่วนน้อยเท่านั้นที่เดินเร็ว
ซอยยิก และก้าวเท้ายาวเหมือนเพิ่งไปกระชากสร้อยคอทองคำใครมา
และจะไม่เดินโยก เป็นนักเลงหัวไม้เด็ดขาด
การเดินเหินจะต้องมีท่วงท่าอย่างเป็นสไตล์
มีจังหวะมั่นคง มีลีลาแบบฉบับของตนเอง บางคนขนาดเดิน หรือยืนนิ่งๆ
ต้องแอ๊บท่าเท่ห์ ให้สาวกรี๊ดอยู่ตลอดเวลา เช็กเรทติ้งตัวเองตลอดชะอุ้ย!
วันนี้ไม่หลุด แอ๊บเนียน แต๊บเก่ง ชนะเลิศ
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ13 :ไม่ชอบมีเซ็กซ์ อ้าง"เหนื่อย-ง่วง"
วันนี้ผมทำงานทั้งวันเลย ผมเหนื่อยไม่มีแรงอ้างตลอดเวลา
พอแฟนสาวอยากจะล้วงลับตับแตกกลับปฏิเสธพร้อมหาวอ้างว่า ง่วง เหนื่อย ไม่สบาย
ใช่ซี้! ชั้นเป็นชะนีนี่ ไม่ใช่เก้ง กวาง ละมั่ง ละอู ที่หล่อนเห็นปั้บเขาสวยๆ
ก้นงามๆ
จะได้กระโดดใส่ปั้บ ตับ ตับ ตับ อ่ะ!
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อ 14 : เกลียดตุ๊ด!
ชอบทำตัวรังเกียจกะเทย เพื่อปกปิดความเป็นเกย์ในตัว มีอคติกับตุ๊ดเสียเหลือเกิน
เห็นอะไรที่เป็นตุ๊ดแต๋วแตกแหวกชิมิ จะออกอาการไม่ชอบอย่างแรง
ด่าแบบสาดเสียเทเสีย ยิ่งกะเทยแปลงเพศที่สวยระดับน้องปอย
เป็นต้องเกลียดเข้าไส้ เพราะชีงามเกินหญิง ไม่รู้อิจฉาความสวย
หรือพวกกะเทยกล้าเฉือน&แต่ตรูมิกล้าอ่ะครับดังนั้น ขอสรุปเอาเองได้ว่า
เกย์มักไม่กินเส้น(เกาเหลา)กับตุ๊ดนั่นเอง!
--
14 พ.ค. 2554
12 ราศีกับอาการป่วย
นอกจากวันเดือนปีเกิดจะบอกลักษณะนิสัยของเราแล้ว ยังอาจพยากรณ์ได้ด้วยว่าเราจะป่วยแบบใด และควรรักษาแบบไหน ฉะนั้น ใครที่สนใจใคร่รู้ว่าตัวเองเข้าข่ายป่วยเป็นโรคอะไรได้บ้าง ก็ลองไล่เรียงตามดูกันได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยากบอกว่าเรื่องของสุขภาพใคร ๆ ก็อาจล้มป่วยกันได้นะคะ ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี ๆ
ราศีมังกร (21 ธันวาคม - 19 มกราคม)
ส่วนมากคนที่เกิดราศีนี้จะมีบุคลิกก้าวร้าว ส่งผลให้ส่วนของกระดูกและข้อต่อไม่มีความยืดหยุ่น และเมื่ออายุมากขึ้นก็จะป่วยเป็นโรคกระดูกและข้อต่อได้ง่าย ฉะนั้น ควรเริ่มต้นบำรุงกระดูกตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการกินอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม งาดำ ผักสีเขียว ไปจนถึงกินปลาเล็กปลาน้อย และออกกำลังเป็นประจำ อย่างไรก็ดี เมื่อชาวราศีมังกรเป็นโรคนี้ แล้วจะเจ็บปวดมาก เพราไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องให้ยาลดการอักเสบและอาการบวมตามข้อเป็นระยะ ๆ ดังนั้น ควรหมั่นดูแลตัวเองอยู่เสมอๆ นะคะ ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงกับการเป็นโรคข้อต่ออักเสบ ธัยรอยด์ กระดูกและฟันเปราะค่ะ
ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
ชาวราศีนี้ชอบสังสรรค์สมาคมกับผู้อื่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เกิดราศีนี้กลับมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นโรค เกี่ยวกับระบบประสาท นอกจากนั้น คนราศีนี้ยังเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคข้อเท้าบวม เส้นเลือดขอด ข้อเท้าเคล็ด ไปจนถึงข้อต่ออักเสบ ซึ่งตามพื้นดวงแล้วชาวกุมภ์มักมีอาการบวมที่ข้อเท้าหรือบริเวณต่ำกว่าหัว เข่าลงมา ฉะนั้น ควรหมั่นนวดขาทุกวันด้วยน้ำมันนวดตัว เพื่อบริหารให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนั้นโดยพื้นดวงแล้วชาวกุมภ์มักเป็นคนทะเยอทะยาน ซึ่งถ้าไม่รักษาสมดุลให้ดีก็อาจส่งผลต่อโรคเกี่ยวกับระบบประสาทตามที่กล่าว มาข้างต้น
ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
ชาวมีนเป็นคนเข้าข่ายบ้างาน และคิดมากในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เหตุนี้ชาวมีนจึงรู้สึกเหนื่อยง่ายและปวดหัวอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน ไม่แข็งแรง ถ้าเร่งงานจนต้องอดนอน ชาวมีนจะป่วยได้ง่ายมาก ฉะนั้น ควรหมั่นกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ และดื่มน้ำสมุนไพร เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง
ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
ชาวเมษเป็นพวกที่ชอบฟังเสียงเพลง และบ่อยครั้ง การฟังเพลงเสียงดังมากเกินไปก็อาจทำให้ระบบประสาทเกิดความตึงเครียดได้ ซึ่งด้วยอิทธิพลของดวงดาวแล้วชาวเมษจะมีปัญหาตรงบริเวณศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคไมเกรน ยิ่งพื้นฐานชาวเมษเป็นคนเครียดง่าย คิดมาก บวกกับไม่ชอบกินอาหารตรงเวลา จึงทำให้อาการปวดหัวกำเริบอยู่บ่อย ๆ หนำซ้ำยังป่วยเป็นโรคหวัดและไซนัสอักเสบได้ง่ายอีกด้วย อย่างไรก็ดี ชาวเมษมีแนวโน้มว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งส่งผลให้ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน ฉะนั้น ควรหาเวลาพักผ่อนให้มาก ๆ และพยายามอย่าใช้ชีวิตเร่งรีบมากนัก
ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
ชาวพฤษภมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพคอ ถ้าเมื่อไหร่ที่เครียดจัดหรืออยู่ในที่ที่อากาศเย็น ๆ จะปวดคอได้ง่าย นอกจากปัญหาเรื่องปวดคอและคอติดเชื้อแล้วยังมีปัญหาเรื่องต่อมธัยรอยด์ทำงาน ไม่ปกติ และระบบเผาผลาญอาหารทำงานไม่ค่อยดี ตำแหน่งตรงคอจะมีส่วนสำคัญในการแสดงความรัก และแสดงความสามารถออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ ดังนั้น ชาวราศีนี้จึงควรดูแลคอตัวเองให้ดี ๆ เพราะว่ามันมีผลต่อการแสดงความคิดสร้างสรรค์ออกมาด้วย
ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 22 มิถุนายน)
ชาวเมถุนมีแนวโน้มจะป่วยด้วย โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และปอด ดังนั้น ควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด หมั่นนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ และหายใจเข้าออกอย่างถูกวิธี ทั้งนี้ ชาวเมถุนยังมีจุดอ่อน บริเวณหลังและไหล่ ทำให้เส้นเอ็นบริเวณนั้นตึงอยู่บ่อยๆ จนเกิดอาการอักเสบ ใครที่ชอบนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ควรหาอะไรมารองมือและหลังไว้ให้ดี ๆ เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง ฉะนั้น ควรหาเวลาออกกำลังกายเพื่อช่วยในเรื่องระบบหายใจ และช่วยให้นอนหลังได้ดียิ่งขึ้น
ราศีกรกฎ (23 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
ชาวราศีนี้มีแนวโน้มจะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและโรคลำไส้ อักเสบ รวมทั้งโรคที่เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ ยังปวดท้องได้ง่าย ทั้งนี้ เพราะพื้นดวงชาวราศีนี้จะเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย ฉะนั้น ควรระวังเรื่องการกินและอารมณ์ให้มาก ๆ เพราะจะส่งผลให้ป่วยได้ง่าย
ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
ชาวสิงห์มักสง่าและเป็นจ่าฝูง (หรือศูนย์กลาง) ในทุกๆ เรื่อง ฉะนั้น พื้นดวงของคนราศีนี้จึงมักมีปัญหาเรื่องระบบหัวใจและกระดูกสันหลังอันถือว่า เป็นศูนย์กลางของร่างกายของเราด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยความที่ชาวสิงห์เป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้นและไม่ยืดหยุ่น จึงทำให้กล้ามเนื้อตามร่างกายเกร็งและปวดเมื่อยอยู่บ่อย ๆ และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ป่วยเป็นโรคเครียดได้ง่าย และพัฒนาไปสู่โรคความดันโลหิตสูง หัวใจ และหลอดเลือดตีบ ฉะนั้น ชาวสิงห์ควรดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี ๆ เพื่อจะได้ไม่ไปเร่งให้เกิดโรคที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 20 กันยายน)
ปกติสาวกันย์เป็นสาวที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ฉะนั้น โรคภัยใช้เจ็บจึงไม่ค่อยถามหา แต่อย่างไรก็ดีด้วยความที่ระบบในร่างกายของสาวกันย์อาจอ่อนไหวง่ายกับโรคที่ เกี่ยวกับการย่อยอาหาร ถ้ากินอาหารไม่เป็นเวลาและเครียดอยู่เป็นประจำ สาวกันย์อาจป่วยเป็นโรคกระเพาะได้ง่าย ฉะนั้น ควรรู้จักปล่อยวาง และหมั่นหาน้ำเก็กฮวยมาดื่มเพื่อช่วยให้ท้องอบอุ่น
ราศีตุล (21 กันยายน - 22 ตุลาคม)
ชาวราศีนี้ควรระวังเรื่องการทำงานของไตและกระเพาะปัสสาวะ ฉะนั้น ทางที่ดีควรหมั่นดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 6- 8 แก้ว และควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เป็ด ไก่ แล้วหมั่น กินผักผลไม้สดแทน และด้วยความที่คนราศีนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวศุกร์จึงทำให้ไขมันส่วนเกินถูกขับมาจากไต ส่งผลให้ผิวหนังเป็นสิวได้ง่าย จึงควรหมั่นดูแลผิวหนังให้ดี ๆ และรักษาความสะอวดให้มากเป็นพิเศษ
ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 22 พฤศจิกายน)
ด้วยพื้นฐานของชาวราศีพิจิกเป็นคนที่เก็บอารมณ์ ทำให้ลามไปถึงชอบเก็บชอบอั้นของเสียเอาไว้ ไม่ยอมถ่ายตรงตามเวลา หนำซ้ำคนราศีนี้ ยังชอบกินอาหารที่มีไขมันสูงจนทำให้ท้องผูกบ่อยๆ และบางครั้งลามไปจนเป็นโรคริดสีดวงทวาร ฉะนั้น ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและหมั่นขับถ่ายให้เป็นเวลา นอกจากนี้ ควรระวังเรื่องระบบอวัยวะสืบพันธุ์ด้วย
ราศีธนู (23 พฤศจิกายน - 20 ธันวาคม)
หนุ่มสาวธนูส่วนใหญ่ชื่นชอบการดื่มเป็นชีวิตจิตใจ ฉะนั้น ควรระวังเรื่องตับเป็นพิเศษ ตั้งแต่ตับแข็ง ตับอักเสบ ไปจนถึงโรคพิษสุราเรื้อรัง นอกจากนี้ ชาวราศีธนูมักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดีด้วย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ๆ ลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ส่งผลเสียต่อตับ
Did You Know?
สาวราศีกรกฎที่มักมีปัญหาระบบการย่อยอาหาร ควรรู้ไว้ว่าการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องจะส่งผลเสียให้ระบบการ เผาผลาญอาหารของคุณแย่ลง ฉะนั้น ควรเพลา ๆ เรื่องเหล่านี้ ไว้ก็ดีนะคะ
รู้ไว้ใช่ว่า
ด้วยความที่พื้นดวงของคนราศีพฤษภมักป่วยเป็นโรคเจ็บคอบ่อยๆ ฉะนั้น เพื่อป้องกันกันไม่ให้อาการเจ็บคอเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ลองดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือเพื่อช่วยบรรเทาอาการ อย่างไรก็ดี อาการเจ็บคอและคออักเสบอาจมี ที่มาจากฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือไม่ก็แพ้สารเคมีบางอย่าง ถ้าเป็นติดต่อกันหลายวัน ก็ควรไปหาหมอหรือลองตรวจหาสาเหตุว่าอะไร คือปัจจัยที่ทำให้เราเกิดการระคายเคืองคอ
ราศีมังกร (21 ธันวาคม - 19 มกราคม)
ส่วนมากคนที่เกิดราศีนี้จะมีบุคลิกก้าวร้าว ส่งผลให้ส่วนของกระดูกและข้อต่อไม่มีความยืดหยุ่น และเมื่ออายุมากขึ้นก็จะป่วยเป็นโรคกระดูกและข้อต่อได้ง่าย ฉะนั้น ควรเริ่มต้นบำรุงกระดูกตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการกินอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม งาดำ ผักสีเขียว ไปจนถึงกินปลาเล็กปลาน้อย และออกกำลังเป็นประจำ อย่างไรก็ดี เมื่อชาวราศีมังกรเป็นโรคนี้ แล้วจะเจ็บปวดมาก เพราไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องให้ยาลดการอักเสบและอาการบวมตามข้อเป็นระยะ ๆ ดังนั้น ควรหมั่นดูแลตัวเองอยู่เสมอๆ นะคะ ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงกับการเป็นโรคข้อต่ออักเสบ ธัยรอยด์ กระดูกและฟันเปราะค่ะ
ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
ชาวราศีนี้ชอบสังสรรค์สมาคมกับผู้อื่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เกิดราศีนี้กลับมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นโรค เกี่ยวกับระบบประสาท นอกจากนั้น คนราศีนี้ยังเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคข้อเท้าบวม เส้นเลือดขอด ข้อเท้าเคล็ด ไปจนถึงข้อต่ออักเสบ ซึ่งตามพื้นดวงแล้วชาวกุมภ์มักมีอาการบวมที่ข้อเท้าหรือบริเวณต่ำกว่าหัว เข่าลงมา ฉะนั้น ควรหมั่นนวดขาทุกวันด้วยน้ำมันนวดตัว เพื่อบริหารให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนั้นโดยพื้นดวงแล้วชาวกุมภ์มักเป็นคนทะเยอทะยาน ซึ่งถ้าไม่รักษาสมดุลให้ดีก็อาจส่งผลต่อโรคเกี่ยวกับระบบประสาทตามที่กล่าว มาข้างต้น
ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
ชาวมีนเป็นคนเข้าข่ายบ้างาน และคิดมากในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เหตุนี้ชาวมีนจึงรู้สึกเหนื่อยง่ายและปวดหัวอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน ไม่แข็งแรง ถ้าเร่งงานจนต้องอดนอน ชาวมีนจะป่วยได้ง่ายมาก ฉะนั้น ควรหมั่นกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ และดื่มน้ำสมุนไพร เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง
ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
ชาวเมษเป็นพวกที่ชอบฟังเสียงเพลง และบ่อยครั้ง การฟังเพลงเสียงดังมากเกินไปก็อาจทำให้ระบบประสาทเกิดความตึงเครียดได้ ซึ่งด้วยอิทธิพลของดวงดาวแล้วชาวเมษจะมีปัญหาตรงบริเวณศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคไมเกรน ยิ่งพื้นฐานชาวเมษเป็นคนเครียดง่าย คิดมาก บวกกับไม่ชอบกินอาหารตรงเวลา จึงทำให้อาการปวดหัวกำเริบอยู่บ่อย ๆ หนำซ้ำยังป่วยเป็นโรคหวัดและไซนัสอักเสบได้ง่ายอีกด้วย อย่างไรก็ดี ชาวเมษมีแนวโน้มว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งส่งผลให้ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน ฉะนั้น ควรหาเวลาพักผ่อนให้มาก ๆ และพยายามอย่าใช้ชีวิตเร่งรีบมากนัก
ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
ชาวพฤษภมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพคอ ถ้าเมื่อไหร่ที่เครียดจัดหรืออยู่ในที่ที่อากาศเย็น ๆ จะปวดคอได้ง่าย นอกจากปัญหาเรื่องปวดคอและคอติดเชื้อแล้วยังมีปัญหาเรื่องต่อมธัยรอยด์ทำงาน ไม่ปกติ และระบบเผาผลาญอาหารทำงานไม่ค่อยดี ตำแหน่งตรงคอจะมีส่วนสำคัญในการแสดงความรัก และแสดงความสามารถออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ ดังนั้น ชาวราศีนี้จึงควรดูแลคอตัวเองให้ดี ๆ เพราะว่ามันมีผลต่อการแสดงความคิดสร้างสรรค์ออกมาด้วย
ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 22 มิถุนายน)
ชาวเมถุนมีแนวโน้มจะป่วยด้วย โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และปอด ดังนั้น ควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด หมั่นนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ และหายใจเข้าออกอย่างถูกวิธี ทั้งนี้ ชาวเมถุนยังมีจุดอ่อน บริเวณหลังและไหล่ ทำให้เส้นเอ็นบริเวณนั้นตึงอยู่บ่อยๆ จนเกิดอาการอักเสบ ใครที่ชอบนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ควรหาอะไรมารองมือและหลังไว้ให้ดี ๆ เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง ฉะนั้น ควรหาเวลาออกกำลังกายเพื่อช่วยในเรื่องระบบหายใจ และช่วยให้นอนหลังได้ดียิ่งขึ้น
ราศีกรกฎ (23 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
ชาวราศีนี้มีแนวโน้มจะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและโรคลำไส้ อักเสบ รวมทั้งโรคที่เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ ยังปวดท้องได้ง่าย ทั้งนี้ เพราะพื้นดวงชาวราศีนี้จะเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย ฉะนั้น ควรระวังเรื่องการกินและอารมณ์ให้มาก ๆ เพราะจะส่งผลให้ป่วยได้ง่าย
ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
ชาวสิงห์มักสง่าและเป็นจ่าฝูง (หรือศูนย์กลาง) ในทุกๆ เรื่อง ฉะนั้น พื้นดวงของคนราศีนี้จึงมักมีปัญหาเรื่องระบบหัวใจและกระดูกสันหลังอันถือว่า เป็นศูนย์กลางของร่างกายของเราด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยความที่ชาวสิงห์เป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้นและไม่ยืดหยุ่น จึงทำให้กล้ามเนื้อตามร่างกายเกร็งและปวดเมื่อยอยู่บ่อย ๆ และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ป่วยเป็นโรคเครียดได้ง่าย และพัฒนาไปสู่โรคความดันโลหิตสูง หัวใจ และหลอดเลือดตีบ ฉะนั้น ชาวสิงห์ควรดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี ๆ เพื่อจะได้ไม่ไปเร่งให้เกิดโรคที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 20 กันยายน)
ปกติสาวกันย์เป็นสาวที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ฉะนั้น โรคภัยใช้เจ็บจึงไม่ค่อยถามหา แต่อย่างไรก็ดีด้วยความที่ระบบในร่างกายของสาวกันย์อาจอ่อนไหวง่ายกับโรคที่ เกี่ยวกับการย่อยอาหาร ถ้ากินอาหารไม่เป็นเวลาและเครียดอยู่เป็นประจำ สาวกันย์อาจป่วยเป็นโรคกระเพาะได้ง่าย ฉะนั้น ควรรู้จักปล่อยวาง และหมั่นหาน้ำเก็กฮวยมาดื่มเพื่อช่วยให้ท้องอบอุ่น
ราศีตุล (21 กันยายน - 22 ตุลาคม)
ชาวราศีนี้ควรระวังเรื่องการทำงานของไตและกระเพาะปัสสาวะ ฉะนั้น ทางที่ดีควรหมั่นดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 6- 8 แก้ว และควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เป็ด ไก่ แล้วหมั่น กินผักผลไม้สดแทน และด้วยความที่คนราศีนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดาวศุกร์จึงทำให้ไขมันส่วนเกินถูกขับมาจากไต ส่งผลให้ผิวหนังเป็นสิวได้ง่าย จึงควรหมั่นดูแลผิวหนังให้ดี ๆ และรักษาความสะอวดให้มากเป็นพิเศษ
ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 22 พฤศจิกายน)
ด้วยพื้นฐานของชาวราศีพิจิกเป็นคนที่เก็บอารมณ์ ทำให้ลามไปถึงชอบเก็บชอบอั้นของเสียเอาไว้ ไม่ยอมถ่ายตรงตามเวลา หนำซ้ำคนราศีนี้ ยังชอบกินอาหารที่มีไขมันสูงจนทำให้ท้องผูกบ่อยๆ และบางครั้งลามไปจนเป็นโรคริดสีดวงทวาร ฉะนั้น ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและหมั่นขับถ่ายให้เป็นเวลา นอกจากนี้ ควรระวังเรื่องระบบอวัยวะสืบพันธุ์ด้วย
ราศีธนู (23 พฤศจิกายน - 20 ธันวาคม)
หนุ่มสาวธนูส่วนใหญ่ชื่นชอบการดื่มเป็นชีวิตจิตใจ ฉะนั้น ควรระวังเรื่องตับเป็นพิเศษ ตั้งแต่ตับแข็ง ตับอักเสบ ไปจนถึงโรคพิษสุราเรื้อรัง นอกจากนี้ ชาวราศีธนูมักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดีด้วย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี ๆ ลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ส่งผลเสียต่อตับ
Did You Know?
สาวราศีกรกฎที่มักมีปัญหาระบบการย่อยอาหาร ควรรู้ไว้ว่าการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องจะส่งผลเสียให้ระบบการ เผาผลาญอาหารของคุณแย่ลง ฉะนั้น ควรเพลา ๆ เรื่องเหล่านี้ ไว้ก็ดีนะคะ
รู้ไว้ใช่ว่า
ด้วยความที่พื้นดวงของคนราศีพฤษภมักป่วยเป็นโรคเจ็บคอบ่อยๆ ฉะนั้น เพื่อป้องกันกันไม่ให้อาการเจ็บคอเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ลองดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือเพื่อช่วยบรรเทาอาการ อย่างไรก็ดี อาการเจ็บคอและคออักเสบอาจมี ที่มาจากฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือไม่ก็แพ้สารเคมีบางอย่าง ถ้าเป็นติดต่อกันหลายวัน ก็ควรไปหาหมอหรือลองตรวจหาสาเหตุว่าอะไร คือปัจจัยที่ทำให้เราเกิดการระคายเคืองคอ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)