14 ธ.ค. 2551

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ของเกาะช้าง

แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ

1. หาดทราย
มีหาดทรายที่สวยงามและขาวสะอาด มีน้ำทะเลที่ใสสะอาด เหมาะสำหรับ นักท่องเที่ยวมาพักผ่อน มีหาดทรายยาวประมาณ ๕ กิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตตำบลเกาะช้างและตาม หมู่เกาะต่าง ๆ
- หาดคลองพร้าว
- หาดทรายขาว
- หาดไก่แบ้
- หาดท่าน้ำล่าง
- หาดบางเบ้า
- หาดคลองกลอย
- เกาะเหลายา
- เกาะมันนอก , เกาะมันใน
- เกาะหวาย

2. น้ำตก
มีน้ำตกที่สวยงามและน่าสนใจ ๕ แห่ง ได้แก่
๒.๑ น้ำตกธารมะยม เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะช้าง มีน้ำไหลตลอดปี เป็นน้ำตกขนาดกลาง มี ๔ ชั้น ลักษณะเป็นธารน้ำไหลผ่านลงมาเป็นชั้น ๆ ตามร่องหิน มีหน้าผาสูงชันจนเกือบตั้งฉากสภาพโดยทั่วไปเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์
๒.๒ น้ำตกคลองพลู เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำไหลตลอดปี น้ำตกจากหน้าผาสูงโจนลงมาเป็นเส้นสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง มี ๓ ชั้น ชั้นแรกสูงประมาณ ๑๐๐ เมตร
๒.๓ น้ำตกคลองนนทรี อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหน ือของเกาะ เป็นน้ำตกที่ตกจากหน้าผาสูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ตั้งอยู่หลังที่ว่าการกิ่งอำเภอเกาะช้าง หมู่ที่ ๑ ตำบลเกาะช้าง
๒.๔ น้ำตกคีรีเพชร เป็นน้ำตกที่มีน้ำตลอดปี ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลเกาะช้างใต้
๒.๖ น้ำตกคลองหนึ่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๕ ตำบลเกาะช้างใต้ มีน้ำไหลตลอดปี มีความสวยงามหลายชั้น สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล จุดที่สวยที่สุด คือมีน้ำตกจากหน้าผาเกือบ ๒๐๐ เมตรชาวต่างประเทศนิยมมาปีนป่ายชมความงามกันมาก
๒.๗ น้ำตกคลองเจ้าเหลือม อยู่ที่หมู่ที่ ๓ บ้านคลองสนบน ตำบลเกาะ
๒.๘ น้ำตกคลองสิบเอ็ด อยู่ที่หมู่ที่ ๕ ตำบลเกาะช้างใต้

๓. ปะการัง มีแนวปะการังที่สวยงามและสมบูรณ์มากอยู่ทั่วไปรอบเกาะช้างและหมู่เกาะเต่า

๔. หินกองใต้น้ำ จะพบได้ทั่วไปในพื้นที่กิ่งอำเภอเกาะช้าง ซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด และเป็นสถานที่ตกปลาที่ดีที่สุดของประเทศไทยแห่งหนึ่ง

๕.ป่าไม้ สภาพป่าไม้โดยทั่วไปเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าไม้เบญจพรรณและมีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่

๖. แห่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มี ๔ แห่ง คือ
๑. หมู่บ้านสลักเพชร - โรงถ่าน
๒. บริเวณยุทธนาวีเกาะช้าง
๓.หมู่บ้านประมงบางเบ้า
๔.รอยจารึกพระนามาภิไธยย่อและปีศักราช บนแผ่นหินของรัชกาลที่ ๔ , รัชกาลที่ ๕ บนน้ำตก ธารมะยม และน้ำตกคลองนนทรี

๗.ขี่จักรยานศึกษาธรรมชาติ จากบ้านด่านใหม่ถึงหาดไก่แบ้ และจากหาดไก่แบ้ถึงบ้านบางเบ้า

๘. เดินป่าศึกษาธรรมชาติ จากบ้านคลองสน ถึง น้ำตกคลองพลู และน้ำตกธารมะยมถึงน้ำตกคลองพลู

๙. เดินชมธรรมชาติป่าชายเลน อ่าวสลักคอก

10 แหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพ ฯ ที่ไม่ควรพลาด

1. ตลาดนัดสวนจตุจักร ลาดนัดสวนจตุจักร คือ "สวรรค์ของคุณๆ" สำหรับผู้ที่ชอบซื้อสินค้าและต่อรองราคา โดยวันพุธและพฤหัสบดีจะเป็นตลาดค้าส่งต้นไม้ ส่วนวันเสาร์ และอาทิตย์นั้นจะเป็นเปลี่ยนเป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งเป็นศูนย์รวมร้านค้ากว่า 15,000 ร้านจากทุกภูมิภาคของประเทศ เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงค่ำ

2. พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด


มีพื้นที่ 6 ไร่ ตั้งอยู่บนถ.ศรี-อยุธยา เขตราชเทวี ซึ่งประกอบด้วยเรือนไทยโบราณ 8 หลัง ผู้มาเยี่ยมชมสามารถสัมผัสถึงความงามของสถาปัตยกรรม ไทยที่คงความสมบูรณ์ยิ่ง ทั้งข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นของส่วนพระองค์ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน เราจะได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพระบรม วงศานุวงศ์หรือเจ้านายชั้นสูง คือ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต หรือเสด็จในกรมฯ ท่านเจ้า ของวังอย่างใกล้ชิด


3. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

พระนคร ตั้งอยู่บนถ.หน้าพระธาตุ เขตพระนคร ระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และโรงละครแห่งชาติ ตรงข้ามกับสนามหลวง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นับเป็น พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลด้านศิลปะไทยมากที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นแหล่งรวบรวมความ เป็นมาของชาติไทยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เข้าสู่ยุค รุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัย ลพบุรี อยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงยุครัตนโกสินทร์


4. พิพิธภัณฑ์บ้านไทย
จิม ทอมป์สัน นายจิม ทอมป์สัน (James H.W. Thompson) ผู้ก่อตั้งร้านผ้าไหมไทย จิม ทอมป์สัน เดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกในฐานะทหารอาสาสมัครของ กองทหารอาสาสมัครของกองทัพสหรัฐฯ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามยุติเขาได้กลับมาดำเนินธุรกิจค้าผ้าไหมในประเทศไทยและ เป็นผู้นำในการสร้างชื่อเสียงของผ้าไหมไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก


5. พระที่นั่งวิมานเมฆ
ตั้งอยู่ในพระราชวังดุสิต ใกล้กับอาคารรัฐสภาและสวนสัตว์ดุสิต ระหว่างที่เริ่มสร้างพระราชวังดุสิตรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ชะลอพระที่นั่งมันธาตุ รัตนโรจน์จากเกาะสีชังมาสร้างขึ้นที่พระราชวังดุสิต โดยมีสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงกำกับการออกแบบสถาปัตยกรรมของพระ ที่นั่งได้รับอิทธิพลการก่อสร้างจากตะวันตก ตัวอาคารสร้างด้วยไม้สักทองเป็นรูปตัว L มีทั้งหมด 3 ชั้น ยกเว้นส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่า "แปดเหลี่ยม" มี 4 ชั้น การจัดแสดงบางห้องยังคงบรรยากาศในอดีต เช่น ห้องบรรทม ห้องสรง เป็นต้น พระที่นั่งแห่งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารที่สร้างจากไม้ สักทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นที่แสดงศิลปวัตถุที่สะสมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

6. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร

วัดเบญจมบพิตร แปลว่า "วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5" ตั้งอยู่บนถ.ศรีอยุธยาใกล้พระราชวังดุสิต สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี เป็นทรง จัตุรมุขหลังคาซ้อน 4 ชั้นวัดเบญฯ ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือ ตอนย่ำรุ่งระหว่างที่ พระสงฆ์ทำสังฆกรรมภายในพระอุโบสถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตรจัดแสดงพระพุทธรูปปางในสมัยต่าง ๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ เช่น ปางลีลาสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เป็นต้น


7. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร




วัดอรุณ ฯ หรือวัดแจ้ง ตั้งอยู่บนถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานี ที่กรุงธนบุรี ใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เทียบเรือพระที่นั่งที่ท่าน้ำ เพื่อเสด็จฯ ขึ้นไปสักการะพระมหาธาตุ ซึ่งเป็นพระปรางค์องค์เดิม พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแจ้ง" รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมอัฐิรัชกาลที่ 2 มาบรรจุไว้ พร้อมทรงเปลี่ยน ชื่อวัดเป็น "วัดอรุณราชวราราม" พระปรางค์วัดอรุณฯ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก สูง 70 เมตร ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยกระเบื้อง เคลือบจานชามเบญจรงค์และเปลือกหอยจำนวนมหาศาล แล้วนำมาเรียงต่อกันเป็นรูปร่างต่าง ๆ อย่างงดงาม นอกจากความสวยงามที่ผู้คนต่างยกย่อง ให้พระปรางค์วัดอรุณเป็นพระปรางค์ที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย และถือเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในโลก

8. พระบรมมหาราชวัง

มีพื้นที่ 218,400 ตารางเมตร ประกอบด้วยวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งองค์แรกภายในพระบรมมหาราชวัง โดยถ่ายแบบ มาจากพระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทในสมัยอยุธยา มีลักษณะเป็นปราสาทจัตุรมุข ยอดทรงมณฑปซ้อนเจ็ดชั้นประดับกระจก หลังคาคาดด้วยดีบุก พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2418 เป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างไทยและยุโรปเป็นปราสาทรียงกันสามชั้น สามองค์ เชื่อมต่อด้วย มุขกระสันโดยตลอด หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี มียอดปราสาทสามยอด นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาล ทักษิณ พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ และพระที่นั่งบรมพิมาน

9. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)
วัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็น "มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย" เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังไม่มีการพิมพ์หนังสือการศึกษาที่มีอยู่ก็เรียนตามวัด พระองค์จึงมีพระราชประสงค์ให้มีแหล่งรวมความรู้ จึงมีการรวบรวมและเลือกสรรตำรับตำรามาจารึกที่แผ่นศิลาไว้โดยรอบวัดเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชน วัดโพธิ์จัดเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1
10. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)

วัดพระแก้ว ตั้งอยู่บนถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2325 เมื่อรัชกาลที่ 1 (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลกมหาราช) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายราชธานีจากธนบุรีมายังกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพุทธมหามณี รัตนปฏิมากร หรือพระแก้ว" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นในพระอุโบสถ ระเบียงพระอุโบ- สถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่สวยงามและยาวที่สุดในโลก

ข้อมูลท่องเที่ยวภูเก็ต

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พื้นที่บริเวณเกาะภูเก็ตได้มีการเรียกขานกันมาหลายชื่อ ได้แก่ แหลมตะโกลา มณีคราม จังซีลอน ภูเก็จ (ซึ่งหมายถึงภูเขาแก้ว) จนกลายเป็นคำว่า “ภูเก็ต” เป็นเมืองที่มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย โดยตัวเมืองอยู่ที่ถลางซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองถลางเดิมมีขุนนางไทยคอยดูแลรักษาผลประโยชน์เพราะฝรั่งชาติฮอลันดามารับซื้อสินค้าจำพวกแร่ ต่อมาถึงรัชกาลที่ 1 พระเจ้ากรุงอังวะยกกองทัพเข้ามารุกรานหัวเมืองฝ่ายตะวันตกแถบชายทะเลของไทยในปี พ.ศ.2328 โดยแบ่งกองทัพยกไปตีเมืองกระ ระนอง ชุมพร ไชยา ตลอดลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช ขณะนั้นกองทัพกรุงเทพฯ ยังติดพันการศึกที่กาญจนบุรียกมาช่วยไม่ทัน พม่าส่งแม่ทัพชื่อยี่หวุ่น ยกทัพเรือมาตีได้ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า แล้วเลยไปตั้งค่ายล้อมเมืองถลางไว้ ขณะนั้นพระยาถลางถึงแก่กรรมยังไม่ได้ตั้งเจ้าเมืองใหม่ ภริยาเจ้าเมืองถลางชื่อจัน กับน้องสาวชื่อมุก จึงคิดอ่านกับกรรมการทั้งปวงตั้งค่ายใหญ่ขึ้น 2 ค่าย ป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถ พม่าล้อมเมืองอยู่เดือนเศษเมื่อหมดเสบียงก็เลิกทัพกลับไป

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องยศให้วีรสตรีทั้งสองเป็นท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทร เป็นที่น่าภาคภูมิใจแก่ชาวเมืองตลอดมา เกาะถลางหรือเมืองถลางได้เปลี่ยนชื่อเป็นเกาะภูเก็ต หรือเมืองภูเก็ตในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภูเก็ต ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามัน เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในด้านความสวยงามของทิวทัศน์ และหาดทราย น้ำทะเลสีฟ้าใส พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยวครบครัน เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทยในน่านน้ำทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย มีพื้นที่ประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร ความยาวสุดของเกาะภูเก็ตวัดจากทิศเหนือถึงทิศใต้ประมาณ 48.7 กิโลเมตร และส่วนกว้างที่สุดวัดจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกประมาณ 21.3 กิโลเมตร ภูเก็ตแบ่งออกเป็น 3 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอถลาง และอำเภอกะทู้ภูมิอากาศ

ภูเก็ตมีอากาศแบบฝนเมืองร้อน มีลมพัดผ่านตลอดเวลา อากาศอบอุ่นและชุ่มชื้นตลอดปี มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ฤดูฝนเริ่มเดือนพฤษภาคม-เดือนพฤศจิกายน ฤดูร้อนเริ่มเดือนธันวาคม-เดือนเมษายน ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน เป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดไม่มีฝน ท้องฟ้าแจ่มใส

สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอเมือง ภูเก็ต

เขารัง
เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่หลังตัวเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ รถยนต์สามารถขึ้นไปจนถึงยอดเขา เทศบาลจัดเป็นสวนสุขภาพและสวนสาธารณะ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และชมทิวทัศน์ของเมืองภูเก็ต จากยอดเขาจะแลเห็นตัวเมืองภูเก็ต ทะเลกว้าง เกาะเล็ก เกาะน้อย รวมทั้งทิวทัศน์ของเกาะทั้งใกล้และไกล

สะพานหิน
สถานที่พักผ่อนหย่อนใจภายในตัวเมือง อยู่สุดถนนภูเก็ตซึ่งยื่นลงไปในทะเลเล็กน้อย เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์หลัก 60 ปี ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2521 เพื่อเป็นที่ระลึกแก่กัปตันเอ็ดเวิร์ด โธมัสไมล์ ชาวออสเตรเลียผู้นำเรือขุดแร่ลำแรกมาใช้ขุดแร่ดีบุกในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2452

ตึกสมัยเก่า
ในตัวเมืองภูเก็ตส่วนมากเป็นตึกสมัยเก่าแบบยุโรป สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว เมื่อครั้งกิจการเหมืองแร่เริ่มเจริญใหม่ๆ ตึกสมัยเก่าเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมแบบจีนด้วยจึงเรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบซิโน-โปรตุกีส ลักษณะตึกสมัยเก่าของภูเก็ตนั้นจะมีส่วนลึกมากกว่าส่วนกว้างและไม่สูงนัก ปัจจุบันจะหาดูได้บริเวณถนนถลาง ถนนดีบุก ถนนพังงา ถนนเยาวราช และถนนกระบี่ นอกจากนี้ยังมีตึกโบราณที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ศาลจังหวัดภูเก็ต และธนาคารนครหลวงไทย เป็นต้น

เกาะสิเหร่
เป็นเกาะขนาดเล็กอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต อยู่ห่างจากตัวเมืองรวม 4 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันนี้ถือเป็นพื้นที่อันเดียวกับเกาะภูเก็ต มีคลองเล็กๆ ชื่อคลองท่าจีนคั่นเท่านั้น ประชากรที่เกาะสิเหร่นี้ส่วนหนึ่งเป็นชาวเล หรือชาวน้ำ ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในจำนวนชาวเลที่อาศัยอยู่ในเกาะภูเก็ต เกาะสิเหร่ เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่อยู่บนยอดเขา ชายหาดไม่เหมาะสำหรับการการเล่นน้ำ พื้นทรายมีโคลนปน

หมู่บ้านชาวเล
ชาวเลหรือชาวน้ำ หรือชาวไทยใหม่ เป็นชนกลุ่มน้อยของไทย อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย ส่วนใหญ่อยู่ตามเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ในเกาะภูเก็ตมีชาวเลอาศัยอยู่ที่หาดราไว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต ประมาณ 17 กิโลเมตร และที่เกาะสิเหร่บริเวณแหลมตุ๊กแก

วัดฉลอง
อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 8 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 4021 ผ่านสามแยกบริเวณสนามกีฬาสุรกุล เลี้ยวซ้ายไปทางห้าแยกฉลอง วัดฉลองจะอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงห้าแยกฉลองประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต มีรูปหล่อของหลวงพ่อแช่ม และหลวงพ่อช่วง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวภูเก็ตทั่วไป

อ่าวฉลอง
อยู่ห่างตัวเมือง 11 กิโลเมตร ทางทิศใต้ของเกาะภูเก็ตไปตามทางที่ไปหาดราไว เมื่อถึงห้าแยกฉลองเลี้ยวซ้ายประมาณ 1 กิโลเมตรถึงอ่าวฉลอง มีสะพานไม้ทอดยาวไปในทะเล ชายหาดเป็นรูปโค้งยาวเหยียดมองเห็นทิวมะพร้าวริมหาดเอนลู่ออกทะเล ทะเลบริเวณนี้ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ เพราะหาดเป็นโคลน ที่อ่าวฉลองนี้นักท่องเที่ยวจะเช่าเรือไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ หรือเช่าไปตกปลาได้

หาดแหลมกาใหญ่
เป็นหาดเล็กๆ ห่างจากตัวเมือง 16 กิโลเมตร จากห้าแยกฉลอง ใช้ทางหลวง 4024 ทางเข้าอยู่ตรงข้ามวัดสว่างอารมณ์ บริเวณหาดมีเรือให้เช่าไปเที่ยวตามเกาะต่างๆ เช่น เกาะเฮ เกาะบอน เป็นต้น

หาดราไวย์
อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 17 กิโลเมตร เส้นทางจาห้าแยกฉลองไปสู่หาดราไว (ทางหลวง 4024) เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดสายหนึ่งของภูเก็ต หาดราไว เป็นหาดที่สวยงามและมีชาวเลอาศัยอยู่

เกาะแก้ว
อยู่ห่างจากหาดราไวประมาณ 3 กิโลเมตร นั่งเรือจากหาดราไวประมาณ 30 นาที มีหาดทรายและธรรมชาติใต้น้ำสวยงามมาก บนเกาะมีรอยพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่ด้วย

แหลมพรหมเทพ
อยู่ห่างจากหาดราไวประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต ชาวบ้านเรียกว่าแหลมเจ้า บริเวณแหลมพรหมเทพเป็นส่วนที่สวยงามที่สุดส่วนหนึ่งของเกาะภูเก็ต เหนือแหลมพรหมเทพเป็นที่ราบสำหรับจอดรถซึ่งอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเล จากหน้าผานี้จะมองเห็นแหลมพรหมเทพทอดยาวออกไปในทะเล จะเห็นเกาะหลายเกาะรวมทั้งเกาะแก้ว ทางด้านขวามือจะเห็นแนวหาดทรายของหาดในหานชัดเจน จากบนหน้าผามีทางเดินลงเขาไปจนถึงสุดแหลมพรหมเทพได้ เป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกได้งดงามยิ่งนัก

หาดในหาน
เป็นหาดที่อยู่ถัดจากแหลมพรหมเทพขึ้นไปทางทิศเหนือ อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 18 กิโลเมตร มีทางไปได้หลายทาง จะไปจากหาดราไวโดยผ่านหรือไม่ผ่านแหลมพรหมเทพก็ได้ หรือถ้ามาจากห้าแยกฉลองไปทางหาดราไวประมาณ 3 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาไปบ้านใสยวน หนองหาน ประมาณ 4 กิโลเมตร ชายหาดในหานไม่ยาวนัก หาดทรายขาวสะอาด ด้านหลังของชายหาดเป็นบึง ชาวบ้านเรียกว่าหนองหาน ระหว่างทะเลและบึงมีเพียงหาดทรายของหาดในหานขวางกั้นอยู่เท่านั้น ในช่วงฤดูมรสุมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม คลื่นจะแรงมาก ไม่ควรลงเล่นน้ำเพราะอาจเกิดอันตรายได้

อ่าวเสน
เป็นอ่าวเล็กๆ ติดกับหาดในหานไปทางขวา ผ่านโรงแรมภูเก็ตยอช์ทคลับ เป็นชายหาดเล็กๆ ที่สงบ มีโขดหินน้อยใหญ่ หาดทรายขาวสะอาด

จุดชมวิว
จากหาดในหานไปหาดกะตะน้อยตามเส้นทางถนนรอบเกาะ จุดชมวิวจะอยู่ระหว่าง 2 หาดนี้ จากจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเวิ้งอ่าวถึง 3 อ่าว คือ อ่าวกะตะน้อย อ่าวกะตะ และอ่าวกะรน ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก

อ่าวกะตะ
อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต 17 กิโลเมตร จากตัวเมืองภูเก็ตเมื่อถึงห้าแยกฉลองเลี้ยวขวาไปตามทางตามถนนหมายเลข 4028 อ่าวกะตะแบ่งออกเป็น 2 อ่าวคือ อ่าวกะตะใหญ่ กับอ่าวกะตะน้อย ทั้งสองอ่าวมีหาดทรายและชายหาดที่สวยงามเหมาะแก่การเล่นน้ำ และใช้เป็นที่ฝึกดำน้ำ เนื่องจากมีแนวปะการังติดต่อกันไปจนถึงเกาะปูซึ่งอยู่ด้านหน้าหาดกะตะ ปัจจุบันหาดกะตะ เป็นหาดหนึ่งที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สถานที่พัก บริษัทนำเที่ยว ร้านค้า แหล่งบันเทิงต่างๆ ไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว

อ่าวกะรน
อยู่ถัดจากอ่าวกะตะขึ้นไปทางเหนือมีเพียงเนินเขาเตี้ยๆ คั่นอยู่เท่านั้น แต่ถ้าจะไปที่กลางอ่าวกะรนและหมู่บ้านกะรน มีถนนแยกจากอ่าวกะตะไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร อ่าวกะรนใหญ่กว่าอ่าวกะตะ มีชายหาดยาวเหยียด เหนือชายหาดเป็นเนินทรายสูงๆ ต่ำๆ มีสนทะเลต้นใหญ่ๆ และต้นตาลขึ้นเรียงรายอยู่โดยทั่วไป หาดทรายที่อ่าวกะรนขาวสะอาดและละเอียดมาก

สถานแสดงพันธ์สัตว์น้ำ
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ภูเก็ต Phuket Aquariumเป็นสถานที่จัดแสดงเกี่ยวกับสัตว์น้ำจืด และสัตว์ทะเล มีมากกว่า 100 ชนิดโดยการจัดแสดงในตู้ทรงรูปแบบและขนาดต่างๆและชมการแสดงสัตว์ทะเลในตู้อุโมงค์ที่จุน้ำทะเล200 ตัน และตู้ขนาดใหญ่จุน้ำทะเล 140 ตัน แสดงสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ ต่างๆมากมายชมการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อัตราค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาทเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.00 น. ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่0-7639-1126 ตั้งอยู่บริเวณปลายสุดของแหลมพันวา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ http://www.phuketaquarium.org โทร. 0-7639-1126 แฟกซ์ 0-7639-1406

สวนผีเสื้อและอควาเรียมภูเก็ต
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง 3 กิโลเมตร เดินทางไปตามถนนเยาวราชแล้วเลี้ยวซ้ายที่สามแยกหมู่บ้านสามกองไปเล็กน้อย เป็นสถานที่รวบรวมและอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในเขตร้อนจำพวกผีเสื้อ แมลง ปลา และปะการัง โดยจัดสภาพแวดล้อมให้เหมือนกับธรรมชาติ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น.

หมู่บ้านไทยและสวนกล้วยไม้ภูเก็ต
อยู่ห่างจากตัวเมือง 3 กิโลเมตร บนถนนเทพกษัตรีย์ ภายในมีการแสดงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน การแสดงของช้าง ฟาร์มกล้วยไม้ ฯลฯ

สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอกระทู้

อ่าวป่าตอง
ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 15 กิโลเมตร ตามเส้นทางถนนวิชิตสงคราม หรือ ทางหลวง 4020 ไป 9 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวง 4029 ไปอีก 6 กิโลเมตร เป็นอ่าวที่มีความโค้งมาก หาดทรายงดงามเป็นแนวยาว 9 กิโลเมตร น้ำทะเลใสสะอาด เหมาะแก่การเล่นน้ำมากที่สุด

หาดกะหลิม
ไปตามเส้นทางเดียวกับหาดป่าตอง แต่เมื่อถึงตัวหาดป่าตอง จะมีทางแยกให้เลี้ยวขวาก็จะถึงหาดกะหลิมเป็นหาดเล็กๆ มีโขดหินและแนวปะการังและมีสถานที่พักริมหาด

หาดกมลา
อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต 26 กิโลเมตร จากอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์ท้าวศรีสุนทร เลี้ยวซ้ายผ่านหาดสุรินทร์ แหลมสิงห์ ก็จะถีงหาดกมลาเป็นแนวหาดทรายยาวประมาณ 2 กิโลเมตร นับเป็นหาดหนึ่งที่สงบเงียบ มีสถานที่พักไม่มากนัก

สถานที่น่าสนใจ ในเขตอำเภอถลาง

อนุสาวรีย์วีรสตรี
อนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์และท้าวศรีสุนทร ตั้งอยู่ที่สี่แยกท่าเรือ เขตอำเภอถลาง ก่อนถึงตัวเมืองภูเก็ต 12 กิโลเมตร

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง
ตั้งอยู่ห่างจากอนุสาวรีย์วีรสตรีประมาณ 50 เมตร ตัวอาคารได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงเป็นบ้านท้องถิ่นของชาวภูเก็ต มี 2 หลัง อาคารหลังแรกจัดแสดงเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ชายฝั่งทะเลตะวันตก สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์เมื่ออารยธรรมอินเดียเผยแพร่เข้ามาประวัติและวิธีการทำเหมืองแร่ดีบุก และสวนยางพารา ศิลปะพื้นบ้านและชาติพันธุ์วิทยาของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณคาบสมุทรมลายู สำหรับอาคารหลังที่สองจัดแสดงฉากและเรื่องราวของศึกถลาง ชีวิตความเป็นอยู่และประเพณีที่น่าสนใจของชาวจีนในภูเก็ต และเรื่องราวความเป็นมาและถิ่นอาศัยของชาวเลในภูเก็ต

วัดพระทอง (วัดพระผุด)
อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 20 กิโลเมตร จากตัวเมืองภูเก็ตเลยที่ว่าการอำเภอถลางไปเล็กน้อยจะมีทางแยกขวามือเข้าวัดพระทอง วัดนี้มีพระพุทธรูปผุดขึ้นจากพื้นดินเพียงครึ่งองค์ เมื่อคราวศึกพระเจ้าปะดุง ยกพลมาตีเมืองถลาง พ.ศ. 2328 ทหารพม่าพยายามขุดพระผุดเพื่อนำกลับไปพม่า แต่ขุดลงไปคราวใดก็มีฝูงแตนไล่ต่อยจนต้องละความพยายาม ต่อมาชาวบ้านได้นำทองหุ้มพระพุทธรูปที่ผุดจากพื้นดินเพียงครึ่งองค์ ดังปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน

วัดพระนาง
สร้างอยู่ห่างจากตัวเมือง 20 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางถนนเทพกษัตรีย์ ถึงสี่แยกอำเภอถลาง ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายเป็นวัดที่เก่าแก่ และเป็นแหล่งประวัติศาสตร์เมืองถลางที่สำคัญแห่งหนึ่ง เพราะเคยเป็นค่ายสู้รบกับพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2328 นอกจากนี้ภายในอุโบสถเก่าแก่ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดีบุกที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก 3 องค์เรียกว่า “พระในพุง” หรือ “พระสามกษัตริย์” ซึ่งอยู่ในพระอุทรของพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ 3 องค์อีกชั้นหนึ่ง

อุทยานสัตว์ป่าเขาพระแทว
อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 20 กิโลเมตร จากตัวเมืองภูเก็ตไปอำเภอถลาง เมื่อถึงสี่แยกในเขตเมืองถลางซึ่งอยู่ห่างจากตัวภูเก็ต 18 กิโลเมตร แยกไปทางซ้ายมืออีกประมาณ 2 กิโลเมตร ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานสัตว์ป่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2512 มีเนื้อที่ 13,925 ไร่ เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าหลายชนิดอยู่ตามธรรมชาติ และมีพันธุ์ไม้หายากคือ “ปาล์มหลังขาว” โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ดังนี้

น้ำตกโตนไทร
อยู่ห่างจากตัวเมือง 22 กิโลเมตร ไปตามถนนเทพกษัตรีย์ถึงสี่แยกอำเภอถลางแล้วเลี้ยวขวาไป 3 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณน้ำตกโตนไทร เป็นน้ำตกขนาดเล็ก น้ำจะไหลแรงในช่วงฤดูฝน มีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน

น้ำตกบางแป
ไปจากตัวเมืองถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์ท้าวศรีสุนทรแล้วเลี้ยวขวาไปทางตำบลป่าคลอก 7 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีสวนรุกขชาติร่มรื่น และสถานอนุบาลชะนี ซึ่งเป็นโครงการเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของชะนีที่ถูกจับมาเลี้ยง ให้พร้อมที่จะกลับคืนสู่ป่าต่อไป

สำหรับผู้ที่ต้องการเดินป่าสัมผัสธรรมชาติ ทางอุทยานฯ ได้จัดทำทางเดินเท้าไว้ 3 เส้นทาง ขอคำแนะนำได้จากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติในเขตอุทยานฯ

นักท่องเที่ยวผู้ที่ประสงค์จะเข้าพักแรมที่อุทยานสัตว์ป่าเขาพระแทว ต้องทำหนังสือขออนุญาตถึงผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ บางเขน กรุงเทพฯ โทร. 579-4847 หรือติดต่อโดยตรงที่หัวหน้าอุทยานสัตว์ป่าเขาพระแทว ที่ทำการอุทยานสัตว์ป่าเขาพระแทว ถนนเทพกษัตรีย์ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100

หาดสุรินทร์
ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 24 กิโลเมตร จากตัวเมืองภูเก็ตใช้เส้นทาง 402 เมื่อถึงอนุสาวรีย์วีรสตรีแล้วไปทางซ้ายมืออีก 12 กิโลเมตร เป็นหาดที่อยู่ริมเชิงเขา บริเวณเหนือหาดมีต้นสนทะเลต้นใหญ่ๆ อยู่เรียงราย และบริเวณเหนือหาดด้านขวามือเป็นสนามกอล์ฟ หาดสุรินทร์ชายหาดไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ เพราะมีลักษณะลาดชัน และในฤดูมรสุมจะมีคลื่นลมจัดมาก

แหลมสิงห์
จากหาดสุรินทร์ประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกซึ่งเป็นถนนส่วนบุคคลเข้าสู่หาดแหลมสิงห์ อาจจะขออนุญาตผ่านถนนส่วนบุคคล หรือเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางเดินไปตามลาดเขาลงสู่ชายหาด หาดทรายแหลมสิงห์เป็นหาดเล็กๆ ทรายขาวสะอาด ทางซ้ายมือของหาดเป็นแหลมเล็กๆ ที่มีโขดหินสวยงาม เรียกว่า แหลมสิงห์

อ่าวบางเทา
อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 24 กิโลเมตร ตามถนนเทพกษัตรีย์ไปทางเหนือสู่อนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์ท้าวศรีสุนทร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนศรีสุนทรไปอีก 12 กิโลเมตร จนถึงหาดสุรินทร์เลี้ยวขวาไปอีก 2 กิโลเมตร ถึงอ่าวบางเทา เป็นหาดทรายทอดตัวยาวเหมาะสำหรับการเล่นน้ำและกีฬาทางน้ำต่างๆ

อำเภอ ปาย

ปายเมืองเล็กๆ กลางหุบเขา ระหว่าง เส้นทางเชียงใหม่ สู่แม่ฮ่องสอน ฉากถ่ายหนังละครมากมาย ไม่ว่า จะเป็น รักจัง อุบัติรักข้ามขอบฟ้า เมืองปายเที่ยวได้ทุกฤดู โดยเฉพาะถ้าใครอยากสัมผัส อารมณ์ เมืองปาย อย่างแท้จริง แนะนำ เที่ยวปายหน้าฝน พื้นนาเขียวขจี ป่าเขาเขียวสดชื่น ความเงียบสงบแบบเดิมๆ รอยยิ้มของคนพื้นที่ ฯลฯ ส่วนหน้าหนาว ก็เหมาะกับการเดินเล่นถนนคนเดินยามเย็น ชมสายหมอกลอยอ้อยอิ่งเหนือ แม่น้ำปายยามเช้า

เวลาเที่ยวปายจะให้ความรู้สึกว่า เวลาของเรา เดินช้าลง ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องรีบเร่งอะไรมากมาย ชิลสุดๆ แล้ว

ไปทำอะไรกันที่ปาย

นอน ทำตัวเฉื่อยๆ หลบหนีจากโลกวุ่นๆ สัมผัสบรรยากาศเมืองหนาว ชม ธรรมชาติ ทุ่งนา ขุนเขา ลำธาร สายหมอก ชิลสุดแล้ว

กิน ของอร่อยเยอะเหลือเกินครับเมืองปายแห่งนี้ อาหารหลัก กาแฟ ร้านขนม ไอติม เยอะและอร่อย

เที่ยว ธรรมชาติงดงาม วัฒนธรรมดั้งเดิม เช่ามอเตอร์ไซด์ตะเวนให้ทั่วเมืองปายมีจุดน่าสนใจมากมาย

ทำบุญ วัดเยอะครับ ใส่บาตรยามเช้ากัน

ช้อป ของที่ระลึกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มิตรไทย สะบายดี หรือร้านยุคหลังๆ ที่เกิดขึ้นมา

สวีท พาแฟนไปสวีท เหมาะสุดแล้ว ^^

รักษาแผลใจ อกหัก ก็มาพักได้ ที่ เมืองปายแห่งนี้ - -"

สถานที่เที่ยวเด่นในปาย

สะพานประวัติศาตร์ ปายเป็น Landmark ของปาย เป็นสะพานเหล็ก สร้างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างโดยทหารญี่ปุ่น

วัดน้ำฮู พระประธานสามารถเปิดเศียร และมีน้ำมนต์ซึมอยู่ภายใน

หมู่บ้านสันติชล หรือ ศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนนาน แห่ง เมืองปาย ชมบ้านดิน โล้ชิงช้า ชิมชาชั้นเลิศ อาหารยูนนานแสนอร่อย

วัดพระธาตุแม่เย็น จุดชมวิวเมืองปาย และพระอาทิตย์ตกที่งดงาม

จุดชมวิวทะเลหมอกปายทะเลหมอกเหนือหุบเมืองปาย แบบ 180 องศา กว้างไกล พอๆ กับห้วยน้ำดัง

น้ำพุร้อนท่าปาย เมื่อเดิตาม ลำธารใส อุ่นไปราวๆ 1 กม. จะพบกับบ่อน้ำพุร้อนท่าปาย อุณหภูมิราวๆ 100 องศา

ปายแคนยอน หรือ กองแลน โตรกผากับป่าสน หุบลึก สูงชัน จุดชมพระอาทิตย์ตกที่งดงามอีกแห่ง

ถนนคนเดิน เดินเล่นยามเย็น แวะเขียนโปสการ์ด ทานโรตี เลือกซื้อของที่ระลึก ร้านมิตรไทย ร้านสะบายดี

ตลาดเย็น ของกินเพียบ แปลกๆ ก็มี ขนม อาหารมากมาย

ตลาดเช้า แวะไปใส่บาตรกันที่นี่

สนามเด็กเล่นเมืองปาย มีการทำรูปปั้นสัตว์จากท่อนไม้ สวยงาม สะดุดตา

ล่องแพ/ห่วงยาง แม่น้ำปาย แม่น้ำปาย ไม่ลึกมาก ล่องห่วงยางเพลิน ถ่อแพไม้ไผ่ เล่นน้ำสุดมันส์

วัดหลวง มีเจดีย์ใหญ่ งดงามมาก

วัดกลาง มีเจดีย์ทรงแปลกตา สวยงามมาก

วัดหัวนา วัดสวยอีกแห่ง แปลกตาจากที่เคยเห็น

หมู่บ้านชาวเขาปาย มีศูนย์ฝึกอาชีพ แสดงงานฝีมือจากภูมิปัญญาชาวพื้นที่เมืองปาย

ร้านอร่อยในปาย

ส้มตำหน้าอำเภอ ส้มตำรสจัด อร่อยแซบมาก ฝรั่งไม่กล้าเข้า อร่อยๆ สุดๆ

น้องเบียร์ ข้าวซอยไก่ เนื้อ ข้าวราดแกง พะแนง มัสมั่น พร้อมหมูสะเต๊ะ อร่อยสุดๆ ไม่แพง นึกอะไรไม่ออก มักฝากท้องที่นี่เสมอ

ชาลีแอนด์เล็ก เด่นในรสชาติ วัตถุดิบสดๆ ผักปลอดสารปลูกเอง

ครัวระเบียงปาย รสชาติอย่างราชา ราคาอย่างชาวบ้าน พร้อมชมวิวสวยๆ

บ้านเบญจรงค์ อาหารไทย รสถึง อร่อยมากมาย

บ้านปาย อยู่ใจกลางเมืองปาย สะดวก ฝรั่งตรึม ยามเย็น ดินเนอร์ใต้แสงเทียน

คาเฟ่เดลดอย อาหารเหนือถูกปาก เคล้าวิวท้องนาและลำน้ำปายสวยๆ ปิดท้ายด้วยแพนเค้กน้ำผึ้ง

หมู่บ้านสันติชล ขาหมูหมั่นโถว พร้อมชารสนุ่ม อร่อยลืมไม่ลง

All About Cofee ร้านดังจากรักจัง ดื่มกาแฟ ชมภาพวาด ซื้อของที่ระลึก ชอบเพลงที่ร้านนี้เปิด ชิลมาก

Fruit Factory ไปทีไร ทานทุกที น้ำผลไม้สดแช่ฟรีส น้ำมาปั่นทำเป็นไอติม ... คิดถึง

Coffee in Love ดังสุดๆ แล้วจากอุบัติรักข้ามขอบฟ้า Landmark แห่งใหม่เมืองปาย วิวสวยสุดสายตา

ปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้สี่แยก ขายเช้าเท่านั้น อร่อยๆ ครับ

โรตี มีหลายร้าน ยามเย็นถนนคนเดิน อร่อยทุกร้าน

ร้านเบเกอรี่มุสลิม นั่งทานโกโก้ร้อนกับขนมชิ้นโตแสนอร่อย ราคาสบายกระเป๋า

ข้าวเหนียวหมูฝอย เนื้อฝอย ถนนคนเดินยามเช้าเจอกัน อร่อยๆ

โจ๊กยามเช้า เยื้อง ธนาคารกรุงไทย ข้าวต้มเห็ดหอม โจ๊กเห็ดหอม อร่อยๆ ร้อนๆ ยามเช้า

สำหรับผู้จะไปปางอุ๋งครับ

มีข่าวฝากประชาสัมพันธ์ (ออกมานานแล้วตั้งแต่ 14 สิงหาคม ครับ) อยู่ในช่วงการทดลองนะครับสำหรับปีนี้

- เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจไปเที่ยวชม และพักแรมที่ ปางอุ๋ง เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ทำให้สถานที่ดังกล่าวเกิดความแออัด และไม่สะดวก ทั้งเรื่องห้องพักจุดกางเต็นท์ รวมไปถึงห้องน้ำ ที่ไม่เีพียงพอต่อความต้องการ

- อีกทั้งจากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเป็นจำนวนมาก แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งก็เป็นทหาร หน้าที่หลักก็คือดูแลความสงบเรียบร้อยของชาวบ้าน และพื้นที่ในแถบนั้นเป็นหลัก และมีจำนวนเพียงไม่กี่นาย ทำให้ยากต่อการดูแลสถานที รวมทั้งการจัดการขยะที่นักท่องเที่ยวบางส่วนทิ้งไว้

- เพื่อจะรักษาปางอุ๋ง ไว้ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ของแม่หลวงของเรา ในปีนี้ ทางศูนย์ศิลปาชีพ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลโดยตรง จึงได้มีการจัดระเบียบการเข้าเยี่ยมชม และเข้าพัก สถานที่ดังกล่าวด้วยการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปยัง ปางอุ๋งดังนี้

1. ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะ เข้าพัก หรือ เที่ยวชม ปางอุ๋ง จะต้องติดต่อขอรับบัตรอนุญาต ที่ศูนย์ศิลปาชีพ จ.แม่ฮ่องสอน (ในตัวเมือง) ก่อนเท่านั้น หากท่านไม่มีบัตรอนุญาต จะไม่สามารถขึ้นไปยัง ปางอุ๋งได้

2. กรณีนำเต็นท์ไปเอง ก็ต้องไปรับบัตรอนุญาตเพื่อใช้เป็นบัตรผ่านที่ ศูนย์ศิลปาชีพ จ.แม่ฮ่องสอน (ในตัวเมือง) อีกเช่นกัน

3. กรณีต้องการจองเกสต์เฮ้าส์ หรือเต็นท์พักแรม (ของโครงการฯ) ต้องไปชำระเงินที่ ศูนย์ศิลปาชีพ จ.แม่ฮ่องสอน (ในตัวเมือง) พร้อมทั้งรับบัตรอนุญาตเพื่อใช้เป็นบัตรผ่านทางเพื่อจะขึ้นไปยัง ปางอุ๋ง เช่นกัน

4. กรณีต้องการบ้านพัก และเกสต์เฮ้าส์ริมทะเลสาบเต็ม ทางศูนย์ฯ จะจัดให้ท่านเข้าพักเกสต์เฮ้าส์ของชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านรวมไทยให้

5. หากไม่ได้พักแรมที่ปางอุ๋ง แต่ต้องการเข้าไปเที่ยวชม ก็ต้องไปรับบัตรอนุญาตก่อนเช่นกัน และจะไม่อนุญาตให้เข้าไปในหมู่บ้านรวมไทยก่อนเวลา 09.00 น.

6. ต้องติดต่อขอรับบัตรที่ ศูนย์ศิลปาชีพ จ.แม่ฮ่องสอน ก่อนเวลา 17.00 น.7. กรณีจองเกสต์เฮ้าส์ไว้ แล้วไม่สามารถเข้าพักได้ในวันที่จอง ทางศูนย์ฯ จะไม่คืนเงิน แต่จะให้เลื่อนวันเข้าพักได้ (กรณีที่ห้องว่าง) ภายใน 3 เดือน8. จุดตรวจบัตรอนุญาต จะมี 2 จุด จุึดแรกคือบริเวณทางเข้าหมู่บ้านนาป่าแปก (ห่างจากโครงการประมาณ 10 กม.) และจุดที่สองคือ ทางเข้าหมู่บ้านรวมไทย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 053-611244

เที่ยวทุ่งทานตะวัน

ช่วงนี้ท้องทุ่งเหลืองอร่าม ลมหนาวพัดโชย ดอกทานตะวันบานสะพรั่ง สามารถเที่ยวชมได้เป็นระยะเวลานานหลายเดือนตลอดฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการเดินทางได้ตลอดเวลา เลือกชมได้ในหลายๆ พื้นที่ โดยแต่ละแห่งจะมีความสวยงาม และกิจกรรมการจัดงานแตกต่างกันออกไป

เมื่อเข้าฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายน 2551 ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวทุ่งทานตะวัน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสสีเหลืองอร่ามของดอกทานตะวันสุดสายตาท่ามกลางท้องฟ้าสดใสและบรรยากาศที่หนาวเย็นยามเช้าอันน่าประทับใจ สำหรับในปีนี้เกษตรกรจังหวัด ลพบุรี และสระบุรี ได้ทยอยปลูกทานตะวันเพื่อจะได้ผลิดอกบานให้ชมต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาหลายเดือนในหลายอำเภอของทั้งสองจังหวัด สามารถไปเที่ยวชมดอกทานตะวันกำลังบานตามตารางเวลาดังนี้
จุดท่องเที่ยวทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี

จุดท่องเที่ยวทุ่งทานตะวัน จังหวัดลพบุรี

11 ธ.ค. 2551

อาหารสุขภาพไว้ใจได้แค่ไหน

ซื้อควรคำนวณคุณประโยชน์ มากกว่าหน้าตาอาหารและโฆษณา

ปัจจุบันเทรนด์อาหารสุขภาพได้รับความนิยมอย่างมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ถึงฉลากจะบอกว่าดีสำหรับคุณ แต่ข้อความที่ติดอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความอย่างนั้นเสมอไป

คำว่า "ไขมันต่ำ" และ "คุณค่าทางอาหารสูง" อาจจะทำให้คุณเขวเหมือนกับหลายคนที่หลงกลกับเรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณควรทำทุกครั้งก่อนเลือกซื้ออาหารสุขภาพคือ คำนวณคุณประโยชน์จริงๆ มากกว่าเชื่อในหน้าตาอาหารที่เห็นหรือเฉพาะข้อความโฆษณา

และต่อไปนี้....คือ 3 รายการอาหารสุขภาพที่คุณควรจะหันมาพิจารณา ทุกครั้งก่อนที่จะเลือกซื้อหรือรับประทาน

โยเกิร์ตผสมเนื้อผลไม้ :

ในด้านหนึ่ง ดูยังไงโยเกิร์ตและผลไม้ก็เป็นอาหารที่มีประโยชน์ ในมุมมองของผู้ชายที่เข้าฟิตเนสและรักสุขภาพร่างกาย แต่ในด้านหนึ่ง น้ำเชื่อมที่อยู่ในโยเกิร์ต ผสมเนื้อผลไม้นั้นไม่ใช่ทั้งโยเกิร์ตและผลไม้ล้วนมีความหวานอยู่ในตัวอยู่แล้ว น้ำเชื่อมเป็นความหวานเกินพอดีจากน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไป คุณจึงควรเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความหวานเกินจำเป็นที่ว่า ด้วยการกินโยเกิร์ตควบคุมน้ำตาล หรือมีน้ำตาลต่ำกว่าโยเกิร์ตที่กินเป็นประจำ

แคลิฟอร์เนีย โรล :

คุณรู้ว่ามันให้ประโยชน์มากแค่ไหน แล้วภายใต้ชั้นสาหร่ายล่ะ ลองมาดูกันหน่อยว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ถ้าไม่ใช่น้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการหุงข้าวญี่ปุ่น (หุงด้วยน้ำตาลและน้ำส้มสายชู) และเนื้อปูอัดอีกนิดหน่อย รวมๆแล้วแคลิฟอร์เนีย โรลคำใหญ่จึงมีแต่แป้ง น้ำตาล และเกือบจะไม่มีโปรตีนเลย ทางออก ก็คือ การกินซูชิที่ทำจากทูน่าหรือแซลมอน ความหลากหลายของโปรตีนในซูชิจะให้ปริมาณโปรตีนแบบเต็มๆ เยอะกว่ามาก และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย ถ้ายังไม่พอใจคุณจะสั่งเมนูซาชิมิเลี่ยงข้าว รับโปรตีนไปเต็มๆ เลยก็ยังไหว รับรองได้ว่าอร่อยและปลอดภัยจากน้ำตาลแน่นอน

น้ำสลัดไขมันต่ำ :

ดูเหมือนว่าน้ำสลัดไขมันต่ำจะช่วยลดไขมันและแคลอรี่ แต่ที่จริงแล้ว คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลถูกเพิ่มเข้าไปในแทนที่เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าไขมันที่ซึมซับวิตามินได้ถูกแยกออกไป เนื่องจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยโอไฮโอค้นพบว่า ร่างกายของคนที่กินผักกับน้ำสลัดธรรมดาดูดซึมเบตาแคโรทีนซึ่งมีคุณสมบัติของแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการก่อมะเร็งได้มากกว่าถึง 15 เท่า และดูดซึมลูเทียน(Lutein) สารสีเหลืองซึ่งมีส่วนช่วยในการสกัดกั้นการอุดตันของเส้นเลือดในปริมาณที่มากกว่า

น้ำสลัดไขมันต่ำจึงอาจไม่ใช่ทางออกของอาหารสุขภาพที่คุณกำลังมองหา ในเวลาเดียวกันคุณสามารถกินน้ำสลัดทั่วไปได้แต่ในปริมาณน้อย หรือเลือกกินน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันดอกคาโนลา (Canola Oil) ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆ ที่สามารถสังเกตเองได้ว่าอาหารเพื่อสุขภาพที่มีทั้งไขมันต่ำและคุณค่าทางอาหารสูงในแต่ละจาน เราจะได้คุณประโยชน์จริงหรือไม่เพราะฉะนั้นมื้อต่อไปของคุณอาจจะต้องชั่งใจสักนิดก่อนคิดเมนูเพื่อให้ได้สุขภาพดีอย่างแท้จริง

ความรู้เกี่ยวกับหู การดูแลป้องกัน และเสริมสร้างสุขภาพของหู

หูคนเรานั้นมีรูปร่าง และขนาดแตกต่างกันไป มีทั้งแบบรูปร่างสมส่วน แบบที่กางยื่นออกมาเหมือนหูถ้วยกาแฟ สำหรับคุณผู้หญิงใบหูยังมีบทบาทพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีก คือเป็นตำแหน่งสำหรับประดับเพชรพลอยเพื่อแสดงฐานะ ส่วนคุณผู้ชายที่เจาะหูเพื่อเป็น สัญลักษณ์แสดงความซ่า แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว ใบหูก็อยู่เฉยๆ ของมันที่ด้านข้างของศีรษะ โดย ที่เราไม่ได้สนใจ อะไรมันมากมายจนกว่าจะมีความผิดปกติเกิดขึ้น

โดยทั่วไปแทบทุกคนจะมีปัญหาเรื่องหูอย่างน้อยก็หนึ่งครั้งในชีวิตโดยอาจเป็นเพียงปัญหาการติดเชื้อเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงที่รุนแรงถึงกับไม่ได้ยินเสียงไประยะหนึ่งก็ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการทะนุถนอมอวัยวะสำคัญนี้ไว้ คุณจึงควรให้ ความสนใจกับหูของคุณตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

โครงสร้างของหู

หูส่วนนอกนั้นประกอบไปด้วยใบหูเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากศีรษะ และส่วนของช่องหูที่เป็นทางให้เสียงผ่านเข้าไปสู่เยื่อแก้วหู ส่วนของใบหูนั้นประกอบด้วยกระดูกอ่อนมีลักษณะยืดหยุ่นเป็นแกนอยู่ตรงกลาง ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังบางๆ โดยมีกล้ามเนื้อมัดหนึ่งทำหน้าที่ยึดทางด้านหลังของใบหูไว้กับศีรษะการที่ใบหูมีลักษณะอย่างที่เห็นก็เพื่อช่วยในการหาทิศทางของเสียงที่ได้ยิน โดยเสียงที่มาจากด้านหน้าจะเป็นเสียงที่ได้ยินชัดและดังที่สุด ใบหูนั้นมีโอกาสได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการติดเชื้อหลายชนิดที่อาจเกิดกับใบหูด้วย

ช่องหูมีลักษณะเป็นท่อที่มีความยาวประมาณหนึ่งนิ้ว โดยจะไปสิ้นสุดที่เยื่อแก้วหู ส่วนนอกของช่องหูนั้นจะมีโครงสร้างเป็นกระดูกอ่อนที่มีผิวหนังบางๆ หุ้มอยู่ ขณะที่ส่วนในจะเป็นโครงสร้างของกระโหลกศีรษะที่มีลักษณะเป็นช่องเข้าไป และในช่องหูนี้ยังมีต่อมเล็กๆ จำนวนมากที่คอยผลิตสาร ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งเรียกว่า "ขี้หู" ทำหน้าที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อให้กับหูชั้นนอก โดยปกติขี้หูจะหลุดร่วงไปเองตามธรรมชาติ คุณจึงไม่ควรใช้ไม้พันสำลีเข้าไปแคะหรือเขี่ยขี้หู เพราะอาจทำให้ขี้หูถูกดัน ลึกเข้าไปมากขึ้น และยังอาจทำให้เกิดการอักเสบขึ้นได้ถ้าแคะแรงเกินไป

การอักเสบของหู

หู จมูก และคอ เป็นโครงสร้างที่ต่อเชื่อมถึงกันได้ โดยผ่านทางท่อเล็กๆ ที่มีชื่อว่าท่อยูสเตเชียน(Eustachian tube) ทำให้การติดเชื้อ สามารถลุกลามจากหูสู่จมูก และเข้าสู่คอได้ หรือในทางกลับกันคือลามจากคอไปสู่จมูก และหูก็ได้เหมือนกัน ในเด็กๆ ที่เป็นหวัดนั้นจะมีโอกาสเกิดการติดเชื้อที่หูด้วย ได้ง่าย เนื่องจากการสั่งน้ำมูกแรงๆ อาจดันน้ำมูกผ่านท่อยูสเตเชียนเข้าสู่หู เมื่อมีปริมาณเชื้อโรคในหู มากขึ้นก็เกิดการอักเสบตามมา ทำให้มีอาการปวดและบวม และไม่ได้ยินเสียง แต่การลามของโรคในลักษณะนี้จะไม่ค่อยเกิดในผู้ใหญ่ เพราะท่อยูสเตเชียนของผู้ใหญ่นั้นยาวกว่า ทำให้น้ำมูกจากจมูกไปไม่ถึง

การดูแลสุขภาพหู (Ear care)

มีหลายวิธีที่คุณสามารถปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงโรคต่างๆ ของหูได้ เช่นการใส่หมวกคลุมหูระหว่างว่ายน้ำ และพยายามซับช่องหูให้แห้งหลังอาบน้ำและว่ายน้ำ

เพื่อสุขภาพหูที่ดี คุณไม่ควรแคะหู เพียงแต่ซับช่องหูส่วนนอกด้วยผ้าขนหนูก็พอแล้ว แต่ ถ้าคุณต้องแคะให้ได้ ก็ต้องใช้ความนุ่มนวลอย่างที่สุด ถ้าขี้หูแข็งหรือแห้งมาก ก็ต้องใช้ยาหยอดที่ช่วยทำให้ขี้หูนุ่มขึ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหูจะไม่แนะนำให้ใช้ไม้พันสำลีเข้าไปทำความสะอาดช่องหู เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อโครงสร้างของหูได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยื่อแก้วหู

การป้องกันภาวะหูหนวก (Preventing hearing loss)

การได้ยินเสียงของคนเราจะเสื่อมถอยลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการได้ยินเสียงแวดล้อมที่ดังอย่างต่อเนื่องยาวนาน ความดังของเสียงนั้นวัดกันเป็นเดซิเบล (Decibels) ประมาณกันว่าเสียงที่ดังกว่า 90 เดซิเบลนั้นจะทำลายการได้ยินของประสาทหูของเรา

เสียงวิ้งๆ หรือหึ่งๆ ในหูที่ดังอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นอาการของหูชั้นในถูกทำลาย เรียกว่าทินนิทัส(Tinnitus) ซึ่งถ้าหากมีการทำลายที่หูชั้นในแล้ว การได้ยินจะไม่สามารถกลับคืนมาได้ ดังนั้นคุณจึงควรหลีกเลี่ยงเสียงดังทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตเฮฟวี่ เมทัล เสียงเพลงในดิสโกเธค หรือแม้แต่เสียงดังจากเครื่องเสียงของคุณเอง หูคนเรานั้นไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเพลงร็อก หรือเพลงคลาสสิก ไม่ว่าเป็นเพลงแบบใด ถ้าเสียงดังล่ะก็ ล้วนแล้วแต่ทำลายการได้ยินอย่างถาวรได้เท่าเทียมกัน

ปัจจุบันนี้มีเครื่องช่วยฟังหลายชนิดสำหรับผู้ที่มีปัญหา การได้ยินบางชนิดก็สามารถปรับแต่งความถี่ให้เหมาะกับ ปัญหาของแต่ละคนได้ แต่กระนั้นก็ต้องทำใจเผื่อไว้ด้วยว่าเครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยให้คุณได้ยินเสียงที่เป็นธรรมชาติ เหมือนที่คุณเคยได้ยินดังนั้นทางที่ดีคือการถนอมรักษาหูของ คุณให้ดีเสียแต่วันนี้ เพื่อยึดอายุการได้ยินเมื่อเราอายุมากขึ้น

9 ธ.ค. 2551

อาหารสุขภาพแนว Raw Food

รอว์ฟู้ดหากแปลตรงตามความหมายคืออาหารดิบ แต่ตามทฤษฎีรอว์ฟู้ดหมายถึงอาหารที่ไม่ผ่านความร้อนหรือดัดแปลงด้วยความร้อนที่สูงกว่า 42-47 องศาเซลเซียส หรือ 108-118 องศาฟาเรนไฮต์ เพราะหากใช้ความร้อนที่สูงเกินกว่านี้จะทำให้คุณค่าอาหารสูญเสียไปเมื่อนำอาหารนั้นมาผ่านความร้อน ความร้อนไม่เพียงแต่ทำให้สารอาหารสูญเสียไปเท่านั้น เอนไซม์ (enzyme) หรือโปรตีนอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งมีความซับซ้อนสร้างขึ้นในเซลล์ของพืชและสัตว์ก็ถือเป็นอีกสิ่งที่จะเหือดหายไป ซึ่งเอนไซม์นี้เองจะทำให้เกิดการย่อยอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะได้รับคุณค่าประโยชน์แท้จริง

เอนไซม์มีอยู่ทั้งในของสดและของแห้ง ในผักผลไม้ล้วนแต่มีเอนไซม์ในตัวของมันเอง และพร้อมที่จะสลายไปทุกเมื่อหากผ่านความร้อน หรือกระทั่งถั่ว หรือเมล็ดพืชแห้งก็ยังคงมีเอนไซม์เหมือนกัน แม้ว่าถั่วกับเมล็ดพืชจะแห้ง แต่เป็นการทำให้แห้งที่อุณหภูมิต่ำ หรือเป็นการทำแห้งตามธรรมชาติภายใต้การทำงานของแสงอาทิตย์ รวมทั้งยังมีกลไกตามธรรมชาติที่ช่วยปกป้องเอนไซม์ไม่ให้สูญสลายไปโดยจะมีชั้นเคลือบที่เป็นตัวยับยั้งการทำงานของเอนไซม์

เอนไซม์ไม่เพียงแต่มีในพืช ผัก ผลไม้เท่านั้น ยังมีในเนื้อสัตว์ด้วย จึงทำให้บางตำราอาหารรอว์ฟู้ดถือว่าซาชิมิ เนื้อสัตว์อื่นๆ หากรับประทานดิบ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์ที่ไม่ผ่านความร้อน เช่น ชีสที่ได้จากนมที่ไม่ผ่านกระบวนการพาสเจอไรเซชั่น ก็ถือเป็นอาหารรอว์ฟู้ดเพราะไม่ได้ผ่านความร้อนด้วย

นอกจากเอนไซม์จะมีคุณค่าอย่างมากในอาหารแนวรอว์ฟู้ด คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เลย จากคุณสมบัติพิเศษของคลอโรฟิลล์ที่ช่วยสังเคราะห์แสงในพืชนี่เองจึงทำให้นักทฤษฎีรอว์ฟู้ดเชื่อว่าหลักการดังกล่าวก็สามารถนำมาใช้ในระบบร่างกายมนุษย์ โดยคลอโรฟิลล์จะถูกดูดซึมทันทีที่เข้าสู่ร่างกายและทำหน้าที่เป็นเหมือนเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้อัวยวะต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนได้ดี ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นคลอโรฟิลล์ยังช่วยสร้างสภาวะที่ไม่เป็นมิตรต่อการทำงานของแบคทีเรียอันเป็นบ่อเกิดโรคร้าย ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อต่างๆและแผลสดก็จะหายเร็ว สามารถล้างพิษออกจากตับซึ่งเป็นแหล่งสะสมของน้ำมันที่เป็นพิษต่อร่างกาย

อาหารที่มากไปด้วยคลอโรฟิลล์ก็ได้แก่ พืชต้นอ่อนกับเมล็ดที่เพิ่งงอก ไม่เพียงแต่พืชเหล่านี้จะเต็มไปด้วยมีคลอโรฟิลล์เท่านั้น เอนไซม์นานาชนิดและวิตามินบีที่จำเป็นต่อร่างกายก็มีอยู่อย่างไม่อั้น และแทบไม่น่าแปลกใจเลยที่น้ำสกัดจากต้นอ่อนของพืช โดยเฉพาะจากต้นอ่อนของข้าวสาลีพันธุ์ฤดูหนาว (Hard Winter Wheat) หรือ วีทกลาส (Wheat Grass) จะเป็นเครื่องดื่มที่ชาวรอว์ฟู้ดโปรดปรานสุดเช่นกัน

โดยทั่วไปมนุษย์กินอาหารหลักอยู่ 5 หมู่ ซึ่งประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน แต่สำหรับชาวรอว์ฟู้ดแล้ว อาหารที่พวกเขากินกันหลักก็ได้แก่ คลอโรฟิลล์ จากพืชใบเขียวที่จะทำหน้าที่ไม่ต่างจากโปรตีน แต่เป็นแหล่งโปรตีนที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ น้ำตาล จากพืชที่มีรสหวาน ไขมัน จากพืชที่มีไขมันสูง ถั่วเมล็ดต่างๆ รวมทั้งมะพร้าว สุดท้ายคือ น้ำธรรมชาติบริสุทธิ์ จากพืชที่รสไม่หวาน เพียงเท่านี้ร่างกายของชาวรอว์ฟู้ดก็สุขีอักโขอย่างไม่น่าเชื่อ

การกินอาหารรอว์ฟู้ดแบ่งได้ 4 ทาง ได้แก่ พืชผักสด (Fresh Food) เป็นอาหารที่พร้อมกินได้ทันทีไม่ต้องดัดแปลงอะไรอีกเลย เช่น สลัด ผลไม้สด น้ำผลไม้สกัด นอกจากพืชผักที่เรารับประทานได้สดๆ แล้วยังสามารถนำมาหมักด้วยจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติให้เกิดเป็น อาหารหมัก (Cultured Food) ได้ด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอาหารประเภทนี้ คือกิมจิของชาวเกาหลี เต้าหู้บางชนิดของชาวจีน มิโซของชาวญี่ปุ่น โดยอาหารหมักนี้จะมีเชื้อแบคทีเรีย สายพันธุ์อซิโดฟิลลัสที่เจริญเติบโตในธรรมชาติ มีประโยชน์กับระบบย่อยอาหารของมนุษย์อย่างมาก เพราะจะเข้าไปช่วยย่อยอาหารในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มร้อย การเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์เหล่านี้ยังมีผลให้แบคเรียที่เป็นพิษต่อระบบย่อยอาหารไม่สามารถเจริญเติบโตได้ โอกาสในการเกิดโรคอาหารเป็นพิษจึงลดลง

ถั่วและเมล็ดพืชแห้งก็ถือเป็นแหล่งอาหารสำคัญของรอว์ฟู้ด โดยการเปลี่ยนให้อยู่ในกลุ่มอาหารที่เรียกว่า พืชต้นอ่อน (Sprouted Food) ก่อน ถั่วและพืชเมล็ดแห้งเมื่อนำมาแช่น้ำ เปลือกหุ้มเมล็ดจะนิ่มขึ้น ชั้นเคลือบยับยั้งเอนไซม์จะละลายออกมา เอนไซม์ต่างๆ ในเมล็ดก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมที่จะทำงาน จากเมล็ดแห้งก็กลายเป็นเมล็ดนุ่มๆ และเป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่เต็มไปด้วยเอนไซม์ เช่น ซูชิที่ใช้ลูกเดือยที่ผ่านการแช่น้ำจนนุ่มแทนข้าวสุก ซุปถั่วอัลมอนด์ที่ผ่านการแช่น้ำจนนุ่มก่อนที่จะนำไปบดละเอียด หากมีอากาศ แสงแดดและให้น้ำไหลเวียน เมล็ดเหล่านั้นก็จะกลายเป็นต้นอ่อนของพืชที่เต็มไปด้วยคลอโรฟิลล์อีกด้วย ตัวอย่างอาหารในกลุ่มนี้คือ ถั่วงอก อัลฟัลฟาสเปราท์ วีทกลาส สุดท้ายเป็นกลุ่ม อาหารแห้ง (Dehydrated Food) อาหารกลุ่มนี้จะอาศัยการระเหยน้ำที่อุณหภูมิต่ำๆ อย่างช้าเพื่อหยุดการทำงานของเอนไซม์ชั่วขณะ โดยที่ไม่ทำให้คุณค่าทางอาหารเสียไป ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธี คือ ใช้ความร้อนตามธรรมชาติจากแสงอาทิตย์ หรือใช้เครื่องมือเรียกว่า dehydrator เป็นเครื่องอบลมร้อนที่ให้อุณหภูมิในการทำแห้งไม่เกิน 108 องศาฟาเรนไฮต์ เมื่อน้ำระเหยไปน้ำหนักของอาหารย่อมลดลงมีผลให้สัดส่วนของสารอาหารที่มีในอาหารแห้งนั้นเข้มข้นขึ้น เมื่อกินเข้าไปก็จะได้รับสารอาหารในปริมาณที่สูงกว่าอาหารสดที่น้ำหนักเท่ากัน รวมถึงสารอาหารบางชนิดก็จะคงคุณค่าเหมือนเดิม ด้วยเพราะปริมาณน้ำในเซลลดลงนั่นเอง นอกจากประโยชน์ด้านคุณค่าสารอาหารแล้ว การทำแห้งอาหารยังทำให้เนื้อสัมผัสของอาหารเปลี่ยนไปด้วย นับเป็นเทคนิคหนึ่งที่เชฟรอว์ฟู้ดนิยมนำมาใช้เพื่อทำให้เกิดอาหารนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น ทาร์โก้ ลาซานญ่า แกรโนล่า หรือแม้กระทั่งคุ้กกี้บาร์ ซึ่งส่งผลให้ชาวรอว์ฟู้ดมีอาหารหลากหลาย อิ่มอร่อยได้ทุกวัน เฉกเช่นเดียวกับการกินอาหารปกติ

การดูแลสุขภาพเส้นผม

มีหลักการไม่ต่างกับสุขภาพกาย เพราะต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือ ความใส่ใจประจำวันสามารถป้องกันปัญหาใหญ่ได้ และนี่คือทิปส์ดีๆ แปลกๆ ที่จะช่วยให้คุณมีเส้นผมสวยสลวยชวนมองแบบไม่พึ่งเอฟเฟ็กต์ ที่อยากแนะนำให้ลองทำ

Chic Your Hair Now!

1. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทรีตเมนต์ ที่ ผลิตแบบออร์แกนิก ซึ่งใช้วัตถุดิบและกรรมวิธีจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีให้มากที่สุด เพื่อปกป้องและบำรุงผมให้สุขภาพแข็งแรง สวยงามแบบยั่งยืน

2. เลือกผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมจากส่วนประกอบจมูกข้าว, โจโจ้บา, น้ำมัน-มะพร้าว, เคราติน, วิตามินไบโอติน, แพนทีนอล, วิตามินเอ, อี และน้ำมันสกัดจากธัญพืช จะช่วยบำรุงรากผม ป้องกันการหลุดร่วง

3. ระหว่างสระผม ควรใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ให้ทั่วศีรษะอย่างน้อย 5 นาที หลังล้างออก นวดด้วยครีมนวดอีก 5 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดบริเวณรากผม

4. ควรปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติ หรือใช้พัดลมช่วยเป่าให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งเครื่องเป่าผม แกนดัดลอน หรือที่หนีบผม

5. รักษาความสมดุลของรูปร่าง และหากคุณกำลังอยู่ในช่วงจำกัดแคลอรี ก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ ตามความต้องการที่จำเป็นของร่างกาย เป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดต่อความสวยงามของเส้นผมมากกว่าการทำทรีตเมนต์ หรือใช้เซรั่มบำรุง

6. ควรสระผมและ นวดระหว่างลงแชมพู ครีมนวดทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน เพื่อกระตุ้นระบบสมดุลของหนังศีรษะ และช่วยเสริมการสร้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผมตามกระบวนการธรรมชาติ

7. เลือกแชมพูที่มีค่าพีเอชเป็นกลาง หลังสระควรล้างด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำเย็นเล็กน้อยเพื่อความเงางาม อย่าใช้น้ำร้อนเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นผมอ่อนแอ

8. ไม่ควรแปรงผมขณะที่เปียกโชก ควรรอให้หมาดและใช้แปรงที่มีซี่ห่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงเส้นผมให้ยืดออก ซึ่งทำร้ายเส้นผม

9. กำจัดรังแคด้วยการใช้น้ำมันโจโจ้บาผสมน้ำมันโรสแมรี่สกัด 1-2 หยด หรือน้ำมันสกัดจากชา นวดศีรษะ 15 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้จะช่วยบำรุงเส้นผม หากทำเป็นประจำทุกสัปดาห์

10. ฟื้นฟูผมแห้งเสียด้วยการใช้น้ำผลไม้สกัด Apple Cider ผสมน้ำในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง นวดเส้นผม และล้างออก จากนั้นค่อยตามด้วยครีมบำรุงผมเนื้อเข้มข้น สูตรธรรมชาติ ทำเป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ เส้นผมจะค่อยๆ กลับมีชีวิตชีวา และเงางาม

11. เพื่อเส้นผมที่เงางาม ควรแปรงด้วยหวีจุ่มน้ำมันสกัดคาโมมายล์ หรือน้ำมันสกัดจากเลมอน ผสมน้ำมันโจโจ้บาในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง และปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติทุกวัน อย่าใช้น้ำมันต่างๆ กับเส้นผมโดยไม่ได้ผสมโจโจ้บาเด็ดขาด เพราะความเข้มข้นจะทำร้ายเส้นผมให้เสียสวย

12. ถ้าไม่มีเวลา แต่ต้องการให้เส้นผมดูเงางาม ให้ใช้น้ำมะนาว 1 ผล ผสมน้ำอุ่น 1 ลิตร ล้างศีรษะหลังนวดผม แล้วปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ เส้นผมจะเงางามทันใจ

13. ผมลีบแบน ควรหลีกเลี่ยงการใช้หวีจากวัสดุพลาสติก เพราะไฟฟ้าสถิตจะยิ่งทำให้เส้นผมแย่ลง และไม่ควรใช้ที่คาดผม ยางรัด หรือเครื่องประดับที่รัดกระชับเส้นผม วิธีที่ดีคือการใช้แปรงจากไม้ หรือกระดูกสัตว์ซี่ห่าง หวีแต่งทรง และปล่อยผมตามธรรมชาติ เพื่อให้ผิวผมได้หายใจ

ถึงจะเกิดมาสวยแบบไม่ได้เลือก แต่สาวอย่างเราก็มีผมสวยเลือกได้ จริงมั้ยคะ ว่าแต่ว่าจะทำไงดีล่ะ ถ้าทำตามทิปส์แล้ว ผมดันสวยเกินหน้าเกินตา อย่างนี้…มิต้องหันหลังเฟลิร์ตหนุ่มหล่อเหรอคะ เอาเหอะ ไว้ค่อยคิดทีหลัง อย่างน้อยชีวิตนี้ก็มีอะไรที่สวยสุดๆ สักอย่างแบบอวดออกวัดวาได้ก็ละกัน

10 ไอเดียดูแลสุขภาพผู้ชาย

คุณผู้ชายทั้งหลายมีส่วนคล้ายเด็กอยู่เหมือนกัน ตรงที่ว่าต้องมีเทคนิคโน้มน้าวใจเสียหน่อยถึงจะยอมคล้อยตามหรือลงมือทำอะไรสักอย่าง ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งนั้นดีกับตัวเอง

ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ในบทบาทใด จะเป็นคุณแม่ คนรัก พี่สาว น้องสาว หรือลูกสาวของพ่อ เรามีวิธีดีๆมาบอกกัน เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้ “ ผู้ชายของคุณ ” มีสุขภาพดียิ่งขึ้น

1. หนึ่งแก้วหลังตื่นนอน
ตื่นให้เช้าอีกสัหน่อย แล้วเตรียมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ววางไว้บนหัวเตียงหรือในจุดที่คุณผู้ชายที่ตื่นมาแล้วมองเห็นได้ง่าย การดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนนั้นดีต่อสุขภาพ ( ควรดื่มก่อนแปรงฟัน ) เพราะน้ำลายในปากจะมีแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้ช่วยเรื่องการขับถ่าย และยังช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต่อมลูกหมากอักเสบ วิธีง่ายๆอย่างนี้จึงเป็นการเพิ่มโอกาสการดื่มน้ำช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดชื่น เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างดี

2. อย่าพลาดอาหารเช้า
ไม่ว่าคุณจะวุ่นวายแค่ไหน ก็อย่าให้เขาพลาดมื้อเช้าเพราะการกินมื้อเช้าช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพไปได้เยอะ ทั้งเรื่องหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ ลองดัดแปลงอาหารเช้าทำง่ายๆได้สุขภาพมาแทน เช่น แซนวิชทูน่าหรือปลากะพงอบ ไข่คนใส่มะเขือเทศ ฯลฯ หากไม่มีเวลามาก คุณอาจซื้ออาหารหรือทำเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน เช่น อบปลาแซลมอนหรือปลากะพงเพื่อเป็นไส้แซนด์วิช ต้มซุปไก่ใส่มันฝรั่งแล้วเก็บเข้าตู้เย็นก่อนกินมื้อเช้าก็นำมาอุ่นกินได้ทันที เริ่มต้นวันอย่างดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วจริงไหม

3. เตรียมผลไม้ให้กินง่าย
การมีผลไม้วางใส่ตะกร้า บางทีก็ไม่เร้าใจเพียงพอให้คุณผู้ชายหยิบมากินหรอก คุณอาจต้องหั่นเป็นชิ้นใส่กล่องเก็บไว้ในตู้เย็น หรือใส่จานเสิร์ฟหลังมื้ออาหารการอยู่ใกล้มือและกินง่ายจะช่วยให้เขากินผลไม้ได้มากขึ้น แต่ถ้าจะให้ดีลองดัดแปลงผลไม้ที่เขาชอบมาเป็นของว่าง เครื่องดื่มรูปแบบต่างๆดู เช่นสมู้ธตี้ ผลไม้ลอยแก้ว ฟรุตสลัด ฯลฯ น่าจะทำให้การกินสนุกและอร่อยยิ่งขึ้น

4. ชวนกันไปออกกำลังกาย
อย่าปล่อยให้เพลินไปกับเกมคอมพิวเตอร์ หรือคร่ำเคร่งกับหน้าที่การงานเสียจนละเลยสุขภาพ ลองเอ่ยปากชวนกันไปออกกำลังกายดูบ้าง เลือกชนิดกีฬาที่ชอบ คุณผู้ชายจะได้มีความยากเล่นมากขึ้น อาจเริ่มต้นจากกีฬาง่ายๆ อย่างเช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน รวมถึงการสมัครสมาชิกสปอร์ตคลับหรือซื้ออุปกรณ์กีฬาโปรดชิ้นใหม่ให้ด้วย จะช่วยให้มีความตั้งใจออกกำลังกายเพิ่มขึ้น แต่อย่าปล่อยให้เขาไปเล่นเพียงลำพังล่ะ เพราะการมีเพื่อนไปออกกำลังกายด้วยกันนั้นได้ทั้งความสนุก กระชับความสัมพันธ์และจะได้มีสุขภาพดีกันทั้งครอบครัว

5. อย่าลืมครีมกันแดด
ไม่ใช่เรื่องรักสวยรักงามเลย เพราะอันตรายของรังสีจากแสงอาทิตย์นั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังได้อย่างที่เราไม่รู้ตัว คุณน่าจะสรรหาครีมกันแดดชนิดที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ อาจเป็นออยล์ฟรีหรือมีส่วนผสมหลักเป็นน้ำ ( water base ) มาให้เขาใช้ อย่างน้อยจะได้ไม่สร้างความรำคาญให้ผิวหน้าจนเกินไป และช่วยป้องกันอันตรายจากแสงอาทิตย์ได้ในระดับหนึ่ง

6. กำหนดเมนูปลาไว้ทุกวัน
คุณก็รู้อยู่แล้วว่าประหลาดีต่อสุขภาพ คงจะดีแน่ถ้าทุกมื้ออาหารมีปลาอย่างน้อยๆหนึ่งเมนู อาจเปลี่ยนรูปแบบการปรุงให้แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นต้มยำ ทอดกระเทียม นึ่งมะนาว หรือเผา รวมทั้งเลือกปลาหลากหลายชนิด จะช่วยให้การกินปลาไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ดีต่อหลอดเลือดหัวใจ ระบบประสาท และสุขภาพจิต เลือกกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะดีมาก

7. นวด สัมผัสเพื่อผ่อนคลาย
คุณผู้ชายเขาแอบกระซิบมาค่ะว่า ไม่ได้ต้องการคนนวดระดับเซียนหรอก แต่ถ้ากลับมาบ้านแล้วมีคนใกล้ชิดมานวดให้ผ่อนคลายเสียบ้าง เขาจะหายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง เพราะความเคร่งเครียดทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่า ต้นคอ และศีรษะตึงและมีอาการเกร็ง หากได้รับการบีบนวดสักหน่อยจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เทคนิคนี้คุณจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นแล้วผลัดกันนวดก็ได้ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แถมยังสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันอย่างดีด้วย

8. ขยันให้กำลังใจหน่อย
คุณผู้ชายมักทำงานด้วยความมุ่งมั่น บางครั้งก็เครียดจนชีวิตขาดสีสันและเสียงหัวเราะ ลองเจียดเวลาส่งแมสเสจดีๆหรือข้อความอาจรวมถึงการส่งเรื่องขำขันไปให้ การได้หัวเราะแม้จะเป็นเพียงวันละครั้งก็ยังดี เวลาอยู่ในบ้านอาจเขียนข้อความน่ารักๆ หรือความห่วงใยติดไว้ตามที่ต่างๆ เช่น ตู้เสื้อผ้า หน้าตู้เย็น หรือที่กระจกหน้ารถ เขาจะได้รู้ว่ายังมีคนใส่ใจและห่วงใยเขาอยู่

9. ใส่ใจรถหน่อย
รถก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ฉะนั้นอย่าลืมทำบ้านเคลื่อนที่หลังนี้ให้น่าอยู่ ด้วยการช่วยเขาเก็บขยะไปทิ้ง ดูดฝุ่นในรถบ้าง จัดของในรถให้เป็นระเบียบ เตรียมซีดีเพลงโปรดใส่รถไว้ให้ หรือหยอดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดีๆ ที่ช่วยบำบัดไว้ในรถแทนที่จะใช้น้ำหอมดับกลิ่น นอกจากจะทำให้อากาศในรถดีขึข้นแล้ว อาจจะทำให้เขานึกถึงคุณและอยากจะรีบกลับบ้านมากขึ้นก็เป็นได้

10. หาเวลาไปต่างจังหวัดบ้าง
ไปปลดปล่อยภาระหน้าที่การงานด้วยการออกท่องเที่ยวผจญภัยกันดีกว่าแม้ไม่ต้องมีเวลามากก็ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศได้ เพราะคุณผู้ชายเขาเบื่อเต็มทนกับการต้องใช้เวลาว่างในห้างสรรพสินค้า คุณอาจจะลองเสนอไอเดียไปเที่ยวนี้ให้เขาเลือก สถานที่และกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เช่น ไปปิกนิก ไปปีนเขา ดำน้ำ หรือตกปลา วิธีนี้น่าจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้พักผ่อนทั้งกายและใจ ทั้งยังกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย

อุบัติเหตุ ต่อตา

อุบัติเหตุจากสารเคมี นับวันจะพบบ่อยขึ้นจากการเพิ่มของอุตสาหกรรม ที่พบมาก และเป็นอันตรายคือ กรดและด่าง กรดทำให้เกิดอันตรายน้อยกว่าด่างเนื่องจากกรดจะจับกับโปรตีนในตา ทำให้โปรตีน แข็งตัวกรดจะหยุดซึมลึกลงไปอีก ส่วนด่างมีผลทำให้เนื้อเยื่อของตาเดือดเป็นฟองเหมือนสบู่ และมีฤทธิ์แทรกซึมลึกลงไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ความรุนแรงของสารเคมีจะขึ้นกับระยะเวลาตั้งแต่ได้รับอุบัติเหตุจนได้รับการรักษา ถ้าได้ล้างตาทันทีการทำลายจะน้อยลง ดังนั้น ถ้าพบผู้ได้รับอุบัติเหตุจากสารเคมีควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการล้างตาด้วยน้ำสะอาดใกล้ตัวให้มากที่สุดที่จะทำได้ก่อนนำส่งจักษุแพทย์โดยด่วน

อุบัติเหตุ ต่อเปลือกตา

อุบัติเหตุจากแรงกระแทก
อาจมีแค่รอยถลอกบริเวณเปลือกตา ตาบวม ปวดตา หรือมีการฉีกขาดของเปลือกตามีเลือดออกจากรอยแผล แต่การมองเห็นยังเป็นปกติถ้าแรงกระแทกลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อ เปลือกตาบน ถ้าไม่ได้รับการเย็บซ่อมแซมโดยจักษุแพทย์ อาจจะทำให้มีอาการหนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้นได้การฉีกขาดของท่อน้ำตา ก็เช่นกัน จะต้องได้รับการผ่าตัดท่อน้ำตาโดยด่วน มิฉะนั้น จะมีอาการน้ำตาไหลต่อมาในภายหลังดังนั้นเมื่อมีอุบัติเหตุต่อเยื่อบุตา ที่พบได้คือ แผลถลอก ของเยื่อบุตาและแผลฉีกขาดของเยื่อบุตา ถ้าแผลยาวต้องได้รับการเย็บแผลจากจักษุแพทย์ภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตาจะพบได้บ่อยเวลามีอุบัติเหตุต่อตา แต่มักจะหายได้เอง การประคบด้วยผ้าเย็นจะช่วยให้อาการสบายขึ้นก่อนพบจักษุแพทย์

อุบัติเหตุต่อเยื่อบุตา

ที่พบได้คือ แผลถลอกของเยื่อบุตาและแผลฉีกขาดของเยื่อบุตาถ้าแผลยาวต้องได้รับการเย็บแผลจากจักษุแพทย์ ภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตาจะพบได้บ่อยเวลามีอุบัติเหตุต่อตา แต่มักจะหายได้เองการประคบด้วยผ้าเย็นจะช่วยให้ อาการสบายขึ้นก่อนพบจักษุแพทย์

ผงเข้าตา

อาจพบได้ทั้งที่เยื่อบุตาและกระจกตา โดยจะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหลเวลากลอกตาไปมาหรือเวลากะพริบตาไม่ควรเขี่ยออกเอง เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อของตาได้ จึงควรปิดตาแล้วนำส่งจักษุแพทย์

อุบัติเหตุต่อกระจกตา

- แผลถลอกของกระจกตา เกิดจากการลอกหลุดของผิวชั้นนอกของกระจกตาปลายประสาทจะมีการถูกกระตุ้น จะทำให้มีการปวดตาเดียวและน้ำตาไหล ซึ่งจะพบได้บ่อยจากได้รับแสงจ้า เช่น แสงอุลตร้าไวโอเล็ต ที่เกิดจากการเชื่อมเหล็ก จึงควรรีบปิดตาแน่นเพื่อลดการระคายเคือง ก่อนนำส่งจักษุแพทย์

- แผลฉีกขาดของกระจกตา จากการถูกของแหลมแทง จะมีอาการตามัวทันที เลือดออกจากตา ต้องรีบปิดตาทันที แล้วนำส่งจักษุแพทย์

ภาวะเลือดออกในช่องหน้าลูกตา

เกิดจากการถูกกระแทกอย่างแรงต่อดวงตา เช่น จากลูกแบดมินตัน ลุกเทนนิส เป็นต้น ทำให้มีการฉีกขาดของม่านตาจะพบเลือดออกในช่องหน้าลุกตา มีอาการปวดตา ตาแดงมัวทันที มองเห็นเลือดในลูกตา ภาวะนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ทันที โดยการนอนพักในโรงพยาบาลทุกรายเพื่อป้องกันการเกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรงตามมา เช่น การเกิดต้อหิน หรือเลือดออกเพิ่มขึ้น หรืออาการปวดตาไม่หายไปซึ่งถ้าเกิดผลแทรกซ้อนเหล่านี้แล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดล้างเลือดออก จากช่องหน้าลูกตาก่อนที่ตาจะบอด

อุบัติเหตุ ต่อแก้วตาจากแรงกระแทก

หรือของแหลมคมจะทำให้มีการฉีกขาดของแก้วตา แก้วตาหลุด หรือเคลื่อน และมีต้อกระจกเกิดตามมาได้ จึงควรได้รับการรักษาโดยจักษุแพทย์

อุบัติเหตุ ต่อประสาทตาถ้ามีแรงกระแทกบริเวณหน้าผากหรือคิ้ว แม้ไม่แรงมากก็อาจจะมีอันตรายต่อประสาทตาได้ โดยดูจากภายนอกอาการจะไม่รุนแรง ไม่มีอาการเจ็บปวด แต่ตาจะมัวทันที ซึ่งถ้าได้รักษาในระยะแรก อาจจะป้องกันการสูญเสียสายตาได้

อุบัติเหตุ ต่อกระดูกเบ้าตาและกล้ามเนื้อตา จากแรงกระแทกอาจทำให้กระดูกเบ้าตาแตกมีอันตรายต่อกล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อตา มองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาบริเวณใต้ตา และลูกตาลึกบุ๋มลงไป ซึ่งถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 – 10 วัน ก็ต้องแก้ไขโดยการผ่าตัด

อาหารบำรุงสายตา

อาหารที่บำรุงสายตาได้แก่ อาหารที่ได้จากวิตามิน เอ เราจะพบวิตามิน เอ ได้ในผลิตผลจากสัตว์ เช่น ตับ นม น้ำมันสกัดจากตับปลา หรือพืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด สีเหลือง เช่นผักบุ้ง มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง บล็อคโคลี่ แครอท มะม่วงสุกและอีกมากมาย ความต้องการสารอาหาร ใน 1 วัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีความ ต้องการวิตามิน เอไม่ว่าจะเป็นพืช หรือสัตว์ซึ่งได้จากอาหารต่าง ๆ ดังนี้

เด็ก : ต้องการอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น ตับไก่ ตับหมู แครอท ฟักทอง ไข่แดง ตำลึง ผักโขม ปูทะเล ผักคะน้าและเนย

ผู้ใหญ่ : ความต้องการอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น ใบยอ ตับไก่ ใบแมงลัก ตับวัว ใบโหระพา ใบบัวบก ผักชะอม ผักกระถิน พริกขี้หนู มะม่วงสุก ผักบุ้ง มะละกอ และควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหาร ต่อไปนี้ ข้าวซ้อมมือ ปลา ตับ เนื้อไก่ผักสด และผลไม้ รวมทั้งวิตามินต่าง ๆที่จำเป็นในการรักษา

ลดระดับ โคเลสเตอรอล ด้วย อาหาร

การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ เป็นรากฐานสำคัญของการป้องกัน และรักษาภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้น ทุกท่านควรเข้าใจถึงแนวทาง ในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่างๆ ซึ่งมีภาวะโคเลสเตอรอลสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด

หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด

1.รับประทานโคเลสเตอรอล ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

โคเลสเตอรอล มีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด (ดูรายละเอียดในตาราง) จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณมาก

2.รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

โดยผู้ใหญ่ ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจาก น้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5)2 = 22.2 กก./ตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3.หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง

เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น (ดูรายละเอียดในแผ่นพับ “ไขมันอิ่มตัวกับภาวะโคเลสเตอรอลสูง ในเลือด” : รศ.ดร. ปรียา ลีฬหกุล )

4.รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ

ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหาร ที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิก ประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนโคเลสเตอรอลอิสระ เป็นโคเลสเตอรอลไลโนเลเอทเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด จากสาเหตุอื่นๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัด จะช่วยเสริมผลการรักษา ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้

Chocolate ของหวานที่ไม่ธรรมดา

Chocolate เป็นขนมหวานที่น้อยคนนักจะปฏิเสธว่าไม่ชอบ เพราะรสชาติของความอร่อยที่หอมหวานมันเข้มข้น มันช่างยั่วน้ำลายดีจริงๆ แล้วอย่างนี้ใครจะอดใจไหว แต่เมื่อได้รับประทานเข้าไปก็จะหยุดไม่ได้ แคลอรี่ในร่างกายก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาพร้อมๆกับน้ำหนักตัว พอเห็นแบบนี้แล้วสาวๆ ก็เลยเลี่ยงที่จะกิน ช็อกโกแลต ทั้งที่อยากจะกินแทบแย่ แต่ถ้าเรารู้วิธีการทาน ช็อกโกแลต ที่ถูกวิธี รวมทั้งประโยชน์ที่จะได้รับแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางอ้วนหรอก

ในช็อกโกแลตร้อน 1 ถ้วย มีปริมาณสารคาเฟอีนประมาณ 10 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยกว่าในกาแฟถึง 10 เท่า แต่สามารถช่วยกระตุ้นร่างกายให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้เช่นเดียวกัน แถมยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย เพราะในช็อกโกแลตมีสารบางชนิดที่ไปช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อ “เอ็นดอร์ฟิน” (Endorphin) ออกมาช่วยปรับอารมณ์ ทำให้เรามีอารมณ์ดีไม่หงุดหงิดง่าย อีกทั้งสาวๆที่เลือดจะไปลมจะมาทั้งหลาย ช็อกโกแลตก็สามารถช่วยได้ไม่ว่าจะลดอาการปวดท้อง หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือนอย่างได้ผล

จากการศึกษา Athens Medical School ประเทศกรีซ กล่าวว่า การรับประทานช็อกโกแลตช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือดได้ โดยช็อกโกแลตมีสารต้านอนุมูลอิสระ “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoid) ซึ่งเป็นชนิดเช่นเดียวกับไวน์แดง พืชผัก ผลไม้ และใบชา

ดังนั้นการรับประทานช็อกโกแลตในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป นอกจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือดแล้ว ยังช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยควบคุม ความดันโลหิต ช่วยลดอัตราเสี่ยงการอุดตันของหลอดเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ หรือช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้ ที่สำคัญยังช่วยให้แก่ช้าได้อีกด้วย

ทั้งนี้ยังสามารถช่วยแก้อาการเมาค้าง หรือ Hangover ได้ด้วยซึ่งจะได้เลิกเมาค้างข้ามวันข้ามคืนไงคะ และยังช่วยลดอาการอักเสบเวลาเจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัวและยังช่วยให้กระฉับกระเฉงอีกด้วย

แม้เพียงรับประทานช็อกโกแลตในครั้งแรกก็ได้รับประโยชน์ดังกล่าวแล้ว และแม้ว่าช็อกโกแลตจะมีกรดสเตียริคซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มของระดับคลอเลสเตอรอลแต่อย่างใด แต่ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทุกประเภทจะมีปริมาณพีนอลเท่ากัน ช็อกโกแลตที่ผสมนมจะมีปริมาณพีนอลน้อยกว่าช็อกโกแลตล้วนๆ 2-4 เท่า ซึ่งช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้มากเท่าไหร่ ก็จะมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มีรายงานของจุลสาร American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า เราได้รับประโยชน์จากช็อกโกแลตหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น โดยการรับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์ จะทำให้ความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ของร่างกายเราเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ และปริมาณของ LDL หรือ Low-density Lipoprotein Cholesterol ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลที่เป็นพิษก็จะลดลงเช่นกัน

หลายท่านที่ละเลยคุณประโยชน์จากช็อกโกแลตไป หรือบางคน อาจจะกลัวอ้วนเนื่องจากนมหรือน้ำตาลที่ผสมอยู่ในช็อกโกแลต ถ้าหันมา รับประทานช็อกโกแลตที่มีนมหรือน้ำตาลในปริมาณต่ำ ก็จะได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระไม่น้อยทีเดียวค่ะ อร่อยด้วยมีประโยชน์ด้วย แหมช่างคุ้มจริงๆ

ต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี

การรักษาสุขภาพช่องปากให้ดีอยู่เสมอนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรทำอยู่เสมอ การที่คุณมีสุขภาพปากและฟันที่ดีนั้นจะช่วยให้คุณพูดด้วยความมั่นใจ และเสริมสร้างบุคลิกภาพให้ดีขึ้นด้วย

การดูแลที่คุณจะทำได้ทุกวันก็คือ การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดช่องปาก ซึ่งก็จะช่วยลดหรือหยุดยั้งปัญหาในช่องปากได้
• แปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงและใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 ครั้ง
• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเหงือกและฟัน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยว
• ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์
• ใช้น้ำยาบ้วนปากเมื่อทันตแพทย์แนะนำให้ใช้
• ให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ หรือรับประทานสารฟลูออไรด์หากว่าอาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล

สำหรับการแปรงฟันที่ถูกต้องนั้นมีวิธีการคือ
• วางแปรงให้ทำีมุม 45 องศากับเหงือก และแปรงให้โดนส่วนของฟันเท่านั้นหลีกเลี่ยงการถูแปรงสีฟันกับเหงือก
• แปรงด้วยน้ำหนักพอเหมาะ ให้ทั่วถึงทุกด้านของฟัน และเป็นจังหวะสั้นๆ
• ห้ามลืมแปรงลิ้นด้วยเพื่อขจัดแบคทีเรียต่างๆ

การใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้องมีวิธีการดังนี้
• ไหมขัดฟันที่ใช้แต่ละครั้งควรยาวประมาณ 30 – 45 เซนติเมตร
• ถูไหมขัดฟันไปตามส่วนโค้งของฟัน
• ต้องไม่ลืมทำความสะอาดตามร่องฟัน แต่ไม่ควรถูไหมขัดฟันกับเหงือก

เคล็ดลับดีๆ เหล่านี้เมื่อคุณนำไปปฏิบัติตาม คุณจะมีสุขภาพปากและฟันที่ดีอย่างแน่นอน

อาหารบำรุงรอบเดือน

สาวคนไหนที่มีรอบเดือนมาน้อย วันนี้มีอาหารบำรุงรอบเดือนมาฝากกัน...

ประจำเดือนที่มาตามปกติแสดงถึงความสมบูรณ์ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ และเป็นการถ่ายเทเลือดเสียซึ่งเกิดจากการสลายตัวของเยื่อบุมดลูกและสร้างเยื่อบุมดลูกใหม่หมุนเวียน ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติ

แต่ละเดือนที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมากจากการมีรอบเดือน ร่างกายจะสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ อย่างแคลเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสีด้วย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ หรือมีอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อารมณ์เศร้าซึม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สุขภาพไม่แข็งแรง ขาดการออกกำลังกาย หากมัวแต่อดอาหาร รักษาหุ่น อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะซูบซีด ผิวพรรณไม่มีเลือดฝาด

ในช่วงมีรอบเดือน การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อร่างกายจะช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ ได้โดยเน้นที่อาหารบำรุงเลือด เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และ ผักใบสีเขียวจัด เช่น คะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย เป็นต้น ซึ่งให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวม และกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเลือดสูง

สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาน้อยหรือมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมี ความผิดปกติ ในร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีเนื้อร้ายที่มดลูกก็ได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพกันด้วย.

กินเผ็ด ป้องกันโรค มีประโยชน์สารพัด

พริก ทุกคนจะนึกถึงความเผ็ด หลายคนชอบกินอาหารรสเผ็ด แต่หลายคนไม่ชอบ ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว พริก มีประโยชน์อย่างไร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ “แคป ไซซิน” พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม

คนที่กินพริกนาน ๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา

ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ “เอ็นโดร ฟิน” บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณ คอเรสเตอรอล จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมาก ๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่า สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่

กรณีที่กินอาหารเผ็ดมาก ๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มัน ๆ เพราะ “สารแคปไซซิน” จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ

ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ.

ดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือด

-คนที่มีกรุ๊ปเลือด A

จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหมจึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกายคนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB

เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O

ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

ไม่ว่าจะกรุ๊ปเลือดไหนก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี.

ฉี่บ่อย ระวัง โรคร้าย ถามหา

นพ.วสันต์ เศรษฐวงศ์ หน่วยศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลเลิดสิน อธิบายว่า อาการปัสสาวะบ่อย ในทางการแพทย์ หมายถึง ปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้งในตอนกลางวัน หรือ มากกว่า 2 ครั้งในตอนกลางคืนหลังเข้านอน

คนที่อายุมากขึ้น โอกาสพบปัสสาวะบ่อยก็มากขึ้นด้วย โดยคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีโอกาสพบ 4% ในขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปี มีโอกาสพบถึง 15% ซึ่งอาการปัสสาวะบ่อยในคนหนุ่มสาวมักจะหาสาเหตุได้ง่ายกว่าในผู้สูงอายุที่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ

ปัจจัยหรือสาเหตุของอาการปัสสาวะ

บ่อยมีดังนี้กลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรค เกิดจาก การดื่มน้ำมาก ทำงานในสภาวะอากาศที่เย็น ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีภาวะเครียด หรือการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะกลุ่มที่เป็นโรค

แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ

1. ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคเบาหวาน โรคเบาจืด

2. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง เช่น

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเกิดขึ้นหลังจากกลั้นปัสสาวะนาน ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย แสบขัด ไม่สุด ปวดท้องน้อย และอาจมีเลือดปนออกมา ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอักเสบอาจลุกลามไปที่กรวยไต ผู้ป่วยอาจมีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ พบในผู้ชายมากกว่า ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะขัด ๆ ไม่พุ่ง หยุดสะดุดเป็นช่วง ๆ ระหว่างปัสสาวะ เมื่อตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดแดง เอกซเรย์จะพบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

มะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ พบบ่อยในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะเป็นเลือดเพียงอย่างเดียว โดย ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย แต่บางครั้งอาจมีปัสสาวะบ่อย แสบขัด ต้องอาศัยการตรวจรังสีวินิจฉัย หรือส่องกล้อง

กระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร หรือ โอเอบี เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อยมาก อาจถึง 30 ครั้งต่อวัน กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะแต่ละครั้งออกไม่มาก บางรายอาจปัสสาวะไม่สุด ปวดท้องน้อยร่วมด้วย อาการดังกล่าวมักเป็นมานานแล้ว เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการทำงานที่ไวผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ

นอกจากนี้อาการปัสสาวะบ่อย อาจเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะข้างเคียง ที่มีผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เช่น นิ่ว ในท่อไตส่วนล่าง ท่อปัสสาวะอักเสบจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียมท่อปัสสาวะ ฝ่อหลังวัยทองในผู้หญิง ต่อมลูกหมากโตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง และท้องผูกเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรค แพทย์จะอาศัยการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจรังสีวินิจฉัย หรือการตรวจด้วยวิธีพิเศษ

การรักษาอาการปัสสาวะบ่อยนั้น ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุ โรคบาง ชนิดทานยาก็หาย เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร แต่บางชนิดอาจจะต้องผ่าตัด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากที่เคยดื่มน้ำมาก ก่อนนอนก็ต้องงดหรือดื่มน้อยลง ท้ายนี้ขอแนะนำ ว่า คนที่มีอาการปัสสาวะบ่อยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะรักษาแต่เนิ่น ๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคร้ายให้หายขาดอีกด้วย

บุคลิกภาพรับลมหนาว

รายงานโดย :อ.ประณม ถาวรเวช สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพจอห์นโรเบิร์ตเพาเวอร์ส

ลมหนาวโชยมาแล้วค่ะ อากาศในบ้านเราเริ่มเย็นสบาย คิดว่าเมื่อเข้าเดือน ธ.ค. ไปจนถึงช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คงเข้าขั้นหนาวอย่างจริงๆ จังๆ

เวลานี้เท่าที่ทราบ เสื้อกันหนาวกับอุปกรณ์คลายหนาวเก๋ๆ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะ “ผ้าพันคอ” ที่ขอทำนายว่าเป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในฤดูหนาวนี้ ทราบว่าขายกันเกลี้ยง ไม่ว่าจะมือหนึ่งหรือมือสอง และต่อลูกค้า 1 คน ใช่ว่าจะซื้อกันเพียงแค่ 1 ผืน ส่วนใหญ่ซื้อตั้งแต่ 2 ผืนขึ้นไป

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ผ้าพันคอได้พัฒนามาเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งของหนุ่มสาวสมัยใหม่ จะเห็นว่าหน้าฝนที่ผ่านมา ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ต่างก็นิยมมีผ้าพันคอผืนเก๋ประดับตกแต่งร่างกายกันมาแล้วเป็นอย่างมาก ฉะนั้น ในท่ามกลางลมหนาวขนานแท้ มีหรือคะที่ผ้าพันคอจะไม่ฮิต

มีสิ่งที่ต้องขออนุญาตแนะนำ เผื่อใช้เป็นข้อพิจารณาในการรักษาบุคลิกภาพของตัวเองให้ยังคงดูดี เป็นที่น่าประทับใจในตลอดหน้าหนาวนี้

1.อย่าแต่งตัวเยอะเกินคนส่วนใหญ่

หลายคนดีใจที่ได้เจอลมหนาว ก็รีบโหมประโคมแต่งตัวอย่างสนุก ลืมรอดูว่าส่วนใหญ่เขาแต่งกันมากน้อยแค่ไหน โดยหลักของบุคลิกภาพแล้ว น้อยดีกว่าเยอะค่ะ เพราะน้อยเติมได้ ปรับแต่งนิดเดียวก็เข้าได้กับคนส่วนใหญ่ “น้อย...แต่เก๋ มีเอกลักษณ์ น่าสนใจ” คือคาถาสำคัญในการแต่งตัวค่ะ การแต่งตัวเยอะ อาจทำให้คุณกลายเป็นตัวตลก สะดุดตา เป็นที่สนใจจริงๆ ค่ะ แต่ไม่ใช่ในทางบวก

ความเยอะส่วนใหญ่จะอยู่ที่เสื้อตัวนอกกับอุปกรณ์พันคอทั้งหลาย อย่าให้สองสิ่งนี้ทำหน้าที่ “กันหนาว” ในเวลาเดียวกัน หากเสื้อทำหน้าที่กันหนาวได้ดีแล้ว ผ้าพันคอก็ควรทำหน้าที่ “เติมความเก๋” เท่านั้น แต่หากผ้าพันคอทำหน้าที่กันหนาว (และเก๋) เสื้อตัวนอกก็ไม่ควรดูหนามาก มีขนฟูฟ่อง หรือทำให้ตัวคุณดูเทอะทะ อย่ารักพี่เสียดายน้องระหว่างเสื้อกันหนาวกับผ้าพันคอ แค่ตัดสินใจให้ได้ว่า วันนี้ใครจะทำหน้าที่กันหนาว ใครจะทำหน้าที่เสริมเสน่ห์ เท่านี้คุณก็จะเป็น “คนขี้หนาว” ที่ดูดี มีรสนิยมแล้ว

2.อย่าประมาทต่อสายลมหนาว

ลมหนาวมาพร้อมๆ กับความอ่อนแอของร่างกาย แถมยังหอบเอาเชื้อโรคต่างๆ นานามาฝากเราด้วย

การดูแลสุขภาพในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปลายฤดูฝนสู่ต้นฤดูหนาวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะขืนต้องออกงานหรือไปทำงานในสภาพไอโขลกๆ หน้าซีดหน้าเซียว จับไข้ตัวสั่น มันไม่ช่วยให้มีสง่าราศีแต่อย่างใดเลย การดูแลสุขภาพในหน้าหนาวก็คือ การรักษาความอบอุ่นของร่างกายเอาไว้ อาจต้องออกกำลังกายมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงหักโหมขึ้นนะ ให้มีเวลาในการอบอุ่นร่างกายให้มากขึ้น และช่วงวอร์มดาวน์หลังออกกำลังกายก็สำคัญ

พร้อมกันนี้ ก็ควรใส่ใจรับประทานอาหารให้ครบทั้งสามมื้อ อาหารที่จะรับประทานควรเป็นอาหารปรุงสุกใหม่ๆ เพราะช่วงต้นหนาวอย่างนี้ มีไวรัสฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศมากเป็นพิเศษ การใส่ใจเรื่องอาหารการกินจะช่วยร่างกายมีความต้านทานโรคภัยต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

3.ผิวพรรณก็สำคัญใช่ย่อย

หน้าหนาวอากาศแห้ง พลอยทำให้ผิวของเราแห้งหนักกว่าปกติ การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวในหน้าหนาวจึงต้องเลือกชนิดเข้มเข้น และติดทนทาน ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ทำให้ผิวเอิบอิ่ม ดูชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน จุดที่หลายคนอาจไม่ได้ระมัดระวังมาก ก็คือ มือกับริมฝีปากค่ะ สองจุดนี้จะแห้งเป็นขุย หรือหลุดลอกได้ง่ายมากๆ ควรมีโลชันทามือติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะว่ามือของเราสกปรกและต้องล้างบ่อยๆ ทุกครั้งที่ล้าง โดยเฉพาะล้างด้วยน้ำอุ่นและสบู่ จะยิ่งทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น รวมไปถึงน้ำมันที่คอยปกป้องผิว จึงต้องคอยทาโลชันบำรุงช่วย โดยเฉพาะคนที่ทำงานให้ห้องปรับอากาศ ส่วนริมฝีปาก ควรใช้ลิปสติกที่ทั้งปกป้องและบำรุง คือ ปกป้องจากอากาศที่หนาวเย็นและแห้ง ไม่หลุดลอกง่าย ไม่แข็งตัวเป็นคราบ และมีสารบำรุงริมฝีปากด้วย อาจต้องคอยสำรวจริมฝีปากและเติมลิปสติกให้อยู่ในสภาพดีตลอดทั้งวัน พร้อมกันนี้ให้จิบน้ำบ่อยๆ เพื่อที่ผิวและริมฝีปากจะได้ไม่ขาดน้ำ ทำให้ดูอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวลตามธรรมชาติ

4.อย่าละเลยความผึ่งผาย อากาศหนาว

คนเราจะห่อตัว ห่อไหล่ โดยไม่ทันรู้ตัว เสียบุคลิกค่ะ เลือกเครื่องแต่งกายที่ช่วยบรรเทาความหนาว เลือกให้เข้ากับกาลเทศะ จะได้เดินไปไหนมาไหน พบปะกับใครๆ ได้อย่างสมาร์ตเหมือนปกติ ที่สำคัญอย่าเดินออกมาตากลมมาก เพราะแม้จะมีเสื้อผ้าช่วยกันหนาว แต่ท่ามกลางอากาศเย็น บวกกับสายลมโชย จะทำให้เราหนาวได้มากกว่าปกติ จนต้องห่อตัวหรือเดินไหล่งุ้ม ไม่น่ามองได้

5.ห่อหุ้มเท้าเอาไว้บ้าง

หน้าหนาวส้นเท้าแตกแหละหยาบง่าย หมั่นขัดถู สปา และทาครีมบำรุงให้มากเป็นพิเศษ ทางที่ดีเลือกรองเท้าที่ห่อหุ้มเท้ามากกว่าเปิดเปลือย เพราะหนังเท้าจะหยาบกร้านและแห้งได้เร็วกว่าจุดอื่นๆ ในร่างกาย ที่สำคัญเป็นส่วนที่เราไม่ค่อยได้สัมผัสหรือใส่ใจ บางคนเท้าหยาบ ผิวแตกมาก ยังอุตส่าห์สวมรองเท้าเปิดเปลือยให้เห็นความหยาบและแห้งกร้านของผิวเท้าอีก แค่นึกภาพก็คงจะรู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าน่ามองหรือไม่

6.ยิ้มไว้

หน้าหนาวไม่ทราบว่าเป็นอะไร คนไม่ค่อยยิ้ม อาจเพราะกังวลอยู่กับความหนาว จนรีบร้อนอยากจะเดินๆ หรือทำธุระให้เสร็จ แล้วกลับเข้าตึก เข้าห้อง เข้าบ้าน เพื่อให้พ้นจากความหนาวเย็น บ้างก็มีปัญหาเรื่องแผลในปาก (อันเนื่องมาจากไวรัสที่ฟุ้งอยู่ทั่ว) บางคืนก็เจ็บปากเพราะริมฝีปากแตกเป็นขุย แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไร รอยยิ้มและความแจ่มใสยังคงเป็นเสน่ห์ และน่าลุ่มหลงอยู่เสมอ ดูแลริมฝีปากให้เอิบอิ่ม สวย และยิ้มให้สวยตามปกติ ดีที่สุดเลย

7.จัดกระเป๋าให้เข้าที่

เปลี่ยนฤดูแล้ว ก็ลองเปลี่ยนกระเป๋า หรือจัดกระเป๋าใหม่ได้แล้ว สัมภาระหลายอย่างไม่ต้องใช้ ก็หยิบออกไปให้พ้นกระเป๋า จะได้ไม่ต้องแบกของหนัก หรือใช้กระเป๋าใบใหญ่ให้ดูพะรุงพะรัง หน้าหนาวเสื้อผ้ามักหนา แค่นั้นก็ดูเทอะทะมากแล้ว ถ้ายังต้องมาหิ้ว ถือ หรือแบกกระเป๋ารุงรังอีก ความน่ามองหายหมดแน่

ทั้งหมดที่แนะนำมานี้ ลองนำไปเป็นข้อเตือนใจหรือเป็นข้อพิจารณากันดู หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และช่วยให้หน้าหนาวนี้ คุณยังคงเป็นคนที่หลายคนมีความสุขที่ได้มอง รู้จัก เจอะเจอ หรือได้ร่วมงานด้วย เพราะความเอาใจใส่ต่อเรื่องเหล่านี้ ได้ช่วยให้คุณยังคมสมาร์ตเหมือนเดิม แถมดูอินเทรนด์ขึ้นตามกระแสแฟชั่นที่กำลังหลากไหลมาพร้อมๆ กับสายลมหนาว

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ

ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

- สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลีรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า.

สารพัดประโยชน์จาก...พริก

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า

คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ’ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง

Tips

เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน

สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว

ควบคุมอาหารต้านความอ้วน

ในตอนนี้จะขอต่อยอดให้คุณผู้อ่านได้เห็นชัดเจนขึ้นว่าทําไมเราจึงเน้นย้ำให้เลี่ยงอาหารต้องห้ามของมัน ของทอด ใครที่ยังคาใจว่าอาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูงทําให้อ้วนได้ อย่างไร ถ้าเห็นจํานวนแคลอรีของอาหารแต่ละชนิดก็จะถึงบางอ้อทันที

แคลอรี คืออะไร

แคลอรี (Calorie ย่อว่า cal) คือ หน่วยวัดพลังงานที่ได้จากอาหาร แต่ค่า 1 แคลอรีนั้นน้อยมาก จึงใช้หน่วยที่ใหญ่กว่าคือ กิโลแคลอรี (kcal) ฉะนั้น เวลาพูดถึงพลังงานที่ได้จากอาหารต้องใช้หน่วยให้ถูก เช่น ข้าวหมูแดง 1 จาน ให้พลังงาน 537 กิโลแคลอรี ไม่ใช่ แคลอรี อย่างที่ชอบพูดกันผิดๆ

เดี๋ยวนี้คนบางส่วนเริ่มหันมาสนใจแคลอรีในอาหารกันมากขึ้น อย่างบางรัฐ ในสหรัฐอเมริกา เขามีกฎหมายบังคับให้ร้านค้าภัตตาคารติดป้ายบอกแคลอรีเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลก่อนเลือกซื้อบริโภคกันแล้ว (แต่ร้านอาหารบางแห่งในบ้านเรามาแปลกกว่า คือรอให้อิ่มก่อนค่อยแจ้งจํานวนแคลอรีให้ทราบ อย่างนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน เพราะตอนกินก็มักเพลิดเพลินจนลืมนึกถึงแคลอรีเสียสนิท)

โดยเฉลี่ย ร่างกายคนเราต้องการแคลอรีต่อวันไม่มากมายอะไรเลย อย่างผู้หญิงก็แค่ 1,600 kcal/วัน ส่วนผู้ชายก็ราวๆ 2,000 kcal/วัน ถ้ามากกว่านั้น พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมทําให้อ้วน ซึ่งโอกาสที่คนเราจะได้รับแคลอรีเกินความต้องการนั้นเป็นไปได้ง่ายมาก ถ้ายังติดนิสัยชอบบริโภคบรรดาอาหารต้องห้ามต่างๆ ดังกล่าว

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจํานวนแคลอรีของอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เห็นแล้วรับรองว่าต้องคิดหนักทีเดียวหากจะหยิบใส่เข้าปากในคราวต่อไป

ใครที่ชอบอาหารทอดๆ มันๆ อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ คุณรู้ไหมว่า น้ำมัน 1 ช้อนชา ให้พลังงานเท่าไหร่ คําตอบก็คือ 45 kcal ซึ่งเท่ากับ กะทิ 3 ช้อนชา

ปาท่องโก๋ 1 คู่ ให้พลังงาน 124 kcal, ขนมครก 1 คู่ ให้พลังงาน 97 kcal, สาคูไส้หมู 5 ลูก ให้พลังงาน 80 kcal ถ้าแค่นี้ยังไม่ทําให้คุณรู้สึกตกใจ ลองมาดูกลุ่ม

เนื้อสัตว์ไขมันสูงต่อไปนี้บ้าง ไส้กรอก 1⁄2 แท่ง, หมูย่าง 1 ช้อนกินข้าว, หนังหมู 1 ช้อนกินข้าว, ซี่โครงหมู 1 ช้อนกินข้าว, หมูยอ 1 ช้อนกินข้าว, ไก่ติดหนัง 1 ช้อนกินข้าว, หมูบด 1 ช้อนกินข้าว, แฮม 1⁄2 แผ่น, เนยแข็ง 1⁄2 แผ่น, กุนเชียงไม่มัน 1 ช้อนกินข้าว ฯลฯเนื้อสัตว์ไขมันสูงที่ยกมาให้ดูข้างต้น เห็นปริมาณน้อยๆ อย่างนี้นี่แหละ แต่ละอย่างให้พลังงานสูงถึง 50 kcal เลยทีเดียว แล้วในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครกินน้อยขนาดนี้แน่ ก็ลองคํานวณดูกันเอาเองค่ะว่าจะได้รับแคลอรีเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันไปมากเพียงใด

ลองมาดูอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ หรือขนมหวานต่างๆ กันบ้าง อย่าง “น้ำอัดลม” เครื่องดื่มสุดโปรดของคนทั่วโลก 1 ประป๋อง (325 มล.) ให้พลังงาน 240 kcal ถ้านิยมดื่มแบบเป็นขวด ( 290 มล.) พลังงานที่ได้รับก็ยังสูง อยู่ดีคือ 174 kcal ลูกอม 2 เม็ดที่คุณรู้สึกว่าจิ๊บจ๊อยเหลือเกิน - ให้พลังงานสูงถึง 63 kcalน้ำอ้อย (200 มล.) - ให้พลังงาน 152 kcalขนมโดนัท 1 อัน- ให้พลังงาน 95 kcal

หยิบมาให้ดูเป็นตัวอย่างแค่พอหอมปาก หอมคอ เพราะถ้าจะต้องแจงกันทุกชนิด ทุกประเภท เห็นทีหน้ากระดาษคงจะไม่พอ ถึงกระนั้นก็เชื่อว่าน่าจะทําให้คุณผู้อ่านได้ตระหนักว่า อาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูงนั้นเป็นศัตรูกับการควบคุมน้ำหนักของคุณเพียงใด

รู้หลบรู้หลีกอาหารต้องห้ามที่มีแคลอรีสูงกันแล้ว ก็อย่าชะล่าใจกับเมนูอาหารจานด่วนที่เรากินกันเป็นปกติในชีวิตประจําวันด้วยนะคะ คนรุ่นใหม่สมัยนี้ชีวิตต้องเร่งรีบแข่งขันกับเวลา จึงมักฝากท้องไว้กับอาหารตามสั่งที่มีให้เลือกมากมาย แต่คุณผู้อ่าน

ไม่ทราบว่าจะตรงกับเมนูโปรดของใครบ้างหรือเปล่า ถ้าใช่ก็พยายามเลี่ยงๆ เสียบ้าง อย่ากินเพราะเอาง่ายเข้าว่า หรือเพื่อความอร่อยอย่างเดียว ควรเลือกกิน เมนูอื่นให้หลากหลายเข้าไว้ ให้ได้ทั้งจํานวนแคลอรีที่เหมาะสม ตลอดจนคุณค่าทาง โภชนาการ

จะกินแต่ละมื้อให้คํานึงถึงแคลอรีในอาหารเอาไว้บ้างก็ดี แต่ไม่ต้องละเอียดลออ นับกันทุกแคลอรีเป๊ะๆ ไม่อย่างนั้นอาจเครียดเกินไปจนพาลหมดอร่อย และ

สุดท้ายขอฝากเทคนิคการปรับเปลี่ยนนิสัยการกิน เพื่อพิชิตอ้วน พิชิตพุง ไว้ให้ยึดปฏิบัติดังนี้

1.กินอาหารสมดุล ควบคุมสัดส่วนปริมาณอาหาร กลุ่มข้าว-แป้ง วันละ 8-12 ทัพพี ผัก วันละ 4-6 ทัพพี (ไม่หวาน) วันละ 3-5 ส่วน เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน วันละ 6-10 ช้อนกินข้าว นมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว

2.กินอาหารธรรมชาติไม่แปรรูป เช่น เมล็ดธัญพืชต่างๆ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน งา ถั่วต่างๆ เป็นต้น

3.กินผักและผลไม้รสไม่หวานให้มากพอและครบ 5 สี คือ สีน้ำเงินม่วงแดง สีเขียว สีขาว สีเหลืองส้ม และสีแดง เพิ่มวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร และพฤกษาเคมี สารเม็ดสีในผักผลไม้เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค

4.กินเป็น คือ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด และเค็มจัด

5.กินอาหารพออิ่ม ไม่บริโภคจนอิ่มมากเกินไป

6.กินอาหารเช้าทุกวัน มื้อเช้าเป็นมื้อหลักที่สําคัญ

7.กินอาหารมื้อเย็นแต่วัน เวลาสําหรับอาหารมื้อเย็นควรอยู่ห่างอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนนอน

ชีวจิตพิชิตเบาหวาน

ทุกวันนี้ อาหารการกินของคนไทยนั้นเปลี่ยนไปมากจริงๆ เห็นได้จากอาหารที่มีหลากหลาย และสีสันก็แปลกตามากขึ้นทุกที แม้กระทั่งอาหารเจก็มีคนประดิษฐ์คิดค้นให้มี หน้าตาและสีสันชวนทาน ส่วนรสชาติก็คงไม่ต้องพูดถึง นะครับเพราะเขาทำได้ใกล้เคียงอาหารที่เราหาทานได้ทั่วไป

แต่อย่าลืมนะครับว่า ที่มีให้เห็นหลากหลายนั้นต้องแลกมาด้วยการได้รับคาร์โบไฮเดรต และไขมันที่สูงเช่นกัน คนที่หม่ำอาหารเหล่านี้เข้าไป จึงมีสิทธิ์ได้โรคอ้วนหรือ อ้วนลงพุงเป็นของแถม หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้นโรคเบาหวาน ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่อาจมาอยู่กับเราโดยไม่ทันตั้งตัว

คนที่ทานอาหารชีวจิตก็เช่นกัน แม้จะเน้นทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และหันมาทานปลาแทนในบางครั้ง แต่การทานอาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เมื่อทานเข้าไปมากๆ ก็เสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้เช่นกัน

ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวาน หรือคนที่ยังไม่เป็นก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะเจ้าเบาหวานไม่ได้เกิดจากโรคอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงกรรมพันธุ์ และปัจจัยอื่นๆ คนที่ทานอาหารชีวจิตโดยเฉพาะคนที่เป็นเบาหวาน จึงต้องอ่าน เพราะการควบคุมระดับน้ำตาลเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้กายและใจของเราเป็นปกติ

ก่อนจะทานอะไรจึงควรเลือกให้ดี โดยเฉพาะ ต้องเลือกชนิดของอาหารที่จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ไขมันและความดันโลหิต โดยเฉพาะการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารหมวดแป้ง เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของคนที่เป็นเบาหวาน

ผมจึงอยากแนะนำให้คนที่เป็นโรคนี้ เลือกทานข้าวซ้อมมือแทนข้าวขัดขาว และเลือกทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น พืชผัก ธัญพืช และผลไม้บางชนิดเช่น แตงโม มะละกอ ชมพู่ สาลี่ แอปเปิล เป็นต้น ทั้งนี้ควรทานให้พอเหมาะเพราะ ผลไม้ส่วนใหญ่มักมีน้ำตาลตามธรรมชาติที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญไม่ควรทานผลไม้รสหวาน เช่น ส้มเขียวหวาน ทุเรียน มะม่วงสุก สับปะรด ขนุน ละมุด ผักบางประเภทเช่น ยอด กระถิน ยอดชะอม หน่อไม้ ก็ไม่ควรทานเช่นกัน

นอกจากนี้ ตามหลักของแพทย์แผนไทยผักที่มีรสขมทุกชนิด จะช่วยแก้ไขเรื่องโรคเบาหวาน เพราะช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำตาลได้ เช่น มะระขี้นก มะระจีน สะเดา ซึ่งสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ หรือถ้าไม่อยากทานขมๆ ก็อาจเลือกผักตำลึง นำมาทำแกงจืด หรือลวกหรือนึ่งจิ้มน้ำพริกก็เข้าท่าไม่เบา

คนที่เป็นเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและโคเลสเตอรอลสูง ควรทานปลา โดยเฉพาะปลาน้ำจืดไม่ว่าจะเป็น ปลาสวาย ปลาช่อน ปลานิล ฯลฯ นอกจากจะให้โปรตีน แล้วยังช่วยให้ย่อยง่าย และปลายังเป็นแหล่งของโอเมกา-3 ที่จะช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ ไขมันในหลอดเลือด ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ ป้องกันอัลไซเมอร์ ทั้งยังเสริมสร้างพัฒนาเซลล์สมอง การมองเห็นแก่เด็กที่สามารถได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และอีกสารพัด

ควรทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองให้บ่อยขึ้น จำกัดการทานกะทิและเลี่ยงอาหารทอด รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหาร รสเค็มจัด เนื่องจากมีส่วนประกอบของโซเดียมสูง ทำให้ความดันโลหิตสูง มีผลทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น ส่วนอาหารที่มีโซเดียมสูงก็ต้องระวังไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรสต่างๆ ผงชูรส อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น

ที่ลืมไม่ได้นอกจากอาหารการกินที่มีประโยชน์ โดยทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ยังต้องทานอาหารมื้อหลัก 3 มื้อให้เป็นเวลาสม่ำเสมอทุกวัน ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะเมื่อหิวจัดจะทำให้ทานเกินอัตราในมื้อถัดไป ระดับน้ำตาลในเลือดจึงยิ่งพุ่งและควบคุมยาก อย่ากินเพลินเพราะความอร่อย เมื่อเริ่มรู้สึกอิ่มควรหยุดทันที

นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ฝึกนั่งสมาธิ เพื่อให้รู้จักปล่อยวางความทุกข์ คิดว่าโรคนี้ไม่ใช่ปัญหา เราจึงต้องอยู่กับมันอย่างมีความสุข หันมาสร้างกำลังใจ และมองไปรอบๆ ตัวโดยเฉพาะคนที่เรารักและคนที่รักเรา แล้วเราจะมีกำลังใจต่อสู้กับโรคนี้ได้อย่างเข้มแข็ง (หน้าพิเศษ Hospital Healthcare)

7 ธ.ค. 2551

ข้อดีของการออกกำลังกาย

1. ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง

สมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่มีการเสื่อมลงตามวัย แต่การออกกำลังกายช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ ทำให้สามารถคิดและจดจำได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายนอกจากนี้การออกกำลัง เป็นประจำ ยังทำให้ดูกระฉับกระเฉง มีสมาธิในการเรียนรู้ได้ดีกว่า

2. ทำให้กระดูกแข็งแรงหนาขึ้น

การกินแคลเซียมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ควรอออกกำลังกายควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

3. ทำให้ผิวสวย

การออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้มากขึ้นเท่านั้น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น

4. ลดความเครียด

การออกกำลังกาย ช่วยลดความวิตกกังวล ผ่อนคลายความเครียดได้ เนื่องจากในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจก็ได้เคลื่อนไหวไปด้วย ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่กังวลอยู่ ส่วนการออกกำลังกายแต่ละชนิด มีผลต่อสมองต่างกันการออกกำลังกายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ เช่น โยคะ หรือไทเก๊ก จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในสมองได้มากกว่า การออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงมาก ๆ

5. ช่วยผ่อนคลายภาวะการปวดประจำเดือน

วิธีธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการปวดท้องเมนได้ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค ถ้าไม่มีเวลาก็ออกกำลังง่าย ๆ ด้วย การซิท-อัพตอนเช้าก็ได้ ยิ่งใกล้รอบเดือน ก็ยิ่งควรซิท-อัพไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกมี ความยืดหยุ่นทำงานได้ดีขึ้น

6. ลดอาการท้องผูก

การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว ๆ การวิ่งเหยาะ การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ระบบขับถ่ายได้ระบายของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย มากขึ้น

7. ทำให้หลับง่ายขึ้น

การออกกำลังกายในช่วงเย็น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

8. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนแข็งแรง ทำให้หุ่นกระชับสมส่วน

รู้อย่างนี้แล้ว หันมาออกกำลังกายกันวันละนิดเพื่อร่างกายที่แข็งแรง*

คุณค่าของเวลา

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน เสียเพื่อนสักคนหนึ่ง

เวลาไม่เคยรอใคร เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด

นอนสูงกับนอนต่ำ

" นอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย "

คำโบราณของไทยคำหนึ่ง มีค่ามากต่อชีวิต การทำงานของคนเรา ทำไมคนโบราณจึงสอนไว้อย่างนี้
เรามาเริ่มจากนอนต่ำกันก่อน นอนต่ำในที่นี้ไม่ได้แปลว่าไปนอนอยู่ใต้ถุน หรือไปนอนอยู่ชั้นใต้ดินอะไร
ความหมายที่ควรเข้าใจคือ คนที่เริ่มต้นการงานทั้งหลาย จะต้องเริ่มจากงานเล็ก ๆ งานที่เป็นความรับผิดชอบเฉพาะตัว ใครที่อยู่ตรงนี้ควรจะนอนหงาย ก็เพราะการนอนหงาย ทำให้สามารถหมายตาไปอยู่ที่สูงได้ นั่นหมายถึงว่า คนเราควรมองไปที่ทางข้างหน้า ว่าจะก้าวเดินไปสู่ที่หมายอะไรซึ่งสูงกว่าปัจจุบัน

หมายถึงการมองให้รู้ ดูให้เห็นว่า ถ้าจะก้าวจากนักขาย ไปเป็นผู้บริหารงานขาย ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง จะต้องวางแผนการขายเป็น จะต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้า ต้องสามารถจูงใจเพื่อนร่วมงานได้ ต้องรู้จักสรุปบทเรียนในการขาย

หมายถึงการไปทำความเข้าใจว่า ถ้าเราเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการแล้ว ต้องรับรู้ว่าคนเป็นผู้จัดการธุรการจะต้องทำอะไร ต้องดูแลอุปกรณ์ ต้องจัดการเรื่องอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และอื่น ๆ อย่างไร
หมายถึงการเล็งเห็นว่าถ้าเป็นหัวหน้าแผนกอยู่แล้ว ควรมองเห็นว่า ผู้จัดการฝ่าย เขาต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
อย่าเพียงแต่ทำงานไปวัน ๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นดูว่า คนที่อยู่สูงกว่าเรา เขาจะต้องทำหน้าที่อะไร มีวัตรปฏิบัติประจำวันอย่างไรบ้าง ที่ให้มองไปข้างบนก็เพื่อเรียนรู้ว่า หากตนเองจะก้าวไปสู่จุดนั้นบ้าง จะต้องทำอย่างไร ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ หนึ่ง โดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่า ผู้บริหารนั้นจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

ส่วนที่ว่า *" นอนสูงให้นอนคว่ำ " เป็นการเตือนสติคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง คนเป็นผู้บริหาร คนที่มีเงินเดือนมาก ว่าเมื่ออยู่ดีกินดี มีเกียรติแล้ว อย่าหลงลืมตัวต้องรู้สึกนึกเห็นว่า คนที่อยู่ต่ำกว่า* คือ คนที่เป็นลูกน้องเป็นผู้ปฏิบัติงานระดับล่าง เขามีชีวิตอยู่กันอย่างไร การทำงานที่เป็นจริงของเขา เดือดร้อนแค่ไหน จะได้มีโอกาสลงไปช่วยเขาได้

เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ลูกน้องที่อยู่ข้างล่างนั้นเอง เป็นฐานรองรับให้เรา ขึ้นมาอยู่ข้างบนเป็นผู้บริหารได้ ไม่มีลูกน้องก็ไม่มีฐานะ ความเป็นผู้บริหารของเรา มองอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องลงไปสัมผัสแก้ไขปัญหาด้วย คนเป็นผู้นำนั้น จะต้องไม่แยกตัวออกจาก ความทุกข์สุขของลูกน้อง *นี่เองคือสิ่งที่เรียกว่า " นอนสูงให้นอนคว่ำ " เพราะถ้านอนสูงแล้ว ยังมัวแต่นอนหงาย ก็จะไม่เห็น ไม่รู้ว่าลูกน้อง เดือดเนื้อร้อนใจอะไร*

*ผู้นำที่มีคลื่นความถี่ แตกต่างห่างไกลกับลูกน้อง อาจถูกเรียกว่า ผู้นำที่นั่งอยู่บนหัวคน จะเป็นผู้นำที่นั่งอยู่ในหัวใจคนไม่ได้*