5 มิ.ย. 2554

ตัน-โน้ต ความลงตัวของคนรวยอยากดัง กับคนดังอยากรวย ตอนที่ 3

ตอนที่ 3 ตัน จากโออิชิ สู่ภาสกรนที มากกว่าคนรวย เพราะเขาคือผู้สร้างปรากฎการณ์ใหม่

เงินหนึ่งล้านแรกยาก สิบล้านแรก ร้อยล้านแรก พันล้านแรก มักจะยากเสมอ แต่ถ้าหนึ่งล้านแรกแล้ว หนึ่งล้านต่อไปจะได้เร็วกว่าหนึ่งล้านแรกมากมายนัก

ถ้าเริ่มเรื่องจากหนังสือชีวิตไม่มีทางตัน ที่ตีพิมพ์โดยเครือมติชน มียอดจำหน่ายกว่าแสนเล่ม

ชีวิตของตันเริ่มจากการเป็นลูกจ้างในเครือสหพัฒน์ เริ่มจากพนักงานยกของ ไต่เต้าจนได้เป็นSupervisor วิธีคิดของตันในตอนนั้นคือ เขาไม่มีความรู้ เรียนจบแค่ ม.3แถมยังไม่เก่งอีกด้วย ดังนั้นการทำงานหนัก และงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายคือการเรียนรู้

ตันลาออกมาเปิดธุรกิจแรกคือร้านหนังสือที่ชลบุรี เพราะเห็นถึงโอกาส และสิ่งสำคัญคือ “ไม่อายที่จะทำมาหากินสุจริต” ตันทักเพื่อนที่เป็นเซลล์ด้วยกัน ตอนขึ้นไปขายหนังสือพิมพ์บนรถทัวร์ ถามถึงเพื่อนว่าทำไมไม่ทักกันวะ เพื่อนเซลล์คนนั้นตอบกลับมาว่า “กูกลัวมึงอาย” ซึ่งปัจจุบันเพื่อนคนนี้ก็ยังเป็นเซลล์อยู่

คนหลายคนยังยึดติดว่าเคยทำงานกินเงินเดือนหลายหมื่น อยู่บริษัทดีๆ ได้รับหน้าที่สำคัญในบริษัทมาตลอด ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจด้วยการขายของข้างถนนนั้น ดูเหมือนว่าเป็นการลดคุณค่าในตัวเอง แต่ทุกคนย่อมมี “จุดเริ่ม” เป็นของตัวเอง บางคนโชคดีหน่อยก็อาจจะเริ่มได้ดีกว่าด้วยการที่มีทุน มีการศึกษา มีเพื่อนฝูง มีที่ดินและทำเลดีๆ ขณะที่บางคนก็ไม่มีอะไรเลย แต่เขาก็ต้องสู้เพื่อให้มี “จุดเริ่ม” เพราะถ้าไม่เริ่มแล้วจะก้าวต่อไปได้อย่างไร ความกล้าที่จะริเริ่มทำอะไรเป็นของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องมากกว่าคำว่า “กลัวอาย”

ก่อนที่จะประสบความสำเร็จกับโออิชิ และเปิดตัวกับสื่อมวลชน ตันเป็นคนง่ายๆ ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นทำงาน ไม่ได้ใส่เสื้อเชิ้ตผูกไทด์ให้ดูดีเหมือนพนักงานออฟฟิศ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ ก่อนจะเปลี่ยนตัวเองเป็น “แบรนด์” ต้องมีเอกลักษณ์ในการแต่งตัวตลอดเวลา เช่นใส่หมวกตลอดไม่ว่าจะไปในสถานที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นงานทอล์กโชว์ของเขา งานเปิดตัวสินค้า หรือแม้กระทั่งเขาไปกินก๊วยเตี๋ยวก็ยังต้องมีหมวกนักบินไปด้วย

ย้อนกลับมาจากร้านหนังสือเขาที่อาศัยความขยัน และคู่แข่งยังไม่เยอะมากในสมัยนั้น ขยายไปร้านกิฟท์ชอป ร้านกาแฟ ร้านทำเล็บ ร้านเบเกอรี่ ร้านสุกี้ ซึ่งเป็นช่วงยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ทำอะไรออกมาใหม่ๆ คนพร้อมที่จะจ่ายเงินลองเสมอ

สิ่งที่คุณตันทำได้ดีคือเรื่อง “การซื้อใจคน” สามารถทำให้พนักงานในทุกกิจการที่คุณตันมีอยู่ทำงานอย่างเต็มที่ โดยที่คุณตันไม่ต้องไปลงมือทำกาแฟ หรือทำเล็บเองเลย เพราะคุณตันเลือกใช้วิธี “ให้หุ้น” กับคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ถือเป็นสิ่งที่นอกกรอบมากในยุคสมัยนั้น ที่จะมีผู้ประกอบการSMEเจ้าไหนให้ความเป็นเจ้าของแก่พนักงาน ถือว่าอ่านความต้องการของคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

การแย่งตัวช่างทำเล็บเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังบูม คุณตันรู้ดีว่าการเสนอให้เงินเดือนมากกว่าคู่แข่งอาจจะไม่ใช่ทางออก ความเป็นเจ้าของกิจการคือสิ่งที่ทำให้เขามุมานะ มีความกระตือลือร้น เพราะมันคือการ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ทำดีย่อมได้ผลตอบแทนทันที

ในยุคนั้นดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับ 10% ภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง หมายถึงมีเงินสดหมุนเวียนอยู่ในตลาดมากผิดปกติจากสภาวะเศรษฐกิจ และสิ่งที่ทุกคนที่มีเงินสดพอประมาณในยุคนั้นทำก็คือ เก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ ตัน ภาสกรนทีก็เป็นหนึ่งในนั้น

ตันเริ่มเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยการไปต่อแถวซื้อโครงการต่างๆแต่เช้า เพื่อที่จะนำ “ใบจอง” ไปขายต่อให้สำหรับคนที่อยากได้แต่มาไม่ทัน ในยุคฟองสบู่กำลังเฟื่องฟูนั้น เพียงแค่ไปเข้าคิวแล้วขายใบจองก็สามารถทำกำไรได้หลักหมื่นภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน ตันเคยบรรยายไว้ว่าบางครั้งก็สูงถึง3หมื่นเลยทีเดียว

พอได้กำไรมาง่ายๆ ความโลภของคนก็เข้าสิงในยุคนั้น จากแค่ซื้อใบจองก็เป็นการซื้อขายที่ดิน ซื้ออาทิตยนี้ ขายต่ออาทิตย์หน้า เงินสะพัดไปทั่วประเทศไทย เกิดเศรษฐีเงินล้านจากการขายที่ดินขึ้นมากมาย ตันก็เป็นหนึ่งในนั้น

คนไทยในยุคสมัยนั้นยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องกลไกของเศรษฐกิจโลกอยู่มาก การประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วทำให้หลายคนคิดว่าทุกอย่างมันง่ายดายไปหมด คนที่เกี่ยวข้องกับแวดวงธนาคาร ไฟแนนซ์ ทรัสต์ ก่อสร้าง ล้วนมีรายได้ที่มหาศาล และใช้ชีวิตฟู่ฟ่าขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรามีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากกว่าสองหมื่นรายในตอนนั้น

และตันก็ตัดสินใจเสี่ยงครั้งใหญ่ด้วยการกว๊านซื้อที่ดินแถวๆโครงการเซ็นทรัลชลบุรี เพราะเชื่อว่าหากเซ็นทรัลเริ่มก่อสร้างเมื่อไหร่ มูลค่าที่ดินที่เขาซื้อนั้นจะต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่าแน่นอน

แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนเสมอ

จากคนที่ตั้งใจจะมีกำไรเป็นร้อยล้านในตอนนั้น ตันต้องกลายเป็นหนี้ร้อยล้านแทน เพราะว่าเมื่อฟองสบู่แตกในปี 2540 เศรษฐกิจทั้งประเทศไทยก็หยุดชะงักทั้งระบบ รวมถึงการชะลอโครงการเซ็นทรัลชลบุรีไปอย่างไม่มีกำหนดด้วย

คุณตันพูดเสมอว่าที่สิ่งที่ทำให้รอดมาได้ก็คือการยอมรับความจริงว่าเป็นหนี้ และเดินเข้าไปคุยกับธนาคารตรงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าบ้าง ดีกว่าปล่อยปัญหาไว้คนเดียว

ทุกคนฟังแล้วทึ่งว่าวิธีแก้ปัญหาของคุณตันนั้นยอดเยี่ยม ตัดขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น รักษาธุรกิจส่วนที่เป็นรายได้อยู่ และตรงไปตรงมากับเจ้าหนี้ทุกคน

แต่ต้องยอมรับว่าคุณตันโชคดีที่ยังมีธุรกิจที่มีเงินสดหมุนเวียนทุกวันมาอยู่ในมือหลายตัว ทั้งร้านอาหาร เบอรี่ สุกี้ ร้านทำเล็บ และร้านกาแฟ อย่างน้อยก็เรียกว่ามีรายได้ต่อเดือนบ้าง

นักธุรกิจที่ล้มละลายส่วนใหญ่เพราะมีแต่ธุรกิจหลักอย่างเดียว พอเศรษฐกิจพัง ก็ขายโครงการไม่ได้ เก็บเงินไม่ได้บ้าง หรือแหล่งเงินทุกที่ใช้อยู่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ถูกสั่งปิดไป ใครๆก็อยากเอาตัวรอดแบบคุณตันในตอนนั้น เมื่อไม่มีธุรกิจไม่มีรายได้เลย แถมหนี้สินก็ถาโถมเข้ามามหาศาลอีก ทำให้หลายคนต้องจบชีวิตตัวเองลงในครั้งนั้น

คู่ชีวิตของคุณตันมีส่วนสำคัญมากในการที่ทำให้คุณตันผ่านวิกฤตครั้งนั้นมาได้ การเป็นหนี้ร้อยล้าน ปัญหาถาโถมเข้ามา แต่คนที่อยู่ข้างๆเป็นกำลังใจให้ และยอมลำบากสู้ไปด้วยกัน ทำให้คุณอิงภรรยาคุณตัน เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้สำหรับผู้ชายคนนี้จริงๆ

หลายครอบครัวที่ต้องเลิกรากันไปเพราะพิษเศรษฐกิจ ยามมีเงินทองทุกอย่างก็ดูดีไปหมด แต่พอมีปัญหากลับมัวแต่โทษกัน บางคนรับไม่ได้ที่ต้องไปใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ ตัน-อิง โชคดีที่ผ่านอุปสรรคมากมายร่วมกันมาเป็นสิบปี ทั้งโดนคนครหาในเรื่องอายุที่แตกต่างกันเป็นสิบปี โดนพ่อตาแม่ยายกีดกันทุกวิถีทาง แต่สามารถรักษาความสัมพันธ์มาได้อย่างมั่นคง

อุปสรรคทางเศรษฐกิจกลับกลายเป็นโอกาสให้คู่นี้รักกันมากขึ้น และในที่สุดตันก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพ กับธุรกิจWedding Studio เจ้าแรกของประเทศไทยที่ทองหล่อ จากการเปิดตัวครั้งแรกด้วยยอดจองกว่า 4 ล้านบาท ด้วยความไม่พร้อมอะไรเลยในตอนนั้น ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้วยการเป็นOrganizerงานสมรสหมู่ 2000 คู่ในปีสหัสวรรษใหม่

แม้งานจะประสบความสำเร็จเป็นข่าวไปทั่วโลก มีข่าวลงทุกสื่อในประเทศไทยในตอนนั้น แต่ไม่มีใครรู้จัก ตัน ภาสกรนทีเลย หลังจากวันนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนความคิดเรื่องงานแต่งงานของคนไทยไปตลอดกาล

จากการที่งานแต่งงานคือการกินเลี้ยงตามโรงแรม จะแต่งแบบเรียบๆ หรือแบบหรูๆ ก็ไม่มีใครซีเรียส แค่มีแขกผู้ใหญ่ขึ้นกล่าวอวยพร มีอาหารไม่ให้ขาดตกบกพร่อง กลายเป็นต้องมีรูปสวยๆจากStudioมาวางไว้ มีTHEMEต่างๆมากมาย มีมิวสิควีดีโอ เป็นเรื่องปกติของคู่บ่าวสาวที่เข้าพิธีแต่งงานในสมัยนี อาจเรียกได้ว่าคุณตันคือผู้นำเข้ามาตรฐานงานแต่งงานสมัยใหม่ในยุคหลังปี2000ก็ว่าได้

การทำโออิชิในช่วงเริ่มต้น ถือเป็นยุคที่อินเทอร์เนตนั้นยังไม่แพร่หลาย แต่บุฟเฟ่ต์อาหารญีปุ่น 500 บาทตอนนั้นถือเป็นปรากฎการณ์ TALK OF THE TOWN สำหรับชนชั้นกลางเลยทีเดียว คุณตันถือเป็นคนที่เปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดของอาหารญี่ปุ่นจากอาหารที่มีราคาแพง นานๆกินที กลายเป็นของที่คนทั่วไปใครๆก็กินได้ ใช้หลักการแบบ LOW COST AIRLINE กำไรต่อหัวนั้นน้อยมาก แต่ถ้าคนเต็มร้านทุกวันทั้งวันทั้งคืน กำไรก็ไม่น้อยอีกต่อไป และสามารถหมุนเงินไปเปิดสาขาใหม่ ช่วยให้ลดต้นทุนไปได้อีกเยอะ ต้นทุนลดลงก็คือกำไรที่เพิ่มขึ้น

ปกติสำหรับคนที่ฐานะดีสามารถกินอาหารญี่ปุ่นได้ตามโรงแรมชั้นนำหรือร้านดังๆแถมสุขุมวิทอยู่แล้ว แต่ตลาดใหม่ของชนชั้นกลางที่เกิดขึ้นมีขนาดมหาศาล คุณตันทำให้อาหารญี่ปุ่นกลายเป็นกระแสนิยมในตอนนั้น ทำให้มีผู้บริโภคอาหารญี่ปุ่นมากขึ้น จนสร้างมาตรฐานใหม่ว่า ห้างสรรพสินค้าต้องมีร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างฟูจิ เซน หรือโออิชิ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า จนกระทั่งปัจจุบันนี้ห้างหนึ่งแห่งมีร้านอาหารญี่ปุ่นในนั้น 4-5 ร้านเป็นเรื่องปกติ

ว่าจะเล่าที่มาที่ไปของชาเขียว แต่ขอยกยอดไปตอนหน้านะครับ กับปรากฎการณ์โออิชิชาเขียวนะครับ



ที่มา www.blogger.com โดย assuming

ไม่มีความคิดเห็น: