5 มิ.ย. 2554

อิชิตันชาเขียว การย้อนเกล็ดโออิชิที่เจ็บแสบ ภาค4

หากการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาโดยทั่วไปก็จะมีการรับน้องใหม่เพื่อให้รู้จักโลกใหม่ในมหาวิทยาลัย การก้าวสู่ความเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านของตันโออิชิก็คงไม่ต่างกันที่ต้องโดนรุ่นพี่รับน้อง แถมยังเป็นแบบ

“สหบาทา” เลยทีเดียว

เมื่อมูลค่าตลาดชาเขียวมากกว่า 3000 ล้านบาทต่อปี ผู้เล่นในตลาดขนม อาหาร และเครื่องดื่มรายใหญ่ๆในประเทศไทยก็ขอเข้ามามีแข่งในตลาดนี้ด้วย เนื่องจากเห็นถึงกระแสบริโภคชาเขียวที่ยังเติบโตไปได้อีกมาก แถมแต่ละรายก็ถือว่า “ใหม่” ด้วยกันทั้งนั้น

ตัน โดนรุมสกรัมแบบไม่ธรรมดา ด้วยการต้องแข่งกับ 30 แบรนด์ ในตลาดตอนนั้น และหลายรายก็เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ หรือไม่ก็มาพร้อมทุนมหาศาล เบียร์สิงห์ก็ส่ง “โมชิ” ลงมาสู้ ยักษ์ใหญ่เจ้าตำรับอย่าง “คิริน” ที่ลงทุนจ้างซูเปอร์สตาร์อย่างเบิร์ด ธงไชยด้วยมูลค่า 30 ล้านบาทมาสู่

บริษัทใหญ่รายอื่นๆมีสายส่งเป็นของตัวเอง มีเครือข่ายทั่วประเทศ ที่จะนำสินค้าไปวางจำหน่าย แต่ใครๆเวลานั้นก็อยากดื่มแต่ชาเขียว โออิชิ เท่านั้น
สุดท้ายมีการทิ้งไพ่ใบสุดท้ามาด้วยการลดราคาเหลือ 15 บาท (จาก 20 บาท) เพื่อหวังแบ่งมาร์เกตแชร์ แต่ก็ไม่อาจทำให้โออิชิสะดุ้งสะเทือนได้ ยอดขายสมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้ลดราคาเหมือนเจ้าอื่น
จนต้องมีการเล่นเกมส์ใต้ดินที่ปล่อยข่าวเรื่อง “กรดเกลือ” ในขวดชาเขียวโออิชิที่เรียกว่าหนักหนาสาหัสที่สุดแล้ว

ถึงไม่ได้เรียนพีอาร์มา แต่การแก้เกมส์ของตันในเวลานั้นสุดยอดยิ่งกว่าคัมภีร์ใดๆในโลก ด้วยการให้ลูกชายดื่มชาเขียวโชว์ในวันแถลงข่าวชี้แจง ยอดขายชาเขียวโออิชิกลับมาปกติอีกครั้ง พร้อมกับการโบกมือลาจากสมรภูมิชาเขียวอีกไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์

ตันขึ้นมาเป็นสู่ความเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างเต็มภาคภูมิอย่างแท้จริง
หนทางแห่งความร่ำรวยของตันนั้นเป็นการก้าวขึ้นมาแบบแฟร์เพลย์อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์ที่สะอาดสดใสอีกด้วย ต่างจากธุรกิจยักษ์ใหญ่รายอื่นที่ยิ่งใหญ่แต่ก็ต้องมีอะไรไม่ปกติธรรมดาสักอย่างเบื้องหลัง เช่นผูกขาดด้วยสัมปทาน ทุนมหาศาล ขายของมึนเมา หนีภาษี หรือแม้กระทั่งโกง เอาเปรียบคู่แข่งรายเล็กๆ
หลังจากเริ่มวางแผนลาออกจากโออิชิ ภาพที่เติมแบรนด์ตันให้เต็มก็คือ ความเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ รักครอบครัว และความรับผิดชอบต่อสังคม

ความรักเมีย รักลูกนั้นตันไม่ได้เสแสร้งใดๆ เพราเป็นสิ่งที่ตันทำด้วยความจริงใจมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้กลับปรากฎสู่สื่อมากขึ้น ทั้งเรื่องความรัก ลูก เมีย เพื่อเสริมแบรนด์ของตันให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
ส่วนเรื่องการทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้นตอบยาก แต่หากดูนักธุรกิจรุ่นเก่าแบบเจ้าสัวเจริญแล้ว เคยเปรยไว้กับคนใกล้ชิดว่า “ธุรกิจเราเป็นธุรกิจบาป ดังนั้นเราต้องพยายามทำบุญเยอะๆ” นี่คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของเจ้าสัวเจริญ ที่รู้ว่าความร่ำรวยที่ตนได้มา ก็มาจากคนจำนวนมากที่ต้องเดือดร้อนจากของมึนเมา ถึงจะชดเชยไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามทำความดีให้มากๆ
เพียงแต่ไม่ได้ป่าวประกาศเท่านั้นเอง

สไตล์การทำกิจกรรมเพื่อสังคม ของเจ้าสัวและตัน ต่างกันโดยสิ้นเชิง เจ้าสัวสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม และสนับสนุนองค์กรการกุศลมากมายในแต่ละปีแบบเงียบๆ โดยที่ไม่ได้มีPAGEของFacebook ปีๆหนึ่งเป็นหลักร้อยล้านบาท
ให้เพราะอยากให้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องประกาศ เพราะคนเรานานาจิตตัง
ให้เลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากทำธุรกิจที่ผิดศีล ถ้าสังเกตดูเจ้าสัวก็จะนำกำไรของเบียร์ช้างไปลงทุนในสายธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การขายของมึนเมาอยู่ตลอดเวลา ทั้งการพัฒนาที่ดิน ซื้อโรงแรม ซื้อกิจการอย่างโออิชิ ซื้อเบอร์ลี่ยุกเกอร์ ฯลฯ

ตันเริ่มเกากระแสตลอด ด้วยการไปช่วยทำความสะอาดราชประสงค์หลังจากความวุ่นวายจบลง และผนึกความคิดกับโน้ตเป็นศูนย์อำนวยการชอปปิ้งที่อารีน่า 10 ทั้งแปลก เก๋ สดใหม่ สำหรับกระแสของคนกรุงเทพฯที่อยากช่วยแม่ค้าราชประสงค์ในตอนนั้น ทำให้ได้พื้นที่สื่อในการประชาพันธ์ไปเป็นมูลค่ามหาศาล

ถ้าคิดง่ายๆว่าโฆษณาในรายการสรยุทธมีมูลค่านาทีละ 2 แสนบาท เวลาที่ตันออกอากาศ และถูกสรยุทธ์พูดถึงทุกวันในช่วงน้น คงเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน ไม่รวมถึงการลงสื่อหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
ทั้งหมดนี้ตันไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว

ถึงจะให้พื้นที่ขายของฟรี แต่ก็ทำให้คนมาที่อารีน่า10มากขึ้น รู้จักมากขึ้น และใช้จ่ายที่สถานที่แห่งนี้มากขึ้น สื่อมวลชนก็ขายข่าวได้เพราะคนชอบ แม่ค้าก็ได้ขายของ ประชาชนก็ดีใจเพราะอยากทำบุญ WIN กันทุกฝ่าย ทุกคนมีแต่ได้ แต่คนที่ได้มากที่สุดน่าจะเป็นตันเอง

ตันทำการกุศลเป็นเหมือน EVENTหนึ่ง มีโครงการ ที่ต้องมีการPR วางแผนโปรโมตระดมทุน ให้ทุกคนมีส่วนร่วม ไม่ต่างจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทำ แต่เผอิญว่าเมื่อตันเป็น “แบรนด์” และแบรนด์เป็นคนหนึ่งคนไม่ใช่บริษัท จึงดูว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก

กับโปรเจค “เดี่ยว เดี่ยว กับตัน” เพื่อนำไปสร้างโรงเรียนที่ชลบุรี โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ จากบัตรเข้าชมเลย เพราะคนชื่อตันจะมีไอเดียอะไรพิเศษที่ดึงดูดคนเสมอ
หากบอกว่ารายได้ส่วนหนึ่งของบัตรเข้าชม หรือรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย จะนำไปมอบให้การกุศลก็จะดูธรรมดามากในโลกสมัยปัจจุบัน แต่ตันทำแบบนี้กลายเป็น EVENTที่ดูจริงใจ ทุกคนอยากมีส่วนร่วม และสำคัญคือแบรนด์ของตันก็มีความสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน และพร้อมที่จะหลุดออกจากความเป็นโออิชิ ไปสู่อาณาจักรแห่งใหม่ของตัวเองที่ชื่อว่า "บริษัทไม่ตัน จำกัด



ที่มา www.blogger.com โดย assuming

ไม่มีความคิดเห็น: