สุขภาพกายและสุขภาพใจมีความสัมพันธ์และส่งผลถึงกันและกันค่ะ ดังนั้นการดูแลจิตใจไปพร้อมๆ กับการใส่ใจสุขภาพร่างกาย ย่อมทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงสมบูรณ์ที่สุด แต่วิธีที่ว่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ หากก็ไม่ยากจนเกินไปค่ะ
‘เต้าเต๋อซิ่นซี่’ เป็นเทคนิคของนักปราชญ์จีนโบราณในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง เมื่อ 3,000 ปีก่อน ซึ่งได้รวบรวมวิธีบำรุงรักษาสุขภาพ วิธีบริหารจัดการ และการฝึกหล่อหลอมจิตใจเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนในประเทศไทย เทคนิคนี้เข้ามาได้กว่า 10 ปีแล้วค่ะ แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะฉะนั้น เราอย่ารอช้าเลยค่ะ ไปรู้จักเทคนิคที่ว่ากันเลยดีกว่าค่ะ
คุณสมใจ วิพุธสกุล วิทยากรการฝึกปฏิบัติ เทคนิคเต้าเต๋อซิ่นซี ของ Reju Asoke by Q Medical เล่าให้ฟังว่า...เต้าเต๋อซินซี่ เป็นการประสานความคิดปรัชญากับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ นำธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย ฝึกกายและใจไปพร้อมๆ กัน สามารถนำมาประยุกต์ได้กับการศึกษา การงาน การดำรงชีวิต และยังฝึกได้ทุกเพศทุกวัย รวมทั้งเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม ถ้าเริ่มฝึกกันตั้งแต่เด็กๆ จะช่วยพัฒนาอีคิวของเด็กได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นวิธีที่เรียบง่าย สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ทำให้สุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจในเวลาอันสั้นค่ะ
การปฏิบัติเทคนิคเต้าเต๋อซิ่นซีเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้น ต้องประกอบกันทั้ง 8 สาขาค่ะ
มวยเต้าซิ่น กระตุ้นการหมุนเวียนโลหิต 9 ระบบใหญ่ๆ ในร่างกายให้เป็นปกติ และมีความสมดุล ทั้งระบบหมุนเวียนโลหิต หัวใจและหลอดเลือด สมอง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร เนื้อเยื่อพังผืด ทางเดินปัสสาวะ เส้นโลหิตฝอยและโครงกระดูก ประกอบด้วย 9 ท่า และทุกท่าต้องทำประกอบเพลงเต้าซิ่นเพื่อความผ่อนคลาย เริ่มจากยืนหลังตรง งอเข่าลงเล็กน้อย และเริ่มต้นที่
ท่าที่ 1 รักเมตตาทำความดี ช่วยให้เลือดทั่วร่างกายไหลเวียนได้สะดวก
ท่าที่ 2 จิตใจผ่องใส ลดกิเลศ ช่วยระบบหัวใจ
ท่าที่ 3 อ่อนน้อมถ่อมตน ช่วยเรื่องระบบหายใจ
ท่าที่ 4 เทิดเต๋า ทูนคุณธรรม ช่วยเรื่องระบบสมองใหญ่
ท่าที่ 5 คนทั่วโลกเพื่อส่วนรวม ช่วยระบบย่อยอาหาร
ท่าที่ 6 สร้างนาบุญให้มากหลาย ช่วยระบบเนื้อเยื่อพังผืด
ท่าที่ 7 ปกครองด้วยอู๋เหวย ช่วยเรื่องระบบกระเพาะปัสสาวะ
ท่าที่ 8 ทำดีเสมอต้นเสมอปลาย ช่วยระบบเส้นเลือดฝอย
ท่าที่ 9 ฟ้าดินยืนยง ช่วยเรื่องระบบโครงกระดูก
โดยทุกท่าต้องวาดมือเป็นครึ่งวงกลม และทำติดต่อกันเป็นระยะเวลา 15 นาที
กายบริหารเต้าซิ่น รับพลังธรรมชาติจากทุกทิศทาง พัฒนาสมองซีกขวา ลดความตึงเครียด ช่วยให้สมองมีความจำดีและมีความคิดสร้างสรรค์ มี 3 ท่า คือ ท่าที่ 1 หนึ่งดึง หนึ่งดัน ดึงพลังดีเข้าสู่ร่างกาย ดันพลังเสียให้ออกไป ท่าที่ 2 ฟ้าคนเป็นหนึ่ง เปิดจิตวิญญาณ และท่าสุดท้าย เต๋าธรรมชาติ เปิดสมองซีกขวา รับพลังธรรมชาติ
ฟังดนตรีและร้องเพลงเต้าซิ่น เสริมบำรุงอวัยวะภายในให้แข็งแรง กระตุ้นหยิน-หยาง และ 5 ธาตุให้สมดุล ช่วยให้จิตใจและร่างกายผ่อนคลาย
สมาธิเต้าซิ่น พัฒนาจิตให้สงบนิ่ง ชำระมลภาวะ ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดและเสริมสติปัญญาให้เฉลียวฉลาด
นันทนาการเต้าซิ่น เป็นการเต้นรำเข้าจังหวะกับดนตรี สามารถขับพิษที่สะสมในร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกันและเสริมความงาม ช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลและจิตใจผ่อนคลาย
เทคนิคพัฒนาศักยภาพซอฟต์แวร์ในร่างกาย ใช้ถ้อยคำภาษาเป็นข้อมูลพื้นฐานเรียบเรียงเป็นขั้นตอน แล้วใช้การคิดทวนวิถี ปรับดุลยภาพร่างกายและจิตใจ
การร่วมฝึกปฏิบัติเต้าซิ่น เพื่อแบ่งปันธรรมปิติและความสุขด้วยการศึกษาคัมภีร์ เต้าเต๋อจิง และพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์
การรับใช้สังคม เป็นการฝึกฝน หล่อหลอม และยกระดับจิตวิญญาณ ทำให้จิตใจมีความอ่อนน้อม โดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ถือเป็นบุญคุณ
หากใครสนใจจะลองฝึกเทคนิคเต้าเต๋อซินซี่ ลองติดต่อไปที่ Reju Asoke by Q Medical ทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดี เวลา 13.00-16.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0 2260 6911
21 มิ.ย. 2552
สุขภาพเทรนด์ใหม่ สปาปลา ตอดคลายเครียด
พูดถึงสปา ใครก็นึกถึงสถานที่แช่อาบน้ำสมุนไพร มีเตียงปูด้วยผ้าสำลีขาวนอนเปลือยหลัง ฟังเพลงแนวธรรมชาติเสียงน้ำไหลรินระหว่างพนักงานสปาออกแรงนวด ต่างจาก Cafe de' Spa by Fishfeet Spa ที่อยู่บนชั้น 2 ของคาร์แคร์ ย่าน .... คุณไม่ต้องเปลื้องผ้า แต่ถอดถุงเท้าถลกขากางเกงขึ้นเหนือเข้าแล้วเอาเท้าแช่ลงไปในบ่อน้ำขนาด 2 x 2 ฟุต รอพนักงานนวดคนสำคัญที่มาพร้อมกันเป็นฝูง!!!
อ้อ บอกก่อนว่าพนักงานนวดของที่นี่เป็นปลา ไม่ใช่คน
ก่อนจะหย่อนเรียวขาลงไปในบ่อจะมีพนักงานมาช่วยล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดชะล้างล้างฝุ่นผงออกก่อน ในขณะเดียวกัน พนักงานจะสำรวจด้วยว่า ลูกค้ามีแผลสด แผลเปิด หรือแผลหนองต้องห้ามใช้บริการหรือเปล่า เพื่อความสะอาดและปลอดภัยของผู้ใช้บริการรายอื่น
เมื่อพร้อมแล้วก็เป็นหน้าที่ของปลาการารูฟาที่ว่ายวนอยู่ในอ่างบำบัด ซึ่งถือเป็นพนักงานประจำไม่มีเงินเดือนของสปาแห่งนี้ที่ รัฐนันท์ รูปปัทม์ หรือคุณปอม หนึ่งในหุ้นส่วนของ Cafe de' Spa by Fishfeet Spa บอกว่า เป็นปลาแบบเดียวกับสปาปลาที่ญี่ปุ่นให้บริการอยู่
“ญี่ปุ่นฮิตมาก เขานิยมใช้ปลาพันธุ์การารูฟาบำบัดให้ผ่อนคลาย สปาของเราก็เน้นที่ความผ่อนคลาย คลายเครียด เป็นหลัก" ปอม ผู้บริหารสปาปลาตอด เล่า
นอกจากคลายเครียดแล้ว ปลายังช่วยกินเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไม่ต้องมานั่งขัดขี้ไคล น้ำลายของปลาพันธุ์นี้มีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ผลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น และยังกินแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นเท้าอีกด้วย
ปลาการารูฟาที่บินมาไกลจากแดนซากุระเหมาะกับการบำบัดคลายเครียด เพราะเวลาพวกมันตอดจิ๊ดไปที่เท้าให้ความรู้สึกสั่นแบบช็อตไฟฟ้า (Spark vibration) เหมือนโดนไฟกระแสอ่อนๆ กระตุ้นปลายประสาทที่เท้า ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ปลาบำบัดสุดฮิตในญี่ปุ่น จริง ๆ แล้วมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตุรกี
มีเรื่องเล่าว่า ทหารตุรกีที่กลับจากการรบ พร้อมบาดแผลที่แห้งเป็นสะเก็ด เลยไปนอนแช่น้ำตกที่มีฝูงปลาการารูฟาชุกชุมมาตอดแผลจนสะเก็ดแผลหายไปหมด แผลหายเร็วขึ้น ต่อมาชื่อเสียงของปลาการารูฟาระบือไปถึงญี่ปุ่น จนเกิดสปาปลาบำบัดในกรุงโตเกียว ขยับขยายถึงขั้นเพาะพันธุ์อย่างแพร่หลาย เป็นที่นิยมในการนำมาใช้บำบัดคลายเครียด
ที่มาของสปาปลานี้ เกิดจาก “ออฟ” จิรเมธ ยันตรพร ไปเจอสปาแบบนี้ที่ญี่ปุ่น จึงสนใจและคิดที่จะเปิดบริการในไทย ก่อนที่จะใช้เวลากว่า 1 ปีศึกษาพันธุ์ปลา ศักยภาพของปลาจนหมดไส้หมดพุง โดยมี “จิระ เทียนส่งรัศมี” หุ้นส่วนอีกรายที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำมาร่วมธุรกิจด้วย
“ช่วงแรกก็ลองผิดลองถูกกัน เพราะปลาที่ตอดได้มีหลากพันธุ์ และแต่ละพันธุ์ก็จะมีพฤติกรรมข้างเคียงที่ไม่เหมาะนำมาใช้บำบัด อย่างพวกชอบกระโดด ก็ไม่เหมาะ สุดท้ายมาลงตัวการารูฟาแบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นใช้”
นอกจากใส่ใจพันธุ์ปลาบำบัด เจ้าของสปาปลายังต้องใส่ใจความสะอาด ลูกค้าทุกคนจะต้องหย่อนเท้าลงไปบ่อเดียวกัน สปาปลาจึงติดตั้งระบบบำบัดน้ำแบบพิเศษใช้เครื่องกรองถึง 4 ตัวใน 1 บ่อ มั่นใจได้ว่าจะไม่เหลือเศษสิ่งสกปรกค้างที่ก้นบ่อ
หลังจากแช่เท้าเสร็จแล้ว อาจจะระคายเคืองอยู่บ้าง แต่พนักงานก็จะมาทำความสะอาดพร้อมด้วยการล้างขาและเท้าด้วยน้ำสบู่อีกครั้ง
หลายคนอาจสงสัยว่า หลังจากปลามาตอดเท้าไปแล้วคงจะอิ่มแปล้ไม่เปลืองอาหาร จริงๆ แล้ว พวกมันยังต้องการอาหาร "เมนคอร์ส" เพราะการกินเซลล์ผิวตายนั้นเป็นพฤติกรรม แต่ไม่ทำให้อิ่มท้อง
สปาปลาเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 มกราคมที่ผ่านมา มีลูกค้าแวะเวียนไปใช้บริการกว่า 1500 ราย บางรายติดใจถึงขนาดเปิดบัตรสมาชิกไว้ ซึ่งปัจจุบัน ยอดสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 150 คน
“ส่วนมากคนที่มาใช้บริการจะเป็นกลุ่มคนทำงาน ที่รักสุขภาพ และต้องการการผ่อนคลายในรูปแบบใหม่”
คุณรัฐนันท์บอก ก่อนเล่าว่า ลูกค้าบางราย ใช้เวลาช่วงเลิกงานมาผ่อนคลาย ขอใช้บริการ 30 นาที นั่งแช่เท้าก่อนหลับปุ๋ยไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนลูกค้ากลุ่มสูงอายุก็จะมาในช่วงวันธรรมดา โดยมาเป็นกลุ่ม นั่งแช่เท้าพลายพูดคุยถึงลูกเต้าเคล้าความหลัง
คุณรัฐนันท์มองว่า ความผ่อนคลายเป็นเป้าหมายหลัก แต่ลูกค้าบางคนก็ได้ประโยชน์ในเชิงสุขภาพ อย่างคนที่ส้นเท้าแตก หรือใส่รองเท้าส้นสูงแล้วเกิดส้นเท้าแข็ง มีกลิ่นเท้า ก็ช่วยได้
“หลายคนก็จะมาถามว่า ต้องมากี่ครั้ง กลิ่นเท้าจึงจะหาย ทำนานแค่ไหน เท้าจะนุ่มสวย ไม่แข็งอีก ก็ต้องตอบไปตรงๆ ว่า ตอบยาก มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรม ถ้าทำแล้วส้นเท้าอ่อนนุ่มเหมือนเดิม แต่ก็ต้องกลับไปใส่รองเท้าส้นสูงทุกวัน ส้นเท้าก็แข็งเหมือนเดิม หรือเท้าหายเหม็น แต่ก็กลับไปใส่รองเท้าคู่เดิม ยังไงก็กลับมามีกลิ่น” รัฐนันท์ตอบข้อสงสัย
จากการบอกปากต่อปากของบรรดาลูกค้า ทำให้ Cafe de' Spa by Fishfeet Spa ขยายการบริการออกไป ในลักษณะของการหาพันธมิตร โดยจัดหาบ่อ ระบบบำบัดน้ำ และปลา รวมถึงการให้คำปรึกษา ปัจจุบัน เริ่มขยายแล้ว 3 สาขาคือ สวนลุมไนต์บาซาร์, สี่แยกเหม่งจ๋าย และสุขุมวิท23 ปีนี้ ตั้งเป้าจะขยายเป็น 10 สาขาในกรุงเทพมหานคร ต่างจังหวัดก็เริ่มมีติดต่อเข้ามาไม่ว่าจะเป็นที่เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สุรินทร์ สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดร ขอนแก่น เป็นต้น
เมื่อถามถึงความสำเร็จสำหรับการบำบัดด้วยปลา นายรัฐนันท์มองว่า ความพึงพอใจที่ลูกค้าได้อาจจะไม่ต่างจากการบำบัดด้วยสิ่งอื่น แต่ปลาเป็นสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ในสิ่งแวดล้อม ที่เป็นเหมือนโอเอซิสของคนกรุง
“ตอนนี้ กรุงเทพหรือเมืองใหญ่ๆ เป็นป่าตึกไปแล้ว คนแสวงหาความเป็นธรรมชาติ ปลาถือเป็นธรรมชาติบำบัดที่ตรงใจคนหลายกลุ่ม” หัวหน้าฝูงปลา กล่าว
อ้อ บอกก่อนว่าพนักงานนวดของที่นี่เป็นปลา ไม่ใช่คน
ก่อนจะหย่อนเรียวขาลงไปในบ่อจะมีพนักงานมาช่วยล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดชะล้างล้างฝุ่นผงออกก่อน ในขณะเดียวกัน พนักงานจะสำรวจด้วยว่า ลูกค้ามีแผลสด แผลเปิด หรือแผลหนองต้องห้ามใช้บริการหรือเปล่า เพื่อความสะอาดและปลอดภัยของผู้ใช้บริการรายอื่น
เมื่อพร้อมแล้วก็เป็นหน้าที่ของปลาการารูฟาที่ว่ายวนอยู่ในอ่างบำบัด ซึ่งถือเป็นพนักงานประจำไม่มีเงินเดือนของสปาแห่งนี้ที่ รัฐนันท์ รูปปัทม์ หรือคุณปอม หนึ่งในหุ้นส่วนของ Cafe de' Spa by Fishfeet Spa บอกว่า เป็นปลาแบบเดียวกับสปาปลาที่ญี่ปุ่นให้บริการอยู่
“ญี่ปุ่นฮิตมาก เขานิยมใช้ปลาพันธุ์การารูฟาบำบัดให้ผ่อนคลาย สปาของเราก็เน้นที่ความผ่อนคลาย คลายเครียด เป็นหลัก" ปอม ผู้บริหารสปาปลาตอด เล่า
นอกจากคลายเครียดแล้ว ปลายังช่วยกินเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไม่ต้องมานั่งขัดขี้ไคล น้ำลายของปลาพันธุ์นี้มีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ผลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น และยังกินแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นเท้าอีกด้วย
ปลาการารูฟาที่บินมาไกลจากแดนซากุระเหมาะกับการบำบัดคลายเครียด เพราะเวลาพวกมันตอดจิ๊ดไปที่เท้าให้ความรู้สึกสั่นแบบช็อตไฟฟ้า (Spark vibration) เหมือนโดนไฟกระแสอ่อนๆ กระตุ้นปลายประสาทที่เท้า ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ปลาบำบัดสุดฮิตในญี่ปุ่น จริง ๆ แล้วมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตุรกี
มีเรื่องเล่าว่า ทหารตุรกีที่กลับจากการรบ พร้อมบาดแผลที่แห้งเป็นสะเก็ด เลยไปนอนแช่น้ำตกที่มีฝูงปลาการารูฟาชุกชุมมาตอดแผลจนสะเก็ดแผลหายไปหมด แผลหายเร็วขึ้น ต่อมาชื่อเสียงของปลาการารูฟาระบือไปถึงญี่ปุ่น จนเกิดสปาปลาบำบัดในกรุงโตเกียว ขยับขยายถึงขั้นเพาะพันธุ์อย่างแพร่หลาย เป็นที่นิยมในการนำมาใช้บำบัดคลายเครียด
ที่มาของสปาปลานี้ เกิดจาก “ออฟ” จิรเมธ ยันตรพร ไปเจอสปาแบบนี้ที่ญี่ปุ่น จึงสนใจและคิดที่จะเปิดบริการในไทย ก่อนที่จะใช้เวลากว่า 1 ปีศึกษาพันธุ์ปลา ศักยภาพของปลาจนหมดไส้หมดพุง โดยมี “จิระ เทียนส่งรัศมี” หุ้นส่วนอีกรายที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำมาร่วมธุรกิจด้วย
“ช่วงแรกก็ลองผิดลองถูกกัน เพราะปลาที่ตอดได้มีหลากพันธุ์ และแต่ละพันธุ์ก็จะมีพฤติกรรมข้างเคียงที่ไม่เหมาะนำมาใช้บำบัด อย่างพวกชอบกระโดด ก็ไม่เหมาะ สุดท้ายมาลงตัวการารูฟาแบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นใช้”
นอกจากใส่ใจพันธุ์ปลาบำบัด เจ้าของสปาปลายังต้องใส่ใจความสะอาด ลูกค้าทุกคนจะต้องหย่อนเท้าลงไปบ่อเดียวกัน สปาปลาจึงติดตั้งระบบบำบัดน้ำแบบพิเศษใช้เครื่องกรองถึง 4 ตัวใน 1 บ่อ มั่นใจได้ว่าจะไม่เหลือเศษสิ่งสกปรกค้างที่ก้นบ่อ
หลังจากแช่เท้าเสร็จแล้ว อาจจะระคายเคืองอยู่บ้าง แต่พนักงานก็จะมาทำความสะอาดพร้อมด้วยการล้างขาและเท้าด้วยน้ำสบู่อีกครั้ง
หลายคนอาจสงสัยว่า หลังจากปลามาตอดเท้าไปแล้วคงจะอิ่มแปล้ไม่เปลืองอาหาร จริงๆ แล้ว พวกมันยังต้องการอาหาร "เมนคอร์ส" เพราะการกินเซลล์ผิวตายนั้นเป็นพฤติกรรม แต่ไม่ทำให้อิ่มท้อง
สปาปลาเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 มกราคมที่ผ่านมา มีลูกค้าแวะเวียนไปใช้บริการกว่า 1500 ราย บางรายติดใจถึงขนาดเปิดบัตรสมาชิกไว้ ซึ่งปัจจุบัน ยอดสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 150 คน
“ส่วนมากคนที่มาใช้บริการจะเป็นกลุ่มคนทำงาน ที่รักสุขภาพ และต้องการการผ่อนคลายในรูปแบบใหม่”
คุณรัฐนันท์บอก ก่อนเล่าว่า ลูกค้าบางราย ใช้เวลาช่วงเลิกงานมาผ่อนคลาย ขอใช้บริการ 30 นาที นั่งแช่เท้าก่อนหลับปุ๋ยไปอย่างสบายอารมณ์ ส่วนลูกค้ากลุ่มสูงอายุก็จะมาในช่วงวันธรรมดา โดยมาเป็นกลุ่ม นั่งแช่เท้าพลายพูดคุยถึงลูกเต้าเคล้าความหลัง
คุณรัฐนันท์มองว่า ความผ่อนคลายเป็นเป้าหมายหลัก แต่ลูกค้าบางคนก็ได้ประโยชน์ในเชิงสุขภาพ อย่างคนที่ส้นเท้าแตก หรือใส่รองเท้าส้นสูงแล้วเกิดส้นเท้าแข็ง มีกลิ่นเท้า ก็ช่วยได้
“หลายคนก็จะมาถามว่า ต้องมากี่ครั้ง กลิ่นเท้าจึงจะหาย ทำนานแค่ไหน เท้าจะนุ่มสวย ไม่แข็งอีก ก็ต้องตอบไปตรงๆ ว่า ตอบยาก มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรม ถ้าทำแล้วส้นเท้าอ่อนนุ่มเหมือนเดิม แต่ก็ต้องกลับไปใส่รองเท้าส้นสูงทุกวัน ส้นเท้าก็แข็งเหมือนเดิม หรือเท้าหายเหม็น แต่ก็กลับไปใส่รองเท้าคู่เดิม ยังไงก็กลับมามีกลิ่น” รัฐนันท์ตอบข้อสงสัย
จากการบอกปากต่อปากของบรรดาลูกค้า ทำให้ Cafe de' Spa by Fishfeet Spa ขยายการบริการออกไป ในลักษณะของการหาพันธมิตร โดยจัดหาบ่อ ระบบบำบัดน้ำ และปลา รวมถึงการให้คำปรึกษา ปัจจุบัน เริ่มขยายแล้ว 3 สาขาคือ สวนลุมไนต์บาซาร์, สี่แยกเหม่งจ๋าย และสุขุมวิท23 ปีนี้ ตั้งเป้าจะขยายเป็น 10 สาขาในกรุงเทพมหานคร ต่างจังหวัดก็เริ่มมีติดต่อเข้ามาไม่ว่าจะเป็นที่เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สุรินทร์ สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดร ขอนแก่น เป็นต้น
เมื่อถามถึงความสำเร็จสำหรับการบำบัดด้วยปลา นายรัฐนันท์มองว่า ความพึงพอใจที่ลูกค้าได้อาจจะไม่ต่างจากการบำบัดด้วยสิ่งอื่น แต่ปลาเป็นสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ในสิ่งแวดล้อม ที่เป็นเหมือนโอเอซิสของคนกรุง
“ตอนนี้ กรุงเทพหรือเมืองใหญ่ๆ เป็นป่าตึกไปแล้ว คนแสวงหาความเป็นธรรมชาติ ปลาถือเป็นธรรมชาติบำบัดที่ตรงใจคนหลายกลุ่ม” หัวหน้าฝูงปลา กล่าว
สวยใส ด้วยสูตรการดูแลตัวเองในวันว่าง
ลองทำตามสูตรความสวยที่เอามานำเสนอดู แล้วจะเชื่อว่าเราสามารถสวยเด้งได้ด้วยการเมคตัวเอง ขอเพียงมีวันว่างๆ สักวันเท่านั้นแหละ อะๆ สนใจแล้วรึยังล่ะ ถ้าสนใจแล้วก็เตรียมพร้อมมาเมคตัวเองให้สวยใสสไตล์เจ้าหญิงกันไปเลย!
06.00 น. ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อให้สมองปรอดโปร่งรับอากาศยามเช้า แต่ก่อนนอนคืนนั้นจะต้องเข้านอนไม่เกินสี่ทุ่มนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นอาจจะตื่นมาด้วยสมองที่ก่งก๊งก็เป็นได้
06.15 น. ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 1 แก้ว ขอให้เป็นน้ำอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด เพราะร่างกายของเราขาดน้ำติดต่อกันมาหลายชั่วโมงแล้ว เราจึงต้องรีบเติมน้ำเพื่อให้ผิวริมฝีปากชุ่มชื้น
06.20 น. ออกกำลังกายเล็กน้อย เช่น อาจจะขยับร่างกายเร็วๆ วิ่งอยู่กับที่สัก 20 นาที เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว
07.00 น. อาบน้ำ แปรงฟัน จัดร่างกายให้สะอาดสดชื่น ที่สำคัญ อย่าอั้นอุนจิเอาไว้ เพราะมันจะกลายเป็นของเสียสะสมอยู่ในร่างกายของเรา เราควรถ่ายให้เป็นเวลาทุกเช้า จะช่วยให้เราสุขภาพดี ผิวพรรณดี ท้องไม่ป่อง และไม่ป่วยง่ายด้วยจ้ะ ส่วนการแปรงฟันนั้น เราต้องแปรงให้สะอาด เพื่อขจัดคราบน้ำลายที่เกาะอยู่ตามผิวฟันตลอดทั้งคืน เราคงไม่อยากอ้าปากอวดกลิ่นน้ำลายเน่าๆ ในปากของเราให้คนอื่นดมหรอกใช่ไหมล่ะ
07.30 น. ถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว อาหารมื้อนี้ห้ามงด ห้ามอดนะจ๊ะ เพราะเป็นมื้อแรกของวัน สำคัญที่ควรกินให้ครบ 5 หมู่ ก่อนกินให้ดื่มน้ำสะอาด 1 แก้ว และหลังกินเสร็จตามเข้าไปอีก 1 แก้วด้วยล่ะ อย่าลืม
08.00 น. ตอนนี้เรามาเริ่มสร้างบรรยากาศในห้องของเราให้ดูดีกันดีกว่า เริ่มจากการทำความสะอาด เช็ดฝุ่นออก และจัดห้องให้เป็นระเบียบน่าอยู่ เหตุผลที่ชวนเพื่อนๆ มาจัดห้องเพราะว่า ห้องนอนคือห้องที่เราจะต้องอยู่ทุกวัน ดังนั้นการที่ปล่อยให้ห้องนอนของเราอมฝุ่น ก็เท่ากับเรานอนสูดฝุ่นที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคทุกคืน การปล่อยให้ห้องของเราเต็มไปด้วยขยะ ก็เท่ากับเรานอนอยู่บนกองขยะ และการปล่อยให้ห้องรกอาจจะทำให้สัตว์อันตรายอย่างงูหรือแมลงมีพิษชอบใจมาขออาศัยอยู่ด้วยก็เป็นได้
นอกจากนี้การทำให้ห้องเราสวยๆ เต็มไปด้วยของกุ๊กกิ๊กน่ารัก ก็ทำให้เรามีความสุข และทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นด้วย
12.00 น. หลังจากทำความสะอาดห้องเรียบร้อย อย่าลืมล้างมือด้วยล่ะ จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว แน่นอนว่าต้องตามสูตรเดิมคือ ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำก่อนอาหาร 1 แก้ว และหลังอาหาร 1 แก้วนะจ๊ะ
13.00 น. ถึงเวลาทำสวยให้ร่างกายของเราแล้ว เริ่มต้นจากเส้นผมก่อนเป็นอันดับแรก วิธีก็คือทำการหมักผมเพิ่มความสวยให้เส้นผมของเราซะ ส่วนสูตรหมักผม เลือกเอาตามที่นำมาเสนอได้เลย
- ตีไข่แดง + น้ำมันมะกอก + น้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน หมักผมทิ้งไว้ 15 นาที แล้วสระออก ผมจะนุ่มสลวยเป็นเงางาม มีน้ำหนัก จับสบายมือจ้า
- กล้วยหอมบด + น้ำมันมะกอก + น้ำผึ้ง ตีให้เข้ากันแล้วหมักผมทิ้งไว้ 15 – 20 นาทีก่อนสระออก ผมจะนุ่ม เป็นเงางาม น่าสัมผัสมากมายเลยล่ะ
- หัวกะทิ + น้ำมะกรูด ผสมกัน หมักผมทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วสระออก ผมจะดกดำ นุ่มเป็นเงางาม
- น้ำผึ้ง + น้ำมันมะกอกอุ่มนิดๆ ให้พอร้อน + กล้วยปอกเปลือก + น้ำเปล่าครึ่งถ้วย ผสมกัน หมักผม 15 – 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผมสวยเป็นเงางามได้จ้ะ
- ส่วนใครที่ไม่ชอบที่ส่วนผสมยุ่งยาก อาจจะทำได้โดยซื้อครีมหมักผมมาหมักผมทิ้งไว้ ถ้าจะให้เริ่ดก็อบไอน้ำไปเลย ผมจะได้นุ่มสลวยสวยเก๋ไงจ๊ะ
หลังจากหมักผมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนของการพอกหน้าใสเด้งๆ ทำตามขั้นตอนและเลือกสูตรใดสูตรหนึ่งตามคำแนะนำได้เลยจ้า
1. ล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอาง โลชั่นกันแดด หรือโลชั่นบำรุงผิวที่อุดตันออกให้หมด จากนั้นตามด้วยโฟมล้างหน้า 1 รอบ
2. เช็ดหน้าให้สะอาด เริ่มต้นบำรุงผิวหน้าด้วยสูตรที่จะแนะนำได้เลย
- นำกล้วยหอม + นมจืด + มะนาว + โยเกิร์ต + น้ำผึ้งมาผสมรวมกัน จากนั้นก็นำไปปั่นแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก จากนั้นทิ้งไว้ 5 นาที แล้วพอกซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำผึ้ง ทิ้งไว้อีก 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อนๆ เท่านี้ก็เรียบร้อย
- นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกแล้วเอาไปปั่น ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เข้ากันแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำนมและตามด้วยน้ำสะอาด
- สำหรับคนหน้ามันโดยเฉพาะ ให้นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติแช่ให้เย็นเฉียบ จากนั้นนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วเช็ดออก เท่านี้หน้าก็จะใสปิ๊งๆ
- ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ นำมาวางบนใบหน้า คลุมทับด้วยผ้าสะอาด ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
เอาล่ะ เมื่อหน้าใสปิ๊งกิ๊งสุดๆ กันแล้ว เราก็มาดูแลผิวกายของเราด้วยการขัดสีฉวีวรรณ ทำตามได้ดังนี้เลยจ้า
1. เก็บผมของเราให้เรียบร้อยก่อนด้วยหมวกคลุมผมนะ
2. เข้าตู้อบไอน้ำ (ถ้ามี) เพื่อให้ผิวเปิด และชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน
3. รองน้ำอุ่นลงอ่างอาบน้ำได้เลย
4. ระหว่างรอน้ำอุ่นเต็ม ให้เริ่มต้นราดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเทสครับลงบนมือ จัดการขัดตัวให้เรียบร้อยโดยการขัดเบาๆ หมุนวนทวนเข็มนาฬิกาทุกส่วน ส่วนไหนขัดไม่ถึง เช่นหลังให้ใช้ใยบวบ แปรงขัดผิว หรือฟองน้ำช่วย
5. ล้างตัวให้เรียบร้อยด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิห้อง
6. เอาล่ะ น้ำเต็มอ่างแล้ว ปิดน้ำ แล้วเทหัวเชื้อน้ำนมลงอ่าง (มีขายตามร้านความสวยความงามทั่วไปจ้ะ) ผสมให้เข้ากัน แล้วลงไปนอนแช่ให้สบายใจสัก 20 นาที
7. ระหว่างนี้ถ้าจะให้เวิ้ร์ก น่าจะมีเทียนหอมเพิ่มความผ่อนคลายนิดนึง
8. ลุกจากอ่าง เช็ดตัวให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ
9. ทาโลชั่นบำรุงผิว เป็นอันเสร็จพิธี
17.00 น. อาบน้ำทำสวยเรียบร้อย โหย...ใกล้หมดวันเต็มที ทีนี้ก็ถึงเวลาอาหารเย็น อย่าลืมสูตรเดิมนะ ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร 1 แก้ว และหลังกินอาหาร 1 แก้ว มื้อเย็นนี้ ถ้าจะให้ดีไม่ควรจะกินมื้อใหญ่ เอาแค่พออิ่มก็พอแล้วล่ะ
18.00 น. อนุญาติให้พักผ่อน ทำอะไรก็ได้ตามอัธยาศัย แต่ต้องไม้หักโหม อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันที่เราจะทำตัวเป็นเจ้าหญิง ดังนั้นให้ใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ อาจจะเปิดรายการโปรดดู นอนฟังเพลง ไปเดินเล่นในสวน นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ ก็ตามแต่เราจะสบายใจได้เลย ถ้าเป็นไปได้ วันนี้ปิดโทรศัพท์ซะ ขออยู่สบายๆ งดคุยกับใครชั่วคราว
21.00 น. เตรียมตัวเข้านอน ให้ล้างหน้าอีก 1 รอบ ทาครีมบำรุงผิวหน้า แปรงฟันให้สะอาด ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว จากนั้นก็จัดห้องนอนให้น่านอนได้แล้ว
06.00 น. ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อให้สมองปรอดโปร่งรับอากาศยามเช้า แต่ก่อนนอนคืนนั้นจะต้องเข้านอนไม่เกินสี่ทุ่มนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นอาจจะตื่นมาด้วยสมองที่ก่งก๊งก็เป็นได้
06.15 น. ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 1 แก้ว ขอให้เป็นน้ำอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด เพราะร่างกายของเราขาดน้ำติดต่อกันมาหลายชั่วโมงแล้ว เราจึงต้องรีบเติมน้ำเพื่อให้ผิวริมฝีปากชุ่มชื้น
06.20 น. ออกกำลังกายเล็กน้อย เช่น อาจจะขยับร่างกายเร็วๆ วิ่งอยู่กับที่สัก 20 นาที เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว
07.00 น. อาบน้ำ แปรงฟัน จัดร่างกายให้สะอาดสดชื่น ที่สำคัญ อย่าอั้นอุนจิเอาไว้ เพราะมันจะกลายเป็นของเสียสะสมอยู่ในร่างกายของเรา เราควรถ่ายให้เป็นเวลาทุกเช้า จะช่วยให้เราสุขภาพดี ผิวพรรณดี ท้องไม่ป่อง และไม่ป่วยง่ายด้วยจ้ะ ส่วนการแปรงฟันนั้น เราต้องแปรงให้สะอาด เพื่อขจัดคราบน้ำลายที่เกาะอยู่ตามผิวฟันตลอดทั้งคืน เราคงไม่อยากอ้าปากอวดกลิ่นน้ำลายเน่าๆ ในปากของเราให้คนอื่นดมหรอกใช่ไหมล่ะ
07.30 น. ถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว อาหารมื้อนี้ห้ามงด ห้ามอดนะจ๊ะ เพราะเป็นมื้อแรกของวัน สำคัญที่ควรกินให้ครบ 5 หมู่ ก่อนกินให้ดื่มน้ำสะอาด 1 แก้ว และหลังกินเสร็จตามเข้าไปอีก 1 แก้วด้วยล่ะ อย่าลืม
08.00 น. ตอนนี้เรามาเริ่มสร้างบรรยากาศในห้องของเราให้ดูดีกันดีกว่า เริ่มจากการทำความสะอาด เช็ดฝุ่นออก และจัดห้องให้เป็นระเบียบน่าอยู่ เหตุผลที่ชวนเพื่อนๆ มาจัดห้องเพราะว่า ห้องนอนคือห้องที่เราจะต้องอยู่ทุกวัน ดังนั้นการที่ปล่อยให้ห้องนอนของเราอมฝุ่น ก็เท่ากับเรานอนสูดฝุ่นที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคทุกคืน การปล่อยให้ห้องของเราเต็มไปด้วยขยะ ก็เท่ากับเรานอนอยู่บนกองขยะ และการปล่อยให้ห้องรกอาจจะทำให้สัตว์อันตรายอย่างงูหรือแมลงมีพิษชอบใจมาขออาศัยอยู่ด้วยก็เป็นได้
นอกจากนี้การทำให้ห้องเราสวยๆ เต็มไปด้วยของกุ๊กกิ๊กน่ารัก ก็ทำให้เรามีความสุข และทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นด้วย
12.00 น. หลังจากทำความสะอาดห้องเรียบร้อย อย่าลืมล้างมือด้วยล่ะ จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว แน่นอนว่าต้องตามสูตรเดิมคือ ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำก่อนอาหาร 1 แก้ว และหลังอาหาร 1 แก้วนะจ๊ะ
13.00 น. ถึงเวลาทำสวยให้ร่างกายของเราแล้ว เริ่มต้นจากเส้นผมก่อนเป็นอันดับแรก วิธีก็คือทำการหมักผมเพิ่มความสวยให้เส้นผมของเราซะ ส่วนสูตรหมักผม เลือกเอาตามที่นำมาเสนอได้เลย
- ตีไข่แดง + น้ำมันมะกอก + น้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน หมักผมทิ้งไว้ 15 นาที แล้วสระออก ผมจะนุ่มสลวยเป็นเงางาม มีน้ำหนัก จับสบายมือจ้า
- กล้วยหอมบด + น้ำมันมะกอก + น้ำผึ้ง ตีให้เข้ากันแล้วหมักผมทิ้งไว้ 15 – 20 นาทีก่อนสระออก ผมจะนุ่ม เป็นเงางาม น่าสัมผัสมากมายเลยล่ะ
- หัวกะทิ + น้ำมะกรูด ผสมกัน หมักผมทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วสระออก ผมจะดกดำ นุ่มเป็นเงางาม
- น้ำผึ้ง + น้ำมันมะกอกอุ่มนิดๆ ให้พอร้อน + กล้วยปอกเปลือก + น้ำเปล่าครึ่งถ้วย ผสมกัน หมักผม 15 – 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผมสวยเป็นเงางามได้จ้ะ
- ส่วนใครที่ไม่ชอบที่ส่วนผสมยุ่งยาก อาจจะทำได้โดยซื้อครีมหมักผมมาหมักผมทิ้งไว้ ถ้าจะให้เริ่ดก็อบไอน้ำไปเลย ผมจะได้นุ่มสลวยสวยเก๋ไงจ๊ะ
หลังจากหมักผมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนของการพอกหน้าใสเด้งๆ ทำตามขั้นตอนและเลือกสูตรใดสูตรหนึ่งตามคำแนะนำได้เลยจ้า
1. ล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอาง โลชั่นกันแดด หรือโลชั่นบำรุงผิวที่อุดตันออกให้หมด จากนั้นตามด้วยโฟมล้างหน้า 1 รอบ
2. เช็ดหน้าให้สะอาด เริ่มต้นบำรุงผิวหน้าด้วยสูตรที่จะแนะนำได้เลย
- นำกล้วยหอม + นมจืด + มะนาว + โยเกิร์ต + น้ำผึ้งมาผสมรวมกัน จากนั้นก็นำไปปั่นแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก จากนั้นทิ้งไว้ 5 นาที แล้วพอกซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำผึ้ง ทิ้งไว้อีก 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อนๆ เท่านี้ก็เรียบร้อย
- นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกแล้วเอาไปปั่น ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เข้ากันแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำนมและตามด้วยน้ำสะอาด
- สำหรับคนหน้ามันโดยเฉพาะ ให้นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติแช่ให้เย็นเฉียบ จากนั้นนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วเช็ดออก เท่านี้หน้าก็จะใสปิ๊งๆ
- ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ นำมาวางบนใบหน้า คลุมทับด้วยผ้าสะอาด ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
เอาล่ะ เมื่อหน้าใสปิ๊งกิ๊งสุดๆ กันแล้ว เราก็มาดูแลผิวกายของเราด้วยการขัดสีฉวีวรรณ ทำตามได้ดังนี้เลยจ้า
1. เก็บผมของเราให้เรียบร้อยก่อนด้วยหมวกคลุมผมนะ
2. เข้าตู้อบไอน้ำ (ถ้ามี) เพื่อให้ผิวเปิด และชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน
3. รองน้ำอุ่นลงอ่างอาบน้ำได้เลย
4. ระหว่างรอน้ำอุ่นเต็ม ให้เริ่มต้นราดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเทสครับลงบนมือ จัดการขัดตัวให้เรียบร้อยโดยการขัดเบาๆ หมุนวนทวนเข็มนาฬิกาทุกส่วน ส่วนไหนขัดไม่ถึง เช่นหลังให้ใช้ใยบวบ แปรงขัดผิว หรือฟองน้ำช่วย
5. ล้างตัวให้เรียบร้อยด้วยน้ำอุ่นอุณหภูมิห้อง
6. เอาล่ะ น้ำเต็มอ่างแล้ว ปิดน้ำ แล้วเทหัวเชื้อน้ำนมลงอ่าง (มีขายตามร้านความสวยความงามทั่วไปจ้ะ) ผสมให้เข้ากัน แล้วลงไปนอนแช่ให้สบายใจสัก 20 นาที
7. ระหว่างนี้ถ้าจะให้เวิ้ร์ก น่าจะมีเทียนหอมเพิ่มความผ่อนคลายนิดนึง
8. ลุกจากอ่าง เช็ดตัวให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ
9. ทาโลชั่นบำรุงผิว เป็นอันเสร็จพิธี
17.00 น. อาบน้ำทำสวยเรียบร้อย โหย...ใกล้หมดวันเต็มที ทีนี้ก็ถึงเวลาอาหารเย็น อย่าลืมสูตรเดิมนะ ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร 1 แก้ว และหลังกินอาหาร 1 แก้ว มื้อเย็นนี้ ถ้าจะให้ดีไม่ควรจะกินมื้อใหญ่ เอาแค่พออิ่มก็พอแล้วล่ะ
18.00 น. อนุญาติให้พักผ่อน ทำอะไรก็ได้ตามอัธยาศัย แต่ต้องไม้หักโหม อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันที่เราจะทำตัวเป็นเจ้าหญิง ดังนั้นให้ใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ อาจจะเปิดรายการโปรดดู นอนฟังเพลง ไปเดินเล่นในสวน นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ ก็ตามแต่เราจะสบายใจได้เลย ถ้าเป็นไปได้ วันนี้ปิดโทรศัพท์ซะ ขออยู่สบายๆ งดคุยกับใครชั่วคราว
21.00 น. เตรียมตัวเข้านอน ให้ล้างหน้าอีก 1 รอบ ทาครีมบำรุงผิวหน้า แปรงฟันให้สะอาด ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว จากนั้นก็จัดห้องนอนให้น่านอนได้แล้ว
6 สัญญาณบอกว่าเพื่อนกำลังหลอกใช้คุณ
การมีเพื่อนซี้สุดสนิท ที่เที่ยวออกไป ไหนมาไหน ด้วยกันตลอดเวลานั้น ไม่ได้ หมายความว่า เธอจะเป็น เพื่อน ที่ดีเสมอไป บางครั้ง เราอาจ กำลัง ถูกเพื่อนเอาเปรียบ โดยไม่ รู้ตัว มาดูสิว่าอะไรคือ สัญญาณที่บอก ให้รู้ว่า เรากำลังถูกเพื่อนหลอกใช้
1. เพื่อนชอบขอร้องให้เราทำเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี รู้สึกผิด หรือรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ ข้อนี้ละตัวดีนัก คิดดูสิ เดี๋ยวก็ขอให้เรามาทำไอ้นู้นให้ทำไอ้นี่ให้ ซึ่งล้วน แล้วแต่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่อยากทำ บางเรื่องอาจไม่ใช่ เรื่องถูกหรือ เรื่องผิด แต่เป็นเรื่องที่เราไม่ช้อบไม่ชอบ เช่น รู้ทั้งรู้ว่า เราไม่ชอบกิน ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ ไม่ชอบกินข้าวร้านนั้น หรือไม่ชอบหน้า เพื่อนคนนี้ ก็ยังบังคับให้เราไปกิน หรือชวนเราไป นั่งคุยกับเพื่อน ที่เราไม่ชอบหน้า โดยไม่สนใจความ รู้สึก ของเรา ไม่สนว่า เราจะอึดอัด หรือกร เดือกข้าวไม่ลง เพราะคุณเธอชอบ ของเธอ อย่างนั้นนี่ ใครจะทำไม
2. ชอบโม้แต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น วู้ยเหลือจะทนจริงๆค่ะท่านผู้ชม วันๆเอาแต่นั่งโม้นั่งสาธยาย แต่เรื่อง ของตัวเอง เช่น ฉันเพิ่งซื้อกระเป๋าลูกลิงใบละห้าพัน แบบใหม่ล่าสุดเลย นะเธอ หรือ เมื่อวานนี้มีลูกอธิบดีมาจีบ แต่ฉันไม่สนหรอกย่ะ ขนาดวันนี้ หนุ่มหล่อ ลูกนายก (สมาคมอะไรสักอย่าง) มาชวนไปทานข้าว ฉันยัง เซย์โน เลยนะ นอกจากเอาแต่โม้เรื่องตัวเองแล้ว ถ้าเราขืนพูดเรื่อง ของเราออกไปบ้าง คุณเธอนอกจากจะไม่ฟัง ยังเกทับบลั๊ฟแหลกอีกต่างหาก ถ้าเราเล่า เรื่อง ความเริ่ดของเราออกไป เธอจะสาธยายความเริ่ดกว่า ออกมาอีก สิบเท่า หรือถ้าเรารำพันถึงความซวย เธอก็จะมีเรื่องราวความแสน ซวยของเธอ มาทับถม เรียกว่าเรื่องเราจืดไปเลยละ
3. ชอบขอให้เราช่วยโกหกให้ อันนี้รับรองว่าโดนมาแล้วทุกคน ไม่ว่าเรื่องไม้จิ้มฟันยันเรือรบ หรือเรื่อง คอขาด บาดตายแค่ไหน ถ้าเป็นตอนเด็กก็ขอให้เราช่วยโกหกพ่อแม่ว่า เมื่อวานอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ได้แอบหนีไปเที่ยวที่ไหน แต่ที่แท้ คุณเธอไป ตะแลด***แต๋กับแฟนถึงไหนก็ไม่รู้ โตขึ้นมา หน่อยก็ให้ ช่วยหลอกแฟนว่า เมื่อคืนหรือเมื่อช่วงเสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา เธอเฮฮา อยู่กับเรา แต่ความจริงแอบ หนีไปเที่ยวกับชู้ (หรือแฟนหนุ่มอีกคน) นอกจากให้ช่วยโกหก เป็นตุเป็นตะ แล้ว ยังให้เราอยู่เฉยๆแต่ ช่วยอือ ออเป็น แบ็คให้เวลามีใคร มาถาม มาเช็ค พฤติกรรมของเธอ เฮ้อ…เหนื่อย แทนแม่ปลาไหลจริงจริ๊ง
4. พยายามเปลี่ยนแปลงเราอยู่ตลอดเวลา นี่คือเพื่อนที่ไม่รักเราในแบบที่เราเป็นอยู่ แสดงว่าเธอ ไม่ชอบ บางอย่าง หรือทุกอย่างในตัวเรา และยังทำใจยอมรับไม่ได้ ถึงขนาดพยายาม เปลี่ยน แปลง เราให้เป็นคนแบบที่เธอชอบ พยายามเปลี่ยนแปลง เราตั้งแต่หัว จรดเท้า รวมทั้งนิสัยใจคอรสนิยมและการใช้ชีวิต ถ้าทำใจรับ ไม่ได้ขนาดนี้ จะคบกันต่อไปทำไม จับเข่าคุยให้รู้เรื่องดีกว่า ถ้าเพื่อนยังรับไม่ได้ ก็เลิกคบกันเถอะ เพื่อความสบายใจ ของทั้งสองฝ่าย
5. ชอบขอร้องให้เราทำในสิ่งที่เธอเองก็ทำได้ สงสัยเป็นพวกองค์หญิงกลับชาติมาเกิด ถึงต้องมีบ่าวข้าทาสบริวารตามล้าง ตามเช็ด หรือคอยทำอะไรให้ตลอด ของแบบนี้สังเกตง่ายๆ คุณเธอจะชอบ นั่งเอ้อระเหยวางท่าเป็นคุณนาย คอยชี้นิ้วให้เราทำนู่นทำนี่ให้ แม้แต่จะหยิบ น้ำกินเองยังไม่ยอมกระดิก เรียกว่าขยับแต่ปาก กระดิกแต่นิ้ว… เพื่อนหนอเพื่อน
6. เป็นเพื่อนกับเราก็เฉพาะเวลาที่เรามีประโยชน์เท่านั้น เจ็บจริงๆเพื่อนเอ๋ย ทำไมนะเหรอ ก็คุณเธอเป็น เพื่อนกับเราเฉพาะเวลา ที่เรามีรถนะสิ เธอจะรีบแถเข้ามาทันที หลังจากนั้น ก็จะติดเราหนึบ เป็นตุ๊กแก เกาะเพดาน ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทำท่าไม่ แยแสเราเท่าไร หรือถ้าพรุ่งนี้มีสอบ เธอก็จะมาทำก้อร่อก้อติด หวังว่าจะได้ติวข้อสอบ หรือยืมเล็คเชอร์ เก็งข้อสอบ ระดับ สมองเพชรของเราไปดู
ข้อนี้สังเกตง่ายๆคือ หากวันใดที่เพื่อนหันมา ทำดีกับเราจนผิดสังเกต เอาอกเอาใจเหลือเกิน ให้รีบดูอย่างถี่ถ้วนเลยว่า ในขณะนั้นหรือช่วง เวลานั้นเรา กำลัง ทำอะไร ที่เพื่อนมุ่งหวังประโยชน์อยู่หรือเปล่า
1. เพื่อนชอบขอร้องให้เราทำเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี รู้สึกผิด หรือรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ ข้อนี้ละตัวดีนัก คิดดูสิ เดี๋ยวก็ขอให้เรามาทำไอ้นู้นให้ทำไอ้นี่ให้ ซึ่งล้วน แล้วแต่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่อยากทำ บางเรื่องอาจไม่ใช่ เรื่องถูกหรือ เรื่องผิด แต่เป็นเรื่องที่เราไม่ช้อบไม่ชอบ เช่น รู้ทั้งรู้ว่า เราไม่ชอบกิน ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ ไม่ชอบกินข้าวร้านนั้น หรือไม่ชอบหน้า เพื่อนคนนี้ ก็ยังบังคับให้เราไปกิน หรือชวนเราไป นั่งคุยกับเพื่อน ที่เราไม่ชอบหน้า โดยไม่สนใจความ รู้สึก ของเรา ไม่สนว่า เราจะอึดอัด หรือกร เดือกข้าวไม่ลง เพราะคุณเธอชอบ ของเธอ อย่างนั้นนี่ ใครจะทำไม
2. ชอบโม้แต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น วู้ยเหลือจะทนจริงๆค่ะท่านผู้ชม วันๆเอาแต่นั่งโม้นั่งสาธยาย แต่เรื่อง ของตัวเอง เช่น ฉันเพิ่งซื้อกระเป๋าลูกลิงใบละห้าพัน แบบใหม่ล่าสุดเลย นะเธอ หรือ เมื่อวานนี้มีลูกอธิบดีมาจีบ แต่ฉันไม่สนหรอกย่ะ ขนาดวันนี้ หนุ่มหล่อ ลูกนายก (สมาคมอะไรสักอย่าง) มาชวนไปทานข้าว ฉันยัง เซย์โน เลยนะ นอกจากเอาแต่โม้เรื่องตัวเองแล้ว ถ้าเราขืนพูดเรื่อง ของเราออกไปบ้าง คุณเธอนอกจากจะไม่ฟัง ยังเกทับบลั๊ฟแหลกอีกต่างหาก ถ้าเราเล่า เรื่อง ความเริ่ดของเราออกไป เธอจะสาธยายความเริ่ดกว่า ออกมาอีก สิบเท่า หรือถ้าเรารำพันถึงความซวย เธอก็จะมีเรื่องราวความแสน ซวยของเธอ มาทับถม เรียกว่าเรื่องเราจืดไปเลยละ
3. ชอบขอให้เราช่วยโกหกให้ อันนี้รับรองว่าโดนมาแล้วทุกคน ไม่ว่าเรื่องไม้จิ้มฟันยันเรือรบ หรือเรื่อง คอขาด บาดตายแค่ไหน ถ้าเป็นตอนเด็กก็ขอให้เราช่วยโกหกพ่อแม่ว่า เมื่อวานอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ได้แอบหนีไปเที่ยวที่ไหน แต่ที่แท้ คุณเธอไป ตะแลด***แต๋กับแฟนถึงไหนก็ไม่รู้ โตขึ้นมา หน่อยก็ให้ ช่วยหลอกแฟนว่า เมื่อคืนหรือเมื่อช่วงเสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา เธอเฮฮา อยู่กับเรา แต่ความจริงแอบ หนีไปเที่ยวกับชู้ (หรือแฟนหนุ่มอีกคน) นอกจากให้ช่วยโกหก เป็นตุเป็นตะ แล้ว ยังให้เราอยู่เฉยๆแต่ ช่วยอือ ออเป็น แบ็คให้เวลามีใคร มาถาม มาเช็ค พฤติกรรมของเธอ เฮ้อ…เหนื่อย แทนแม่ปลาไหลจริงจริ๊ง
4. พยายามเปลี่ยนแปลงเราอยู่ตลอดเวลา นี่คือเพื่อนที่ไม่รักเราในแบบที่เราเป็นอยู่ แสดงว่าเธอ ไม่ชอบ บางอย่าง หรือทุกอย่างในตัวเรา และยังทำใจยอมรับไม่ได้ ถึงขนาดพยายาม เปลี่ยน แปลง เราให้เป็นคนแบบที่เธอชอบ พยายามเปลี่ยนแปลง เราตั้งแต่หัว จรดเท้า รวมทั้งนิสัยใจคอรสนิยมและการใช้ชีวิต ถ้าทำใจรับ ไม่ได้ขนาดนี้ จะคบกันต่อไปทำไม จับเข่าคุยให้รู้เรื่องดีกว่า ถ้าเพื่อนยังรับไม่ได้ ก็เลิกคบกันเถอะ เพื่อความสบายใจ ของทั้งสองฝ่าย
5. ชอบขอร้องให้เราทำในสิ่งที่เธอเองก็ทำได้ สงสัยเป็นพวกองค์หญิงกลับชาติมาเกิด ถึงต้องมีบ่าวข้าทาสบริวารตามล้าง ตามเช็ด หรือคอยทำอะไรให้ตลอด ของแบบนี้สังเกตง่ายๆ คุณเธอจะชอบ นั่งเอ้อระเหยวางท่าเป็นคุณนาย คอยชี้นิ้วให้เราทำนู่นทำนี่ให้ แม้แต่จะหยิบ น้ำกินเองยังไม่ยอมกระดิก เรียกว่าขยับแต่ปาก กระดิกแต่นิ้ว… เพื่อนหนอเพื่อน
6. เป็นเพื่อนกับเราก็เฉพาะเวลาที่เรามีประโยชน์เท่านั้น เจ็บจริงๆเพื่อนเอ๋ย ทำไมนะเหรอ ก็คุณเธอเป็น เพื่อนกับเราเฉพาะเวลา ที่เรามีรถนะสิ เธอจะรีบแถเข้ามาทันที หลังจากนั้น ก็จะติดเราหนึบ เป็นตุ๊กแก เกาะเพดาน ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทำท่าไม่ แยแสเราเท่าไร หรือถ้าพรุ่งนี้มีสอบ เธอก็จะมาทำก้อร่อก้อติด หวังว่าจะได้ติวข้อสอบ หรือยืมเล็คเชอร์ เก็งข้อสอบ ระดับ สมองเพชรของเราไปดู
ข้อนี้สังเกตง่ายๆคือ หากวันใดที่เพื่อนหันมา ทำดีกับเราจนผิดสังเกต เอาอกเอาใจเหลือเกิน ให้รีบดูอย่างถี่ถ้วนเลยว่า ในขณะนั้นหรือช่วง เวลานั้นเรา กำลัง ทำอะไร ที่เพื่อนมุ่งหวังประโยชน์อยู่หรือเปล่า
วิธีซ่อมก๊อกน้ำรั่ว
ทราบหรือไม่ว่าปัญหาก๊อกน้ำรั่วสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง วันนี้เรามีวิธีซ่อมก๊อกน้ำมาฝาก...
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า ก๊อกน้ำรั่วมาจากสาเหตุอะไร ถ้ามาจากหัวก๊อกน้ำเสียหรือเป็นเพราะน้ำรั่วตรงข้อต่อ ระหว่างหัวก๊อกกับท่อน้ำประปา
กรณีหัวก๊อกน้ำเสีย ให้ซื้อหัวก๊อกใหม่มาเตรียมไว้ จากนั้นปิดวาล์วน้ำหน้าบ้าน เพื่อหยุดการใช้น้ำชั่วคราว หมุนก๊อกที่เสียออกด้วยคีมหรือประแจเลื่อน แล้วนำหัวก๊อกใหม่มาพันเทปบริเวณเกลียว โดยยืดเทปให้ตึง พันประมาณ 3-4 รอบ หรือว่าเมื่อหมุนหัวก๊อกเข้าไปแล้วจะแน่นพอดี
กรณีน้ำรั่วระหว่างหัวก๊อกกับท่อประปา ถ้าสาเหตุไม่ได้มาจาก ท่อประปาแตกบริเวณนั้น ก็มักเป็นเพราะเทปพันเกลียวเสื่อมสภาพ ก็เพียงแต่ถอดหัวก๊อก เอาเทปเก่าออกให้หมด แล้วพันเทปใหม่เข้าไปแทนที่ หมุนหัวก๊อกกลับเข้าไปตามเดิม เมื่อหมุนหัวก๊อกจนแน่นดีแล้ว เปิดวาล์วใช้น้ำตามปกติ
ถ้าครั้งหน้าก๊อกน้ำรั่ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปซ่อมกันดูได้.
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า ก๊อกน้ำรั่วมาจากสาเหตุอะไร ถ้ามาจากหัวก๊อกน้ำเสียหรือเป็นเพราะน้ำรั่วตรงข้อต่อ ระหว่างหัวก๊อกกับท่อน้ำประปา
กรณีหัวก๊อกน้ำเสีย ให้ซื้อหัวก๊อกใหม่มาเตรียมไว้ จากนั้นปิดวาล์วน้ำหน้าบ้าน เพื่อหยุดการใช้น้ำชั่วคราว หมุนก๊อกที่เสียออกด้วยคีมหรือประแจเลื่อน แล้วนำหัวก๊อกใหม่มาพันเทปบริเวณเกลียว โดยยืดเทปให้ตึง พันประมาณ 3-4 รอบ หรือว่าเมื่อหมุนหัวก๊อกเข้าไปแล้วจะแน่นพอดี
กรณีน้ำรั่วระหว่างหัวก๊อกกับท่อประปา ถ้าสาเหตุไม่ได้มาจาก ท่อประปาแตกบริเวณนั้น ก็มักเป็นเพราะเทปพันเกลียวเสื่อมสภาพ ก็เพียงแต่ถอดหัวก๊อก เอาเทปเก่าออกให้หมด แล้วพันเทปใหม่เข้าไปแทนที่ หมุนหัวก๊อกกลับเข้าไปตามเดิม เมื่อหมุนหัวก๊อกจนแน่นดีแล้ว เปิดวาล์วใช้น้ำตามปกติ
ถ้าครั้งหน้าก๊อกน้ำรั่ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปซ่อมกันดูได้.
การเลือกรองเท้ากีฬาให้เหมาะสม
ใครที่กำลังมองหารองเท้ากีฬามาใส่ออกกำลังกาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการเลือกรองเท้ากีฬาให้เหมาะสมมาฝาก...
- รองเท้าวิ่งรองเท้าวิ่งจะต้องมีแผ่นรองเท้าที่กันกระแทกและจะต้องมีหุ้มส้นที่พอเหมาะ รองเท้าจะป้องกันเอ็นอักเสบ ปวดส้นเท้า และกระดูกหัก
- รองเท้าสำหรับเดินควรเป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและควรมีแผ่นกันกระแทกที่ส้นเท้าและกลางบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดบริเวณส้นเท้าและฝ่าเท้า พื้นรองเท้าจะออกป้านๆเพื่อให้การถ่ายน้ำหนักจากส้นเท้าไปยังนิ้วเท้าและลดแรงที่ฝ่าเท้า รองเท้าสำหรับเดินจะมีส่วนหน้าซึ่งค่อนข้างแข็งกว่ารองเท้าวิ่ง
- รองเท้าสำหรับเต้นแอโรบิครองเท้าต้องมีน้ำหนักเบาเพื่อมิให้เกิดอาการเมื่อยเวลาออกกำลังกาย ตรงฝ่าเท้าต้องมีแผ่นกันกระแทกที่นุ่มเพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่มีการกระแทกมากที่สุด
- รองเท้าสำหรับการเล่นเทนนิสต้องเป็นรองเท้าที่ป้องกันข้อเท้าขณะที่มีการสไลต์ออกข้าง พื้นรองเท้าไม่จำเป็นต้องมีแผ่นกันกระแทกที่หนาเกินไป
- รองเท้าสำหรับการเล่นเบสบอล พื้นรองเท้าต้องหนาและแข็งเพื่อการทรงตัวที่ดี และต้องเป็นรองเท้าหุ้มข้อเพื่อป้องกันข้อพลิก หากใส่รองเท้าแล้วมีปัญหาปวดที่ส้นเท้า ฝ่าเท้าอาจจะต้องหาอุปกรณ์เพิ่มเช่น แผ่นรองส้นเท้า แผ่นรองฝ่าเท้า
รู้อย่างนี้แล้ว ควรเลือกซื้อรองเท้ากีฬาให้เหมาะกับประเภทกีฬาดีกว่า เพื่อความปลอดภัย.
- รองเท้าวิ่งรองเท้าวิ่งจะต้องมีแผ่นรองเท้าที่กันกระแทกและจะต้องมีหุ้มส้นที่พอเหมาะ รองเท้าจะป้องกันเอ็นอักเสบ ปวดส้นเท้า และกระดูกหัก
- รองเท้าสำหรับเดินควรเป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและควรมีแผ่นกันกระแทกที่ส้นเท้าและกลางบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดบริเวณส้นเท้าและฝ่าเท้า พื้นรองเท้าจะออกป้านๆเพื่อให้การถ่ายน้ำหนักจากส้นเท้าไปยังนิ้วเท้าและลดแรงที่ฝ่าเท้า รองเท้าสำหรับเดินจะมีส่วนหน้าซึ่งค่อนข้างแข็งกว่ารองเท้าวิ่ง
- รองเท้าสำหรับเต้นแอโรบิครองเท้าต้องมีน้ำหนักเบาเพื่อมิให้เกิดอาการเมื่อยเวลาออกกำลังกาย ตรงฝ่าเท้าต้องมีแผ่นกันกระแทกที่นุ่มเพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่มีการกระแทกมากที่สุด
- รองเท้าสำหรับการเล่นเทนนิสต้องเป็นรองเท้าที่ป้องกันข้อเท้าขณะที่มีการสไลต์ออกข้าง พื้นรองเท้าไม่จำเป็นต้องมีแผ่นกันกระแทกที่หนาเกินไป
- รองเท้าสำหรับการเล่นเบสบอล พื้นรองเท้าต้องหนาและแข็งเพื่อการทรงตัวที่ดี และต้องเป็นรองเท้าหุ้มข้อเพื่อป้องกันข้อพลิก หากใส่รองเท้าแล้วมีปัญหาปวดที่ส้นเท้า ฝ่าเท้าอาจจะต้องหาอุปกรณ์เพิ่มเช่น แผ่นรองส้นเท้า แผ่นรองฝ่าเท้า
รู้อย่างนี้แล้ว ควรเลือกซื้อรองเท้ากีฬาให้เหมาะกับประเภทกีฬาดีกว่า เพื่อความปลอดภัย.
4ที่ วัยรุ่นชอบนั่งหลังเลิกเรียน
หลังจากเรียนมาทั้งวัน น้อง ๆ ม.ปลาย นิยมไปผ่อนคลายหลังเลิกเรียนกันที่ไหน Edutainment Zone มี 4 อันดับสถานที่ฮิตเหล่านั้นมาอัพเดท!
อันดับ 1 เดินห้างฯ
ว่ากันว่า การเดินดูของสวย ๆ งาม ๆ ช่วยคลายเครียดได้ดีวิธีหนึ่ง เพราะความเพลินทำให้ใจจดจ่อกับสิ่งตรงหน้า หยุดใช้ความคิดกับเรื่องอื่นชั่วขณะ (น้อง ๆ หลายคนบอกว่า ไม่ซื้อของไม่เป็นไร ขอให้ได้เดินก็ยังดี!)
น้องน้ำหอม - ธนัญญา มังคลานนท์ สาวน้อยหน้าหวาน จาก โรงเรียนราชนันทาจารย์ สามเสนวิทยาลัย 2 บอกว่า ถ้าเดินห้างจะชอบเข้าร้านเครื่องเขียน หาซื้ออุปกรณ์การเรียน รวมทั้งหนังสือประกอบการเรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะเกี่ยวข้องกับสายที่เรียนคือ ศิลป์ - ภาษา นอกจากนี้ ยังมีของให้เลือกหลายแบบ หลายราคา จึงค่อนข้างจะสะดวกกว่าซื้อที่อื่น
อันดับ 2 หาของอร่อยกิน
เพราะใช้ความคิดมาทั้งวัน ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่ม หลังเลิกเรียนจึงต้องแวะ! อย่างสาว ๆ จะนิยมเข้าร้านทานอาหารประเภท ‘ยำ’ หรือไม่ก็ไอศกรีม ส่วนหนุ่ม ๆ ต้องร้านข้าว เจ้าอร่อย ก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด รวมไปถึงอาหารฟาสฟู้ดยอดนิยมในห้าง
อันดับ 3 แวะร้านหนังสือ
ดูหนังสือเล่มโปรดว่ามาหรือยัง? ทั้งหนังสือประกอบการเรียนวิชาต่าง ๆ หนังสือฝึกภาษา หนังสือไลฟ์สไตล์วัยรุ่น หนังสือรวมเรื่องราวของดาราทั้งไทย - เทศ - เกาหลี - ญี่ปุ่น หนังสือการ์ตูน รวมถึงนวนิยายแนววัยรุ่นใส ๆ ที่กำลังโดนใจ ยิ่งร้านที่มีมุมหนังสือให้นั่งอ่าน มีขนม เครื่องดื่มบริการด้วยแล้ว หลายคนบอกว่า นั่งกันจนเพลินเลยทีเดียว
อันดับ 4 ร้องคาราโอเกะ
โชว์พลังเสียงทั้งเพลงช้า เพลงเร็ว ตามสไตล์ น้อง ๆ บอกว่า ได้ร้องเพลงแล้วมีความสุข นิยมยกแก๊งไปร้องและแดนส์กันช่วงวันศุกร์สุดสัปดาห์ เพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้เวลา ดังนั้น วันศุกร์นี่ล่ะ เหมาะ!
อย่างไรก็ตาม! อย่าลืมโทรบอกคุณพ่อคุณแม่ เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ต้องห่วง และอย่าลืมจัดสรรเวลาทบทวนหนังสือ เพื่อการเรียนที่มีประสิทธิภาพกันนะคะ.
อันดับ 1 เดินห้างฯ
ว่ากันว่า การเดินดูของสวย ๆ งาม ๆ ช่วยคลายเครียดได้ดีวิธีหนึ่ง เพราะความเพลินทำให้ใจจดจ่อกับสิ่งตรงหน้า หยุดใช้ความคิดกับเรื่องอื่นชั่วขณะ (น้อง ๆ หลายคนบอกว่า ไม่ซื้อของไม่เป็นไร ขอให้ได้เดินก็ยังดี!)
น้องน้ำหอม - ธนัญญา มังคลานนท์ สาวน้อยหน้าหวาน จาก โรงเรียนราชนันทาจารย์ สามเสนวิทยาลัย 2 บอกว่า ถ้าเดินห้างจะชอบเข้าร้านเครื่องเขียน หาซื้ออุปกรณ์การเรียน รวมทั้งหนังสือประกอบการเรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะเกี่ยวข้องกับสายที่เรียนคือ ศิลป์ - ภาษา นอกจากนี้ ยังมีของให้เลือกหลายแบบ หลายราคา จึงค่อนข้างจะสะดวกกว่าซื้อที่อื่น
อันดับ 2 หาของอร่อยกิน
เพราะใช้ความคิดมาทั้งวัน ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่ม หลังเลิกเรียนจึงต้องแวะ! อย่างสาว ๆ จะนิยมเข้าร้านทานอาหารประเภท ‘ยำ’ หรือไม่ก็ไอศกรีม ส่วนหนุ่ม ๆ ต้องร้านข้าว เจ้าอร่อย ก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด รวมไปถึงอาหารฟาสฟู้ดยอดนิยมในห้าง
อันดับ 3 แวะร้านหนังสือ
ดูหนังสือเล่มโปรดว่ามาหรือยัง? ทั้งหนังสือประกอบการเรียนวิชาต่าง ๆ หนังสือฝึกภาษา หนังสือไลฟ์สไตล์วัยรุ่น หนังสือรวมเรื่องราวของดาราทั้งไทย - เทศ - เกาหลี - ญี่ปุ่น หนังสือการ์ตูน รวมถึงนวนิยายแนววัยรุ่นใส ๆ ที่กำลังโดนใจ ยิ่งร้านที่มีมุมหนังสือให้นั่งอ่าน มีขนม เครื่องดื่มบริการด้วยแล้ว หลายคนบอกว่า นั่งกันจนเพลินเลยทีเดียว
อันดับ 4 ร้องคาราโอเกะ
โชว์พลังเสียงทั้งเพลงช้า เพลงเร็ว ตามสไตล์ น้อง ๆ บอกว่า ได้ร้องเพลงแล้วมีความสุข นิยมยกแก๊งไปร้องและแดนส์กันช่วงวันศุกร์สุดสัปดาห์ เพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้เวลา ดังนั้น วันศุกร์นี่ล่ะ เหมาะ!
อย่างไรก็ตาม! อย่าลืมโทรบอกคุณพ่อคุณแม่ เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ต้องห่วง และอย่าลืมจัดสรรเวลาทบทวนหนังสือ เพื่อการเรียนที่มีประสิทธิภาพกันนะคะ.
เคล็ดลับๆ ก่อนอาบน้ำ
เชื่อว่าเวลาอาบน้ำน่าจะเป็นเวลาที่โปรดปรานสำหรับ หลายต่อหลายคน ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ปรนเปรอผิวนั้นจึงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ หลังชำระล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วต้องไม่ทำให้ผิวแห้งตึง ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น
6 เคล็บลับก่อนอาบน้ำ
1.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด หรืออาบน้ำอุ่นนานๆ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ หลังอาบน้ำให้กระชับผิวด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อกระชับรูขุมขน
2.การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้คุณสาวๆ หลับสบายมากขึ้น
3.ไม่ควรอาบน้ำหลังรับประทานอาหารเลยทันทีเพราะจะทำให้ไม่สบายท้อง
4.ก่อนอาบน้ำลองจุดเทียนหอมกลิ่นโปรด และอาบน้ำอย่างละเมียดละไม แช่น้ำอุ่นสัก 15 นาที จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดประจำวันได้
5.ถ้าอาบน้ำด้วยฝักบัว ควรอาบน้ำเย็นรดตัวเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพราะระบบหมุนเวียนโลหิต จะถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว
6.หลังเช็ดตัวควรทาโลชั่นทันที เพื่อเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวเอาไว้
เพียง 6 เทคนิคง่ายๆนี้ก็สามารถช่วยให้คุณสดชื่น คลายเครียด และแลดูอ่อนกว่าวัยได้แล้ว
6 เคล็บลับก่อนอาบน้ำ
1.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด หรืออาบน้ำอุ่นนานๆ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ หลังอาบน้ำให้กระชับผิวด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อกระชับรูขุมขน
2.การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้คุณสาวๆ หลับสบายมากขึ้น
3.ไม่ควรอาบน้ำหลังรับประทานอาหารเลยทันทีเพราะจะทำให้ไม่สบายท้อง
4.ก่อนอาบน้ำลองจุดเทียนหอมกลิ่นโปรด และอาบน้ำอย่างละเมียดละไม แช่น้ำอุ่นสัก 15 นาที จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดประจำวันได้
5.ถ้าอาบน้ำด้วยฝักบัว ควรอาบน้ำเย็นรดตัวเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพราะระบบหมุนเวียนโลหิต จะถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว
6.หลังเช็ดตัวควรทาโลชั่นทันที เพื่อเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวเอาไว้
เพียง 6 เทคนิคง่ายๆนี้ก็สามารถช่วยให้คุณสดชื่น คลายเครียด และแลดูอ่อนกว่าวัยได้แล้ว
20 มิ.ย. 2552
ตรวจภายในก่อนสาย ไม่ใช่เรื่องต้องอาย
เมื่อเอ่ยถึง “การตรวจภายใน” มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยละเลย บ่ายเบี่ยง หรืออายที่จะตรวจ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การตรวจภายใน สามารถบอกได้ว่าบริเวณอวัยวะเพศของคุณมีอะไรผิดปกติ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภัยร้ายของผู้หญิง … มะเร็งปากมดลูก
ซักประวัติ
ก่อนที่หมอจะบอกได้ว่า โรค หรือปัญหาที่อวัยวะเพศของคุณเป็นอะไร จำเป็นจะต้องซักถามประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นเสียก่อน จึงจะบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร บางรายซักก็แล้วตรวจก็แล้ว ยังบอกไม่ได้ ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจถึงจะได้คำตอบก็มี
การซักประวัติ ส่วนมากหมอจะถามว่าเป็นอะไรมา เป็นมาอย่างไร ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว มีลูกกี่คน คุมกำเนิดอย่างไร บางรายอาจต้องถามละเอียดมากกว่านี้จนคนไข้บางคนคิดว่าหมอจะมาล้วงความลับก็ มี เช่น ถามว่าเวลามีเพศสัมพันธ์แล้วเจ็บไหม มีเพศสัมพันธ์บ่อยแค่ไหน การที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพื่อจะได้ข้อมูลมากพอที่จะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้ถูก ต้องมากขึ้น
การตรวจภายใน
ภายหลังการซักประวัติคนไข้ สิ่งจำเป็นที่หมอจะต้องทำต่อ คือ “ตรวจภายใน” คุณผู้หญิงบางคน พอหมอบอกว่า “ต้องตรวจภายในครับ” ก็อิดออดต่อรองขอตรวจด้วยวิธีอื่นแทนได้ไหม เช่น ตรวจด้วยเอกซเรย์ หรือ อัลตราซาวนด์แทนไม่ได้เหรอ จากนั้นจะมีอาการต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่ กลัวจนตัวสั่น เสียงสั่น บางคนเหงื่อแตกเลยก็มี หรือไม่ก็อิดออดขอกลับบ้านไปทำใจก่อน อาจเพราะอาย ตั้งแต่เป็นสาวมาจนวัยกลางคน ยังไม่เคยให้ใครมากล้ำกลายอวัยวะเพศเลย ซ้ำร้ายบางคนสัญญากับตัวเองเลยว่า “ยังไงเสียก็จะไม่ตรวจภายใน ตายเป็นตาย” แต่เอาเข้าจริงๆ ส่วนมากไม่ค่อยยอมตายหรอก แต่กว่าจะตรวจได้ก็ปล่อยให้โรคเป็นไปมากจนเจ็บปวดทนไม่ไหวจึงยอมตรวจ
จากการสังเกตของหมอพบว่า เดี๋ยวนี้แทนที่สาวๆ จะอาย กลับเป็นคนที่ค่อนข้างสูงอายุที่อายมาก และอิดออดไม่ยอมตรวจ ยิ่งเป็นคุณย่าคุณยายยิ่งอายหนักเข้าไปอีก ส่วนสาวๆ พอบอกว่าต้องตรวจภายใน หลายคนรีบขึ้นเตียงตรวจเลยก็มี บางคนหมอซักประวัติดูแล้ว คิดว่ายังไม่น่าจะต้องตรวจหรอก ก็กลับเซ้าซี้ให้หมอตรวจก็มีเหมือนกัน
ตรวจภายในบอกอะไร
โรค ของอวัยวะเพศหญิง มีลักษณะของแต่ละโรคที่ไม่เหมือนกัน โรคบางโรค เช่น เนื้องอกมดลูกหรือเนื้องอกรังไข่ เวลาใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ตรวจ อาจสามารถมองเห็นเป็นภาพก้อนเนื้องอกได้ แต่บอกไม่ได้ว่าก้อนดังกล่าวกดเจ็บหรือไม่ ก้อนมีผิวเรียบหรือไม่ ขยับหรือเคลื่อนไหวได้หรือไม่ เป็นเนื้องอกชนิดธรรมดาหรือร้ายแรง จะรู้ได้ก็ต้องใช้การคลำด้วยมือเท่านั้น โดยการ “ตรวจภายใน” นั่นเอง ซึ่งผลที่ได้จากการตรวจภายในร่วมกับการตรวจด้วยวิธีอื่น จะทำให้คุณหมอสามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ตรวจภายในทำอย่างไร
เมื่อจะต้องรับการตรวจภายใน คุณผู้หญิงจะต้องขึ้นนอนบนเตียงที่ออกแบบมาเพื่อตรวจภายในโดยเฉพาะ โดยจะมีที่รองขาหรือที่เรียก ”ขาหยั่ง” เพื่อแยกขาให้ออกจากกัน ทำให้เห็นอวัยวะสืบพันธุ์ได้ชัดเจน นึกภาพตามไปเรื่อยๆ นะครับ
1. หมอจะใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอด แล้วใช้ผ้าสะอาดคลุมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง และหน้าท้องส่วนล่างเหลือเปิดไว้เฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
2.เริ่มจากการตรวจดูบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกว่ามีอะไรผิดปกติ หรือไม่ และอาจต้องใช้มือคลำว่ามีก้อนเนื้องอกบริเวณปากช่องคลอดด้วยหรือไม่
3.จากนั้นใช้เครื่องมือถ่างขยายปากช่องคลอด ซึ่งทำด้วยเหล็กใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อตรวจดูภายในว่า มีแผล มูก เลือดที่ปากมดลูกหรือช่องคลอดหรือไม่ รวมทั้งจะได้เช็คมะเร็งปากมดลูกไปด้วย
4.และปิดท้ายด้วยการสอดนิ้วมือของมือข้างหนึ่งเข้าไปในช่องคลอด และใช้นิ้วของมืออีกข้างหนึ่งกดที่หน้าท้องโดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย แล้วใช้มือทั้ง 2 ข้างร่วมกันในการคลำอวัยวะในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็นมดลูก หรือรังไข่ว่าโตผิดปกติไหม กดเจ็บไหม มีถุงน้ำหรือเนื้องอกหรือเปล่า
ร่วมมือดี ตรวจได้ราบรื่น
การตรวจภายในจะเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าคุณผู้หญิงให้ความร่วมมือกับหมอ ซึ่งก็เพียงแค่นอนแยกขา แล้วปล่อยตัวตามสบาย ไม่เกร็งหน้าท้อง ทั้งนี้เพื่อให้หมอตรวจดูปัญหาในช่องคลอดได้ง่าย เห็นชัดเจน เพราะถ้าเกร็งแล้ว จะคลำอะไรไม่ได้เลย
คุณผู้หญิงหลายคน เมื่อหมออธิบายการตรวจภายในจนเข้าใจดีแล้ว แต่พอถึงเวลาตรวจเข้าจริง ก็อดไม่ได้ที่จะมีสารพัดอาการ บางคนเอามือมาคอยปิดเวลาหมอจะตรวจ พอหมอหยุดตรวจก็หยุดปิด พอจะตรวจใหม่ก็ปิดใหม่ ทำเหมือนเล่นชักเย่อ บางคนก็นอนตัวแข็งเกร็งเหมือนหุ่นยนต์ บางคนก็บิดก้นหนีเวลาหมอจะตรวจ เหมือนเล่นเกมตำรวจจับขโมย บางคนก็ส่ายก้นไปมา หรือเลื่อนก้นขึ้นลงเหมือนนั่งม้าโยก ซึ่งทำให้การตรวจภายในยุ่งยากและอาจทำให้ตรวจผิดหรือตรวจไม่ได้เลย ต้องบอกตรงๆ ว่า เสียเวลาทั้งคนไข้และหมอ
ทั้งนี้ การตรวจภายใน หากพบความผิดปกติแต่เนิ่นๆ และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ก็สามารถช่วยได้
ซักประวัติ
ก่อนที่หมอจะบอกได้ว่า โรค หรือปัญหาที่อวัยวะเพศของคุณเป็นอะไร จำเป็นจะต้องซักถามประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้นเสียก่อน จึงจะบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร บางรายซักก็แล้วตรวจก็แล้ว ยังบอกไม่ได้ ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจถึงจะได้คำตอบก็มี
การซักประวัติ ส่วนมากหมอจะถามว่าเป็นอะไรมา เป็นมาอย่างไร ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว มีลูกกี่คน คุมกำเนิดอย่างไร บางรายอาจต้องถามละเอียดมากกว่านี้จนคนไข้บางคนคิดว่าหมอจะมาล้วงความลับก็ มี เช่น ถามว่าเวลามีเพศสัมพันธ์แล้วเจ็บไหม มีเพศสัมพันธ์บ่อยแค่ไหน การที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพื่อจะได้ข้อมูลมากพอที่จะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้ถูก ต้องมากขึ้น
การตรวจภายใน
ภายหลังการซักประวัติคนไข้ สิ่งจำเป็นที่หมอจะต้องทำต่อ คือ “ตรวจภายใน” คุณผู้หญิงบางคน พอหมอบอกว่า “ต้องตรวจภายในครับ” ก็อิดออดต่อรองขอตรวจด้วยวิธีอื่นแทนได้ไหม เช่น ตรวจด้วยเอกซเรย์ หรือ อัลตราซาวนด์แทนไม่ได้เหรอ จากนั้นจะมีอาการต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่ กลัวจนตัวสั่น เสียงสั่น บางคนเหงื่อแตกเลยก็มี หรือไม่ก็อิดออดขอกลับบ้านไปทำใจก่อน อาจเพราะอาย ตั้งแต่เป็นสาวมาจนวัยกลางคน ยังไม่เคยให้ใครมากล้ำกลายอวัยวะเพศเลย ซ้ำร้ายบางคนสัญญากับตัวเองเลยว่า “ยังไงเสียก็จะไม่ตรวจภายใน ตายเป็นตาย” แต่เอาเข้าจริงๆ ส่วนมากไม่ค่อยยอมตายหรอก แต่กว่าจะตรวจได้ก็ปล่อยให้โรคเป็นไปมากจนเจ็บปวดทนไม่ไหวจึงยอมตรวจ
จากการสังเกตของหมอพบว่า เดี๋ยวนี้แทนที่สาวๆ จะอาย กลับเป็นคนที่ค่อนข้างสูงอายุที่อายมาก และอิดออดไม่ยอมตรวจ ยิ่งเป็นคุณย่าคุณยายยิ่งอายหนักเข้าไปอีก ส่วนสาวๆ พอบอกว่าต้องตรวจภายใน หลายคนรีบขึ้นเตียงตรวจเลยก็มี บางคนหมอซักประวัติดูแล้ว คิดว่ายังไม่น่าจะต้องตรวจหรอก ก็กลับเซ้าซี้ให้หมอตรวจก็มีเหมือนกัน
ตรวจภายในบอกอะไร
โรค ของอวัยวะเพศหญิง มีลักษณะของแต่ละโรคที่ไม่เหมือนกัน โรคบางโรค เช่น เนื้องอกมดลูกหรือเนื้องอกรังไข่ เวลาใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ตรวจ อาจสามารถมองเห็นเป็นภาพก้อนเนื้องอกได้ แต่บอกไม่ได้ว่าก้อนดังกล่าวกดเจ็บหรือไม่ ก้อนมีผิวเรียบหรือไม่ ขยับหรือเคลื่อนไหวได้หรือไม่ เป็นเนื้องอกชนิดธรรมดาหรือร้ายแรง จะรู้ได้ก็ต้องใช้การคลำด้วยมือเท่านั้น โดยการ “ตรวจภายใน” นั่นเอง ซึ่งผลที่ได้จากการตรวจภายในร่วมกับการตรวจด้วยวิธีอื่น จะทำให้คุณหมอสามารถวินิจฉัยโรคได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ตรวจภายในทำอย่างไร
เมื่อจะต้องรับการตรวจภายใน คุณผู้หญิงจะต้องขึ้นนอนบนเตียงที่ออกแบบมาเพื่อตรวจภายในโดยเฉพาะ โดยจะมีที่รองขาหรือที่เรียก ”ขาหยั่ง” เพื่อแยกขาให้ออกจากกัน ทำให้เห็นอวัยวะสืบพันธุ์ได้ชัดเจน นึกภาพตามไปเรื่อยๆ นะครับ
1. หมอจะใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอด แล้วใช้ผ้าสะอาดคลุมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง และหน้าท้องส่วนล่างเหลือเปิดไว้เฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
2.เริ่มจากการตรวจดูบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกว่ามีอะไรผิดปกติ หรือไม่ และอาจต้องใช้มือคลำว่ามีก้อนเนื้องอกบริเวณปากช่องคลอดด้วยหรือไม่
3.จากนั้นใช้เครื่องมือถ่างขยายปากช่องคลอด ซึ่งทำด้วยเหล็กใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อตรวจดูภายในว่า มีแผล มูก เลือดที่ปากมดลูกหรือช่องคลอดหรือไม่ รวมทั้งจะได้เช็คมะเร็งปากมดลูกไปด้วย
4.และปิดท้ายด้วยการสอดนิ้วมือของมือข้างหนึ่งเข้าไปในช่องคลอด และใช้นิ้วของมืออีกข้างหนึ่งกดที่หน้าท้องโดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย แล้วใช้มือทั้ง 2 ข้างร่วมกันในการคลำอวัยวะในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็นมดลูก หรือรังไข่ว่าโตผิดปกติไหม กดเจ็บไหม มีถุงน้ำหรือเนื้องอกหรือเปล่า
ร่วมมือดี ตรวจได้ราบรื่น
การตรวจภายในจะเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าคุณผู้หญิงให้ความร่วมมือกับหมอ ซึ่งก็เพียงแค่นอนแยกขา แล้วปล่อยตัวตามสบาย ไม่เกร็งหน้าท้อง ทั้งนี้เพื่อให้หมอตรวจดูปัญหาในช่องคลอดได้ง่าย เห็นชัดเจน เพราะถ้าเกร็งแล้ว จะคลำอะไรไม่ได้เลย
คุณผู้หญิงหลายคน เมื่อหมออธิบายการตรวจภายในจนเข้าใจดีแล้ว แต่พอถึงเวลาตรวจเข้าจริง ก็อดไม่ได้ที่จะมีสารพัดอาการ บางคนเอามือมาคอยปิดเวลาหมอจะตรวจ พอหมอหยุดตรวจก็หยุดปิด พอจะตรวจใหม่ก็ปิดใหม่ ทำเหมือนเล่นชักเย่อ บางคนก็นอนตัวแข็งเกร็งเหมือนหุ่นยนต์ บางคนก็บิดก้นหนีเวลาหมอจะตรวจ เหมือนเล่นเกมตำรวจจับขโมย บางคนก็ส่ายก้นไปมา หรือเลื่อนก้นขึ้นลงเหมือนนั่งม้าโยก ซึ่งทำให้การตรวจภายในยุ่งยากและอาจทำให้ตรวจผิดหรือตรวจไม่ได้เลย ต้องบอกตรงๆ ว่า เสียเวลาทั้งคนไข้และหมอ
ทั้งนี้ การตรวจภายใน หากพบความผิดปกติแต่เนิ่นๆ และได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ก็สามารถช่วยได้
17 มิ.ย. 2552
หลัก4อ. ป้องกันตัวเองให้ห่างไกลไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ในสภาวะการณ์ของการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทุกคนในสังคมล้วนมีส่วนร่วมในการดูแล และป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากการติดเชื้อไวรัส ขณะเดียวกันทุกคนก็เปรียบเสมือนวัคซีน ที่เป็นพลังสำคัญในการยุติโรค ให้บรรเทา และหายไปจากสังคมได้ ขอเพียงทุกคนใส่ใจ และปฎิบัติตาม 4 อ. อย่างเคร่งครัดและจริงจัง
สวยด้วยมือเรา
เคล็ดลับง่ายๆ ที่ไม่ต้องศัลยกรรม แค่แต่งหน้าอำพรางจุดด้อยของเราก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว
จมูกไม่มีดั้ง
ไล้รองพื้นหรือแป้งฝุ่นสีน้ำตาลเข้มที่ข้างสันจมูก ใช้ eye shadow สีเบจหรือสีขาวไล้ที่สันจมูกบางๆ
ปีกจมูกใหญ่
ใช้ eye shadow สีน้ำตาลเข้มไล้ช่วงปีกจมูก
ตาหยี
เลือก eye shadow สีน้ำตาลเพราะจะทำให้ตาดูมีมิติขึ้น
ไล้ eye shadow ฝุ่นสีน้ำตาลไล้ใต้ตา
ทา eye liner สีน้ำตาลหรือสีดำเข้มที่ขอบตาบนและล่าง
ปากหนา
เลี่ยง lip gloss เลือกใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วย
ส่วนคนที่ปากบาง เลือก lip gloss สีแวววาว ช่วยเพิ่มมิติให้กับปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นได้
หน้าใหญ่
ไล้รองพื้นหรือแป้งฝุ่นสีน้ำตาลเข้มที่ด้านข้างใบหน้า
กรามใหญ่
ใช้รองพื้นหรือแป้งฝุ่นที่มีสีน้ำตาลเข้มกว่าผิวเล็กน้อยไล้ไปที่กรามทั้งสอง
Tips :
1. ใช้ eye shadow หรือรองพื้น สีน้ำตาลเข้ม ถ้าอยากจะปกปิดไม่ให้ส่วนนั้นดูใหญ่
2. ใช้ eye shadow สีเบจหรือสีขาว ไล้ไปตรงส่วนที่อยากให้ดูเด่น
จมูกไม่มีดั้ง
ไล้รองพื้นหรือแป้งฝุ่นสีน้ำตาลเข้มที่ข้างสันจมูก ใช้ eye shadow สีเบจหรือสีขาวไล้ที่สันจมูกบางๆ
ปีกจมูกใหญ่
ใช้ eye shadow สีน้ำตาลเข้มไล้ช่วงปีกจมูก
ตาหยี
เลือก eye shadow สีน้ำตาลเพราะจะทำให้ตาดูมีมิติขึ้น
ไล้ eye shadow ฝุ่นสีน้ำตาลไล้ใต้ตา
ทา eye liner สีน้ำตาลหรือสีดำเข้มที่ขอบตาบนและล่าง
ปากหนา
เลี่ยง lip gloss เลือกใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วย
ส่วนคนที่ปากบาง เลือก lip gloss สีแวววาว ช่วยเพิ่มมิติให้กับปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นได้
หน้าใหญ่
ไล้รองพื้นหรือแป้งฝุ่นสีน้ำตาลเข้มที่ด้านข้างใบหน้า
กรามใหญ่
ใช้รองพื้นหรือแป้งฝุ่นที่มีสีน้ำตาลเข้มกว่าผิวเล็กน้อยไล้ไปที่กรามทั้งสอง
Tips :
1. ใช้ eye shadow หรือรองพื้น สีน้ำตาลเข้ม ถ้าอยากจะปกปิดไม่ให้ส่วนนั้นดูใหญ่
2. ใช้ eye shadow สีเบจหรือสีขาว ไล้ไปตรงส่วนที่อยากให้ดูเด่น
กลืนน้ำรักอันตรายไหม?
กลืนน้ำรักอันตรายไหม? เวลาผมทำออรัลเซ็กซ์ให้แฟนผมบางครั้งถ้าเธอถึงจุดสุดยอดแรงๆ จะมีเหมือนน้ำอะไรไม่รู้ฉีดพุ่งออกมาเต็มหน้าผมเลย แต่กลิ่นไม่เหมือนฉี่นะครับ รสเค็มประแล่มๆ ยังไงไม่รู้ เป็นน้ำอะไรครับและถ้ากินเข้าไปจะอันตรายไหม...พาที/ปัตตานี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับแฟนคุณก็คือเธอถึงจุดสุดยอดแบบสุดๆ ไปเลยและเมื่อเกิดแบบนั้นแล้ว ต่อมต่างๆ รวมทั้งผิวภายในช่องคลอดจะขับน้ำออกมาจำนวนมากจึงมักมีลักษณะเหมือนน้ำที่ฉีดพุ่งออกมาจากช่องคลอดเต็มแรงเพราะออกมาพร้อมๆ กันทั้งผนังช่องคลอดด้วยปริมาณ
และความแรงของการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อโดยรอบช่องคลอดซึ่งบีบรัดเป็นจังหวะจึงเกิดเหมือนแรงขับดันที่ฉีดน้ำคัดหลั่งดังกล่าวออกมาภายนอกอย่างแรง เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Female Ejaculation เหมือนกับเวลาที่ผู้ชายถึงจุดสุดยอดแล้วหลั่งน้ำอสุจิออกมานั่นแหละ แต่ผู้หญิงไม่มีน้ำอสุจิจึงหลั่งน้ำออกมาแรงเหมือนฉีดพุ่งเหมือนกัน
เอาเป็นว่าขอแสดงความยินดีกับความสามารถในการใช้ปากของคุณทำออรัลจนทำให้แฟนคุณต้องขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะเรื่องแบบนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวบุคคลทั้งสองฝ่ายซึ่งร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจกรรมไปถึงดวงดาวเลยทีเดียว เป็นที่น่าอิจฉาของคนที่อยากมีประสบการณ์บ้าง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับแฟนคุณก็คือเธอถึงจุดสุดยอดแบบสุดๆ ไปเลยและเมื่อเกิดแบบนั้นแล้ว ต่อมต่างๆ รวมทั้งผิวภายในช่องคลอดจะขับน้ำออกมาจำนวนมากจึงมักมีลักษณะเหมือนน้ำที่ฉีดพุ่งออกมาจากช่องคลอดเต็มแรงเพราะออกมาพร้อมๆ กันทั้งผนังช่องคลอดด้วยปริมาณ
และความแรงของการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อโดยรอบช่องคลอดซึ่งบีบรัดเป็นจังหวะจึงเกิดเหมือนแรงขับดันที่ฉีดน้ำคัดหลั่งดังกล่าวออกมาภายนอกอย่างแรง เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Female Ejaculation เหมือนกับเวลาที่ผู้ชายถึงจุดสุดยอดแล้วหลั่งน้ำอสุจิออกมานั่นแหละ แต่ผู้หญิงไม่มีน้ำอสุจิจึงหลั่งน้ำออกมาแรงเหมือนฉีดพุ่งเหมือนกัน
เอาเป็นว่าขอแสดงความยินดีกับความสามารถในการใช้ปากของคุณทำออรัลจนทำให้แฟนคุณต้องขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะเรื่องแบบนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวบุคคลทั้งสองฝ่ายซึ่งร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจกรรมไปถึงดวงดาวเลยทีเดียว เป็นที่น่าอิจฉาของคนที่อยากมีประสบการณ์บ้าง
มาดูผู้หญิงจะไวต่อการกระตุ้นที่จุดไหนมากที่สุด
เป็นเรื่องที่ชายหลายคนอาจจะรู้สึกแปลกใจว่าจุด ที่กระตุ้น ความรู้สึกของฝ่ายหญิง ให้เหมือนไฟที่ลุกฮือขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ไม่ได้มีเพียงจุด......ที่ทุกคนรับทราบกันดี แต่จะยังมีจุดอื่นอีกหลากหลายบนเรือนร่าง ที่สามารถ สร้างอารมณ์ตื่นเต้นและความรู้สึกตื่นตัวอย่างรวดเร็วได้ ต่างกับฝ่ายชาย ที่จุดสร้างความพึงพอใจทางเพศ และความตื่นตัวทางเพศ มักจะจำกัดอยู่เพียงบริเวณ ปลายและลำอวัยวะเพศ อัณฑะ รอบรูทวารหนัก เท่านั้น
หลายคนคงสงสัยโดยเฉพาะในหมู่ผู้ชาย และมักมีหัวข้อในการสนทนา เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ต่างคนมักจะคาดเดา และพูดกันไป ถึงจุดซ่อนเร้นต่างๆบนเรือนร่างบ้างก็เคยได้มีโอกาสทดสอบด้วยตัวเองมาแล้ว
วันนี้รวบรวมเอาจุดต่างๆ10 ตำแหน่งที่ถือว่าเป็นจุด อ่อน ของคุณผู้หญิง เท่าที่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จุดดังกล่าว ถ้าได้รับการกระตุ้น อย่างถูกวิธี ไม่ว่ารายไหนรายนั้นเป็นได้เรื่อง
10.(Inner Thighs) บริเวณต้นขาด้านใน
ต้นขาด้านในเป็นตำแหน่งที่มีปลายเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงมาก การได้รับการกระตุ้นอย่างแผ่วเบาไม่ว่าจากการ ลูบไล้ หรือ โลมเลีย สามารถจุดประกายอารมณ์ ของคุณผู้หญิง ให้เตลิดเปิดเปิงไปได้ ตำแหน่งนี้ อาจจะลดต่ำลงมาถึงบริเวณข้อพับเข่าด้านหลัง แต่อย่าลืมนะครับ เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไวต่อความรู้สึกมาก การหยิก จิกเนื้อเพียงเบาๆ อาจจะทำให้ เกิดอาการเจ็บได้อย่างมาก คุณผู้ชาย ที่กำลัง เมามันอย่าเผลอ ไปกัดเอาเนื้อบริเวณนี้เข้า ก็แล้วกัน
9.Behind the Knees) ข้อพับเข่า
พบว่าตำแหน่งนี้เป็นอีกตำแหน่ง ครับ คุณผู้ชายอาจจะคาดไม่ถึง ตำแหน่งนี้ จะไวมากต่อการ สัมผัสกับลมเป่าหรือการแทะเล็มเบาๆจากริมฝีปาก รับรองคุณผู้ชายจะคาดไม่ถึง ถึงอาการและปฏิกิริยาตอบสนองจากฝ่ายหญิง ผมให้ลับตานึกภาพกันเอาเอง
8.(Buttocks) แก้มก้น
แน่นอนครับผู้หญิงส่วนใหญ่ ชอบที่จะ ให้ มีการนวดคลึงบีบเค้นบริเวณแก้มก้น ระหว่างมีบทรัก บ้างก็ชอบให้ใช้ความแผ่วเบา จากริมฝีปาก ของฝ่ายชายลูบไล้ ไปมา บ้าง ก็ชอบให้ใช้ส่วนอื่น.....มาสัมผัส คุณคงจะเคยเห็น ในภาพยนตร์ฝรั่งอยู่บ่อยๆ ที่มีการ ฉายภาพ Close up เข้ามาที่มือของพระเอกในขณะที่ กำลังบีบเค้น แก้มก้น ของนางเอก ในฉากเต้นรำกลางงานเลี้ยงที่หรูหรา การบีบเค้นนัยว่าจะทำให้ฝ่ายหญิง รู้สึกเคลิ้มสบายและผ่อนคลายมากกว่า การจะปลุกสร้างอารมณ์ที่ตื่นเต้น แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้ถือเป็น องค์ประกอบที่สำคัญในการที่จะสร้างความอุ่นใจ และ และพิสูจน์ความไว้ใจและมอบใจจากฝ่ายหญิง ให้ฝ่ายชายได้เป็นอย่างดีหากไม่มีการปัดป้องจากฝ่ายหญิง
7.(Nape of the Neck) ซอกต้นคอ
การกระตุ้นด้วยลมหายใจ ร่วมกับ เสียงครวญเบาๆ ที่ตำแหน่งต้นคอ ไล่เรียงไปจากด้านข้างสู่ด้านหลัง ขณะที่มือคุณ ให้การสัมผัสที่ชายผมบริเวณท้ายทอย สามารถสร้างอารมณ์ตื่นเต้นและความต้องการ ขึ้นมาได้อย่างทันที ราวกับการจุดผลุอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดทะยานพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างฉับพลัน
6.(Ears) ใบหู
การใช้ริมฝีปาก ลิ้น กระตุ้นที่ใบหูอย่าง แผ่วเบา ร่วมกับ การ หายใจเป่าลมเข้าไปในรูหูอย่างเบาๆและต่อเนื่องสักระยะ หรืออาจจะเปลี่ยน เป็น เสียงกระซิบกระซาบ แบบอาศัยลมเป่าจากการกระซิบ ทำให้ผู้หญิง นักต่อนัก สะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ รายไหนรายนั้น เสียงกระซิบอย่างแผ่วๆ ต้องเป็นเนื้อหา ที่จะให้อารมณ์คล้อยไปด้วยนะครับ อย่ากระซิบเป็นอันขาดว่า “ที่รักคุณน่าจะแคะขี้หูหน่อยนะ” ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างขึ้นมาให้เห็นเท่านั้นเองว่าเนื้อหา ของการกระซิบควรจะเป็นเนื้อหาที่สร้างอารมณ์มากกว่า การดับอารมณ์
5.(Feet) เท้า
ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลยครับชอบที่จะได้รับการ สัมผัส บีบนวดที่ เท้า เกาที่ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วเท้า และ ข้อเท้า การ บีบเค้นนวดที่ส้นเท้า จะช่วยสร้างอารมณ์ อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ได้ผลชะงัด การกระตุ้น ที่บริเวณนี้ ผู้ชายบางคนอาจจะใช้ริมฝีปากจิก กัด ที่ปลายนิ้วเท้า ของผู้หญิง ระหว่างที่ผู้หญิงกำลังใช้จินตนาการในการ สร้างอารมณ์ หากคุณจะใช้ริมฝีปากประทับไปที่ฝ่าเท้า คุณต้องมั่นใจในความสะอาดนะครับ เรื่องนี้ผู้ชายบางคนถึงกับ ต้องให้มีการชำระล้างอาบน้ำก่อนทุกครั้ง
4.(Wrists) ข้อมือ
ผู้ชายหลายคน คงต้องตกใจ ถ้าผมบอกว่า ข้อมือ เป็นจุดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ อีกแห่งที่ฝ่ายชายอย่าละเลย คุณไม่เชื่อ ลองครั้งต่อไป ของคุณลอง ประเล้าประโลม (Foreplay) ที่บริเวณข้อมือดูนะครับ ไม่ว่าจะจาก การ สัมผัส ลูบไล้ด้วยมือ หรือ ประทับ ด้วยริมฝีปาก กัดเบาๆด้วยริมฝีปากหรือฟัน หน้า ของคุณ รับรองว่า จะเห็นผลอย่างคาดไม่ถึง
3.( Breasts & Nipples ) ถันและยอดถัน
จุดนี้คงไม่อยู่เหนือความคาดหมาย ทุกคนคงทราบดี ต่างกันที่วิธีการเท่านั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบและพึงพอใจ กับการถูกกระตุ้นที่ตำแหน่งนี้ ด้วยการการใช้ปาก ดูด (Sucking) เลีย(Licking) กัดเล็ม (Bitting) คุณผู้ชายอาจจะต้องเรียนรู้ในคู่ของตัวเอง ไปว่าพึงพอใจแบบใดมากที่สุด อย่าลืมอย่างนะครับ ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบความรุนแรงแบบตะกละตะกลาม กับอวัยวะส่วนนี้ของตน
2.(Vagina/Clitoris) อวัยวะเพศ ที่ คลิตอริส
ไม่ว่าการใช้ปาก ลิ้น นิ้วมือ สามารถ ทำให้ เกิดความพึงพอใจถึงขีดสูงสุดได้ และยิ่งถ้าคุณได้เรียนรู้ถึงตำแหน่ง G-spot ของฝ่ายหญิงด้วย การกระตุ้นที่จุดนี้ นำไปถึงซึ่งความสุขแบบสุดยอด ได้เลย
และตำแหน่งที่จัดว่าเป็นอันดับหนึ่งคือ
1.(Lips) ริมฝีปาก คุณผู้ชายอาจจะต้องเรียนรู้ในการกระตุ้นที่จุดนี้ให้มากที่สุด การใช้ ริมฝีปาก ทั้งบนและล่าง ลิ้น ฟัน ประทับ จิก กัด ลิ้นไล้เลีย หรือแม้แต่การดูด เบาๆ
หลายคนคงสงสัยโดยเฉพาะในหมู่ผู้ชาย และมักมีหัวข้อในการสนทนา เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ต่างคนมักจะคาดเดา และพูดกันไป ถึงจุดซ่อนเร้นต่างๆบนเรือนร่างบ้างก็เคยได้มีโอกาสทดสอบด้วยตัวเองมาแล้ว
วันนี้รวบรวมเอาจุดต่างๆ10 ตำแหน่งที่ถือว่าเป็นจุด อ่อน ของคุณผู้หญิง เท่าที่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จุดดังกล่าว ถ้าได้รับการกระตุ้น อย่างถูกวิธี ไม่ว่ารายไหนรายนั้นเป็นได้เรื่อง
10.(Inner Thighs) บริเวณต้นขาด้านใน
ต้นขาด้านในเป็นตำแหน่งที่มีปลายเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงมาก การได้รับการกระตุ้นอย่างแผ่วเบาไม่ว่าจากการ ลูบไล้ หรือ โลมเลีย สามารถจุดประกายอารมณ์ ของคุณผู้หญิง ให้เตลิดเปิดเปิงไปได้ ตำแหน่งนี้ อาจจะลดต่ำลงมาถึงบริเวณข้อพับเข่าด้านหลัง แต่อย่าลืมนะครับ เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไวต่อความรู้สึกมาก การหยิก จิกเนื้อเพียงเบาๆ อาจจะทำให้ เกิดอาการเจ็บได้อย่างมาก คุณผู้ชาย ที่กำลัง เมามันอย่าเผลอ ไปกัดเอาเนื้อบริเวณนี้เข้า ก็แล้วกัน
9.Behind the Knees) ข้อพับเข่า
พบว่าตำแหน่งนี้เป็นอีกตำแหน่ง ครับ คุณผู้ชายอาจจะคาดไม่ถึง ตำแหน่งนี้ จะไวมากต่อการ สัมผัสกับลมเป่าหรือการแทะเล็มเบาๆจากริมฝีปาก รับรองคุณผู้ชายจะคาดไม่ถึง ถึงอาการและปฏิกิริยาตอบสนองจากฝ่ายหญิง ผมให้ลับตานึกภาพกันเอาเอง
8.(Buttocks) แก้มก้น
แน่นอนครับผู้หญิงส่วนใหญ่ ชอบที่จะ ให้ มีการนวดคลึงบีบเค้นบริเวณแก้มก้น ระหว่างมีบทรัก บ้างก็ชอบให้ใช้ความแผ่วเบา จากริมฝีปาก ของฝ่ายชายลูบไล้ ไปมา บ้าง ก็ชอบให้ใช้ส่วนอื่น.....มาสัมผัส คุณคงจะเคยเห็น ในภาพยนตร์ฝรั่งอยู่บ่อยๆ ที่มีการ ฉายภาพ Close up เข้ามาที่มือของพระเอกในขณะที่ กำลังบีบเค้น แก้มก้น ของนางเอก ในฉากเต้นรำกลางงานเลี้ยงที่หรูหรา การบีบเค้นนัยว่าจะทำให้ฝ่ายหญิง รู้สึกเคลิ้มสบายและผ่อนคลายมากกว่า การจะปลุกสร้างอารมณ์ที่ตื่นเต้น แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้ถือเป็น องค์ประกอบที่สำคัญในการที่จะสร้างความอุ่นใจ และ และพิสูจน์ความไว้ใจและมอบใจจากฝ่ายหญิง ให้ฝ่ายชายได้เป็นอย่างดีหากไม่มีการปัดป้องจากฝ่ายหญิง
7.(Nape of the Neck) ซอกต้นคอ
การกระตุ้นด้วยลมหายใจ ร่วมกับ เสียงครวญเบาๆ ที่ตำแหน่งต้นคอ ไล่เรียงไปจากด้านข้างสู่ด้านหลัง ขณะที่มือคุณ ให้การสัมผัสที่ชายผมบริเวณท้ายทอย สามารถสร้างอารมณ์ตื่นเต้นและความต้องการ ขึ้นมาได้อย่างทันที ราวกับการจุดผลุอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดทะยานพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างฉับพลัน
6.(Ears) ใบหู
การใช้ริมฝีปาก ลิ้น กระตุ้นที่ใบหูอย่าง แผ่วเบา ร่วมกับ การ หายใจเป่าลมเข้าไปในรูหูอย่างเบาๆและต่อเนื่องสักระยะ หรืออาจจะเปลี่ยน เป็น เสียงกระซิบกระซาบ แบบอาศัยลมเป่าจากการกระซิบ ทำให้ผู้หญิง นักต่อนัก สะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ รายไหนรายนั้น เสียงกระซิบอย่างแผ่วๆ ต้องเป็นเนื้อหา ที่จะให้อารมณ์คล้อยไปด้วยนะครับ อย่ากระซิบเป็นอันขาดว่า “ที่รักคุณน่าจะแคะขี้หูหน่อยนะ” ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างขึ้นมาให้เห็นเท่านั้นเองว่าเนื้อหา ของการกระซิบควรจะเป็นเนื้อหาที่สร้างอารมณ์มากกว่า การดับอารมณ์
5.(Feet) เท้า
ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลยครับชอบที่จะได้รับการ สัมผัส บีบนวดที่ เท้า เกาที่ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วเท้า และ ข้อเท้า การ บีบเค้นนวดที่ส้นเท้า จะช่วยสร้างอารมณ์ อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ได้ผลชะงัด การกระตุ้น ที่บริเวณนี้ ผู้ชายบางคนอาจจะใช้ริมฝีปากจิก กัด ที่ปลายนิ้วเท้า ของผู้หญิง ระหว่างที่ผู้หญิงกำลังใช้จินตนาการในการ สร้างอารมณ์ หากคุณจะใช้ริมฝีปากประทับไปที่ฝ่าเท้า คุณต้องมั่นใจในความสะอาดนะครับ เรื่องนี้ผู้ชายบางคนถึงกับ ต้องให้มีการชำระล้างอาบน้ำก่อนทุกครั้ง
4.(Wrists) ข้อมือ
ผู้ชายหลายคน คงต้องตกใจ ถ้าผมบอกว่า ข้อมือ เป็นจุดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ อีกแห่งที่ฝ่ายชายอย่าละเลย คุณไม่เชื่อ ลองครั้งต่อไป ของคุณลอง ประเล้าประโลม (Foreplay) ที่บริเวณข้อมือดูนะครับ ไม่ว่าจะจาก การ สัมผัส ลูบไล้ด้วยมือ หรือ ประทับ ด้วยริมฝีปาก กัดเบาๆด้วยริมฝีปากหรือฟัน หน้า ของคุณ รับรองว่า จะเห็นผลอย่างคาดไม่ถึง
3.( Breasts & Nipples ) ถันและยอดถัน
จุดนี้คงไม่อยู่เหนือความคาดหมาย ทุกคนคงทราบดี ต่างกันที่วิธีการเท่านั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบและพึงพอใจ กับการถูกกระตุ้นที่ตำแหน่งนี้ ด้วยการการใช้ปาก ดูด (Sucking) เลีย(Licking) กัดเล็ม (Bitting) คุณผู้ชายอาจจะต้องเรียนรู้ในคู่ของตัวเอง ไปว่าพึงพอใจแบบใดมากที่สุด อย่าลืมอย่างนะครับ ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบความรุนแรงแบบตะกละตะกลาม กับอวัยวะส่วนนี้ของตน
2.(Vagina/Clitoris) อวัยวะเพศ ที่ คลิตอริส
ไม่ว่าการใช้ปาก ลิ้น นิ้วมือ สามารถ ทำให้ เกิดความพึงพอใจถึงขีดสูงสุดได้ และยิ่งถ้าคุณได้เรียนรู้ถึงตำแหน่ง G-spot ของฝ่ายหญิงด้วย การกระตุ้นที่จุดนี้ นำไปถึงซึ่งความสุขแบบสุดยอด ได้เลย
และตำแหน่งที่จัดว่าเป็นอันดับหนึ่งคือ
1.(Lips) ริมฝีปาก คุณผู้ชายอาจจะต้องเรียนรู้ในการกระตุ้นที่จุดนี้ให้มากที่สุด การใช้ ริมฝีปาก ทั้งบนและล่าง ลิ้น ฟัน ประทับ จิก กัด ลิ้นไล้เลีย หรือแม้แต่การดูด เบาๆ
16 มิ.ย. 2552
ตลาดมือสอง ของคนทุกชนชั้น
ของดีราคาถูก ไม่มีในโลก ของดีราคาแพง มีอยู่ถมเถ
จะให้ซื้อบ่อยๆ คงไม่ไหวหรอกคุณ ของดีราคาแพงน่ะ ยิ่งยุคนี้ด้วยแล้ว สนองนโยบายรัดเข็มขัดกันหน่อย...ดีไหม?
แบรนด์เนมหรูชิ้นใหม่เอี่ยมอ่อง ใครบ้างไม่อยากได้ แต่เศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ ขนาดคนที่ชื่นชอบการช็อปปิ้งทั้งหลายก็ยังต้องปรับตัวเลย
มอบส่วนลดทั้งห้าง หรือขยายเวลาช็อปถึงรอบเที่ยงคืน อาจใช้ไม่ได้ผลสำหรับพวกเขา ต้องหั่นราคาเกิน 70% ทุกแผนก หรือล้างสต๊อกทั้งกระบะ นั่นละคือสิ่งปรารถนาอันแรงกล้าของช็อปปิ้งมาเนีย
ไม่ใช่ผู้สันทัดเรื่องสินค้ามือสอง แต่ก็พอรู้บ้างว่ามีที่ไหนให้ซื้อ เผื่อเป็นทางเลือกของการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเผาหลอก (ปีหน้าเผาจริงชัวร์!!! นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอย่างนั้น) จะได้ไม่เผลอไผลทำมือเติบไปกับสินค้ามือหนึ่ง ซึ่งราคาแพงระยับจนแทบกระอักเลือด
แวะที่ไหนดี...ตลาดมือสอง
*แยกรัชดา-ลาดพร้าว
ยิ่งกว่ามหกรรมฟรีคอนเสิร์ต...จริงๆ นะครับ เป็นครั้งแรกที่ไปเดินตลาดแห่งนี้ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นมหาชนที่แห่แหนเบียดเสียดเข้างานคอนเสิร์ตร็อกแบบไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเลย
ทุกคืนวันเสาร์ (6 โมงเย็น จนถึงตี 3) คนจากทั่วสารทิศต่างมุ่งหน้าสู่แยกรัชดา-ลาดพร้าว (ถ้าใครยังพอจำได้ลางๆ ที่นี่ก็คือรัชดาไนท์บาซาร์ ซึ่งเจ๊งไปเมื่อหลายปีก่อนโน้น) เพื่อเลือกซื้อสินค้ามือสองที่วางแบกะดิน เรียงรายกันสลอน ร่วมๆ 500 แผง
อยากได้อะไรล่ะ เดี๋ยวจัดให้ กางเกงยีนส์ลิมิเต็ดเอดิชันยี่ห้อดัง Evisu จากญี่ปุ่น รุ่นเดียวกับที่ขายในห้างหรู Lee รุ่นแม็กเหล็กป้ายซ้ายตะเข็บปิด นาฬิกาแนวสปอร์ตแฟชั่นที่วัยรุ่นฮิตกันอยู่ การันตีของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เก่าหน่อยแต่สภาพนิ้ง
หรือจะเป็นเวสปาคันเก๋า ฮอนด้ารุ่นคุณพ่อยังหนุ่ม จักรยานโบราณหลากแบรนด์อันมีต้นกำเนิดอยู่ที่เยอรมนี โอ่งมังกรจากเซี่ยงไฮ้ เครื่องเล่นแผ่นเสียงสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 มีให้เลือกชมเลือกซื้อเหมือนกัน
“วีระยุทธ เอี่ยมอมร” หรือ “หนึ่ง” พ่อค้าหนุ่มวัย 22 ปี เล่าว่า ทุกวันเสาร์เขาจะบึ่งรถกระบะจาก จ.ราชบุรี โดยมีเวสปาติดมาด้วย 3-4 คัน เพื่อมาขายต่อให้กับคนสนใจในราคากันเอง
“ส่วนใหญ่คนซื้อจะเป็นคนชอบเวสปาอยู่แล้ว ซื้อไปแต่งสำหรับขับ หรือไม่ก็จับไปขายต่อ บางทีมีประเภทสะสม แต่งเพื่อเก็บอย่างเดียว หรือเอาไปแต่งบ้าน โรงแรม รีสอร์ต”
ไม่ใช่แค่สินค้าที่เน้นจับกลุ่มคนมีเงิน (อยากได้ของย่อมเยา) เท่านั้น โลว์โซไซตี ชอบนั่งเพิงส้มตำ จกข้าวเหนียวจิ้มลาบเลือดกับตำปูปลาร้า ไปที่นี่ก็สมหวังทุกราย เพราะของถูกๆ ราคาไม่เวอร์ (มาก) อีกทั้งคุณภาพใช้ (การ) ได้ มีละลานตาจนเลือกแทบไม่หวาดไม่ไหว
อะไหล่รถยนต์-รถมอเตอร์ไซค์ หิ้งพระ ไฟแช็ก ขวดเหล้า ขวดไวน์ ถาดไม้ ถ้วย-ช้อนสังกะสี ไมโครโฟน หนังสือเพลง ตะเกียงเจ้าพายุ รีโมตทีวี หมวกกันน็อก ค้อน นอต ขวาน จอบ เสียม (ยังมีเลย)
แต่ต้องขยันเดิน ยอมทนรับกับสภาพคนจอแจ รับรองว่าเงินไม่กี่ร้อยบาท จะทำให้คุณครอบครองสินค้ามือสองได้ตั้งเยอะ
*ตลาดไท
ไม่ใช่ตลาดขายส่งผลไม้อันดับ 1 ของประเทศหรอก แต่อยู่ละแวกใกล้ๆ กัน มีความยาวการตั้งแผงประมาณ 1 กิโลเมตร วันพฤหัสบดี อ้าว!...ก็วันนี้นี่ไง คุณว่างหรือเปล่า เพราะตลาดมือสองแห่งนี้เปิดบริการ ราวๆ บ่าย 3 โมงเขาก็จะพากันมาตั้งแผงกันแล้ว 3 ทุ่มนู่นตลาดถึงวาย
ลูกค้าจะมีเวลาทองในการซื้อของที่นี่เพียง 5 ชั่วโมง ฉะนั้นต้องวางแผนกันให้ดี เผื่อเหลือเผื่อขาด เพราะหลายคนเพลินอยู่กับเจ้านี้ แต่กลับพลาดอีกเจ้า น่าเสียดาย แต่ถ้าไม่ซีเรียสอะไร ดูกันนานๆ ก็ดีอย่าง คือจะได้ของดีกลับ หรือไม่ทันจริงๆ ก็รอมาอีกทีสัปดาห์ถัดไป
สินค้าที่นี่คล้ายๆ กับที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว แต่อาจไม่เยอะเท่า ที่สำคัญคือพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนก็หน้าเดิม ดึกวันเสาร์ขายแยกรัชดา-ลาดพร้าว บ่ายๆ วันพฤหัสฯ ก็ขายตลาดไท วิ่งรอกเหมือนนางงามเดินสายประกวดหลายเวที
“สำราญ สุขคำ” หรือ “ลุงสำราญ” ในหมู่คนขายรถจักรยานโบราณ ถือเป็นเจ้าพ่อที่เชี่ยวเรื่องนี้ จับธุรกิจอยู่นานพอสมควร เริ่มจากสะสมและเปิดขายที่เชียงใหม่ก่อนจะมาบุกตลาดกรุงเทพฯ จนรู้จักมักจี่กับจักรยานเป็นอย่างดี
“สะสมตอนแรกๆ ก็ตอนที่ผมอยู่เชียงใหม่ เห็นชาวบ้านขี่มาทำงาน เออ! ก็สวยดี อยากได้ เลยถามเขาว่ามีอีกไหม จะซื้อมาขี่ พอได้คันแรกก็เก็บมาเรื่อยจนมันเยอะ พร้อมๆ กับศึกษาประวัติไปด้วย” ลุงสำราญ เล่าให้ฟัง “ผมเริ่มนำออกขายตอนที่มีตลาดตรงลานพระบรมรูปทรงม้า แล้วก็มาเป็นสะพานมัฆวานฯ เลิกไป เพราะโดนมองว่าทำลายทัศนียภาพสวยงามยามค่ำคืน จนถึงที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว และตลาดไทนี่ละ”
จักรยานโบราณที่ลุงสำราญนำมาขายนั้น มีหลายราคาและขึ้นอยู่กับรุ่น หายากหรือไม่ เช่นเดียวกับสินค้าของเพื่อนร่วมตลาด ก็มีทั้งถูกและแพงสลับกันไป ใครสนใจ หรือต้องจริต ก็เปิดการเจรจา ส่วนลดมีให้นิดหน่อย แต่ถ้าเป็นขาประจำย่อมได้ราคาพิเศษ ซึ่งนั่นคือเอกลักษณ์ของตลาดมือสอง ไม่ใช่ซื้อขายแค่สินค้า ทว่ายังเป็นการซื้อใจ (คน) ไปในตัว
ตาดีได้ ตาร้ายเสีย
ขึ้นชื่อเป็นของมือสองก็คงไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์เท่ากับของมือหนึ่ง ทางที่ดีควรยึดคตินี้ไว้ เผื่อจะทำใจได้ หลังจากกลับมาถึงบ้าน ของมือสองผ่านการใช้งานมาแล้ว มีบ้างที่สภาพอาจเสื่อม หรือเกิดตำหนิ คนซื้อตรวจตราอย่างถ้วนถี่ก็เป็นโชคดีไป แต่ถ้าโชคร้ายได้ของยิ่งกว่ามือสอง อาจจะมือสามมือสี่ละก็ ขออภัย โทษใครไม่ได้ ในเมื่อคุณเลือกเอง
นี่ไงเขาถึงมีกฎ “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” เวลาซื้อของมือสอง ถึงขั้นสร้าง “เซียน” ให้เกิดขึ้นในวงการ ดูแวบเดียวรู้เลยว่าของมือสองจริงๆ หรือแค่ย้อมแมวขาย และที่สำคัญดูเป็นขนาดชี้ชัด เป็นของแท้ หรือของเทียม
“พงษ์เพชร ศิริวัยวัตร” เจ้าของแผงของเก่าสารพัด มีตั้งแต่เครื่องเคลือบ เครื่องถม สร้อย พระเครื่อง จนถึงอะไหล่รถยนต์หายาก ถือเป็นเซียนดูของมือสองอีกคนที่เจนจัด เนื่องจากคลุกคลีอยู่หลายปี เรียกว่าได้ดิบได้ดิบเพราะของมือสองก็ไม่น่าผิด
เขาเข้าข่ายเป็นคนซื้อมาขายไป เลือกจับสินค้าที่คาดว่าจะมีราคาในอนาคต อาจขายไม่ได้ในวันนี้ แต่เขาจะรอให้ถึงวันนั้น...วันของมัน ที่มีคนสนใจเดินมาแวะและซื้อไปโดยปราศจากอคติในใจว่าคือของมือสอง หรือของมือตำหนิ
“ของมือสองมันก็มีดีและไม่ดี แต่คุณค่าจะน้อยหรือมากก็อยู่ที่คนซื้อว่ามองยังไง บางคนอาจคิดยังงี้ แต่อีกคนอาจมองคนละอย่าง สำหรับผมถ้าชอบซื้อเลย ถ้าคิดว่าสามารถนำไปใช้สอยได้ต่อซื้อเลย ราคาดูไหม...ดู ต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช่เอะอะแพงไว้ก่อน เพราะเห็นเป็นของมือสองหายาก อย่างผมลงทุนไปซื้อของมือสองถึงสิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ผมเลือกเฉพาะที่มันมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมีคนชอบเหมือนเรา ซื้อมาขายไม่ออกก็เก็บเป็นของสะสมได้”
มือสองก็ (มีของ) แพง
“กางเกงตัวนี้เท่าไหร่” ผมยื่นหน้าเข้าไปถามเจ้าของร้านขายยีนส์ร่างท้วม เขายิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบมาว่า “1,800 ครับ” ผมทำทีไปหยิบอีกตัว “แล้วตัวนี้ละ” เขาหันมามองพร้อมกับราคาที่ทำเอาผมหงายหลัง “6,000 ครับ แต่มีส่วนลดนิดหน่อย”
ผมคิดในใจ ยีนส์บ้าอะไร ทำไมแพงหูดับตับไหม้ถึงเพียงนี้ พอลองสอบถาม จึงได้รู้ความจริง (วันนั้น) จากปากข้าราชการกรมป่าไม้วัย 28 ปี “อนุสรณ์ หุ่นทรง” ซึ่งหันมาจับธุรกิจขายยีนส์แบรนด์ดังในวันว่าง
นอกจากของมือสองราคาไม่ธรรมดาที่ร้านอนุสรณ์แล้ว ใช้เวลาสำรวจตลาดทั้ง 3 แห่ง ก็พบว่ายังมีของมือสองอีกนับไม่ถ้วนที่เข้าขั้นแพงถึงแพงมาก...ก อย่างเช่น รถมอเตอร์ไซค์เก่าร้านวีระยุทธ เวสปาสีซีด มีสนิมจับแต่ใช้การได้ดี (เจ้าของยืนกราน) ได้ยินราคาแล้วคุณจะหนาว คันละ 2.85 หมื่นบาท (โอ้...ถ้าผมจะซื้อคันนี้ก็ต้องเก็บเงินถึง 4 เดือนเชียวนะ) หรือแม้แต่คันที่จอดข้างๆ เบ็ดเสร็จก็ 8,500 บาท คนที่รักเวสปาก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยไป (ใช่ไหม) หรือร้านจักรยานโบราณลุงสำราญก็ไม่ใช่ย่อย ถูกสุด 3,500 บาท แพงโคตรอยู่ที่ 2 หมื่นบาท “คันละนะ” ลุงย้ำ ผมถึงกับตื่นเต้นสุดขีด เพราะอยากดู แต่ลุงบอกเสียใจด้วยเพิ่งขายไปก่อนผมจะมาถึง แต่ลุงก็ใจดีอุตส่าห์กุลีกุจอหยิบรูปถ่ายแค็ตตาล็อกสินค้าที่ทำขึ้นมาให้เชยชม ห่างกันไม่กี่แผง คือร้านขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง เจ้าของเป็นลุงป้าสูงวัย แต่หัวใจรักดนตรี แกปิดป้ายขายขาดตัว 1.9 หมื่นบาท จะให้เว้ากันซื่อๆ สำหรับผมมันแพงเกิน แต่ใครที่กำลังสะสมอยู่หวานหมู ดูจากสภาพนั้นยังใหม่กิ๊ก แถมเสียงใสกังวานก้อง
เห็นหรือยังละว่า ของมือสองก็มีราคาแพง จนแบรนด์เนมมือหนึ่งยังต้องชิดซ้าย เพราะสู้กับความเก่าและความเก๋าไม่ได้
จะให้ซื้อบ่อยๆ คงไม่ไหวหรอกคุณ ของดีราคาแพงน่ะ ยิ่งยุคนี้ด้วยแล้ว สนองนโยบายรัดเข็มขัดกันหน่อย...ดีไหม?
แบรนด์เนมหรูชิ้นใหม่เอี่ยมอ่อง ใครบ้างไม่อยากได้ แต่เศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ ขนาดคนที่ชื่นชอบการช็อปปิ้งทั้งหลายก็ยังต้องปรับตัวเลย
มอบส่วนลดทั้งห้าง หรือขยายเวลาช็อปถึงรอบเที่ยงคืน อาจใช้ไม่ได้ผลสำหรับพวกเขา ต้องหั่นราคาเกิน 70% ทุกแผนก หรือล้างสต๊อกทั้งกระบะ นั่นละคือสิ่งปรารถนาอันแรงกล้าของช็อปปิ้งมาเนีย
ไม่ใช่ผู้สันทัดเรื่องสินค้ามือสอง แต่ก็พอรู้บ้างว่ามีที่ไหนให้ซื้อ เผื่อเป็นทางเลือกของการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเผาหลอก (ปีหน้าเผาจริงชัวร์!!! นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอย่างนั้น) จะได้ไม่เผลอไผลทำมือเติบไปกับสินค้ามือหนึ่ง ซึ่งราคาแพงระยับจนแทบกระอักเลือด
แวะที่ไหนดี...ตลาดมือสอง
*แยกรัชดา-ลาดพร้าว
ยิ่งกว่ามหกรรมฟรีคอนเสิร์ต...จริงๆ นะครับ เป็นครั้งแรกที่ไปเดินตลาดแห่งนี้ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นมหาชนที่แห่แหนเบียดเสียดเข้างานคอนเสิร์ตร็อกแบบไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเลย
ทุกคืนวันเสาร์ (6 โมงเย็น จนถึงตี 3) คนจากทั่วสารทิศต่างมุ่งหน้าสู่แยกรัชดา-ลาดพร้าว (ถ้าใครยังพอจำได้ลางๆ ที่นี่ก็คือรัชดาไนท์บาซาร์ ซึ่งเจ๊งไปเมื่อหลายปีก่อนโน้น) เพื่อเลือกซื้อสินค้ามือสองที่วางแบกะดิน เรียงรายกันสลอน ร่วมๆ 500 แผง
อยากได้อะไรล่ะ เดี๋ยวจัดให้ กางเกงยีนส์ลิมิเต็ดเอดิชันยี่ห้อดัง Evisu จากญี่ปุ่น รุ่นเดียวกับที่ขายในห้างหรู Lee รุ่นแม็กเหล็กป้ายซ้ายตะเข็บปิด นาฬิกาแนวสปอร์ตแฟชั่นที่วัยรุ่นฮิตกันอยู่ การันตีของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เก่าหน่อยแต่สภาพนิ้ง
หรือจะเป็นเวสปาคันเก๋า ฮอนด้ารุ่นคุณพ่อยังหนุ่ม จักรยานโบราณหลากแบรนด์อันมีต้นกำเนิดอยู่ที่เยอรมนี โอ่งมังกรจากเซี่ยงไฮ้ เครื่องเล่นแผ่นเสียงสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 มีให้เลือกชมเลือกซื้อเหมือนกัน
“วีระยุทธ เอี่ยมอมร” หรือ “หนึ่ง” พ่อค้าหนุ่มวัย 22 ปี เล่าว่า ทุกวันเสาร์เขาจะบึ่งรถกระบะจาก จ.ราชบุรี โดยมีเวสปาติดมาด้วย 3-4 คัน เพื่อมาขายต่อให้กับคนสนใจในราคากันเอง
“ส่วนใหญ่คนซื้อจะเป็นคนชอบเวสปาอยู่แล้ว ซื้อไปแต่งสำหรับขับ หรือไม่ก็จับไปขายต่อ บางทีมีประเภทสะสม แต่งเพื่อเก็บอย่างเดียว หรือเอาไปแต่งบ้าน โรงแรม รีสอร์ต”
ไม่ใช่แค่สินค้าที่เน้นจับกลุ่มคนมีเงิน (อยากได้ของย่อมเยา) เท่านั้น โลว์โซไซตี ชอบนั่งเพิงส้มตำ จกข้าวเหนียวจิ้มลาบเลือดกับตำปูปลาร้า ไปที่นี่ก็สมหวังทุกราย เพราะของถูกๆ ราคาไม่เวอร์ (มาก) อีกทั้งคุณภาพใช้ (การ) ได้ มีละลานตาจนเลือกแทบไม่หวาดไม่ไหว
อะไหล่รถยนต์-รถมอเตอร์ไซค์ หิ้งพระ ไฟแช็ก ขวดเหล้า ขวดไวน์ ถาดไม้ ถ้วย-ช้อนสังกะสี ไมโครโฟน หนังสือเพลง ตะเกียงเจ้าพายุ รีโมตทีวี หมวกกันน็อก ค้อน นอต ขวาน จอบ เสียม (ยังมีเลย)
แต่ต้องขยันเดิน ยอมทนรับกับสภาพคนจอแจ รับรองว่าเงินไม่กี่ร้อยบาท จะทำให้คุณครอบครองสินค้ามือสองได้ตั้งเยอะ
*ตลาดไท
ไม่ใช่ตลาดขายส่งผลไม้อันดับ 1 ของประเทศหรอก แต่อยู่ละแวกใกล้ๆ กัน มีความยาวการตั้งแผงประมาณ 1 กิโลเมตร วันพฤหัสบดี อ้าว!...ก็วันนี้นี่ไง คุณว่างหรือเปล่า เพราะตลาดมือสองแห่งนี้เปิดบริการ ราวๆ บ่าย 3 โมงเขาก็จะพากันมาตั้งแผงกันแล้ว 3 ทุ่มนู่นตลาดถึงวาย
ลูกค้าจะมีเวลาทองในการซื้อของที่นี่เพียง 5 ชั่วโมง ฉะนั้นต้องวางแผนกันให้ดี เผื่อเหลือเผื่อขาด เพราะหลายคนเพลินอยู่กับเจ้านี้ แต่กลับพลาดอีกเจ้า น่าเสียดาย แต่ถ้าไม่ซีเรียสอะไร ดูกันนานๆ ก็ดีอย่าง คือจะได้ของดีกลับ หรือไม่ทันจริงๆ ก็รอมาอีกทีสัปดาห์ถัดไป
สินค้าที่นี่คล้ายๆ กับที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว แต่อาจไม่เยอะเท่า ที่สำคัญคือพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนก็หน้าเดิม ดึกวันเสาร์ขายแยกรัชดา-ลาดพร้าว บ่ายๆ วันพฤหัสฯ ก็ขายตลาดไท วิ่งรอกเหมือนนางงามเดินสายประกวดหลายเวที
“สำราญ สุขคำ” หรือ “ลุงสำราญ” ในหมู่คนขายรถจักรยานโบราณ ถือเป็นเจ้าพ่อที่เชี่ยวเรื่องนี้ จับธุรกิจอยู่นานพอสมควร เริ่มจากสะสมและเปิดขายที่เชียงใหม่ก่อนจะมาบุกตลาดกรุงเทพฯ จนรู้จักมักจี่กับจักรยานเป็นอย่างดี
“สะสมตอนแรกๆ ก็ตอนที่ผมอยู่เชียงใหม่ เห็นชาวบ้านขี่มาทำงาน เออ! ก็สวยดี อยากได้ เลยถามเขาว่ามีอีกไหม จะซื้อมาขี่ พอได้คันแรกก็เก็บมาเรื่อยจนมันเยอะ พร้อมๆ กับศึกษาประวัติไปด้วย” ลุงสำราญ เล่าให้ฟัง “ผมเริ่มนำออกขายตอนที่มีตลาดตรงลานพระบรมรูปทรงม้า แล้วก็มาเป็นสะพานมัฆวานฯ เลิกไป เพราะโดนมองว่าทำลายทัศนียภาพสวยงามยามค่ำคืน จนถึงที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว และตลาดไทนี่ละ”
จักรยานโบราณที่ลุงสำราญนำมาขายนั้น มีหลายราคาและขึ้นอยู่กับรุ่น หายากหรือไม่ เช่นเดียวกับสินค้าของเพื่อนร่วมตลาด ก็มีทั้งถูกและแพงสลับกันไป ใครสนใจ หรือต้องจริต ก็เปิดการเจรจา ส่วนลดมีให้นิดหน่อย แต่ถ้าเป็นขาประจำย่อมได้ราคาพิเศษ ซึ่งนั่นคือเอกลักษณ์ของตลาดมือสอง ไม่ใช่ซื้อขายแค่สินค้า ทว่ายังเป็นการซื้อใจ (คน) ไปในตัว
ตาดีได้ ตาร้ายเสีย
ขึ้นชื่อเป็นของมือสองก็คงไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์เท่ากับของมือหนึ่ง ทางที่ดีควรยึดคตินี้ไว้ เผื่อจะทำใจได้ หลังจากกลับมาถึงบ้าน ของมือสองผ่านการใช้งานมาแล้ว มีบ้างที่สภาพอาจเสื่อม หรือเกิดตำหนิ คนซื้อตรวจตราอย่างถ้วนถี่ก็เป็นโชคดีไป แต่ถ้าโชคร้ายได้ของยิ่งกว่ามือสอง อาจจะมือสามมือสี่ละก็ ขออภัย โทษใครไม่ได้ ในเมื่อคุณเลือกเอง
นี่ไงเขาถึงมีกฎ “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” เวลาซื้อของมือสอง ถึงขั้นสร้าง “เซียน” ให้เกิดขึ้นในวงการ ดูแวบเดียวรู้เลยว่าของมือสองจริงๆ หรือแค่ย้อมแมวขาย และที่สำคัญดูเป็นขนาดชี้ชัด เป็นของแท้ หรือของเทียม
“พงษ์เพชร ศิริวัยวัตร” เจ้าของแผงของเก่าสารพัด มีตั้งแต่เครื่องเคลือบ เครื่องถม สร้อย พระเครื่อง จนถึงอะไหล่รถยนต์หายาก ถือเป็นเซียนดูของมือสองอีกคนที่เจนจัด เนื่องจากคลุกคลีอยู่หลายปี เรียกว่าได้ดิบได้ดิบเพราะของมือสองก็ไม่น่าผิด
เขาเข้าข่ายเป็นคนซื้อมาขายไป เลือกจับสินค้าที่คาดว่าจะมีราคาในอนาคต อาจขายไม่ได้ในวันนี้ แต่เขาจะรอให้ถึงวันนั้น...วันของมัน ที่มีคนสนใจเดินมาแวะและซื้อไปโดยปราศจากอคติในใจว่าคือของมือสอง หรือของมือตำหนิ
“ของมือสองมันก็มีดีและไม่ดี แต่คุณค่าจะน้อยหรือมากก็อยู่ที่คนซื้อว่ามองยังไง บางคนอาจคิดยังงี้ แต่อีกคนอาจมองคนละอย่าง สำหรับผมถ้าชอบซื้อเลย ถ้าคิดว่าสามารถนำไปใช้สอยได้ต่อซื้อเลย ราคาดูไหม...ดู ต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช่เอะอะแพงไว้ก่อน เพราะเห็นเป็นของมือสองหายาก อย่างผมลงทุนไปซื้อของมือสองถึงสิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ผมเลือกเฉพาะที่มันมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมีคนชอบเหมือนเรา ซื้อมาขายไม่ออกก็เก็บเป็นของสะสมได้”
มือสองก็ (มีของ) แพง
“กางเกงตัวนี้เท่าไหร่” ผมยื่นหน้าเข้าไปถามเจ้าของร้านขายยีนส์ร่างท้วม เขายิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบมาว่า “1,800 ครับ” ผมทำทีไปหยิบอีกตัว “แล้วตัวนี้ละ” เขาหันมามองพร้อมกับราคาที่ทำเอาผมหงายหลัง “6,000 ครับ แต่มีส่วนลดนิดหน่อย”
ผมคิดในใจ ยีนส์บ้าอะไร ทำไมแพงหูดับตับไหม้ถึงเพียงนี้ พอลองสอบถาม จึงได้รู้ความจริง (วันนั้น) จากปากข้าราชการกรมป่าไม้วัย 28 ปี “อนุสรณ์ หุ่นทรง” ซึ่งหันมาจับธุรกิจขายยีนส์แบรนด์ดังในวันว่าง
นอกจากของมือสองราคาไม่ธรรมดาที่ร้านอนุสรณ์แล้ว ใช้เวลาสำรวจตลาดทั้ง 3 แห่ง ก็พบว่ายังมีของมือสองอีกนับไม่ถ้วนที่เข้าขั้นแพงถึงแพงมาก...ก อย่างเช่น รถมอเตอร์ไซค์เก่าร้านวีระยุทธ เวสปาสีซีด มีสนิมจับแต่ใช้การได้ดี (เจ้าของยืนกราน) ได้ยินราคาแล้วคุณจะหนาว คันละ 2.85 หมื่นบาท (โอ้...ถ้าผมจะซื้อคันนี้ก็ต้องเก็บเงินถึง 4 เดือนเชียวนะ) หรือแม้แต่คันที่จอดข้างๆ เบ็ดเสร็จก็ 8,500 บาท คนที่รักเวสปาก็ถือว่าไม่มากไม่น้อยไป (ใช่ไหม) หรือร้านจักรยานโบราณลุงสำราญก็ไม่ใช่ย่อย ถูกสุด 3,500 บาท แพงโคตรอยู่ที่ 2 หมื่นบาท “คันละนะ” ลุงย้ำ ผมถึงกับตื่นเต้นสุดขีด เพราะอยากดู แต่ลุงบอกเสียใจด้วยเพิ่งขายไปก่อนผมจะมาถึง แต่ลุงก็ใจดีอุตส่าห์กุลีกุจอหยิบรูปถ่ายแค็ตตาล็อกสินค้าที่ทำขึ้นมาให้เชยชม ห่างกันไม่กี่แผง คือร้านขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง เจ้าของเป็นลุงป้าสูงวัย แต่หัวใจรักดนตรี แกปิดป้ายขายขาดตัว 1.9 หมื่นบาท จะให้เว้ากันซื่อๆ สำหรับผมมันแพงเกิน แต่ใครที่กำลังสะสมอยู่หวานหมู ดูจากสภาพนั้นยังใหม่กิ๊ก แถมเสียงใสกังวานก้อง
เห็นหรือยังละว่า ของมือสองก็มีราคาแพง จนแบรนด์เนมมือหนึ่งยังต้องชิดซ้าย เพราะสู้กับความเก่าและความเก๋าไม่ได้
ตุ๊กตาไม้โยโย่-ล้มลุก ทำของเล่นให้เป็นธุรกิจ
“ตุ๊กตา” ยุคไหน ๆ ก็ยังเป็นของเล่นยอดนิยมของเด็ก ๆ ทั่วไป และก็ได้มีการคิดทำตุ๊กตารูปแบบใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกับตุ๊กตาแปลก ๆ แหวกแนว ด้วยรูปทรงรูปร่าง และสามารถเด้งดึ๋งดุ๊กดิ๊กไปมาได้ ซึ่งเรียกว่า “ตุ๊กตาไม้โยโย่-ตุ๊กตาล้มลุก” และทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากัน...
ฉัตรธิดา เพียรดี เป็นเจ้าของผลงานตุ๊กตาไม้ “ฉัตร ดีไซน์” ดำเนินธุรกิจนี้มากว่า 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ฉัตรธิดาทำธุรกิจค้าไม้ ขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน แต่หลัง ๆ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มจะไม่ราบรื่น จึงวางมือ และหันมาจับธุรกิจนำเข้า “ตุ๊กตาไม้” แทน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าตุ๊กตาไม้นี้ไม่ใช่เป็นแค่ของเล่นอย่างเดียว ตกแต่งบ้านก็ได้ และราคาก็ไม่แพง มันแก้โจทย์ที่ว่าจะทำยังไงให้คนซื้อง่าย ๆ และซื้อเป็นของฝากได้
ตุ๊กตาไม้โยโย่ และตุ๊กตาล้มลุก ของฉัตรธิดานำเข้ามาจากประเทศจีน โดยออกแบบไปให้ทางจีนทำตามที่สั่ง ซึ่งจีนจะมีวัสดุ เครื่องไม้เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ค่าแรงก็ไม่แพงมาก ทำให้ต้นทุนในการผลิตไม่สูง ส่วนไม้ที่นำมาทำก็จะใช้ไม้สนของประเทศจีน ส่วนไม้สนของไทยจะแน่น มีน้ำหนักมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ใครอยากจะลองทำก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่มีอุปกรณ์ช่างไม้ โดยเฉพาะเครื่องกลึง และพอมีฝีมือในทางช่าง รวมไปถึงมีไม้ที่มีคุณสมบัติเบา เนื้อไม้ไม่แน่นมาก ก็สามารถทำได้
วัสดุในการทำ “ตุ๊กตาไม้ล้มลุก” หลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เส้นเอ็น (ที่ใช้ในการตกปลา), 3.สปริง, 4.ด้ายสี, 5.ไหมพรมสีต่าง ๆ, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ
วิธีทำตุ๊กตาล้มลุก เริ่มจาก ร้อยรูปทรงไม้ที่ต้องการให้เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ โดยร้อยเข้าไปในเส้นเอ็นให้เข้ารูป, นำเอ็นที่ร้อยเป็นรูปสัตว์มาเชื่อมกับฐานที่วางตัวสัตว์โดยผูกกับสปริงข้างใน ฐานด้านล่าง, ลงสีเพนท์ ตกแต่ง ให้สวยงามตามใจชอบ, เคลือบด้วยแล็คเกอร์อีกครั้ง แล้วตกแต่งด้วยไหมพรมและด้ายสีเพื่อความสวยงาม
วัสดุในการทำ “ตุ๊กตาไม้โยโย่” หลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เชือกป่าน เชือกผ้า เชือกถัก, 3.ใบพัดตกแต่ง, 4.กาว, 5.ลวดสปริง, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ
วิธีทำตุ๊กตาไม้โยโย่ เริ่มจาก นำท่อนไม้สนมากลึงให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ (ทรงกลม ทรงรี ทรงเหลี่ยม), ไม้สนที่กลึงได้นั้นจะเป็นชิ้นส่วนของหัว ลำตัว มือ รองเท้า, เจาะรูที่ลำตัวสองด้าน ๆ ละ 2 รู เพื่ออัดกาว สอดเชือก ทำเป็นแขนและขา, นำชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบโดยทากาวเข้ารูปร่าง, เพนท์สีตามต้องการ, ทาแล็คเกอร์ทับเพื่อความเงางาม, เจาะรูที่หัวเพื่อร้อยสปริงให้ยืดหยุ่น และแขวนได้
ฉัตรธิดาอธิบายเพิ่มเติมว่า วิธีทำเริ่มจากการกลึงไม้ให้เป็นรูปทรงกลม ทรงรี แล้วนำชิ้นส่วนมาต่อกัน จากนั้นจะเจาะรูเพื่อสอดเชือกให้ดูเป็น แขนขา ซึ่งที่มีวัสดุเชือกเพิ่มขึ้นมาก็เพราะทำให้ตุ๊กตาดูอ่อนช้อยมากขึ้น ดูมีชีวิตชีวาขึ้น และมีสปริงแขวนให้ดูยืดหยุ่น โดยชิ้นส่วนต่อตัวหนึ่งก็จะมีไม้กลึง 3-5 ชิ้น คือส่วนเท้า มือ หัว ตัว คอ และเจาะรูทำสลักในการเชื่อมต่อกัน แล้วใช้กาวติด
“เราจะเน้นหนักไปที่เรื่องของการเพนท์ การลงสี สีนั้นจะใช้เป็นสีน้ำทาไม้ธรรมดาทั่วไป อุปกรณ์ก็จะหาได้ง่ายไม่ยุ่งยาก แต่จะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ”
สำหรับ “ตุ๊กตาโยโย่” นั้น เป็นแบบใหม่ ทำขายเพราะสามารถสร้าง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เมื่อใครต่อใครพบเห็น ดูตลก น่ารักดี มันดูอิสระ เหมือนปลดปล่อย
ส่วน “ตุ๊กตาล้มลุก” จะมีเอ็นที่ใช้ตกปลา มาร้อยเป็นรูปร่างได้ และมีสปริงติดอยู่ที่ฐานข้างใต้ พอกดแล้วตุ๊กตามันก็จะล้มลง พอปล่อยสปริงด้านล่างก็จะยืดตรงตั้งขึ้นเหมือนเดิม
ตุ๊กตาไม้ล้มลุก และตุ๊กตาไม้โยโย่ มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่าแค่ของเล่น ราคาก็ไม่แพงมาก เหมาะที่จะเป็นของฝาก ของขวัญ ของที่ระลึก ในเทศกาล หรือให้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
ทุนเบื้องต้นในการทำขาย ก็ตั้งแต่ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ ขณะที่ราคาขายอยู่ที่ตัวละ 40 บาทขึ้นไป โดย 40 บาทเป็นราคาขายส่ง ต้นทุนวัสดุจะตกประมาณ 70% ของราคา
ใครสนใจจะติดต่อ ฉัตรธิดา เพียรดี ก็ติดต่อได้ที่ 72/72 หมู่ 1 หมู่บ้านมณีรินทร์ ถนน 345 ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี 10200 โทร. 08-6704-3335 ส่วนใครที่พิจารณาจากข้อมูลนี้แล้วได้ไอเดีย อยากจะลองทำตุ๊กตาไม้แปลก ๆ ขายบ้าง ก่อนอื่นก็คงต้องฝึกฝนฝีมือให้ดีเสียก่อน.
ฉัตรธิดา เพียรดี เป็นเจ้าของผลงานตุ๊กตาไม้ “ฉัตร ดีไซน์” ดำเนินธุรกิจนี้มากว่า 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ฉัตรธิดาทำธุรกิจค้าไม้ ขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน แต่หลัง ๆ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มจะไม่ราบรื่น จึงวางมือ และหันมาจับธุรกิจนำเข้า “ตุ๊กตาไม้” แทน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าตุ๊กตาไม้นี้ไม่ใช่เป็นแค่ของเล่นอย่างเดียว ตกแต่งบ้านก็ได้ และราคาก็ไม่แพง มันแก้โจทย์ที่ว่าจะทำยังไงให้คนซื้อง่าย ๆ และซื้อเป็นของฝากได้
ตุ๊กตาไม้โยโย่ และตุ๊กตาล้มลุก ของฉัตรธิดานำเข้ามาจากประเทศจีน โดยออกแบบไปให้ทางจีนทำตามที่สั่ง ซึ่งจีนจะมีวัสดุ เครื่องไม้เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ค่าแรงก็ไม่แพงมาก ทำให้ต้นทุนในการผลิตไม่สูง ส่วนไม้ที่นำมาทำก็จะใช้ไม้สนของประเทศจีน ส่วนไม้สนของไทยจะแน่น มีน้ำหนักมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ใครอยากจะลองทำก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่มีอุปกรณ์ช่างไม้ โดยเฉพาะเครื่องกลึง และพอมีฝีมือในทางช่าง รวมไปถึงมีไม้ที่มีคุณสมบัติเบา เนื้อไม้ไม่แน่นมาก ก็สามารถทำได้
วัสดุในการทำ “ตุ๊กตาไม้ล้มลุก” หลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เส้นเอ็น (ที่ใช้ในการตกปลา), 3.สปริง, 4.ด้ายสี, 5.ไหมพรมสีต่าง ๆ, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ
วิธีทำตุ๊กตาล้มลุก เริ่มจาก ร้อยรูปทรงไม้ที่ต้องการให้เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ โดยร้อยเข้าไปในเส้นเอ็นให้เข้ารูป, นำเอ็นที่ร้อยเป็นรูปสัตว์มาเชื่อมกับฐานที่วางตัวสัตว์โดยผูกกับสปริงข้างใน ฐานด้านล่าง, ลงสีเพนท์ ตกแต่ง ให้สวยงามตามใจชอบ, เคลือบด้วยแล็คเกอร์อีกครั้ง แล้วตกแต่งด้วยไหมพรมและด้ายสีเพื่อความสวยงาม
วัสดุในการทำ “ตุ๊กตาไม้โยโย่” หลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เชือกป่าน เชือกผ้า เชือกถัก, 3.ใบพัดตกแต่ง, 4.กาว, 5.ลวดสปริง, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ
วิธีทำตุ๊กตาไม้โยโย่ เริ่มจาก นำท่อนไม้สนมากลึงให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ (ทรงกลม ทรงรี ทรงเหลี่ยม), ไม้สนที่กลึงได้นั้นจะเป็นชิ้นส่วนของหัว ลำตัว มือ รองเท้า, เจาะรูที่ลำตัวสองด้าน ๆ ละ 2 รู เพื่ออัดกาว สอดเชือก ทำเป็นแขนและขา, นำชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบโดยทากาวเข้ารูปร่าง, เพนท์สีตามต้องการ, ทาแล็คเกอร์ทับเพื่อความเงางาม, เจาะรูที่หัวเพื่อร้อยสปริงให้ยืดหยุ่น และแขวนได้
ฉัตรธิดาอธิบายเพิ่มเติมว่า วิธีทำเริ่มจากการกลึงไม้ให้เป็นรูปทรงกลม ทรงรี แล้วนำชิ้นส่วนมาต่อกัน จากนั้นจะเจาะรูเพื่อสอดเชือกให้ดูเป็น แขนขา ซึ่งที่มีวัสดุเชือกเพิ่มขึ้นมาก็เพราะทำให้ตุ๊กตาดูอ่อนช้อยมากขึ้น ดูมีชีวิตชีวาขึ้น และมีสปริงแขวนให้ดูยืดหยุ่น โดยชิ้นส่วนต่อตัวหนึ่งก็จะมีไม้กลึง 3-5 ชิ้น คือส่วนเท้า มือ หัว ตัว คอ และเจาะรูทำสลักในการเชื่อมต่อกัน แล้วใช้กาวติด
“เราจะเน้นหนักไปที่เรื่องของการเพนท์ การลงสี สีนั้นจะใช้เป็นสีน้ำทาไม้ธรรมดาทั่วไป อุปกรณ์ก็จะหาได้ง่ายไม่ยุ่งยาก แต่จะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ”
สำหรับ “ตุ๊กตาโยโย่” นั้น เป็นแบบใหม่ ทำขายเพราะสามารถสร้าง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เมื่อใครต่อใครพบเห็น ดูตลก น่ารักดี มันดูอิสระ เหมือนปลดปล่อย
ส่วน “ตุ๊กตาล้มลุก” จะมีเอ็นที่ใช้ตกปลา มาร้อยเป็นรูปร่างได้ และมีสปริงติดอยู่ที่ฐานข้างใต้ พอกดแล้วตุ๊กตามันก็จะล้มลง พอปล่อยสปริงด้านล่างก็จะยืดตรงตั้งขึ้นเหมือนเดิม
ตุ๊กตาไม้ล้มลุก และตุ๊กตาไม้โยโย่ มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่าแค่ของเล่น ราคาก็ไม่แพงมาก เหมาะที่จะเป็นของฝาก ของขวัญ ของที่ระลึก ในเทศกาล หรือให้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
ทุนเบื้องต้นในการทำขาย ก็ตั้งแต่ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ ขณะที่ราคาขายอยู่ที่ตัวละ 40 บาทขึ้นไป โดย 40 บาทเป็นราคาขายส่ง ต้นทุนวัสดุจะตกประมาณ 70% ของราคา
ใครสนใจจะติดต่อ ฉัตรธิดา เพียรดี ก็ติดต่อได้ที่ 72/72 หมู่ 1 หมู่บ้านมณีรินทร์ ถนน 345 ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี 10200 โทร. 08-6704-3335 ส่วนใครที่พิจารณาจากข้อมูลนี้แล้วได้ไอเดีย อยากจะลองทำตุ๊กตาไม้แปลก ๆ ขายบ้าง ก่อนอื่นก็คงต้องฝึกฝนฝีมือให้ดีเสียก่อน.
10 ร้าน 10 รส คนบันเทิง ขยันทำมาหากิน
อาชีพดารา นักร้อง นักแสดง ถือเป็นอาชีพที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากเข้าไปสัมผัส เพราะในสายตาของคนทั่วไปแล้วมองว่าอาชีพนี้นอกจากจะได้แต่งตัวสวย เป็นผู้นำแฟชั่น เป็นไอดอลของเด็กและเยาวชนแล้วยังมีรายได้ที่งดงามตามมาด้วย
แต่ทว่าในความเป็นจริง อาชีพที่ขายหน้าตา ขายเสียงนั้น แทบไม่มีความจีรังยั่งยืน เพราะทุกปีจะมีคนที่ใหม่กว่า สดกว่าก้าวขึ้นมาประชันฝีมือบนเวทีแห่งนี้ตลอด สปอตไลต์ที่เคยสาดส่องก็เริ่มจะเปลี่ยนทิศ ดังนั้นเมื่อเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มเก็บหอมรอมริบเงินได้ก้อนหนึ่ง บรรดาคนบันเทิงก็นิยมเปิดกิจการเป็นของตนเองเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตวันข้างหน้าในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปคนบันเทิงมีวิธีคิดในการเลือกประกอบอาชีพที่สองอย่างไร แล้วแต่ละคนประสบความสำเร็จแค่ไหน เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของแฟนคนบันเทิงอย่างยิ่ง
ในงาน พลังสร้างไทย พลังใจสร้างอาชีพ ที่ M-150 ได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อช่วยลดวิกฤตคนว่างงาน จึงไม่เพียงแต่จัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับสินค้าโอท็อปทั่วประเทศนำสินค้ามาร่วมแสดงแล้วยังกันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับเหล่านักร้อง นักแสดง ที่ได้ประกอบอาชีพอิสระมาร่วมออกบูทประชันลีลาการผลิตสินค้าและขายสินค้า เรียกให้ผู้สนใจอยากกระทบไหล่คนบันเทิงกันแบบใกล้ชิดได้เดินเข้ามาร่วมงาน
นานๆ คนบันเทิงจะได้มีโอกาสมารวมตัวกันออกร้าน งานนี้จึงมีทั้งผู้ที่ใคร่ชิมสินค้า ผู้ที่ใคร่ถ่ายรูปพูดคุยกับดารา และผู้ที่สนใจอาชีพอิสระเข้าไปร่วมงานอย่างคึกคัก
วีเจ จ๋า-ไอศกรีมโอลูรี่
ร้านแรกไอศกรีม "โอลูรี่" ชื่อร้านเป็นภาษาฮาวาย เจ้าของไม่ใช่ใครอื่น เป็นของ VJ จ๋า "ณัฐฐาวีรานุช ทองมี"
ความหมายของชื่อร้าน คือ การเขย่า (shake) เหมือนกับการผสมเครื่องดื่มนั่นเอง "จ๋า" บอกว่า "ชีวิตคนเราอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ วันนี้มีเงินพรุ่งนี้ก็อาจจะหมดได้ เราจึงต้องพยายามหาเส้นทางที่ทำให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้" ข้อคิดง่ายๆ แต่ได้ใจของสาว "จ๋า" บอกเล่าถึงที่มาที่ไปของการก้าวเข้ามาจับธุรกิจนี้ได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม "จ๋า" ยังบอกอีกว่า "ช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ ร้านโอลูรี่ ก็ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะคนมีการใช้จ่ายน้อยลงแต่สินค้าประเภทอาหารเครื่องดื่มมีราคาไม่แพงมาก เรียกว่าราคาน่ารักๆ พอคุยกันจึงทำให้คนมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่เรื่อยๆ" "ร้านโอลูรี่" มีไอศกรีมหลากหลายรสที่บางส่วนมีการดัดแปลงสูตรมาทำบ้าง บางสูตรทาง "ร้านโอลูรี่" ก็มีการคิดค้นขึ้นเองด้วย อย่างเช่น สูตรสตรอว์เบอร์รี่สมูทตี้ แต่ที่เด็ดสุดของร้านนี้ที่แนะนำผ่านประชาชาติธุรกิจมา คือ ไอศกรีมโมจิ สีสวยน่ารัก เรียกว่าอร่อยแบบ VJ จ๋า ต้องที่โอลูรี่เท่า
หนุ่มแทน-ลูกชิ้นดาวร้าย
มาถึงร้านที่สองใช้ชื่อแบรนด์แบบบู๊ๆ ว่า "ลูกชิ้นดาวร้าย" เป็นของ ฐิติ พุ่มอ่อน หรือ "หนุ่มแทน" ดาวร้ายหน้าหล่อที่มีอีกด้านที่น่ารักเหมือนกัน "แทน" บอกว่า "แบรนด์ลูกชิ้นดาวร้ายทำมาได้เกือบ 2 ปี ทุกวันนี้คนเริ่มรู้จักกันมากขึ้น สาเหตุที่มีลูกชิ้นดาวร้ายก็เพราะ เห็นว่ามี "ลูกชิ้นปู-เด๋อ" ก็เลยลองทำลูกชิ้นดาวร้ายขึ้นมาบ้าง" ช่างเป็นชื่อร้านที่เหมาะเจาะกับรูปลักษณ์ของเจ้าของร้านมากเลย "แทน" บอกถึงความพิเศษของลูกชิ้นดาวร้ายที่โดดเด่นแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ว่า เป็นลูกชิ้นที่ชาวมุสลิมสามารถซื้อทานได้ด้วย และถ้าจะทานให้อร่อยมีสูตรว่าต้องทานคู่กับน้ำจิ้มนางเอกของทางร้าน ที่สำคัญลูกชิ้นดาวร้ายใช้วัตถุดิบอย่างดีไม่มีผสมแป้งเพื่อลดต้นทุน"แทน" แอบกระซิบบอกว่า น้ำจิ้มของลูกชิ้นดาวร้ายได้รวมนางเอกไว้ครบทุกรส ทั้งรสหวาน รสเปรี้ยว รสเผ็ด ดังนั้นจึงเป็นสูตรเด็ดที่อร่อยไม่เหมือนใคร
ติ๊ก ชีโร่-โดนัท โด ดี โด
ร้านที่สาม อร่อยแบบหวานๆ กับร้าน "โดนัท โด ดี โด" โดนัทแป้งดีของนักร้องหนุ่มอารมณ์ดี โต้ ชีริ๊ก "ติ๊ก ชีโร่"
ร้านนี้เจ้าของร้านเลือกใช้โทนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ ทุกครั้งที่ต้องไปยืนเป็นพรีเซ็นเตอร์หน้าร้าน ติ๊ก ชีโร่ จึงต้องใส่สีเขียวทั้งชุด เพื่อให้กลมกลืน ทั้งกล่อง ทั้งถุงใส่ขนมร้านนี้ก็ยังใช้กระดาษเป็นสีเขียว ไม่ต้องพูดถึงพนักงานขายหน้าร้านอย่างไรหนีไม่พ้นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดเสื้อสีเขียว เรียกว่าเขียวทั้งร้าน เพราะคอนเซ็ปต์เขาวางไว้อย่างนี้"ติ๊ก ชีโร่" ให้เหตุผลแบบอินเทรนด์ว่า เพื่อร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหามาแรงจึงนำเสนอทุกอย่างเป็นแพ็กเกจสีเขียวโดนัทแบรนด์โด ดี โดนี้ถือเป็นอีกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง เพราะเปิดมายังไม่ถึงปี ปัจจุบันมีทั้งหมดเกือบ 10 แห่ง โดยไม่ได้ขายแฟรนไชส์ให้กับที่อื่น เรียกว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการขายสินค้าเข้ากระเป๋าพี่ติ๊กคนเดียว ติ๊กเล่าให้ฟังว่า โดนัทในร้านเป็นสูตรที่คิดขึ้นมาเองเพราะเห็นว่าคนเดี๋ยวนี้เริ่มรักษาสุขภาพของตัวเองแล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องของอาหารการกินกันมากขึ้น ทางร้านจึงเลือกใช้สูตรแป้งที่มีน้ำตาลน้อย (low sugar) เพื่อตอบโจทย์สาวๆ ที่ห่วงรูปร่างของตัวเองก็สามารถทานได้อย่างสบายหายห่วง โดยมีเมนูให้เลือก 40 กว่ารสชาติ แต่รสชาติที่ฮิตที่สุดพนักงานขายหน้าร้านกระซิบบอกมา คือ โดนัทตุ๊กตาหน้ายิ้ม และเค้กแยมจุด ที่เห็นเป็นรูปการ์ตูนติดอยู่ที่ถุงใส่ขนม และสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเลือกเดินเข้าร้านโดนัท โด ดี โด กันอย่างเนืองแน่นก็เพราะสินค้าของร้านแห่งนี้ผลิตกันใหม่สดทุกวัน การันตีว่าไม่มีของค้างคืน ใครอยากลิ้มรสโดนัทในสไตล์ช่วยลดโลกร้อนว่าเป็นอย่างไร ก็แวะกันไปได้ที่ร้าน "โดนัท โด ดี โด" ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งแฟชั่นไอส์แลนด์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และที่อื่นๆ อีกมากมาย
หนุ่มเอ-ปลาดุกฟู
เดินมาถึงร้านที่สี่ ไม่แวะก็คงไม่ได้ ร้านนี้เป็นของ "หนุ่มเอ เชิญยิ้ม" ขายยำปลาดุกฟู ตั้งชื่อร้านแบบน่ารักๆ ว่า "ฟู๊ ฟู เอเชิญยิ้ม"
กรรมวิธีในการทำยำปลาดุกฟูดูเหมือนจะง่ายๆ แต่หนุ่มเอบอกว่าไม่หมูเหมือนกัน กว่าจะได้อาหารรสเลิศมาเสิร์ฟผู้บริโภคต้องคัดปลาอย่างดีนำมาต้มจนสุกแล้วลอกเอาเฉพาะเนื้อของปลาแล้วนำมาปั่นให้ละเอียดจนเข้ากันดีแล้ว จากนั้นนำมาทอดในน้ำมันที่เดือดจนเหลืองกรอบ ซึ่งที่ร้านจะใช้เนื้อปลาล้วนๆ ไม่ผสมแป้งจึงมีความกรอบนอกนุ่มใน เวลาทานเข้าไปแล้วจะเหมือนเส้นสายไหมที่เป็นขนมหวาน เรียกว่ากว่าจะมาเป็นยำปลาดุก ฟู๊ ฟู ได้ก็ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เสียปลาดุกฟรีไปหลายกิโลกรัม เพราะครั้งแรกที่ทำออกมาหน้าตาเป็นยำปลาดุกแฟบ ต้องพัฒนาสูตรกันอยู่นาน พยายามหากรรมวิธีจนกลายมาเป็นยำปลาดุกฟูในแบบที่น่ารับประทานเช่นปัจจุบัน หลายวันอาจจะยังไม่รู้ว่า ทำไมหนอหนุ่มเอจึงเลือกขายปลาดุกฟู มันอินเทรนด์ ตรงไหน เมื่อสอบถามพนักงานได้รับคำตอบว่า การที่หนุ่ม "เอ" เลือกทำยำปลาดุกเพราะส่วนหนึ่งเป็นคนอิสลาม เห็นหน้าตาหล่อตี๋แบบนี้ไม่บอกไม่รู้เลยนะนี่ว่ามีเชื้อ จะว่าไปแล้วตอนนี้ฟู๊ ฟูก็เฟื่องฟูไม่น้อยกว่าธุรกิจของคนบันเทิงคนอื่นๆ เพราะมีร้านแฟรนไชส์ถึง 10 แห่งแล้ว แถมยังมีรับจัดงานเลี้ยงนอกสถานที่อีกด้วย
ตี๋ ดอกสะเดา-ไอศกรีมทอด
ร้านที่ห้า เห็นแล้วต้องแปลกใจ แค่ชื่อร้าน "ไอศกรีมทอด ตี๋ ดอกสะเดา" ก็ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตั้งคำถามแล้วว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นคำเชิญชวนที่ว่า อร่อยขึ้นตา มีให้เลือก 5 รสชาติ ยิ่งเพิ่มข้อสังสัยต้องเดินเข้าไปสอบถาม
"หนุ่มตี๋" คุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองว่า ทำตรงนี้มาได้ 2 ปีแล้ว ธุรกิจมีขึ้นมีลงบ้างตามสภาพเศรษฐกิจของสังคม แต่ก็พออยู่ได้ในระดับหนึ่ง ตอนนี้มีแฟรนไชส์ทั้งหมด 167 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่างจังหวัด โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และที่เลือกทำธุรกิจนี้เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบทานของแปลก ไอศกรีมเย็นๆ ทอดในความร้อนที่สูงแต่ไม่ละลาย ถือเป็นของหวานอีกชนิดที่ช่วยคลายร้อนได้ดีเมื่อถามของเรื่องอุปสรรคในการทำงาน "หนุ่มตี๋" บอกว่าก็มีบ้าง อย่างเช่นปัญหาการเจาะตลาดหรือแหล่งที่ขายว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาด"หนุ่มตี๋" แม้จะเลือกอาชีพตลกเป็นอาชีพหลัก แต่ชีวิตจริงที่ไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา เขาจึงต้องหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตอีกทางหนึ่ง
จอน ม๊กจ๊ก-น้ำพริกสู้ชีวิต
ร้านที่หก ไม่ลองไม่รู้กับ น้ำพริกสู้ชีวิต ของตลกสาวแคระสู้ชีวิต จอน ม๊กจ๊ก ลิ้มรสแล้วอร่อยไม่แพ้เจ้าอื่น
ถ้าจะพูดถึงชีวิตของหญิงเหล็กคนหนึ่งที่เศร้าและทุกข์ไม่แพ้เรื่องราวในละครไทย แต่เธอก็ไม่เคยท้อกับชีวิตที่บางครั้งต้องนั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายเธอเลือกที่จะให้กำลังใจตัวเองด้วยการลุกขึ้นสู้ใหม่เสมอ แม้ในสายตาหลายคนจะมองเธอว่าเป็นตลกตกอับ แต่ "จอน" บอกว่า "ไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นแต่พยายามทำทุกอย่างด้วยน้ำพักน้ำแรงที่ตัวเองมี เพราะสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่การตกอับแต่มันเป็นเรื่องของการสร้างอาชีพเสริมให้กับตัวเอง หากพรุ่งนี้ไม่มีงานตลก แต่ก็ยังมีน้ำพริกให้ขาย ที่สำคัญสิ่งที่ทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนทุกการกระทำ ทุกความตั้งใจเพื่อความอยู่รอดเหมือนกับทุกๆ ชีวิตในสังคม" "จอน" บอกว่า ทำ "น้ำพริกสู้ชีวิต" มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว ชีวิตพออยู่ได้ ที่สำคัญยังได้กำลังใจดีๆ จากคนรอบข้างเสมอ การทำน้ำพริกตอนนี้ก็ไม่ลำบากมากเพราะมีลูกมือช่วยทำ 2-3 คน เป็นน้ำพริกที่ไม่ผสมสารกันบูด คิดเอง ทำเอง ทุกขั้นตอน
อิทธิ พลางกูร-ไก่ทอดเก็บตะวัน
ร้านที่เจ็ด อิ่มอร่อยแบบทอดๆ กับ "รานไก่ทอดเก็บตะวัน ของ ครอบครัวอิทธิ พลางกูร
แค่เห็นชื่อร้านไก่ทอดก็ต้องนึกถึงเพลงเก็บตะวันที่พี่อิทธิ พลางกูร เคยร้องเอาไว้ เพราะเพลงนี้ไม่เพียงแต่มีเนื้อหากินใจ เสียงของนักร้องยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ผู้ฟังอินทุกครั้งที่เสียงเพลงนี้ลอยมาตามสายลมครอบครัวของคุณอิทธิ พลางกูร บอกว่า "ไก่ทอดเก็บตะวันทำผ่านมาได้ 1 ปีแล้ว เหตุผลที่เลือกทำไก่ทอดเก็บตะวันเพราะทางครอบครัวชอบทานไก่ทอดเป็นอาหารหลักของบ้าน เมื่อก่อนเวลาเดินทางไปไหนก็จะมีข้าวเหนียวไก่ทอดไปทานด้วยทุกครั้งแล้วก็อยากจะแบ่งปันความอร่อยให้กับคนอื่นบ้าง"ในวันที่คิดจะเปิดกิจการนี้ก็มานั่งคิดกันว่าจะตั้งชื่อร้านว่าอะไรดี สุดท้ายก็มาสรุปที่ร้านไก่ทอดเก็บตะวัน ซึ่งอิทธิ พลางกูร เป็นคนตั้งเอง ซึ่งทางร้านก็ไม่ได้มีแค่ไก่ทอดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีปูจ๊อ หอยจ๊อ ปูจ๋า กุ้งพันอ้อย และเร็วๆ นี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ชื่อว่า "น้ำพริกยังจำไว้" ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของครอบครัวพลางกูร ไม่ใส่ผงชูรสและสารกันบูด เจ้าของร้านบอกว่า ร้านนี้ไม่เหมือนร้านไก่สูตรอื่นๆ เพราะใช้สูตรพิเศษในการหมักไก่ทำให้รสชาติดี ถ้าใครติดใจรสชาติก็ต้องคอยติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะร้านนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีแฟรนไชส์ ไม่มีสาขาแล้ว ยังไม่ได้เปิดขายเป็นประจำทุกวัน แต่จะเปิดเฉพาะในช่วงออกงานต่างๆ เท่านั้น
ตาโย่ง-น้ำพริก ร้านที่แปด อร่อยแบบไทยๆ กับ น้ำพริกตาโย่ง
แค่ได้ยินชื่อน้ำพริก หน้าของตลกโย่ง ก็ลอยมาทันที
น้ำพริกตาโย่งเป็นอย่างไร น้าโย่งบอกว่า "น้ำพริกแบรนด์นี้ทำมาได้เกือบ 8 ปีแล้ว เริ่มจากที่ตอนแรกก็ทำอาชีพตลกเพียงอย่างเดียว แต่ก็เริ่มมาคิดได้ว่าวันนี้มีคนดูเรา แต่วันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีคนดูก็ได้ เพราะชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ยั่งยืนจึงคิดทำธุรกิจเสริม แต่ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่ก็พยายามคิดจากสิ่งที่มีที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่บ้านทำน้ำพริกอร่อย ประกอบกับตัวเองชอบรับประทานน้ำพริกอยู่แล้ว บางครั้งก็ห่อไปรับประทานที่ทำงานแล้วก็แบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ที่ทำงานรับประทานด้วย หลายๆ คนก็ชมว่าอร่อยก็เลยคิดขึ้นมาได้เลยว่าน่าจะลองทำน้ำพริกดู ถ้าใครชอบรับประทานน้ำพริกจะรู้ว่าในท้องตลาดนั้นมีแต่น้ำพริกของยอดคุณแม่ทั้งนั้น ทั้งแม่ประนอม แม่บุญเรือง พอน้ำพริกตาโย่งออกมาเปิดตลาด หลายคนจึงอยากลิ้มชิมรสดูสักครั้ง น้าโย่งบอกว่า น้ำพริกนี้เป็นน้ำพริกผู้ชายรายแรกของไทยถึงแม้จะมีแบรนด์อื่นตามมาก็ตาม แต่จนถึงทุกวันนี้แม้จะเจอกับพิษเศรษฐกิจบ้างก็ไม่ได้รับผลกระทบ มากมายเพราะเป็นธุรกิจขนาดย่อมที่มีการลงทุนไม่มาก แต่ก็ต้องขยันมากขึ้นเพื่อให้อยู่ได้ แถมยังได้ลูกสาวสุดที่รักมาช่วยดูแลในเรื่องของการตลาดด้วยจึงทำให้ทั่วทุกภาคของไทยมีน้ำพริกตาโย่งขายอยู่ทั่ว และที่น่าสนใจคือ ตอนนี้มีถึงสิบสูตรเป็นสูตรที่คิดเองทำเองจากคนที่บ้าน ตอนแรกก็ใช้พื้นที่ที่บ้านทำแต่ก็เริ่มขยับขยายจนตอนนี้ต้องผลิตในโรงงาน ตอนแรกที่ทำคิดแค่ว่าคงจะขายได้ หรือขายได้เพราะหน้าตา ชื่อเสียง ที่อยู่ข้างกระปุก แต่เมื่อคนซื้อกลับมาซื้ออีกครั้งที่ 2-3 เราก็รู้สึกชื่นใจว่าของเราก็ยังอร่อย สำหรับอาชีพตลกน้าโย่งบอกว่า ก็ยังรักไม่เปลี่ยนเพราะน้าโย่งรักในสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตมีอย่างทุกวันนี้ เรื่องเงินไม่สำคัญขอให้ได้เล่นตลกให้คนหัวเราะมีความสุขเป็นใช้ได้
ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ
ร้านที่เก้า ชื่อนี้แทบไม่มีใครรู้จัก เดินไปตลาดไหนก็เจอ ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ
จุดเริ่มต้นของ "ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ" กล่าวขานกันว่า มาจากในช่วงตั้งครรภ์ "ปู" (กนกวรรณ บุรานนท์) ว่างไม่ได้รับงานแสดงหรือโชว์ตัวใดๆ ทำให้เกิดความคิดที่ต้องการจะมีอาชีพอื่นเพื่อรองรับอาชีพนักแสดงที่อาจจะลดน้อยลงในอนาคต ซึ่งการที่เลือกขายลูกชิ้นมาจากในช่วงงานกาชาดทุกปีจะเชิญนักแสดงไปร่วมออกบูทขายสินค้าเพื่อสร้างสีสันให้กับงาน และในปีนั้นได้เลือกขายลูกชิ้นปรากฏว่าสามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี จากจุดตรงนี้เองที่เป็นตัวจุดประกายให้เกิดธุรกิจลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ ที่ได้รับความนิยมในวันนี้"ลูกชิ้นที่นำมาขายช่วงแรกนั้นรับมาขายอีกที่หนึ่งยังไม่ได้ทำเองเหมือนในปัจจุบัน ส่วนสูตรในการทำก็พยายามพัฒนาและลองผิดลองถูกด้วยตัวเองได้สูตรอะไรมาก็ทดลองทำหมด หมูหมดไปหลายกิโลเหมือนกันกว่าจะได้ "ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ" ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน เจ้าของร้านเล่าให้ฟังและบอกต่ออีกว่า ทาง "ปู" และ "คุณเด๋อ" ตั้งใจไว้ว่าจะยึดธุรกิจนี้เป็นอาชีพหลักต่อไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะการเป็นนักแสดงไม่สามารถสืบทอดต่อไปจนถึงรุ่นลูกได้ แต่การสร้างธุรกิจของเราเองสามารถสร้างอาชีพให้แก่ลูกต่อไปได้ในอนาคต จุดเริ่มต้นในตอนแรกแม้ว่าจะเหนื่อยมาก ทั้ง "ปู" และ "คุณเด๋อ" เพราะทั้งคู่มักจะออกมาขายและแนะนำสินค้าด้วยตัวเองเสมอ เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบคนอื่นๆ ตรงที่เป็นนักแสดงทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้า ทั่วทุกสารทิศ หลังจากลูกค้าคนหนึ่งได้ชิมก็บอกต่อ แล้วมีการกลับมาซื้อครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ยอดขายจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความเป็นดารา นักแสดงจะเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้การขายสินค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ปูกับเด๋อก็เชื่อว่าสุดท้ายสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจอาหาร คือ ความใส่ใจในรสชาติ และขั้นตอนการผลิต เพราะอยากให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุด
ถั่วแระ เชิญยิ้ม-ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
มากันที่ร้านสุดท้าย ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำของนายกสมาคมตลกอย่าง ถั่วแระ เชิญยิ้ม ที่ขายหมดก่อนใครเพื่อน แสดงว่าของเขาดีจริงๆ ไม่รู้ว่าหนุ่มเคราแพะ ถั่วแระ เชิญยิ้ม ใช้สูตรพิเศษอะไรในการทำน้ำซุปถึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หรือว่ามีคาถาดีเรียกคนเข้าร้าน หลังจากเดินสำรวจแล้วพบแต่ตู้เปล่าๆ เลยหมดโอกาสหาคำตอบมาฝากผู้อ่าน เอาไว้คราวหน้าปะหน้าถั่วแระจะรีบไขปริศนานี้ทันทีทั้งหมดคือตัวอย่างของ "คนบันเทิง" ที่ไม่ได้ติดอยู่กับความรุ่งโรจน์ในปัจจุบัน แต่มองไปถึงอนาคตว่าจะอยู่อย่างไรอย่างมั่นคงและมีความสุข อาชีพอิสระที่เหล่าคนบันเทิงเลือกทำจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหรือแผนสำรองในการใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน
แต่ทว่าในความเป็นจริง อาชีพที่ขายหน้าตา ขายเสียงนั้น แทบไม่มีความจีรังยั่งยืน เพราะทุกปีจะมีคนที่ใหม่กว่า สดกว่าก้าวขึ้นมาประชันฝีมือบนเวทีแห่งนี้ตลอด สปอตไลต์ที่เคยสาดส่องก็เริ่มจะเปลี่ยนทิศ ดังนั้นเมื่อเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มเก็บหอมรอมริบเงินได้ก้อนหนึ่ง บรรดาคนบันเทิงก็นิยมเปิดกิจการเป็นของตนเองเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตวันข้างหน้าในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปคนบันเทิงมีวิธีคิดในการเลือกประกอบอาชีพที่สองอย่างไร แล้วแต่ละคนประสบความสำเร็จแค่ไหน เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของแฟนคนบันเทิงอย่างยิ่ง
ในงาน พลังสร้างไทย พลังใจสร้างอาชีพ ที่ M-150 ได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อช่วยลดวิกฤตคนว่างงาน จึงไม่เพียงแต่จัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับสินค้าโอท็อปทั่วประเทศนำสินค้ามาร่วมแสดงแล้วยังกันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับเหล่านักร้อง นักแสดง ที่ได้ประกอบอาชีพอิสระมาร่วมออกบูทประชันลีลาการผลิตสินค้าและขายสินค้า เรียกให้ผู้สนใจอยากกระทบไหล่คนบันเทิงกันแบบใกล้ชิดได้เดินเข้ามาร่วมงาน
นานๆ คนบันเทิงจะได้มีโอกาสมารวมตัวกันออกร้าน งานนี้จึงมีทั้งผู้ที่ใคร่ชิมสินค้า ผู้ที่ใคร่ถ่ายรูปพูดคุยกับดารา และผู้ที่สนใจอาชีพอิสระเข้าไปร่วมงานอย่างคึกคัก
วีเจ จ๋า-ไอศกรีมโอลูรี่
ร้านแรกไอศกรีม "โอลูรี่" ชื่อร้านเป็นภาษาฮาวาย เจ้าของไม่ใช่ใครอื่น เป็นของ VJ จ๋า "ณัฐฐาวีรานุช ทองมี"
ความหมายของชื่อร้าน คือ การเขย่า (shake) เหมือนกับการผสมเครื่องดื่มนั่นเอง "จ๋า" บอกว่า "ชีวิตคนเราอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ วันนี้มีเงินพรุ่งนี้ก็อาจจะหมดได้ เราจึงต้องพยายามหาเส้นทางที่ทำให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้" ข้อคิดง่ายๆ แต่ได้ใจของสาว "จ๋า" บอกเล่าถึงที่มาที่ไปของการก้าวเข้ามาจับธุรกิจนี้ได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม "จ๋า" ยังบอกอีกว่า "ช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ ร้านโอลูรี่ ก็ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะคนมีการใช้จ่ายน้อยลงแต่สินค้าประเภทอาหารเครื่องดื่มมีราคาไม่แพงมาก เรียกว่าราคาน่ารักๆ พอคุยกันจึงทำให้คนมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่เรื่อยๆ" "ร้านโอลูรี่" มีไอศกรีมหลากหลายรสที่บางส่วนมีการดัดแปลงสูตรมาทำบ้าง บางสูตรทาง "ร้านโอลูรี่" ก็มีการคิดค้นขึ้นเองด้วย อย่างเช่น สูตรสตรอว์เบอร์รี่สมูทตี้ แต่ที่เด็ดสุดของร้านนี้ที่แนะนำผ่านประชาชาติธุรกิจมา คือ ไอศกรีมโมจิ สีสวยน่ารัก เรียกว่าอร่อยแบบ VJ จ๋า ต้องที่โอลูรี่เท่า
หนุ่มแทน-ลูกชิ้นดาวร้าย
มาถึงร้านที่สองใช้ชื่อแบรนด์แบบบู๊ๆ ว่า "ลูกชิ้นดาวร้าย" เป็นของ ฐิติ พุ่มอ่อน หรือ "หนุ่มแทน" ดาวร้ายหน้าหล่อที่มีอีกด้านที่น่ารักเหมือนกัน "แทน" บอกว่า "แบรนด์ลูกชิ้นดาวร้ายทำมาได้เกือบ 2 ปี ทุกวันนี้คนเริ่มรู้จักกันมากขึ้น สาเหตุที่มีลูกชิ้นดาวร้ายก็เพราะ เห็นว่ามี "ลูกชิ้นปู-เด๋อ" ก็เลยลองทำลูกชิ้นดาวร้ายขึ้นมาบ้าง" ช่างเป็นชื่อร้านที่เหมาะเจาะกับรูปลักษณ์ของเจ้าของร้านมากเลย "แทน" บอกถึงความพิเศษของลูกชิ้นดาวร้ายที่โดดเด่นแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ว่า เป็นลูกชิ้นที่ชาวมุสลิมสามารถซื้อทานได้ด้วย และถ้าจะทานให้อร่อยมีสูตรว่าต้องทานคู่กับน้ำจิ้มนางเอกของทางร้าน ที่สำคัญลูกชิ้นดาวร้ายใช้วัตถุดิบอย่างดีไม่มีผสมแป้งเพื่อลดต้นทุน"แทน" แอบกระซิบบอกว่า น้ำจิ้มของลูกชิ้นดาวร้ายได้รวมนางเอกไว้ครบทุกรส ทั้งรสหวาน รสเปรี้ยว รสเผ็ด ดังนั้นจึงเป็นสูตรเด็ดที่อร่อยไม่เหมือนใคร
ติ๊ก ชีโร่-โดนัท โด ดี โด
ร้านที่สาม อร่อยแบบหวานๆ กับร้าน "โดนัท โด ดี โด" โดนัทแป้งดีของนักร้องหนุ่มอารมณ์ดี โต้ ชีริ๊ก "ติ๊ก ชีโร่"
ร้านนี้เจ้าของร้านเลือกใช้โทนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ ทุกครั้งที่ต้องไปยืนเป็นพรีเซ็นเตอร์หน้าร้าน ติ๊ก ชีโร่ จึงต้องใส่สีเขียวทั้งชุด เพื่อให้กลมกลืน ทั้งกล่อง ทั้งถุงใส่ขนมร้านนี้ก็ยังใช้กระดาษเป็นสีเขียว ไม่ต้องพูดถึงพนักงานขายหน้าร้านอย่างไรหนีไม่พ้นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดเสื้อสีเขียว เรียกว่าเขียวทั้งร้าน เพราะคอนเซ็ปต์เขาวางไว้อย่างนี้"ติ๊ก ชีโร่" ให้เหตุผลแบบอินเทรนด์ว่า เพื่อร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหามาแรงจึงนำเสนอทุกอย่างเป็นแพ็กเกจสีเขียวโดนัทแบรนด์โด ดี โดนี้ถือเป็นอีกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง เพราะเปิดมายังไม่ถึงปี ปัจจุบันมีทั้งหมดเกือบ 10 แห่ง โดยไม่ได้ขายแฟรนไชส์ให้กับที่อื่น เรียกว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการขายสินค้าเข้ากระเป๋าพี่ติ๊กคนเดียว ติ๊กเล่าให้ฟังว่า โดนัทในร้านเป็นสูตรที่คิดขึ้นมาเองเพราะเห็นว่าคนเดี๋ยวนี้เริ่มรักษาสุขภาพของตัวเองแล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องของอาหารการกินกันมากขึ้น ทางร้านจึงเลือกใช้สูตรแป้งที่มีน้ำตาลน้อย (low sugar) เพื่อตอบโจทย์สาวๆ ที่ห่วงรูปร่างของตัวเองก็สามารถทานได้อย่างสบายหายห่วง โดยมีเมนูให้เลือก 40 กว่ารสชาติ แต่รสชาติที่ฮิตที่สุดพนักงานขายหน้าร้านกระซิบบอกมา คือ โดนัทตุ๊กตาหน้ายิ้ม และเค้กแยมจุด ที่เห็นเป็นรูปการ์ตูนติดอยู่ที่ถุงใส่ขนม และสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเลือกเดินเข้าร้านโดนัท โด ดี โด กันอย่างเนืองแน่นก็เพราะสินค้าของร้านแห่งนี้ผลิตกันใหม่สดทุกวัน การันตีว่าไม่มีของค้างคืน ใครอยากลิ้มรสโดนัทในสไตล์ช่วยลดโลกร้อนว่าเป็นอย่างไร ก็แวะกันไปได้ที่ร้าน "โดนัท โด ดี โด" ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งแฟชั่นไอส์แลนด์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และที่อื่นๆ อีกมากมาย
หนุ่มเอ-ปลาดุกฟู
เดินมาถึงร้านที่สี่ ไม่แวะก็คงไม่ได้ ร้านนี้เป็นของ "หนุ่มเอ เชิญยิ้ม" ขายยำปลาดุกฟู ตั้งชื่อร้านแบบน่ารักๆ ว่า "ฟู๊ ฟู เอเชิญยิ้ม"
กรรมวิธีในการทำยำปลาดุกฟูดูเหมือนจะง่ายๆ แต่หนุ่มเอบอกว่าไม่หมูเหมือนกัน กว่าจะได้อาหารรสเลิศมาเสิร์ฟผู้บริโภคต้องคัดปลาอย่างดีนำมาต้มจนสุกแล้วลอกเอาเฉพาะเนื้อของปลาแล้วนำมาปั่นให้ละเอียดจนเข้ากันดีแล้ว จากนั้นนำมาทอดในน้ำมันที่เดือดจนเหลืองกรอบ ซึ่งที่ร้านจะใช้เนื้อปลาล้วนๆ ไม่ผสมแป้งจึงมีความกรอบนอกนุ่มใน เวลาทานเข้าไปแล้วจะเหมือนเส้นสายไหมที่เป็นขนมหวาน เรียกว่ากว่าจะมาเป็นยำปลาดุก ฟู๊ ฟู ได้ก็ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เสียปลาดุกฟรีไปหลายกิโลกรัม เพราะครั้งแรกที่ทำออกมาหน้าตาเป็นยำปลาดุกแฟบ ต้องพัฒนาสูตรกันอยู่นาน พยายามหากรรมวิธีจนกลายมาเป็นยำปลาดุกฟูในแบบที่น่ารับประทานเช่นปัจจุบัน หลายวันอาจจะยังไม่รู้ว่า ทำไมหนอหนุ่มเอจึงเลือกขายปลาดุกฟู มันอินเทรนด์ ตรงไหน เมื่อสอบถามพนักงานได้รับคำตอบว่า การที่หนุ่ม "เอ" เลือกทำยำปลาดุกเพราะส่วนหนึ่งเป็นคนอิสลาม เห็นหน้าตาหล่อตี๋แบบนี้ไม่บอกไม่รู้เลยนะนี่ว่ามีเชื้อ จะว่าไปแล้วตอนนี้ฟู๊ ฟูก็เฟื่องฟูไม่น้อยกว่าธุรกิจของคนบันเทิงคนอื่นๆ เพราะมีร้านแฟรนไชส์ถึง 10 แห่งแล้ว แถมยังมีรับจัดงานเลี้ยงนอกสถานที่อีกด้วย
ตี๋ ดอกสะเดา-ไอศกรีมทอด
ร้านที่ห้า เห็นแล้วต้องแปลกใจ แค่ชื่อร้าน "ไอศกรีมทอด ตี๋ ดอกสะเดา" ก็ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตั้งคำถามแล้วว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นคำเชิญชวนที่ว่า อร่อยขึ้นตา มีให้เลือก 5 รสชาติ ยิ่งเพิ่มข้อสังสัยต้องเดินเข้าไปสอบถาม
"หนุ่มตี๋" คุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองว่า ทำตรงนี้มาได้ 2 ปีแล้ว ธุรกิจมีขึ้นมีลงบ้างตามสภาพเศรษฐกิจของสังคม แต่ก็พออยู่ได้ในระดับหนึ่ง ตอนนี้มีแฟรนไชส์ทั้งหมด 167 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่างจังหวัด โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และที่เลือกทำธุรกิจนี้เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบทานของแปลก ไอศกรีมเย็นๆ ทอดในความร้อนที่สูงแต่ไม่ละลาย ถือเป็นของหวานอีกชนิดที่ช่วยคลายร้อนได้ดีเมื่อถามของเรื่องอุปสรรคในการทำงาน "หนุ่มตี๋" บอกว่าก็มีบ้าง อย่างเช่นปัญหาการเจาะตลาดหรือแหล่งที่ขายว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาด"หนุ่มตี๋" แม้จะเลือกอาชีพตลกเป็นอาชีพหลัก แต่ชีวิตจริงที่ไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา เขาจึงต้องหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตอีกทางหนึ่ง
จอน ม๊กจ๊ก-น้ำพริกสู้ชีวิต
ร้านที่หก ไม่ลองไม่รู้กับ น้ำพริกสู้ชีวิต ของตลกสาวแคระสู้ชีวิต จอน ม๊กจ๊ก ลิ้มรสแล้วอร่อยไม่แพ้เจ้าอื่น
ถ้าจะพูดถึงชีวิตของหญิงเหล็กคนหนึ่งที่เศร้าและทุกข์ไม่แพ้เรื่องราวในละครไทย แต่เธอก็ไม่เคยท้อกับชีวิตที่บางครั้งต้องนั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายเธอเลือกที่จะให้กำลังใจตัวเองด้วยการลุกขึ้นสู้ใหม่เสมอ แม้ในสายตาหลายคนจะมองเธอว่าเป็นตลกตกอับ แต่ "จอน" บอกว่า "ไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นแต่พยายามทำทุกอย่างด้วยน้ำพักน้ำแรงที่ตัวเองมี เพราะสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่การตกอับแต่มันเป็นเรื่องของการสร้างอาชีพเสริมให้กับตัวเอง หากพรุ่งนี้ไม่มีงานตลก แต่ก็ยังมีน้ำพริกให้ขาย ที่สำคัญสิ่งที่ทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนทุกการกระทำ ทุกความตั้งใจเพื่อความอยู่รอดเหมือนกับทุกๆ ชีวิตในสังคม" "จอน" บอกว่า ทำ "น้ำพริกสู้ชีวิต" มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว ชีวิตพออยู่ได้ ที่สำคัญยังได้กำลังใจดีๆ จากคนรอบข้างเสมอ การทำน้ำพริกตอนนี้ก็ไม่ลำบากมากเพราะมีลูกมือช่วยทำ 2-3 คน เป็นน้ำพริกที่ไม่ผสมสารกันบูด คิดเอง ทำเอง ทุกขั้นตอน
อิทธิ พลางกูร-ไก่ทอดเก็บตะวัน
ร้านที่เจ็ด อิ่มอร่อยแบบทอดๆ กับ "รานไก่ทอดเก็บตะวัน ของ ครอบครัวอิทธิ พลางกูร
แค่เห็นชื่อร้านไก่ทอดก็ต้องนึกถึงเพลงเก็บตะวันที่พี่อิทธิ พลางกูร เคยร้องเอาไว้ เพราะเพลงนี้ไม่เพียงแต่มีเนื้อหากินใจ เสียงของนักร้องยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ผู้ฟังอินทุกครั้งที่เสียงเพลงนี้ลอยมาตามสายลมครอบครัวของคุณอิทธิ พลางกูร บอกว่า "ไก่ทอดเก็บตะวันทำผ่านมาได้ 1 ปีแล้ว เหตุผลที่เลือกทำไก่ทอดเก็บตะวันเพราะทางครอบครัวชอบทานไก่ทอดเป็นอาหารหลักของบ้าน เมื่อก่อนเวลาเดินทางไปไหนก็จะมีข้าวเหนียวไก่ทอดไปทานด้วยทุกครั้งแล้วก็อยากจะแบ่งปันความอร่อยให้กับคนอื่นบ้าง"ในวันที่คิดจะเปิดกิจการนี้ก็มานั่งคิดกันว่าจะตั้งชื่อร้านว่าอะไรดี สุดท้ายก็มาสรุปที่ร้านไก่ทอดเก็บตะวัน ซึ่งอิทธิ พลางกูร เป็นคนตั้งเอง ซึ่งทางร้านก็ไม่ได้มีแค่ไก่ทอดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีปูจ๊อ หอยจ๊อ ปูจ๋า กุ้งพันอ้อย และเร็วๆ นี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ชื่อว่า "น้ำพริกยังจำไว้" ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของครอบครัวพลางกูร ไม่ใส่ผงชูรสและสารกันบูด เจ้าของร้านบอกว่า ร้านนี้ไม่เหมือนร้านไก่สูตรอื่นๆ เพราะใช้สูตรพิเศษในการหมักไก่ทำให้รสชาติดี ถ้าใครติดใจรสชาติก็ต้องคอยติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะร้านนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีแฟรนไชส์ ไม่มีสาขาแล้ว ยังไม่ได้เปิดขายเป็นประจำทุกวัน แต่จะเปิดเฉพาะในช่วงออกงานต่างๆ เท่านั้น
ตาโย่ง-น้ำพริก ร้านที่แปด อร่อยแบบไทยๆ กับ น้ำพริกตาโย่ง
แค่ได้ยินชื่อน้ำพริก หน้าของตลกโย่ง ก็ลอยมาทันที
น้ำพริกตาโย่งเป็นอย่างไร น้าโย่งบอกว่า "น้ำพริกแบรนด์นี้ทำมาได้เกือบ 8 ปีแล้ว เริ่มจากที่ตอนแรกก็ทำอาชีพตลกเพียงอย่างเดียว แต่ก็เริ่มมาคิดได้ว่าวันนี้มีคนดูเรา แต่วันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีคนดูก็ได้ เพราะชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ยั่งยืนจึงคิดทำธุรกิจเสริม แต่ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่ก็พยายามคิดจากสิ่งที่มีที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่บ้านทำน้ำพริกอร่อย ประกอบกับตัวเองชอบรับประทานน้ำพริกอยู่แล้ว บางครั้งก็ห่อไปรับประทานที่ทำงานแล้วก็แบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ที่ทำงานรับประทานด้วย หลายๆ คนก็ชมว่าอร่อยก็เลยคิดขึ้นมาได้เลยว่าน่าจะลองทำน้ำพริกดู ถ้าใครชอบรับประทานน้ำพริกจะรู้ว่าในท้องตลาดนั้นมีแต่น้ำพริกของยอดคุณแม่ทั้งนั้น ทั้งแม่ประนอม แม่บุญเรือง พอน้ำพริกตาโย่งออกมาเปิดตลาด หลายคนจึงอยากลิ้มชิมรสดูสักครั้ง น้าโย่งบอกว่า น้ำพริกนี้เป็นน้ำพริกผู้ชายรายแรกของไทยถึงแม้จะมีแบรนด์อื่นตามมาก็ตาม แต่จนถึงทุกวันนี้แม้จะเจอกับพิษเศรษฐกิจบ้างก็ไม่ได้รับผลกระทบ มากมายเพราะเป็นธุรกิจขนาดย่อมที่มีการลงทุนไม่มาก แต่ก็ต้องขยันมากขึ้นเพื่อให้อยู่ได้ แถมยังได้ลูกสาวสุดที่รักมาช่วยดูแลในเรื่องของการตลาดด้วยจึงทำให้ทั่วทุกภาคของไทยมีน้ำพริกตาโย่งขายอยู่ทั่ว และที่น่าสนใจคือ ตอนนี้มีถึงสิบสูตรเป็นสูตรที่คิดเองทำเองจากคนที่บ้าน ตอนแรกก็ใช้พื้นที่ที่บ้านทำแต่ก็เริ่มขยับขยายจนตอนนี้ต้องผลิตในโรงงาน ตอนแรกที่ทำคิดแค่ว่าคงจะขายได้ หรือขายได้เพราะหน้าตา ชื่อเสียง ที่อยู่ข้างกระปุก แต่เมื่อคนซื้อกลับมาซื้ออีกครั้งที่ 2-3 เราก็รู้สึกชื่นใจว่าของเราก็ยังอร่อย สำหรับอาชีพตลกน้าโย่งบอกว่า ก็ยังรักไม่เปลี่ยนเพราะน้าโย่งรักในสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตมีอย่างทุกวันนี้ เรื่องเงินไม่สำคัญขอให้ได้เล่นตลกให้คนหัวเราะมีความสุขเป็นใช้ได้
ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ
ร้านที่เก้า ชื่อนี้แทบไม่มีใครรู้จัก เดินไปตลาดไหนก็เจอ ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ
จุดเริ่มต้นของ "ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ" กล่าวขานกันว่า มาจากในช่วงตั้งครรภ์ "ปู" (กนกวรรณ บุรานนท์) ว่างไม่ได้รับงานแสดงหรือโชว์ตัวใดๆ ทำให้เกิดความคิดที่ต้องการจะมีอาชีพอื่นเพื่อรองรับอาชีพนักแสดงที่อาจจะลดน้อยลงในอนาคต ซึ่งการที่เลือกขายลูกชิ้นมาจากในช่วงงานกาชาดทุกปีจะเชิญนักแสดงไปร่วมออกบูทขายสินค้าเพื่อสร้างสีสันให้กับงาน และในปีนั้นได้เลือกขายลูกชิ้นปรากฏว่าสามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี จากจุดตรงนี้เองที่เป็นตัวจุดประกายให้เกิดธุรกิจลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ ที่ได้รับความนิยมในวันนี้"ลูกชิ้นที่นำมาขายช่วงแรกนั้นรับมาขายอีกที่หนึ่งยังไม่ได้ทำเองเหมือนในปัจจุบัน ส่วนสูตรในการทำก็พยายามพัฒนาและลองผิดลองถูกด้วยตัวเองได้สูตรอะไรมาก็ทดลองทำหมด หมูหมดไปหลายกิโลเหมือนกันกว่าจะได้ "ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ" ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน เจ้าของร้านเล่าให้ฟังและบอกต่ออีกว่า ทาง "ปู" และ "คุณเด๋อ" ตั้งใจไว้ว่าจะยึดธุรกิจนี้เป็นอาชีพหลักต่อไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะการเป็นนักแสดงไม่สามารถสืบทอดต่อไปจนถึงรุ่นลูกได้ แต่การสร้างธุรกิจของเราเองสามารถสร้างอาชีพให้แก่ลูกต่อไปได้ในอนาคต จุดเริ่มต้นในตอนแรกแม้ว่าจะเหนื่อยมาก ทั้ง "ปู" และ "คุณเด๋อ" เพราะทั้งคู่มักจะออกมาขายและแนะนำสินค้าด้วยตัวเองเสมอ เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบคนอื่นๆ ตรงที่เป็นนักแสดงทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้า ทั่วทุกสารทิศ หลังจากลูกค้าคนหนึ่งได้ชิมก็บอกต่อ แล้วมีการกลับมาซื้อครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ยอดขายจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความเป็นดารา นักแสดงจะเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้การขายสินค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ปูกับเด๋อก็เชื่อว่าสุดท้ายสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจอาหาร คือ ความใส่ใจในรสชาติ และขั้นตอนการผลิต เพราะอยากให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุด
ถั่วแระ เชิญยิ้ม-ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ
มากันที่ร้านสุดท้าย ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำของนายกสมาคมตลกอย่าง ถั่วแระ เชิญยิ้ม ที่ขายหมดก่อนใครเพื่อน แสดงว่าของเขาดีจริงๆ ไม่รู้ว่าหนุ่มเคราแพะ ถั่วแระ เชิญยิ้ม ใช้สูตรพิเศษอะไรในการทำน้ำซุปถึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หรือว่ามีคาถาดีเรียกคนเข้าร้าน หลังจากเดินสำรวจแล้วพบแต่ตู้เปล่าๆ เลยหมดโอกาสหาคำตอบมาฝากผู้อ่าน เอาไว้คราวหน้าปะหน้าถั่วแระจะรีบไขปริศนานี้ทันทีทั้งหมดคือตัวอย่างของ "คนบันเทิง" ที่ไม่ได้ติดอยู่กับความรุ่งโรจน์ในปัจจุบัน แต่มองไปถึงอนาคตว่าจะอยู่อย่างไรอย่างมั่นคงและมีความสุข อาชีพอิสระที่เหล่าคนบันเทิงเลือกทำจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหรือแผนสำรองในการใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน
แรงบันดาลใจ ไม่ไกลเกินเอื้อม ซูซาน บอยล์ คุณป้าเนื้อหอม
เชื่อ ว่าตอนนี้ชื่อของ ซูซาน บอยล์ Susan Boyleน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนรู้สึกว่า ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่สิ่งอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่อยู่ใน "กำมือ" ของเรานี่แหละ ขอเพียงเรากล้าจะเป็นตัวเอง ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
ซูซาน บอยล์ สาวใหญ่วัย 47 ชาวสกอตแลนด์ คือผู้สร้างปรากฏการณ์ฮือฮา เหลือเชื่อ บนเวทีประกวดบริเทน"ส กอต ทาเลนท์ ซีซั่น 3 เพราะเธอแสดงให้เห็นว่าการได้มาซึ่งความสำเร็จบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเป็น คนสวย ไม่จำเป็นต้องผอม และไม่จำเป็นต้องสาวแต่มันอยู่ที่ตัวตน และความสามารถต่างหาก
เธอ เองยังได้ลิ้มรสชาติที่ใครๆ ก็ไม่นึกฝันว่า จากเสียงร้องที่ทั้งหวานและทรงพลังราวกับนางฟ้า ผิดกับรูปร่างหน้าตาดูเป็นคุณป๊า...
วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา คือวันที่ซูซานต้องจดจำไปชั่วชีวิต เมื่อผู้หญิงที่ดูไร้อนาคต ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวกับแมวที่เลี้ยงไว้ และทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยงานในโบสถ์ กลายเป็นคนดังที่คนรู้จักไปทั่วโลกเมื่อก้าวขึ้นเวทีบริเทน"ส กอต ด้วยบทเพลง "ไอ ดรีม อะ ดรีม" (I Dreamed a Dream)
แล้วเสียงร้องของเธอก็สะกดทั้งกรรมการและผู้ชมจนอึ้งไปทั้งฮอลล์ ก่อนจะพากันลุกขึ้นยืนปรบมือเสียงดั
จาก เสียงตอบรับในห้องส่ง ชื่อของซูซาน บอยล์ กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ เวิล์ด ไปในทันที เมื่อมีคนนำเทปบันทึกการแสดงของเธอไปโพสท์ในยูทิวบ์ กระทั่งกลายเป็นคลิป วิดีโอยอดฮิต มีคนคลิกเข้าไปดูกว่า 35 ล้านครั้งในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ และตอนนี้คลิปของเธอก็กลายเป็นคลิปที่ครองสถิติมีคนคลิกเข้าไปดูมากที่สุด มากกว่าคลิปของ "บารัค โอบามา" ที่กล่าวสุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐด้วยซ้ำ ทำให้ซูซานกลายเป็นคนดังที่กลายเป็นข่าวและมีสื่อรุมตอมมาก
จน มีข่าวว่าไม่เพียงแต่ค่ายเพลงและผู้สร้างฮอลลีวู้ดสนใจอยากเซ็นสัญญากับเธอ แล้ว บริษัทเครื่องสำอาง ร้านทำผม และร้านเสื้อผ้า ก็รุมเสนอตัว ขอแปลงโฉมให้เธอใหม่ อยากจะมาช่วยซูซาน บอยล์ สลัดคราบคุณป้าให้สดใส ไฉไลขึ้น!
แต่ยังไม่มีใครชนะใจซูซานในเรื่องปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์
" ทำไมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ตราบใดที่ฉันยังสามารถร้องเพลงได้ดี และนี่ก็ไม่ใช่เวทีประกวดนางงามสักหน่อย" เธอบอกกับลอนดอน ไทมส์
" ต่อไปฉันอาจจะสนใจอยากทำ แต่ตอนนี้ฉันยังพอใจกับรูปร่างหน้าตาที่ฉันเป็น เตี้ย อ้วน ฉันไม่คิดจะไปฉีดโบท็อกซ์ หรือไปเสริมความงามอะไรทั้งนั้น ฉันยังพอใจกับรูปร่าง หน้าตาของฉัน
"มันผิดตรงไหนหรือ กับการมีรูปร่าง หน้าตาอย่างซูซาน บอยล์
ผู้ เชี่ยวชาญความงามรายหนึ่งบอกว่า อาจไม่จำเป็นต้องถึงขนาดผ่าตัดทำศัลยกรรม แค่เปลี่ยนทรงผมใหม่ ทำไฮไลต์บ้าง กันขนคิ้วให้เรียวบางเข้ารูป ฟันอาจต้องทำกันมากเป็นพิเศษ จากนั้นก็จัดการเรื่องการแต่งหน้า เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เลือกใช้เครื่องประดับเข้ามาช่วย เท่านั้นซูซานก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน
อย่างไรก็ตาม แม้คุณป้าเนื้อหอมจะยังไม่ตอบรับข้อเสนอของบริษัทเครื่องสำอางใดๆ แต่จากการปรากฏตัวระยะหลังๆ ก็มีสื่อสังเกตเห็นว่ารูปคิ้วของเธอเริ่มเรียวบาง เสื้อผ้าก็เริ่มดูไฮโซมากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้ "อแมนดา โฮลเดน" หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินของบริเทน"ส กอต ทาเลนท์ ออกมาให้ความเห็นว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นซูซาน บอยล์ เป็นซูซานคนเดิม ที่เคยเห็นบนเวทีประกวด
"เธอจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง รักษาความเป็นตัวเธอเองไว้ เพราะว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนรักเธอ มันทำให้เธอดูเป็นคนธรรมดาที่เราเห็นอยู่ตามท้องถนน และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอชนะใจผู้คน
"ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปละว่าแสง สี และความสนใจรอบข้าง ที่มาพร้อมกับชื่อเสียง จะทำให้ซูซาน บอยล์ เปลี่ยนไปหรือเปล่า?"
ซูซาน บอยล์ สาวใหญ่วัย 47 ชาวสกอตแลนด์ คือผู้สร้างปรากฏการณ์ฮือฮา เหลือเชื่อ บนเวทีประกวดบริเทน"ส กอต ทาเลนท์ ซีซั่น 3 เพราะเธอแสดงให้เห็นว่าการได้มาซึ่งความสำเร็จบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเป็น คนสวย ไม่จำเป็นต้องผอม และไม่จำเป็นต้องสาวแต่มันอยู่ที่ตัวตน และความสามารถต่างหาก
เธอ เองยังได้ลิ้มรสชาติที่ใครๆ ก็ไม่นึกฝันว่า จากเสียงร้องที่ทั้งหวานและทรงพลังราวกับนางฟ้า ผิดกับรูปร่างหน้าตาดูเป็นคุณป๊า...
วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา คือวันที่ซูซานต้องจดจำไปชั่วชีวิต เมื่อผู้หญิงที่ดูไร้อนาคต ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวกับแมวที่เลี้ยงไว้ และทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยงานในโบสถ์ กลายเป็นคนดังที่คนรู้จักไปทั่วโลกเมื่อก้าวขึ้นเวทีบริเทน"ส กอต ด้วยบทเพลง "ไอ ดรีม อะ ดรีม" (I Dreamed a Dream)
แล้วเสียงร้องของเธอก็สะกดทั้งกรรมการและผู้ชมจนอึ้งไปทั้งฮอลล์ ก่อนจะพากันลุกขึ้นยืนปรบมือเสียงดั
จาก เสียงตอบรับในห้องส่ง ชื่อของซูซาน บอยล์ กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ เวิล์ด ไปในทันที เมื่อมีคนนำเทปบันทึกการแสดงของเธอไปโพสท์ในยูทิวบ์ กระทั่งกลายเป็นคลิป วิดีโอยอดฮิต มีคนคลิกเข้าไปดูกว่า 35 ล้านครั้งในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ และตอนนี้คลิปของเธอก็กลายเป็นคลิปที่ครองสถิติมีคนคลิกเข้าไปดูมากที่สุด มากกว่าคลิปของ "บารัค โอบามา" ที่กล่าวสุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐด้วยซ้ำ ทำให้ซูซานกลายเป็นคนดังที่กลายเป็นข่าวและมีสื่อรุมตอมมาก
จน มีข่าวว่าไม่เพียงแต่ค่ายเพลงและผู้สร้างฮอลลีวู้ดสนใจอยากเซ็นสัญญากับเธอ แล้ว บริษัทเครื่องสำอาง ร้านทำผม และร้านเสื้อผ้า ก็รุมเสนอตัว ขอแปลงโฉมให้เธอใหม่ อยากจะมาช่วยซูซาน บอยล์ สลัดคราบคุณป้าให้สดใส ไฉไลขึ้น!
แต่ยังไม่มีใครชนะใจซูซานในเรื่องปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์
" ทำไมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ตราบใดที่ฉันยังสามารถร้องเพลงได้ดี และนี่ก็ไม่ใช่เวทีประกวดนางงามสักหน่อย" เธอบอกกับลอนดอน ไทมส์
" ต่อไปฉันอาจจะสนใจอยากทำ แต่ตอนนี้ฉันยังพอใจกับรูปร่างหน้าตาที่ฉันเป็น เตี้ย อ้วน ฉันไม่คิดจะไปฉีดโบท็อกซ์ หรือไปเสริมความงามอะไรทั้งนั้น ฉันยังพอใจกับรูปร่าง หน้าตาของฉัน
"มันผิดตรงไหนหรือ กับการมีรูปร่าง หน้าตาอย่างซูซาน บอยล์
ผู้ เชี่ยวชาญความงามรายหนึ่งบอกว่า อาจไม่จำเป็นต้องถึงขนาดผ่าตัดทำศัลยกรรม แค่เปลี่ยนทรงผมใหม่ ทำไฮไลต์บ้าง กันขนคิ้วให้เรียวบางเข้ารูป ฟันอาจต้องทำกันมากเป็นพิเศษ จากนั้นก็จัดการเรื่องการแต่งหน้า เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เลือกใช้เครื่องประดับเข้ามาช่วย เท่านั้นซูซานก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน
อย่างไรก็ตาม แม้คุณป้าเนื้อหอมจะยังไม่ตอบรับข้อเสนอของบริษัทเครื่องสำอางใดๆ แต่จากการปรากฏตัวระยะหลังๆ ก็มีสื่อสังเกตเห็นว่ารูปคิ้วของเธอเริ่มเรียวบาง เสื้อผ้าก็เริ่มดูไฮโซมากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้ "อแมนดา โฮลเดน" หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินของบริเทน"ส กอต ทาเลนท์ ออกมาให้ความเห็นว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นซูซาน บอยล์ เป็นซูซานคนเดิม ที่เคยเห็นบนเวทีประกวด
"เธอจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง รักษาความเป็นตัวเธอเองไว้ เพราะว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนรักเธอ มันทำให้เธอดูเป็นคนธรรมดาที่เราเห็นอยู่ตามท้องถนน และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอชนะใจผู้คน
"ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปละว่าแสง สี และความสนใจรอบข้าง ที่มาพร้อมกับชื่อเสียง จะทำให้ซูซาน บอยล์ เปลี่ยนไปหรือเปล่า?"
เตรียมสมองพร้อมรับ งานหนัก
บ่อยครั้งที่พอสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก หรืออารมณ์ไม่ดี หลายคนมักจะเป็นประเภทรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง ดังนั้น ถ้าวันนี้ใครรู้สึกว่าสมองแล่นช้า ลองสลับหยุดนิ่ง ก่อนจะหันไประเบิดอารมณ์ใส่เพื่อน หรือหาทางออกจากอะไรๆ รอบตัว ลองมาเช็กและรีเฟรชระบบภายในร่างกายกันก่อน ด้วย 8 วิธีที่ทำได้ในออฟฟิศ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานสมอง : เขียนเลข 8 ในอากาศ ด้วยมือทั้งสองข้าง ข้างละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน การทำความเข้าใจดีขึ้น และทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน
- หล่อเลี้ยงสมองด้วยน้ำเปล่า : วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณตื่นตัวตลอดเวลา สมองเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย
- นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ : นั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้งสองข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับของใบหูทั้งสองข้างออก ค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง
- บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ : ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายใจออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถมองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้งสองข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลายเปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้าย บ้าง และทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน การฟัง และช่วย ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานอีกด้วย
- นวดจุดเชื่อมสมอง : วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณ ใต้กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้งสองตำแหน่งประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงาน และช่วยให้มีความคิดแจ่มใส
- บริหารขา : ยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา ทำแบบเดียวกันทั้งหมด 3 ครั้ง การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย
- กดจุดคลายเครียด : ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้งสองด้าน ประมาณ กึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม กดค้างไว้ประมาณ 3 - 10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง
- บริหารสมองด้วยการเขียน : เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำ คำนวณดี และรวดเร็วขึ้น อีกด้วย
- เพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานสมอง : เขียนเลข 8 ในอากาศ ด้วยมือทั้งสองข้าง ข้างละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน การทำความเข้าใจดีขึ้น และทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน
- หล่อเลี้ยงสมองด้วยน้ำเปล่า : วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณตื่นตัวตลอดเวลา สมองเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย
- นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ : นั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้งสองข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับของใบหูทั้งสองข้างออก ค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง
- บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ : ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายใจออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถมองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้งสองข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลายเปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้าย บ้าง และทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน การฟัง และช่วย ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานอีกด้วย
- นวดจุดเชื่อมสมอง : วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณ ใต้กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้งสองตำแหน่งประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงาน และช่วยให้มีความคิดแจ่มใส
- บริหารขา : ยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา ทำแบบเดียวกันทั้งหมด 3 ครั้ง การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย
- กดจุดคลายเครียด : ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้งสองด้าน ประมาณ กึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม กดค้างไว้ประมาณ 3 - 10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง
- บริหารสมองด้วยการเขียน : เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำ คำนวณดี และรวดเร็วขึ้น อีกด้วย
สตรีผู้ทรงอิทธิพลปี 2009
จากผลโหวตทางอินเทอร์เน็ตจากประชาชนทั่วโลก นิตยสารไทม์ นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาประกาศผลการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2009 พร้อมเชิญบุคคลที่ ได้รับการโหวตให้ติดโผร่วมเฉลิมฉลองในงานเลี้ยงสุดหรู “ไทม์ 100 กาล่า” ณ ไทม์ วอร์เนอร์ เซ็นเตอร์ ซึ่ง มิเชล โอบามา ภริยา บารัค โอบามา ประธานาธิบดี ผู้อยู่ในสถานะสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา เดินทางร่วมงาน ในฐานะผู้ทรงอิทธิพลในลำดับที่ 86 โดยได้รับการโหวตให้ติดอันดับเป็นปีแรก ด้วยผลโหวต 539,363 คะแนน
แม้ มิเชล โอบามา ไม่ใช่ผู้หญิงที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในการจัดอันดับประจำปีนี้ ทว่าด้วยความโดดเด่นในทุกบทบาทดำรงสถานภาพในขณะนี้ จึงเป็นที่จับตาเกือบทุกย่างก้าวที่ออกสู่สาธารณชน โดยนิตยสารไทม์คัดเลือกให้ โอปราห์ วินฟรีย์ ได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าแม่สื่อระดับโลก บุคคลหนึ่งเดียวของโลก ที่ได้รับการโหวตติดอันดับ ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดถึง 7 ครั้ง เป็นตัวแทนถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา
โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรโทรทัศน์หญิงผิวสี ผู้ทรงอิทธิพลในลำดับที่ 98 ประจำปีนี้ กล่าวถึงภริยาประธานาธิบดีสหรัฐผิวสีว่า นับเป็นเรื่องโชคดีที่สหรัฐอเมริกามีสตรีหมายเลขหนึ่งผู้รวมไว้ซึ่งความมีชีวิตชีวาและความมั่นใจ เป็น ผู้หญิงมหัศจรรย์ อย่างแท้จริง
พิธีกรหญิงผิวสีผู้ทรงอิทธิพล กล่าวว่ามิเชล โอบามาที่ตนมีโอกาสได้พบเมื่อ 5 ปีก่อน เป็นผู้หญิงที่งาม สง่า เอาใจใส่และสนใจในรายละเอียด กระทั่งเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เมื่อมีโอกาสได้พบอีกครั้งที่ทำเนียบขาว มิเชล ยังคงเป็นผู้หญิงคนเดิม การแสดงออกของเธอทำให้ผู้คนรู้สึกว่าได้รับการ
“พลังอำนาจในทางการเมืองของเธอยังเป็นรองพลังอำนาจแห่ง หัวใจของมิเชล และฉันก็นับถือในพลังหัวใจของเธอ ฉันไว้ใจมิเชล ฉันรู้ว่า ไม่ว่าเธอจะให้ความสนใจในการทำอะไร สิ่งที่แสดงออกมาจะต้องเป็นความจริงเสมอ มิเชลจะไม่ทำในสิ่งที่ผิด”
ทั้งนี้ โอปราห์ ยกย่องว่า มิเชล โอบามา ไม่ได้เป็นเพียงแค่แรงบันดาลใจสำหรับทุกคนเท่านั้น แต่ยืนยันให้ทุกคนเห็นตัวตนของเธอจากความฉลาดปราดเปรื่อง ความน่าเชื่อถือ ความลุ่มลึก ตลอดจนความเห็นอกเห็นใจ ทุกคนเห็นสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราได้ในตัวเธอ และน่าเหลือเชื่อมากที่ไม่ว่าจะเธอจะทำอะไร มิเชลจะนำพาความเป็นตัวของตัวเองลงไปทำสิ่งนั้นอย่างเต็มเปี่ยม
โอปราห์ มองสตรีหมายเลขหนึ่งของชาวอเมริกันชนในวัย 45 ปี ว่า มิเชลผู้มีความสุขได้ถ่ายทอดความเบิกบานของเธอเข้าสู่บทบาทการเป็นทั้งแม่หมายเลขหนึ่งและสตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งทำให้ดูร่าเริง เราต่างต้องการความสุขเช่นนั้นในบทบาทต่าง ๆ ที่ได้รับ ไม่ว่าในฐานะของแม่ ภรรยา คนทำงาน ลูกสาวหรือเพื่อน และในระหว่างที่เราชื่นชมแขนทั้งสองข้างที่ดูกระชับของมิเชลพร้อม ๆ กับปรบมือให้เธอในรสนิยมการเลือกเครื่องแต่งกาย
“ทว่า อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมิเชลคือ เธอทำให้เราอยากจะเป็น ตัวเองให้ดีที่สุด และบางทีก็อยากทำให้เราหันมาออกกำลังด้วยการยกน้ำหนักดูบ้าง
ในการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2009 มีสตรีคนดังจากหลากหลายวงการได้รับการโหวต อาทิ อังเกลา เมอร์เคลนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งเยอรมนีวัย 54 ปี ซึ่งมีชื่อติดโผเป็น ครั้งที่ 3 แองเกลา เคยได้รับการโหวตในปี 2006 และ 2007 และใน ปี 2009 เป็นสตรีที่ได้รับการโหวตให้ติดอันดับสูงที่สุด ในอันดับที่ 8 ด้วยคะแนนโหวตท่วมท้นกว่า 1,634,488 คะแนน, อันดับ 47 ออง ซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากการต่อสู้โดยสันติวิธีในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศพม่า ได้รับการโหวตติดอันดับเป็นครั้งที่ 2, อันดับ 53 แนนซี เพโลซี ประธานสภาหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา, อันดับ 54 ฮิลลารี คลินตัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับ การโหวตให้ติดอันดับมากถึง 5 ครั้ง, อันดับ 63 นางโซเนีย คานธี หัวหน้าพรรคคองเกรสในอินเดีย ติดโผโหวตเป็นครั้งที่ 2 และอันดับ 81 ซาราห์ พาลิน ผู้ว่าการรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา ฯลฯ
แม้ มิเชล โอบามา ไม่ใช่ผู้หญิงที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในการจัดอันดับประจำปีนี้ ทว่าด้วยความโดดเด่นในทุกบทบาทดำรงสถานภาพในขณะนี้ จึงเป็นที่จับตาเกือบทุกย่างก้าวที่ออกสู่สาธารณชน โดยนิตยสารไทม์คัดเลือกให้ โอปราห์ วินฟรีย์ ได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าแม่สื่อระดับโลก บุคคลหนึ่งเดียวของโลก ที่ได้รับการโหวตติดอันดับ ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดถึง 7 ครั้ง เป็นตัวแทนถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา
โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรโทรทัศน์หญิงผิวสี ผู้ทรงอิทธิพลในลำดับที่ 98 ประจำปีนี้ กล่าวถึงภริยาประธานาธิบดีสหรัฐผิวสีว่า นับเป็นเรื่องโชคดีที่สหรัฐอเมริกามีสตรีหมายเลขหนึ่งผู้รวมไว้ซึ่งความมีชีวิตชีวาและความมั่นใจ เป็น ผู้หญิงมหัศจรรย์ อย่างแท้จริง
พิธีกรหญิงผิวสีผู้ทรงอิทธิพล กล่าวว่ามิเชล โอบามาที่ตนมีโอกาสได้พบเมื่อ 5 ปีก่อน เป็นผู้หญิงที่งาม สง่า เอาใจใส่และสนใจในรายละเอียด กระทั่งเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เมื่อมีโอกาสได้พบอีกครั้งที่ทำเนียบขาว มิเชล ยังคงเป็นผู้หญิงคนเดิม การแสดงออกของเธอทำให้ผู้คนรู้สึกว่าได้รับการ
“พลังอำนาจในทางการเมืองของเธอยังเป็นรองพลังอำนาจแห่ง หัวใจของมิเชล และฉันก็นับถือในพลังหัวใจของเธอ ฉันไว้ใจมิเชล ฉันรู้ว่า ไม่ว่าเธอจะให้ความสนใจในการทำอะไร สิ่งที่แสดงออกมาจะต้องเป็นความจริงเสมอ มิเชลจะไม่ทำในสิ่งที่ผิด”
ทั้งนี้ โอปราห์ ยกย่องว่า มิเชล โอบามา ไม่ได้เป็นเพียงแค่แรงบันดาลใจสำหรับทุกคนเท่านั้น แต่ยืนยันให้ทุกคนเห็นตัวตนของเธอจากความฉลาดปราดเปรื่อง ความน่าเชื่อถือ ความลุ่มลึก ตลอดจนความเห็นอกเห็นใจ ทุกคนเห็นสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราได้ในตัวเธอ และน่าเหลือเชื่อมากที่ไม่ว่าจะเธอจะทำอะไร มิเชลจะนำพาความเป็นตัวของตัวเองลงไปทำสิ่งนั้นอย่างเต็มเปี่ยม
โอปราห์ มองสตรีหมายเลขหนึ่งของชาวอเมริกันชนในวัย 45 ปี ว่า มิเชลผู้มีความสุขได้ถ่ายทอดความเบิกบานของเธอเข้าสู่บทบาทการเป็นทั้งแม่หมายเลขหนึ่งและสตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งทำให้ดูร่าเริง เราต่างต้องการความสุขเช่นนั้นในบทบาทต่าง ๆ ที่ได้รับ ไม่ว่าในฐานะของแม่ ภรรยา คนทำงาน ลูกสาวหรือเพื่อน และในระหว่างที่เราชื่นชมแขนทั้งสองข้างที่ดูกระชับของมิเชลพร้อม ๆ กับปรบมือให้เธอในรสนิยมการเลือกเครื่องแต่งกาย
“ทว่า อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมิเชลคือ เธอทำให้เราอยากจะเป็น ตัวเองให้ดีที่สุด และบางทีก็อยากทำให้เราหันมาออกกำลังด้วยการยกน้ำหนักดูบ้าง
ในการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2009 มีสตรีคนดังจากหลากหลายวงการได้รับการโหวต อาทิ อังเกลา เมอร์เคลนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งเยอรมนีวัย 54 ปี ซึ่งมีชื่อติดโผเป็น ครั้งที่ 3 แองเกลา เคยได้รับการโหวตในปี 2006 และ 2007 และใน ปี 2009 เป็นสตรีที่ได้รับการโหวตให้ติดอันดับสูงที่สุด ในอันดับที่ 8 ด้วยคะแนนโหวตท่วมท้นกว่า 1,634,488 คะแนน, อันดับ 47 ออง ซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากการต่อสู้โดยสันติวิธีในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศพม่า ได้รับการโหวตติดอันดับเป็นครั้งที่ 2, อันดับ 53 แนนซี เพโลซี ประธานสภาหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา, อันดับ 54 ฮิลลารี คลินตัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับ การโหวตให้ติดอันดับมากถึง 5 ครั้ง, อันดับ 63 นางโซเนีย คานธี หัวหน้าพรรคคองเกรสในอินเดีย ติดโผโหวตเป็นครั้งที่ 2 และอันดับ 81 ซาราห์ พาลิน ผู้ว่าการรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา ฯลฯ
วางแผนเที่ยวเมืองนอกกันดีกว่า
วางแผนการเดินทางก่อนเที่ยว ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าคุณได้
ความฝันของสาวนักเที่ยวคือได้ไปเมืองนอกสักครั้งในชีวิต แต่ด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนลง ยิ่งทำให้เราต้องเก็บหอมรอมริบและวางแผนให้รัดกุมยิ่งขึ้น มาดูซิว่าคุณจะมีค่าใช้จ่ายอะไรที่จะต้องเตรี
ตั้งงบประมาณคุณจะต้องคิดไว้คร่าวๆ ก่อนว่า งบประมาณที่คุณจะไปเที่ยวนี้อยู่ที่จำนวนเงินเท่าไร โดยแยกเป็นค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่ากิน และค่าเข้าชมสถานที่สำคัญต่างๆ นอกจากนั้นเป็นค่าช้อปปิ้งและค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ บวกเงินติดกระเป๋าในกรณีฉุกเฉิน เช่น ตกเครื่องบิน กระเป๋าตังค์หาย เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องใช้เงินเกินตัวจนกลับเมืองไทยมาเป็นหนี้เพิ่ม
เงินในบัญชีบางประเทศคุณจะต้องแสดง Statement ของคุณเพื่อทำการขอวีซ่า เนื่องจากมีหญิงสาวจำนวนมากหวังไปขุดทองที่ต่างประเทศ บัญชีของคุณจะแสดงได้ระดับหนึ่งว่าคุณยากดีมีจนแค่ไหน มีเงินเหลือเก็บจำนวนเท่าใด นอกจากนั้นเป็นเครื่องการันตีได้ด้วยว่า คุณจะไม่ตกระกำลำบากให้เป็นภาระต่อประเทศ
เลือกเครดิตการ์ดคุณต้องทราบว่าเครดิตการ์ดใบไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร อย่างเช่น ไม่คิดค่าบริการยามใช้งานในต่างประเทศให้จำนวนเงินมากกว่าบัตรอื่น หรือมีแต้มสะสมไมล์เพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า ให้คุณชั่งใจและใช้บัตรเครดิตอย่างฉลาด ดูเวลาตัดยอดบิลให้รอบคอบว่าถึงตอนนั้น คุณจะมีเงินพอชำระหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ควรใช้บัตรใบเดียวเพื่อที่คุณจะได้สรุปยอดค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายได้อย่างถูกต้อง
เลือกแผนการเดินทางถ้าคุณจะเที่ยวก็ควรวางแผนก่อนล่วงหน้าจะดีกว่า เพราะคุณจะได้ตั๋วเครื่องบินและที่พักในราคาถูกกว่าจองในหน้าเทศกาล หรือลองดูสายการบินขนาดเล็กที่อาจจะต้องเปลี่ยนเครื่องบินหลายครั้ง แต่ประหยัดกว่ากันเกือบหมื่นบาท ที่สำคัญเลือกประเภทการท่องเที่ยวให้ถูกต้อง ว่าประเทศนั้นๆ เหมาะแก่การเที่ยวแบบแพ็กเกจหรือแบ็กแพ็ก ยกตัวอย่างเช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่มีระยะทางไกลๆ และไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเท่าที่ควร ควรเลือกแบบแพ็กเกจทัวร์ แต่ถ้าเมืองนั้นมีรถไฟฟ้าและรถประจำทางมากมายเดินทางสะดวก คุณก็สามารถเที่ยวเองได้
ทำประกันไว้ดีกว่าคุณไม่มีทางรู้ว่าจะมีอะไรเกิดกับคุณบ้าง การทำประกันการเดินทางไว้กับแพ็กเกจต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี เพื่อทำให้คุณได้ท่องเที่ยวอย่างสบายใจ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าแพ็กเกจไหนมีบริการประกันภัยการเดินทางด้วยแล้ว คุณควรเลือกแพ็กเกจนั้นเป็นอันดับต้นๆ เช่น ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ประกันทรัพย์สิน
อย่าบ้าหอบฟางการแบกของหนักๆ ระหว่างท่องเที่ยวไม่สนุกเลย เพราะคุณอาจจะต้องเสียค่ารถเมื่อคุณเดินแบกไม่ไหว หรือต้องสัยค่าน้ำหนักโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องบินมากขึ้นอีก อะไรไม่จำเป็นให้เอาออก และเน้นเสื้อผ้าที่มีน้ำหนักเบา บางคนมีไอเดียเก๋ๆ ไปเมืองนอก เพื่อจะได้ใส่แล้วทิ้งที่เมืองนอกโดยไม่เสียดาย กระเป๋าจะได้เหลือเนื้อที่เก็บของช้อปปิ้งกลับบ้าน ส่วนของที่ไม่จำเป็นต้องเอไปเที่ยวด้วย เช่น โน้ตบุค รองเท้าหลายคู่ เครื่องสำอางขวดใหญ่ เก็บไว้ใช้ในเมืองไทยจะสบายกว่า
ความฝันของสาวนักเที่ยวคือได้ไปเมืองนอกสักครั้งในชีวิต แต่ด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนลง ยิ่งทำให้เราต้องเก็บหอมรอมริบและวางแผนให้รัดกุมยิ่งขึ้น มาดูซิว่าคุณจะมีค่าใช้จ่ายอะไรที่จะต้องเตรี
ตั้งงบประมาณคุณจะต้องคิดไว้คร่าวๆ ก่อนว่า งบประมาณที่คุณจะไปเที่ยวนี้อยู่ที่จำนวนเงินเท่าไร โดยแยกเป็นค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่ากิน และค่าเข้าชมสถานที่สำคัญต่างๆ นอกจากนั้นเป็นค่าช้อปปิ้งและค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ บวกเงินติดกระเป๋าในกรณีฉุกเฉิน เช่น ตกเครื่องบิน กระเป๋าตังค์หาย เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องใช้เงินเกินตัวจนกลับเมืองไทยมาเป็นหนี้เพิ่ม
เงินในบัญชีบางประเทศคุณจะต้องแสดง Statement ของคุณเพื่อทำการขอวีซ่า เนื่องจากมีหญิงสาวจำนวนมากหวังไปขุดทองที่ต่างประเทศ บัญชีของคุณจะแสดงได้ระดับหนึ่งว่าคุณยากดีมีจนแค่ไหน มีเงินเหลือเก็บจำนวนเท่าใด นอกจากนั้นเป็นเครื่องการันตีได้ด้วยว่า คุณจะไม่ตกระกำลำบากให้เป็นภาระต่อประเทศ
เลือกเครดิตการ์ดคุณต้องทราบว่าเครดิตการ์ดใบไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร อย่างเช่น ไม่คิดค่าบริการยามใช้งานในต่างประเทศให้จำนวนเงินมากกว่าบัตรอื่น หรือมีแต้มสะสมไมล์เพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า ให้คุณชั่งใจและใช้บัตรเครดิตอย่างฉลาด ดูเวลาตัดยอดบิลให้รอบคอบว่าถึงตอนนั้น คุณจะมีเงินพอชำระหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ควรใช้บัตรใบเดียวเพื่อที่คุณจะได้สรุปยอดค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายได้อย่างถูกต้อง
เลือกแผนการเดินทางถ้าคุณจะเที่ยวก็ควรวางแผนก่อนล่วงหน้าจะดีกว่า เพราะคุณจะได้ตั๋วเครื่องบินและที่พักในราคาถูกกว่าจองในหน้าเทศกาล หรือลองดูสายการบินขนาดเล็กที่อาจจะต้องเปลี่ยนเครื่องบินหลายครั้ง แต่ประหยัดกว่ากันเกือบหมื่นบาท ที่สำคัญเลือกประเภทการท่องเที่ยวให้ถูกต้อง ว่าประเทศนั้นๆ เหมาะแก่การเที่ยวแบบแพ็กเกจหรือแบ็กแพ็ก ยกตัวอย่างเช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่มีระยะทางไกลๆ และไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเท่าที่ควร ควรเลือกแบบแพ็กเกจทัวร์ แต่ถ้าเมืองนั้นมีรถไฟฟ้าและรถประจำทางมากมายเดินทางสะดวก คุณก็สามารถเที่ยวเองได้
ทำประกันไว้ดีกว่าคุณไม่มีทางรู้ว่าจะมีอะไรเกิดกับคุณบ้าง การทำประกันการเดินทางไว้กับแพ็กเกจต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี เพื่อทำให้คุณได้ท่องเที่ยวอย่างสบายใจ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าแพ็กเกจไหนมีบริการประกันภัยการเดินทางด้วยแล้ว คุณควรเลือกแพ็กเกจนั้นเป็นอันดับต้นๆ เช่น ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ประกันทรัพย์สิน
อย่าบ้าหอบฟางการแบกของหนักๆ ระหว่างท่องเที่ยวไม่สนุกเลย เพราะคุณอาจจะต้องเสียค่ารถเมื่อคุณเดินแบกไม่ไหว หรือต้องสัยค่าน้ำหนักโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องบินมากขึ้นอีก อะไรไม่จำเป็นให้เอาออก และเน้นเสื้อผ้าที่มีน้ำหนักเบา บางคนมีไอเดียเก๋ๆ ไปเมืองนอก เพื่อจะได้ใส่แล้วทิ้งที่เมืองนอกโดยไม่เสียดาย กระเป๋าจะได้เหลือเนื้อที่เก็บของช้อปปิ้งกลับบ้าน ส่วนของที่ไม่จำเป็นต้องเอไปเที่ยวด้วย เช่น โน้ตบุค รองเท้าหลายคู่ เครื่องสำอางขวดใหญ่ เก็บไว้ใช้ในเมืองไทยจะสบายกว่า
ดูแลตัวเองในที่ทำงานได้ ง่ายนิดเดียว
รับรองว่าไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เสียเวลา ลองดูวิธีง่ายๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ที่สำคัญว่าถ้าลองได้ทำเป็นประจำแล้ว จะทำให้คุณถอยห่างจากโรคออฟฟิศซินโดรมไปเลย
พิมพ์เอกสารให้เจ้านายทั้งวันจนมือหงิก ปวดข้อแทบเคล็ด
● ลูกโยโย่ช่วยคุณได้ เพียงแค่เล่นโยโย่ในช่วงพักเบรก ก็สามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือได้แล้วแถมยังแก้เครียด
ได้อีกด้วยใช้เวลาประมาณ 1 นาที
เดินใส่ส้นสูงทั้งวันจนเมื่อยขาและปวดน่องไปหมด
ท่าที่ 1
● ถอดรองเท้า นั่งหลังตรง แยกขาออกพอประมาณ ค่อยๆ จิกปลายเท้าขึ้น - ลงกับพื้น ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง
ท่าที่ 2
● ถอดรองเท้า เหยียดขาออกไปข้างหน้าให้ตึง วางส้นเท้ากับพื้น ชันส้นเท้าขึ้นทำมุมฉากกับพื้นเท่าที่ทำได้ (กล้ามเนื้อขาจะเกร็งโดยอัตโนมัติ) แล้วค่อยๆ แยกเท้าออกทำมุม 45 องศา
● หันปลายเท้าเข้าหากันจนหัวแม่เท้าทั้งสองข้างแตะชิดกัน ค้างไว้ 3 - 4 วินาทีทำซ้ำได้ตามต้องการ
ทั้งสองท่าใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที
หลังขดหลังแข็งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมงจนปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณช่วงท้ายทอย บ่า และหัวไหล่ไปตามๆ กัน ใช้วิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยท่าโยคะอย่างง่
ท่าที่ 1 ผ่อนคลายต้นคอ
● เอียงคอสลับไปมาช้าๆ ทั้งซ้าย - ขวา ขึ้น - ลง และหมุนไหล่ไปด้านหน้า - หลัง ทำซ้ำประมาณ 5 ครั้ง
ท่าที่ 2 ผ่อนคลายบ่า หัวไหล่ และกล้ามเนื้อหลังส่วนบน*อุปกรณ์: แถบผ้ายาวประมาณ 1 เมตร*
● นั่งหลังตรง ถือแถบผ้ายืดออกเท่ากับความกว้างของช่วงไหล่ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะให้สุด
● หายใจเข้า ค่อยๆ ยืดแขนข้ามศีรษะไปข้างหลังจนรู้สึกว่าแขนตึง แล้วค้างไว้ผ่อนลมหายใจออก ทำซ้ำประมาณ 10 - 15 ครั้งหรือจนกว่าจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อค่อยๆ ผ่อนคลายทั้งสองท่า
ใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที
Tips: - ควรเลือกเก้าอี้สำนักงานที่มีพนักพิงสามารถปรับระดับความโค้งตามหลังได้ เพราะมีผลการวิจัยออกมาแล้วว่าเก้าอี้ในลักษณะนี้จะช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะที่เหมาะสมขณะนั่งทำงานและควรหลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างนานๆ
- แม้งานจะรัดตัว แต่ควรลุกขึ้นเดินทุกๆ 30 นาทีเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ปรับอิริยาบถ แทนที่จะนั่งในท่าเดิมๆ ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง จนเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อบางส่วนตึงเครียด
มีพรีเซ้นต์งานเช้า ไหนจะต้องเคลียร์งานส่งเจ้านายอีก เครียดกว่านี้ไม่มีอีก
● ถ้าหลีกเลี่ยงงานหนักๆ หรือความเครียดไม่ได้จริงๆ เบรกความเครียดไว้พักหนึ่งแล้วนั่งสูดลมหายใจลึกๆ จิบชาเปปเปอร์มินต์ที่มีสรรพคุณช่วยลดความเครียด ลดอาการปวดศีรษะ ผ่อนคลายเส้นประสาท ช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น แล้วค่อยลุกมาสู้งานต่อดีกว่า
ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
Tip: ความเครียดที่สั่งสมในแต่ละวันอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนออฟฟิศหลายคนตกอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดตีบและความดันโลหิตสูงอีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ในแต่ละมื้ออาหารด้วย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีเปลือกสีน้ำตาล เช่น องุ่นดำ องุ่นม่วง ซึ่งมีสารแทนนินที่ช่วยบำรุงหลอดเลือด
ไม่อยากเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจตีบก่อนวัยอันควร แต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสหลังเลิกงาน
● เพียงแค่ขยับเขยื้อนร่างกายบ้างระหว่างวัน ประมาณ 20 - 30 นาทีติดต่อกัน เช่น เดินไปส่งแฟกซ์ เดินเร็วไปถ่ายเอกสาร หรือวิ่งขึ้น - ลงบันได ก็ช่วยให้ห่างไกลจากอาการหลอดเลือดหัวใจตีบได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายอารมณ์เครียดๆ ได้บ้าง อย่ามัวจับเจ่านั่งทำงานอยู่แต่ที่
ใช้สายตามาก ทั้งงานเอกสาร ดูแลบัญชีตัวเลข หรือนั่งหน้าคอมพ์จนตา
● ผ่อนคลายและยืดกล้ามเนื้อตาโดยการโฟกัสสายตาไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่ไกลพอสมควร หยุดค้างไว้ประมาณ 20 วินาที กลอกลูกตาไปมาตามเข็มนาฬิกา ทั้งขวา - ซ้ายและจากบน - ล่าง ทำซ้ำ 2 - 4 ครั้ง
● ประคบตาด้วยสองมือของเราเอง โดยการถูมือเข้าด้วยกันจนกระทั่งฝ่ามืออุ่น ปิดตาและนาบฝ่ามือลงบนตาทั้งสองข้าง หายใจเข้า - ออกประมาณ 10 ครั้ง แล้วเปิดมือออก ถ้าการถูมือให้อุ่นยังไม่ทันใจ แนะนำให้ใช้ผ้าสะอาดจุ่มลงในน้ำอุ่นแล้วนำมานาบลงบนเปลือกตาที่หลับสนิท
ทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีแทนได้ทั้งสองท่าใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที
มัวแต่เครียดเรื่องงานจนหน้าตาหงิกงอ ไม่สดใส
● บริหารหน้ากันสักหน่อย เพียงแค่หาเวลาเหมาะเจาะ ทางสะดวก มองตัวเองในกระจก ยิ้มให้กว้างที่สุด เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นทำซ้ำได้ตามต้องการ จะช่วยให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น
● ท่านี้ก็ต้องอาศัยทางสะดวกอีกเช่นกัน เริ่มจากยิ้มกว้าง อ้าปาก เม้มปากบน กระดกลิ้นขึ้นและเกร็งค้างไว้ พร้อมกับแตะปลายนิ้วชี้ - นางตรงเหนือโหนกแก้มขึ้นไป ค่อยๆ ดึงผิวหนังส่วนกระบอกตาล่างลงมาเบาๆ ระหว่างนั้นให้ค่อยๆ หรี่ตาลงจนเกือบปิดสนิทเกร็งค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นลืมตาขึ้นและหรี่ตาซ้ำอีกประมาณ 10 ครั้ง ช่วยลดการบวมของถุงใต้ตาได้
ใช้เวลาท่าละประมาณ 2-3 นาที
พิมพ์เอกสารให้เจ้านายทั้งวันจนมือหงิก ปวดข้อแทบเคล็ด
● ลูกโยโย่ช่วยคุณได้ เพียงแค่เล่นโยโย่ในช่วงพักเบรก ก็สามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือได้แล้วแถมยังแก้เครียด
ได้อีกด้วยใช้เวลาประมาณ 1 นาที
เดินใส่ส้นสูงทั้งวันจนเมื่อยขาและปวดน่องไปหมด
ท่าที่ 1
● ถอดรองเท้า นั่งหลังตรง แยกขาออกพอประมาณ ค่อยๆ จิกปลายเท้าขึ้น - ลงกับพื้น ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง
ท่าที่ 2
● ถอดรองเท้า เหยียดขาออกไปข้างหน้าให้ตึง วางส้นเท้ากับพื้น ชันส้นเท้าขึ้นทำมุมฉากกับพื้นเท่าที่ทำได้ (กล้ามเนื้อขาจะเกร็งโดยอัตโนมัติ) แล้วค่อยๆ แยกเท้าออกทำมุม 45 องศา
● หันปลายเท้าเข้าหากันจนหัวแม่เท้าทั้งสองข้างแตะชิดกัน ค้างไว้ 3 - 4 วินาทีทำซ้ำได้ตามต้องการ
ทั้งสองท่าใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที
หลังขดหลังแข็งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมงจนปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณช่วงท้ายทอย บ่า และหัวไหล่ไปตามๆ กัน ใช้วิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยท่าโยคะอย่างง่
ท่าที่ 1 ผ่อนคลายต้นคอ
● เอียงคอสลับไปมาช้าๆ ทั้งซ้าย - ขวา ขึ้น - ลง และหมุนไหล่ไปด้านหน้า - หลัง ทำซ้ำประมาณ 5 ครั้ง
ท่าที่ 2 ผ่อนคลายบ่า หัวไหล่ และกล้ามเนื้อหลังส่วนบน*อุปกรณ์: แถบผ้ายาวประมาณ 1 เมตร*
● นั่งหลังตรง ถือแถบผ้ายืดออกเท่ากับความกว้างของช่วงไหล่ชูแขนขึ้นเหนือศีรษะให้สุด
● หายใจเข้า ค่อยๆ ยืดแขนข้ามศีรษะไปข้างหลังจนรู้สึกว่าแขนตึง แล้วค้างไว้ผ่อนลมหายใจออก ทำซ้ำประมาณ 10 - 15 ครั้งหรือจนกว่าจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อค่อยๆ ผ่อนคลายทั้งสองท่า
ใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที
Tips: - ควรเลือกเก้าอี้สำนักงานที่มีพนักพิงสามารถปรับระดับความโค้งตามหลังได้ เพราะมีผลการวิจัยออกมาแล้วว่าเก้าอี้ในลักษณะนี้จะช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะที่เหมาะสมขณะนั่งทำงานและควรหลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างนานๆ
- แม้งานจะรัดตัว แต่ควรลุกขึ้นเดินทุกๆ 30 นาทีเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ปรับอิริยาบถ แทนที่จะนั่งในท่าเดิมๆ ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง จนเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อบางส่วนตึงเครียด
มีพรีเซ้นต์งานเช้า ไหนจะต้องเคลียร์งานส่งเจ้านายอีก เครียดกว่านี้ไม่มีอีก
● ถ้าหลีกเลี่ยงงานหนักๆ หรือความเครียดไม่ได้จริงๆ เบรกความเครียดไว้พักหนึ่งแล้วนั่งสูดลมหายใจลึกๆ จิบชาเปปเปอร์มินต์ที่มีสรรพคุณช่วยลดความเครียด ลดอาการปวดศีรษะ ผ่อนคลายเส้นประสาท ช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น แล้วค่อยลุกมาสู้งานต่อดีกว่า
ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
Tip: ความเครียดที่สั่งสมในแต่ละวันอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนออฟฟิศหลายคนตกอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดตีบและความดันโลหิตสูงอีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ในแต่ละมื้ออาหารด้วย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีเปลือกสีน้ำตาล เช่น องุ่นดำ องุ่นม่วง ซึ่งมีสารแทนนินที่ช่วยบำรุงหลอดเลือด
ไม่อยากเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจตีบก่อนวัยอันควร แต่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสหลังเลิกงาน
● เพียงแค่ขยับเขยื้อนร่างกายบ้างระหว่างวัน ประมาณ 20 - 30 นาทีติดต่อกัน เช่น เดินไปส่งแฟกซ์ เดินเร็วไปถ่ายเอกสาร หรือวิ่งขึ้น - ลงบันได ก็ช่วยให้ห่างไกลจากอาการหลอดเลือดหัวใจตีบได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายอารมณ์เครียดๆ ได้บ้าง อย่ามัวจับเจ่านั่งทำงานอยู่แต่ที่
ใช้สายตามาก ทั้งงานเอกสาร ดูแลบัญชีตัวเลข หรือนั่งหน้าคอมพ์จนตา
● ผ่อนคลายและยืดกล้ามเนื้อตาโดยการโฟกัสสายตาไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่ไกลพอสมควร หยุดค้างไว้ประมาณ 20 วินาที กลอกลูกตาไปมาตามเข็มนาฬิกา ทั้งขวา - ซ้ายและจากบน - ล่าง ทำซ้ำ 2 - 4 ครั้ง
● ประคบตาด้วยสองมือของเราเอง โดยการถูมือเข้าด้วยกันจนกระทั่งฝ่ามืออุ่น ปิดตาและนาบฝ่ามือลงบนตาทั้งสองข้าง หายใจเข้า - ออกประมาณ 10 ครั้ง แล้วเปิดมือออก ถ้าการถูมือให้อุ่นยังไม่ทันใจ แนะนำให้ใช้ผ้าสะอาดจุ่มลงในน้ำอุ่นแล้วนำมานาบลงบนเปลือกตาที่หลับสนิท
ทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีแทนได้ทั้งสองท่าใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที
มัวแต่เครียดเรื่องงานจนหน้าตาหงิกงอ ไม่สดใส
● บริหารหน้ากันสักหน่อย เพียงแค่หาเวลาเหมาะเจาะ ทางสะดวก มองตัวเองในกระจก ยิ้มให้กว้างที่สุด เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นทำซ้ำได้ตามต้องการ จะช่วยให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น
● ท่านี้ก็ต้องอาศัยทางสะดวกอีกเช่นกัน เริ่มจากยิ้มกว้าง อ้าปาก เม้มปากบน กระดกลิ้นขึ้นและเกร็งค้างไว้ พร้อมกับแตะปลายนิ้วชี้ - นางตรงเหนือโหนกแก้มขึ้นไป ค่อยๆ ดึงผิวหนังส่วนกระบอกตาล่างลงมาเบาๆ ระหว่างนั้นให้ค่อยๆ หรี่ตาลงจนเกือบปิดสนิทเกร็งค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นลืมตาขึ้นและหรี่ตาซ้ำอีกประมาณ 10 ครั้ง ช่วยลดการบวมของถุงใต้ตาได้
ใช้เวลาท่าละประมาณ 2-3 นาที
7 ไอเดียเด็ดช่วยหาเงิน
มาดูกันค่ะว่ามีอาชีพเด็ดๆ อะไรที่จะช่วยเสริมการเงินของเราได้
1.ปลูกผักออร์แกนิกไม่ต้องทำเชิงเกษตรกรรมเป็น 10 ไร่ เพียงแค่มีพื้นที่หลังบ้านปลูกผักที่ทุกครัวเรือนต้องกิน เช่น ต้นหอม คะน้า ผักกาด พริก มะกรูด ตะไคร้ พร้อมติดป้ายหน้าบ้านว่ามีผักปลอดสารจำหน่าย
2.เพาะเลี้ยงไส้เดือนงานนี้อย่าได้รังเกียจเพราะไส้เดือนเป็นสัตว์มีประโยชน์และขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ราคาขายตกตัวละ 5 บาท อีกทั้งนิยมขายไส้เดือนเพื่อเป็นปุ๋ยแก่ไม้ประดับลงทุนโปรยเศษผักให้ไส้เดือนกินทุกวัน ไม่ต้องดูแลมากและไม่เสียเวลาเยอะด้วย
3.บาร์มิเตอร์เวลาไปเที่ยวมีหลายคนที่กินเหล้า กินเบียร์ น้อยกว่าเพื่อน แต่ต้องหารเท่ากับเพื่อน ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าบาร์และผับในเมืองไทยมีระบบบาร์มิเตอร์ ซึ่งนิยมมากทางตะวันตก ใครกินเท่าเท่าไหร่ก็กดให้เหล้าหรือเบียร์ไหลออกมาเท่านั้น ซึ่งจะวัดได้ทั้งปริมาณและราคาด้วย
4.ขายของมือสองเกรด Aงานนี้อยู่ที่ตัวคุณด้วยว่าจะหยิบเสื้อผ้าตัวไหนมาปั่นราคาจากตัวละ 30 บาท คุณอาจเพิ่มไปอีกเป็น 200-500 บาท
5.ซักรีดแบบล็อกเกอร์ลงทุนตั้งล็อกเกอร์ไว้ในสถานศึกษา คอนโด หรือห้างสรรพสินค้าแล้วให้ลูกค้านำเสื้อผ้าที่ต้องการซักไปใส่ในล็อกเกอร์ซึ่งทางคุณอาจจะเก็บมาซักตามเวลา โดยไม่ต้องเปิดหน้าร้าน ให้ล็อกเกอร์เป็นตัวกลางของทั้งลูกค้าและของคุณ
6.หมวกกันน็อกดีไซน์เก๋ไม่จำเป็นต้องเป็นพลาสติกเงาวับเสมอไป คุณอาจนำหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานเรียบร้อยมาดัดแปลง เย็บผ้าให้เป็นหมวกปีกกว้าง หรือเป็นหมวกแก๊ปสไตล์เก๋ๆเอาไว้ให้เด็กวัยรุ่นที่ไม่ชอบใส่หมวกกันน็อกลองสวมใส่ช่วยเรื่องความปลอดภัยและเพิ่มเงินในกระเป๋าของคุณด้วย
7.อุปกรณ์ท่องเที่ยวให้เช่าถ้าคุณเป็นนักเที่ยวก็จะรู้ดีว่าอุปกรณ์แบบ Adventure นั้นมีราคาแพงและใช้ไม่บ่อย บางครั้งก็กลับพังเพราะการเก็บรักษาไม่ดีให้คุณลองเปิดเซ็นเตอร์ให้เช่าอุปกรณ์ท่องเที่ยว เช่น เต็นท์ เบ็ดตกปลา ถุงนอน จักรยาน กระเป๋า เสื้อชูชีพ กล้องส่องทางไกล
1.ปลูกผักออร์แกนิกไม่ต้องทำเชิงเกษตรกรรมเป็น 10 ไร่ เพียงแค่มีพื้นที่หลังบ้านปลูกผักที่ทุกครัวเรือนต้องกิน เช่น ต้นหอม คะน้า ผักกาด พริก มะกรูด ตะไคร้ พร้อมติดป้ายหน้าบ้านว่ามีผักปลอดสารจำหน่าย
2.เพาะเลี้ยงไส้เดือนงานนี้อย่าได้รังเกียจเพราะไส้เดือนเป็นสัตว์มีประโยชน์และขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ราคาขายตกตัวละ 5 บาท อีกทั้งนิยมขายไส้เดือนเพื่อเป็นปุ๋ยแก่ไม้ประดับลงทุนโปรยเศษผักให้ไส้เดือนกินทุกวัน ไม่ต้องดูแลมากและไม่เสียเวลาเยอะด้วย
3.บาร์มิเตอร์เวลาไปเที่ยวมีหลายคนที่กินเหล้า กินเบียร์ น้อยกว่าเพื่อน แต่ต้องหารเท่ากับเพื่อน ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าบาร์และผับในเมืองไทยมีระบบบาร์มิเตอร์ ซึ่งนิยมมากทางตะวันตก ใครกินเท่าเท่าไหร่ก็กดให้เหล้าหรือเบียร์ไหลออกมาเท่านั้น ซึ่งจะวัดได้ทั้งปริมาณและราคาด้วย
4.ขายของมือสองเกรด Aงานนี้อยู่ที่ตัวคุณด้วยว่าจะหยิบเสื้อผ้าตัวไหนมาปั่นราคาจากตัวละ 30 บาท คุณอาจเพิ่มไปอีกเป็น 200-500 บาท
5.ซักรีดแบบล็อกเกอร์ลงทุนตั้งล็อกเกอร์ไว้ในสถานศึกษา คอนโด หรือห้างสรรพสินค้าแล้วให้ลูกค้านำเสื้อผ้าที่ต้องการซักไปใส่ในล็อกเกอร์ซึ่งทางคุณอาจจะเก็บมาซักตามเวลา โดยไม่ต้องเปิดหน้าร้าน ให้ล็อกเกอร์เป็นตัวกลางของทั้งลูกค้าและของคุณ
6.หมวกกันน็อกดีไซน์เก๋ไม่จำเป็นต้องเป็นพลาสติกเงาวับเสมอไป คุณอาจนำหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานเรียบร้อยมาดัดแปลง เย็บผ้าให้เป็นหมวกปีกกว้าง หรือเป็นหมวกแก๊ปสไตล์เก๋ๆเอาไว้ให้เด็กวัยรุ่นที่ไม่ชอบใส่หมวกกันน็อกลองสวมใส่ช่วยเรื่องความปลอดภัยและเพิ่มเงินในกระเป๋าของคุณด้วย
7.อุปกรณ์ท่องเที่ยวให้เช่าถ้าคุณเป็นนักเที่ยวก็จะรู้ดีว่าอุปกรณ์แบบ Adventure นั้นมีราคาแพงและใช้ไม่บ่อย บางครั้งก็กลับพังเพราะการเก็บรักษาไม่ดีให้คุณลองเปิดเซ็นเตอร์ให้เช่าอุปกรณ์ท่องเที่ยว เช่น เต็นท์ เบ็ดตกปลา ถุงนอน จักรยาน กระเป๋า เสื้อชูชีพ กล้องส่องทางไกล
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำหมันสุนัขและแมว
เป็นที่ทราบกันดีว่าวิธ๊การคุมกำเนิดสุนัขและแมวอย่างถาวรที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดทำหมัน (Neutering) และอาจเป็นเพราะว่าเราคุ้นเคยกับคำว่า “ทำหมัน” กันมานานจนทุกวันนี้ดูเหมือนว่าการพาเจ้าตูบหรือน้องเหมียวไปทำหมันที่คลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์จะฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างไรก็ตามมีข้อควรรู้บางอย่างที่เจ้าของสัตว์ควรคำนึง
1. การทำหมันที่ถูกต้องและเหมาะสมคือการตัดรังไข่และมดลูกออกทั้งสองข้างในสัตว์เพศเมีย และตัดอัณฑะรวมถึงท่อนำอสุจิออกทั้งสองข้างในสัตว์เพศผู้ ซึ่งวิธีและขั้นตอนการผ่าตัดอาจต่างกันเล็กน้อยในสุนัขและแมว
2. การผ่าตัดจำเป็นต้องมีการวางยาสลบ ดังนั้นสุนัขหรือแมวที่จะรับการผ่าตัดทำหมันต้องได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายว่าแข็งแรงดี จากนั้นสัตวแพทย์จะทำการนัดวันผ่าตัด ซึ่งเจ้าตูบและน้องเหมียวจะต้องงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
3. การดูแลแผลหลังผ่าตัดเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนัขและแมวเพศเมีย เนื่องจากการตัดรังไข่และมดลูกออกจะต้องมีการเปิดผ่าช่องท้องซึ่งนับได้ว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ เจ้าของสัตว์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพาสุนัขหรือแมวไปรับการทำแผลทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 วัน สัตวแพทย์อาจให้ยาลดปวดหลังผ่าตัดในระยะนี้เพื่อทำให้สัตว์สบายขึ้น ไม่ควรปล่อยสัตว์ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านเนื่องจากแผลอาจมีการติดเชื้อและเกิดแผลแตกตามมา
4. ถ้าแผลดีและไม่มีปัญหาแทรกซ้อน หมอจะนัดตัดไหมประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด การทิ้งไหมผ่าตัดไว้นานเกินไป จะทำให้ไหมบาดแผลเกิดการอักเสบของแผลตามมาได้
อายุเท่าไรจึงทำหมันได้เคยมีความเชื่อว่าต้องรอให้สัตว์เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่เสียก่อนจึงทำหมันได้ คืออายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป หรือสุนัขและแมวเพศเมียผ่านการแสดงอาการเป็นสัดไปแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง แต่ในปัจจุบันได้มีการศึกษารายงานแล้วว่าสามารถทำหมันสุนัขและแมวได้ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะเป็นข้อดีในกรณีที่ต้องการควบคุมจำนวนสัตว์เลี้ยง เพราะถ้ารอจนสัตว์แสดงอาการเป็นสัดไปแล้ว สัตว์อาจบังเอิญได้รับการผสมและตั้งท้องคลอดลูกออกมาเป็นภาระให้เจ้าของได้ โดยเฉพาะแมวเพศเมียบางตัวอาจแสดงอาการการเป็นสัดที่ไม่ชัดเจนซึ่งจะสังเกตได้ยาก ส่วนกรณีสุนัขและแมวที่เลี้ยงตัวเดียวในบ้านและเจ้าของสามารถดูแลได้เป็นอย่างดี อาจพิจารณาทำหมันเมื่อสัตว์โตเต็มที่แล้ว
ผลดีจากการทำหมันนอกจากการผ่าตัดทำหมันจะเป็นการคุมกำเนิดถาวรที่ให้ผลดีที่สุดแล้ว ยังเป็นการลดโอกาสการเกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ได้อีกด้วย โดยเฉพาะเนื้องอกเต้านมในสุนัขและแมว อุบัติการณ์ลดลงได้ถึงเกือบ 100% หากมีการทำหมันก่อนสัตว์แสดงอาการเป็นสัดครั้งแรก นอกจากนี้โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hypertrophy; BPH) ในสุนัขเพศผู้ก็ลดลงอย่างมากเช่นกันหลังทำหมัน การตัดรังไข่ มดลูก และอัณฑะออกจะเป็นการกำจัดโอกาสการเกิดความผิดปกติและเนื้องอกของอวัยวะเหล่านี้ออกไปอย่างถาวรอีกด้วย
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังทำหมัน ที่เห็นได้ชัดคือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องจากฮอร์โมนเพศจะลดลงมาก การผ่าตัดทำหมันเป็นการตัดเอาแหล่งผลิตฮอร์โมนเพศที่สำคัญออก ดังนั้นพฤติกรรมการขึ้นขี่ (Mounting) ชอบหนีเที่ยว ติดสัตว์เพศเมีย หรือการยกขาปัสสาวะเพื่อบอกขอบเขตอาณาบริเวณความเป็นเจ้าของ (Urine Spraying and Marking) จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในสุนัขและแมวเพศผู้ พฤติกรรมก้าวร้าว ดุหรือกัดสัตว์ตัวอื่นหรือสมาชิกของบ้านจะลดลงแต่ไม่มีผลกับความก้าวร้าวต่อคนแปลกหน้า ดังนั้นสุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็ยังคงเห่า หรือขู่คนแปลกหน้าได้เหมือนเดิม นอกจากนั้นความซุกซน ชอบเล่น และการเห่าไม่มีผลเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดหลังทำหมัน
ความอ้วนกับการทำหมันนอกจากสายพันธุ์ เพศ อายุ และอาหารการกินจะเป็นปัจจัยของโรคอ้วนในสุนัขและแมวแล้ว ผลการศึกษาหลายฉบับรายงานยืนยันว่าการทำหมันก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้สุนัขและแมวมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเพิ่ม (Overweight) และเป็นโรคอ้วน (Obesity) ซึ่งสามารถอธิบายได้จากการเผาผลาญพลังงานที่ลดลง ความอยากอาหารมากขึ้นโดยในเฉพาะสุนัขเพศเมีย นอกจากนี้สัตว์ที่เป็นโรคอ้วนยังมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน โรคของต่อมไทรอยด์ชนิด Hypothyroidism และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าและเอ็นข้อเข่าฉีกขาด ดังนั้นภายหลังการทำหมัน เจ้าของสัตว์ควรคำนึงถึงเรื่องของอาหารและการออกกำลังกายของสัตว์ด้วย อาจค่อยๆมีการปรับเปลี่ยนอาหารและเพิ่มการออกกำลังกาย อาหารสำเร็จรูปเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการคุมน้ำหนักที่ดีเนื่องจากเจ้าของจะทราบปริมาณแน่นอนที่ให้สัตว์กิน ในปัจจุบันมีอาหารสุนัขและแมวสำเร็จรูปชนิดที่ให้พลังงานต่ำ (Light Formula) และเฉพาะสำหรับสัตว์ที่ทำหมันจำหน่าย โดยอาหารดังกล่าวจะมีสูตรอาหารที่ให้พลังงานน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารของสุนัขก่อนทำหมัน มีการเพิ่มกากใยมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเติมสารที่เร่งการเผาผลาญไขมัน (Fat Burner) เช่น L-Carnitine ซึ่งเหมือนกับอาหารลดน้ำหนักของคน
ภาวะปัสสาวะเล็ดหลังทำหมัน (Urinary Incontinence)การเก็บข้อมูลในต่างประเทศรายงานโอกาสการเกิดปัญหาปัสสาวะเล็ดที่เพิ่มสูงขึ้นในสุนัขกลุ่มที่ได้รับการทำหมัน ซึ่งพบได้มากในสุนัขเพศเมีย (4-20%) โดยสุนัขจะมีปัสสาวะไหลออกมาเองเมื่อนอนหลับหรือนอนตะแคง ปัญหาสุขภาพต่างๆที่อาจพบตามมาได้ เช่น ผิวหนังอักเสบ การติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (Post-Menopausal Women) สุนัขเพศเมียที่ได้รับการผ่าตัดเอารังไข่ออก จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผนังกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ ทำให้มีแนวโน้มที่การควบคุมปัสสาวะจะทำได้ไม่ดีเหมือนปกติ และเมื่อร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความอ้วน สายพันธุ์ และขนาดตัว สุนัขส่วนหนึ่งก็จะแสดงอาการปัสสาวะเล็ด อย่างไรก็ตามการรักษาทางยาสามารถลดอาการได้ดี
ถึงแม้การทำหมันอาจจะมีผลเสียอยู่บ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังผ่าตัดแต่ก็ไม่ได้มีอุบัติการณ์ของโรคที่สูงมากนัก อย่างไรก็ตามการทำหมันก็มีผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่นๆดังกล่าวข้างต้นและมีประสิทธิภาพอย่างสูงในแง่ของการคุมกำเนิด เนื่องจากปัญหาการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากของสุนัขและแมวจรจัดในประเทศไทยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง การรณรงค์ให้เจ้าของสุนัขและแมวนำสัตว์ไปรับการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธียังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกระทำ สิ่งต่างๆเหล่านี้สัตวแพทย์ยินดีที่จะให้คำปรึกษาเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมเป็นกรณีไป
1. การทำหมันที่ถูกต้องและเหมาะสมคือการตัดรังไข่และมดลูกออกทั้งสองข้างในสัตว์เพศเมีย และตัดอัณฑะรวมถึงท่อนำอสุจิออกทั้งสองข้างในสัตว์เพศผู้ ซึ่งวิธีและขั้นตอนการผ่าตัดอาจต่างกันเล็กน้อยในสุนัขและแมว
2. การผ่าตัดจำเป็นต้องมีการวางยาสลบ ดังนั้นสุนัขหรือแมวที่จะรับการผ่าตัดทำหมันต้องได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายว่าแข็งแรงดี จากนั้นสัตวแพทย์จะทำการนัดวันผ่าตัด ซึ่งเจ้าตูบและน้องเหมียวจะต้องงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
3. การดูแลแผลหลังผ่าตัดเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนัขและแมวเพศเมีย เนื่องจากการตัดรังไข่และมดลูกออกจะต้องมีการเปิดผ่าช่องท้องซึ่งนับได้ว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ เจ้าของสัตว์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพาสุนัขหรือแมวไปรับการทำแผลทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 วัน สัตวแพทย์อาจให้ยาลดปวดหลังผ่าตัดในระยะนี้เพื่อทำให้สัตว์สบายขึ้น ไม่ควรปล่อยสัตว์ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านเนื่องจากแผลอาจมีการติดเชื้อและเกิดแผลแตกตามมา
4. ถ้าแผลดีและไม่มีปัญหาแทรกซ้อน หมอจะนัดตัดไหมประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด การทิ้งไหมผ่าตัดไว้นานเกินไป จะทำให้ไหมบาดแผลเกิดการอักเสบของแผลตามมาได้
อายุเท่าไรจึงทำหมันได้เคยมีความเชื่อว่าต้องรอให้สัตว์เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่เสียก่อนจึงทำหมันได้ คืออายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป หรือสุนัขและแมวเพศเมียผ่านการแสดงอาการเป็นสัดไปแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง แต่ในปัจจุบันได้มีการศึกษารายงานแล้วว่าสามารถทำหมันสุนัขและแมวได้ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะเป็นข้อดีในกรณีที่ต้องการควบคุมจำนวนสัตว์เลี้ยง เพราะถ้ารอจนสัตว์แสดงอาการเป็นสัดไปแล้ว สัตว์อาจบังเอิญได้รับการผสมและตั้งท้องคลอดลูกออกมาเป็นภาระให้เจ้าของได้ โดยเฉพาะแมวเพศเมียบางตัวอาจแสดงอาการการเป็นสัดที่ไม่ชัดเจนซึ่งจะสังเกตได้ยาก ส่วนกรณีสุนัขและแมวที่เลี้ยงตัวเดียวในบ้านและเจ้าของสามารถดูแลได้เป็นอย่างดี อาจพิจารณาทำหมันเมื่อสัตว์โตเต็มที่แล้ว
ผลดีจากการทำหมันนอกจากการผ่าตัดทำหมันจะเป็นการคุมกำเนิดถาวรที่ให้ผลดีที่สุดแล้ว ยังเป็นการลดโอกาสการเกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ได้อีกด้วย โดยเฉพาะเนื้องอกเต้านมในสุนัขและแมว อุบัติการณ์ลดลงได้ถึงเกือบ 100% หากมีการทำหมันก่อนสัตว์แสดงอาการเป็นสัดครั้งแรก นอกจากนี้โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hypertrophy; BPH) ในสุนัขเพศผู้ก็ลดลงอย่างมากเช่นกันหลังทำหมัน การตัดรังไข่ มดลูก และอัณฑะออกจะเป็นการกำจัดโอกาสการเกิดความผิดปกติและเนื้องอกของอวัยวะเหล่านี้ออกไปอย่างถาวรอีกด้วย
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังทำหมัน ที่เห็นได้ชัดคือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องจากฮอร์โมนเพศจะลดลงมาก การผ่าตัดทำหมันเป็นการตัดเอาแหล่งผลิตฮอร์โมนเพศที่สำคัญออก ดังนั้นพฤติกรรมการขึ้นขี่ (Mounting) ชอบหนีเที่ยว ติดสัตว์เพศเมีย หรือการยกขาปัสสาวะเพื่อบอกขอบเขตอาณาบริเวณความเป็นเจ้าของ (Urine Spraying and Marking) จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในสุนัขและแมวเพศผู้ พฤติกรรมก้าวร้าว ดุหรือกัดสัตว์ตัวอื่นหรือสมาชิกของบ้านจะลดลงแต่ไม่มีผลกับความก้าวร้าวต่อคนแปลกหน้า ดังนั้นสุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็ยังคงเห่า หรือขู่คนแปลกหน้าได้เหมือนเดิม นอกจากนั้นความซุกซน ชอบเล่น และการเห่าไม่มีผลเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดหลังทำหมัน
ความอ้วนกับการทำหมันนอกจากสายพันธุ์ เพศ อายุ และอาหารการกินจะเป็นปัจจัยของโรคอ้วนในสุนัขและแมวแล้ว ผลการศึกษาหลายฉบับรายงานยืนยันว่าการทำหมันก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้สุนัขและแมวมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเพิ่ม (Overweight) และเป็นโรคอ้วน (Obesity) ซึ่งสามารถอธิบายได้จากการเผาผลาญพลังงานที่ลดลง ความอยากอาหารมากขึ้นโดยในเฉพาะสุนัขเพศเมีย นอกจากนี้สัตว์ที่เป็นโรคอ้วนยังมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน โรคของต่อมไทรอยด์ชนิด Hypothyroidism และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าและเอ็นข้อเข่าฉีกขาด ดังนั้นภายหลังการทำหมัน เจ้าของสัตว์ควรคำนึงถึงเรื่องของอาหารและการออกกำลังกายของสัตว์ด้วย อาจค่อยๆมีการปรับเปลี่ยนอาหารและเพิ่มการออกกำลังกาย อาหารสำเร็จรูปเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการคุมน้ำหนักที่ดีเนื่องจากเจ้าของจะทราบปริมาณแน่นอนที่ให้สัตว์กิน ในปัจจุบันมีอาหารสุนัขและแมวสำเร็จรูปชนิดที่ให้พลังงานต่ำ (Light Formula) และเฉพาะสำหรับสัตว์ที่ทำหมันจำหน่าย โดยอาหารดังกล่าวจะมีสูตรอาหารที่ให้พลังงานน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารของสุนัขก่อนทำหมัน มีการเพิ่มกากใยมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเติมสารที่เร่งการเผาผลาญไขมัน (Fat Burner) เช่น L-Carnitine ซึ่งเหมือนกับอาหารลดน้ำหนักของคน
ภาวะปัสสาวะเล็ดหลังทำหมัน (Urinary Incontinence)การเก็บข้อมูลในต่างประเทศรายงานโอกาสการเกิดปัญหาปัสสาวะเล็ดที่เพิ่มสูงขึ้นในสุนัขกลุ่มที่ได้รับการทำหมัน ซึ่งพบได้มากในสุนัขเพศเมีย (4-20%) โดยสุนัขจะมีปัสสาวะไหลออกมาเองเมื่อนอนหลับหรือนอนตะแคง ปัญหาสุขภาพต่างๆที่อาจพบตามมาได้ เช่น ผิวหนังอักเสบ การติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (Post-Menopausal Women) สุนัขเพศเมียที่ได้รับการผ่าตัดเอารังไข่ออก จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผนังกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ ทำให้มีแนวโน้มที่การควบคุมปัสสาวะจะทำได้ไม่ดีเหมือนปกติ และเมื่อร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความอ้วน สายพันธุ์ และขนาดตัว สุนัขส่วนหนึ่งก็จะแสดงอาการปัสสาวะเล็ด อย่างไรก็ตามการรักษาทางยาสามารถลดอาการได้ดี
ถึงแม้การทำหมันอาจจะมีผลเสียอยู่บ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังผ่าตัดแต่ก็ไม่ได้มีอุบัติการณ์ของโรคที่สูงมากนัก อย่างไรก็ตามการทำหมันก็มีผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่นๆดังกล่าวข้างต้นและมีประสิทธิภาพอย่างสูงในแง่ของการคุมกำเนิด เนื่องจากปัญหาการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากของสุนัขและแมวจรจัดในประเทศไทยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง การรณรงค์ให้เจ้าของสุนัขและแมวนำสัตว์ไปรับการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธียังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกระทำ สิ่งต่างๆเหล่านี้สัตวแพทย์ยินดีที่จะให้คำปรึกษาเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมเป็นกรณีไป
กระแสสุขภาพ 2009
1.นวัตกรรมใหม่ แผลเล็ก เจ็บน้อย ถือเป็นพัฒนาการทางวงการแพย์ที่จะสามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุด คือ ทำแล้วเห็นผลชัดเจน แต่เจ็บตัวน้อยกว่า คุณจึงมักจะได้ยินคำว่าแผลเล็ก เจ็บน้อย ใช้เวลาไม่นาน ฟื้นตัวเร็ว ฯลฯ จากวงการแพทย์ในช่วง 12 ปีหลังมานี้บ่อยมาก ในขณะที่นวัตกรรมก็ได้รับการพัฒนาออกมาเรื่อยๆ
2.หมดยุคการผ่าตัดและการรักษาที่ยุ่งยาก จากบทความในนิตยสาร New Beauty ของสหรัฐอเมริกา ฉบับประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ปี 2008 ระบุว่า การผ่าตัดเพื่อความงามบางประเภท เช่น การผ่าตัดดึงหน้า มีแนวโน้มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทว่า ตัวเลขที่ลดลงนี้ไม่ได้หมายความว่าสาวๆ เลิกห่วงสวย แต่เป็นเพราะมีทางเลือกอื่นแทน เช่น การใช้เทคโนโลยี "เทอร์มาจ" กระชับผิวหน้าควบคู่ไปกับการ "ฉีดโบทอกซ์ยกหน้า" ซึ่งเทรนด์การใช้เทคโนโลยีผสมผสานกันเพื่อการรักษาจะได้เห็นผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ก็เป็นอีกหนึ่งกระแสที่กำลังมาแรง
3.มินิเฟซลิฟต์ หรือการยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ได้รับการคอนเฟิร์มว่าจะมาแรงแซงโค้งแน่ๆ ในปีหน้า ทั้งนี้เพราะบรรดาสาวๆ ยุค "เบบี้บูม" หรือสาวๆ ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีอายุย่างเข้าสู่วัย 50 ปี ผิวหน้าก็ชักจะเริ่มหย่อนคล้อย เกิดอาการหน้าห้อย หน้าตกกันมากขึ้น จึงคาดกันว่าชาว "เบบี้บูม" เหล่านี้จะเลือกทำ "มินิลิฟต์" ที่ได้ผลใกล้เคียงการทำศัลยกรรม แต่เจ็บตัวน้อยกว่ากันเยอะ และดูเป็นธรรมชาติกว่ากันแทนแน่นอน
4.สาวหุ่นดีคือสาวผอม ถึงแม้จะมีความพยายามต่อต้านนางแบบที่ผอมมากๆ แต่ความผอมก็ยังคงเป็นที่ปรารถนาของสาวๆ ทุกคน
5.ขนตายาวดกหนา เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ "อิน" และยังไม่เอาต์ ล่าสุด มีข่าวออกมาว่า ภายในปีหน้า ราวๆ ช่วงซัมเมอร์ บริษัท อัลเลอร์แกน (บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายโบทอกซ์) จะออกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นให้ขนตางอกยาวและหนาขึ้นออกจำหน่าย หลายฝ่ายจึงคาดกันว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นที่ต้องการของสาวๆ ทั่วโลก และฮือฮาพอๆ กับโบทอกซ์
6.ผิวขาว เป็นอีกหนึ่งกระแสความงามที่ไม่เคยหนีหายไปไหน ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีผิวสีแล้วก็เถอะ!!!
7.แอนไทเอจจิง (Anti–Aging) เป็นอีกหนึ่งกระแสสุขภาพที่คาดว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2009 สำหรับแนวความคิดของแอนไทเอจจิงนั้น เน้นที่การ "ป้องกัน" แทนการ "รักษา" กล่าวคือการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ชะลอหรือลดความเสื่อมต่างๆ เพื่อให้โรคภัยไข้เจ็บหรือความเสื่อมถอยมาถึงเราได้ช้าที่สุดหรือน้อยที่สุด ...จะว่าไปแอนไทเอจจิงก็เหมือนคำพังเพยไทยที่ว่า "กันไว้ดีกว่าแก้"
2.หมดยุคการผ่าตัดและการรักษาที่ยุ่งยาก จากบทความในนิตยสาร New Beauty ของสหรัฐอเมริกา ฉบับประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ปี 2008 ระบุว่า การผ่าตัดเพื่อความงามบางประเภท เช่น การผ่าตัดดึงหน้า มีแนวโน้มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทว่า ตัวเลขที่ลดลงนี้ไม่ได้หมายความว่าสาวๆ เลิกห่วงสวย แต่เป็นเพราะมีทางเลือกอื่นแทน เช่น การใช้เทคโนโลยี "เทอร์มาจ" กระชับผิวหน้าควบคู่ไปกับการ "ฉีดโบทอกซ์ยกหน้า" ซึ่งเทรนด์การใช้เทคโนโลยีผสมผสานกันเพื่อการรักษาจะได้เห็นผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ก็เป็นอีกหนึ่งกระแสที่กำลังมาแรง
3.มินิเฟซลิฟต์ หรือการยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ได้รับการคอนเฟิร์มว่าจะมาแรงแซงโค้งแน่ๆ ในปีหน้า ทั้งนี้เพราะบรรดาสาวๆ ยุค "เบบี้บูม" หรือสาวๆ ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีอายุย่างเข้าสู่วัย 50 ปี ผิวหน้าก็ชักจะเริ่มหย่อนคล้อย เกิดอาการหน้าห้อย หน้าตกกันมากขึ้น จึงคาดกันว่าชาว "เบบี้บูม" เหล่านี้จะเลือกทำ "มินิลิฟต์" ที่ได้ผลใกล้เคียงการทำศัลยกรรม แต่เจ็บตัวน้อยกว่ากันเยอะ และดูเป็นธรรมชาติกว่ากันแทนแน่นอน
4.สาวหุ่นดีคือสาวผอม ถึงแม้จะมีความพยายามต่อต้านนางแบบที่ผอมมากๆ แต่ความผอมก็ยังคงเป็นที่ปรารถนาของสาวๆ ทุกคน
5.ขนตายาวดกหนา เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ "อิน" และยังไม่เอาต์ ล่าสุด มีข่าวออกมาว่า ภายในปีหน้า ราวๆ ช่วงซัมเมอร์ บริษัท อัลเลอร์แกน (บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายโบทอกซ์) จะออกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นให้ขนตางอกยาวและหนาขึ้นออกจำหน่าย หลายฝ่ายจึงคาดกันว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นที่ต้องการของสาวๆ ทั่วโลก และฮือฮาพอๆ กับโบทอกซ์
6.ผิวขาว เป็นอีกหนึ่งกระแสความงามที่ไม่เคยหนีหายไปไหน ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีผิวสีแล้วก็เถอะ!!!
7.แอนไทเอจจิง (Anti–Aging) เป็นอีกหนึ่งกระแสสุขภาพที่คาดว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2009 สำหรับแนวความคิดของแอนไทเอจจิงนั้น เน้นที่การ "ป้องกัน" แทนการ "รักษา" กล่าวคือการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ชะลอหรือลดความเสื่อมต่างๆ เพื่อให้โรคภัยไข้เจ็บหรือความเสื่อมถอยมาถึงเราได้ช้าที่สุดหรือน้อยที่สุด ...จะว่าไปแอนไทเอจจิงก็เหมือนคำพังเพยไทยที่ว่า "กันไว้ดีกว่าแก้"
7 มิ.ย. 2552
30 ทิปเล็กน้อย ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare
ดูแลจุดซ่อนเร้น ด้วย กระจกส่องจิ๋ม
มะเร็งปากมดลูก…เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทยมะเร็งปากมดลูก…เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงไทยเสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน
แม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้หากพบในระยะแรก แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หญิงไทยมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคนี้ก็เป็นเพราะ “ความอาย” ของสาวๆ ที่จะไปตรวจภายในประจำปี
อย่าว่าแต่จะไปขึ้นขาหยั่งให้หมอตรวจ จะมีสาวไทยสักกี่คนที่เคยก้มลงสำรวจจุดเร้นลับในร่างกายของตัวเองด้วยวัฒนธรรมอันเสงี่ยมหงิมของไทยที่สอนกันมาแต่เล็กว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องน่าอาย หรือไม่ควรพูดถึง
มูลนิธิสร้างความเข้าเรื่องสุขภาพผู้หญิง จึงรณรงค์ให้สาวไทยหันมาเริ่มให้ความใส่ใจกับจุดเร้นลับของตัวเองเพื่อที่จะได้รู้เท่าทันเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นด้วย “กระจกส่องจิ๋ม”
กระจกส่องจิ๋ม เป็นยังไง...มีประโยชน์ยังไง...และมันแตกต่างกับกระจกที่ใช้ส่องหน้ายังไง เรื่องนี้เฉลยโดย ณัฐยา บุญภักดี ผู้ประสานงานมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.)
“กระจกบานนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้เตือนใจว่า เรามีกระจกหลายบานเอาไว้ดูหน้า ดังที่ผู้หญิงจะถูกบอกให้รักสวยรักงาม แต่อวัยวะเพศซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกันกลับถูกละเลย ผู้หญิงกลับถูกสอนให้ไม่ไปยุ่ง ไม่ไปสัมผัส ดูแล เพราะเป็นของต่ำ ทำให้ผู้หญิงโตขึ้นมาโดยลึกๆ แล้วรังเกียจอวัยวะเพศตัวเอง”
ดังนั้นกระจกส่องจิ๋มจึงไม่ได้มีหน้าตาหรือลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากกระจกส่องหน้าทั่วไป ส่วนใครที่อยากได้กระจกบานนี้เอาไว้เตือนใจ ณัฐยาบอกว่าไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะเอาไปเดินแจกเพราะคงไม่มีประโยชน์ แต่จะแจกพร้อมการทำเวิร์กชอป ที่ สคส.ได้เชิญชวนผู้หญิงมาพูดคุยทบทวนกันว่าแต่ละคนถูกบอกถูกสอนมาอย่างไรเกี่ยวกับอวัยวะเพศ และสร้างผลอย่างไรในปัจจุบันพร้อมทั้งทำความรู้จักอวัยวะเพศหญิงให้ลึกซึ้ง เอารูปทางการแพทย์มาดูกันเพื่อเป็นการทำความคุ้นเคย และลดความอายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
ผู้เข้าร่วมหลายคนพูดเลยว่าเพราะถูกสอนมาจึงทำให้ไม่ไปยุ่งกับส่วนเร้นลับของร่างกาย มีผู้หญิงอายุ 50 ปีแล้ว บอกว่ายังไม่เคยก้มดูของตัวเองให้ชัดๆ เลย ยิ่งเรื่องไปตรวจเช็คสุขภาพมะเร็งปากมดลูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
การที่เราไม่เคยสำรวจจุดซ่อนเร้นของตัวเอง ทำให้เราขาดการเอาใจใส่ด้านความสะอาด ทำความสะอาดผิดวิธี ใช้น้ำยาที่ไม่มีความจำเป็น และตระหนกตกใจเวลามีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เช่น ตกขาว และกลิ่นผิดปกติ ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เพราะเราไม่เคยสังเกตเท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะกระจกส่องจิ๋ม หรือว่าการเวิร์กชอป จะทำให้เห็นความสำคัญของการดูแลเอาใจใส่ส่วนเร้นลับของตัวเองมากขึ้นและไม่อายเวลาที่ต้องไปตรวจภายใน หรือเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ไม่อายที่ต้องไปปรึกษาหมอ
เห็นได้จากทุกครั้งที่ทำเวิร์กชอปเสร็จ คนจะมีกำลังใจพากันไปตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งทำให้ณัฐยาปลื้มใจว่ากระบวนการรณรงค์ได้ผล ทำให้ผู้หญิงรู้จักร่างกายตัวเอง และมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง
7 ขั้นตอน ตรวจภายในด้วยตนเองการเช็คสุขภาพใกล้ตัว อย่างการตรวจภายใน มักเป็นสิ่งที่ถูกผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอ เรามีวิธีง่ายๆ ในการตรวจภายในด้วยตัวเอง ก่อนจะเดินทางไปตรวจกับคุณหมอมาฝากกัน
1. ล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มตรวจ จากนั้นจัดท่าของตัวเองว่าจะนั่งหรือนอนอย่างไรให้เห็นอวัยวะเพศของตัวเองได้ดีที่สุด
2. หากระจกที่สามารถใช้ถือมา 1 บาน
3. ใช้มือข้างหนึ่งที่ถนัดแยกแคมใหญ่ออกจากกัน มองและคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ก้อน ตุ่มแข็ง ตุ่มน้ำ แผลรอยบวม หรือมีบริเวณที่สีเปลี่ยนไป
4. ใช้นิ้วแยกแคมเล็กออกจากกัน ตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ตรวจดูที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะว่ามีอาการบวมแดงหรือมีแผลหรือไม่
5. ใช้นิ้วมือสองนิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอด กดแยกหนังช่องคลอดออกจากกัน สังเกตตกขาว ถ้าเป็นสีขาวขุ่นเป็นมูกเหนียวหรือมูกใส มีกลิ่นคาวเล็กน้อย แสดงว่าปกติ แต่ถ้ามีลักษณะคล้ายคราบนมที่เด็กแหวะออกมา และมีอาการคันแสดงว่าอาจมีเชื้อราหรือเชื้อพยาธิในช่องคลอด ถึงเวลาที่ต้องไปพึ่งคุณหมอสูติฯ แล้ว
6. ใช้นิ้วมือคลำบริเวณส่วนล่างของแคมใหญ่ทั้งสอง โดยใช้นิ้วมือหนึ่งอยู่ในช่องคลอด และอีกนิ้วหนึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของแคมใหญ่ ดูว่ามีก้อนคล้ายถุงน้ำบริเวณนั้นหรือเปล่า เพราะเป็นตำแหน่งของต่อมที่สร้างมูกออกมาช่วยหล่อลื่นในช่องคลอดซึ่งท่อที่ปล่อยมูกนี้เจอปัญหาอุดตันได้บ่อย ถ้าคลำได้เป็นก้อนนิ่มๆ ก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อักเสบเป็นหนองได้
7. สุดท้ายตรวจบริเวณฝีเย็บและรูทวารว่ามีก้อนเนื้อที่เรียกว่า ริดสีดวงทวารหรือเปล่า ถ้ามีก็รีบปรึกษาหมอว่าจะมีวิธีรักษาอย่างไร ไม่อย่างนั้นจะลำบากเวลาขับถ่าย
หากตรวจแล้วพบสัญญาณไม่ดี อย่างรอยแดง อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคบางชนิด เช่นปากช่องคลอดอักเสบหรือมะเร็งปากช่องคลอด หรืออาการบวม อาจเกิดจากแมลงกัดต่อย หรือเป็นสัญญาณเตือนของโรคไต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีไฝหรือจุดสีคล้ำ ดำ ก็ควรหมั่นสังเกตว่าจุดเหล่านี้ เข้มขึ้นหรือใหญ่ขึ้นหรือเปล่า มีตุ่มน้ำ อาจเกิดจากเริมหรือผิวหนังอักเสบที่อวัยวะเพศได้ และสัญญาณสุดท้ายมีก้อนเนื้อ ซึ่งอาจเป็นเนื้องอก หรือเกิดจากการอักเสบ
แม้จะรู้ขั้นตอนต่างๆ แล้ว การไปพบคุณหมอสูติฯ เพื่อตรวจภายในปีละครั้ง ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคน อย่ามัวแต่อายเพราะกันไว้ก่อนก็ยังดีว่าตามรักษากันภายหลัง!
แม้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้หากพบในระยะแรก แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หญิงไทยมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคนี้ก็เป็นเพราะ “ความอาย” ของสาวๆ ที่จะไปตรวจภายในประจำปี
อย่าว่าแต่จะไปขึ้นขาหยั่งให้หมอตรวจ จะมีสาวไทยสักกี่คนที่เคยก้มลงสำรวจจุดเร้นลับในร่างกายของตัวเองด้วยวัฒนธรรมอันเสงี่ยมหงิมของไทยที่สอนกันมาแต่เล็กว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องน่าอาย หรือไม่ควรพูดถึง
มูลนิธิสร้างความเข้าเรื่องสุขภาพผู้หญิง จึงรณรงค์ให้สาวไทยหันมาเริ่มให้ความใส่ใจกับจุดเร้นลับของตัวเองเพื่อที่จะได้รู้เท่าทันเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นด้วย “กระจกส่องจิ๋ม”
กระจกส่องจิ๋ม เป็นยังไง...มีประโยชน์ยังไง...และมันแตกต่างกับกระจกที่ใช้ส่องหน้ายังไง เรื่องนี้เฉลยโดย ณัฐยา บุญภักดี ผู้ประสานงานมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.)
“กระจกบานนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้เตือนใจว่า เรามีกระจกหลายบานเอาไว้ดูหน้า ดังที่ผู้หญิงจะถูกบอกให้รักสวยรักงาม แต่อวัยวะเพศซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกันกลับถูกละเลย ผู้หญิงกลับถูกสอนให้ไม่ไปยุ่ง ไม่ไปสัมผัส ดูแล เพราะเป็นของต่ำ ทำให้ผู้หญิงโตขึ้นมาโดยลึกๆ แล้วรังเกียจอวัยวะเพศตัวเอง”
ดังนั้นกระจกส่องจิ๋มจึงไม่ได้มีหน้าตาหรือลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากกระจกส่องหน้าทั่วไป ส่วนใครที่อยากได้กระจกบานนี้เอาไว้เตือนใจ ณัฐยาบอกว่าไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะเอาไปเดินแจกเพราะคงไม่มีประโยชน์ แต่จะแจกพร้อมการทำเวิร์กชอป ที่ สคส.ได้เชิญชวนผู้หญิงมาพูดคุยทบทวนกันว่าแต่ละคนถูกบอกถูกสอนมาอย่างไรเกี่ยวกับอวัยวะเพศ และสร้างผลอย่างไรในปัจจุบันพร้อมทั้งทำความรู้จักอวัยวะเพศหญิงให้ลึกซึ้ง เอารูปทางการแพทย์มาดูกันเพื่อเป็นการทำความคุ้นเคย และลดความอายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
ผู้เข้าร่วมหลายคนพูดเลยว่าเพราะถูกสอนมาจึงทำให้ไม่ไปยุ่งกับส่วนเร้นลับของร่างกาย มีผู้หญิงอายุ 50 ปีแล้ว บอกว่ายังไม่เคยก้มดูของตัวเองให้ชัดๆ เลย ยิ่งเรื่องไปตรวจเช็คสุขภาพมะเร็งปากมดลูก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
การที่เราไม่เคยสำรวจจุดซ่อนเร้นของตัวเอง ทำให้เราขาดการเอาใจใส่ด้านความสะอาด ทำความสะอาดผิดวิธี ใช้น้ำยาที่ไม่มีความจำเป็น และตระหนกตกใจเวลามีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เช่น ตกขาว และกลิ่นผิดปกติ ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เพราะเราไม่เคยสังเกตเท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะกระจกส่องจิ๋ม หรือว่าการเวิร์กชอป จะทำให้เห็นความสำคัญของการดูแลเอาใจใส่ส่วนเร้นลับของตัวเองมากขึ้นและไม่อายเวลาที่ต้องไปตรวจภายใน หรือเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็ไม่อายที่ต้องไปปรึกษาหมอ
เห็นได้จากทุกครั้งที่ทำเวิร์กชอปเสร็จ คนจะมีกำลังใจพากันไปตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งทำให้ณัฐยาปลื้มใจว่ากระบวนการรณรงค์ได้ผล ทำให้ผู้หญิงรู้จักร่างกายตัวเอง และมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง
7 ขั้นตอน ตรวจภายในด้วยตนเองการเช็คสุขภาพใกล้ตัว อย่างการตรวจภายใน มักเป็นสิ่งที่ถูกผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอ เรามีวิธีง่ายๆ ในการตรวจภายในด้วยตัวเอง ก่อนจะเดินทางไปตรวจกับคุณหมอมาฝากกัน
1. ล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มตรวจ จากนั้นจัดท่าของตัวเองว่าจะนั่งหรือนอนอย่างไรให้เห็นอวัยวะเพศของตัวเองได้ดีที่สุด
2. หากระจกที่สามารถใช้ถือมา 1 บาน
3. ใช้มือข้างหนึ่งที่ถนัดแยกแคมใหญ่ออกจากกัน มองและคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ก้อน ตุ่มแข็ง ตุ่มน้ำ แผลรอยบวม หรือมีบริเวณที่สีเปลี่ยนไป
4. ใช้นิ้วแยกแคมเล็กออกจากกัน ตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ตรวจดูที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะว่ามีอาการบวมแดงหรือมีแผลหรือไม่
5. ใช้นิ้วมือสองนิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอด กดแยกหนังช่องคลอดออกจากกัน สังเกตตกขาว ถ้าเป็นสีขาวขุ่นเป็นมูกเหนียวหรือมูกใส มีกลิ่นคาวเล็กน้อย แสดงว่าปกติ แต่ถ้ามีลักษณะคล้ายคราบนมที่เด็กแหวะออกมา และมีอาการคันแสดงว่าอาจมีเชื้อราหรือเชื้อพยาธิในช่องคลอด ถึงเวลาที่ต้องไปพึ่งคุณหมอสูติฯ แล้ว
6. ใช้นิ้วมือคลำบริเวณส่วนล่างของแคมใหญ่ทั้งสอง โดยใช้นิ้วมือหนึ่งอยู่ในช่องคลอด และอีกนิ้วหนึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของแคมใหญ่ ดูว่ามีก้อนคล้ายถุงน้ำบริเวณนั้นหรือเปล่า เพราะเป็นตำแหน่งของต่อมที่สร้างมูกออกมาช่วยหล่อลื่นในช่องคลอดซึ่งท่อที่ปล่อยมูกนี้เจอปัญหาอุดตันได้บ่อย ถ้าคลำได้เป็นก้อนนิ่มๆ ก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อักเสบเป็นหนองได้
7. สุดท้ายตรวจบริเวณฝีเย็บและรูทวารว่ามีก้อนเนื้อที่เรียกว่า ริดสีดวงทวารหรือเปล่า ถ้ามีก็รีบปรึกษาหมอว่าจะมีวิธีรักษาอย่างไร ไม่อย่างนั้นจะลำบากเวลาขับถ่าย
หากตรวจแล้วพบสัญญาณไม่ดี อย่างรอยแดง อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคบางชนิด เช่นปากช่องคลอดอักเสบหรือมะเร็งปากช่องคลอด หรืออาการบวม อาจเกิดจากแมลงกัดต่อย หรือเป็นสัญญาณเตือนของโรคไต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีไฝหรือจุดสีคล้ำ ดำ ก็ควรหมั่นสังเกตว่าจุดเหล่านี้ เข้มขึ้นหรือใหญ่ขึ้นหรือเปล่า มีตุ่มน้ำ อาจเกิดจากเริมหรือผิวหนังอักเสบที่อวัยวะเพศได้ และสัญญาณสุดท้ายมีก้อนเนื้อ ซึ่งอาจเป็นเนื้องอก หรือเกิดจากการอักเสบ
แม้จะรู้ขั้นตอนต่างๆ แล้ว การไปพบคุณหมอสูติฯ เพื่อตรวจภายในปีละครั้ง ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคน อย่ามัวแต่อายเพราะกันไว้ก่อนก็ยังดีว่าตามรักษากันภายหลัง!
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
ทราบหรือไม่ว่า การออกกำลังนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังให้ประโยชน์อะไรกับร่างกายอีก
ผิวจะดูดีขึ้น การออกกำลังมีผลในแง่บวกหลายอย่างต่อผิว ช่วยเติมสีสันให้พวงแก้ม ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นจากการไหลเวียนของโลหิตที่ดีขึ้น และยังทำให้ผิวกระชับขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันความหย่อนยานหรือริ้วรอยได้ด้วย
ขนาดร่างกายจะสมส่วนการออกกำลังเป็นประจำจะช่วยให้เผาผลาญแคลอรีส่วนเกิน และลดน้ำหนักได้ จะค่อยๆ มีขนาดร่างกายที่เหมาะสมกับส่วนสูง และโครงสร้างร่างกาย จะทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น และก็จะดูดีขึ้นตามไปด้วย
เส้นผมจะแข็งแรงกว่าเดิมการออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้มีการสูบฉีดโลหิตไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหนังศีรษะด้วย รากผมจะได้รับอาหารจากเลือดที่เต็มไปด้วยออกซิเจน และช่วยกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำลายเส้นผม
ดวงตาจะแจ่มใสขึ้นเป็นผลของการไหลเวียนโลหิตที่ดี จะทำให้ดวงตามีความชุ่มชื้น และแจ่มใส นอกจากนี้การใช้สายตาจับจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลาของการออกกำลัง ทำให้ได้มีการออกกำลังกล้ามเนื้อดวงตาที่ทำให้แข็งแรงขึ้น
กล้ามเนื้อจะดูดีขึ้นการออกกำลังแต่ละอย่างจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น ทำให้ดูเพรียวขึ้น เสื้อผ้าจะเข้ากับรูปร่างได้อย่างสวยงาม และก็จะดูฟิตมากขึ้น
รู้ถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายกันแล้ว หันมาออกกำลังกายกันดีกว่า
ผิวจะดูดีขึ้น การออกกำลังมีผลในแง่บวกหลายอย่างต่อผิว ช่วยเติมสีสันให้พวงแก้ม ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นจากการไหลเวียนของโลหิตที่ดีขึ้น และยังทำให้ผิวกระชับขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันความหย่อนยานหรือริ้วรอยได้ด้วย
ขนาดร่างกายจะสมส่วนการออกกำลังเป็นประจำจะช่วยให้เผาผลาญแคลอรีส่วนเกิน และลดน้ำหนักได้ จะค่อยๆ มีขนาดร่างกายที่เหมาะสมกับส่วนสูง และโครงสร้างร่างกาย จะทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น และก็จะดูดีขึ้นตามไปด้วย
เส้นผมจะแข็งแรงกว่าเดิมการออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้มีการสูบฉีดโลหิตไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหนังศีรษะด้วย รากผมจะได้รับอาหารจากเลือดที่เต็มไปด้วยออกซิเจน และช่วยกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำลายเส้นผม
ดวงตาจะแจ่มใสขึ้นเป็นผลของการไหลเวียนโลหิตที่ดี จะทำให้ดวงตามีความชุ่มชื้น และแจ่มใส นอกจากนี้การใช้สายตาจับจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลาของการออกกำลัง ทำให้ได้มีการออกกำลังกล้ามเนื้อดวงตาที่ทำให้แข็งแรงขึ้น
กล้ามเนื้อจะดูดีขึ้นการออกกำลังแต่ละอย่างจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น ทำให้ดูเพรียวขึ้น เสื้อผ้าจะเข้ากับรูปร่างได้อย่างสวยงาม และก็จะดูฟิตมากขึ้น
รู้ถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายกันแล้ว หันมาออกกำลังกายกันดีกว่า
ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แต่ทำไมถึงเป็น มะเร็งปากมดลูก
คุณผู้หญิงหลายคนคงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกกันมาบ้าง แต่อาจคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว หรือแม้กระทั่งมีความเข้าใจผิดว่าตัวเองไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นเพราะมีสามีคนเดียว ทว่าในความเป็นจริง ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นได้ และข้อเท็จจริงที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือ มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตหญิงไทยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 จึงไม่แปลกที่เราจะพบผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานของโรคนี้มาแล้วหลายราย
วันนี้เรามีอดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก 2 ท่านที่ดูไม่น่ามีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ แต่กลับเป็นและต้องเผชิญกับประสบการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิต มาเล่าให้ฟังกัน
ท่านแรก คุณวรรณา เหลืองชัยชาญ ที่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นโรคมะเร็งได้ เพราะตัวเองก็เจริญเติบโตเป็นสาวขึ้นมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีความรักนวลสงวนตัว แล้วต่อมาก็พบรักและแต่งงานก็อยู่กินกับสามีเดียวเมื่ออายุ 23 ปี จนประมาณ 10 ปีต่อมาวันหนึ่งเกิดอาการตกขาวมากจนไหลมาตามขา จึงได้พบแพทย์ตรวจภายใน ทำให้พบว่าเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกขั้น 1B ที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ในทันที แต่ต้องทำคีโมนานถึง 2 เดือนเพื่อให้ชิ้นเนื้อร้ายมีขนาดเล็กลงก่อนที่จะทำการผ่าตัดใหญ่ เพื่อกำจัดเนื้อร้ายทั้งหมด คุณวรรณาเล่าความรู้สึกของการต้องเจอโรคนี้กับตัวเองในช่วงเวลาที่เพิ่งอายุเพียง 32 ปีให้ฟังว่า “ตัวเองแต่งงานมีสามีคนเดียว ไม่คิดว่ามีความเสี่ยง ทำให้ตกใจมากตอนที่รู้ผลตรวจ จนถึงขนาดว่าไม่สามารถลุกจากเก้าอี้ได้จนหมอต้องให้คุณพยาบาลมาช่วยพาออกจากห้อง ก็ยังดีที่มีอาการตกขาวไม่หยุดจนไหลออกมาตามขาจึงไปหาหมอ ถึงรู้ว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก มิฉะนั้นมะเร็งคงลุกลามไปมากกว่านี้จนไม่รู้ว่าจะมีโอกาสรอดหรือไม่”
“หลังจากผ่าตัดแล้ว หมอก็ไม่ได้ระบุว่าหายขาด ช่วงปีแรกๆ ต้องไปตรวจทุก 2 เดือน จนปัจจุบัน 8 ปีแล้วก็ต้องตรวจทุก 6 เดือน ทำให้ใจเราตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดเวลาว่ามันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ เพราะเราเองก็เคยพบกรณีของคนรู้จักที่กลับมาเป็นอีกหลังจากเคยรักษาจนหายไปแล้ว 5 ปี ส่วนตัวเรายังมีผลตามมาหลังผ่าตัดมะเร็งคือเกิดถุงน้ำบริเวณที่ผ่าตัดมาโดยตลอด มีครั้งหนึ่งขนาดใหญ่มากถึง 11 เซนติเมตร ไปกดทับเส้นประสาทหลังเจ็บมากจนนอนไม่หลับ เลยต้องไปเจาะออก ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ก็ต้องคอยดูแลตัวเองตลอด” คุณวรรณาเล่าถึงความรู้สึกและประสบการณ์อันแสนทรมานจากมะเร็งปากมดลูกที่ยังส่งผลต่อสุขภาพอยู่จนถึงปัจจุบัน
รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ หัวหน้าหน่วยมะเร็งนรีเวช ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นคุณหมอที่ดูแลคุณวรรณา ได้อธิบายเพิ่มเติมให้ฟังว่า “โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ทำให้ผู้หญิงไทยเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยปกติโรคนี้มักไม่ค่อยแสดงอาการจน 10-15 ปีแล้ว หรือแสดงอาการเมื่อก้าวไปเข้าระยะที่ 2 หรือ 3 ไปแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อ Human Papilloma Virus หรือ “เอชพีวี” ซึ่งชอบอยู่บริเวณผิวที่มีความชุ่มชื้น ไม่ว่าจะเป็น ซอกเล็บ ปาก และโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนโสด แต่งงานและมีคู่นอนคนเดียว หรือมีคู่นอนหลายคนก็มีโอกาสติดไวรัสชนิดนี้ได้ทั้งนั้น แต่ในกรณีของคนที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งมีโอกาสที่จะมีคู่นอนหลายคน จะมีความเสี่ยงสูงมากกว่าคนอื่น
“ปัจจุบันผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มอายุน้อยลงมาก สถิติล่าสุดในประเทศไทยคือพบเด็กหญิงอายุ 12 ปีเป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว มะเร็งปากมดลูกจึงเป็นโรคที่คุณผู้หญิงพึงระวังอย่างยิ่ง ทางป้องกันโรคนี้ที่สำคัญคือ 1) อย่าอายที่จะไปพบหมอเพื่อตรวจ Pap Smear เป็นประจำทุกปี เพื่อตรวจว่าติดเชื้อเอชพีวีหรือไม่ ถ้าพบจะได้รีบรักษาให้ทันท่วงที 2) ลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่นการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย การมีคู่นอนหลายคน การสูบบุหรี่ 3) และถ้าสามารถฉีดวัคซีนป้องกันเอชพีวีร่วมกับการตรวจ Pap Smear ก็จะได้ผลดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก” หมอวิชัยกล่าวต่อ
ส่วนอีกคนหนึ่ง หากใครได้เข้าไปอ่านเว็บไซต์ยอดฮิตอย่าง “พันทิป” ในห้องลุมพินี ซึ่งเป็นห้องที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาพูดคุยนานาสารพันเกี่ยวกับสุขภาพ คงจะพอคุ้นชื่อนามแฝงที่ใช้ชื่อว่า “คุณนายดอกไม้” กันมาบ้าง เพราะเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เก็บประสบการณ์เกี่ยวกับการเป็นโรคมะเร็งไว้กับเธอเพียงลำพัง แต่เอามาแบ่งปันเป็นความรู้ให้กับทุกคนในเว็บไซต์ และถ้าใครมีข้อสงสัยหรือปัญหาเกี่ยวกับมะเร็ง เธอจะเข้ามาตอบอย่างสม่ำเสมอ แล้วเธอยังมีมุมมองเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกในต่างแดนมาบอกเล่าให้เล่าฟังด้วย เพราะคุณนายดอกไม้ เป็นหญิงไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปสร้างครอบครัวกับสามีชาวแคนาดาที่ประเทศแคนาดา เธอเป็นมะเร็งถึง 3 ที่คือ ปากมดลูก รังไข่ และท่อนำไข่
เธอบอกว่า “ในแคนาดารัฐบาลมีการรณรงค์อย่างมากเกี่ยวกับโรคนี้ ถึงขนาดมีภาพยนตร์ที่ทำออกมาเพื่อกระตุ้นให้เด็กผู้หญิงที่อายุครบ 13 ปีทุกคนต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งรัฐบาลเขาฉีดให้ฟรีเลย เพราะเห็นความรุนแรงและทรมานจากการป่วยเป็นโรคนี้
“จากประสบการณ์ของคุณนายดอกไม้เห็นว่า นโยบายของรัฐแบบนี้ควรสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้ เนื่องจากมีการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทุกปี และกว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็ต้องถึงขั้นที่คุณหมอให้ทำคีโมแล้วถึง 2 ครั้งด้วยกัน เกิดความเจ็บปวดและทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการป้องกันที่สามารถทำได้ก็ควรทำไว้ก่อนย่อมจะดีกว่าอย่างมาก”
“ส่วนผู้หญิงไทย อยากจะบอกมากๆ เลยว่าอย่าอายหมอ ขอให้ไปตรวจ Pap Smear เป็นประจำทุกปี เพื่อหาร่องรอยของโรคก่อนเป็นมะเร็ง หากตรวจพบความผิดปกติได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งหาทางรักษาได้เร็วเท่านั้น และเราก็ต้องช่วยกันรณรงค์ให้เห็นถึงความร้ายแรงของโรคนี้ อย่างที่ประเทศแคนาดาทำ ซึ่งเห็นผลเลยว่า ทำให้จำนวนผู้หญิงแคนาดาที่ต้องเสียชีวิตจากโรคมะเร็งชนิดนี้ลดลงเป็นอันดัน 7 ไม่ใช่อันดับ 1 เหมือนในไทยแล้วในปัจจุบัน” คุณนายดอกไม้ แนะนำทิ้งท้าย
วันนี้เรามีอดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก 2 ท่านที่ดูไม่น่ามีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ แต่กลับเป็นและต้องเผชิญกับประสบการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิต มาเล่าให้ฟังกัน
ท่านแรก คุณวรรณา เหลืองชัยชาญ ที่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นโรคมะเร็งได้ เพราะตัวเองก็เจริญเติบโตเป็นสาวขึ้นมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีความรักนวลสงวนตัว แล้วต่อมาก็พบรักและแต่งงานก็อยู่กินกับสามีเดียวเมื่ออายุ 23 ปี จนประมาณ 10 ปีต่อมาวันหนึ่งเกิดอาการตกขาวมากจนไหลมาตามขา จึงได้พบแพทย์ตรวจภายใน ทำให้พบว่าเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกขั้น 1B ที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ในทันที แต่ต้องทำคีโมนานถึง 2 เดือนเพื่อให้ชิ้นเนื้อร้ายมีขนาดเล็กลงก่อนที่จะทำการผ่าตัดใหญ่ เพื่อกำจัดเนื้อร้ายทั้งหมด คุณวรรณาเล่าความรู้สึกของการต้องเจอโรคนี้กับตัวเองในช่วงเวลาที่เพิ่งอายุเพียง 32 ปีให้ฟังว่า “ตัวเองแต่งงานมีสามีคนเดียว ไม่คิดว่ามีความเสี่ยง ทำให้ตกใจมากตอนที่รู้ผลตรวจ จนถึงขนาดว่าไม่สามารถลุกจากเก้าอี้ได้จนหมอต้องให้คุณพยาบาลมาช่วยพาออกจากห้อง ก็ยังดีที่มีอาการตกขาวไม่หยุดจนไหลออกมาตามขาจึงไปหาหมอ ถึงรู้ว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก มิฉะนั้นมะเร็งคงลุกลามไปมากกว่านี้จนไม่รู้ว่าจะมีโอกาสรอดหรือไม่”
“หลังจากผ่าตัดแล้ว หมอก็ไม่ได้ระบุว่าหายขาด ช่วงปีแรกๆ ต้องไปตรวจทุก 2 เดือน จนปัจจุบัน 8 ปีแล้วก็ต้องตรวจทุก 6 เดือน ทำให้ใจเราตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดเวลาว่ามันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ เพราะเราเองก็เคยพบกรณีของคนรู้จักที่กลับมาเป็นอีกหลังจากเคยรักษาจนหายไปแล้ว 5 ปี ส่วนตัวเรายังมีผลตามมาหลังผ่าตัดมะเร็งคือเกิดถุงน้ำบริเวณที่ผ่าตัดมาโดยตลอด มีครั้งหนึ่งขนาดใหญ่มากถึง 11 เซนติเมตร ไปกดทับเส้นประสาทหลังเจ็บมากจนนอนไม่หลับ เลยต้องไปเจาะออก ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ก็ต้องคอยดูแลตัวเองตลอด” คุณวรรณาเล่าถึงความรู้สึกและประสบการณ์อันแสนทรมานจากมะเร็งปากมดลูกที่ยังส่งผลต่อสุขภาพอยู่จนถึงปัจจุบัน
รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ หัวหน้าหน่วยมะเร็งนรีเวช ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นคุณหมอที่ดูแลคุณวรรณา ได้อธิบายเพิ่มเติมให้ฟังว่า “โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ทำให้ผู้หญิงไทยเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยปกติโรคนี้มักไม่ค่อยแสดงอาการจน 10-15 ปีแล้ว หรือแสดงอาการเมื่อก้าวไปเข้าระยะที่ 2 หรือ 3 ไปแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อ Human Papilloma Virus หรือ “เอชพีวี” ซึ่งชอบอยู่บริเวณผิวที่มีความชุ่มชื้น ไม่ว่าจะเป็น ซอกเล็บ ปาก และโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนโสด แต่งงานและมีคู่นอนคนเดียว หรือมีคู่นอนหลายคนก็มีโอกาสติดไวรัสชนิดนี้ได้ทั้งนั้น แต่ในกรณีของคนที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งมีโอกาสที่จะมีคู่นอนหลายคน จะมีความเสี่ยงสูงมากกว่าคนอื่น
“ปัจจุบันผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มอายุน้อยลงมาก สถิติล่าสุดในประเทศไทยคือพบเด็กหญิงอายุ 12 ปีเป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว มะเร็งปากมดลูกจึงเป็นโรคที่คุณผู้หญิงพึงระวังอย่างยิ่ง ทางป้องกันโรคนี้ที่สำคัญคือ 1) อย่าอายที่จะไปพบหมอเพื่อตรวจ Pap Smear เป็นประจำทุกปี เพื่อตรวจว่าติดเชื้อเอชพีวีหรือไม่ ถ้าพบจะได้รีบรักษาให้ทันท่วงที 2) ลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่นการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย การมีคู่นอนหลายคน การสูบบุหรี่ 3) และถ้าสามารถฉีดวัคซีนป้องกันเอชพีวีร่วมกับการตรวจ Pap Smear ก็จะได้ผลดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก” หมอวิชัยกล่าวต่อ
ส่วนอีกคนหนึ่ง หากใครได้เข้าไปอ่านเว็บไซต์ยอดฮิตอย่าง “พันทิป” ในห้องลุมพินี ซึ่งเป็นห้องที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาพูดคุยนานาสารพันเกี่ยวกับสุขภาพ คงจะพอคุ้นชื่อนามแฝงที่ใช้ชื่อว่า “คุณนายดอกไม้” กันมาบ้าง เพราะเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เก็บประสบการณ์เกี่ยวกับการเป็นโรคมะเร็งไว้กับเธอเพียงลำพัง แต่เอามาแบ่งปันเป็นความรู้ให้กับทุกคนในเว็บไซต์ และถ้าใครมีข้อสงสัยหรือปัญหาเกี่ยวกับมะเร็ง เธอจะเข้ามาตอบอย่างสม่ำเสมอ แล้วเธอยังมีมุมมองเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกในต่างแดนมาบอกเล่าให้เล่าฟังด้วย เพราะคุณนายดอกไม้ เป็นหญิงไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปสร้างครอบครัวกับสามีชาวแคนาดาที่ประเทศแคนาดา เธอเป็นมะเร็งถึง 3 ที่คือ ปากมดลูก รังไข่ และท่อนำไข่
เธอบอกว่า “ในแคนาดารัฐบาลมีการรณรงค์อย่างมากเกี่ยวกับโรคนี้ ถึงขนาดมีภาพยนตร์ที่ทำออกมาเพื่อกระตุ้นให้เด็กผู้หญิงที่อายุครบ 13 ปีทุกคนต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งรัฐบาลเขาฉีดให้ฟรีเลย เพราะเห็นความรุนแรงและทรมานจากการป่วยเป็นโรคนี้
“จากประสบการณ์ของคุณนายดอกไม้เห็นว่า นโยบายของรัฐแบบนี้ควรสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้ เนื่องจากมีการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทุกปี และกว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็ต้องถึงขั้นที่คุณหมอให้ทำคีโมแล้วถึง 2 ครั้งด้วยกัน เกิดความเจ็บปวดและทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการป้องกันที่สามารถทำได้ก็ควรทำไว้ก่อนย่อมจะดีกว่าอย่างมาก”
“ส่วนผู้หญิงไทย อยากจะบอกมากๆ เลยว่าอย่าอายหมอ ขอให้ไปตรวจ Pap Smear เป็นประจำทุกปี เพื่อหาร่องรอยของโรคก่อนเป็นมะเร็ง หากตรวจพบความผิดปกติได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งหาทางรักษาได้เร็วเท่านั้น และเราก็ต้องช่วยกันรณรงค์ให้เห็นถึงความร้ายแรงของโรคนี้ อย่างที่ประเทศแคนาดาทำ ซึ่งเห็นผลเลยว่า ทำให้จำนวนผู้หญิงแคนาดาที่ต้องเสียชีวิตจากโรคมะเร็งชนิดนี้ลดลงเป็นอันดัน 7 ไม่ใช่อันดับ 1 เหมือนในไทยแล้วในปัจจุบัน” คุณนายดอกไม้ แนะนำทิ้งท้าย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)