เทคนิคง่ายๆ ได้ดอกเบี้ย(ออมทรัพย์)มากกว่าที่คิด
ความ จริง - บัญชีออมทรัพย์ จะมีดอกเบี้ยปันผลเข้ามา ๒ ครั้งต่อปี คือทุกสิ้นเดือนมิถุนายน และสิ้นเดือนธันวาคมของทุกปี
สิ่งที่ควรทำ - ทุกสิ้น เดือนมิถุนายน (30 มิ.ย.)และ สิ้นเดือนธันวาคม (31 ธ.ค.) จงอย่าเพิ่งถอนเงินออกมาใช้จนกว่าจะสิ้นวัน หรือถ้าให้ดีรอถอนเงินวันที่หนึ่งเดือนถัดไปดีกว่า
เพราะเงินที่เหลือค้างบัญชีในวัน นั้น จะทำให้คุณได้ดอกเบี้ย แตกต่างไปจากที่คุณคิด
ตัวอย่าง ณ 30 มิ.ย. เห ลือเงินติดบัญชีแค่ 5 บาท ปรากฎว่าดอกเบี้ยปันผลได้แค่ 1 บาทกว่า
ขณะที่ บางคนมีเงินในบัญชี 6000 บาท ได้ดอกเบี้ยไป 50 กว่าบาท
ดังนั้นบางคนมีเงินในบัญชีหลักหมื่น หรือแสน ดอกเบี้ยวันนั้นก็แปรผันไปตามจำนวนเช่นกัน
เหตุนี้เอง ผู้ใหญ่จึงมักสอนว่าเวลาเงินเดือนออกสิ้นเดือน อย่าเพิ่งกดออกมาใช้ ให้รอถอนวันที่หนึ่งเดือนถัดไป เพื่อจะได้ดอกเบี้ยธนาคารมากขึ้น เพราะดอกเบี้ยมาคิด ณ สิ้นเดือนนั่นเอง
โดยเฉพาะบัญชีออมทรัพย์ ต้องจำ 30 มิ.ย. และ 31 ธ.ค. ให้แม่นๆ
สาเหตุที่ตู้ เอทีเอ็ม กลืนบัตรเอทีเอ็ม หรือดูดเงินสดของคุณเข้าไปอีกครั้ง
ความเชื่อ - 1.1 ขณะที่ตู้เอทีเอ็ม เด้งบัตรคืนกลับมา เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ...งั้นรับโทรศัพท์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยหยิบบัตร
1.2 ขณะที่ตู้เอทีเอ็มเด้งเงินสดที่คุณ ต ้องการกดออกมา แต่คุณปวดท้องเบา ...งั้นแอบทำธุระข้างตู้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวค่อยหยิบเงิน
ความ จริง - ตู้เอทีเอ็ม จะให้เวลารับเงิน หรือรับบัตรเอทีเอ็มคืน เพียง 15 - 20 วินาทีเท่านั้น ถ้าไม่รีบดึงเงิน หรือบัตรออกมา ทั้งสองอย่างจะถูกตู้ดูดกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อความปลอดภัยของเงินและบัตร ดังนั้นกรณีที่คุณลืมจริงๆ คนที่ต่อคิวคุณก็จะหยิบไปไม ่ได้นั่นเอง
ทางแก้ - โทร.ติดต่อธนาคารที่คุณเปิดบัญชีไว้ทันทีเพื่ออายัดบัตร หรือเพื่อขอเงินคืน
ใช้บัตรเอทีเอ็ม ที่ตู้ของธนาคารอื่น แล้วโดนตู้นั้นกลืนบัตรเข้าไป
ความเชื่อ - แจ้งอายัดบัตรไว้ก่อน แล้วขอรับบัตรคืนภายหลังได้
ความ จริง - ไม่ได้ ธนาคารทุกธนาคารไม่คืนบัตรเอทีเอ็มของต่างธนาคารให้ (ถึงจะอ้างว่าจะไม่ ใช่ความผิดของคุณเลยก็ตาม) ทั้งนี้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย
กรณีที่อาจได้คืน คือ หากตู้เอทีเอ็มนั้นตั้งอยู่หน้าธนาคาร แล้วคุณโชคดีที่พบกับเจ้าหน้าที่มีใจ (คือทั้งใจดีและเข้า ใจ) ก็อาจให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษให้
ขอทำบัตรเอทีเอ็มใบใหม่ โดยไม่ได้บอกความประสงค์ว่าต้องการบัตรประเภทใด
ความเชื่อ - เดี๋ยวจนท.ธนาคารคง ถามเราเอง ว่าต้องการบัตรแบบไหน แล้วค่อยทำบัตรให้ตามที่เราต้องการ
ความ จริง - จนท.ธนาคาร(อาจ)ไม่ถาม แล้วเลือกบัตรที่มีค่าแรกเข้า/ค่าธรรมเนียมรายปีแพงที่สุดให้ เพราะถือว่าเป็นคุณค่าที่คุณคู่ควร
สิ่งที่ควรทำ - เอ่ยปากถามจนท.หรือศึกษาให้แน่ใจก่อนว่าคุณต้องการบัตรแบบใด ค่าแรกเข้า/รายปีเท่าไหร่ /เวลาถูก ตู้เอทีเอ็มกลืนเข้าไปขอรับคืนบัตรได้มั้ย
ค่าธรรมเนียมการถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอื่น
ความเชื่อ - มีค่าธรรมเนียมเฉพาะ กดถอนเงินที่ตู้ธนาคารอื่น แต่ตรวจสอบยอดไม่มี ค่าธรรมเนียม
ความ จริง - มี ทั้งสองกรณี คือ ในแต่ละรอบเดือน ทั้งการถอนเงินและสอบถามยอดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารอื่น ครั้งที่ 5 เป็นต้นไปคิดครั้งละ 5 บาท
บัตรเอทีเอ็มที่มีวงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
ความเชื่อ - สามารถใช้บัตรนี้ ติดต่อโรงพยาบาล กรณีเกิดอุบัติเหตุ เช่น มีดบาด น้ำร้อนลวก หกล้มได้
ความ จริง - ไม่ได้ การรับเงินค่าชดเชยตามวงเงินคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีตายด้วยอุบัติเหตุเท่านั้น หรือหากยังไม่ตาย ต้องพิการถาวร เช่นแขนขาด ขาขนาด ตาบอด...ถาวร
บางบริษัทประกันอาจมีเงื่อนไขระบุ ว่า คุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์ไม่ว่าจะซ้อนหรือขับขี่ด้วยซ้ำ จึงต้องตรวจสอบให้ดี
เจ้าของบัญชีนอนป่วย เซ็นชื่อไม่ได้ มอบอำนาจไม่ได้ จะถอนเงินได้หรือไม่ ถ้าไม่มีบัตรเอทีเอ็ม
ความเชื่อ - ธนาคารอาจอนุโลมให้แปะโป้งแทนการเซ็นชื่อได้ เพราะเห็นว่าป่วยอยู่
ความ จริง - ไม่ได้ หากเปิดบัญชีด้วยการเซ็นชื่อ ตัวอย่างลายเซ็นที่สมุดบัญชีเป็นหลักฐานเดียวที่ธนาคารใช้ตรว จสอบตัวบุคคล ได้ การแปะโป้งจึงไม่สามารถอนเงินได้เพราะไม่มีตัวอย่างแปะโป้งให้ไว้กับธนาคาร กรณีที่เจ้าของบัญชีนอนป่วยไม่รู้เรื่องราว บุคคลอื่นจึงถอนเงินแทนไม่ได้ จนกว่าจะหายเป็นปกติหรือเสียชีวิต ญาติจึงนำหลักฐานติดต่อรับเงินได้ ได้แก่ 1)หนังสือแต่งตั้งผู้ จัดการมรดก (กทม.ติดต่อศาลแพ่ง ถ.รัชดา/ต่างจังหวัดติดต่อศาลประจำจังหวัด)2) ทะเบียนบ้าน 3) ใบมรณบัตร 4) สมุดบัญชี
หากเผลอแจ้ง เลขที่บัญชี และเลขที่บัตรประชาชนให้กับมิจฉาชีพที่โทรมาหลอก
ความเชื่อ - รีบอายัดบัตรเอที เอ็ม และสมุดบัญชี เงินในบัญชีจะได้ปลอดภัย
ความ จริง - ไม่จำเป็นต้องอายัด ถ้า..บัตรเอทีเอ็ม สมุดบัญชี และ บัตรประชาชนตัวจริงทั้งหมดยังอยู่กับตัวคุณเอง
มิจฉาชีพไม่สามารถถอนเงินจากบัญชี ได้อยู่แล้ว เพราะการถอนเงินที่ตู้ ต้องใช้บัตรเอทีเอ็ม
และการถอนเงินที่สาขา ต้องใช้บัตรประชาชนตัวจริง และสมุดบัญชีตัวจริง ติดต่อด้วยตนเองเท่านั้น
ปัญหาคือ ตามแผนของมิจฉาชีพเท่าที่พบคือ โทรเข้ามาอีกครั้ง เพื่อหลอกว่ามีเง ินโอนเข้าบัญชี ขอให้คุณไปตรวจสอบยอดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม
โดยมันจะคอยบอกวิธีขณะคุณทำรายการ ที่ตู้ ซึ่งมันหลอกว่าเป็นทางลัดในการตรวจส อบ แต่ความจริงเป็นการกดโอนเงินออกไปให้บัญชีมิจฉาชีพ เหยื่อหลงทำตามด้วยความไม่รู้ เพราะหน้าจอเป็นเมนูภาษาอังกฤษ
บางครั้งมันก็หลอก(อีก)ว่า ต้องโอนเงินออกมาที่บัญชีเลขที่นี้ก่อน เพราะเงินในบัญชีเต็ม (คิดได้ไง?)เพื่อจะได้โอนเงิน เข้าไปในบัญชีเหยื่อได้ ซึ่งความจริง คือ หลังจากโอนเงินออกไปให้มันแล้วก็ไม่มีเงินโอนเข้ามาเลย
สิ่งที่ ควรทำ - ต้องมีสติ เมื่อรับโทรศัพท์เสมอ เห็นว่าท่าไม่ดี กดวางสายทันที! (คุณลิขิตชีวิตได้ด้วยปลายนิ้ว)
การคิดดอกเบี้ยปรับ สินเชื่อกู้บ้าน (จ่ายช้าไปนิด ทำไมเบี้ยปรับ..บานกว่าที่คิด)
ความ จริง - อัตราดอกเบี้ยปรับ คิดจาก เพดานดอกเบี้ย ลบ ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่ได้รับ
ซึ่งแต่ละธนาคารกำหนดเพดานดอกเบี้ย ไม่เท่ากัน บางธนาคาร 15% บางธนาคาร 19%
ดังนั้น ต้องรู้เพดานดอกเบี้ยของธนาคารนั้นก่อน แล้วนำ เพดานดอกเบี้ย ลบ ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านที่ได้รับ
สมมติ...ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ได้ คือ 4% แต่เพดานดอกเบี้ยของ ธนาคารนั้นๆ อยู่ที่ 19% เท่ากับว่าดอกเบี้ย ปรับ ตกวันละ 15% ต่อปีต่อวัน!!
ความบานปลายของดอกเบี้ยปรับ อยู่ตรงจุดนี้ คือ คิดจาก ยอดหนี้คงเหลือทั้งหมดที่กู้มา!!!!
นั่นคือ ถ้ากู้บ้านเป็นเงิน 3.3 ล้าน และเพิ่งผ่อนไป จนเหลือหนี้ที่ 3 ล้านบาท ธนาคารจะนำดอกเบี้ยปรับมาคำนวณจากยอดหนี้ตัวนี้ นั่นคือ
(15% x 3,000,000)/365 = ดอกเบี้ยปรับ 1,233 บาทต่อวัน
แล้วนำยอดนี้ไปคิดดอกเบี้ยในทุกๆวัน ที่เลยกำหนดมานั่นเอง
ข้อควรระวังคือ ธนาคารอาจบอกคุณว่า สามารถชำระเลยกำหนดได้ 7 วัน ไม่คิดเบี้ยปรับ (ถือเป็น 7 วันทอง)แต่
คุณต้องนับให้เป็น คือ นับวันที่กำหนดชำระ ถือเป็นวันที่ 1 เลย แล้วนับต่อไปอีก 6 วัน ถ้าจ่ายทันภายในวันดังกล่าวนี้จะไม่ถูกปรับ
เช่น กำหนดชำระทุกสิ้นเดือน ระยะปลอดดอกเบี้ยปรับคือ ภายในช่วงวันที่ 31ถึง6 หรือ 30ถึง5
แต่ถ้าช้าไปเพียงวันเดียว ดอกเบี้ยปรับอาจ มโหฬาร เพราะธนาคารเริ่มปรับโดยนับย้อนตั้งแต่วันกำหนดชำระ เป็นวันแรกนั่นเลยทีเดียว
นี่คือสาเหตุว่าทำไม จ่ายเกินวันที่ปลอดดอกเบี้ยแค่วันเดียว แต่ธนาคารกลับคิดดอกเบี้ย เป็น 8 วัน เพราะเวลาคิดดอกเบี้ย ถือว่าคิดตั้งแต่วันกำหนดชำระนั่นเอง
การคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต (เหลือยอดค้าง ชำระแค่นิด ..เบี้ยปรับกลับ บานกว่าที่คิด)
ความเชื่อ - คุณรูดไป 900,045 บาท ชำระไปแล้ว 900,000 บาท ขาดอีกเพียง 45 บาทค้างชำระไว้ คิดว่าเดี๋ยวค่อยจ่ายรอบหน้า ดอกเบี้ยคงไม่เยอะ
ความ จริง - ธนาคารคิดเบี้ยปรับจากยอดที่คุณรูดไป (ไม่สนใจดูว่าเหลือ ยอดค้างชำระไว้เท่าไหร่) ดังนั้น ดอกเบี้ยปรับคิดจากยอด 900,045 บาท ไม่ใช่ยอดค้างชำระ
ผมขอเพิ่มอีกข้อหนึ่ง กรณีที่เราอัพสมุดบัญชีผ่านเครื่องอัตโนมัติ ถ้าเครื่องเกิด error ไม่ปล่อยสมุดออกมา ให้เรารอที่เครื่องประมาณ 5-10 นาทีก่อนอย่าเพิ่งรีบ ไปไหนเพราะ เครื่องจะปล่อยสมุดออกมาเอง ถ้าพลาดไปแล้วไม่รอสมุดอย่างผมก็ต้องแจ้งอายัดและทำสมุดบัญชีใหม่สถานเดียว เสียค่าธรรมเนียมด้วยเน้อ
21 เม.ย. 2554
59 ความจริงในประเทศจีน
1. คนจีนชอบเข้าห้องน้ำแล้วไม่ราด
2. ทั้งๆที่ชักโครกก็ไม่เสีย น้ำก็มี แต่มันไม่ราด
3. คนแรกเข้าแล้วไม่ราดไม่ว่า คนที่สองพอเข้าบ้างก็ไม่ราดของคนแรกทิ้งก่อน
4. แถมบอมบ์ซ้ำก่อนเดินตัวปลิวจากไป ทิ้งให้คนที่สามเผชิญหน้ากับสองก้อนแรกอย่างอุจาด (โคตรรับไม่ได้)
5. กลอนประตูห้องน้ำจีนมักจะเสีย
6. แต่ถึงไม่เสีย มันก็ไม่ยอมล็อก
7. คนจีนทำไมถึงชอบขี้กันไม่ลงโถวะ เดี๋ยวก็ติดGPSให้ซะนี่
8. เมืองจีนมีไฟแดง แต่ไม่ขลัง
9. มีทางม้าลาย แต่ก็ไม่ขลังเช่นกัน
10. คนจีนจะขับรถมาด้วยความเร็ว 180กม./ชม. และจะเหยียบเบรคก็ต่อเมื่อห่างจากไฟแดงไปหนึ่งเมตรเท่านั้น
11. เพราะฉะนั้นแม้ตอนไฟแดง คนข้ามก็ต้องคอยวัดดวงเสมอว่ามันจะเบรคหรือเปล่า
12. จุดนี้รถมอเตอร์ไซค์และจักรยานดีกว่ามาก เพราะมันไม่เบรคชัวร์ เราไม่ต้องลังเล
13. "เข้าคิว" แปลว่าอะไร
14. แล้วทำไมจะรอให้ผมลงรถก่อนแล้วค่อยขึ้นรถไม่ได้มิทราบครับ
15. ผู้หญิงจีนไม่ชอบโกนขนรักแร้
16. แถมชอบใส่เสื้อกล้าม
17. แล้วถ้าตอนขึ้นรถเมล์เธอต้องยืนห้อยโหนนะเมึ้ง
18. คนจีนกล้าแต่งตัวมาก สีสันสุดๆ
19. กางเกงขาสั้นของสาวๆจะสั้นมาก ในประเทศไทยจะเห็นคนใส่แบบนี้ตอนอยู่ในหอนักศึกษา หรือตามชายหาด
20. ชุดนอนถือเป็นชุดประจำชาติอย่างนึง
21. เพราะเขาใส่ออกมาเดินห้างกันได้
22. ถ้าจะให้ดีอย่าหาแฟนเป็นผู้หญิงเซี่ยงไฮ้
23. เธอไม่เคยไว้หน้าแฟนครับ และจะกุมอำนาจในบ้านเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
24. ทีวีจีนถ้าติดเคเบิลจะมีหกสิบกว่าช่อง
25. ซึ่งช่องที่เยอะขึ้นมาจะไม่ใช่ HBO, Cartoon Network, ESPN แต่อย่างใด
26. แต่มันคือช่องทีวีจากจังหวัดอื่นๆต่างหาก
27. คุณสามารถดู Full House, องค์หญิงกำมะลอ, มังกรหยก ได้อย่างเมามันส์ เพราะแต่ละช่องก็จะเอามาฉายซ้ำอยู่นั่นแหละ
28. ละครที่จีนทำขึ้นเองส่วนใหญ่เกี่ยวกับทหาร เนื้อหาจะเกี่ยวกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด่าญี่ปุ่นกระจายทั้งเรื่อง
29. ถ้าไม่มีไต้หวัน กับฮ่องกง วงการบันเทิงจีนจะไม่มีความบันเทิงแม้แต่นิดเดียว
30. แต่จีนทำสารคดีเกี่ยวกับประเทศตัวเองได้น่าสนใจมากนะครับ
31. อาจเป็นเพราะประวัติศาสตร์เขายาวนาน เลยเอามาเล่าได้สนุกมาก
32. เดินกระทบไหล่กันเป็นเรื่องปกติ เดินกระแทกไหล่จนเราตัวปลิวเป็นเรื่องธรรมดา
33. ขากกกกกกกกกก.....ถุย
34. ถ้าคุณไม่หันไปมองพวกเขา คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาแค่คุยกันหรือทะเลาะกันอยู่
35. คนจีนในไทยไม่ชอบซื้อรถสีดำ
36. แต่คนจีนในจีนชอบขับรถสีดำ
37. คนจีนในไทยที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมจะไม่กินเนื้อ
38. แต่ที่นี่ไม่มีข้อห้าม
39. ถ้าจะซื้อของที่นี่ให้เริ่มต่อที่ 20-30%ของราคาที่เขาตั้งไว้ แล้วค่อยๆเพิ่มราคาทีหลัง
40. แต่ก่อนจะต่อดูหน้าคนขายนิดนึง
41. เพราะเคยมีคดีเจ้าของร้านฆ่าลูกค้ามาแล้ว
42. ถ้าต่อราคาจนถึงราคาที่เราต้องการแล้วมันยังไม่ขายก็วางของลงแล้วเดินออก จากร้านซะ
43. แล้วมันจะเรียกเราให้กลับมาซื้อเอง
44. แต่ถ้ามันไม่เรียก ก็เดินไปหาร้านใหม่ละกัน
45. ของราคาไม่เท่าไรก็อย่าไปต่อเขาเลยครับ
46. ถ้าอยากมาเที่ยวเมืองจีน ซื้อทัวร์จากไทยมาเลยดีกว่า
47. ทัวร์เมืองจีน บริการและคุณภาพห่วยแตกมาก
48. ร้านอาหารเมืองจีนถ้าคุณสั่งข้าวผัดแล้วสั่งให้ใส่หมูเพิ่ม มันจะทำกันไม่เป็น
49. ถ้าอยากเปลี่ยนเมนูจากเนื้อวัวน้ำมันหอยเป็นเนื้อหมูน้ำมันหอย มันก็ทำกันไม่เป็นอีก
50. เพราะมันไม่อยู่ในเมนูของร้าน
51. ก๋วยเตี๋ยวเมืองไทยเส้นน้อย เครื่องเยอะ ส่วนก๋วยเตี๋ยวเมืองจีนเส้นเยอะเครื่องน้อย
52. อาหารจีนมันมากกกกกกกกกก
53. น้ำมันในจานผัดผัก หากเทออกมา สามารถเอามาทอดไข่เจียวต่อได้อีกห้าฟอง
54. อาหารจีนเค็มมากกกกกกกกก
55. อาหารจีนชูรสเยอะมากกกกกก
56. เวลาเด็กไทยมาสั่งอาหารในจีนจะชอบพูดว่า 少油 少盐 不要味精
57. แปลว่า น้ำมันน้อย เกลือน้อย ไม่ใส่ผงชูรส
58. แล้วบ๋อยมันจะทำหน้างงๆ ว่าพวก...กินกันเข้าไปได้ไง
59. แต่อาหารจีนอร่อยๆก็เยอะนะ
2. ทั้งๆที่ชักโครกก็ไม่เสีย น้ำก็มี แต่มันไม่ราด
3. คนแรกเข้าแล้วไม่ราดไม่ว่า คนที่สองพอเข้าบ้างก็ไม่ราดของคนแรกทิ้งก่อน
4. แถมบอมบ์ซ้ำก่อนเดินตัวปลิวจากไป ทิ้งให้คนที่สามเผชิญหน้ากับสองก้อนแรกอย่างอุจาด (โคตรรับไม่ได้)
5. กลอนประตูห้องน้ำจีนมักจะเสีย
6. แต่ถึงไม่เสีย มันก็ไม่ยอมล็อก
7. คนจีนทำไมถึงชอบขี้กันไม่ลงโถวะ เดี๋ยวก็ติดGPSให้ซะนี่
8. เมืองจีนมีไฟแดง แต่ไม่ขลัง
9. มีทางม้าลาย แต่ก็ไม่ขลังเช่นกัน
10. คนจีนจะขับรถมาด้วยความเร็ว 180กม./ชม. และจะเหยียบเบรคก็ต่อเมื่อห่างจากไฟแดงไปหนึ่งเมตรเท่านั้น
11. เพราะฉะนั้นแม้ตอนไฟแดง คนข้ามก็ต้องคอยวัดดวงเสมอว่ามันจะเบรคหรือเปล่า
12. จุดนี้รถมอเตอร์ไซค์และจักรยานดีกว่ามาก เพราะมันไม่เบรคชัวร์ เราไม่ต้องลังเล
13. "เข้าคิว" แปลว่าอะไร
14. แล้วทำไมจะรอให้ผมลงรถก่อนแล้วค่อยขึ้นรถไม่ได้มิทราบครับ
15. ผู้หญิงจีนไม่ชอบโกนขนรักแร้
16. แถมชอบใส่เสื้อกล้าม
17. แล้วถ้าตอนขึ้นรถเมล์เธอต้องยืนห้อยโหนนะเมึ้ง
18. คนจีนกล้าแต่งตัวมาก สีสันสุดๆ
19. กางเกงขาสั้นของสาวๆจะสั้นมาก ในประเทศไทยจะเห็นคนใส่แบบนี้ตอนอยู่ในหอนักศึกษา หรือตามชายหาด
20. ชุดนอนถือเป็นชุดประจำชาติอย่างนึง
21. เพราะเขาใส่ออกมาเดินห้างกันได้
22. ถ้าจะให้ดีอย่าหาแฟนเป็นผู้หญิงเซี่ยงไฮ้
23. เธอไม่เคยไว้หน้าแฟนครับ และจะกุมอำนาจในบ้านเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
24. ทีวีจีนถ้าติดเคเบิลจะมีหกสิบกว่าช่อง
25. ซึ่งช่องที่เยอะขึ้นมาจะไม่ใช่ HBO, Cartoon Network, ESPN แต่อย่างใด
26. แต่มันคือช่องทีวีจากจังหวัดอื่นๆต่างหาก
27. คุณสามารถดู Full House, องค์หญิงกำมะลอ, มังกรหยก ได้อย่างเมามันส์ เพราะแต่ละช่องก็จะเอามาฉายซ้ำอยู่นั่นแหละ
28. ละครที่จีนทำขึ้นเองส่วนใหญ่เกี่ยวกับทหาร เนื้อหาจะเกี่ยวกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด่าญี่ปุ่นกระจายทั้งเรื่อง
29. ถ้าไม่มีไต้หวัน กับฮ่องกง วงการบันเทิงจีนจะไม่มีความบันเทิงแม้แต่นิดเดียว
30. แต่จีนทำสารคดีเกี่ยวกับประเทศตัวเองได้น่าสนใจมากนะครับ
31. อาจเป็นเพราะประวัติศาสตร์เขายาวนาน เลยเอามาเล่าได้สนุกมาก
32. เดินกระทบไหล่กันเป็นเรื่องปกติ เดินกระแทกไหล่จนเราตัวปลิวเป็นเรื่องธรรมดา
33. ขากกกกกกกกกก.....ถุย
34. ถ้าคุณไม่หันไปมองพวกเขา คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาแค่คุยกันหรือทะเลาะกันอยู่
35. คนจีนในไทยไม่ชอบซื้อรถสีดำ
36. แต่คนจีนในจีนชอบขับรถสีดำ
37. คนจีนในไทยที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมจะไม่กินเนื้อ
38. แต่ที่นี่ไม่มีข้อห้าม
39. ถ้าจะซื้อของที่นี่ให้เริ่มต่อที่ 20-30%ของราคาที่เขาตั้งไว้ แล้วค่อยๆเพิ่มราคาทีหลัง
40. แต่ก่อนจะต่อดูหน้าคนขายนิดนึง
41. เพราะเคยมีคดีเจ้าของร้านฆ่าลูกค้ามาแล้ว
42. ถ้าต่อราคาจนถึงราคาที่เราต้องการแล้วมันยังไม่ขายก็วางของลงแล้วเดินออก จากร้านซะ
43. แล้วมันจะเรียกเราให้กลับมาซื้อเอง
44. แต่ถ้ามันไม่เรียก ก็เดินไปหาร้านใหม่ละกัน
45. ของราคาไม่เท่าไรก็อย่าไปต่อเขาเลยครับ
46. ถ้าอยากมาเที่ยวเมืองจีน ซื้อทัวร์จากไทยมาเลยดีกว่า
47. ทัวร์เมืองจีน บริการและคุณภาพห่วยแตกมาก
48. ร้านอาหารเมืองจีนถ้าคุณสั่งข้าวผัดแล้วสั่งให้ใส่หมูเพิ่ม มันจะทำกันไม่เป็น
49. ถ้าอยากเปลี่ยนเมนูจากเนื้อวัวน้ำมันหอยเป็นเนื้อหมูน้ำมันหอย มันก็ทำกันไม่เป็นอีก
50. เพราะมันไม่อยู่ในเมนูของร้าน
51. ก๋วยเตี๋ยวเมืองไทยเส้นน้อย เครื่องเยอะ ส่วนก๋วยเตี๋ยวเมืองจีนเส้นเยอะเครื่องน้อย
52. อาหารจีนมันมากกกกกกกกกก
53. น้ำมันในจานผัดผัก หากเทออกมา สามารถเอามาทอดไข่เจียวต่อได้อีกห้าฟอง
54. อาหารจีนเค็มมากกกกกกกกก
55. อาหารจีนชูรสเยอะมากกกกกก
56. เวลาเด็กไทยมาสั่งอาหารในจีนจะชอบพูดว่า 少油 少盐 不要味精
57. แปลว่า น้ำมันน้อย เกลือน้อย ไม่ใส่ผงชูรส
58. แล้วบ๋อยมันจะทำหน้างงๆ ว่าพวก...กินกันเข้าไปได้ไง
59. แต่อาหารจีนอร่อยๆก็เยอะนะ
17 เม.ย. 2554
นอนหลับอย่างไรให้เป็นสุข ตอนที่ 2
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับที่น่าจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น
1. ควรเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้าดีกว่านอนดึกตื่นสาย ถ้าเป็นไปได้ควรเข้านอนอย่าให้ เกินสี่ทุ่ม เพราะช่วงเวลาระหว่างหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่มนั้นตามหลักอายุรเวทถือว่าเป็นช่วงเวลาของธาตุดินธาตุน้ำ บรรยากาศโดยทั่วไปจะมีความหนักหน่วงโน้มนำให้นอนหลับได้ง่าย เหมือนกับธรรมชาติส่งสัญญาณให้รู้ว่าชีวิตในวันหนึ่งสิ้นสุดลงแล้วถึงเวลาของการพักผ่อนเสียที (ยกเว้นสัตว์บางประเภทที่มีวงจรชีวิตตื่นและหากินตอนกลางคืน)
แต่ถ้าเลยสี่ทุ่มไปแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่ธาตุไฟเพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายตื่นตัวอีกครั้ง และอาจส่งผลให้นอนไม่หลับ (ยกเว้นคนที่หลับง่ายและนอนดึกจนเคยชิน) ส่วนที่ให้ตื่นเช้านั้นก็ประมาณว่าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งจะเป็นช่วงที่ธรรมชาติเปี่ยมด้วยพลังชีวิต
การเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้านั้นควรทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพื่อฝึกให้ร่างกายและจิตใจของเราเคยชิน กลายเป็นวงจนชีวิตที่สมดุล เมื่อถึงเวลาก็จะนอนก็จะหลับได้ แต่ถ้าเราเข้านอนไม่เป็นเวลาร่างกายและจิตใจจะสับสนไม่รู้ว่าตอนไหนควรจะ นอนตอนไหนควรจะตื่นเหมือนกับกินอาหารไม่เป็นเวลาจะทำให้เป็นโรคกระเพาะระบบย่อยอาหารแปรปรวนฉันใดก็ฉันนั้น
2. ควรเผื่อเวลาให้อาหารมื้อเย็นถูกย่อยให้เสร็จก่อนเข้านอนอย่างน้อยสอง ชั่วโมง นั่นหมายถึงว่าควรกินอาหารมื้อเย็นให้เร็วสักหน่อย เพราะการนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ถ้ากินอาหารเสร็จแล้วเข้านอนทันทีจะทำให้อาหารไม่ย่อย เพราะกระเพาะทำงานไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันก็จะนอนหลับไม่สนิทด้วย
3.ก่อนเข้านอนควรล่างมือ เท้าและหน้า และใช้น้ำมัน(ถ้าได้น้ำมันงายิ่งดี)นวดที่ฝ่าเท้า จะทำให้เกิดความผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับง่ายและหลับสนิทขึ้น อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น คือดื่มนมต้มอุ่นๆสักแก้วก่อนนอน เนื่องจากนมมีคุณสมบัติชุ่มชื้น บำรุง อาการนอนไม่หลับนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากร่างกายตื่นตัว ความชุ่มชื้นของนมจะทำให้เกิดความหนืดหน่วงลดความตื่นตัวทำให้นอนหลับง่ายขึ้น
4.ก่อนเข้านอนไม่ควรทำกิจกรรมใดๆที่จะกระตุ้นให้ตื่นตัว เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เร้าใจชวนติดตามเพราะจะทำให้คุณไม่อยากนอนหรือนอนไม่หลับ หรือไม่ก็ทำให้หลับสนิทเพราะเก็บเอาเรื่องราวที่ดูหรืออ่านไปฝัน ถ้าจะฟังเพลงควรจะฟังดนตรีที่นุ่มนวลชวนให้อารมณ์และจิตใจผ่อนคลายช่วยให้หลับง่ายขึ้น ถ้าต้องการหลับให้สนิทและจิตใจได้พักผ่อนอย่างสมบูรณ์ ควรจะทำจิตใจให้สงบโดยการสวดมนต์และทำสมาธิ การทำสมาธิก่อนนอนจะทำให้หลับได้ลึกอย่างที่เรียกว่า "โยคะนิทรา" คือหลับแบบมีสมาธิได้
5.ท่านอนและทิศในการนอนก็มีผลต่อการนอนหลับด้วยเหมือนกัน ท่านอนตะแคงขวาจะทำให้รูจมูกซ้ายโล่งเพราะน้ำหนักตัวไปลงที่ร่างกายซีกขวา รูจมูกด้านซ้ายสัมพันธ์กับพลังเย็น เมื่อเปิดโล่งจะทำให้ร่างกายชุ่มเย็นและผ่อนคลาย การนอนตะแคงขวาจึงทำให้ผ่อนคลายมาก
ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายจะทำให้รูจมูกขวาซึ่งสัมพันธ์กับพลังร้อนเปิดโล่ง มีผลทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น จึงเหมาะที่จะเป็นท่านอนช่วงสั้นๆก่อนหรือหลังอาหารมากกว่า ไม่เหมาะที่จะเป็นท่าในการนอนหลับเพราะมีผลทำให้ร่างกายร้อนขึ้น
ท่านอนหงายมีผลทำให้การไหลเวียนของพลังในร่างกายไม่ดี ทำให้ธาตุลมกำเริบ ส่วนท่านอนคว่ำเป็นที่ไม่เหมาะที่สุดเพราะร่างกายโดยเฉพาะบริเวณท้องและอกถูกกดทับทำให้หายใจไม่สะดวก
ใน ส่วนของทิศทาง ถ้านอนให้ศรีษะอยู่ทางทิศตะวันออกจะทำให้หลับได้ลึกและมีสมาธิ ถ้าศรีษะอยู่ทางทิศตะวันตกจะทำให้ฝันถึงความรุนแรง ถ้าศรีษะอยู่ทางทิศเหนือพลังจะถูกถ่ายเทออกจากร่างกายทำให้กระวนกระวาย ถ้าศรีษะชี้ไปทางทิศใต้จะทำให้ร่างกายได้รับพลังมากขึ้นและผ่อนคลาย
โดยสรุปแล้วทิศที่ดีที่สุดคือควรนอนโดยให้ศรีษะอยู่ทางทิศตะวันออกเพราะจะช่วยให้หลับลึกและมีสมาธิ
6.โดยทั่วไปแล้วไม่ควรนอนกลางวันเพราะจะทำให้อาหารไม่ย่อยและอาจเป็นไข้ได้ ข้อยกเว้นในฤดูร้อนที่อนุโลมให้นอนหลับตอนกลางวันได้ เพราะอากาศร้อนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การนอนกลางวันจะช่วยฟื้นคืนพลังได้ หรือคนแก่ เด็กเล็ก คนที่ร่างกายอ่อนเพลีย หรือเหน็ดเหนื่อยจากการมีเพศสัมพันธ์ การใช้แรงมากๆจากการเดินทางหรืออดนอน อนุโลมให้นอนกลางวันได้เพื่อชดเชยพลังที่สูญเสียไป
นอนหลับอย่างไรให้เป็นสุข ตอนที่ 1
ศาสตร์อายุรเวทเปรียบเปรยชีวิตว่าเหมือนกับอาคารที่ต้องมีเสาหรือรากฐานรองรับ ถ้ารากฐานแข็งแรงอาคารก็มั่นคงไม่โยกคลอน แต่ถ้ารากฐานไม่ดีอาคารย่อมโอนเอนกระทั่งอาจพังครืนลงมา
เสาที่ค้ำจุนชีวิตมีอยู่ 3 อย่างรวมเรียกว่า "ตรีสดมภ์"(tritambha) แปลว่า "เสาหลักแห่งชีวิตสามต้น"(three pillars of life) ได้แก่ อาหาร การนอนหลับ และการมีเพศสัมพันธ์ โดยที่ชีวิตจะดำรงอยู่อย่างปกติสุขได้ เสาหลักทั้ง 3 ต้นต้องมีความสมดุล หมายถึง กินอาหาร นอนหลับ และมีเพศสัมพันธ์ในระดับที่พอดีๆ ไม่มากหรือน้อยเกินไป พูดอีกอย่างก็คือเดินทางสายกลางนั่นเอง
ในส่วนของการนอนหลับหรือ"นิทรา"(nidra) ในภาษาสันสกฤตนั้น อายุรเวทกล่าวว่าเปรียบเหมือนพยาบาลที่ประคบประหงมพรมพร่ำความชุ่มชื้นให้ร่างกายและจิตใจ เพราะหลังจากตรากตรำมาทั้งวันแล้ว เราจะสูญเสียพลังและความชุ่มชื้นไป การนอนหลับพักผ่อนจะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและพลังให้ร่างกายและจิตใจอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้สังเคราะห์และหล่อหลอมอาหารกายอาหารใจให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเรา
อาหาร กายก็คืออาหารที่เรากินเข้าไป ซึ่งร่างกายก็ย่อยและสังเคราะห์เพื่อนำไปสร้างเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ ส่วนอาหารทางใจก็คือ ประสบการณ์ในชีวิตที่เราได้เรียนรู้และซึมซับเข้ามาในแต่ละวัน ห้วงยามแห่งนิทรารมณ์ก็คือช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจจะสังเคราะห์สิ่งที่ เราเอามาจากภายนอกและแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเรา
การนอนหลับจึงมีส่วนสำคัญที่จะกำหนดคุณภาพชีวิตของเรา จะพูดว่าเรานอนอย่างไรเราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกับที่พูดว่าเรากินอะไรเราก็เป็นอย่างนั้น(you are what you eat) ก็คงไม่ผิดนัก
ถ้าเรานอนหลับสนิทและนานพอเหมาะ เราจะตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใสกระปรี้กระเปร่า ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจะหมดไป ขณะเดียวกันร่างกายและจิตใจก็สามารถสังเคราะห์หล่อหลอมอาหารและประสบการณ์ ที่รับเข้าไปในวันวานได้เต็มที่ ก่อเกิดเป็นคุณภาพของชีวิต(ในวัน)ใหม่ที่เปี่ยมด้วยพลังสร้างสรรค์ แต่ถ้าเรานอนหลับๆตื่นๆนอนน้อย เราจะตื่นขึ้นมาด้วยความง่วงเหงาหาวนอน ยังงัวเงีย มึนงงคล้ายๆกับว่ายังไม่พร้อมที่จะเริ่มชีวิตในวันใหม่
แต่ถ้าสุดโต่งไปอีกข้างหนึ่งคือนอนมากเกินไป ก็จะเกิดความเกียจคร้านไม่อยากทำอะไร เหมือนกับเวลากินอาหารมากเกินแล้วร่างกายไม่อยากขยับหรือโยกย้ายไปไหน เรียกว่าเกิดการสะสมมากเกินไป
ดังนั้นถ้าต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีก็ต้องดูแลเสาหลักแห่งการนอนหลับให้ดีด้วย ดีทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ปริมาณคือนอนในจำนวนชั่วโมงที่พอเพียง ส่วนคุณภาพคือนอนหลับให้สนิท ถ้าได้นอนหลับลึกถึงขนาดที่เรียกว่า "โยคะนิทรา" (yoga nidra) คือนอนหลับอย่างมีสมาธิ(meditative sleep) ด้วยล่ะ ก็ถือว่าเป็นสุดยอดของการนอนหลับเลยทีเดียว
ผู้เขียน: ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์
เดินเท้าเปล่ากระตุ้นพลังชีวิต
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนสมัยก่อนอายุยืนยาว ก็คือการได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แท้ การเปลือยเท้าเดินบนดิน บนหญ้า หาดทราย คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น
ตามหลักการแพทย์แผนโบราณจีนกล่าวว่า เท้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่รับเอาพลังจากมหาปฐพีนี้ เปลือยเท้าสัมผัสกับพื้นดิน ย่อมจะทำให้ไฟธาตุในร่างกายเกิดความสมดุล ช่วยเสริมสร้างพลังให้แก่ร่างกายอย่างดียิ่ง
ที่ฝ่าเท้าจะมีจุดต่าง ๆ มากมายที่มีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในของร่างกาย ดังนั้นการเดินเท้าเปล่า จะช่วยกระตุ้นจุดต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจุดที่เรียกว่า หย่งเฉวียน ถ้าหากได้มีการกระตุ้นที่เหมาะสมแล้ว สมองที่มีส่วนสัมพันธ์กับไต ไขสันหลัง และระบบประสาทจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยทำให้การขับฮอร์โมนชนิดต่างๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจึงกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น
คนในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคนในเมืองใหญ่ โอกาสที่จะได้เดินเปลือยเท้าสัมผัสธรรมชาติเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน แต่ควรลองหาโอกาสในเวลาเช้าหรือเย็น ปลูกต้นไม้ หรือเดินเล่นตามสวนหรือบริเวณที่เป็นพื้นดิน พื้นหญ้าวันละไม่มากนักก็จะเป็นเรื่องดียิ่ง
เพราะเวลาเพียงสั้นๆ ที่เท้าของคุณได้สัมผัสกับธรรมชาตินั้น คุณจะได้รับความรู้สึกปลดปล่อยจากความวิตกกังวลและยังช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวคุณเองด้วย
เรียนรู้สุขภาพพื้นฐานจากศาสตร์อายุรเวท
หลักการหรือทฤษฎีแพทย์แบบชาวตะวันออก แตกต่างจากการแพทย์แบบตะวันตก ทฤษฎีการแพทย์ไทยว่าด้วยเรื่องธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชาวจีนใช้หลัก ๕ ธาตุ และหลักการสรรพสิ่งมีคู่ตรงข้าม คือ ร้อน-เย็น อ่อน-แข็ง หรือหลักการของหยินหยางนั่นเอง สำหรับอายุรเวทซึ่งยอมรับกันว่ามีอิทธิพลกับการแพทย์แผนไทยอย่างมาก ใช้หลักการของธาตุทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลมไฟ และอากาศธาตุ
อากาศธาตุ ซึ่ง แตกต่างจากธาตุทั้ง ๔ ของไทยนั้น พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ความว่างหรือช่องว่าง หรือบางคนแปลว่า ที่ซึ่งไม่มีความหนาแน่น ถ้าเปรียบกับร่างกายมนุษย์ ธาตุดิน คือมวลมีความหนาแน่นและมีน้ำหนักก็คือ กระดูก ข้อต่างๆ หรือที่เป็นโครงสร้างร่างกายเนื้อหนัง ธาตุน้ำ ก็พวกของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด และสารต่างๆที่หลั่งออกมาจากต่อม ธาตุลม คือลมหายใจ หรือหมายถึงลมหรือก๊าซที่ไหลเวียนในร่างกาย ธาตุไฟ คือพลังงานที่ช่วยย่อยอาหาร และความร้อนเพิ่มไออุ่นในร่างกาย
แต่ ถ้าไม่มีช่องว่างหรืออากาศธาตุ ก็เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไม่มีช่องหน้าต่างและประตู ทุกอย่างจะอึดอัด เคลื่อนไหวไม่ได้ ศาสตร์อายุรเวทจึงให้ความสำคัญกับอากาศธาตุด้วย
เมื่อ แบ่งสรรพสิ่งเป็น ๕ ธาตุแล้ว อายุรเวทยังย่นย่อจัดแบ่งธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีแนวโน้มแสดงคุณสมบัติเด่นๆ ออกมา แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ วาตะ ปิตตะ และกผะ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของร่างกาย เช่น มีวาตะเด่นคือมีธาตุลมและอากาศธาตุมากกว่าธาตุอื่นๆ มีปิตตะเด่นจะมีธาตุไฟมาก และมีกผะเด่นจะมีธาตุดินและธาตุน้ำอยู่มาก
ผู้ อ่านบางท่านอาจเคยวิเคราะห์ตัวเองบ้างแล้วว่าร่างกายจัดอยู่ในลักษณะเด่น อะไร เป็นวาตะหรือปิตตะหรือกผะ แต่ถ้าบางท่านไม่รู้ก็อาจจำแนกอย่างง่ายได้ โดยดูจากโครงสร้างร่างกาย และพฤติกรรมประจำตัวบางอย่าง เช่น ลักษณะวาตะ รูปร่าง ผอมบาง กินเท่าไรก็ยังผอม ข้อต่างๆ ปูดเห็นได้ชัด เป็นคนที่ทำอะไรว่องไวและไวต่อสิ่งกระตุ้น เป็นคนอ่อนไหว ลักษณะของปิตตะ รูปร่างปานกลาง มีกล้ามเนื้อมากกว่าวาตะ นิสัยส่วนตัวใจร้อน ดุดัน หรือเป็นคนกล้า สำหรับลักษณะกผะ คนประเภทนี้เจ้าเนื้อ น้ำหนักตัวขึ้นง่าย มีนิสัยส่วนตัวเนิบๆ ดูผ่อนคลายเสมอ การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นก็เป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็เป็นคนที่อดทนสูง ผิดกับคนวาตะและ ปิตตะ ที่ไม่ค่อยทนนัก
แต่ ต้องเข้าใจกันอีกนิดว่าโดยธรรมชาติของคนจะมี วาตะ ปิตะ กผะ ผสมอยู่ในตัวเสมอ เพียงแต่ว่าจะมีลักษณะใดเด่นกว่า บางคนเด่นทั้งสองลักษณะ จับเป็นคู่ๆ เช่น วาตะปิตะ ปิตะกผะ แต่ไม่ว่าจะมีลักษณะเด่นอย่างไร ศาสตร์อายุรเวทกล่าวไว้ถึงการสร้างความสมดุลให้กับคนทั้ง ๓ ลักษณะไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงกิจวัตรประจำวันธรรมดาๆ แต่ส่งผลต่อความสมดุลในร่างกาย ซึ่งช่วยให้สุขภาพดีโดยที่ไม่ต้องใช้เงินทอง เหมาะกับยุคเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างยิ่ง
ศาสตร์อายุรเวทแนะนำตั้งแต่เริ่มชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความสำคัญกับทุกลักษณะทั้งวาตะ ปิตตะ กผะ สำหรับคนที่มีวาตะเด่น โดย ทั่วไปมักไม่ค่อยรู้ว่านิสัยประจำตัวนั้นมีผลทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ง่าย เพราะคนวาตะเป็นผู้ที่อ่อนไหวง่าย ตื่นเต้นกระวนกระวายง่าย เปลี่ยนแปลงง่ายคล้ายกระแสลมที่พัดไปพัดมาได้ง่าย ดังนั้นตั้งแต่ตื่นนอนของคนวาตะ ถ้าเริ่มต้นพยายามตื่นและทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นเวลา จะช่วยลดความว่องไว ตื่นเต้น ให้ช้าลง เพียงเท่านี้ก็ช่วยสร้างสุขภาพได้มาก เพราะการปล่อยให้วาตะไหลเวียนมากเกินไป ก็ทำให้ปิตตะเพิ่มขึ้น กผะซึ่งเป็นมวลดินและน้ำไม่สามารถเกาะตัวได้ เปรียบดังลมสงบบ้าง เนื้อหนังก็สามารถรวมตัวหรือฟื้นฟูกลับมาได้ สุขภาพก็จะสมดุลขึ้น คนวาตะอาจรู้สึกว่าต้องทำตัวเข้ารูปเข้ารอยมีวินัยขึ้น แต่ผลที่มีต่อสุขภาพจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายขึ้น ธาตุอื่นๆ สามารถดำรงอยู่อย่างสมดุลขึ้นนั่นเอง
สำหรับคนปิตตะธาตุไฟ ซึ่งทางอายุรเวทอธิบายไว้ว่า โดยทั่วไปไฟจะโหมเพราะแรงลม ปิตตะจึงสัมพันธ์กับวาตะมาก วาตะอ่อนไหว แปรปรวนได้ง่ายส่งผลทำให้ปิตตะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นคนปิตตะและวาตะจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการเข้านอนและตื่นนอนเป็น เวลา กินอาหารเป็นเวลา และต้องรู้จักเวลาพักผ่อนด้วย เพื่อไม่ให้ลมและไฟซึ่งมีแนวโน้วเปลี่ยนแปลงง่ายได้ชะลอหรือได้สงบลงบ้าง ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพมากๆ
สำหรับคนกผะ แม้ว่าจะโดดเด่นด้วยธาตุดินและน้ำ ซึ่งเป็นคนที่มีธรรมชาติเนิบช้า ไม่ค่อยว่องไวเท่าวาตะและปิตตะ แต่การใช้ชีวิตประจำวันที่ทำอะไรเป็นเวลาก็มีผลต่อคนกผะเช่นกัน เพราะการทำอะไรเป็นเวลาช่วยให้ความเนิบช้าถูกกระตุ้นให้ว่องไวขึ้นช่วยให้ สุขภาพดีขึ้นด้วย
ดังนั้นคำ กล่าวของคนโบราณที่แนะนำลูกหลานให้เข้านอนหัวค่ำเป็นเวลาและตื่นเช้าเป็น เวลา ร่วมถึงกินอยู่ให้เป็นเวลามีส่วนช่วยให้ธาตุทั้งหมดในร่างกายสมดุล และหากเข้าใจเรื่องอาหารที่กินที่ช่วยให้วาตะ ปิตะ และกผะสมดุลด้วยก็จะเสริมสร้างสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น หลักการง่ายๆ คนวาตะ ควรกินอาหารอุ่น(ร้อนน้อยๆ) มีความหนัก และความมันบ้าง และควรเลี่ยงอาหารเย็น แห้ง เบา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไปกระตุ้นวาตะ ตัวอย่างอาหาร เช่นผลไม้ให้กินรสหวานและเปรี้ยว อาจเป็นกล้วย มะละกอ มะม่วง
คนปิตตะ ควรกินอาหารรสเย็น เพื่อลดความร้อนลงบ้าง รวมทั้งลดอาหารมันๆ ลงด้วย เพราะความมันจะไปเพิ่มพลังความร้อนยิ่งขึ้น รวมถึงลดอาหารรสเผ็ดๆ ข้อแนะนำของคนไฟแรง คือ อาหารรสหวาน รสขม และรสฝาด จะช่วยให้สมดุลในร่างกายดีขึ้น ตัวอย่างผลไม้ เช่น องุ่น แตงโม สัปปะรด มะพร้าว และคนกผะซึ่งมีมวลเป็นรากฐานอยู่แล้ว และมีแนวโน้มทำอะไรค่อยเป็นค่อยไป อาหารที่ควรลด คืออาหารหวาน เปรี้ยว และมัน น่าจะเพิ่มรสอาหาร เผ็ด ฝาด ขม เพราะจะช่วยเพิ่มวาตะและปิตะ
นี่ คือหลักพื้นฐานง่ายๆ แต่ถ้าเริ่มทำเป็นประจำ ด้วยการเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา เพียง ๒-๓ สัปดาห์ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ความสมดุลเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เริ่มที่ตัวเรานี่เอง
อากาศธาตุ ซึ่ง แตกต่างจากธาตุทั้ง ๔ ของไทยนั้น พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ความว่างหรือช่องว่าง หรือบางคนแปลว่า ที่ซึ่งไม่มีความหนาแน่น ถ้าเปรียบกับร่างกายมนุษย์ ธาตุดิน คือมวลมีความหนาแน่นและมีน้ำหนักก็คือ กระดูก ข้อต่างๆ หรือที่เป็นโครงสร้างร่างกายเนื้อหนัง ธาตุน้ำ ก็พวกของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด และสารต่างๆที่หลั่งออกมาจากต่อม ธาตุลม คือลมหายใจ หรือหมายถึงลมหรือก๊าซที่ไหลเวียนในร่างกาย ธาตุไฟ คือพลังงานที่ช่วยย่อยอาหาร และความร้อนเพิ่มไออุ่นในร่างกาย
แต่ ถ้าไม่มีช่องว่างหรืออากาศธาตุ ก็เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไม่มีช่องหน้าต่างและประตู ทุกอย่างจะอึดอัด เคลื่อนไหวไม่ได้ ศาสตร์อายุรเวทจึงให้ความสำคัญกับอากาศธาตุด้วย
เมื่อ แบ่งสรรพสิ่งเป็น ๕ ธาตุแล้ว อายุรเวทยังย่นย่อจัดแบ่งธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีแนวโน้มแสดงคุณสมบัติเด่นๆ ออกมา แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ วาตะ ปิตตะ และกผะ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของร่างกาย เช่น มีวาตะเด่นคือมีธาตุลมและอากาศธาตุมากกว่าธาตุอื่นๆ มีปิตตะเด่นจะมีธาตุไฟมาก และมีกผะเด่นจะมีธาตุดินและธาตุน้ำอยู่มาก
ผู้ อ่านบางท่านอาจเคยวิเคราะห์ตัวเองบ้างแล้วว่าร่างกายจัดอยู่ในลักษณะเด่น อะไร เป็นวาตะหรือปิตตะหรือกผะ แต่ถ้าบางท่านไม่รู้ก็อาจจำแนกอย่างง่ายได้ โดยดูจากโครงสร้างร่างกาย และพฤติกรรมประจำตัวบางอย่าง เช่น ลักษณะวาตะ รูปร่าง ผอมบาง กินเท่าไรก็ยังผอม ข้อต่างๆ ปูดเห็นได้ชัด เป็นคนที่ทำอะไรว่องไวและไวต่อสิ่งกระตุ้น เป็นคนอ่อนไหว ลักษณะของปิตตะ รูปร่างปานกลาง มีกล้ามเนื้อมากกว่าวาตะ นิสัยส่วนตัวใจร้อน ดุดัน หรือเป็นคนกล้า สำหรับลักษณะกผะ คนประเภทนี้เจ้าเนื้อ น้ำหนักตัวขึ้นง่าย มีนิสัยส่วนตัวเนิบๆ ดูผ่อนคลายเสมอ การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นก็เป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็เป็นคนที่อดทนสูง ผิดกับคนวาตะและ ปิตตะ ที่ไม่ค่อยทนนัก
แต่ ต้องเข้าใจกันอีกนิดว่าโดยธรรมชาติของคนจะมี วาตะ ปิตะ กผะ ผสมอยู่ในตัวเสมอ เพียงแต่ว่าจะมีลักษณะใดเด่นกว่า บางคนเด่นทั้งสองลักษณะ จับเป็นคู่ๆ เช่น วาตะปิตะ ปิตะกผะ แต่ไม่ว่าจะมีลักษณะเด่นอย่างไร ศาสตร์อายุรเวทกล่าวไว้ถึงการสร้างความสมดุลให้กับคนทั้ง ๓ ลักษณะไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงกิจวัตรประจำวันธรรมดาๆ แต่ส่งผลต่อความสมดุลในร่างกาย ซึ่งช่วยให้สุขภาพดีโดยที่ไม่ต้องใช้เงินทอง เหมาะกับยุคเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างยิ่ง
ศาสตร์อายุรเวทแนะนำตั้งแต่เริ่มชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความสำคัญกับทุกลักษณะทั้งวาตะ ปิตตะ กผะ สำหรับคนที่มีวาตะเด่น โดย ทั่วไปมักไม่ค่อยรู้ว่านิสัยประจำตัวนั้นมีผลทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ง่าย เพราะคนวาตะเป็นผู้ที่อ่อนไหวง่าย ตื่นเต้นกระวนกระวายง่าย เปลี่ยนแปลงง่ายคล้ายกระแสลมที่พัดไปพัดมาได้ง่าย ดังนั้นตั้งแต่ตื่นนอนของคนวาตะ ถ้าเริ่มต้นพยายามตื่นและทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นเวลา จะช่วยลดความว่องไว ตื่นเต้น ให้ช้าลง เพียงเท่านี้ก็ช่วยสร้างสุขภาพได้มาก เพราะการปล่อยให้วาตะไหลเวียนมากเกินไป ก็ทำให้ปิตตะเพิ่มขึ้น กผะซึ่งเป็นมวลดินและน้ำไม่สามารถเกาะตัวได้ เปรียบดังลมสงบบ้าง เนื้อหนังก็สามารถรวมตัวหรือฟื้นฟูกลับมาได้ สุขภาพก็จะสมดุลขึ้น คนวาตะอาจรู้สึกว่าต้องทำตัวเข้ารูปเข้ารอยมีวินัยขึ้น แต่ผลที่มีต่อสุขภาพจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายขึ้น ธาตุอื่นๆ สามารถดำรงอยู่อย่างสมดุลขึ้นนั่นเอง
สำหรับคนปิตตะธาตุไฟ ซึ่งทางอายุรเวทอธิบายไว้ว่า โดยทั่วไปไฟจะโหมเพราะแรงลม ปิตตะจึงสัมพันธ์กับวาตะมาก วาตะอ่อนไหว แปรปรวนได้ง่ายส่งผลทำให้ปิตตะเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นคนปิตตะและวาตะจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการเข้านอนและตื่นนอนเป็น เวลา กินอาหารเป็นเวลา และต้องรู้จักเวลาพักผ่อนด้วย เพื่อไม่ให้ลมและไฟซึ่งมีแนวโน้วเปลี่ยนแปลงง่ายได้ชะลอหรือได้สงบลงบ้าง ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพมากๆ
สำหรับคนกผะ แม้ว่าจะโดดเด่นด้วยธาตุดินและน้ำ ซึ่งเป็นคนที่มีธรรมชาติเนิบช้า ไม่ค่อยว่องไวเท่าวาตะและปิตตะ แต่การใช้ชีวิตประจำวันที่ทำอะไรเป็นเวลาก็มีผลต่อคนกผะเช่นกัน เพราะการทำอะไรเป็นเวลาช่วยให้ความเนิบช้าถูกกระตุ้นให้ว่องไวขึ้นช่วยให้ สุขภาพดีขึ้นด้วย
ดังนั้นคำ กล่าวของคนโบราณที่แนะนำลูกหลานให้เข้านอนหัวค่ำเป็นเวลาและตื่นเช้าเป็น เวลา ร่วมถึงกินอยู่ให้เป็นเวลามีส่วนช่วยให้ธาตุทั้งหมดในร่างกายสมดุล และหากเข้าใจเรื่องอาหารที่กินที่ช่วยให้วาตะ ปิตะ และกผะสมดุลด้วยก็จะเสริมสร้างสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น หลักการง่ายๆ คนวาตะ ควรกินอาหารอุ่น(ร้อนน้อยๆ) มีความหนัก และความมันบ้าง และควรเลี่ยงอาหารเย็น แห้ง เบา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไปกระตุ้นวาตะ ตัวอย่างอาหาร เช่นผลไม้ให้กินรสหวานและเปรี้ยว อาจเป็นกล้วย มะละกอ มะม่วง
คนปิตตะ ควรกินอาหารรสเย็น เพื่อลดความร้อนลงบ้าง รวมทั้งลดอาหารมันๆ ลงด้วย เพราะความมันจะไปเพิ่มพลังความร้อนยิ่งขึ้น รวมถึงลดอาหารรสเผ็ดๆ ข้อแนะนำของคนไฟแรง คือ อาหารรสหวาน รสขม และรสฝาด จะช่วยให้สมดุลในร่างกายดีขึ้น ตัวอย่างผลไม้ เช่น องุ่น แตงโม สัปปะรด มะพร้าว และคนกผะซึ่งมีมวลเป็นรากฐานอยู่แล้ว และมีแนวโน้มทำอะไรค่อยเป็นค่อยไป อาหารที่ควรลด คืออาหารหวาน เปรี้ยว และมัน น่าจะเพิ่มรสอาหาร เผ็ด ฝาด ขม เพราะจะช่วยเพิ่มวาตะและปิตะ
นี่ คือหลักพื้นฐานง่ายๆ แต่ถ้าเริ่มทำเป็นประจำ ด้วยการเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา เพียง ๒-๓ สัปดาห์ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ความสมดุลเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เริ่มที่ตัวเรานี่เอง
สวยใสด้วยมะละกอ... กินก็ได้ มาส์กหน้าก็ดี
คนที่ชอบรับประทานส้มตำรสแซ่บ รู้มั้ยคะว่านี่เป็นอาหารที่นอกจากจะอร่อยถูกปากคนไทยอย่างเรากันแล้ว ยังได้ประโยชน์ มากมายจากมะละกออีกด้วยค่ะ
เราสามารถนำเอามะละกอมาทำอาหารได้หลายอย่างเลยค่ะ ไม่ใช่เพียงแค่ทำส้มตำเท่านั้น โดยเฉพาะมะละกอดิบนี่ยังเอามา ต้มกะทิ ทำเป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือจะใส่ในแกงส้มก็ได้ มีคุณค่าทางอาหารสูงมากค่ะ ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แร่ธาตุ เหล็กและแคลเซียม ตามตำราสมุนไพรไทยนี่ มะละกอดิบ ยังใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยขับปัสสาวะได้อีกด้วย
ส่วนมะละกอสุกก็เป็นผลไม้รสอร่อย มีประโยชน์มากมายเช่นกัน ทั้งยังช่วยย่อยอาหารและเป็นยา ระบายอ่อนๆ ที่ดีเช่นกัน คน ที่รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำจึงมักไม่ท้องผูกค่ะ
นอกจากจะรับประทานแล้วดีต่อสุขภาพแล้ว มะละกอยังมีประโยชน์ช่วยในเรื่องการดูแลผิวพรรณด้วยนะคะ ผลมะละกอสุกนี่ แหละสามารถนำมาใช้ทำเป็นครีมมาส์กหน้า ช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ลดกระฝ้า และช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มขึ้น อยากลอง มาส์กหน้าด้วยมะละกอกันไหมล่ะคะ เรามีสูตรดีๆ มาฝากกันหลายสูตรเลยค่ะ
มาส์กมะละกอล้วน สูตรนี้ใช้ผลมะละกอสุกอย่างเดียวเลยค่ะ มีวิตามินซีและอีสูงมาก จึงช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและ ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม แค่นำเนื้อมะละกอสุกมาปั่นให้ละเอียด แล้วพอกหน้า โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ด้วยน้ำอุ่น จะรู้สึกผิวหน้าเต่งตึงและสดชื่นขึ้นเลยค่ะ
มาส์กมะละกอกับข้าวโอ๊ต สูตรนี้ใช้ขัดผิวได้ดีเลยค่ะ โดยใช้มะละกอสุก 1 ผล ผสมกับข้าวโอ๊ต 3 ช้อนโต๊ะ ไข่ขาวดิบ 1 ฟอง และน้ำมะนาว 1 ลูก ปั่นรวมกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าโดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
มาส์กมะละกอกับน้ำผึ้ง สูตรนี้ช่วยลดกระฝ้าได้ดี แค่นำมะละกอสุกประมาณ 1 ผล ผสม น้ำผึ้ง ? ถ้วยตวง และอัลมอนด์อีก ? ถ้วยตวง ปั่นรวมกันจนละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้าโดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นค่ะ
คราวนี้หากเมื่อไหร่ที่คุณซื้อมะละกอมาสำหรับรับประทานในครอบครัวแล้ว ก็อย่าลืมซื้อเผื่อไว้สำหรับทำมาส์กหน้าด้วยล่ะ จะ ชวนคนที่คุณรักมาทำด้วยกันก็ได้ รับรองว่าต่อไปนี้คุณจะสวยทั้งจากภายในและภายนอกกันเลยทีเดียว
50 ความจริงเกี่ยวกับ รด.
ใครเรียน รด.ก็อ่านได้ ใครไม่เรียน ก็อ่านได้~
1. พูดว่าเรียน รด. ๆ กันเนี่ยเชื่อป่ะ ว่ามีคนยังไม่รู้ว่ามันย่อมาจาก "รักษาดินแดน"
2. มันแปลว่าไปเรียนรักษาดินแดน
3. โดนแดก ไม่ได้หมายความว่าจะถูกครูฝึกรับทาน แต่ถูกทำโทษ
4. ที่ค่ายเรียกวิดพื้นว่าดันพื้น
5. เรียกสก๊อตจั๊มฟ์ว่าลุกนั่ง
6. ความมีวินัย เป็นส่วนหนึ่ง ของนักศึกษาวิชาทหาร!
7. ผ้าปิดจมูก ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของนักศึกษาวิชาทหาร!!!
8. กระโดดหอสูงคือการถูกทหารถีบตกหอ10เมตรแล้วไหลไปเหมือนเคเบิ้ลในต่างประเทศ(หิมะ)
9. เนี่ย เป็นการพิสูจน์ความกล้า เป็นหลักสูตรของ รด.ปี2
10. เชื่อว่ามีคนช๊อคก่อนมันจะกล้า
11. หอสูงมาตรฐานทดสอบความกล้าที่ศูนย์ฝึกต่างๆ มีความสูง 34ฟุต
12. ซึ่งเค้าก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นจุดที่มนุษย์จะสยิวเอ้ยเสียวที่สุด ณ.จุดจุดนี้ย์
13. หลังจากลงมาก็จะบ่นว่าเจ็บกัน ใหญ่นักนะ...
และนี่คือใบหน้า นศท. ระหว่างกระโดดหอสูง เอามาจากเอนทรี่เก่า ๆ
14. ครูฝึกยิ้มไม่ได้แปลว่าเขาใจดี แต่เค้ากำลังเล็งแดกเธอ
15. ไม่ว่าเวลาถูกทำโทษจะพยามกันเยี่ยงไร ครูฝึกท่านก็จะพูดอยู่เสมอว่า "มีคนอู้!!"
16. รักดอกจึงหลอกแดก~
17. ครูฝึกที่ มทบ. 3xเชียงใหม่ หน้าเหมือนสมัครแบบดำ ๆ
17.3. เวลาขึ้นปราศัยเอ้ยชี้แจง เราจะเรียกว่าชิมไปบ่นไป
17.5 ครูท่านมีลูกอยู่ชั้นประถมของรร.ชื่อดัง
17.7 ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา " ไหนใครแกล้งลูกกู! "
18. มีหน้าเหมือน สเตฟานด้วยล่ะคู๊ณ
19. หากครูฝึกไม่พอใจ ......"หมอบ!!!"
20. เวลาที่ครูฝึกพอใจก็......"หมอบ!!!" อยู่ดี
21. และถ้านึกสนุกก็จะให้กลิ้งไปทางซ้าย-ขวา
22. คำว่า 'เอี้ย' เป็นสร้อยเวลาเดินสวนสนาม
23. ไม่แน่ใจว่าเพี้ยนมาจากคำว่าตัวเงินตัวทองรึเปล่า
24. ยังมีคำว่าสู้ตาย
25. คำว่าบึ้มก็ด้วย
26. ผู้หญิงที่เรียนรด. ถ้าไม่เพื่ออาชีพก็เป็นพวกซาดิดส์ลึกๆ
27. มีใครเถียงข้อข้างบนบ้าง?
28. ประมาณ 85% ไม่ดิ 90%เรียนเพราะกลัวโดนทหาร
29. 9% กว่า ๆ เรียนเพราะอาชีพอนาคต,ทำเท่และพวกพ่อเป็นทหาร
30. อีที่เหลือเป็นกระเทย
31. ...มันมาเหล่ผู้ชาย
32. ใครว่าราดหน้าไม่มีจริง
33. ถ้าไม่มีกฏสั่งตัดผม รด.จะเป็นอะไรที่มันส์มาก
34. แต่ถ้าไม่ตัดผม มันก็ไม่ใช่รด...
35. รู้รึเปล่าว่าเกรียนกระทบแดดมันร้อนแทบไหม้
36. หนุ่มไทยไม่ใสเหมือนดารากีเหลาเพราะไปหน้าดำจากรด.มาเนี่ยแหละ
37. รองเท้าบูทดำๆนั่นน่ะ เค้าเรียกว่าคอมแบต edit : นอกจากคอมแบตก็มีเน่อ ขอบคุณท่านกัณฐ์~
38. แล้วสีดำมันก็ดูดความร้อนได้ชะงัดนักแล
39. ระวังตาปลาสุกนะเออ
40. เวลาครูฝึกตะเบงคำว่า "แถว!" หมายถึงให้เราสูดหายใจลึกๆจนมีเสียงพร้อมกัน
41. มันจะสยองมาก หากผบ.เฉียดมาใกล้ๆ
42. แต่ก็ไม่สยองเท่าถูกสั่งให้ถอดคอมแบตแล้ว "แถว!!"
43. อาา.....ห์ ผมมองเห็นคุณยายโบกมืออยู่ไกล ๆ
44. เค้าว่ากันว่าปีสูง ๆ ยิ่งเรียนสบาย
45. คนถือพานวันไหว้ครู ไม่จำเป็นต้องสูง ขอขาว ๆ หน้าใส ๆ ก็พอ
46. ไม่มีอะไรซวยเท่าวันที่ผบ.กับรองผบ.มาเยี่ยมเยียน นศท.พร้อมกัน
47. แดดจะดับในตอนที่เราเข้าร่ม
48. และมันจะมาเมื่อเราเริ่มฝึก
49. วันที่เราโดด จะเป็นวันที่ไม่มีการฝึก
50. จริงมั้ยผู้ร่วมชะตากรรม+ผู้ที่รอดพ้นไปแล้ว!
1. พูดว่าเรียน รด. ๆ กันเนี่ยเชื่อป่ะ ว่ามีคนยังไม่รู้ว่ามันย่อมาจาก "รักษาดินแดน"
2. มันแปลว่าไปเรียนรักษาดินแดน
3. โดนแดก ไม่ได้หมายความว่าจะถูกครูฝึกรับทาน แต่ถูกทำโทษ
4. ที่ค่ายเรียกวิดพื้นว่าดันพื้น
5. เรียกสก๊อตจั๊มฟ์ว่าลุกนั่ง
6. ความมีวินัย เป็นส่วนหนึ่ง ของนักศึกษาวิชาทหาร!
7. ผ้าปิดจมูก ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของนักศึกษาวิชาทหาร!!!
8. กระโดดหอสูงคือการถูกทหารถีบตกหอ10เมตรแล้วไหลไปเหมือนเคเบิ้ลในต่างประเทศ(หิมะ)
9. เนี่ย เป็นการพิสูจน์ความกล้า เป็นหลักสูตรของ รด.ปี2
10. เชื่อว่ามีคนช๊อคก่อนมันจะกล้า
11. หอสูงมาตรฐานทดสอบความกล้าที่ศูนย์ฝึกต่างๆ มีความสูง 34ฟุต
12. ซึ่งเค้าก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นจุดที่มนุษย์จะสยิวเอ้ยเสียวที่สุด ณ.จุดจุดนี้ย์
13. หลังจากลงมาก็จะบ่นว่าเจ็บกัน ใหญ่นักนะ...
และนี่คือใบหน้า นศท. ระหว่างกระโดดหอสูง เอามาจากเอนทรี่เก่า ๆ
14. ครูฝึกยิ้มไม่ได้แปลว่าเขาใจดี แต่เค้ากำลังเล็งแดกเธอ
15. ไม่ว่าเวลาถูกทำโทษจะพยามกันเยี่ยงไร ครูฝึกท่านก็จะพูดอยู่เสมอว่า "มีคนอู้!!"
16. รักดอกจึงหลอกแดก~
17. ครูฝึกที่ มทบ. 3xเชียงใหม่ หน้าเหมือนสมัครแบบดำ ๆ
17.3. เวลาขึ้นปราศัยเอ้ยชี้แจง เราจะเรียกว่าชิมไปบ่นไป
17.5 ครูท่านมีลูกอยู่ชั้นประถมของรร.ชื่อดัง
17.7 ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา " ไหนใครแกล้งลูกกู! "
18. มีหน้าเหมือน สเตฟานด้วยล่ะคู๊ณ
19. หากครูฝึกไม่พอใจ ......"หมอบ!!!"
20. เวลาที่ครูฝึกพอใจก็......"หมอบ!!!" อยู่ดี
21. และถ้านึกสนุกก็จะให้กลิ้งไปทางซ้าย-ขวา
22. คำว่า 'เอี้ย' เป็นสร้อยเวลาเดินสวนสนาม
23. ไม่แน่ใจว่าเพี้ยนมาจากคำว่าตัวเงินตัวทองรึเปล่า
24. ยังมีคำว่าสู้ตาย
25. คำว่าบึ้มก็ด้วย
26. ผู้หญิงที่เรียนรด. ถ้าไม่เพื่ออาชีพก็เป็นพวกซาดิดส์ลึกๆ
27. มีใครเถียงข้อข้างบนบ้าง?
28. ประมาณ 85% ไม่ดิ 90%เรียนเพราะกลัวโดนทหาร
29. 9% กว่า ๆ เรียนเพราะอาชีพอนาคต,ทำเท่และพวกพ่อเป็นทหาร
30. อีที่เหลือเป็นกระเทย
31. ...มันมาเหล่ผู้ชาย
32. ใครว่าราดหน้าไม่มีจริง
33. ถ้าไม่มีกฏสั่งตัดผม รด.จะเป็นอะไรที่มันส์มาก
34. แต่ถ้าไม่ตัดผม มันก็ไม่ใช่รด...
35. รู้รึเปล่าว่าเกรียนกระทบแดดมันร้อนแทบไหม้
36. หนุ่มไทยไม่ใสเหมือนดารากีเหลาเพราะไปหน้าดำจากรด.มาเนี่ยแหละ
37. รองเท้าบูทดำๆนั่นน่ะ เค้าเรียกว่าคอมแบต edit : นอกจากคอมแบตก็มีเน่อ ขอบคุณท่านกัณฐ์~
38. แล้วสีดำมันก็ดูดความร้อนได้ชะงัดนักแล
39. ระวังตาปลาสุกนะเออ
40. เวลาครูฝึกตะเบงคำว่า "แถว!" หมายถึงให้เราสูดหายใจลึกๆจนมีเสียงพร้อมกัน
41. มันจะสยองมาก หากผบ.เฉียดมาใกล้ๆ
42. แต่ก็ไม่สยองเท่าถูกสั่งให้ถอดคอมแบตแล้ว "แถว!!"
43. อาา.....ห์ ผมมองเห็นคุณยายโบกมืออยู่ไกล ๆ
44. เค้าว่ากันว่าปีสูง ๆ ยิ่งเรียนสบาย
45. คนถือพานวันไหว้ครู ไม่จำเป็นต้องสูง ขอขาว ๆ หน้าใส ๆ ก็พอ
46. ไม่มีอะไรซวยเท่าวันที่ผบ.กับรองผบ.มาเยี่ยมเยียน นศท.พร้อมกัน
47. แดดจะดับในตอนที่เราเข้าร่ม
48. และมันจะมาเมื่อเราเริ่มฝึก
49. วันที่เราโดด จะเป็นวันที่ไม่มีการฝึก
50. จริงมั้ยผู้ร่วมชะตากรรม+ผู้ที่รอดพ้นไปแล้ว!
ข้อควรรู้กระจกรถยนต์
ผู้ขับขี่ควรปรับกระจกรถให้อยู่ในองศาที่เหมาะสม ไม่ก้มหรือเงยมากเกินไปและมองเห็นภาพด้านกว้างที่ชัดเจนจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง กรณีเกิดฝ้าที่กระจกรถ ให้แก้ไขโดยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับภายนอกรถ หรือเปิดสวิตซ์ตะแกรงขดลวดความร้อนไล่ฝ้าจะช่วยให้มองเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น หากกระจกหน้ารถแตกให้ปรับลดกระจกด้านข้าง พร้อมประคองพวงมาลัยให้มั่นและขับรถให้ช้ากว่าปกติจะช่วยให้รถทรงตัวได้ดีขึ้น
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า แม้ว่า "กระจกหน้า-หลัง และกระจกข้าง/มองหลัง" จะเป็นอุปกรณ์สำคัญประจำรถยนต์ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ แต่บ่อยครั้งที่มักพบว่าอุบัติเหตุทางถนนเกิดจากทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ดี และการปรับกระจกรถอย่างไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดมุมอับจนผู้ขับขี่มองไม่เห็นรถ ที่อยู่ด้านหลังหรือด้านข้าง เพื่อความปลอดภัย จึงขอแนะวิธีปรับกระจกรถอย่างถูกวิธี และวิธีแก้ไขปัญหาฉุกเฉินกรณีกระจกแตกหรือเป็นฝ้า ดังนี้
กระจกมองข้าง ปรับให้กระจกกางออกโดยตั้งฉากและขนานกับตัวรถ ไม่ก้มหรือเงยมากเกินไป จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นรถที่อยู่ด้านข้างและด้านหลังชัดเจนขึ้น แต่ต้องระวังไม่ปรับกระจกให้เห็นตัวถังรถด้านข้างมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดจุดบอดและเห็นรถคันอื่นในระยะกระชั้นชิด ที่ช้ากว่าปกติ
กระจกมองหลัง ควรปรับกระจกให้ไม่เห็นศีรษะของผู้ขับขี่ และมองเห็นภาพในมุมกว้างมากที่สุด ทั้งด้านซ้าย ด้านขวา และด้านหลัง โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้กระจกมองหลังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มมุมมองทั้งภายในและภายนอกรถได้ เพื่อความปลอดภัย
ก่อนออกเดินทาง ผู้ขับขี่ควรปรับกระจกรถให้อยู่ในองศาที่เหมาะสมและเห็นภาพด้านกว้างที่ชัดเจนทั้งด้านซ้าย ด้านชวา และด้านหลังจะช่วยลดอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนช่องทางและแซงรถคันอื่น ห้ามปรับกระจกไป-มาในขณะที่รถกำลังวิ่งเพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
กรณีกระจกเป็นละอองฝ้าในช่วงฝนตก ควรแก้ไขโดยปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้คงที่และไม่ต่างจากอุณหภูมิภายนอกรถ ไม่ปรับช่องแอร์ให้ลมพัดไปทางกระจก และลดระดับกระจกหน้าต่างลง หากเกิดฝ้าบริเวณกระจกหลังรถให้เปิดสวิตซ์ตะแกรงขดลวดความร้อนไล่ฝ้าจะช่วยให้มองเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น
กรณีกระจกด้านหน้ารถแตกทั้งบาน ให้ปิดกระจกด้านข้างทุกบานเพื่อมิให้แรงลมปะทะภายในรถทำให้รถเสียการทรงตัว หากกระจกด้านข้างรถแตกให้ปรับลดกระจกลงจนสุด เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนที่อาจทำให้กระจกแตกเพิ่มขึ้น พร้อมประคองพวงมาลัยให้มั่นและขับรถให้ช้ากว่าปกติ
นอกจากนี้ เพื่อให้การมองเห็นเส้นทางเป็นไปอย่างชัดเจน ผู้ขับขี่ไม่ควรแขวนตุ๊กตาหรือติดสติ๊กเกอร์บริเวณกระจกด้านหน้าและหลังรถ เพราะจะบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางของผู้ขับขี่
การใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยที่มักถูกมองข้าม จะช่วยสร้างความปลอดภัยในการเดินทางให้กับผู้ขับขี่!!!
รู้จักไฟโตนิวเทรียนท์
ไฟโตนิวเทรียนท์ เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยขึ้นในปัจจุบัน หลายคนคงสังสัยว่า ไฟโตนิวเทรียนท์นั้นคืออะไร มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเพียงใด เรามาทำความรู้จักกับไฟโตนิวเทรียนท์กันค่ะ
ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) เป็นสารอาหารธรรมชาติที่มีอยู่มากในผักและผลไม้ ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะคุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) จากธรรมชาติ จึงสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น โรคหัวใจ ต้อกระจก โรคมะเร็ง โรคทางภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ผิวพรรณไม่เสื่อมสภาพเร็ว เป็นต้น
เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวันนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะทำให้เราได้รับทั้งวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด ยิ่งมารู้จักกับไฟโตนิวเทรียนท์แล้ว เราก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการรับประทานผักผลไม้ และควรรับประทานให้หลากหลายด้วย เพราะผักผลไม้แต่ละชนิดมีไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีประโยช น์แตกต่างกัน เช่น
ทับทิม มีสารประเภทฟลาโวนอยด์ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยทำให้โคเลสเตอรอลลดลงและลดความเสี่ยงการเกิดโรคห ัวใจ
แครอท มีเบต้าแคโรทีน รวมทั้งมะเขือเทศมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งไลโคปีนสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งด้วย
อะเซโรลา เชอร์รี มีวิตามินซี ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค ทำให้ผิวพรรณสดใส
บร็อคโคลี มีซัลโฟราเฟน ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
แอปเปิล มีโพลีฟีนอล สารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง
มะกอก มีโอลีโรเปอิน ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
เมล็ดองุ่น มีโปรแอนโธไซยานิดินช่วยยับยั้งการทำลายหลอดเลือดจาก โคเลสเตอรอล
เปลือกขององุ่นเขียว แดง และม่วง มีเรสเวอราทรอล ช่วยเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและทำให้มีอายุยืน
ขมิ้น มีเคอร์คิวมิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการสร้างเซลล์
ผักโขม มีใยผักและวิตามินแร่ธาตุหลายชนิด
ซึ่งผักผลไม้ต่างๆ เหล่านี้ซื้อหาและสามารถทำเป็นอาหารต่างๆ ได้ไม่ยากเลย
เห็น ประโยชน์อันมากมายของไฟโตนิวเทรียนท์แล้ว ควรหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น และรับประทานผักผลไม้ให้หลากหลายในทุกมื้ออาหาร เพื่อร่างกายแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยง่ายค่ะ
อ่านอย่างไร ไม่ทำร้ายดวงตา
หากจะสอนให้เด็กรุ่นใหม่รักการอ่าน ก็น่าจะสอนด้วยว่า อ่านอย่างไรจึงจะไม่ทำร้ายดวงตา
สำนัก งานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ได้ออกคู่มือ "เคล็ดลับการอ่าน...เพื่อสุขภาพ" หวังให้คนไทยรักการอ่าน ขณะเดียวกันก็รักสุขภาพด้วยกระดาษถนอมสายตา หรือ Green Read Paper
กระดาษ ที่เหมาะกับการอ่าน คือกระดาษถนอมสายตา ซึ่งเกิดจากการนำเยื่อกระดาษบริสุทธิ์มาผสมกับกระดาษที่เสียหายหรือไม่ได้ มาตรฐานการผลิต ได้ออกมาเป็นกระดาษที่สะท้อนแสงน้อย สีของกระดาษจะออกสีตุ่นๆ ไม่ขาวจั๊วะเหมือนกระดาษส่วนใหญ่ เหมาะกับการอ่าน และถนอมสายตาสมชื่อ คืออ่านแล้วจะรู้สึกสบายตา ไม่ปวดตา
หมึกพิมพ์และขนาดตัวอักษร
การ พิมพ์หนังสือโดยทั่วไปจะใช้หมึกสีเข้ม คือสีดำบนพื้นกระดาษสีขาว เพราะตัวอักษรสีเข้มที่ลอยเด่นจากพื้นหลังสีขาวย่อมอ่านง่ายกว่าตัวอักษรสี อ่อนๆ หนังสือที่ดีไม่ควรเล่นสีสันระหว่างตัวอักษรและพื้นหลังจนอ่านไม่รู้เรื่อง
ขนาดของตัวอักษรนิยมให้ใหญ่กว่า 14 พอยต์ เพราะถ้าเล็กกว่านั้นจะทำให้อ่านยาก และดวงตาเกิดความล้าเร็วเกินไป แต่ ตัวหนังสือที่ใหญ่เกินไปก็ใช่ว่าจะดี เพราะจะทำให้ตาไม่สามารถจับโฟกัสได้ชัดเจน พลอยทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง ช่องไฟระหว่างตัวหนังสือที่ชิดกันมากเกินไปหรือห่างเกินไป ก็ทำให้อ่านลำบากเช่นกัน
ขนาดรูปเล่ม
หนังสือ ขนาดเล็กเกินไป แล้วยังใช้ตัวอักษรขนาดเล็ก ทำให้อ่านยาก ส่วนหนังสือเล่มใหญ่หรือหนาเกินไป ก็ต้องเลือกท่าทางในการอ่านให้เหมาะสม มิฉะนั้นถ้าต้องถืออ่านนานๆ ร่างกายต้องรับน้ำหนักมากเกินไป หรืออยู่ในท่าที่ไม่สมดุลนานๆ จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้
เลือกอ่านในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ควรอ่านหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่มืดหรือจ้าเกินไป หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือบนรถที่กำลังวิ่ง เพราะสายตาต้องปรับโฟกัสตลอดเวลา
หากอยาก อ่านหนังสือให้มีสมาธิ ไม่ควรฟังเพลงไปด้วย โดยเฉพาะเพลงที่มีจังหวะเร็วๆ เพราะสมาธิจะไปอยู่ที่เพลงมากกว่า หากอยากฟังเพลงไปด้วยจริงๆ ควรเลือกเพลงบรรเลงเบาๆ สบายๆ จะดีกว่า ยิ่งฟังเพลงจากหูฟัง ยิ่งไม่เหมาะกับการอ่าน เพราะนอกจากจะให้เสียงที่ใกล้และดังก้องเกินไปแล้ว หูฟังแบบที่กดกับใบหูยังทำให้ปวดศีรษะได้ง่าย หรือแบบที่ใส่ในหูก็ทำให้เจ็บหูได้ง่ายเช่นกัน
หา มุมอ่านหนังสือที่เงียบสงบ อากาศปลอดโปร่งถ่ายเทสะดวก ไม่ควรอ่านหนังสือบริเวณที่มีคนผ่านไปมาตลอดเวลา เช่น ประตู ทางเดิน หรือหน้าบ้าน เพราะจะทำให้เสียสมาธิได้ง่าย
เลือกที่จะอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว ดีกว่าทำกิจกรรมหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน เช่น กินไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะทำให้เสียสมาธิและเสียอรรถรสจากการอ่านไปอย่างน่าเสียดาย รวมทั้งไม่ควรอ่านหนังสือขณะขับถ่าย เพราะจะเป็นผลเสียต่อร่างกาย
พักสายตาเมื่อเหนื่อยล้า
หลังจากอ่านหนังสือทุกๆ 40-50 นาที ควรพักสายตาด้วยการมองไกลๆ หรือมองต้นไม้ ใบไม้เขียวๆ จะช่วยผ่อนคลายสายตาได้ดี
ปกติ แล้วคนเราจะกะพริบตาโดยอัตโนมัติ แต่หากอยากจะเป็นนักอ่าน ต้องหัดกะพริบตาเพื่อเป็นการออกกำลังสายตา ภายใน 10 วินาที ให้พยายามกะพริบตาสัก 1-2 ครั้ง เมื่อหัดจนชิน จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก
อีก วิธีหนึ่งคือการให้ดวงตาได้รับแสงแดดบ้าง โดยการหลับตาลง ให้แสงแดดส่องผ่านหนังตาที่หลับอยู่ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ครั้งละ 10 นาที แสงแดดจะช่วยให้เกิดการไหลเวียนของโลหิตรอบๆ ดวงตา ผ่อนคลายกล้ามเนื้อดวงตาและระบบประสาทรอบดวงตา
การ ใช้น้ำเย็นเป็นวิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่ง แค่เอามือรองน้ำเย็น หลับตา แล้ววักใส่หน้าบริเวณดวงตา ไม่ต้องแรงนัก สัก 20 ครั้ง ซับให้แห้งเบาๆ จะช่วยให้ดวงตา กล้ามเนื้อ และเส้นประสาทสดชื่นขึ้น
การใช้ฝ่ามือ เป็นวิธีการที่จักษุแพทย์แนะนำว่าสามารถลดความเครียดให้กับดวงตาได้เป็น อย่างดี เริ่มจากนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าที่สบายที่สุด เอาฝ่ามือทั้งสองข้างปิดดวงตาไว้ โดยให้ฝ่ามือซ้ายปิดตาซ้าย ฝ่ามือขวาปิดตาขวา ปลายฝ่ามือทั้งสองข้างไขว้ทับกันไว้บนหน้าผาก ทำอย่างนี้วันละครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง
เตรียมตัวอ่านอย่างไรให้มีสมาธิ
ควรอ่านหนังสือตอนที่ร่างกายสดชื่น อุณหภูมิเหมาะสม ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป สวมเครื่องแต่งกายสบายๆ ไม่อึดอัด
อย่า อ่านเมื่อรู้สึกหิว เพราะจะไม่มีสมาธิ แถมยังไม่มีพลังงานให้สมอง และไม่ควรอ่านหนังสือหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานในการย่อยอาหาร ถ้าอ่านหนังสือ เลือดจะขึ้นไปเลี้ยงสมองมาก จนทำให้กระเพาะย่อยอาหารได้ไม่ดี
ท่า นั่งที่ถูกต้องสำหรับการอ่าน คือนั่งหลังตรง ไม่เกร็งเกินไป เลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงและเท้าแขนที่พอเหมาะกับร่างกาย เก้าอี้ที่นุ่มเกินไปหรือแข็งเกินไป ทำให้นั่งไม่สะดวก และทำให้อ่านไม่ได้นาน
ควร ถือหนังสือให้ห่างจากดวงตาไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร และไม่ควรนอนอ่านหนังสือ เพราะนอกจากจะทำให้เมื่อยแขนมากกว่าปกติแล้ว สายตายังต้องปรับระดับมากอีกด้วย
เมื่อ อยู่ในยามเครียดหรืออารมณ์ไม่ดี ไม่ควรฝืนอ่านหนังสือ เพราะไม่มีสมาธิและทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง จะไม่เกิดประโยชน์จากการอ่านอย่างเต็มที่ ควรอ่านหนังสือก่อนนอนในสภาวะที่ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย หรืออ่านในวันหยุดสบายๆ ที่ไม่ต้องเร่งรีบไปไหนจะดีกว่า
ของอร่อยประจำแต่ละจังหวัด
เพื่อให้การท่องเที่ยวมีอัตถรสมากยิ่งขึ้น การไปเยี่ยมเยียนแต่ละจังหวัดในประเทศไทย เราควรศึกษาแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละหจังหวัด รวมทั้งศึกษาสินค้าพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง รวมทั้งสิ่งที่เป็นของขึ้นชื่อของแต่ละแหล่งด้วย เรียกว่า ไปเที่ยวทั้งที่ ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน และที่สำคัญได้ช่วยให้เศรษฐกิจให้เจริญ โชติช่วงด้วยครับ.. ประเทศไทยจงเจริญ
กาญจนบุรี - อาหารขึ้นชื่อคงไม้พ้นเรื่องของ "ปลาๆ" ไม่ว่าจะเป็น ปลาคัง ปลาบึก ปลายี่สก ปลากราย เรียกว่าได้กินกันสดๆ แน่นอน
กระบี่ - มากระบี่ต้องอาหารทะเลสดๆ โดยเฉพาะ "หอยชักตีนลวดสดๆ" จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำพริกกุ้งเสียบ
จันทบุรี - เรียกว่ามาเมืองจันท์ ต้องมากิน "แกงหมูชะมวง" หรือ "กระวานผัดฉ่า" นอกเหนือจากผลไม้ขึ้นชื่อ "ทุเรียนหมอนทอง" และอย่าลืมแวะไปชมตลาดพลอยทีใหญ่ของจังหวัดด้วยน่ะ
ฉะเชิงเทรา - นอกจากการมาไหว้พระที่วัดโสธรวรารามวรวิหารแล้ว อย่าลืมแวะมาชิม "ขนมเปี๊ยะ" สูตรโบราณ พร้อมไส้ต่างๆ ให้เลือกมากมาย
ชลบุรี - ข้าวหลาม ของทะเลแห้ง แฮ่กิ้นขึ้นชื่อ นอกจากนี้ขอแนะนำ "ไก่หุบบอน" ตั้งอยู่บริเวณ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
เชียงราย - ขอแนะนำ "ก๋วยเตี๋ยวน้ำเงี้ยว" หรืออาจจะเป็น "ข้าวซอย" หรือ "ไส้อั่ว" ที่หากินได้ไม่ยาก
เชียงใหม่ - นอกเหนือจาก แคบหมู และน้ำพริกหนุ่มแล้ว ยังมี "ปาท่องโก๋" ที่ตลาดสดเชียงดาว และยังมี "ข้าวนึ่งกั้นจิ้นทอด" อาหารพื้นบ้านชาวเหนือ หรือชอบทานกาแฟสด ก็ต้องที่ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง ดอยผาหม่น ภูชี้ฟ้า
ชุมพร - "ปูม้าสดต้ม" คืออาหารที่ไม่ควรพลาด บนเกาะมาตรา ถ้าในเมืองก็ต้องเป็นอาหารโต้รุ่ง
ชัยภูมิ - อาหารอีสานรสแซบ ได้แก่ "ลาดเป็ดรสแซบ" รับรองรสแซบจริงๆ
ตาก - อาหารว่างที่ห้ามพลาด นั่นคือ "เมี่ยง" ที่ทำจากมะพร้าว ถั่วลิสง ใบเมี่ยงเป็นหลัก
ตราด - ซีฟู๊ด อาหารขึ้นชื่นที่สำคัญ แต่ก็ยังมี "ข้าวมันไก่" น้ำจิ้มสูตรพิเศษ ที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน
นครปฐม - สินค้าขึ้นชื่อคือ "ข้าวหลาม" นอกจากนี้บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ ยังมี "ข้าวหมูแดง" แสนอร่อย และที่พลาดไม่ได้นั่นคือ "มะพร้าวน้ำหอม" ของอำเภทสามพราน
นนทบุรี - ของกินอร่อยๆ มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ" หรือ "ขนมจีนเส้นสด" สำหรับที่ห้ามพลาดคือ "ทอดมันหน่อกะลา" ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรตระกูลขิง
น่าน - อาหารที่เต็มไปด้วยโปรตีน โดยเฉพาะหน้าฝน นั่นคือ "หนอนรถด่วน" หรืออยากจะทดลองอาหารพื้นบ้านแท้ๆ "แกงก้าม" โดยมีส่วนผสมคือ หมูสามชั้นแกงกับน้ำพริกทางเหนือ หรืออาจเป็น "ยำหนัง" โดยใช้หนังวัวหรือควาย ตากแห้งและเผาจนสุก หั่นเป็นชิ้นและแช่น้ำจนนุ่ม ก่อนมาปรุงรส
นครราชสีมา - นอกเหนือจาก "กุนเชียง หมูหยอง" ที่เป็นที่นิยมแล้ว บริเวณเขาใหญ่ จะมีอาหารขึ้นชื่อคือ ขาหมูทอด หรืออาจจะเป็น ส้มตำ ไก่ย่าง ก็อร่อยอย่าบอกใครเชียว และอย่าลืมแวะซื้อ "องุ่น" สดๆ กลับบ้านจากไร่ข้างทางด้วยน่ะ และที่พลาดไม่ได้คือ "สเต็ก" ของ ฟาร์มโชคชัย และไอศครีมขึ้นชื่อ "อืมม มิลค์" ไอศครีมนมสดแท้ๆ
นครศรีธรรมราช - เมืองคอน อย่าลืมแวะมาชิม "มังคุดคัด" เป็นมังคุดดอง จนได้เป็นมังคุดคัด?กรอบ กินได้ทั้งเนื้อและเมล็ด
หนองคาย - อาหารอีสานรสแซบที่มีอยู่ตามร้านทั่วไป หรืออยากจะชิม "สุกี้เวียง" ก็หาได้บริเวณถนนริมโขง
ประจวบคีรีขันต์ - "ขาหมู หมั่นโถว" คืออาหารอย่างหนึ่งที่แนะนำ นอกเหนือจาก อาหารทะเลสดๆ แล้ว นอกจากนี้อย่าลืมแวะไปทาน "ลอดช่องนายดำ" เป็นรถเข็นอยู่บริเวณแยกไฟแดง ถ.แนบเคหาสน์ ก่อนถึงสี่แยกโกทิ
มหาสารคาม - อย่าลืมแวะมาชิม "หม่ำ" หรือไส้กรอกอีสานขึ้นชื่อ รสเด็ด มีทั้งเนื้อหมู และเนื้อวัว ให้เลือก
แม่ฮ่องสอน - "กาแฟสด" ที่ตลาดชาวเขา ดอยแม่อูคอ หรือกาแฟ "Arabica Coffee" ที่ปางอุ๋ง รสชาติเข้มข้น ราคาไม่แพง หรือถ้าชอบขาหมู ต้องที่ หมู่บ้านรักไทย เป็นหมู่บ้านชาวจีนในกองพล 93 หรืออยากจะทานอาหารประจำถิ่นของชาวไทยใหญ่ ก็มีหลายร้านให้เลือก
เพชรบุรี - แน่นอนขนมหวานขึ้นชื่นมากๆ แทบไม่ต้องแนะนำเลย นั่นคือ "ขนมหม้อแกง" รวมทั้งอาหารทะเลสดๆ มีให้เลือกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปลา กุ้ง ปลาหมึก กุ้งสดๆ
เพชรบูรณ์ - อย่าลืมแวะชิม "น้ำเสาวรส" คั้นสดๆ หวานชื่นใจ มีขายตามไร่หรือตามตลาดพืชผลทางการเกษตร หรือจะเป็น "มะขามหวาน" ที่ขึ้นชื่น "ไก่ย่างวิเชียรบุรี" ก็ขึ้นชื่นไม่น้อยหน้ากัน
แพร่ - แหล่งผลิตใบชาชั้นดี ที่เหมาะสำหรับนำเป็นของฝากกลับบ้านได้เป็นอย่างดี
พังงา - อย่าลืมแวะชิม "แกงส้ม" แกงเหลืองกับไข่เจียว แสนอร่อย
ภูเก็ต - มีร้านทะเลอร่อยมากๆ บรรยากาศดีๆ "หมี่ฮกเกี้ยนผัด" แถวบริเวณหอนาฬิกา ก็อร่อยไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมี แกงปูใบชะพลู เป๋าฮื้อนึ่งซีอิ๊ว และอีกอย่างที่น่าทดลองคือ "โรตีจิ้มแกง"
ราชบุรี - ผลิตภัณฑ์โดดเด่นของตำบลเจ็ดเสมียน นั่นคือ "ไชโป๊ว" รสชาตดี และของหวานก็ต้องเป็น "เค๊กมะพร้าวอ่อน" ที่ต้องซื้อกลับบ้านไปเป็นของฝาก
ลำปาง - อาหารพื้นเมืองที่อร่อยมากๆ "แกงโฮะ" หรือ "หมูยอ" "หมูแดงทอด" เรียกว่าหากินได้ไม่ยากเลย
เลย - "ปลาเผาหิมะ" น่าจะเป็นอาหารที่ควรลิ้มลองกันดู นอกจากอาหารประเภท "ก้อย" "ต้มแซบ" ถ้าเป็นของฝากที่หาได้ยาก ต้องเป็น "น้ำพริกแจ่วดำน้ำฝักสะทอน"
สระบุรี - "กระหรี่ปั๊ป" เป็นของขึ้นชื่นอย่างหนึ่งของจังหวัดสระบุรี แต่ถ้าอยากทานก๋วยเตี๋ยว ก็ต้อง "ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น" ที่ขึ้นชื่อเช่นกัน
สุรินทร์ - ของฝากที่ควรซื้อกลับบ้านคือ "กุนเชียง" "หมูหยอง" "หมูแผ่น" และ "หัวผักกาดดอง" นอกจากนี้ "ก๋วยจั๊บญวน" ก็เป็นอีกหนึ่งที่น่าลิ้มลอง
สุราษฏร์ธานี - อาหารทะเลสดมากๆ โดยเฉพาะ ปูตัวใหญ่ๆ สำหรับเมนูเด็ดๆ ก็คงไม่พ้น ส้มตำปูม้า ผัดไท หอยหลอด ส่วนอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อ "สะตอผัดกะปิ" หรือ "แกงส้มปลากะบอก"
สุพรรณบุรี - "สาลี่" คือขนมหวานขึ้นชื่นของที่นี่ นุ่ม หอม อร่อย ถ้าเป็นของคาว ก็ต้อง ปลาตากแห้งทีมีให้เลือกมากมาย
สิงห์บุรี - "แม่ลาปลาเผา" ปลาช่อนเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ หรืออยากจะทานน้ำพริกต้อง "น้ำพริกปลาช่อนสด"
สมุทรสงคราม - "กุ้งแม่น้ำเผา" กุ้งขนาดใหญ่และสดๆ จากร้านเพื่อน หรืออาจจะเป็น "ปลาสำลีแดดเดียว" ที่อร่อยมากเหมือนกัน อย่าลืมแวะมาที่ ดอนหอยหลอด
สมุทรปราการ - ขับรถชมวิวแถวบางปู อย่าลืมแวะมาทานอาหารทะเลสดๆ จากทะเลจริงๆ
อุตรดิตถ์ - "ข้าวแคบ" คืออาหารขึ้นชื่อ คือ ข้าวเกรียบที่ทำจากแผ่นแป้ง คล้ายแผ่นแป้งที่กินกับแหนมเนือง แต่นุ่มและเหนียวกว่า หาซื้อได้บริเวณเมืองลับแล
อุดรธานี - อาหารเพื่อสมุนไพรเพื่อสุขภาพ มีให้เลือกมากมาย
อุบลราชธานี - "กาแฟโบราณ" และ "ก๋วยจั๊บญวน" แถวบริเวณตลาดโขงเจียม รับประกันความอร่อย
อุทัยธานี - "ปลาแรด" เป็นปลาในแม่น้ำสะแกกรัง นำมาปรุงเป็นอาหารได้อร่อยสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ทอดกระเทียม ราดพริก
อยุธยา - หรือพระนครศรีอยุธยา แหล่งรวมอารยธรรมนับร้อยๆ ปี เป็นจังหวัดที่มีวัดมากมายแถบทุกถนน สำหรับอาหารอร่อย นอกจาก ปลาแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำแล้ว ยังมี "ก๋วยเตี๋ยวอยุธยา" ที่ขึ้นชื่อ หรือว่าอยากจะทานของหวาน "โรตีสายไหม" เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อมากๆ
กาญจนบุรี - อาหารขึ้นชื่อคงไม้พ้นเรื่องของ "ปลาๆ" ไม่ว่าจะเป็น ปลาคัง ปลาบึก ปลายี่สก ปลากราย เรียกว่าได้กินกันสดๆ แน่นอน
กระบี่ - มากระบี่ต้องอาหารทะเลสดๆ โดยเฉพาะ "หอยชักตีนลวดสดๆ" จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำพริกกุ้งเสียบ
จันทบุรี - เรียกว่ามาเมืองจันท์ ต้องมากิน "แกงหมูชะมวง" หรือ "กระวานผัดฉ่า" นอกเหนือจากผลไม้ขึ้นชื่อ "ทุเรียนหมอนทอง" และอย่าลืมแวะไปชมตลาดพลอยทีใหญ่ของจังหวัดด้วยน่ะ
ฉะเชิงเทรา - นอกจากการมาไหว้พระที่วัดโสธรวรารามวรวิหารแล้ว อย่าลืมแวะมาชิม "ขนมเปี๊ยะ" สูตรโบราณ พร้อมไส้ต่างๆ ให้เลือกมากมาย
ชลบุรี - ข้าวหลาม ของทะเลแห้ง แฮ่กิ้นขึ้นชื่อ นอกจากนี้ขอแนะนำ "ไก่หุบบอน" ตั้งอยู่บริเวณ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
เชียงราย - ขอแนะนำ "ก๋วยเตี๋ยวน้ำเงี้ยว" หรืออาจจะเป็น "ข้าวซอย" หรือ "ไส้อั่ว" ที่หากินได้ไม่ยาก
เชียงใหม่ - นอกเหนือจาก แคบหมู และน้ำพริกหนุ่มแล้ว ยังมี "ปาท่องโก๋" ที่ตลาดสดเชียงดาว และยังมี "ข้าวนึ่งกั้นจิ้นทอด" อาหารพื้นบ้านชาวเหนือ หรือชอบทานกาแฟสด ก็ต้องที่ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง ดอยผาหม่น ภูชี้ฟ้า
ชุมพร - "ปูม้าสดต้ม" คืออาหารที่ไม่ควรพลาด บนเกาะมาตรา ถ้าในเมืองก็ต้องเป็นอาหารโต้รุ่ง
ชัยภูมิ - อาหารอีสานรสแซบ ได้แก่ "ลาดเป็ดรสแซบ" รับรองรสแซบจริงๆ
ตาก - อาหารว่างที่ห้ามพลาด นั่นคือ "เมี่ยง" ที่ทำจากมะพร้าว ถั่วลิสง ใบเมี่ยงเป็นหลัก
ตราด - ซีฟู๊ด อาหารขึ้นชื่นที่สำคัญ แต่ก็ยังมี "ข้าวมันไก่" น้ำจิ้มสูตรพิเศษ ที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน
นครปฐม - สินค้าขึ้นชื่อคือ "ข้าวหลาม" นอกจากนี้บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ ยังมี "ข้าวหมูแดง" แสนอร่อย และที่พลาดไม่ได้นั่นคือ "มะพร้าวน้ำหอม" ของอำเภทสามพราน
นนทบุรี - ของกินอร่อยๆ มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ" หรือ "ขนมจีนเส้นสด" สำหรับที่ห้ามพลาดคือ "ทอดมันหน่อกะลา" ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรตระกูลขิง
น่าน - อาหารที่เต็มไปด้วยโปรตีน โดยเฉพาะหน้าฝน นั่นคือ "หนอนรถด่วน" หรืออยากจะทดลองอาหารพื้นบ้านแท้ๆ "แกงก้าม" โดยมีส่วนผสมคือ หมูสามชั้นแกงกับน้ำพริกทางเหนือ หรืออาจเป็น "ยำหนัง" โดยใช้หนังวัวหรือควาย ตากแห้งและเผาจนสุก หั่นเป็นชิ้นและแช่น้ำจนนุ่ม ก่อนมาปรุงรส
นครราชสีมา - นอกเหนือจาก "กุนเชียง หมูหยอง" ที่เป็นที่นิยมแล้ว บริเวณเขาใหญ่ จะมีอาหารขึ้นชื่อคือ ขาหมูทอด หรืออาจจะเป็น ส้มตำ ไก่ย่าง ก็อร่อยอย่าบอกใครเชียว และอย่าลืมแวะซื้อ "องุ่น" สดๆ กลับบ้านจากไร่ข้างทางด้วยน่ะ และที่พลาดไม่ได้คือ "สเต็ก" ของ ฟาร์มโชคชัย และไอศครีมขึ้นชื่อ "อืมม มิลค์" ไอศครีมนมสดแท้ๆ
นครศรีธรรมราช - เมืองคอน อย่าลืมแวะมาชิม "มังคุดคัด" เป็นมังคุดดอง จนได้เป็นมังคุดคัด?กรอบ กินได้ทั้งเนื้อและเมล็ด
หนองคาย - อาหารอีสานรสแซบที่มีอยู่ตามร้านทั่วไป หรืออยากจะชิม "สุกี้เวียง" ก็หาได้บริเวณถนนริมโขง
ประจวบคีรีขันต์ - "ขาหมู หมั่นโถว" คืออาหารอย่างหนึ่งที่แนะนำ นอกเหนือจาก อาหารทะเลสดๆ แล้ว นอกจากนี้อย่าลืมแวะไปทาน "ลอดช่องนายดำ" เป็นรถเข็นอยู่บริเวณแยกไฟแดง ถ.แนบเคหาสน์ ก่อนถึงสี่แยกโกทิ
มหาสารคาม - อย่าลืมแวะมาชิม "หม่ำ" หรือไส้กรอกอีสานขึ้นชื่อ รสเด็ด มีทั้งเนื้อหมู และเนื้อวัว ให้เลือก
แม่ฮ่องสอน - "กาแฟสด" ที่ตลาดชาวเขา ดอยแม่อูคอ หรือกาแฟ "Arabica Coffee" ที่ปางอุ๋ง รสชาติเข้มข้น ราคาไม่แพง หรือถ้าชอบขาหมู ต้องที่ หมู่บ้านรักไทย เป็นหมู่บ้านชาวจีนในกองพล 93 หรืออยากจะทานอาหารประจำถิ่นของชาวไทยใหญ่ ก็มีหลายร้านให้เลือก
เพชรบุรี - แน่นอนขนมหวานขึ้นชื่นมากๆ แทบไม่ต้องแนะนำเลย นั่นคือ "ขนมหม้อแกง" รวมทั้งอาหารทะเลสดๆ มีให้เลือกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปลา กุ้ง ปลาหมึก กุ้งสดๆ
เพชรบูรณ์ - อย่าลืมแวะชิม "น้ำเสาวรส" คั้นสดๆ หวานชื่นใจ มีขายตามไร่หรือตามตลาดพืชผลทางการเกษตร หรือจะเป็น "มะขามหวาน" ที่ขึ้นชื่น "ไก่ย่างวิเชียรบุรี" ก็ขึ้นชื่นไม่น้อยหน้ากัน
แพร่ - แหล่งผลิตใบชาชั้นดี ที่เหมาะสำหรับนำเป็นของฝากกลับบ้านได้เป็นอย่างดี
พังงา - อย่าลืมแวะชิม "แกงส้ม" แกงเหลืองกับไข่เจียว แสนอร่อย
ภูเก็ต - มีร้านทะเลอร่อยมากๆ บรรยากาศดีๆ "หมี่ฮกเกี้ยนผัด" แถวบริเวณหอนาฬิกา ก็อร่อยไม่แพ้กัน นอกจากนี้ยังมี แกงปูใบชะพลู เป๋าฮื้อนึ่งซีอิ๊ว และอีกอย่างที่น่าทดลองคือ "โรตีจิ้มแกง"
ราชบุรี - ผลิตภัณฑ์โดดเด่นของตำบลเจ็ดเสมียน นั่นคือ "ไชโป๊ว" รสชาตดี และของหวานก็ต้องเป็น "เค๊กมะพร้าวอ่อน" ที่ต้องซื้อกลับบ้านไปเป็นของฝาก
ลำปาง - อาหารพื้นเมืองที่อร่อยมากๆ "แกงโฮะ" หรือ "หมูยอ" "หมูแดงทอด" เรียกว่าหากินได้ไม่ยากเลย
เลย - "ปลาเผาหิมะ" น่าจะเป็นอาหารที่ควรลิ้มลองกันดู นอกจากอาหารประเภท "ก้อย" "ต้มแซบ" ถ้าเป็นของฝากที่หาได้ยาก ต้องเป็น "น้ำพริกแจ่วดำน้ำฝักสะทอน"
สระบุรี - "กระหรี่ปั๊ป" เป็นของขึ้นชื่นอย่างหนึ่งของจังหวัดสระบุรี แต่ถ้าอยากทานก๋วยเตี๋ยว ก็ต้อง "ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น" ที่ขึ้นชื่อเช่นกัน
สุรินทร์ - ของฝากที่ควรซื้อกลับบ้านคือ "กุนเชียง" "หมูหยอง" "หมูแผ่น" และ "หัวผักกาดดอง" นอกจากนี้ "ก๋วยจั๊บญวน" ก็เป็นอีกหนึ่งที่น่าลิ้มลอง
สุราษฏร์ธานี - อาหารทะเลสดมากๆ โดยเฉพาะ ปูตัวใหญ่ๆ สำหรับเมนูเด็ดๆ ก็คงไม่พ้น ส้มตำปูม้า ผัดไท หอยหลอด ส่วนอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อ "สะตอผัดกะปิ" หรือ "แกงส้มปลากะบอก"
สุพรรณบุรี - "สาลี่" คือขนมหวานขึ้นชื่นของที่นี่ นุ่ม หอม อร่อย ถ้าเป็นของคาว ก็ต้อง ปลาตากแห้งทีมีให้เลือกมากมาย
สิงห์บุรี - "แม่ลาปลาเผา" ปลาช่อนเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ หรืออยากจะทานน้ำพริกต้อง "น้ำพริกปลาช่อนสด"
สมุทรสงคราม - "กุ้งแม่น้ำเผา" กุ้งขนาดใหญ่และสดๆ จากร้านเพื่อน หรืออาจจะเป็น "ปลาสำลีแดดเดียว" ที่อร่อยมากเหมือนกัน อย่าลืมแวะมาที่ ดอนหอยหลอด
สมุทรปราการ - ขับรถชมวิวแถวบางปู อย่าลืมแวะมาทานอาหารทะเลสดๆ จากทะเลจริงๆ
อุตรดิตถ์ - "ข้าวแคบ" คืออาหารขึ้นชื่อ คือ ข้าวเกรียบที่ทำจากแผ่นแป้ง คล้ายแผ่นแป้งที่กินกับแหนมเนือง แต่นุ่มและเหนียวกว่า หาซื้อได้บริเวณเมืองลับแล
อุดรธานี - อาหารเพื่อสมุนไพรเพื่อสุขภาพ มีให้เลือกมากมาย
อุบลราชธานี - "กาแฟโบราณ" และ "ก๋วยจั๊บญวน" แถวบริเวณตลาดโขงเจียม รับประกันความอร่อย
อุทัยธานี - "ปลาแรด" เป็นปลาในแม่น้ำสะแกกรัง นำมาปรุงเป็นอาหารได้อร่อยสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ทอดกระเทียม ราดพริก
อยุธยา - หรือพระนครศรีอยุธยา แหล่งรวมอารยธรรมนับร้อยๆ ปี เป็นจังหวัดที่มีวัดมากมายแถบทุกถนน สำหรับอาหารอร่อย นอกจาก ปลาแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำแล้ว ยังมี "ก๋วยเตี๋ยวอยุธยา" ที่ขึ้นชื่อ หรือว่าอยากจะทานของหวาน "โรตีสายไหม" เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อมากๆ
เปิดไฟนอนระวังสมองเสื่อม!
ใครที่ชอบเปิดไฟทิ้งไว้ระหว่างนอนหลับ รู้หรือไม่ว่า ก่อให้เกิดผลเสียต่อสมอง และทำให้ความงามลดลงอีกด้วย
อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่นั่นเป็นเพราะเรตินาในลูกตาที่มีความไวต่อแสง ยังส่งสัญญาณไปสู่สมองอยู่ จึงไม่มีการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (ที่ทำให้รู้สึกง่วง) ดังนั้น ถึงหลับก็หลับไม่สนิท จะสังเกตพบว่า เมื่อตื่นขึ้นมา จึงไม่รู้สึกสดชื่น หรือกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ควรจะเป็น อารมณ์ไม่แจ่มใส ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ในระหว่างวันประสิทธิภาพการจัดการความจำของสมองก็ไม่ดี เนื่องจากการนอนที่ด้อยคุณภาพ
ผลการศึกษาของนักวิจัยในต่างประเทศพบว่า การหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินยังมีผลต่อสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต สภาวะสมดุลของกลูโคส รวมถึงอุณหภูมิของร่างกาย อย่างไรก็ตาม นักวิจัยคาดว่า ในอนาคตจะมีการศึกษาต่อไปถึงการปล่อยให้เด็กนอนหลับโดยเปิดไฟทิ้งไว้ จะส่งผลต่อพัฒนาการของตา โดยเสี่ยงต่อการมีสายตาสั้นหรือไม่ด้วย
ดังนั้น การควบคุมเรื่องแสงสว่างไม่ให้มารบกวนยามหลับ รวมถึงการจัดห้องให้ปลอดโปร่งเอื้อต่อการพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ จึงสามารถป้องกัน และชะลอสภาวะการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมลงได้.
โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
10 โรคเรื้อรังของคนวัย 40 อัพ
การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่พออายุเพิ่มขึ้นทีไร โรคภัยก็ดูเหมือนจะเพิ่มตามไปด้วยทุกที
พญ.อนงนุช ชวลิตธำรง ผู้อำนวยการแอดไลฟ์ แอนไทเอจจิ้ง เซ็นเตอร์ มาแนะวิธีดูแลสุขภาพสำหรับผู้ใหญ่วัย 40 อัพ โดยคุณหมอได้กล่าวว่า “วัย 40 อัพ มักมีปัญหาสุขภาพ เกิดขึ้นหลายด้านด้วยกันไม่ว่า อ้วนง่าย ผิวมีริ้วรอย อ่อนเพลียไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย ความจำลดลง กระดูกพรุน สำหรับวัย 40 อัพนั้น โรคส่วนใหญ่มักเกิดจากโรคแห่งความเสื่อม คือเป็นโรคที่ต้องใช้ระยะเวลาสะสมมานาน ในระยะแรกๆ จะไม่ค่อยแสดงอาการ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนเริ่มมีอาการที่ชัดเจนขึ้น ก็พบว่าเรากลายเป็นโรคไปแล้ว คนส่วนใหญ่กว่าจะทราบกันว่าเป็นโรคก็ตอนที่อายุสูงขึ้นแล้ว”
โรคแห่งความเสื่อมที่ใครๆ ก็ไม่อยากสนิทด้วย ได้แก่
1. โรคเส้นเลือดอุดตัน(Atherosclerosis) ซึ่งแบ่งออกเป็นเส้นเลือดในหัวใจอุดตันและเส้นเลือดในสมองอุดตัน
2. โรคมะเร็ง(Cancer)
3. โรคสมองเสื่อม(Dementia)
4. โรคอ้วน(Obesity)
5. วัยทอง
6. โรคนอนไม่หลับ(Insomnia)
7. กระดูกพรุน(Osteoporosis)
8. โรคข้อเสื่อม(Degenerative Joint Disease)
9. ผิวหนังเสื่อมสภาพ(Aging Skin)
10. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย(Chronic fatique syndrome)
ปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวคือ
โรคเส้นเลือดอุดตัน (Atherosclerosis): โรคดังกล่าวมีปัจจัยหรือสาเหตุจากการสูบบุหรี่ คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง การไม่ออกกำลังกาย โรคอ้วน โรคเบาหวานการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ไตรกลีเซอไรด์สูง
โรคมะเร็ง (Cancer): ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งมีตั้งแต่ กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ โรคอ้วน การดื่ม แอลกอฮอล์ คนที่ได้รับแสงแดดน้อยเกินไปหรือมากเกินไป คนที่ทานผักหรือผลไม้น้อย การได้รับสารคาซิโนเจน การได้รับสารซีโนเอสโตรเจน
โรคสมองเสื่อม (Dementia): สาเหตุของความจำเสื่อมมีหลายสาเหตุด้วยกัน ตั้งแต่อัลไซเมอร์พบมากที่สุดประมาณ 60 % จากสาเหตุทั้งหมดหรือการถูกทำลายของเซลล์สมองและมีการลดลงของสารสื่อประสาท หรืออาจเกิดจากเส้นเลือดเล็กๆในสมองอุดตัน ซึ่งพบได้ประมาณ 20% จากสาเหตุทั้งหมด ส่วนสาเหตุอื่นๆที่พบมักร่วมกับโรคอื่นๆ เช่นผู้ป่วยโรคพาร์คินสัน เป็นต้น
โรคอ้วน (Obesity): อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อัตราการเผาผลาญ อาหารที่รับประทาน กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน หรืออาจเกิดจากฮอร์โมน
วัยทอง : เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศลดลง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) : สาเหตุหลักๆคือเรานอนไม่หลับ หรือหลับแต่หลับไม่ลึก คุณภาพการนอนไม่ดี
กระดูกพรุน (Osteoporosis) : ,มีหลายสาเหตุเช่นฮอร์โมนลดลง หรืออาจเกิดจากการใช้ยาบางประเภท
โรคข้อเสื่อม (Degenerative Joint Disease) : สาเหตุหลักของโรคนี้เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนและความเสื่อมชรา
ผิวหนังเสื่อมสภาพ (Aging Skin) : สาเหตุเกิดจากทั้งภายในและภายนอก เช่นระดับฮอร์โมนที่ลดลง แสงแดด การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การอักเสบติดเชื้อในร่างกายและมลภาวะเป็นพิษ
พญ.อนงนุช ชวลิตธำรง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะความเสื่อมของร่างกายสามารถที่จะป้องกัน โดยอาศัยแอนไทเอจจิ้งและวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ประกอบกัน ซึ่งจะต้องมีการตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจในระดับชีวเคมี การตรวจในระดับพันธุกรรม แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการดูแลตัวเอง และหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ที่จะมาทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อม คือ
บุหรี่ เหล้า ชา กาแฟ, ของหวาน, อาหาร ปิ้ง-ทอด, แสงแดด นอกจากนี้เรายังต้อง ปรับวิธีการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ
และมีการคลายเครียด
สำหรับสาว 40+ อ่านแล้วอย่าเพิ่งตกอกตกใจหรือท้อแท้ไม่เสียก่อน เพราะสุขภาพที่ดี ไม่แก่ก่อนวัย เป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างได้ทุกคน
เขียนโดย นายทองเลื่อน บุญญาธิพิทักษ์
กู้ข้อมูลจาก harddisk ที่เสียแล้ว
พวก เราหลายคนเคยเจอ harddisk เสียกันมาแล้ว ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วสุดท้ายของมันก็เสียกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วเจอหน้าจอสีฟ้าบอกเรา ว่า harddisk ของเราไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้เราไม่สามารถกู้ข้อมูลที่มีค่า และมีความหมายต่อเราออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายต่าง ๆ ที่อุตส่าห์ถ่ายเก็บไว้มาหลายปี หรือข้อมูลทางธุรกิจต่าง ๆ เป็นต้น …
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ อย่างพึ่งตกใจไปครับ เพราะคุณสามารถกู้ข้อมูลจาก harddisk ที่เสียไปแล้วได้ด้วยตัวคุณเองครับ อย่างไรก็ตามบทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับ harddisk ที่เสียชนิดที่ตัว disk ข้างในไม่ยอมหมุน หรือมีการชำรุดทางกายภาพของตัว harddisk ถ้าเสียแบบนี้ก็คงทำอะไรกับมันไม่ได้มากนัก หากปัญหาของคุณเกิดจากการที่ตัว harddisk ได้รับการชำรุดเสียหายทางกายภาพแบบนี้แล้ว ให้คุณติดต่อผู้เชี่ยวชาญในการกู้ข้อมูลดีกว่าครับ
ถ้าคุณเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้ว เจอหน้าจอสีฟ้า ก่อนที่จะทำการ boot เข้า windows โดยปกติแล้วมักจะแปรว่าคอมพิวเตอร์ของคุณมีปัญหา และถ้า harddisk ของคุณเสียขึ้นมาหน้าจอสีฟ้าที่ว่านี้ก็จะแสดงขึ้นมาเช่นกัน เพราะระบบไม่สามารถทำการ boot ตัว windows ซึ่งเป็น operating system ขึ้นมาได้
ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดมาจากการทำ งานที่ผิดพลาดของ harddisk driver หรืออาจจะเกิดจากปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างตัวคอมพิวเตอร์กับ harddisk ก็เป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนเริ่มต้นขั้นตอนต่าง ๆ คุณควรจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า harddisk ได้เสียบสายเชื่อมต่อเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาดแต่อย่างใด ถ้าหากว่าสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ไม่ได้หลวมหรือมีปัญหา ก็สามารถทำตามคำแนะนำในบทความนี้ได้เลยครับ
เมื่อเกิดปัญหาคอมพิวเตอร์ boot ไม่ได้เนื่องจาก harddisk มีปัญหา ก่อนที่จะเข้าหน้าจอแจ้งเตือนปัญหาสีฟ้า ที่หน้าจอสีดำซึ่งแสดงเมื่อตอนเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาให้คุณเลือกไปที่ last known good configuration ซึ่งจะเริ่มการทำงานคอมพิวเตอร์ของคุณที่ข้อมูล back up ของ harddisk (แต่มันคงจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ถ้าคุณไม่เคจ back up ข้อมูลไว้เลย)
โดยวิธีการนี้จะช่วยให้คุณเรียก ใช้งานในสถานะที่ได้ทำการ back up ข้อมูลล่าสุดไว้ได้ แต่จะไม่ถึงกับ 100% อย่างไรก็ตามคุณก็ยังได้ข้อมูลส่วนใหญ่กลับมา หลังจากนั้นให้คุณใช้ scandisk หรือ checkdisk ที่มีอยู่แล้วบน windows ทำการตรวจสอบ harddisk ของคุณอีกที
ถ้าหากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่แสดง หน้า start-up option หรือตัวเลือกต่าง ๆ ดังที่เห็นในภาพข้างบน คุณอาจจะต้อง boot คอมพิวเตอร์ผ่านแผ่น disk หรือแผ่น cd ของ windows และเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของคุณเปลี่ยนการ boot เครื่องให้ boot ผ่านแผ่น disk หรือแผ่น cd คุณอาจจะต้องไปที่ bios เพื่อเปลี่ยนการตั้งค่าให้ start-up ทำงานที่ cd-rom drive
เมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณสามารถ boot ผ่านแผ่นโปรแแกรม windows disk จะมี option ให้คุณเลือกซึ่งหนึ่งในนั้นคือ recovery console ให้คุณเลือกอันนี้โดยการกด “r” ดังตัวอย่างที่เห็นในรูป
จากนั้นหน้าจอจะไปสู่หน้าสีดำที่ มีตัวหนังสือสีขาว เมื่อขึ้นหน้าจอสีดำแล้วให้คุณพิมพ์ chkdsk/r เพื่อเริ่มต้นการทำงาน checkdisk ซึ่งสามารถช่วยในการตรวจสอบปัญหา และซ่อมแซม harddisk ได้ หลังจากที่คุณทำการ checkdisk ไปเรียบร้อยแล้วถ้าได้ผลคอมพิวเตอร์ของคุณจะทำการ reboot แล้วทำงานได้เป็นปกติ อย่างไรก็ตามจะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณพยายาม back up ข้อมูลไว้เป็นระยะ ๆ เนื่องจากการใช้วิธีนี้ได้ผลแค่ครั้ง หรือสองครั้งเท่านั้นถ้าอาการเกิดขึ้นบ่อย ๆ แนะนำให้ซื้อ harddisk ใหม่ไปเลยดีกว่า แล้วค่อยโอนข้อมูลที่ได้ทำการ back up ไว้แล้วถ่ายโอนไปที่ harddisk ลูกใหม่
ถ้าใช้วิธี checkdisk แล้วไม่ได้ผลให้กลับไปเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงหน้าจอ recovery console แล้วให้เลือก fixboot ซึ่งถ้าคุณเลือกตัวนี้มันจะทำการ rewrite ตัว startup sector บน harddisk ขงอคุณใหม่ และถ้าคุณเลือก fixmbr ระบบก็จะทำการซ่อมแซม master boot record
ที่กล่าวมาสองตัวหลังนี้เป็นคำ สั่งการทำงานที่ค่อนข้างจะ advance ซักหน่อย จำไว้ว่าถ้าคุณเลือกสองข้อนี้ก็ต้องลุ้นกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ถ้ามันไม่ได้ผลจริง ๆ ให้คุณถอด harddisk ออกมาแล้วทำการต่อ harddisk ตัวนี้เข้ากับ คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่าน usb port ซึ่งคอมพิวเตอร์เครื่องนี้จะมอง harddisk ที่ต่อผ่าน usb port เป็น slave หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือเอา harddisk ออกมาแล้วทำเป็น external harddisk เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นเพื่อทดลองอ่านข้อมูลนั่นเอง …
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ อย่างพึ่งตกใจไปครับ เพราะคุณสามารถกู้ข้อมูลจาก harddisk ที่เสียไปแล้วได้ด้วยตัวคุณเองครับ อย่างไรก็ตามบทความนี้ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับ harddisk ที่เสียชนิดที่ตัว disk ข้างในไม่ยอมหมุน หรือมีการชำรุดทางกายภาพของตัว harddisk ถ้าเสียแบบนี้ก็คงทำอะไรกับมันไม่ได้มากนัก หากปัญหาของคุณเกิดจากการที่ตัว harddisk ได้รับการชำรุดเสียหายทางกายภาพแบบนี้แล้ว ให้คุณติดต่อผู้เชี่ยวชาญในการกู้ข้อมูลดีกว่าครับ
ถ้าคุณเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้ว เจอหน้าจอสีฟ้า ก่อนที่จะทำการ boot เข้า windows โดยปกติแล้วมักจะแปรว่าคอมพิวเตอร์ของคุณมีปัญหา และถ้า harddisk ของคุณเสียขึ้นมาหน้าจอสีฟ้าที่ว่านี้ก็จะแสดงขึ้นมาเช่นกัน เพราะระบบไม่สามารถทำการ boot ตัว windows ซึ่งเป็น operating system ขึ้นมาได้
ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดมาจากการทำ งานที่ผิดพลาดของ harddisk driver หรืออาจจะเกิดจากปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างตัวคอมพิวเตอร์กับ harddisk ก็เป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนเริ่มต้นขั้นตอนต่าง ๆ คุณควรจะตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า harddisk ได้เสียบสายเชื่อมต่อเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาดแต่อย่างใด ถ้าหากว่าสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ไม่ได้หลวมหรือมีปัญหา ก็สามารถทำตามคำแนะนำในบทความนี้ได้เลยครับ
เมื่อเกิดปัญหาคอมพิวเตอร์ boot ไม่ได้เนื่องจาก harddisk มีปัญหา ก่อนที่จะเข้าหน้าจอแจ้งเตือนปัญหาสีฟ้า ที่หน้าจอสีดำซึ่งแสดงเมื่อตอนเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาให้คุณเลือกไปที่ last known good configuration ซึ่งจะเริ่มการทำงานคอมพิวเตอร์ของคุณที่ข้อมูล back up ของ harddisk (แต่มันคงจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ถ้าคุณไม่เคจ back up ข้อมูลไว้เลย)
โดยวิธีการนี้จะช่วยให้คุณเรียก ใช้งานในสถานะที่ได้ทำการ back up ข้อมูลล่าสุดไว้ได้ แต่จะไม่ถึงกับ 100% อย่างไรก็ตามคุณก็ยังได้ข้อมูลส่วนใหญ่กลับมา หลังจากนั้นให้คุณใช้ scandisk หรือ checkdisk ที่มีอยู่แล้วบน windows ทำการตรวจสอบ harddisk ของคุณอีกที
ถ้าหากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่แสดง หน้า start-up option หรือตัวเลือกต่าง ๆ ดังที่เห็นในภาพข้างบน คุณอาจจะต้อง boot คอมพิวเตอร์ผ่านแผ่น disk หรือแผ่น cd ของ windows และเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของคุณเปลี่ยนการ boot เครื่องให้ boot ผ่านแผ่น disk หรือแผ่น cd คุณอาจจะต้องไปที่ bios เพื่อเปลี่ยนการตั้งค่าให้ start-up ทำงานที่ cd-rom drive
เมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณสามารถ boot ผ่านแผ่นโปรแแกรม windows disk จะมี option ให้คุณเลือกซึ่งหนึ่งในนั้นคือ recovery console ให้คุณเลือกอันนี้โดยการกด “r” ดังตัวอย่างที่เห็นในรูป
จากนั้นหน้าจอจะไปสู่หน้าสีดำที่ มีตัวหนังสือสีขาว เมื่อขึ้นหน้าจอสีดำแล้วให้คุณพิมพ์ chkdsk/r เพื่อเริ่มต้นการทำงาน checkdisk ซึ่งสามารถช่วยในการตรวจสอบปัญหา และซ่อมแซม harddisk ได้ หลังจากที่คุณทำการ checkdisk ไปเรียบร้อยแล้วถ้าได้ผลคอมพิวเตอร์ของคุณจะทำการ reboot แล้วทำงานได้เป็นปกติ อย่างไรก็ตามจะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณพยายาม back up ข้อมูลไว้เป็นระยะ ๆ เนื่องจากการใช้วิธีนี้ได้ผลแค่ครั้ง หรือสองครั้งเท่านั้นถ้าอาการเกิดขึ้นบ่อย ๆ แนะนำให้ซื้อ harddisk ใหม่ไปเลยดีกว่า แล้วค่อยโอนข้อมูลที่ได้ทำการ back up ไว้แล้วถ่ายโอนไปที่ harddisk ลูกใหม่
ถ้าใช้วิธี checkdisk แล้วไม่ได้ผลให้กลับไปเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงหน้าจอ recovery console แล้วให้เลือก fixboot ซึ่งถ้าคุณเลือกตัวนี้มันจะทำการ rewrite ตัว startup sector บน harddisk ขงอคุณใหม่ และถ้าคุณเลือก fixmbr ระบบก็จะทำการซ่อมแซม master boot record
ที่กล่าวมาสองตัวหลังนี้เป็นคำ สั่งการทำงานที่ค่อนข้างจะ advance ซักหน่อย จำไว้ว่าถ้าคุณเลือกสองข้อนี้ก็ต้องลุ้นกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ถ้ามันไม่ได้ผลจริง ๆ ให้คุณถอด harddisk ออกมาแล้วทำการต่อ harddisk ตัวนี้เข้ากับ คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่าน usb port ซึ่งคอมพิวเตอร์เครื่องนี้จะมอง harddisk ที่ต่อผ่าน usb port เป็น slave หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือเอา harddisk ออกมาแล้วทำเป็น external harddisk เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นเพื่อทดลองอ่านข้อมูลนั่นเอง …
14 เม.ย. 2554
คำศัพท์เด็ดๆ ในกีฬาฟุตบอล
ลอดดาก : คำๆนี้เป็นคำกริยา คือการ
แตะลูกลอดระหว่างขาของคู่ต่อสู้นั่นเองคนที่โดน Lord Dark! จะเสีย self
อย่างรุนแรง ประหนึ่งโดน ทำทารุณทางประตูหลัง จะรู้สึกอับอายมาก ยิ่งถ้าคุณโดน
ลอดดาก ต่อหน้าสาวๆแล้วละก็ คุณอาจไม่คิดจะเตะบอลอีกเลยตลอดชีวิต 55+
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณอยู่ในสนาม พยายามระวังหว่างขาคุณให้จงหนัก
เฮ้.! ริเคลเม่ แกจ้องจะลอดดากน้องเค้าเหรอ?
ดากไหม้ : ศัพท์คำนี้ เป็นคำที่ต่อเนื่องจากลอดดาก
แต่ดากไหม้นั้นคือการโดนลอดดาก แบบต่อเนื่องและรวดเร็ว หลายครั้งในหนึ่งเกม
จนดากไหม้ ระวังให้ดีๆ นะครับเพื่อนๆ
ดากไหม้นั้นจะบ่งบอกถึงทักษะการเล่นฟุตบอลของท่านด้วยว่าอยู่ในขั้น กาก หรือ
เทพ
ส่งเฝือก : เป็นคำอุปมาอุปไมย นักพากษ์เก๋าๆมักจะใช้คำนี้
เวลาที่ผู้เล่นฝั่งเดียวกันส่งบอลให้เพื่อนช้าเกินไป คือ
มีผู้เล่นฝั่งตรงข้ามพร้อมที่จะเข้ามาอัดเพื่อนคุณอยู่แล้วคุณยังทะเล่อ
ทะล่าจ่ายให้มันอีก มันก็เจ็บฟรีสิครับ
กองหน้าผ้าเย็น : อุปมาอุปไมยอีกแล้วครับท่าน กองหน้าผ้าเย็น
เห็นฉายาแล้วกองหลังต้องขยาด แต่ขอโทษ มันคือตัวสำรองครับ
มักจะใช้กับฟุตบอลระดับตำบลลงไป เยาะเย้ยพวกที่ไม่ค่อยจะได้ลงสนาม
หากคุณถูกเรียกว่า กองหน้าผ้าเย็นจงรีบทำผลงาน โชว์โค้ชของคุณโดยด่วน
เฮ้...ไอ้น้อง ขอผ้าเย็นหน่อย
สนับตูด : เป็นอาการต่อเนื่องจาก กองหน้าผ้าเย็น นะครับ สนับตูดคือ
การนั่งรออยู่ข้างสนามเป็นเวลานานหลายเกมติดต่อกัน จนตูดด้าน
จนเพื่อนและสต๊าฟโค้ช ในทีมจะต้องแจกสนับตูดเอาไว้รองก้นของท่านไว้
กางมุ้ง : อันนี้พบเห็นได้ในฟุตบอล นัดที่ไม่มีการเชคล้ำหน้าครับ เป็นอาการที่
กองหน้าไปยืนรอทำประตูฝั่งตรงข้าม หากยืนรอเวลาทีมทำเกมส์บุกขึ้นมา
มันก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ แต่พี่เล่นยืนอยู่หน้าโกล์ รอยิงอย่างเดียว
ไม่ว่าสถานการณ์ทีมจะเป็นแบบไหน แกก็จะอยู่แต่หน้าโกล์ฝั่งนั้นแหละครับ
เปรียบได้เหมือน กางมุ้งนอนอยู่หน้าโกล์นั่นเอง
โชว์เบ : โชว์เบ ก็คือการ โชว์เบสิก หรือ ทักษะทางฟุตบอลนั่นแหละครับ
พวกเด็กสมัยโน้นเค้าเรียกกันหากคุณคลึงบอล หลบผู้เล่นสองคน พร้อมกับ Lord Dark
อีกคนเข้าไปยิงประตูแค่นี้คุณก็เรียกเสียงซี๊ดซ้าด
จากข้างสนามได้ระงมแล้วครับนักเตะที่ชอบโชว์เบ คือ โรนัลดินโญ่ และเมสซี่
นั้นเอง
เมสซี่ สมัยเกรียนๆ
เผาขน : เผาขน คือ การเปรียบเทียบความใกล้ ใกล้ซะจนสามารถจุดไฟเผาขนได้เลย
การยิงประตูก็ เช่นกัน เผาขน คือลูกยิงระยะประชิด
หน้าปากประตูแบบใกล้ซะเหลือเกิน หรือการจ่อๆ ยิงยังไงก็เข้า
ดูดบอล : ไม่ใช่เอาหลอดกาแฟมาดูดบอลนะครับ(อย่ามาตลก) ดูดบอล เป็นกริยา
มันคือการเอาลูกบอลลงพื้นอย่างนิ่มนวลครับ เมื่อเพื่อนสาดลูกโด่งมาให้
ก็เอาเท้ายื่นออกไป พอลูกลูกบอลกำลังจะกระทบกับเท้า ก็ผ่อนแรงลงดึงบอลลงพื้น
ทำให้เนียนนะครับ มองไกลๆมันจะเหมือกับคุณติดกาวไว้ที่ขา
ดูดบอลลงได้เนียนตาดีแท้ และท่าท่านทำได้ก็จะเรียกเสียง
ฮือฮาจากข้างสนามได้แน่นอน
วันทู : ก็คือ การทำชิ่ง 1-2 นั่นเองครับสมมุติเราเลี้ยงบอลอยู่
ไปเจอฝ่ายตรงข้ามยืนอยู่ตรงหน้าในขณะนั้นก็มีเพื่อนร่วมทีมเรายู่ทางด้าน ข้าง
ของอีตาคนั้น เราก็แตะบอลให้เพื่อน
พร้อมกับวิ่งขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อนที่รู้ใจก็จะชิ่งบอลจังหวะเดียวขึ้น
มาให้เรา(งงมั๊ย) การทำ วันทู หน้ากรอบเขตโทษ จะอันตรายมาก
คิลเลอร์ พาส (Killer Pass) : คิลเลอร์ พาส ลูกจ่ายทะลุช่องอันหน้าสะพรึงกลัว
ลูกจ่ายปลิดวิญญาณ แล้วแต่จะเรียกกันละครับ ก็คือ
การจ่ายทะลุตามพื้นที่ว่างระหว่างกองหลังที่ยืนกันเป็นแนวเดียวกัน
จ่ายทะลุขึ้นหน้า ให้กองหน้าของเราวิ่งฉีกแนวรับ
ไปรับบอลแล้วก็สามารถที่จะยิงประตูได้เลย
หลังหัก : ใช้เรียก เมื่อกองหลังโดนปีกตัวจัดๆเล่นงาน ล็อกซ้าย ล็อกขวา หลบหน้า
เลี้ยวหลัง แล้วกระชากผ่าน ทำให้กองหลังผู้นั้น เสียหลักตามไปต่อไม่ได้
พาทัวร์ : ใช้เรียก เวลาปีกตัวจัดๆ(อีกแล้ว)
กระชากหนีแบ็คผู้เคราะห์ร้ายทีต้องคอยไล่กวด ไล่ตาม
แล้วแต่พ่อปีกนักเที่ยวคนนั้นจะพาไปไม่ว่าจะมุมธง หรือสุดเส้นหลัง ฯลฯ
แบ็คเราโดนพาไปเยี่ยมชมหมดละครับ เป็นทัวร์ที่ไม่หน้าพิสมัยซักเท่าไหร่
เลาะตะเข็บ : เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบ่อย ในตำแหน่งแบ็ค และปีก
ที่ชอบเล่นฟุตบอลริมเส้นเลาะไปเรื่อย เลาะๆ อยู่นั้นแหละ แมร่งไม่เปิดสักที!
ส่วนเพื่อนๆที่ยังไม่เก็ทกับตะเข็บ ตะเข็บ ก็คือเส้นออกข้างสนามฟุตบอลนั้นเอง
มังกรกินหมี่?
น่ารัก น่าลุ้น : น่ารัก น่าลุ้น
จะเป็นคำศัพท์ติดปากจากนักพากษ์ชื่อดังท่านหนึ่งที่ผมนับถือ
และยังเป็นนักพากษ์กีฬาอันดับตันๆของเมืองไทยอีกด้วย น่ารัก น่าลุ้น คือ
ระยะการทำประตู ที่มีโอกาสได้ประตูนั้นเอง เช่น แมนฯ ยูฯ ได้ฟรีคิกระยะ 25 หลา
กลางกรอบเขตโทษ เป็นระยะที่น่าจะได้ประตูขึ้นนำ อะไรประมาณนี้
ซึ่งต้องขอขอบคุณกับคำศัพท์คำนี้ด้วยที่พี่ท่าน คิดขึ้นมา
ขุดดิน : การเตะบอลที่ไปโดน พื้นสนามแบบเต็มๆ แทนที่จะโดนบอลเ
บอลเลยไม่ค่อยไปไหน แถมยังต้องพบกับความอับอายบวกกับความเจ็บปวด อีกด้วย
จารย์ : เอาไว้เรียกผู้ตัดสินวงการบอลไทย "โห...จานๆ ตัดสินงี้ได้ไงว่ะ"
ส่วนใหญ่นักบอลไทยและสต๊าฟโค้ช จะไม่ค่อยเคารพจารย์กันเลย 55+ ส่วนจารย์นั้น
มาจาก อาจารย์ นั้นเอง เพราะส่วนผู้ตัดสินไทย จะเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์
เอกพละศึกษากัน เลยเหมารวม เป็นอาจารย์กันไปหมด
ฉีดยา : การเตะบอลโดยใช้หัวสตั๊ดจิ้มไปที่กลางลูกบอล
การเตะแบบนี้จะนิยมกันมากในฟุตซอล เพราะต้องใช้ความเร็ว
หรือการยิงในจังหวะสุดปลายเท้านั้นเอง
แซนวิส : จังหวะที่โดนเบียดจากคู่ต่อสู้ ทั้งซ้ายและขวา
ประกบติดขนาบข้างแบบไม่ให้ไปไหนได้
ดมตูด : อาการที่โดนผู้เล่นเตะบอลเลยตัวหรือกระชากผ่าน ไปแล้ว วิ่งตาม
แต่ตามยังไงก็ไม่ทัน เห็นแต่ตูด เหตุการณ์นี้จะเกิดมากกับ พวกกองหลังฝีเท้าอืด
เช่น ริโอ และ คาร์ราเกอร์ เป็นต้น
ตีรถเปล่า : อาการที่เพื่อนวิ่งขึ้นไปรอรับบอลแล้ว
แต่เพื่อนดันไม่ส่งในจังหวะที่ควรส่ง(ซะงั้น) จนหลังๆ น้ำมันรถหมด 55+
หลังหัก ดังกร๊อบบบ
ตุ๋ย : อาการที่บังบอลอยู่ แล้วมีอะไรแข็งๆ มาดุนด้านหลังจากตัวประกบ นั้นเอง
(18+)
เตะเอาถ้วย : คำพูดที่ผู้เล่นที่ต้องการมาเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ
แต่อีกทีมกลัลเล่นจริงจัง ทำฟาวล์หนักๆ เหมือนกับนัดชิง เอฟเอ คัพ
(แม่งจะเอาถ้วยไงฟ่ะ)
บ่อน้ำมัน : เป็นชื่อเรียก สำหรับจุดอ่อนในแผงหลัง จนเป็นบ่อน้ำมัน
จนเหล่ากองหน้าคู่แข่งสามารถ มาลงหลักปักฐานทำมาหากิน กันที่บ่อนี้ ได้สบายๆ
ซึ่งจะเกิดขึ้นกับกองหลังบางคนที่ชอบทำมึน ในจังหวะที่ไม่ควรเสีย
จนทำให้คู่ต่อสู้โจมตีได้แบบสบายๆ เช่น บัมเบิลและซิลแวสต์ นั้นเอง
ผีจับยัด : ลูกยิงไกล แบบตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจ ก็ไม่รู้ แต่มันเข้าประตูไป
ชนิด ตะลึงกันทั้งสนาม
องค์ลง : มักใช้กับ ตำแหน่งผู้รักษาประตู ที่โชว์ฟอร์มดีอย่างเหลือเชื่อ
ในนัดนั้น ยิงยังไงก็ไม่เข้า แม่งเซฟได้หมด เรียกได้ว่ายิงกันเหนื่อยละครับ
** ยิงเข้า 3 ลูก แฮททริก
ยิงเข้า 4 ลูก ควอดรูเปิล
ยิงเข้า 6 ลูก ดับเบิล แฮททริก
ยิงเข้า 9 ลูก ทริปเปิล แฮททริก
ยิงเข้า 12 ลูก คอร์ควอด์ แฮททริก
เพอร์เฟค แฮททริก ยิง 3 ลูกด้วยการ ยิงด้วยเท้าซ้าย เท้าขวา และการใช้หัว
ยิงอย่างละประตู
แตะลูกลอดระหว่างขาของคู่ต่อสู้นั่นเองคนที่โดน Lord Dark! จะเสีย self
อย่างรุนแรง ประหนึ่งโดน ทำทารุณทางประตูหลัง จะรู้สึกอับอายมาก ยิ่งถ้าคุณโดน
ลอดดาก ต่อหน้าสาวๆแล้วละก็ คุณอาจไม่คิดจะเตะบอลอีกเลยตลอดชีวิต 55+
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณอยู่ในสนาม พยายามระวังหว่างขาคุณให้จงหนัก
เฮ้.! ริเคลเม่ แกจ้องจะลอดดากน้องเค้าเหรอ?
ดากไหม้ : ศัพท์คำนี้ เป็นคำที่ต่อเนื่องจากลอดดาก
แต่ดากไหม้นั้นคือการโดนลอดดาก แบบต่อเนื่องและรวดเร็ว หลายครั้งในหนึ่งเกม
จนดากไหม้ ระวังให้ดีๆ นะครับเพื่อนๆ
ดากไหม้นั้นจะบ่งบอกถึงทักษะการเล่นฟุตบอลของท่านด้วยว่าอยู่ในขั้น กาก หรือ
เทพ
ส่งเฝือก : เป็นคำอุปมาอุปไมย นักพากษ์เก๋าๆมักจะใช้คำนี้
เวลาที่ผู้เล่นฝั่งเดียวกันส่งบอลให้เพื่อนช้าเกินไป คือ
มีผู้เล่นฝั่งตรงข้ามพร้อมที่จะเข้ามาอัดเพื่อนคุณอยู่แล้วคุณยังทะเล่อ
ทะล่าจ่ายให้มันอีก มันก็เจ็บฟรีสิครับ
กองหน้าผ้าเย็น : อุปมาอุปไมยอีกแล้วครับท่าน กองหน้าผ้าเย็น
เห็นฉายาแล้วกองหลังต้องขยาด แต่ขอโทษ มันคือตัวสำรองครับ
มักจะใช้กับฟุตบอลระดับตำบลลงไป เยาะเย้ยพวกที่ไม่ค่อยจะได้ลงสนาม
หากคุณถูกเรียกว่า กองหน้าผ้าเย็นจงรีบทำผลงาน โชว์โค้ชของคุณโดยด่วน
เฮ้...ไอ้น้อง ขอผ้าเย็นหน่อย
สนับตูด : เป็นอาการต่อเนื่องจาก กองหน้าผ้าเย็น นะครับ สนับตูดคือ
การนั่งรออยู่ข้างสนามเป็นเวลานานหลายเกมติดต่อกัน จนตูดด้าน
จนเพื่อนและสต๊าฟโค้ช ในทีมจะต้องแจกสนับตูดเอาไว้รองก้นของท่านไว้
กางมุ้ง : อันนี้พบเห็นได้ในฟุตบอล นัดที่ไม่มีการเชคล้ำหน้าครับ เป็นอาการที่
กองหน้าไปยืนรอทำประตูฝั่งตรงข้าม หากยืนรอเวลาทีมทำเกมส์บุกขึ้นมา
มันก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ แต่พี่เล่นยืนอยู่หน้าโกล์ รอยิงอย่างเดียว
ไม่ว่าสถานการณ์ทีมจะเป็นแบบไหน แกก็จะอยู่แต่หน้าโกล์ฝั่งนั้นแหละครับ
เปรียบได้เหมือน กางมุ้งนอนอยู่หน้าโกล์นั่นเอง
โชว์เบ : โชว์เบ ก็คือการ โชว์เบสิก หรือ ทักษะทางฟุตบอลนั่นแหละครับ
พวกเด็กสมัยโน้นเค้าเรียกกันหากคุณคลึงบอล หลบผู้เล่นสองคน พร้อมกับ Lord Dark
อีกคนเข้าไปยิงประตูแค่นี้คุณก็เรียกเสียงซี๊ดซ้าด
จากข้างสนามได้ระงมแล้วครับนักเตะที่ชอบโชว์เบ คือ โรนัลดินโญ่ และเมสซี่
นั้นเอง
เมสซี่ สมัยเกรียนๆ
เผาขน : เผาขน คือ การเปรียบเทียบความใกล้ ใกล้ซะจนสามารถจุดไฟเผาขนได้เลย
การยิงประตูก็ เช่นกัน เผาขน คือลูกยิงระยะประชิด
หน้าปากประตูแบบใกล้ซะเหลือเกิน หรือการจ่อๆ ยิงยังไงก็เข้า
ดูดบอล : ไม่ใช่เอาหลอดกาแฟมาดูดบอลนะครับ(อย่ามาตลก) ดูดบอล เป็นกริยา
มันคือการเอาลูกบอลลงพื้นอย่างนิ่มนวลครับ เมื่อเพื่อนสาดลูกโด่งมาให้
ก็เอาเท้ายื่นออกไป พอลูกลูกบอลกำลังจะกระทบกับเท้า ก็ผ่อนแรงลงดึงบอลลงพื้น
ทำให้เนียนนะครับ มองไกลๆมันจะเหมือกับคุณติดกาวไว้ที่ขา
ดูดบอลลงได้เนียนตาดีแท้ และท่าท่านทำได้ก็จะเรียกเสียง
ฮือฮาจากข้างสนามได้แน่นอน
วันทู : ก็คือ การทำชิ่ง 1-2 นั่นเองครับสมมุติเราเลี้ยงบอลอยู่
ไปเจอฝ่ายตรงข้ามยืนอยู่ตรงหน้าในขณะนั้นก็มีเพื่อนร่วมทีมเรายู่ทางด้าน ข้าง
ของอีตาคนั้น เราก็แตะบอลให้เพื่อน
พร้อมกับวิ่งขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อนที่รู้ใจก็จะชิ่งบอลจังหวะเดียวขึ้น
มาให้เรา(งงมั๊ย) การทำ วันทู หน้ากรอบเขตโทษ จะอันตรายมาก
คิลเลอร์ พาส (Killer Pass) : คิลเลอร์ พาส ลูกจ่ายทะลุช่องอันหน้าสะพรึงกลัว
ลูกจ่ายปลิดวิญญาณ แล้วแต่จะเรียกกันละครับ ก็คือ
การจ่ายทะลุตามพื้นที่ว่างระหว่างกองหลังที่ยืนกันเป็นแนวเดียวกัน
จ่ายทะลุขึ้นหน้า ให้กองหน้าของเราวิ่งฉีกแนวรับ
ไปรับบอลแล้วก็สามารถที่จะยิงประตูได้เลย
หลังหัก : ใช้เรียก เมื่อกองหลังโดนปีกตัวจัดๆเล่นงาน ล็อกซ้าย ล็อกขวา หลบหน้า
เลี้ยวหลัง แล้วกระชากผ่าน ทำให้กองหลังผู้นั้น เสียหลักตามไปต่อไม่ได้
พาทัวร์ : ใช้เรียก เวลาปีกตัวจัดๆ(อีกแล้ว)
กระชากหนีแบ็คผู้เคราะห์ร้ายทีต้องคอยไล่กวด ไล่ตาม
แล้วแต่พ่อปีกนักเที่ยวคนนั้นจะพาไปไม่ว่าจะมุมธง หรือสุดเส้นหลัง ฯลฯ
แบ็คเราโดนพาไปเยี่ยมชมหมดละครับ เป็นทัวร์ที่ไม่หน้าพิสมัยซักเท่าไหร่
เลาะตะเข็บ : เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบ่อย ในตำแหน่งแบ็ค และปีก
ที่ชอบเล่นฟุตบอลริมเส้นเลาะไปเรื่อย เลาะๆ อยู่นั้นแหละ แมร่งไม่เปิดสักที!
ส่วนเพื่อนๆที่ยังไม่เก็ทกับตะเข็บ ตะเข็บ ก็คือเส้นออกข้างสนามฟุตบอลนั้นเอง
มังกรกินหมี่?
น่ารัก น่าลุ้น : น่ารัก น่าลุ้น
จะเป็นคำศัพท์ติดปากจากนักพากษ์ชื่อดังท่านหนึ่งที่ผมนับถือ
และยังเป็นนักพากษ์กีฬาอันดับตันๆของเมืองไทยอีกด้วย น่ารัก น่าลุ้น คือ
ระยะการทำประตู ที่มีโอกาสได้ประตูนั้นเอง เช่น แมนฯ ยูฯ ได้ฟรีคิกระยะ 25 หลา
กลางกรอบเขตโทษ เป็นระยะที่น่าจะได้ประตูขึ้นนำ อะไรประมาณนี้
ซึ่งต้องขอขอบคุณกับคำศัพท์คำนี้ด้วยที่พี่ท่าน คิดขึ้นมา
ขุดดิน : การเตะบอลที่ไปโดน พื้นสนามแบบเต็มๆ แทนที่จะโดนบอลเ
บอลเลยไม่ค่อยไปไหน แถมยังต้องพบกับความอับอายบวกกับความเจ็บปวด อีกด้วย
จารย์ : เอาไว้เรียกผู้ตัดสินวงการบอลไทย "โห...จานๆ ตัดสินงี้ได้ไงว่ะ"
ส่วนใหญ่นักบอลไทยและสต๊าฟโค้ช จะไม่ค่อยเคารพจารย์กันเลย 55+ ส่วนจารย์นั้น
มาจาก อาจารย์ นั้นเอง เพราะส่วนผู้ตัดสินไทย จะเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์
เอกพละศึกษากัน เลยเหมารวม เป็นอาจารย์กันไปหมด
ฉีดยา : การเตะบอลโดยใช้หัวสตั๊ดจิ้มไปที่กลางลูกบอล
การเตะแบบนี้จะนิยมกันมากในฟุตซอล เพราะต้องใช้ความเร็ว
หรือการยิงในจังหวะสุดปลายเท้านั้นเอง
แซนวิส : จังหวะที่โดนเบียดจากคู่ต่อสู้ ทั้งซ้ายและขวา
ประกบติดขนาบข้างแบบไม่ให้ไปไหนได้
ดมตูด : อาการที่โดนผู้เล่นเตะบอลเลยตัวหรือกระชากผ่าน ไปแล้ว วิ่งตาม
แต่ตามยังไงก็ไม่ทัน เห็นแต่ตูด เหตุการณ์นี้จะเกิดมากกับ พวกกองหลังฝีเท้าอืด
เช่น ริโอ และ คาร์ราเกอร์ เป็นต้น
ตีรถเปล่า : อาการที่เพื่อนวิ่งขึ้นไปรอรับบอลแล้ว
แต่เพื่อนดันไม่ส่งในจังหวะที่ควรส่ง(ซะงั้น) จนหลังๆ น้ำมันรถหมด 55+
หลังหัก ดังกร๊อบบบ
ตุ๋ย : อาการที่บังบอลอยู่ แล้วมีอะไรแข็งๆ มาดุนด้านหลังจากตัวประกบ นั้นเอง
(18+)
เตะเอาถ้วย : คำพูดที่ผู้เล่นที่ต้องการมาเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ
แต่อีกทีมกลัลเล่นจริงจัง ทำฟาวล์หนักๆ เหมือนกับนัดชิง เอฟเอ คัพ
(แม่งจะเอาถ้วยไงฟ่ะ)
บ่อน้ำมัน : เป็นชื่อเรียก สำหรับจุดอ่อนในแผงหลัง จนเป็นบ่อน้ำมัน
จนเหล่ากองหน้าคู่แข่งสามารถ มาลงหลักปักฐานทำมาหากิน กันที่บ่อนี้ ได้สบายๆ
ซึ่งจะเกิดขึ้นกับกองหลังบางคนที่ชอบทำมึน ในจังหวะที่ไม่ควรเสีย
จนทำให้คู่ต่อสู้โจมตีได้แบบสบายๆ เช่น บัมเบิลและซิลแวสต์ นั้นเอง
ผีจับยัด : ลูกยิงไกล แบบตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจ ก็ไม่รู้ แต่มันเข้าประตูไป
ชนิด ตะลึงกันทั้งสนาม
องค์ลง : มักใช้กับ ตำแหน่งผู้รักษาประตู ที่โชว์ฟอร์มดีอย่างเหลือเชื่อ
ในนัดนั้น ยิงยังไงก็ไม่เข้า แม่งเซฟได้หมด เรียกได้ว่ายิงกันเหนื่อยละครับ
** ยิงเข้า 3 ลูก แฮททริก
ยิงเข้า 4 ลูก ควอดรูเปิล
ยิงเข้า 6 ลูก ดับเบิล แฮททริก
ยิงเข้า 9 ลูก ทริปเปิล แฮททริก
ยิงเข้า 12 ลูก คอร์ควอด์ แฮททริก
เพอร์เฟค แฮททริก ยิง 3 ลูกด้วยการ ยิงด้วยเท้าซ้าย เท้าขวา และการใช้หัว
ยิงอย่างละประตู
10 เม.ย. 2554
พวกชอบพิมพ์เร็ว ๆ อ่านทางนี้
"เห็นผู้ชายที่ชอบนั่งไข่ห่างแล้วรู้สึกยังไงคะ"
"ลูกชายผมสองขวบมีไข่สูงมากให้กินพาราได้ไหม ขอคำตอบด่วนครับ"
"แฟนเป็นคนเสียวดังมากครับ ผมอายคนอื่นเค้า ผมจะเตือนเธอยังไงดีครับ"
"กลุ้มใจจัง แฟนเราเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยจะอมใครง่าย ๆ"
"มีพี่ที่ทำงานคนนึงเพิ่งเข้ามาทำงาน
เธอเป็นลูกน้องผมแต่อายุแก่กว่าผมมากผมจะสอยเธอยังไงดีครับถึงจะไม่น่าเกลียด"
"สามีมีปัญหาในการนอนค่ะเค้าชอบนอนหนุนหมอยนิ่ม ๆ ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ
พอจะรู้จักยี่ห้อดี ๆ มั้ยคะ "
"ถ้าง่วงก็ลองเคี้ยวหมาฝรั่งดูสิคะเผื่อจะหาย"
"ถ้าพิจารณาความเสี่ยวแล้วคาดว่าคุ้มถ้าลงทุนต่อไป"
"เดือนหน้าดิฉันจะมีเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย
เค้าชอบช้างมากค่ะช่วยแนะนำทัวร์ที่มีโปรแกรมขี้ช้างให้หน่อยได้มั้ยคะ"
"เจอรูแฟนเก่าในโทรศัพท์มือถือแฟน หมายความว่ายังงัย"
"อยากไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง ที่ปิดไฟมืด ๆ แล้วฉายภาพดาวน่ะค่ะ
ไม่ทราบว่าเข้าชมฟรีรึต้องเสียตัวด้วยรึป่าวคะ"
"ข่าวดีค่ะปลื้มใจอยากบอก ไปขยายรูแต่งงานมาแล้ว ออกมาสวยมาก
ๆขนาดแฟนเป็นคนไม่ค่อยพูด
ยังออกปากชม ไม่รู้มาก่อนว่าดีแบบนี้ เพื่อน ไปขยายที่ไหนกับบ้างคะ"
"พี่ ๆ ครับ
ผมจะไปสอบใบขับขี่พรุ่งนี้แต่ผมยังไม่ชำนาญเรื่องการถอยรถเข้าซ่องเลย
ใครพอแนะนำเทคนิคได้บ้างครับ"
"อาจารย์คะ ปีนี้ข้อสอบวิทย์จะเน้นอกเรื่องอะไรคะหนูจะได้เตรียมตัวมาแต่เนิ่น
ๆ"
"ถามเลขาค่ะ พานายฝรั่งไปไหนดีไม่ชอบซิสเลอร์เลย วันก่อนไปกินกับนายฝรั่งหลายคน
สั่งไส้กรอกรวมกินกันแล้วปรากฏว่าบรรยากาศเงียนมาก ๆ"
"ผมมีปัญหากับแฟนใหม่ของเธอครับ ไม่น่าคิดมากเลย
แค่โทรเรียกเธอมาเจอเพราะอยากเลียร์ให้มันสบายใจทั้งสองฝ่าย"
"ขอถามหน่อยค่ะ ใบพลูเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ที่ไหนคุณยายข้างบ้านกินแต่หมาเปล่า ๆ
มานานแล้ว บอกว่าเคี้ยวไม่อร่อย"
"หนูแอบชอบเค้าอยู่ ทำไงหนูถึงจะได้รูถ่ายของเค้าคะ"
"แถวสี่พระยามีร้านอัดรูดี ๆ มั้ยครับ อ้อ แล้วรูขนาด 4" x 6"
นี่จะเล็กไปมั้ยครับ"
"จะไปเชียงใหม่ค่ะหนุ่มคนเมืองที่ไหนพอแนะนำได้บ้างคะ
อยากถามว่าขนมจีนน้ำเจี๊ยวที่ไหนอร่อยบ้าง"
"ลูกชายผมสองขวบมีไข่สูงมากให้กินพาราได้ไหม ขอคำตอบด่วนครับ"
"แฟนเป็นคนเสียวดังมากครับ ผมอายคนอื่นเค้า ผมจะเตือนเธอยังไงดีครับ"
"กลุ้มใจจัง แฟนเราเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยจะอมใครง่าย ๆ"
"มีพี่ที่ทำงานคนนึงเพิ่งเข้ามาทำงาน
เธอเป็นลูกน้องผมแต่อายุแก่กว่าผมมากผมจะสอยเธอยังไงดีครับถึงจะไม่น่าเกลียด"
"สามีมีปัญหาในการนอนค่ะเค้าชอบนอนหนุนหมอยนิ่ม ๆ ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ
พอจะรู้จักยี่ห้อดี ๆ มั้ยคะ "
"ถ้าง่วงก็ลองเคี้ยวหมาฝรั่งดูสิคะเผื่อจะหาย"
"ถ้าพิจารณาความเสี่ยวแล้วคาดว่าคุ้มถ้าลงทุนต่อไป"
"เดือนหน้าดิฉันจะมีเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย
เค้าชอบช้างมากค่ะช่วยแนะนำทัวร์ที่มีโปรแกรมขี้ช้างให้หน่อยได้มั้ยคะ"
"เจอรูแฟนเก่าในโทรศัพท์มือถือแฟน หมายความว่ายังงัย"
"อยากไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง ที่ปิดไฟมืด ๆ แล้วฉายภาพดาวน่ะค่ะ
ไม่ทราบว่าเข้าชมฟรีรึต้องเสียตัวด้วยรึป่าวคะ"
"ข่าวดีค่ะปลื้มใจอยากบอก ไปขยายรูแต่งงานมาแล้ว ออกมาสวยมาก
ๆขนาดแฟนเป็นคนไม่ค่อยพูด
ยังออกปากชม ไม่รู้มาก่อนว่าดีแบบนี้ เพื่อน ไปขยายที่ไหนกับบ้างคะ"
"พี่ ๆ ครับ
ผมจะไปสอบใบขับขี่พรุ่งนี้แต่ผมยังไม่ชำนาญเรื่องการถอยรถเข้าซ่องเลย
ใครพอแนะนำเทคนิคได้บ้างครับ"
"อาจารย์คะ ปีนี้ข้อสอบวิทย์จะเน้นอกเรื่องอะไรคะหนูจะได้เตรียมตัวมาแต่เนิ่น
ๆ"
"ถามเลขาค่ะ พานายฝรั่งไปไหนดีไม่ชอบซิสเลอร์เลย วันก่อนไปกินกับนายฝรั่งหลายคน
สั่งไส้กรอกรวมกินกันแล้วปรากฏว่าบรรยากาศเงียนมาก ๆ"
"ผมมีปัญหากับแฟนใหม่ของเธอครับ ไม่น่าคิดมากเลย
แค่โทรเรียกเธอมาเจอเพราะอยากเลียร์ให้มันสบายใจทั้งสองฝ่าย"
"ขอถามหน่อยค่ะ ใบพลูเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ที่ไหนคุณยายข้างบ้านกินแต่หมาเปล่า ๆ
มานานแล้ว บอกว่าเคี้ยวไม่อร่อย"
"หนูแอบชอบเค้าอยู่ ทำไงหนูถึงจะได้รูถ่ายของเค้าคะ"
"แถวสี่พระยามีร้านอัดรูดี ๆ มั้ยครับ อ้อ แล้วรูขนาด 4" x 6"
นี่จะเล็กไปมั้ยครับ"
"จะไปเชียงใหม่ค่ะหนุ่มคนเมืองที่ไหนพอแนะนำได้บ้างคะ
อยากถามว่าขนมจีนน้ำเจี๊ยวที่ไหนอร่อยบ้าง"
น่าอ่านนะคะ_สรุปคำบรรยายจากแพทย์แผนจีน
*“เมื่อชีวิตสุขสบาย ต้องไม่ไป (ตาย) ก่อน 99”*
ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา
ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า
อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี ต่ำสุด 120 ปี
ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7
เท่าของระยะเจริญเติบโต
คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว
แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่
จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพดีมาจากไหน?
มาจาก*พื้นฐาน
**4 ประการในชีวิตประจำวัน*
ประการแรก คือภาวะจิตที่สงบสุข
ประการที่สอง คือรับโภชนาการที่สมดุล
ประการที่สามคือออกกำลังกายพอเหมาะ
ประการที่สี่คือนอนหลับเพียงพอ โดยปรกติแล้ว
ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ
ดั่งที่โบราณท่านว่า *“อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี”*
พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ
สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่พูดถึง*
ภาวะจิตใจเป็นประการแรก* แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว
เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ กล่าวคือ
ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม
มองในแง่สรีระ คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด
และไตยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า
หัวใจวาย
ตับวาย ไตวาย เป็นต้น
ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก
แต่เลือดฟอกมาจากตับ
แสดงว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธิ์
ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก
ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับด้วย เพราะฉะนั้น
โปรด*จำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกาย**
*เท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน “หัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา
หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา”
ทีนี้มาพูด*เรื่องโภชนาการ* อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง
ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดวา “ดุลยภาพแห่งโภชนาการ”หมายความว่า
ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา WHO เตือนเราว่า
คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ (1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม (2) กินอาหารไม่สมดุล
หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน
สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค
อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร? คำตอบคือ
(1) เพื่อดำรงชีพ
(2) เพื่อป้องกันโรค
(3) เพื่อรักษาโรค บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้
ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน
แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5
ขั้นตอน
ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน
ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 4 ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 5 ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา
เป็นยาย่อมมีพิษ *คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี
ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด*
Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า
“จงกินอาหารให้เป็นยา
อย่ากินยาเป็นอาหาร”
จีนโบราณก็มีคำกล่าวว่า“ใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายา”แต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด
เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ *กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่**?*
เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน
แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็เหมือนกับคน
มีรสนิยมแตกต่างกัน
· ตับชอบกินสีเขียว
· หัวใจชอบกินสีแดง
· ม้ามชอบกินสีเหลือง
· ปอดชอบกินสีขาว
· ไตชอบกินสีดำ
คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด
แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ
ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5
บนใบหน้านั่นเอง
ตัวอย่างเช่น
· ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
· หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง
· ม้ามมีปัญหา สีหน้าจะออกเหลือง
· คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว
· คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ
ดังที่กล่าวแล้ว
· *ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ* เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย
แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง
วิธีที่ถูกคือ*ต้มให้น้ำเดือดประมารณ **5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด
รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด
ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด* จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร
· หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง
· ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง
· ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว
· ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ
ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า“คนเรากินถั่วทั้ง 5
จะสมบูรณ์พูนสุข” โภชนาการแผนจีนก็เน้นว่า“กินไม่พ้นถั่ว”ขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ
ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา
สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง *สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต
เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง **5 แล้ว
ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่*
ต่อไปจะพูดถึง*รสชาติ *
· เปรี้ยวบำรุงตับ
· ขมบำรุงหัวใจ
· หวานบำรุงม้าม
· เผ็ดบำรุงปอด
· เค็มบำรุงไต
หมายความว่า *ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล* เช่น
รสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก
ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู
รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า
ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ
นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน
ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้
แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า
ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น
*กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ**?*
ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้ “สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจ”หมายความว่า
กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม
สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า
แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี
เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า *
ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า*
*สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง** *
เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง
ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย
สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม
*ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ **3000 มก.* *ขึ้นไป **ผู้ชายกินวันละ
**4000 มก. ขึ้นไป
*พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด
คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ
ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น
ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว ดังนั้น *ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม
ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก*
ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน *“อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี
อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม”* อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา
เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น
ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้ *“หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา
โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า
การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา”** *หมายความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง
ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน
กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด *การรักษาต้องต่อเนื่อง
ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด* หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับปลา 3 วัน
แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
ท้ายที่สุด ผมขอแนะนำดังนี้
1. หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร
เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
2. เขียนข้อความ “ก่อนถึงเก้าสิบเก้า
ห้ามเข้า(โลง)เด็ดขาด”ติดไว้หน้าเตียง
เพื่อเตือนตัวเองกินให้ถูกวิธี
ก่อนลาจาก ขอให้เราทุกคนตะโกน “ยืนหยัดไม่ไป (ตาย) ก่อนอายุ 99”
ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา
ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า
อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี ต่ำสุด 120 ปี
ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7
เท่าของระยะเจริญเติบโต
คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว
แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่
จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพดีมาจากไหน?
มาจาก*พื้นฐาน
**4 ประการในชีวิตประจำวัน*
ประการแรก คือภาวะจิตที่สงบสุข
ประการที่สอง คือรับโภชนาการที่สมดุล
ประการที่สามคือออกกำลังกายพอเหมาะ
ประการที่สี่คือนอนหลับเพียงพอ โดยปรกติแล้ว
ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ
ดั่งที่โบราณท่านว่า *“อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี”*
พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ
สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่พูดถึง*
ภาวะจิตใจเป็นประการแรก* แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว
เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ กล่าวคือ
ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม
มองในแง่สรีระ คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด
และไตยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า
หัวใจวาย
ตับวาย ไตวาย เป็นต้น
ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก
แต่เลือดฟอกมาจากตับ
แสดงว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธิ์
ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก
ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับด้วย เพราะฉะนั้น
โปรด*จำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกาย**
*เท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน “หัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา
หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา”
ทีนี้มาพูด*เรื่องโภชนาการ* อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง
ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดวา “ดุลยภาพแห่งโภชนาการ”หมายความว่า
ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา WHO เตือนเราว่า
คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ (1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม (2) กินอาหารไม่สมดุล
หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน
สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค
อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร? คำตอบคือ
(1) เพื่อดำรงชีพ
(2) เพื่อป้องกันโรค
(3) เพื่อรักษาโรค บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้
ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน
แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5
ขั้นตอน
ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน
ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 4 ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 5 ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา
เป็นยาย่อมมีพิษ *คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี
ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด*
Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า
“จงกินอาหารให้เป็นยา
อย่ากินยาเป็นอาหาร”
จีนโบราณก็มีคำกล่าวว่า“ใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายา”แต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด
เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ *กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่**?*
เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน
แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็เหมือนกับคน
มีรสนิยมแตกต่างกัน
· ตับชอบกินสีเขียว
· หัวใจชอบกินสีแดง
· ม้ามชอบกินสีเหลือง
· ปอดชอบกินสีขาว
· ไตชอบกินสีดำ
คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด
แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ
ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5
บนใบหน้านั่นเอง
ตัวอย่างเช่น
· ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
· หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง
· ม้ามมีปัญหา สีหน้าจะออกเหลือง
· คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว
· คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ
ดังที่กล่าวแล้ว
· *ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ* เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย
แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง
วิธีที่ถูกคือ*ต้มให้น้ำเดือดประมารณ **5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด
รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด
ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด* จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร
· หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง
· ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง
· ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว
· ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ
ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า“คนเรากินถั่วทั้ง 5
จะสมบูรณ์พูนสุข” โภชนาการแผนจีนก็เน้นว่า“กินไม่พ้นถั่ว”ขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ
ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา
สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง *สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต
เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง **5 แล้ว
ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่*
ต่อไปจะพูดถึง*รสชาติ *
· เปรี้ยวบำรุงตับ
· ขมบำรุงหัวใจ
· หวานบำรุงม้าม
· เผ็ดบำรุงปอด
· เค็มบำรุงไต
หมายความว่า *ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล* เช่น
รสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก
ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู
รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า
ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ
นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน
ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้
แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า
ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น
*กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ**?*
ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้ “สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจ”หมายความว่า
กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม
สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า
แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี
เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า *
ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า*
*สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง** *
เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง
ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย
สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม
*ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ **3000 มก.* *ขึ้นไป **ผู้ชายกินวันละ
**4000 มก. ขึ้นไป
*พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด
คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ
ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น
ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว ดังนั้น *ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม
ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก*
ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน *“อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี
อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม”* อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา
เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น
ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้ *“หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา
โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า
การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา”** *หมายความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง
ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน
กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด *การรักษาต้องต่อเนื่อง
ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด* หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับปลา 3 วัน
แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
ท้ายที่สุด ผมขอแนะนำดังนี้
1. หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร
เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
2. เขียนข้อความ “ก่อนถึงเก้าสิบเก้า
ห้ามเข้า(โลง)เด็ดขาด”ติดไว้หน้าเตียง
เพื่อเตือนตัวเองกินให้ถูกวิธี
ก่อนลาจาก ขอให้เราทุกคนตะโกน “ยืนหยัดไม่ไป (ตาย) ก่อนอายุ 99”
9 เม.ย. 2554
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Exttract)
ปัจจุบันเรารู้จักกันในชื่อ Oligomeric Proanthocyanidin Complexes (OPC)
หรือ Procyanidolic Oligomers (PCOs)
หรือเรียกสั้นๆว่า OPC เป็นสารที่พบได้ในผักผลไม้เปลือกแข็ง เมล็ด,
ดอกและเปลือกของผลไม้หลายชนิด เช่น องุ่น บลูเบอรี่ พลัม แปะก๊วย และเปลือกสนฝรั่งเศส (สนมาริไทม์)
แหล่งที่สำคัญคือ เมล็ดองุ่น
สารออกฤทธิ์
Oligomeric Proanthocyanidin Complexes - OPC
เป็นสารออกฤทธิ์ในกลุ่ม Bioflavonoids
เป็นสารที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง (Super Antioxidation)
เเละยังเสริมฤทธิ์การทำงานของวิตามิน C เเละวิตามิน E
ช่วยป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา
รวมทั้งปัจจัยภายนอกต่างๆ อันเป็น สาเหตุของความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
สารกลุ่มนี้ ถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหาร และลำไล้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วภายใน 20-30 นาที
จากนั้นจึงกระจายไปสู่อวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ และยังคงอยู่ภายในร่างกายได้นาน (half life 7 ชม.)
และยังสามารถรวมตัวได้ดีกับคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง หลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ จึงทำให้เซลผิวหนังแข็งแรง ไม่เหี่ยวย่น
หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี ไม่เปราะหรือแตกง่าย
นอกจากนี้สามารถผ่านแนวกั้นสมอง (blood brain barrier) ได้
จึงป้องกันสมองมิให้เสียหายจากอนุมูลอิสระ คุณสมบัติเด่นนี้ทำให้ OPC เป็น antioxidant ที่ต่างจากชนิดอื่น ๆ
ประโยชน์ของ OPC
1. ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ในสัตว์ทดลอง
ป้องกันโรคหลอดเลือดอักเสบอุดตันได้ (atherosclerosis) จากการไปต้าน Oxidative stress ต่อ LDL
OPC ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มากระทำต่อ LDL เป็นการช่วยจะยับยั้งการเกาะตัวของโคเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด
เป็นการป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดี ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและสมอง
2. ช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ไม่เปราะหรือแตกหักง่าย เนื่องจาก OPCสามารถรวมตัวกับคอลลาเจนของผนังหลอดเลือดได้ดี
จึงป้องกันอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายเซลล์ผนังหลอดเลือด ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดหรือโป่งพองได้ ทั้งที่หัวใจและสมอง
ต้านเส้นเลือดเปราะ เลือดออกง่าย เส้นเลือดขอด ไม่ว่าที่น่อง เส้นเลือดขอดที่ขา ริดสีดวงทวาร
พบว่า OPC มีประสิทธิภาพสูงกว่าฟลาโวนอยด์ที่จดทะเบียนเป็นยา และดีต่อโรคหลอดเลือดดำอักเสบ เหนือกว่าสมุนไพรที่ชื่อ Norse chesnat
ลด เลือดจับตัวเป็นก้อน (venous thombosis) จากการนั่งอยู่กับที่นานๆ พบว่า OPC ขนาด 100 มก.
หรือลดการจับตัวของเกล็ดเลือด เทียบเท่า Aspirin 500มก.จึงไม่ควรรับ OPC ร่วมกับยาลดการเกาะตัวของ เกล็ดเลือดอื่นๆ เช่น วาฟาร์ลิน เฮฟฟาริน แอสไพริน
3. ลดอักเสบ (Anti-Inflammation) OPC ไปยับยั้งการทำงานของ enz.กลุ่มที่ย่อยโปรตีน (Protease)
ย่อย collagen (collagenase) ทำให้ PGE2 ไม่ถูกสังเคราะห์ขึ้นคือ สารก่ออักเสบที่ n6 สร้างขึ้น)
เมื่อไม่เกิด PGE2 จึงทุเลาอาการปวดอักเสบต่างๆ เช่น ปวดกล้ามเนื้อและเส้นใย (fibromyalgia) ปวดข้อ (arthritis)
และโรคผิวหนังพุพอง (eczema) เป็นต้น ต้านการอักเสบ OPC จะยับยั้งการสังเคราะห์
และการปล่อยสารที่จะทำให้เกิดการอักเสบ ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันของข้อต่างๆ ทำงานได้ดี ลดอาการข้อกระดูกอักเสบ โรคเนื้อเยื่อแข็ง (PGE2
อาการแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น ปลายประสาทอักเสบ ขาชา ตาเสื่อม ตาบอด ต้อกระจก
4. ลดอาการภูมิแพ้ OPC มีคุณสมบัติในการต้านสารฮีสตามีน จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด
เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ไม่แตกเปราะ เนื้อเยื่อแข็งแรง ปกป้อง mast cell มิให้ถูกโจมตี เมื่อไม่ถูกรบกวนก็
ไม่หลั่ง histamine มาก ไม่เกิดอาการภูมิแพ้
OPC ดีกว่ากินยาแก้แพ้ (Antihistamine) เพราะไม่ง่วง ไม่เกิดซึมเศร้า หรือนมโตในผู้ชาย อันเป็นผลข้างเคียงของ Antihistamine
5. ป้องกันสมองเสื่อม OPC สามารถผ่านแนวกั้นสมองได้ จึงป้องกันสมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
6. ป้องกันการเสื่อมของดวงตา ต้อกระจก ตาเสื่อมจากเบาหวานช่วยให้สายตาปรับการมองเห็นในที่มืดได้ดี ปกป้องอาการตาเสื่อมจากเบาหวาน
7. ป้องกันมะเร็ง OPC ป้องกันมิให้อนุมูลอิสระไปทำความเสียหายต่อ DNA ของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
OPC กีดขวางการเกิดมะเร็ง จากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และสนับสนุนการทำงานของวิตามิน C และ E
8. ป้องกันผิวหนังเหี่ยวแก่ และช่วยให้เส้นผมแข็งแรงจากต้านอนุมูลอิสระของ OPC
มี นักวิจัยชื่อ Takahashi พบว่า OPC กระต้นเส้นผมในหนูทดลองให้งอก
จากคุณสมบัติ ช่วยหยุดการทำงานของฮอร์โมนลักษณะเพศชาย (Dihy drotestosterone – DHT)
ซึ่งถ้า DHT มากไปจะไปยับยั้งการเกิดตุ่มเส้นผม จึงทำให้ขนหรือผมร่วง ในด้านการป้องกันริ้วรอย
ฝ้า กระ OPC ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายคอลลาเจน และอิลาสตินในผิวหนัง
อันเป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ เกิดริ้วรอยก่อนวัย คงสภาพของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue)
ข้อควรระวัง
1. งดใช้ร่วมกับยาที่ทำให้เลือดบาง เกล็ดเลือดจับตัวช้า เช่น Warfarin, Heparin,Aspirin
2. อาจทำให้ยาปฏิชีวนะ tetracyclin ใช้ไม่ได้ผล
3. งดบริโภคก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด เพราะเลือดอาจออกง่าย
ขนาดรับประทาน 50 - 100 มิลลิกรัมต่อวัน
สารพัดไข่...กับภาษาอังกฤษ
“ABF” หลายคนอาจจะเห็นคำนี้บ่อยๆเวลาลงมารับประทานอาหารเช้าในโรงแรม คำๆนี้นั้นย่อมากจาก American Breakfast หรือ อาหารเช้าแบบอเมริกัน โดยอาหารเช้าแบบนี้นั้นถือเป็นอาหารเช้ามาตรฐานที่เกือบทุกโรงแรมพึงมี โดย พระเอกของ American Breakfast นั้นต้องยกให้เจ้าไข่ทั้งหลาย โดยโรงแรมที่อยู่ในระดับมาตรฐานทั้งหลาย มักจะมี Egg Station เอาไว้สำหรับทอดไข่กันแบบตามสั่งกัน นี่แหละเป็นที่มาของปัญหาที่หลายคนคงเคยเจอมาแล้วว่า จะสั่งไข่ดาวแบบที่ตัวเองชอบเป็นภาษาอังกฤษกับ Chef ยังไง วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า ไข่ นั้นสามารถทำออกมาเป็นอะไรได้บ้าง
fried egg (ไข่ดาว)
Fried Egg - "ไข่ดาว" - มีหลายแบบด้วยกัน ซึ่งแบ่งตามความสุกของไข่แดง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น
1. Sunny up หรือ Sunny side up ทอดเพียงด้านเดียว (ไม่กลับด้าน)
2. Over easy / Runny / Dippy ทอดทั้งสองด้าน แบบไข่แดงไม่สุก
3. Over medium ทอดทั้งสองด้าน แบบไข่แดงสุกปานกลาง
4. Over hard / well หรือ hard ทอดทั้งสองด้าน แบบไข่แดงสุกมาก
Boiled Egg - "ไข่ต้ม" - มีอยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ
1. Hard-boiled egg - ไข่ต้มสุก
2. Medium-boiled egg - ไข่ต้มสุกพอประมาณ
3. Soft-boiled egg - ไข่ลวก
omelette (ไข่เจียว)
Omelet หรือ Omelette - “ไข่เจียว”
สำหรับ Omelet นั้น จะมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนไข่เจียวแบบไทยๆ (Thai Omelette) โดยจะออกแนวๆไข่เจียวม้วนเสียมากกว่า โดยอาจจะใส่เครื่องควบคู่ไปด้วย เช่น แฮม (Ham) เบคอน (Bacon) หัวหอม (Onion) มะเขือเทศ (Tomato) หรือ พริกหยวก (Red / Green Pepper)
scrambled egg (ไข่คน)
Scrambled egg – “ไข่คน”
ไข่คนนั้นจะทำโดยการผัดไข่ที่ผสม เครื่องปรุงไว้แล้ว จนกึ่งสุกกึ่งดิบแล้วนำขึ้นจากกระทะ โดยไข่คนนั้นจะมีส่วนผสมที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่คือ นม เกลือ เนย และ พริกไทย
Poached egg – “ไข่ดาวน้ำ”
ไข่ดาวน้ำนั้นทำโดยการ ต้มไข่กับน้ำและน้ำส้มสายชู โดยไม่ใช้น้ำมันไม่แต่นิดเดียว
Egg Benedict – “ไข่เบเนดิกต์”
ไข่เบเนดิกต์ ทำโดยการนำแฮม หรือ โบโลญญ่า (Bologna) กับ ไข่ดาวน้ำ (Poached Egg) มาวางบนขนมปังครึ่งซีก เช่น English muffin หรือ Bagel แล้วราดด้วยซอส Hollandaise
frittata (ไข่เจียวสเปน)
Frittata – “ไข่เจียวสเปน”
ไข่เจียวสเปน หรือ เรียกง่ายๆได้ว่า “ไข่เจียวพิซซ่า” นั่นเอง ส่วนผสมของ ไข่เจียวชนิดนี้ มักจะประกอบด้วย พริกหยวก เห็ด หัวหอม และ ผักโขม เป็นต้น
ตัวอย่างบทสนทนา
How would you like your eggs?
I would like to have them hard-boiled for five minutes.
How would you like the eggs done?
I would like the eggs 'sunny side up'.
กิน 'โฮลวีท' ทดแทนอาหารเช้าได้ประโยชน์เกินคาด
ช่วงเช้าเป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่ใครๆหลายคนต้องรีบออกไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ จนไม่มีเวลาให้กับการรับประทานอาหารเช้า ทราบหรือไม่ว่า การละเลยไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำนั้นจะทำให้เกิดผลเสียต่อ ร่างกายอย่างไรบ้าง...
ภัทรพร ลูกน้ำเพชร นักกำหนดอาหารประจำโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล พหลโยธิน ให้ความรู้ว่า อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะทุกวันที่เราตื่นนอนขึ้นมาร่างกายต้องใช้พลังงานเพื่อประกอบกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งวัน เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานไปมื้อเย็นได้หมดไปขณะนอนหลับแล้ว ดังนั้นในตอนเช้าหากเราไม่รับประทานอาหารจะทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารและเป็นโรคกระเพาะได้ รวมทั้งขาดพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ส่งผลให้การทำงาน และการเรียนมีประสิทธิภาพที่แย่ลง
การรับประทานอาหารมื้อเช้าไม่จำเป็นต้องทานอาหารหนัก แต่ทานให้ครบ 5 หมู่ ด้วยระบบการทำงานของร่างกายมี 12 ระบบ แต่ละระบบจะทำงานต่อเนื่องกัน ส่วนระบบ ย่อยอาหารจะทำงานในช่วงเวลาประมาณ 07.00-09.00 น. โดยร่างกายจะนำ พลังงานจากอาหารเช้าที่เรารับประทานเข้าไปมาใช้ซึ่งจะดีกว่าการดึงพลังงานที่สะสมไว้ในตับมาใช้ แต่ด้วยการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบในช่วงเช้าของครอบครัวปัจจุบันจึงไม่มีเวลา หุงหาอาหาร จึงแนะนำอาหารประเภท ซีเรียล โฮลวีท เช่น ข้าวสาลี ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลฯ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเลือกรับประทานอาหารเช้า ที่หารับประทานง่ายควบคู่กับนม 1 กล่อง
เนื่องจาก "ธัญพืชโฮลวีท" ผ่านกระบวนการผลิตที่ขัดสีน้อยมีเยื่อหุ้มเมล็ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งมีเส้นใยอาหารสูงช่วยป้องกันโรคท้องผูกทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานได้อีกด้วย เพราะโฮลวีทมีไฟเบอร์สูงทำจากข้าวสาลีอบแห้ง มีโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูง จึงช่วยในการบำรุงหัวใจ และมีโซเดียมน้อยจึงช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูง ที่สำคัญสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานยังช่วยลดและรักษาระดับน้ำตาลได้โดยการชะลอ ดูดซึมคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่กระแสเลือด
อย่างไรก็ตามการรับประทานซีเรียล ที่ทำมาจากโฮลวีทเป็นอาหารเช้าที่ทำให้ร่างกายย่อยอาหารอย่างช้าๆ และค่อยๆ ปลดปล่อยพลังงานออกมา ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานต่อเนื่องจนถึงมื้อกลางวัน ทำให้มีสมาธิในการทำงานและเรียนอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการทานโฮลวีทสามารถรับประทานได้ทุกมื้อและเหมาะกับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรทานควบคู่กับนมพร่องมันเนยหรือนมขาดมันเนย โฮลวีทเป็นพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะค่อยๆ ย่อยเป็นพลังงานออกมาทำให้อยู่ท้องได้นาน กว่าและช่วยลดการทานอาหารจุกจิกระหว่างวัน
อาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น หนึ่งในวิถีธรรมชาติบำบัด
อาหารฤทธิ์ร้อน-เย็นนี้ คือหนึ่งในวิถีธรรมชาติบำบัด ที่เชื่อว่าอาหารแต่ละอย่างส่งผลให้ร่างกายร้อนหรือเย็น สุขภาพที่แข็งแรงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะได้สมดุล ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ภาวะที่ร้อนหรือเย็นมากเกินไปนั่นเองที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ
อาการของภาวะที่ร้อน-เย็นเกินไป
ร้อนเกินไป : หน้าแดง มีสิวขึ้น มีแผลในช่องปากด้านล่าง ตัวร้อน มือเท้าร้อน มีเส้นเลือดขอดตามจุดต่างๆ ท้องผูกเป็นประจำ ท้องอืด เจ็บปลายลิ้น เจ็บส้นเท้า
เย็นเกินไป : ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ เป็นแผลในช่องปากด้านบนหรือโคนลิ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น มีน้ำมูกใส นิ้วล็อคกำมือไม่ลง อุจจาระเหลวสีอ่อน เจ็บโคนลิ้น
ร้อน-เย็น ดูกันยังไงนะ
หมั่นสังเกตว่าอาหารที่กินเข้าไปทำปฏิกิริยาให้ร่างกายร้อนขึ้นหรือเย็นลงแค่ไหน นอกจากนี้ยังมีลักษณะของอาหารที่ให้ฤทธิ์ร้อน-เย็น มาให้อ่านเพื่อใช้ประกอบการสังเกตกันด้วยค่ะ
อาหารฤทธิ์เย็น : มักจะมีลักษณะหวานหรือจืด สีจะออกไปทางสีอ่อน เช่น ขาว เขียว ความหนาแน่นของเนื้อสารจะน้อย ยุ่ยๆ หลวมๆ
อาหารฤทธิ์ร้อน : มักจะมีลักษณะเค็ม ขม เนื้อแข็ง สีสันจะออกไปทางสีเข้มหรือคล้ำ เช่น แดง ม่วง ดำ ถ้าเป็นเขียวก็ออกเขียวเข้ม มีกลิ่นออกเหม็นเขียว
แต่ในปัจจุบันนี้อาหารส่วนใหญ่ที่เรากินกันมักจะมีฤทธิ์ร้อน เช่น อาหารที่เค็มจัด มันจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารใส่สารเคมี อาหารใส่ผงชูรส เหล้า เบียร์ ไวน์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ซอง รวมไปถึงน้ำร้อนจัด น้ำเย็นจัด และน้ำแข็ง
จริงๆ อาหารก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีคิดแบบร้อน-เย็น เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการที่ร่างกายจะมีภาวะร้อนหรือเย็นอีกมาก เช่น ความเครียด อดนอน กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระ เดินทางบ่อย หงุดหงิดโมโหและสูบบุหรี่
ดังนั้นหากคุณพบว่าตัวเองมีอาการที่แสดงว่าร่างกายคุณมีภาวะร้อนหรือเย็นจนผิดปกติ นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนอาหารแล้ว คงจะต้องเปลี่ยนรายละเอียดในชีวิตประจำวันกันบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะที่ได้สมดุล อันจะนำภาวะปลอดโรคและมีสุขภาพที่แข็งแรงมาสู่ชีวิตของคุณค่ะ
อาการของภาวะที่ร้อน-เย็นเกินไป
ร้อนเกินไป : หน้าแดง มีสิวขึ้น มีแผลในช่องปากด้านล่าง ตัวร้อน มือเท้าร้อน มีเส้นเลือดขอดตามจุดต่างๆ ท้องผูกเป็นประจำ ท้องอืด เจ็บปลายลิ้น เจ็บส้นเท้า
เย็นเกินไป : ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ เป็นแผลในช่องปากด้านบนหรือโคนลิ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น มีน้ำมูกใส นิ้วล็อคกำมือไม่ลง อุจจาระเหลวสีอ่อน เจ็บโคนลิ้น
ร้อน-เย็น ดูกันยังไงนะ
หมั่นสังเกตว่าอาหารที่กินเข้าไปทำปฏิกิริยาให้ร่างกายร้อนขึ้นหรือเย็นลงแค่ไหน นอกจากนี้ยังมีลักษณะของอาหารที่ให้ฤทธิ์ร้อน-เย็น มาให้อ่านเพื่อใช้ประกอบการสังเกตกันด้วยค่ะ
อาหารฤทธิ์เย็น : มักจะมีลักษณะหวานหรือจืด สีจะออกไปทางสีอ่อน เช่น ขาว เขียว ความหนาแน่นของเนื้อสารจะน้อย ยุ่ยๆ หลวมๆ
อาหารฤทธิ์ร้อน : มักจะมีลักษณะเค็ม ขม เนื้อแข็ง สีสันจะออกไปทางสีเข้มหรือคล้ำ เช่น แดง ม่วง ดำ ถ้าเป็นเขียวก็ออกเขียวเข้ม มีกลิ่นออกเหม็นเขียว
แต่ในปัจจุบันนี้อาหารส่วนใหญ่ที่เรากินกันมักจะมีฤทธิ์ร้อน เช่น อาหารที่เค็มจัด มันจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารใส่สารเคมี อาหารใส่ผงชูรส เหล้า เบียร์ ไวน์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ซอง รวมไปถึงน้ำร้อนจัด น้ำเย็นจัด และน้ำแข็ง
จริงๆ อาหารก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีคิดแบบร้อน-เย็น เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการที่ร่างกายจะมีภาวะร้อนหรือเย็นอีกมาก เช่น ความเครียด อดนอน กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระ เดินทางบ่อย หงุดหงิดโมโหและสูบบุหรี่
ดังนั้นหากคุณพบว่าตัวเองมีอาการที่แสดงว่าร่างกายคุณมีภาวะร้อนหรือเย็นจนผิดปกติ นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนอาหารแล้ว คงจะต้องเปลี่ยนรายละเอียดในชีวิตประจำวันกันบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะที่ได้สมดุล อันจะนำภาวะปลอดโรคและมีสุขภาพที่แข็งแรงมาสู่ชีวิตของคุณค่ะ
ได้เวลาล้างพิษแล้วหรือยัง ?
ทุกวันนี้เรารับสารพิษเข้าไปยังร่างกายทุกวันจนแทบ ไม่รู้ตัว ทั้งอาหารการกิน โดยเฉพาะสาวออฟฟิศ ที่ไม่มีเวลาทำอาหารเอง และต้องฝากท้องไว้กับร้าน อาหารข้างทาง ซึ่งจะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารเหล่านั้น ผ่านกระบวนการอะไรมาบ้างก่อนจะมาถึงมือคุณ นี่ยัง ไม่นับรวมถึงอากาศที่สูดเข้าไป ยิ่งคนในเมืองหลวง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยเชียว ดังนั้น การหาเวลา เพื่อล้างพิษภายในจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากคุณ ยังคงกักเก็บของเสียในร่างกายอยู่ ถึงคุณจะทาน ของดีเข้าไป มันก็ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ก็เหมือนกับจานที่ทานแล้วและคุณก็ยังไม่ได้ล้าง หรือ ล้างไม่สะอาด พอใส่อาหารใหม่เข้าไป ก็ยังมีเชื้อโรค นอนรอเข้าไปยังร่างกายคุณอยู่ดี
ถ้าเห็นภาพตามนี้แล้ว คิดว่า คุณพร้อมที่จะมาเข้ากระบวนการล้างพิษกับเราแล้วหรือยัง ? ถ้าพร้อม แล้วเริ่มเลยค่ะ
ผลไม้ก็ล้างพิษได้
ขอเริ่มจากวิธีง่าย ๆ ใกล้ตัว สำหรับคนที่ไม่มีเวลาทำ ดีท็อกซ์หรือยังไม่กล้าพอ ผลไม้บ้างชนิดก็มีประสิทธิภาพ ในการล้างพิษ เริ่มจาก
แอปเปิ้ล สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไป กำจัดทิ้ง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เน่าบูด และ ด้วยความที่เส้นใยในแอปเปิ้ลมีมาก จึงเข้าไปช่วยทำความ สะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยอาหารทำงานดียิ่งขึ้น
องุ่น อยู่ในข่ายผลไม้ที่ช่วยฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไต เนื่องจากองุ่นให้พลังงานสูงและนำไป ใช้ได้ง่าย จึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย
สับปะรด เอ็นไซม์โปรเมลินช่วยในการทำงานของ กรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียแตกตัว ได้เร็วขึ้น และยังช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร
มะละกอ ผลไม้ชนิดนี้มีเอ็นไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมี ลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้น มันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร
แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จึงช่วยฟอกล้างร่างกาย ได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดัน เลือดสูง ทำให้สบายท้อง
ล้างพิษด้วยผัก
ทางเลือกนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานผัก ไปดูว่า ผักแต่ละชนิดที่คุณทานนั้นจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง
สาหร่าย จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่า สาหร่ายสามารถจับของเสียจาก รังสีที่สะสมในร่างกายสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสี ต่าง ๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ และสามารถจับกับพวกโลหะ หนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ ในปริมาณมาก
มะนาว สุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่ม ตอนเช้าจะช่วยล้างพิษ และทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำ น้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
พืชตระกูลถั่ว (เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) พืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง จาก การศึกษาพบว่า ผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอล น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
ขึ้นฉ่าย ช่วยในการทำความสะอาดเลือดและช่วย ลดความดันโลหิต ถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดตอน เช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่าย ยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็งและสารที่ช่วยขับ ของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่
แครอท เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีนซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูล อิสระที่ดีเยี่ยม ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้อง สัมผัสแสงแดดเป็นประจำ
มะเขือพวง เป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่ง สามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วย จับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดย ระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น
อดอาหารล้างพิษ
วิธีนี้หากใครคิดจะทำ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความ ปลอดภัยก่อนค่ะ วิธีการนี้ทางการแพทย์เชื่อว่า มนุษย์เราจะ สามารถสะสมพลังงานในรูปไขมันไว้เพียงพอต่อการอด อาหารประมาณ 1-2 วัน ข้อดีคือ จะช่วยลดการทำงานของ อวัยวะภายใน อย่างกระเพาะไม่ต้องย่อยอาหาร ลำไส้ไม่ต้อง ดูดซึม ซึ่งเขายังเชื่ออีกว่า การที่อวัยวะส่วนใดทำงานมากไปจะทำให้เกิดการสร้างสารพิษนั้นก็คือ มะเร็ง ซึ่งวิธีนี้ทำได้โดยการกินผลไม้ (ตามที่กล่าวมาข้างต้น) หรือน้ำผลไม้ ตลอดทั้งวันก่อน แล้วจึงค่อยอดในวันต่อมา ขอเตือนก่อนว่า ควรให้แพทย์ตรวจร่ายกายก่อนและในวันที่อดอาหาร ไม่ควร เป็นวันที่จะต้องใช้แรงกายหรือพลังในการทำงานใด ๆ
สวนลำไส้ล้างพิษ
หรือเรียกว่า ดีท็อกซ์ ซึ่งเป็นวิธีที่หลายคนลังเลที่ จะทำ เพราะวิธีการนั้นหากใครไม่ชำนาญจริง ๆ อาจก่อให้ เกิดอันตรายได้ ดังนั้น หากใครที่เพิ่งเริ่ม ควรอยู่ในความ ดูแลของผู้ที่มีความชำนาญหรือแพทย์โดยเฉพาะ ซึ่งใน ปัจจุบันการสวนล้างพิษยังทำได้หลากหลายวิธีอีกด้วย
การสวนลำไส้ใหญ่ระดับบน เป็นการสวนด้วยน้ำอุ่น จะสวนด้วยเครื่องสวนลำไส้ที่ชื่อว่า colontheraphy ที่ ปัจจุบันมีบริการตามโรงพยาบาลหลายแห่ง ใช้เวลาทำ ประมาณ 30-40 นาที ควรทำประมาณปีละ 4-5 ครั้ง วิธีนี้ จะช่วยทำความสะอาดตลอดทั้งลำไส้เพื่อล้างอุจจาระ ที่ตกค้าง หรือเมือกที่เป็นอาหารบูดเน่าเกาะอยู่ตามผนังลำไส้ การสวนด้วยกาแฟ วิธีนี้ทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ เหมือนที่ทางโรงพยาบาลมี สามารถหาซื้ออุปกรณ์ทำเองที่ บ้านได้ เชื่อว่าจะช่วยชำระอุจจาระที่ค้างในลำไส้ และฤทธิ์ กาแฟจะซึมเข้าทางผนังลำไส้ เส้นเลือดและตับ ช่วยให้ตับ สะอาดกลับมาทำงานได้ดีขึ้น
ล้างพิษให้ร่างกายแล้วอย่าลืมล้างพิษที่ใจด้วย
คนที่ฝึกสมาธิได้ระดับหนึ่งร่างกายจะหลั่งสาร เอนดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขออกมา และเมื่อร่างกาย สงบ เกิดสมาธิ หัวใจจะเต้นช้าลง ความเครียดจะค่อย ๆ หายไป เพราะลมหายใจเริ่มยาวขึ้น เมื่อฝึกควบคุม ลมหายใจได้ทำให้ปอดขยาย ร่างกายก็สามารถปรับ ออกซิเจนได้มากขึ้น เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมัน ลดการอักเสบในระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือด ขาวที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากขึ้น และทำให้คลื่น สมองเป็นระเบียบ ช่วยให้มีความจำดีขึ้น ผลสุดท้าย เมื่อ สุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็จะดีตามไปด้วยไงคะ
ที่มา ... กุลสตรี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)