25 ก.ย. 2553
เทรนด์กล้อง-มือถือ-ทีวี ปี 2010 แบบไหนจะมา รุ่นไหนกำลังเอาต
ถ้าอยากรู้ว่ากล้องแบบไหนกำลังมาแรง มือถือรุ่นไหนกำลังเอาต์จากตลาด ผลสำรวจจาก
GFK บริษัทวิจัยตลาดค้าปลีกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ไอที และโทรคมนาคม
ล่าสุดของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีคำตอบ
*แอลซีดีสดใส-บลูเรย์ดาวรุ่ง*
คนยุคใหม่ที่ต้องการสนุกกับชีวิต แบบ Work Hard Play hard
ทำให้ความบันเทิงในบ้านคือสิ่งจำเป็น
ส่งผลให้ตลาดรวมของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบด้วย Audio
หรือเครื่องเสียงในบ้าน เครื่องเล่นเพลงพกพา และในรถยนต์ และ Visual
หรืออุปกรณ์แสดงภาพ ซึ่งมีทีวี ดีวีดี เครื่องอัดวิดีโอ ในปี 2010 มีมูลค่าถึง
42,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีที่แล้ว
ตลาด Visual Product ยังคงเติบโต
โดยทีวีสีจอแบนเป็นตัวขับเคลื่อนซึ่งมีมูลค่าตลาด 85% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
โดยเครื่องเล่นดีวีดี Blu-ray เป็นของเล่นเพื่อความบันเทิงในบ้านที่น่าจับตา
ขณะที่ตลาด Audio มีแนวโน้มมูลค่าตลาดลดลง
เพราะคนเริ่มมองหาความคุ้มค่าในการหาความบันเทิง และเลือกทีวีมากกว่า
ขณะเดียวกันกลุ่มเอ็มพี 3 -4 ยังถูกแย่งตลาดจากมิวสิกโฟน
กลุ่มทีวี มีไฮไลต์คือผู้บริโภคยังคงมีแนวโน้มโละทีวีแบบเก่า (CRT-TV)
มาเป็นทีวีจอแบน ทั้งแอลซีดี แอลอีดี และพลาสม่า ที่มีราคาลดลงเรื่อยๆ
และดีไซน์สวยขึ้น ตลาดยังคงเป็นผู้ผลิตสร้างดีมานด์ให้ผู้บริโภค
ด้วยการผลิตทีวีให้เข้าถึงทุกเซ็กเมนต์ โดยแอลซีดียังครองตลาดส่วนใหญ่อยู่ 36%
แต่แอลอีดีก็มีแนวโน้มเติบโตดี
ทั้งที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นแม้จะมีส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 2% ก็ตาม
ส่วนพลาสม่ายังได้เปรียบเรื่องราคา ถูกกว่าแอลซีดี
จึงเป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อน้อยกว่า โดยคาดว่าตลาดแอลซีดีจะมีถึง
1.2 ล้านเครื่อง แอลอีดี 80,000 เครื่อง พลาสม่า 170,000 เครื่อง
*แอลซีดี 40 นิ้วเบียด 32 นิ้ว*
ขนาดทีวีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในไตรมาส 2 ปี 2010 คือแอลซีดีขนาด 30-33
นิ้ว ส่วนที่น้อยที่สุดคือขนาดน้อยกว่าหรือ 20 นิ้ว
แต่จอที่ใหญ่ขึ้นทั้งแอลซีดีและพลาสม่า ขนาดมากกว่า 40 นิ้ว
เติบโตเพราะมหกรรมฟุตบอลโลกที่ผ่านมา และจากแคมเปญลดราคาจากซื้อ 1 แถม 1
และร่วมโปรโมชั่นผ่อนกับเครดิตการ์ดจะทำให้จอขนาด 40 นิ้วมียอดขายมากขึ้น
ในด้านราคาที่ลดลง เกิดขึ้นเพราะผู้บริโภคเน้นความต้องการโดยเลือกขนาดจอ
แต่ผู้ผลิตพยายามทำตลาดทีวีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้แอลซีดีและพลาสม่า ขนาด 40-42
นิ้ว ในไตรมาส 2 ปี 2010 ราคาลดลงจากไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ประมาณ 20% อยู่ที่
27,135 บาท และ 20,801 บาท จอขนาด 50 นิ้ว ลดลง 25%
สำหรับกลุ่มเครื่องดีวีดีมีแนวโน้มยอดขายลดลง เพราะมีการนำเข้าในราคาถูกลง
ขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่เริ่มเน้นเครื่องเล่น Blu-ray ที่กำลงเติบโต
เพราะผู้ผลิตเริ่มปรับราคาลงมา และแถมกับทีวี จากไตรมาส 3 ปี 2009
ราคาเคยอยู่ที่ 15,894 บาท มาไตรมาส 2 ปี 2010 ราคาหล่นมาที่ 8,654 บาท
*กล้องเปลี่ยนเลนส์มาแรง*
ชีวิตพกกล้องมีให้เห็นตั้งแต่ไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นไปจนถึงผู้บริหารองค์กรต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกระแสอวดรูป และคอมเมนต์ทางออนไลน์
ผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค GFK คาดว่าตลาดกล้องดิจิตอลจำนวนจะเติบโต 13% ในปี 2010
ส่วนมูลค่าอยู่ที่ 6% แต่ที่น่าจับตา คือยุคนี้ต้องเล่นกล้อง DSLR
ที่คาดว่าจะโตถึง 28% คาดว่าจะทำยอดขายได้ถึง 73,000 ตัวเพราะแบรนด์ใหญ่ๆ
ทำตลาดมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่มือโปรลงมาเล่นเท่านั้น แต่คนทั่วไปก็สนใจ
โดยการแข่งขันของผู้ผลิตเริ่มเล่นในเรื่องของสีเพื่อดึงกลุ่มเป้าหมาย
ที่เห็นชัดเช่น เพนแท็กซ์ k-x
ต้องจับตากล้อง MirrorLessซึ่งเป็นกล้องคอมแพคที่เปลี่ยนเลนส์ได้ก็มาแรง
ที่เริ่มจากโอลิมปัส พานาโซนิค และตามด้วย ซัมซุง ริโค โซนี่ แคนอน และนิคอน
จะตามมาในปี 2011 ซึ่งคาดว่าในปีหน้าตลาดนี้จะมียอดขายประมาณ 12,000 ตัว
สตนลีย์ คี ผู้อำนวยการเชิงพาณิชย์ระดับภูมิภาค GFK Asia บอกว่า
กล้องคอมแพคที่เปลี่ยนเลนส์ได้กำลังมีอนาคตสดใส
ส่วนDSLRที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้แม้ว่าราคาเริ่มลดลงและยอดขายเติบโต
แต่ยังติดปัญหาเรื่องของการใช้งานที่ค่อนข้างยาก
เมื่อคอมแพคที่เปลี่ยนเลนส์ได้สามารถซูมได้มากขึ้น มีความสามารถมากขึ้น
จึงเป็นส่วนสำคัญในตลาดกล้องต่อไป
"ในอีก12เดือนข้างหน้านี้จะเห็นตลาดเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
และจะมาแทนกล้องคอมแพคธรรมดาเช่นเดียวกับมือถือแบบธรมมดาจะลดลงและสามร์ทโฟนมาแทนมากขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาตลาดและราคาที่ไม่แพงมากและเราคิดว่าน่าจะทำตลาดได้ดี"
กราฟิกในพาวเวอร์พอยท์แผ่นที่ 15 4 Figure 14: (Total Market Demand of Digital
Still Camera.) ส่วนแบ่งตลาดประเภทกล้องดิจิตอล
*10 ไม่พอต้อง 14 ล้านพิกเซล*
สำหรับแนวโน้มคุณสมบัติความละเอียดภาพ กำลังมุ่งไปที่ 12 MP (ล้านพิกเซล)
ด้วยส่วนแบ่ง 57% แทนที่ส่วนใหญ่ที่ 10 MP แต่ที่ต้องจับตาคือ 14 MP
ที่คาดว่าในปี 2011 จะเป็นขนาดที่ลูกค้ากล้องส่วนใหญ่ต้องการ
สำหรับราคากล้องที่ผู้บริโภคนิยมซื้อคือต่ำกว่า 5,000 บาท มีถึง 56% ของตลาด
ส่วนการแข่งขันแบรนด์ใหญ่ๆ จะเน้นไปที่ตลาดกลาง โดยรักษาระดับราคาไว้ที่
5,000-10,000 บาท ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 29%
GFK สรุปว่าราคาเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดกล้องดิจิตอล
ที่ถูกลงจนสามารถขับเคลื่อนการเติบโตจากกลุ่มแมสที่แม้จะเริ่มอิ่มตัว
แต่ตลาดรวมยังเติบโตเพราะแบรนด์ต่างๆ พยายามเพิ่มเทคโนโลยี
ฟีเจอร์และความต่างจากคู่แข่งให้มากที่สุด
ส่วนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอยู่บันพื้นฐานจาก 3 ปัจจัยอันดับแรกราคา
แบรนด์ และฟีเจอร์
*มือถือไทยทะลุ 10.9 ล้านเครื่อง 3 พันบาท ตลาดใหญ่สุด*
GFK คาดว่าปี 2010 โทรศัพท์มือถือจะมียอดขาย 10.9 ล้านเครื่อง
หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2009 7% เป็นสมาร์ทโฟน 760,000 เครื่อง และปี 2011 จะสูงถึง
12 ล้านเครื่อง เป็นสมาร์ทโฟน 920,000 เครื่อง
แม้แบรนด์ใหญ่ก็ยังคงครองตลาด แต่แบรนด์ในประเทศ หรือเฮาส์แบรนด์ในไทย
จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น เพราะราคาถูก และบริหารช่องทางจำหน่ายได้ดีในต่างจังหวัด
แนวโน้มที่เห็นชัดคือ โนเกีย ซัมซุง แอลจี โซนี่ อิริคสัน ต่างเปิดตัวรุ่นใหม่
โดยเน้นไปที่กลุ่มล่างถึงกลาง ด้วยกลยุทธ์ราคา และฟีเจอร์เพียบ
ขณะที่เฮาส์แบรนด์ อย่าง ไอ-โมบาย เวลคอม และจีเนท ต่างแข่งตลาดล่าง
ด้วยฟีเจอร์มากมาย ที่ต้องมีคือสองซิม ดูทีวี วิทยุ กล้อง ทัชสกรีน
ด้วยราคาอยู่ที่ 3,000-4,000 บาท
กลุ่มของฟีเจอร์ทีวีนั้น 3 ไตรมาสที่ผ่านมามีส่วนแบ่ง 15% ผู้เล่นหลักๆ
คือไอ-โมบาย จีเนท เวลคอม ในปีนี้ผู้เล่นระดับบิ๊กอย่างซัมซุง
ก็โดดลงมาด้วยซัมซุงสตาร์ทีวี และวันทีวี
สำหรับราคาที่ลูกค้านิยมมากที่สุดคือต่ำกว่า 3,000 บาท ที่ 3
ไตรมาสที่ผ่านมาได้ส่วนแบ่ง 60% ของตลาด โมเดลที่ได้รับความนิยมในระดับนี้คือ
โนเกีย 1202 1661 ซัมซุง E250 แอลจี KP 105 ส่วนราคาสูงกว่า 1 หมื่นบาท มีแค่
8% ในตลาด ส่วนสมาร์ทโฟนที่นิยมคือต่ำกว่า 5,000 บาท มีโนเกีย 5233
ที่เป็นที่นิยม
แนวโน้มที่สำคัญคือการแข่งขันจะรุนแรงขึ้น เมื่อ 3G เป็นจริง
มีการติดตั้งเครือข่ายสำเร็จ GFK
มองว่าจะยิ่งทำให้การดูทีวีผ่านมือถือยิ่งเพิ่มขึ้น
เพราะเครือข่ายมือถือส่งสัญญาณเร็วขึ้น ไม่ใช่แค่ดูทีวี ยังดูวิดีโอ
เอชดีได้อีกด้วย
ในกลุ่มสมาร์ทโฟนนั้น เทรนด์ของคนถือสมาร์ทโฟนคือใช้ต่ออินเทอร์เน็ต
เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัว จากความสามารถของระบบปฏิบัติ
ทำให้เจ้าของสมาร์ทโฟนใช้ในเรื่องงานและแสดงความเป็นตัวของตัวเองผ่านสมาร์ทโฟน
ผลวิจัยของ GFK ระบุว่าซิมเบียนของโนเกียครองส่วนแบ่งมากสุดคือ 6% บีบี 1%
เท่ากับวินโดวส์โมบายล์ แอนดรอยด์ และไอโฟน
อนาคต อีเมลบนโมบายล์ ส่งข้อความ และโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้สมาร์ทโฟนเป็นที่ต้องการต่อเนื่อง
โดยผู้ที่จะสำเร็จในธุรกิจนี้คือสามารถเชื่อมต่อโปรดักต์ และบริการได้
โดยทั้งตัวเครื่อง ตัวธุรกิจใหม่ๆ จากความสามารถของสมาร์ทโฟน
โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค คือแม่เหล็กสำคัญที่จะถึงกลุ่มเป้าหมายได้
อิ่มอร่อยและสุขภาพดีกับ ตังถังเฉา
*ตังถังเฉา คือ เห็ดราชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน
และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีในด้านการรักษาโรคให้กับเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์จีน
ตังถังเฉาเป็นเห็ดราที่หายากมาก *
เรื่อง กาญจนา เตชาวัฒนากูล ภาพ ณัฏฐ์ฐิติ อำไพวรรณ
ตังถังเฉา คือ เห็ดราชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน
และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีในด้านการรักษาโรคให้กับเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์จีน
ตังถังเฉาเป็นเห็ดราที่หายากมาก
เพราะเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตรขึ้นไป
แถบเทือกเขาหิมาลัย เช่น ทิเบต เนปาล ภูฏาน และจีน
เป็นเห็ดที่เส้นใยเจริญเติบโตขึ้นในตัวหนอน ทำให้หนอนตาย
แล้วเห็ดนี้ก็จะสร้างดอกเมื่ออากาศอบอุ่นขึ้น จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า
"หญ้าหนอน"
หลายคนอาจเกิดอาการหน้าเบ้เมื่อได้ฟังถึงที่มาของเห็ดชนิดนี้
แต่ตังถังเฉามีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย อาทิ
สร้างภูมิคุ้มกันโรคและช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง
ช่วยให้ระบบการทำงานของการหายใจและปอดดีขึ้น
ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานโรคแข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยให้อายุยืน
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
ชื่อของตังถังเฉาอาจจะเป็นที่รู้จักในแถบเอเชียตะวันออกมานาน แต่มาโด่งดังสุดๆ
ไปทั่วโลกเมื่อนักวิ่งหญิงทีมชาติจีนสามารถทำลายสถิติโลกในการวิ่งระยะไกล 1
หมื่นเมตร 1.5 หมื่นเมตร และ 3 หมื่นเมตร ได้เมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีรายงานว่า
นักวิ่งทุกคนรับประทานเห็ดชนิดนี้เป็นประจำ
ซึ่งก็ไม่ได้ขัดต่อข้อกำหนดของทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากล
ตังถังเฉาจึงกลายเป็นที่ต้องการของนักกีฬาและคนรักสุขภาพทั่วโลกมาจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นน้อย มีจำนวนจำกัด
จึงทำให้รัฐบาลทุกประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดของตังถังเฉาต้องควบคุมการเก็บเกี่ยว
และทำให้ราคาของเห็ดชนิดนี้พุ่งสูงมากขึ้น ราคาจะขึ้นอยู่กับคุณภาพ
โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในราว 5 หมื่นบาท จนถึงแสนบาทต่อกิโลกกรัม
ได้มีการบันทึกสถิติตังถังเฉาคุณภาพดีที่แพงที่สุด เป็นราคาประมูลที่เมืองทิมพู
ประเทศภูฏาน เมื่อเดือนมิ.ย. 2551 อยู่ที่กิโลกรัมละ 4.3 แสนนูตรัม
หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3 แสนบาทเท่านั้น (!)
แต่สำหรับนักชิมชาวไทยที่รักสุขภาพ
ไม่จำเป็นต้องขวนขวายไปไกลถึงต่างแดนและจ่ายเงินแพงแสนแพงเพื่อจะได้ลิ้มรสและสัมผัสคุณสมบัติของเจ้าเห็ดมหัศจรรย์นี้
เพราะสามารถไปชิมเมนูอาหารจีนที่ปรุงจากดอกตังถังเฉาหลากหลายเมนูพิเศษกันได้ที่ห้องอาหารเซี่ยงไฮ้
38 โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สีลม โดยเชฟโจวี่ เคยาน เชง พ่อครัวใหญ่ครัวจีน
อธิบายเรื่องของตังถังเฉาเพิ่มเติมว่า สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสดและแบบปรุง
เมื่อรับประทานเปล่าๆ จะมีรสหวานนิดๆ และเป็นธาตุร้อน
ชาวจีนใช้เป็นอาหารเสริมธาตุหยาง สามารถนำไปปรุงร่วมกับวัตถุดิบอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ดำ ปลา หรือโสม
ช่วยเสริมคุณสมบัติบำรุงร่างกายที่แตกต่างกันไปได้อีก
นอกจากนั้นยังทานง่ายและทานได้ทุกเพศทุกวัย
ใครที่อยากลิ้มชิมรสเมนูอร่อยสุขภาพดี ก็ขอแนะนำ "ซุปไก่ดำตุ๋นดอกตังถังเฉา"
น้ำซุปหวานกลมกล่อมที่เกิดจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่มารวมตัวกันไม่ว่าจะเป็นตังถังเฉา
ไก่ดำและโสม เรียกว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดซุปเพื่อสุขภาพเลยทีเดียว
หรือถ้านิยมปลามากกว่าไก่ดำ ก็เปลี่ยนเป็นเมนู "ซุปพุงปลาตุ๋นดอกตังถังเฉา"
หรือใครชอบแบบเมนูหนักท้องหน่อยก็อยากให้ชิม "โจ๊กปลาหิมะกับดอกตังถังเฉา"
สองความอร่อยที่เข้าคู่กันอย่างลงตัว
นักชิมทั้งหลายแวะเวียนไปลองเมนูตังถังเฉากันได้ตลอดเดือน ก.ย.นี้
ที่ห้องอาหารเซี่ยงไฮ้ 38 ชั้น 38 โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สีลม โทร.
022381991ต่อ 1362
และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีในด้านการรักษาโรคให้กับเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์จีน
ตังถังเฉาเป็นเห็ดราที่หายากมาก *
เรื่อง กาญจนา เตชาวัฒนากูล ภาพ ณัฏฐ์ฐิติ อำไพวรรณ
ตังถังเฉา คือ เห็ดราชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน
และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีในด้านการรักษาโรคให้กับเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์จีน
ตังถังเฉาเป็นเห็ดราที่หายากมาก
เพราะเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตรขึ้นไป
แถบเทือกเขาหิมาลัย เช่น ทิเบต เนปาล ภูฏาน และจีน
เป็นเห็ดที่เส้นใยเจริญเติบโตขึ้นในตัวหนอน ทำให้หนอนตาย
แล้วเห็ดนี้ก็จะสร้างดอกเมื่ออากาศอบอุ่นขึ้น จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า
"หญ้าหนอน"
หลายคนอาจเกิดอาการหน้าเบ้เมื่อได้ฟังถึงที่มาของเห็ดชนิดนี้
แต่ตังถังเฉามีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย อาทิ
สร้างภูมิคุ้มกันโรคและช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง
ช่วยให้ระบบการทำงานของการหายใจและปอดดีขึ้น
ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานโรคแข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยให้อายุยืน
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
ชื่อของตังถังเฉาอาจจะเป็นที่รู้จักในแถบเอเชียตะวันออกมานาน แต่มาโด่งดังสุดๆ
ไปทั่วโลกเมื่อนักวิ่งหญิงทีมชาติจีนสามารถทำลายสถิติโลกในการวิ่งระยะไกล 1
หมื่นเมตร 1.5 หมื่นเมตร และ 3 หมื่นเมตร ได้เมื่อปี พ.ศ. 2536 โดยมีรายงานว่า
นักวิ่งทุกคนรับประทานเห็ดชนิดนี้เป็นประจำ
ซึ่งก็ไม่ได้ขัดต่อข้อกำหนดของทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากล
ตังถังเฉาจึงกลายเป็นที่ต้องการของนักกีฬาและคนรักสุขภาพทั่วโลกมาจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นน้อย มีจำนวนจำกัด
จึงทำให้รัฐบาลทุกประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดของตังถังเฉาต้องควบคุมการเก็บเกี่ยว
และทำให้ราคาของเห็ดชนิดนี้พุ่งสูงมากขึ้น ราคาจะขึ้นอยู่กับคุณภาพ
โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในราว 5 หมื่นบาท จนถึงแสนบาทต่อกิโลกกรัม
ได้มีการบันทึกสถิติตังถังเฉาคุณภาพดีที่แพงที่สุด เป็นราคาประมูลที่เมืองทิมพู
ประเทศภูฏาน เมื่อเดือนมิ.ย. 2551 อยู่ที่กิโลกรัมละ 4.3 แสนนูตรัม
หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3 แสนบาทเท่านั้น (!)
แต่สำหรับนักชิมชาวไทยที่รักสุขภาพ
ไม่จำเป็นต้องขวนขวายไปไกลถึงต่างแดนและจ่ายเงินแพงแสนแพงเพื่อจะได้ลิ้มรสและสัมผัสคุณสมบัติของเจ้าเห็ดมหัศจรรย์นี้
เพราะสามารถไปชิมเมนูอาหารจีนที่ปรุงจากดอกตังถังเฉาหลากหลายเมนูพิเศษกันได้ที่ห้องอาหารเซี่ยงไฮ้
38 โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สีลม โดยเชฟโจวี่ เคยาน เชง พ่อครัวใหญ่ครัวจีน
อธิบายเรื่องของตังถังเฉาเพิ่มเติมว่า สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสดและแบบปรุง
เมื่อรับประทานเปล่าๆ จะมีรสหวานนิดๆ และเป็นธาตุร้อน
ชาวจีนใช้เป็นอาหารเสริมธาตุหยาง สามารถนำไปปรุงร่วมกับวัตถุดิบอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ดำ ปลา หรือโสม
ช่วยเสริมคุณสมบัติบำรุงร่างกายที่แตกต่างกันไปได้อีก
นอกจากนั้นยังทานง่ายและทานได้ทุกเพศทุกวัย
ใครที่อยากลิ้มชิมรสเมนูอร่อยสุขภาพดี ก็ขอแนะนำ "ซุปไก่ดำตุ๋นดอกตังถังเฉา"
น้ำซุปหวานกลมกล่อมที่เกิดจากวัตถุดิบชั้นเลิศที่มารวมตัวกันไม่ว่าจะเป็นตังถังเฉา
ไก่ดำและโสม เรียกว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดซุปเพื่อสุขภาพเลยทีเดียว
หรือถ้านิยมปลามากกว่าไก่ดำ ก็เปลี่ยนเป็นเมนู "ซุปพุงปลาตุ๋นดอกตังถังเฉา"
หรือใครชอบแบบเมนูหนักท้องหน่อยก็อยากให้ชิม "โจ๊กปลาหิมะกับดอกตังถังเฉา"
สองความอร่อยที่เข้าคู่กันอย่างลงตัว
นักชิมทั้งหลายแวะเวียนไปลองเมนูตังถังเฉากันได้ตลอดเดือน ก.ย.นี้
ที่ห้องอาหารเซี่ยงไฮ้ 38 ชั้น 38 โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สีลม โทร.
022381991ต่อ 1362
10 วิธีที่คุณทำร้ายกระดูกสันหลัง & กอดบำบัด
กอดบำบัด
การกอดนอกจากจะเป็นการแสดงถึงความรักต่อกันอย่างอบอุ่นแล้ว
นักบำบัดเชื่อว่ายังช่วยเยียวยาหรือบำบัดโรคได้ด้วย
ในนิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับเดือนพ.ย. น.พ.ปริยสุทธิ์ อินทสุวรรณ จากภาควิชาจิตเวช
โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ บอกเล่าถึงพลังของการกอดว่า
1.ลดความเจ็บปวดในผู้ป่วย ทั้งในผู้ป่วยเรื้อรังและไม่เรื้อรัง
อาจแค่สัมผัสผู้ป่วยบริเวณที่เจ็บปวด
หรือวางมือเหนือแผลที่ปิดผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ จะช่วยเพิ่มปริมาณเฮโมโกลบิน
และช่วยให้ร่างกายส่งเลือดมาหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บเพิ่มขึ้น
ซึ่งช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
และนอกจากนี้ จากการศึกษาวิจัยโดย เดวิด เบรสเลอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ลอสแองเจลิส ยืนยันว่า
จากการทดลองให้ผู้ป่วยหญิงที่ทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดก่อนคลอดได้รับการกอดโดยสามีบ่อยๆ
พบว่าความเจ็บปวดลดลง
2.ลดความรู้สึกในทางลบเช่น หว าดกลัว กังวล โกรธเกรี้ยว ไม่สบายใจ
อันเป็นผลมาจากความป่วยไข้ไม่สบายกาย หรือผลจากโรคร้ายชนิดรุนแรง เช่น มะเร็ง
เอดส์ จึงจำเป็นต้องกอดผู้ป่วยเพื่อประคองภาวะอารมณ์ ลดความรู้สึกในทางลบ
ไม่ท้อแท้ต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
3.ช่วยพัฒนาการในเด็กพิการหรือเด็กออทิสติก จากตัวอย่างในหนังสือ "The Last Don"
ของ มาริโอ พูโซ ตัวละครตัวหนึ่งชื่อ อะธีน่า ทำกล่องที่เรียกว่า "Hug Box"
ให้ลูกสาวของเธอที่ป่วยเป็นโรคออทิสติกเข้าไปนอน เพื่อให้รู้สึกว่าถูกกอดตลอดเวลา
4.ช่วยให้คนที่ขาดการกอด หรือการสัมผัสมีอาการดีขึ้น เพราะการกอด
หรือการสัมผัสนั้นจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต ฉะนั้นคนที่ขาดการกอด
หรือการสัมผัส จึงมีความเสี่ยงต่อความปวดร้าวรุนแรงในจิตใจ
เมื่อเกิดความผิดหวังบางอย่างในชีว ิต
คุณหมอปริยสุทธิ์ แนะนำว่า การกอดนั้นต้องเริ่มกอดด้วยใจรัก กอดด้วยสัมผัสแห่งรัก
เราจะต้องมั่นใจว่าใจเราต้องรู้สึก "รัก" ก่อน แบบไม่มีเงื่อนไข
"แม้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเราตอนนั้นไม่ใช่พ่อแม่เรา ไม่ใช่ญาติ
เราก็ต้องไม่กอดด้วยความสงสารหรือปราศจากความรัก มิเช่นนั้นอ้อมกอดนั้นจะเจ็บปวด
เป็นอ้อมกอดรสขม ไม่ช่วยให้ดีขึ้น แต่ถ้าเมื่อไรที่กอดด้วยความรัก
ความรู้สึกที่เป็นบวก ก็จะได้ผลในเชิงการบำบัดเยียวยา"
แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงกาลเทศะ และความเหมาะสมในวัฒนธรรมไทยด้วย
การกอดนอกจากจะเป็นการแสดงถึงความรักต่อกันอย่างอบอุ่นแล้ว
นักบำบัดเชื่อว่ายังช่วยเยียวยาหรือบำบัดโรคได้ด้วย
ในนิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับเดือนพ.ย. น.พ.ปริยสุทธิ์ อินทสุวรรณ จากภาควิชาจิตเวช
โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ บอกเล่าถึงพลังของการกอดว่า
1.ลดความเจ็บปวดในผู้ป่วย ทั้งในผู้ป่วยเรื้อรังและไม่เรื้อรัง
อาจแค่สัมผัสผู้ป่วยบริเวณที่เจ็บปวด
หรือวางมือเหนือแผลที่ปิดผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ จะช่วยเพิ่มปริมาณเฮโมโกลบิน
และช่วยให้ร่างกายส่งเลือดมาหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บเพิ่มขึ้น
ซึ่งช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
และนอกจากนี้ จากการศึกษาวิจัยโดย เดวิด เบรสเลอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ลอสแองเจลิส ยืนยันว่า
จากการทดลองให้ผู้ป่วยหญิงที่ทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดก่อนคลอดได้รับการกอดโดยสามีบ่อยๆ
พบว่าความเจ็บปวดลดลง
2.ลดความรู้สึกในทางลบเช่น หว าดกลัว กังวล โกรธเกรี้ยว ไม่สบายใจ
อันเป็นผลมาจากความป่วยไข้ไม่สบายกาย หรือผลจากโรคร้ายชนิดรุนแรง เช่น มะเร็ง
เอดส์ จึงจำเป็นต้องกอดผู้ป่วยเพื่อประคองภาวะอารมณ์ ลดความรู้สึกในทางลบ
ไม่ท้อแท้ต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
3.ช่วยพัฒนาการในเด็กพิการหรือเด็กออทิสติก จากตัวอย่างในหนังสือ "The Last Don"
ของ มาริโอ พูโซ ตัวละครตัวหนึ่งชื่อ อะธีน่า ทำกล่องที่เรียกว่า "Hug Box"
ให้ลูกสาวของเธอที่ป่วยเป็นโรคออทิสติกเข้าไปนอน เพื่อให้รู้สึกว่าถูกกอดตลอดเวลา
4.ช่วยให้คนที่ขาดการกอด หรือการสัมผัสมีอาการดีขึ้น เพราะการกอด
หรือการสัมผัสนั้นจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต ฉะนั้นคนที่ขาดการกอด
หรือการสัมผัส จึงมีความเสี่ยงต่อความปวดร้าวรุนแรงในจิตใจ
เมื่อเกิดความผิดหวังบางอย่างในชีว ิต
คุณหมอปริยสุทธิ์ แนะนำว่า การกอดนั้นต้องเริ่มกอดด้วยใจรัก กอดด้วยสัมผัสแห่งรัก
เราจะต้องมั่นใจว่าใจเราต้องรู้สึก "รัก" ก่อน แบบไม่มีเงื่อนไข
"แม้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเราตอนนั้นไม่ใช่พ่อแม่เรา ไม่ใช่ญาติ
เราก็ต้องไม่กอดด้วยความสงสารหรือปราศจากความรัก มิเช่นนั้นอ้อมกอดนั้นจะเจ็บปวด
เป็นอ้อมกอดรสขม ไม่ช่วยให้ดีขึ้น แต่ถ้าเมื่อไรที่กอดด้วยความรัก
ความรู้สึกที่เป็นบวก ก็จะได้ผลในเชิงการบำบัดเยียวยา"
แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงกาลเทศะ และความเหมาะสมในวัฒนธรรมไทยด้วย
ตลาดกล้อง Mirror Less ในญี่ปุ่นขยายตัว
กล้อง Mirror Less คือกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ได้ประเภทนึงครับ คล้าย D-Slr แต่ไม่มีกระจกสะท้อนภาพไป viewfinder นั่นเอง (ใช้ EVF แทน) ข้อดีคือขนาดของกล้องจะเล็กลงทำให้พกพาง่าย แต่ยังให้คุณภาพภาพที่ดี กล้องประเภทนี้ปัจจุบันก็มีอยู่ 3 ระบบ 4 ค่าย คือ
1. Micro Four Third – Panasonic , Olympus
2. Nex – Sony Alpha
3. Nx- Samsung
ว่ากันว่าในกลุ่มกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ได้ ยอดขายในประเทศญี่ปุ่นเกือบ 40% นี่เป็นของกลุ่ม Mirror Less แล้วครับ โดย zone สีฟ้าจะเป็นกล้อง D-SLR ส่วนสีชมพูนี่จะเป็นพวก Mirror Less จากกราฟช่วง เดือน 8/2008 จะเป็นยุคแรกครับ คือมี Panasonic G1 ในตลาดเท่านั้น พอมายุคที่ 2 คือช่วง เดือน 6/2009 นี่ตัวเล่นเริ่มเยอะคือมี Olympus E-P1/E-P2 และ Pana GF1/GH1 ส่วนที่ตัวเลขกระโดดมาเยอะ 2 เดือนหลังก็เพราะ Sony Nex นี่ล่ะตัวดี ได้ยินข่าวว่าในไทยขายไปไม่ต่ำกว่า 4000 หน่วย และผลิตป้อนตลาดแทบไม่ทัน
18 ก.ย. 2553
17 ก.ย. 2553
รู้ก่อนซื้อ ...ประเภทรถยนต์มันมีกี่แบบกันแน่นะ
*ปัจจุบันในวงการอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์ แม้เราจะรู้จัก รุ่น ยี่ห้อ
หรือแบบรถที่ชอบ แต่วงการรถยนต์นั้นมันซับซ้อนกว่าที่เราคาดอย่างมาก
และในวันนี้ถ้าใครกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน คุณเคยทราบหรือไม่ว่า
เจ้ารถ**4 ล้อใช้งาน
ที่จะเป็นพาหนะการเดินทางนั้น แท้ที่จริงมันมีกี่แบบกันแน่?*
มีคนจำนวนมากที่ไม่เคยคิดคำถามนี้กับตัวเองก่อนจะเดินเข้าโชว์รูม
เพียงเพื่อตอบสนองต่อตัวเองถึงความสวยงามภายนอกที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานจริงของคุณก็เป็นไปได้
แล้วรถแบบไหนเหมาะกับความเป็นคุณ สรุป มันมีกี่ประเภทวันนี้
เราจะพาคุณๆไปรู้จักกัน
*Micro Car *
อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมาในหมู่บ้านเรา
แต่ถ้าเราแปลตรงตัวจากภาษาอังกฤษนั้น ก็จะได้ว่า "รถจิ๋ว"
ซึ่งบ้านเรามักจะเรียกตามวิธีของ Euro Car Segment
ที่ค่ายรถยนต์หลายเจ้าชอบเอามากล่าว
รถรุ่นนั้นมันจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม A-Segment Mini Car
รถประเภทนี้ความจริงในประเทศไทยก็มีวางจำหน่ายเหมือนกัน
โดยเฉพาะเจ้าเบนซ์สมาร์ท 2 ที่นั่ง
ที่รถในประเภทดังกล่าวจะถูกออกแบบให้ตอบสนองได้เป็นอย่างที่เขตเมืองที่มีถนนหนทางค่อนข้างแคบ
โดยเฉพาะในแถบยุโรป จึงไม่แปลกใจนัก หากเราจะพบว่า รถในกลุ่มนี้
โดยมากจะเป็นรถที่มาจากค่ายรถยนต์ทางยุโรป
รถกลุ่มนี้เดิมทีในช่วงปี 1940 มันถูกเรียกว่า "cycle Car" ก่อนที่ 20
ปีให้หลังมันจะถูกเรียกว่า" Bubble Car" โดยวิธีจำแนกว่ารถเป็นรถ Micro
Car หรือไม่
สามารถตัดสินได้ที่ จำนวนที่นั่งที่มีเพียง 2 ที่นั่งคนขับและผู้โดยสาร 1 คน
เครื่องยนต์มีขนาดไม่เกิน 500 cc ความยาวของตัวรถไม่เกิน 3 เมตร
และมิติในห้องโดยสารนั้น มีปริมาตร 2400 ลิตรเท่านั้น
*Sub Compact Car *
รถรุ่นนี้บ้านเราน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับรถกลุ่ม B-Segment Small
Car หรือที่เราเรียกันติดปากว่า
"ซิตี้คาร์" นั่นเอง ความจริงแล้ว City Car
นั้นเป็นรถเพียงรถประเภทหนึ่งที่อยู่ในประเภทนี้
ซึ่งหากจัดตามจริงแล้ว มันยังคงเป็นรถยนต์ที่ก้ำกึ่งระหว่าง Micro Car และ Sub
Compact Car ด้วยซ้ำ
ในกลุ่ม City Car
ปัจจุบันมีรถที่ถูกผลิตขึ้นในรถยนต์กลุ่มนี้มากมายหลายรุ่นและที่วางจำหน่ายในประเทศไทยก็มีอธิNissan
March
และ toyota Yaris
ซึ่งรถกลุ่มนี้ยังรวมไปถึงรถกลุ่มที่ทางประเทศญี่ปุ่นเรียกว่าK-Car
โดยเครื่องยนต์มักจะเริ่มตั้งแต่ 500 cc จนมาถึง 1000 cc
ถัดจาก City Car มา ก็จะเป็นกลุ่ม Super Mini Car
ที่คำนี้ถูกเรียกเป็นครั้งแรกในนิตยสารในประเทศอังกฤษ
เมื่อปี 1978 แม้เราอาจจะคุ้นเคยรถยนต์นั่งในกลุ่มนี้เช่นเดียวกับในกลุ่ม City
Car แต่เป็นที่น่าแปลกว่ารถในกลุ่มนี้มันถูกจัดให้อยู่ในประเภท B-Segment
ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ซึ่งได้แก่ Ford Fiesta,Nissan Tida หรือจะเป็น รถมินิ ออสตินปี 1963
ทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่ารถที่ถูกจัดไว้ในกลุ่มนี้จะเป้น
แฮทช์แบ็คแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดีปัจจุบันรถทั้ง 2 ประเภทที่ถูกจัดในประเภท Sub Compact
นั้นเราจะเรียกมันโดยรวมว่า City Car
ซึ่งเราจะจำแนกได้โดยปริมาตรภายในห้องโดยสารที่ต้องมีขนาดมวลรวมระหว่าง2407-2803ลิตร
และเครื่องยนต์ที่มีขนาดไม่เกิน 1.5 ลิตร
*Compact Car *
รถยนต์นั่งเล็กเหล่านี้เป็นรถที่ขายดีที่สุดแทบจะในทุกตลาดเลยก็ว่าได้กับกลุ่มรถนั่งครอบครัวขนาดเล็ก
ที่บ้านเรายังขายดี
รถรุ่นนี้สามารถจำแนกได้จากโครงสร้างตัวถังที่มีขนาดใหญ่กว่ารถใน 2-3
กลุ่มแรกอย่างชัดเจนด้วยความยาวของตัวถังที่เริ่มต้นที่ 4.1 เมตร
และยาวสุดที่4.4 เมตร
สำหรับรุ่น 4 ประตู และ 4.45 เมตร สำหรับ 5 ประตู
รถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็คคาร์โดยมากจะพกเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1.5 -2.4 ลิตร
มีกำลังระหว่าง 100 แรงม้า - 170 แรงม้า
ซึ่งในบางครั้งมันจะมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.3 และ 1.4ลิตร
หรือบ้างก็ถูกปรับโฉมสไตล์แบบสปอร์ตมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 2.0 2.5
หรือบางครั้งก็พกขุมพลัง V6 3.2 ลิตรมาจากโรงงานเลยทีเดียว
สำหรับรถยนต์ประเภทนี้ที่จำหน่ายในตลาดบ้านเรามีมากมายหลายรุ่นได้แก่ Honda
civic,Mitsubishi Lancer EX,Toyota Altis และอีกมากมายหลายรุ่น
ซึ่งบางครั้งค่ายรถหลายเจ้าเรียกรถยนต์กลุ่มนี้ว่า C -Segment
*Mid-Size Car และ Entry Excutive Car *
เริ่มใหญ่ขึ้นมาอีกขั้น สำหรับรถยนต์นั่งในขนาดกลาง
หรือที่หลายคนเรียกว่า "Mid-size
Car" รถนั่งขนาดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในทวีปยุโรปบางครั้งเราจะได้ยินพวกฝรั่งเรียกว่า "Large Family Car
หรือExcutive Car"
รถประเภทนี้สามารถจำแนกได้จากระยะฐานล้อเป็นหลักที่อยู่รหว่างที่ 2667 มม.-2794
มม. และพื้นที่ในห้องโดยสาที่กว้างขวางมีปริมาตรรหะว่าง 110 คิวบิคฟุต -
119 คิวบิคฟุต
รถประเภทนี้ที่วางจำหน่ายในบ้านเราก็ได้แก่ Honda Accord,Hyundai Sonata,
Toyota Camry ,BMW Series 5 เป็นต้น โดยถ้ามองในเรื่องราคาจะมีระดับตั้งแต่ 1
ล้านบาทขึ้นไป
ทั้งนี้รถในกลุ่มนี้ยังมีอีกประเภทที่เรียกว่า "Entry Excutive Car"
ซึ่งเป็นประเภทรถที่เกิดขึ้นในแถบทวีปยุโรป
ซึ่งรถในกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีขนาดเล็กกว่ารถขนาด Mid-Size เล็กน้อย
แต่ทางด้านสมรรถนะแล้วมันกลับมาพร้อมระบบช่วงล่างสุดหนึบ เครื่องยนต์ทรงพลัง
และการตบแต่งภายที่ดีกว่า
รถในกลุ่มทั่วไปที่เราอาจจะพอเคยเห็นในรถระดับพรีเมียม อาทิ รถยี่ห้อ Lexus
ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ถูกจัดในกลุ่ม D-Segment
*Full Size- Car *
บางครั้งรถยนต์กลุ่มนี้เราก็มักจะได้ยินหลายคนเรียกว่า " Family Car"
ที่ถูกจำกัดความขึ้นในประเทศ
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
รถเก๋งขนาดใหญ่นี้มีมานานแล้วและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน
ช่วงปี 1970 หลังวิกฤติน้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าว
รถประเภทนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงไปตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน
นี่เองเป็นจุดแปรผันที่ทำให้รถยนต์นั่งประเภทนี้พัฒนาตัวเองกลายเป็นรถยนต์กลุ่มรถหรูไปในตัว
หากอยากรู้ว่ารถที่ใช้เป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่หรือไม่
ก็เพียงมองหาแคตตาล็อกแล้วลองดูว่ารถคุณมีขนาดความยาวตั้งแต่ 5,000 มม.
ขึ้นไปหรือไม่
หากเป็นในรุ่นรถหรูอาจจะยาวถึง 5,250 มม. และมีระยะระหว่างฐานล้อที่ 2,790 มม.
นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังต้องมีขนาดกว้างขวางมากถึง 3,300 ลิตรอีกด้วย
เหล่านี้เป็นเพียงประเภทรถโดยรวมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
ที่แม้จะจำแนกด้วยขนาดแต่ก็ยังมีรถยนต์ในกลุ่มรถนั่งอีก 2 ประเภทพิเศษ
ที่ถือว่าไม่เข้ากลุ่มเหล่านี้ คือ Luxury Car หรือรถยนต์หรู
ที่ถูกกำหนดให้เป็นรถยนต์ที่มีความแตกต่างพิเศษจากรถรุ่นอื่นๆในตลาด
มีการใช้วัสดุต่างๆที่ดีกว่า และรถแบบนี้เป็นรถยนต์นั่งในกลุ่ม F-Segment ของตลาด
ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับการกำหนดพิเศษขึ้นมานั้นเป็นรถยนต์ในกลุ่มรถสปอร์ตทุกประเภท
ตั้งแต่ธรรมดา ทัวร์ริ่งคาร์ โรดสเตอร์ หรือกระทั่งซุปเปอร์มูลค่าหลายล้านบาท
รถเหล่านี้ เป็นรถยนต์กลุ่มพิเศษที่เรียกว่า S-Segment Sport Coupe
*ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการจำแนกประเภทรถที่ถูกต้อง
ซึ่งมีประโยชน์ในเชิงการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพ
รวมถึงความคุ้มค่าในการตัดสินใจเลือกซื้อ
ซึ่งแม้บางครั้งจะมีความใกล้เคียงกันในเชิงราคา
แต่มูลค่าเม็ดเงินและประโยชน์ใช้สอยที่ได้กลับมานั้น
นับว่าแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว**....ในคราวหน้าเราจะกลับมาพร้อมประเภทรถที่เหลือ
โดยเฉพาะในกลุ่มรถพิเศษที่ต้องไม่ควรพลาดกัน *
ประเภทรถยนต์เหล่านี้เป้นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อต้องการจะเลือกซื้อรถยนตืที่มีราคาต่างกันผ่อนแล้วเหลือส่วนต่างไม่ถึง5000
บาท
นับว่าบางครั้งเป้นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ
การที่เรารู้จักประเภทรถยนต์อย่างถ่องแท้นั้น
ช่วยให้เรารู้ว่าเม็ดเงินที่จะเป็นค่าตัวเจ้า 4 ล้อ เหล่านี้มันคุ้มค่าหรือไม่
ซึ่งหากคุณได้รู้จักประเภทรถยนต์และศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว
ราคาและความคุ้มค่าที่จะช่วยเลือกรถยนต์คู่ใจนั้น
จะคุ้มค่ากว่าแค่เพียงฟังคำบอกเล่าจากเซลล์รถยนต์
หรือแบบรถที่ชอบ แต่วงการรถยนต์นั้นมันซับซ้อนกว่าที่เราคาดอย่างมาก
และในวันนี้ถ้าใครกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน คุณเคยทราบหรือไม่ว่า
เจ้ารถ**4 ล้อใช้งาน
ที่จะเป็นพาหนะการเดินทางนั้น แท้ที่จริงมันมีกี่แบบกันแน่?*
มีคนจำนวนมากที่ไม่เคยคิดคำถามนี้กับตัวเองก่อนจะเดินเข้าโชว์รูม
เพียงเพื่อตอบสนองต่อตัวเองถึงความสวยงามภายนอกที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานจริงของคุณก็เป็นไปได้
แล้วรถแบบไหนเหมาะกับความเป็นคุณ สรุป มันมีกี่ประเภทวันนี้
เราจะพาคุณๆไปรู้จักกัน
*Micro Car *
อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมาในหมู่บ้านเรา
แต่ถ้าเราแปลตรงตัวจากภาษาอังกฤษนั้น ก็จะได้ว่า "รถจิ๋ว"
ซึ่งบ้านเรามักจะเรียกตามวิธีของ Euro Car Segment
ที่ค่ายรถยนต์หลายเจ้าชอบเอามากล่าว
รถรุ่นนั้นมันจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม A-Segment Mini Car
รถประเภทนี้ความจริงในประเทศไทยก็มีวางจำหน่ายเหมือนกัน
โดยเฉพาะเจ้าเบนซ์สมาร์ท 2 ที่นั่ง
ที่รถในประเภทดังกล่าวจะถูกออกแบบให้ตอบสนองได้เป็นอย่างที่เขตเมืองที่มีถนนหนทางค่อนข้างแคบ
โดยเฉพาะในแถบยุโรป จึงไม่แปลกใจนัก หากเราจะพบว่า รถในกลุ่มนี้
โดยมากจะเป็นรถที่มาจากค่ายรถยนต์ทางยุโรป
รถกลุ่มนี้เดิมทีในช่วงปี 1940 มันถูกเรียกว่า "cycle Car" ก่อนที่ 20
ปีให้หลังมันจะถูกเรียกว่า" Bubble Car" โดยวิธีจำแนกว่ารถเป็นรถ Micro
Car หรือไม่
สามารถตัดสินได้ที่ จำนวนที่นั่งที่มีเพียง 2 ที่นั่งคนขับและผู้โดยสาร 1 คน
เครื่องยนต์มีขนาดไม่เกิน 500 cc ความยาวของตัวรถไม่เกิน 3 เมตร
และมิติในห้องโดยสารนั้น มีปริมาตร 2400 ลิตรเท่านั้น
*Sub Compact Car *
รถรุ่นนี้บ้านเราน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับรถกลุ่ม B-Segment Small
Car หรือที่เราเรียกันติดปากว่า
"ซิตี้คาร์" นั่นเอง ความจริงแล้ว City Car
นั้นเป็นรถเพียงรถประเภทหนึ่งที่อยู่ในประเภทนี้
ซึ่งหากจัดตามจริงแล้ว มันยังคงเป็นรถยนต์ที่ก้ำกึ่งระหว่าง Micro Car และ Sub
Compact Car ด้วยซ้ำ
ในกลุ่ม City Car
ปัจจุบันมีรถที่ถูกผลิตขึ้นในรถยนต์กลุ่มนี้มากมายหลายรุ่นและที่วางจำหน่ายในประเทศไทยก็มีอธิNissan
March
และ toyota Yaris
ซึ่งรถกลุ่มนี้ยังรวมไปถึงรถกลุ่มที่ทางประเทศญี่ปุ่นเรียกว่าK-Car
โดยเครื่องยนต์มักจะเริ่มตั้งแต่ 500 cc จนมาถึง 1000 cc
ถัดจาก City Car มา ก็จะเป็นกลุ่ม Super Mini Car
ที่คำนี้ถูกเรียกเป็นครั้งแรกในนิตยสารในประเทศอังกฤษ
เมื่อปี 1978 แม้เราอาจจะคุ้นเคยรถยนต์นั่งในกลุ่มนี้เช่นเดียวกับในกลุ่ม City
Car แต่เป็นที่น่าแปลกว่ารถในกลุ่มนี้มันถูกจัดให้อยู่ในประเภท B-Segment
ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ซึ่งได้แก่ Ford Fiesta,Nissan Tida หรือจะเป็น รถมินิ ออสตินปี 1963
ทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่ารถที่ถูกจัดไว้ในกลุ่มนี้จะเป้น
แฮทช์แบ็คแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดีปัจจุบันรถทั้ง 2 ประเภทที่ถูกจัดในประเภท Sub Compact
นั้นเราจะเรียกมันโดยรวมว่า City Car
ซึ่งเราจะจำแนกได้โดยปริมาตรภายในห้องโดยสารที่ต้องมีขนาดมวลรวมระหว่าง2407-2803ลิตร
และเครื่องยนต์ที่มีขนาดไม่เกิน 1.5 ลิตร
*Compact Car *
รถยนต์นั่งเล็กเหล่านี้เป็นรถที่ขายดีที่สุดแทบจะในทุกตลาดเลยก็ว่าได้กับกลุ่มรถนั่งครอบครัวขนาดเล็ก
ที่บ้านเรายังขายดี
รถรุ่นนี้สามารถจำแนกได้จากโครงสร้างตัวถังที่มีขนาดใหญ่กว่ารถใน 2-3
กลุ่มแรกอย่างชัดเจนด้วยความยาวของตัวถังที่เริ่มต้นที่ 4.1 เมตร
และยาวสุดที่4.4 เมตร
สำหรับรุ่น 4 ประตู และ 4.45 เมตร สำหรับ 5 ประตู
รถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็คคาร์โดยมากจะพกเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1.5 -2.4 ลิตร
มีกำลังระหว่าง 100 แรงม้า - 170 แรงม้า
ซึ่งในบางครั้งมันจะมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.3 และ 1.4ลิตร
หรือบ้างก็ถูกปรับโฉมสไตล์แบบสปอร์ตมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 2.0 2.5
หรือบางครั้งก็พกขุมพลัง V6 3.2 ลิตรมาจากโรงงานเลยทีเดียว
สำหรับรถยนต์ประเภทนี้ที่จำหน่ายในตลาดบ้านเรามีมากมายหลายรุ่นได้แก่ Honda
civic,Mitsubishi Lancer EX,Toyota Altis และอีกมากมายหลายรุ่น
ซึ่งบางครั้งค่ายรถหลายเจ้าเรียกรถยนต์กลุ่มนี้ว่า C -Segment
*Mid-Size Car และ Entry Excutive Car *
เริ่มใหญ่ขึ้นมาอีกขั้น สำหรับรถยนต์นั่งในขนาดกลาง
หรือที่หลายคนเรียกว่า "Mid-size
Car" รถนั่งขนาดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในทวีปยุโรปบางครั้งเราจะได้ยินพวกฝรั่งเรียกว่า "Large Family Car
หรือExcutive Car"
รถประเภทนี้สามารถจำแนกได้จากระยะฐานล้อเป็นหลักที่อยู่รหว่างที่ 2667 มม.-2794
มม. และพื้นที่ในห้องโดยสาที่กว้างขวางมีปริมาตรรหะว่าง 110 คิวบิคฟุต -
119 คิวบิคฟุต
รถประเภทนี้ที่วางจำหน่ายในบ้านเราก็ได้แก่ Honda Accord,Hyundai Sonata,
Toyota Camry ,BMW Series 5 เป็นต้น โดยถ้ามองในเรื่องราคาจะมีระดับตั้งแต่ 1
ล้านบาทขึ้นไป
ทั้งนี้รถในกลุ่มนี้ยังมีอีกประเภทที่เรียกว่า "Entry Excutive Car"
ซึ่งเป็นประเภทรถที่เกิดขึ้นในแถบทวีปยุโรป
ซึ่งรถในกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีขนาดเล็กกว่ารถขนาด Mid-Size เล็กน้อย
แต่ทางด้านสมรรถนะแล้วมันกลับมาพร้อมระบบช่วงล่างสุดหนึบ เครื่องยนต์ทรงพลัง
และการตบแต่งภายที่ดีกว่า
รถในกลุ่มทั่วไปที่เราอาจจะพอเคยเห็นในรถระดับพรีเมียม อาทิ รถยี่ห้อ Lexus
ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ถูกจัดในกลุ่ม D-Segment
*Full Size- Car *
บางครั้งรถยนต์กลุ่มนี้เราก็มักจะได้ยินหลายคนเรียกว่า " Family Car"
ที่ถูกจำกัดความขึ้นในประเทศ
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
รถเก๋งขนาดใหญ่นี้มีมานานแล้วและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน
ช่วงปี 1970 หลังวิกฤติน้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าว
รถประเภทนี้ก็ได้รับความนิยมน้อยลงไปตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน
นี่เองเป็นจุดแปรผันที่ทำให้รถยนต์นั่งประเภทนี้พัฒนาตัวเองกลายเป็นรถยนต์กลุ่มรถหรูไปในตัว
หากอยากรู้ว่ารถที่ใช้เป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่หรือไม่
ก็เพียงมองหาแคตตาล็อกแล้วลองดูว่ารถคุณมีขนาดความยาวตั้งแต่ 5,000 มม.
ขึ้นไปหรือไม่
หากเป็นในรุ่นรถหรูอาจจะยาวถึง 5,250 มม. และมีระยะระหว่างฐานล้อที่ 2,790 มม.
นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังต้องมีขนาดกว้างขวางมากถึง 3,300 ลิตรอีกด้วย
เหล่านี้เป็นเพียงประเภทรถโดยรวมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
ที่แม้จะจำแนกด้วยขนาดแต่ก็ยังมีรถยนต์ในกลุ่มรถนั่งอีก 2 ประเภทพิเศษ
ที่ถือว่าไม่เข้ากลุ่มเหล่านี้ คือ Luxury Car หรือรถยนต์หรู
ที่ถูกกำหนดให้เป็นรถยนต์ที่มีความแตกต่างพิเศษจากรถรุ่นอื่นๆในตลาด
มีการใช้วัสดุต่างๆที่ดีกว่า และรถแบบนี้เป็นรถยนต์นั่งในกลุ่ม F-Segment ของตลาด
ส่วนอีกกลุ่มที่ได้รับการกำหนดพิเศษขึ้นมานั้นเป็นรถยนต์ในกลุ่มรถสปอร์ตทุกประเภท
ตั้งแต่ธรรมดา ทัวร์ริ่งคาร์ โรดสเตอร์ หรือกระทั่งซุปเปอร์มูลค่าหลายล้านบาท
รถเหล่านี้ เป็นรถยนต์กลุ่มพิเศษที่เรียกว่า S-Segment Sport Coupe
*ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการจำแนกประเภทรถที่ถูกต้อง
ซึ่งมีประโยชน์ในเชิงการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพ
รวมถึงความคุ้มค่าในการตัดสินใจเลือกซื้อ
ซึ่งแม้บางครั้งจะมีความใกล้เคียงกันในเชิงราคา
แต่มูลค่าเม็ดเงินและประโยชน์ใช้สอยที่ได้กลับมานั้น
นับว่าแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว**....ในคราวหน้าเราจะกลับมาพร้อมประเภทรถที่เหลือ
โดยเฉพาะในกลุ่มรถพิเศษที่ต้องไม่ควรพลาดกัน *
ประเภทรถยนต์เหล่านี้เป้นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อต้องการจะเลือกซื้อรถยนตืที่มีราคาต่างกันผ่อนแล้วเหลือส่วนต่างไม่ถึง5000
บาท
นับว่าบางครั้งเป้นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ
การที่เรารู้จักประเภทรถยนต์อย่างถ่องแท้นั้น
ช่วยให้เรารู้ว่าเม็ดเงินที่จะเป็นค่าตัวเจ้า 4 ล้อ เหล่านี้มันคุ้มค่าหรือไม่
ซึ่งหากคุณได้รู้จักประเภทรถยนต์และศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว
ราคาและความคุ้มค่าที่จะช่วยเลือกรถยนต์คู่ใจนั้น
จะคุ้มค่ากว่าแค่เพียงฟังคำบอกเล่าจากเซลล์รถยนต์
16 ก.ย. 2553
10 วิธี บิ้วด์ฮอร์โมนเพศชายให้เป็นหนุ่มสุขภาพดี แก่ช้า ไม่ลงพุง
หนุ่มคนไหนอยากมีสุขภาพแข็งแรง เป็นหนุ่มนานๆ มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
ต้องตาติดใจสาวๆ ฟังทางนี้ เพียงทำตาม 10
วิธีที่เรากำลังจะบอกก็จะทำให้ฮอร์โมนเพศชาย(เทสโทสเทอโรน) ของคุณเพิ่มขึ้น
ซึ่งฮอร์โมนนี้เป็นส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมัน
สร้างกล้ามเนื้อทำให้เปอร์เซ็นต์การเป็นมะเร็งน้อยลง สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น
และที่สำคัญคือแก่ช้าลง แต่ถ้าไม่มีฮอร์โมนนี้อารมณ์ทางเพศก็จะลดน้อย
เหนื่อยง่าย เก็บสะสมไขมันเยอะ กลายเป็นหนุ่มลงพุงไปในที่สุด
รู้อย่างนี้อย่ารอช้ารีบมาเพิ่มฮอร์โมนกันเถอะ
* 1.ออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก *ซึ่ง
จะช่วยให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายออกมานานถึง 48 ชั่วโมง
นั่นหมายถึงว่าคุณจะมีฮอร์โมนเพศชายมาช่วยดูแลร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญไขมันดีขึ้น สร้างกล้ามเนื้อดีขึ้นไปถึง 48 ชั่วโมง
ต่อการยกน้ำหนัก 1 ครั้งเลย
สำหรับการยกที่ดีคือการยกที่ใช้กล้ามเนื้อมากกว่ามัดเดียว อย่างเช่น
ท่าที่ต้องใช้ทั้งหลัง แขน อก ไหล่ แต่ก็ควรระวังคือ
ควรเริ่มการยกจากน้ำหนักน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ยกครั้งแรกก็ใช้น้ำหนักมากเลย เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
*2.ดูกีฬา *อาจ จะงงว่าทำไมดูกีฬาแล้วฮอร์โมนเพศชายถึงสูงขึ้นได้
นั่นก็เพราะว่าการดูกีฬาโดยเฉพาะได้เชียร์ทีมที่คุณชอบจะทำให้ร่างกายเรา
ตื่นเต้น มีความสุข และทำให้ฮอร์โมนเพศชายพุ่งสูงขึ้นประมาณ 15-20%
ยิ่งถ้าทีมที่คุณเชียร์ชนะ
และทำให้คุณเกิดอาการดีใจและมีความสุขมาจากจิตใต้สำนึก
ฮอร์โมนเพศชายจะเพิ่มสูงขึ้นเกิน 20% แต่ถ้าทีมแพ้จะเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 10%
แต่แม้ว่าทีมที่คุณเชียร์จะแพ้หรือชนะ
ยังไงก็ยังช่วยเพิ่มฮอร์โมนให้คุณอยู่ดีนี่นา
*3.กินไขมันดี *ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน
ที่พบมากในน้ำมันมะกอกน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน
และไขมันโอเมก้า 3 6 9 ที่พบในปลา ถั่ว อโวคาโด้
ไขมันพวกนี้สามารถกินเยอะได้ไม่อ้วน และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนเพศชาย
ถ้ามีเยอะร่างกายก็ยิ่งพัฒนา และซ่อมแซมตัวเองได้ดี
* 4.กินไข่ *คน ชอบคิดว่ากินไข่แล้วไม่ดี มีคอเลสเตอรอลเยอะ
ซึ่งไม่จริง เพราะคอเลสเตอรอลจากไข่เป็นคอเลสเตอรอลดี (HDL)
ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพื่อใช้สร้างและซ่อมแซมร่างกาย
แล้วในไข่ยังมีธาตุสังกะสี วิตามินบี ที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชายด้วย
* 5.ออกกำลังกายแค่พอเหมาะและผ่อนคลายบ้าง *บาง
คนชอบคิดว่าเราต้องออกกำลังกายเยอะๆ ไม่งั้นเดี๋ยวอ้วน เดี๋ยวสุขภาพไม่ดี
เดี๋ยวไม่มีกล้าม นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด ในทางกลับกันถ้าเราไม่พัก
เอาแต่ออกกำลังกายหนักๆ ทุกวันร่างกายเราก็จะเครียด
มีพลังงานไม่เพียงพอต่อการสร้างกล้ามเนื้อ
และยังทำให้ฮอร์โมนไม่มีเวลาเพียงพอในการสร้างตัว
ซ้ำร้ายยังทำให้ร่างกายเครียดเข้าไปอีก เพราะต้องรีบซ่อมแซม ดังนั้น
อย่าออกกำลังกายมากเกินไป ควรออกประมาณ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว
* 6.นอนให้พอ *เคย มีพิสูจน์มาแล้วว่าคนที่นอนไม่พอฮอร์โมนจะตกไป
30% แล้วก็จะทำให้เก็บสะสมไขมันมากขึ้น ดังนั้น ควรนอนให้พอ ผู้ใหญ่อย่างน้อย 8
ชั่วโมง ที่สำคัญควรนอนให้เป็นเวลา อย่างเคยนอน 3 ทุ่ม แล้วตื่น 6 โมงเช้า
ก็ควรทำให้เป็นประจำ
ซึ่งการนอนในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว
* 7.กินกะหล่ำ *ผล การวิจัยจาก Rockefeller University
ในนิวยอร์กบอกไว้ว่าในกะหล่ำจะมีสารอินโด 3 คาร์มินอล (indole 3-carbinol) หรือ
IC3 ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่างๆ
ขึ้นมาได้เยอะแล้วผลการวิจัยยังบอกอีกว่าคนที่เพิ่งได้รับสาร IC3
จะทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงลดลงไปถึง 50% ซึ่งสำหรับสาวๆ แล้วอาจจะไม่ดี
แต่สำหรับผู้ชายถือว่าดีมากเชียวละ
* 8.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ *หรือ ดื่มให้น้อยที่สุด
เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติโซนหลั่งออกมามากเป็น
พิเศษ ซึ่งปกติแล้วฮอร์โมนคอร์ติโซนนี้จะหลั่งออกมาตอนที่เราเครียด
แล้วส่งผลทำให้เกิดการเก็บไขมันมากขึ้น แถมยังลดกล้ามเนื้อ ดังนั้น
ถ้าอยากมีกล้ามโตๆ ไว้อวดใครๆ ก็ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ได้แล้ว
* 9.กินวิตามินอีเยอะๆ *วิตามิน อีเป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่
มีสารด้านอนุมูลอิสระที่คอยปกป้องเซลล์ไม่ให้เกิดความเสียหาย
และถ้ากินวิตามินอีในปริมาณ 1,300 IU/วันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี
จะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง
นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี
วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น
เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ
จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น
* 10.โดนแดดบ้าง *อย่า มัวกลัวตัวดำแล้วหลบแดดอยู่แต่ในบ้าน
ออกไปข้างนอกให้ร่างกายสัมผัสแดดบ้าง อย่างน้อยสักวันละ 15-20 นาที
นอกจากจะได้รับวิตามินดีแล้ว ยังจะทำให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นมา 120-200%
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นแดดตอนเที่ยงนะ แดดช่วงเช้าหรือเย็นจะดีที่สุด
อาจจะเลือกวิธีโดนแดดด้วยการวิ่งตอนเช้าก็จะทำให้สุขภาพดีควบคู่ด้วย
*เห็น ไหมล่ะ 10
วิธีการเป็นหนุ่มสุขภาพดีพลังแมนเกินร้อยไม่ยากอย่างดีคิด
ทำแล้วรับรองว่าคุณจะกลายเป็นหนุ่มตลอดกาลที่สุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยากเลย** *
**
ต้องตาติดใจสาวๆ ฟังทางนี้ เพียงทำตาม 10
วิธีที่เรากำลังจะบอกก็จะทำให้ฮอร์โมนเพศชาย(เทสโทสเทอโรน) ของคุณเพิ่มขึ้น
ซึ่งฮอร์โมนนี้เป็นส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมัน
สร้างกล้ามเนื้อทำให้เปอร์เซ็นต์การเป็นมะเร็งน้อยลง สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น
และที่สำคัญคือแก่ช้าลง แต่ถ้าไม่มีฮอร์โมนนี้อารมณ์ทางเพศก็จะลดน้อย
เหนื่อยง่าย เก็บสะสมไขมันเยอะ กลายเป็นหนุ่มลงพุงไปในที่สุด
รู้อย่างนี้อย่ารอช้ารีบมาเพิ่มฮอร์โมนกันเถอะ
* 1.ออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนัก *ซึ่ง
จะช่วยให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายออกมานานถึง 48 ชั่วโมง
นั่นหมายถึงว่าคุณจะมีฮอร์โมนเพศชายมาช่วยดูแลร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญไขมันดีขึ้น สร้างกล้ามเนื้อดีขึ้นไปถึง 48 ชั่วโมง
ต่อการยกน้ำหนัก 1 ครั้งเลย
สำหรับการยกที่ดีคือการยกที่ใช้กล้ามเนื้อมากกว่ามัดเดียว อย่างเช่น
ท่าที่ต้องใช้ทั้งหลัง แขน อก ไหล่ แต่ก็ควรระวังคือ
ควรเริ่มการยกจากน้ำหนักน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ยกครั้งแรกก็ใช้น้ำหนักมากเลย เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
*2.ดูกีฬา *อาจ จะงงว่าทำไมดูกีฬาแล้วฮอร์โมนเพศชายถึงสูงขึ้นได้
นั่นก็เพราะว่าการดูกีฬาโดยเฉพาะได้เชียร์ทีมที่คุณชอบจะทำให้ร่างกายเรา
ตื่นเต้น มีความสุข และทำให้ฮอร์โมนเพศชายพุ่งสูงขึ้นประมาณ 15-20%
ยิ่งถ้าทีมที่คุณเชียร์ชนะ
และทำให้คุณเกิดอาการดีใจและมีความสุขมาจากจิตใต้สำนึก
ฮอร์โมนเพศชายจะเพิ่มสูงขึ้นเกิน 20% แต่ถ้าทีมแพ้จะเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 10%
แต่แม้ว่าทีมที่คุณเชียร์จะแพ้หรือชนะ
ยังไงก็ยังช่วยเพิ่มฮอร์โมนให้คุณอยู่ดีนี่นา
*3.กินไขมันดี *ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน
ที่พบมากในน้ำมันมะกอกน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน
และไขมันโอเมก้า 3 6 9 ที่พบในปลา ถั่ว อโวคาโด้
ไขมันพวกนี้สามารถกินเยอะได้ไม่อ้วน และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนเพศชาย
ถ้ามีเยอะร่างกายก็ยิ่งพัฒนา และซ่อมแซมตัวเองได้ดี
* 4.กินไข่ *คน ชอบคิดว่ากินไข่แล้วไม่ดี มีคอเลสเตอรอลเยอะ
ซึ่งไม่จริง เพราะคอเลสเตอรอลจากไข่เป็นคอเลสเตอรอลดี (HDL)
ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพื่อใช้สร้างและซ่อมแซมร่างกาย
แล้วในไข่ยังมีธาตุสังกะสี วิตามินบี ที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชายด้วย
* 5.ออกกำลังกายแค่พอเหมาะและผ่อนคลายบ้าง *บาง
คนชอบคิดว่าเราต้องออกกำลังกายเยอะๆ ไม่งั้นเดี๋ยวอ้วน เดี๋ยวสุขภาพไม่ดี
เดี๋ยวไม่มีกล้าม นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด ในทางกลับกันถ้าเราไม่พัก
เอาแต่ออกกำลังกายหนักๆ ทุกวันร่างกายเราก็จะเครียด
มีพลังงานไม่เพียงพอต่อการสร้างกล้ามเนื้อ
และยังทำให้ฮอร์โมนไม่มีเวลาเพียงพอในการสร้างตัว
ซ้ำร้ายยังทำให้ร่างกายเครียดเข้าไปอีก เพราะต้องรีบซ่อมแซม ดังนั้น
อย่าออกกำลังกายมากเกินไป ควรออกประมาณ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ก็เพียงพอแล้ว
* 6.นอนให้พอ *เคย มีพิสูจน์มาแล้วว่าคนที่นอนไม่พอฮอร์โมนจะตกไป
30% แล้วก็จะทำให้เก็บสะสมไขมันมากขึ้น ดังนั้น ควรนอนให้พอ ผู้ใหญ่อย่างน้อย 8
ชั่วโมง ที่สำคัญควรนอนให้เป็นเวลา อย่างเคยนอน 3 ทุ่ม แล้วตื่น 6 โมงเช้า
ก็ควรทำให้เป็นประจำ
ซึ่งการนอนในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว
* 7.กินกะหล่ำ *ผล การวิจัยจาก Rockefeller University
ในนิวยอร์กบอกไว้ว่าในกะหล่ำจะมีสารอินโด 3 คาร์มินอล (indole 3-carbinol) หรือ
IC3 ซึ่งเป็นตัวช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่างๆ
ขึ้นมาได้เยอะแล้วผลการวิจัยยังบอกอีกว่าคนที่เพิ่งได้รับสาร IC3
จะทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงลดลงไปถึง 50% ซึ่งสำหรับสาวๆ แล้วอาจจะไม่ดี
แต่สำหรับผู้ชายถือว่าดีมากเชียวละ
* 8.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ *หรือ ดื่มให้น้อยที่สุด
เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติโซนหลั่งออกมามากเป็น
พิเศษ ซึ่งปกติแล้วฮอร์โมนคอร์ติโซนนี้จะหลั่งออกมาตอนที่เราเครียด
แล้วส่งผลทำให้เกิดการเก็บไขมันมากขึ้น แถมยังลดกล้ามเนื้อ ดังนั้น
ถ้าอยากมีกล้ามโตๆ ไว้อวดใครๆ ก็ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ได้แล้ว
* 9.กินวิตามินอีเยอะๆ *วิตามิน อีเป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่
มีสารด้านอนุมูลอิสระที่คอยปกป้องเซลล์ไม่ให้เกิดความเสียหาย
และถ้ากินวิตามินอีในปริมาณ 1,300 IU/วันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี
จะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง
นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี
วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น
เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ
จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น
* 10.โดนแดดบ้าง *อย่า มัวกลัวตัวดำแล้วหลบแดดอยู่แต่ในบ้าน
ออกไปข้างนอกให้ร่างกายสัมผัสแดดบ้าง อย่างน้อยสักวันละ 15-20 นาที
นอกจากจะได้รับวิตามินดีแล้ว ยังจะทำให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นมา 120-200%
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นแดดตอนเที่ยงนะ แดดช่วงเช้าหรือเย็นจะดีที่สุด
อาจจะเลือกวิธีโดนแดดด้วยการวิ่งตอนเช้าก็จะทำให้สุขภาพดีควบคู่ด้วย
*เห็น ไหมล่ะ 10
วิธีการเป็นหนุ่มสุขภาพดีพลังแมนเกินร้อยไม่ยากอย่างดีคิด
ทำแล้วรับรองว่าคุณจะกลายเป็นหนุ่มตลอดกาลที่สุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยากเลย** *
**
15 ก.ย. 2553
เขาทำดินสอกันยังไง
เคยสงสัยกันไหมครับว่า เขาทำดินสอกันยังไง
บางคนอาจคิดว่าเขาเจาะรูไม้แล้วใส่ไส้ดินสอเข้าไป ดูจากลักษณะดินสอ
เขาก็น่าจะทำแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วใช้วิธีอื่น
บริษัทผลิตดินสอเริ่มกรรมวิธีทำดินสอโดยนำไม้สน (cedar) มาตัดเป็นแผ่นบาง ๆ กว้างยาวประมาณ ๒ ๓/๔ นิ้ว คูณ ๗ ๑/๔ นิ้ว และหนาไม่เกิน ๑/๔ นิ้ว นำไม้แผ่นไปเข้าเครื่องเซาะร่องตามความยาวไม้ แผ่นหนึ่งเซาะได้ประมาณสี่ถึงเก้าร่องขึ้นอยู่กับขนาดของดินสอที่จะทำ จากนั้นนำไส้ดินสอความยาว ๗ นิ้ววางลงไปในแต่ละร่อง ไส้ดินสอนี้ทำจากกราไฟต์ ดินเหนียว และน้ำเล็กน้อย จุ่มในขี้ผึ้งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทนทาน
ขั้นตอนต่อไป คือ นำไม้ขนาดเท่ากันอีกแผ่นที่เซาะร่องแล้วมาประกบทับลงไป โดยยึดติดกันด้วยกาวอุตสาหกรรมคุณภาพสูง จะได้แผ่นไม้ที่มีไส้ดินสอเรียงแถวเป็นไส้ในอยู่ตรงกลาง จากนั้นใช้เครื่องตัดตัดแผ่นไม้ออกมาเป็นดินสอจำนวนเท่ากับไส้ ขั้นตอนสุดท้ายคือทาสีและนำยางลบมาติดกาวเข้ากับก้นดินสอ เป็นอันเสร็จกระบวนการ
ตามสถิติบอกว่า บริษัทผลิตดินสอชื่อดังแห่งหนึ่งในอเมริกาทำดินสอได้ ๕๗๖,๐๐๐ แท่งในเวลาเพียงแปดชั่วโมง
เจาะลึกโหงวเฮ้ง ใบหน้าหญิงแบบไหนวาสนาดี มีสามีล่ำซำ!
อีกศาสตร์การพยากรณ์สุดฮิต การดู “ โหงวเฮ้ง ” ที่หลายคนนิยมศึกษาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ในการอ่านเข้าไปถึงส่วนลึกความเป็นคนของคนๆ นั้น ว่ามีนิสัยใจคออย่างไร เชื่อใจได้มั้ย ซื่อสัตย์รึเปล่า เหมาะแก่การทำธุรกิจร่วมหรือไม่ ไว้ใจจ้างเป็นลูกน้องด้วยโอเคป่ะ กระทั่งหน้าตาแบบนี้ถ้าจะแต่งงานเป็นคู่ผัวตัวเมีย จะสนับสนุนเกื้อกูลกัน หรือนำความเดือดร้อนมาให้..อะไรทำนองนี้
เมื่อหลายคนนำเรื่องการดูโหงวเฮ้ง มาใช้ประโยชน์กันซะขนาดนี้ เรามารู้กันค่ะว่า แท้จริงแล้ว โหงวเฮ้ง คืออะไร นำมาทำนายอะไรได้บ้าง และที่สำคัญ โหงวเฮ้งที่ดีสำหรับผู้หญิงเราเป็นยังไงน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวาสนาความรัก งานเงิน ตลอดจนครอบครัวสามี-ลูก-หลาน ทว่าเรื่องนี้ต้องกาดอกจันทร์ไว้ก่อนว่า *เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
เราได้รับเกียรติจาก อ.สุวิมล พันธุ์วิชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิต ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์โหงวเฮ้ง (ภรรยาของอ.ภานุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดังผู้เชี่ยวชาญการดูฮวงจุ้ย) คุยกับเราในประเด็นนี้อย่างละเอียดเลยค่ะ เกริ่นนำให้เรารู้จักถึงความหมายของโหงวเฮ้ง
“โหงวเฮ้ง เป็นศาสตร์ที่มหัศจรรย์ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการดูหน้าคน แล้วบอกได้ว่า คนนี้หน้าตาดี หน้าตาสวย หน้าตามีเสน่ห์ แต่มันบ่งบอกได้ถึงความสุขสบายในชีวิตของคนนั้นๆ ด้วย”
อ.สุวิมลบอกว่า หากแปลตามความหมายจริงๆ การดูโหงวเฮ้ง ก็คือ การดูส่วนประกอบบนใบหน้า 5 จุด ซึ่งประกอบด้วย หู ตา จมูก ปาก และหน้าผาก แต่แท้จริงแล้ว หากเราจะทำนาย ทายทักบุคคลในเรื่องของโหงวเฮ้งนั้น ส่วนอื่นๆ ก็สามารถนำมาประกอบได้ ทั้งคิ้ว คาง เสียง ผิวพรรณ รวมถึงนิ้วมือด้วยค่ะ และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ สามารถนำไปสำรวจโหวงเฮ้งของตัวเอง และคนข้างได้ เราแยกย่อยมาเป็นส่วนๆ ดังนี้จ้า
ตำแหน่งที่1 : หู
ต้องเป็นขอบชีส ติ่งหูใหญ่ ลูกหลานเชื่อฟัง
หู คือ อวัยวะส่วนแรกของการดูโหงวเฮ้งค่ะ ซึ่งหมอดูโหวงเฮ้งของเราบอกว่า ต้องขอบหูใหญ่ๆ หนาๆ เหมือนขอบชีสของพิซซ่า ถึงจะดี ซึ่งหูนี้บอกได้ถึงเรื่องชีวิตในวัยเด็กว่าเป็นอย่างไร ขณะที่ติ่งหู จะเป็นการทำนายได้ว่าลูกหลานจะกตัญญูหรือไม่
“อันดับแรกของการดูโหงวเฮ้งก็คือ ต้องดูหูก่อน คนไหนถ้าขอบหูหนาๆ ใหญ่ๆ ให้นึกถึงพิซซ่าขอบชีส ซึ่งบ่งบอกว่าคนๆ นั้นมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าขอบหูบางๆ ไม่มีขอบ เมื่อวัยเด็กจะมีปัญหาอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ สุขภาพอาจจะไม่ค่อยแข็งแรงในวัยเด็ก อาจจะป่วยไม่สบายบ่อย, อาจต้องพลัดพรากจากบ้านเกิด, และความรักจากพ่อแม่ก็อาจจะมีจำกัด เช่น พ่อแม่อาจรับราชการ แต่ตัวเองต้องไปอยู่กับญาติ พี่ป้า น้าอา
แต่คนไหนถ้าขอบหูด้านใน หรือกระดูกอ่อนด้านข้างหู พลิกออกมา จะเป็นคนพูดจาตรงๆ ขวานผ่าซาก บางทีพูดจาแบบฉันไม่สนใจ ฉันพูดเรื่องจริง แต่บางครั้งพอพูดไปแล้ว ก็มานั่งคิดว่า ไม่น่าพูดคำนั้นออกไปเลยนะ
ส่วนคนไหนที่มีติ่งหูยาวสวย (คล้ายติ่งหูพระพุทธรูป) แบบนี้ลูกจะรักจะเชื่อฟัง ลูกหลานจะกตัญญู เพราะว่าหูก็คือดึงลูกเข้ามาใกล้ชิดในบั้นปลายชีวิต แต่บางคนติ่งหูไม่ค่อยมี ก็จะบอกได้ว่า หนึ่ง-มีลูกยาก สอง-ถึงแม้มีลูก ลูกก็จะไม่ใกล้ชิดมาก ถ้าไม่ค่อยมีติ่งหูแบบนี้ต้องเลี้ยงลูกแบบเพื่อน”
ตำแหน่งที่2 : หน้าผาก และขมับ
สามีเลี้ยงดูปูเสื่อดีแค่ไหน ดูกันตรงนี้
“หน้าผากสูงๆ เป็นคนที่ขวนขวายหาความรู้ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การยอมรับ เรียกได้ว่าคนแบบนี้ส่วนใหญ่ปริญญาใบเดียวไม่พอ แต่หากมีหน้าผากกว้าง แสดงว่าการเลี้ยงดูจากครอบครัวคุณดี อุดมสมบูรณ์” อ.สุวิมล อธิบายต่อในส่วนของขมับว่า เป็นส่วนที่บอกได้ว่าคู่ครองจะดูแลเราดีแค่ไหน โดยแบ่งได้ 3 ระดับของการดูแลคือ แบบค็อกเทล แบบบุฟเฟ่ต์ และแบบโต๊ะจีน อ.เปรียบเทียบซะเก๋เชียว แถมได้ความหมายชัดเจนด้วยค่ะ
หน้าผาก แคบ และบุบ สาวๆ ที่มีหน้าผากแบบนี้ถ้าได้สามีเลี้ยงแบบ “ค็อกเทล” นั่นคือ โต๊ะให้นั่งก็ไม่มี ต้องลุกไปจิ้มกินเอง หากินเอง เรียกได้ว่า หากคิดจะอิ่มท้องอยู่สบาย ก็ต้องพึ่งลำแข้งตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่
ขมับกว้าง แต่บุบเข้าไปบ้าง ถ้ามีหน้าผากแบบนี้ จะได้รับการเลี้ยงดูแบบ “บุฟเฟ่ต์” แบบนี้จะดีกว่าคอกเทลนะคะ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีโต๊ะให้นั่ง มีของให้กินเยอะกว่า อันนี้ประมาณว่า สามีดูแลดีระดับปานกลางค่ะ อาจไม่หรูหรา แต่ก็กินอิ่มนอนหลับ
หน้าผากเต็ม กว้าง อิ่มเอิบ บรรดาสาวหน้าใหญ่ที่มักบ่นว่า ตัวเองหน้ากลม หน้าผากกว้าง ได้มีเฮ ก็คราวนี้เพราะตามหลักโหวงเฮ้งแล้ว หน้าผากแบบนี้ (แบบที่เหมือนอาซ้อร้านทองทั่วไปเป็น) เค้าเรียกว่าสามีจะเลี้ยงแบบ “โต๊ะจีน” มีมาเสิร์ฟถึงที่ กินได้อุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่า สามีเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เอาอกเอาใจเป็นที่สุด … น่าอิจฉาซะ!
อะฮ้า สาวๆ เจ้าของหน้าผากแคบ อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจในวาสนานะคะ อ.ฝากบอกว่า ถ้ารู้ว่าอะไรไม่ ก็ทำใจ และเตรียมปรับตัวดีกว่าค่ะ
“พอเรารู้แบบนี้ เราจะได้ไม่ต้องเครียดมานั่งคิดว่า ทำไมสามีไม่ค่อยดูแล เขามีคนอื่นมั้ย ไม่ใช่ค่ะ แต่เป็นเพราะว่าขมับของเราแคบ ไม่สามารถดึงให้เขามาเอาใจเราได้ ดังนั้นเราต้องยอมรับ แล้วด้วยนิสัยของบางคน ก็อาจจะเป็นคนเก่ง ชอบดูแลตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาเจ๊าะแจ๊ะดูแลมากมายอยู่แล้ว ถ้าสามีไม่มาวอแวมาก อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ”
อ.ยังแนะให้ทำผมเปิดหน้าผากด้วยค่ะ
“เรื่องการทำผม ที่ว่าต้องพยายามเปิดหน้าผาก อันนั้นเรื่องจริงค่ะ เพราะหน้าผากเราก็เหมือนฟ้า คนจีนแมนจู กร้อนผมไปครึ่งกระหม่อมเลย อย่างนั้นเขาเรียกว่าฟ้าเปิด ตามหลักลูกหลานคนจีนมักจะให้เปิดผม เพื่อเปิดฟ้า เปิดความสว่างให้ชีวิต”
ตำแหน่งที่3 : ตา
ตาโปนอาภัพคู่ ตาเล็กเฉียงขึ้นได้สามีดีนักเชียว
“ดวงตา เป็นหน้าต่างของดวงใจ ตาขาวต้องขาวสดใส ตาดำต้องดำเป็นนิล ถึงแม้เป็นฝรั่งตาน้ำข้าว จะตาสีฟ้า ก็ต้องฟ้าใส ต้องดูสดใส และรูปลักษณ์ในดวงตาก็บ่งบอกถึงชีวิตคู่ได้ ผู้หญิงคนไหน ถ้าตาโตๆ โปนเหมือนปลาทอง จะเป็นคนที่อาภัพความรัก ได้คู่ก็ไม่ได้คู่ที่ทำให้สบายใจ”
แต่แม่สาวตาปลาทองทั้งหลาย อย่าเพิ่งเศร้าไปค่ะ เพราะ อ.แม่ของเราบอกว่าแก้ไขได้ ทว่าต้องจำหลัก 3 ประการไว้ให้มั่น นั่นคือ แต่งงานอายุ 30 อัพ /แต่งกับพ่อหม้าย /แต่งกับหนุ่มอายุห่างจากเราเกิน 1 รอบ
“คนตาโปนถ้าอยากมีคู่ดี วิธีแก้ก็คือ หนึ่ง-ต้องแต่งงานให้ถูกหลักการ หมายถึงต้องแต่งงานหลังอายุ 30 ไปแล้ว สอง-แต่งงานกับผู้ชายที่อายุแก่กว่าเรา 1 รอบ สาม-แต่งงานกับผู้ชายที่เป็นพ่อหม้ายก็ได้
อย่าง "คุณกบ" ปภัสรา เตชะไพบูลย์ ถึงเขาจะมีตาโปน แต่เขาแต่งงานถูกหลักการ เขาได้สามีอายุเยอะ เป็นพ่อหม้าย ตอนนี้ก็กลายเป็นคุณนายกบไปแล้ว หรือ "คุณปุ๋ย" พรทิพย์ นาคหิรัญกนก ตอนได้คนที่อายุไล่เลี่ยกัน ก็เลิกลากันไป แต่พอไปได้สามีอายุ 60 เดี๋ยวนี้คุณปุ๋ยสบายเลย ดังนั้นถ้าคุณตาโปน คุณต้องยึดหลัก 3 อย่างนี้ไว้ แต่ถ้าคุณตาโปน แล้วคุณไปแต่งงานกับผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกัน พูดได้เลย 99% ไม่จากเป็น ก็จากตาย”
แล้วตาแบบไหนที่เรียกว่าดีล่ะคะ?
“รูปนัยน์ตาต้องเฉียงขึ้น หางตาเฉียงขึ้นมา แต่บางคนเฉียงขึ้นแล้วโปน ก็ไม่ได้ ต้องเฉียงขึ้นแล้วตาเล็กๆ ด้วย ตาลูกคนจีนดีที่สุด อาหมวยนี่แหล่ะดีที่สุด ส่วนตาชั้นเดียวหรือสองชั้นไม่จำเป็น ขอแค่รูปนัยน์ตาเรียวเล็ก และแววตาต้องมีประกายสดใสด้วย และหากเราไปมองตาใคร แล้วเราต้องหลบตาเขา แสดงว่าดวงตาของคนนั้นมีอำนาจ มีพลังแห่งชีวิต ถือเป็นโหวงเฮ้งที่ดี
อีกอย่างคือ ตามีเสน่ห์ ซึ่งอันนี้ไม่ใช่อยู่ที่นัยน์ตา แต่อยู่ที่แววตาค่ะ ผู้หญิงที่แววตามีเสน่ห์ จะมีผู้ชายเข้ามาพัวพันเจ๊าะแจ๊ะตลอด หนีไม่พ้น แต่มาแล้วก็ผ่านไป ซึ่งตาผู้หญิงที่มีเสน่ห์ ก็จะหยาดเยิ้ม เหมือนอย่าง "คุณพลอย" เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ น่ะค่ะ ตาเธอจะหวานเยิ้ม มีเสน่ห์”
*TIPS ตาแบบไหน ต้องระวัง หลีกให้ไกล!
ตาลอย อ.สุวิมลอธิบายคนลักษณะตาลอยว่า
“คนตาลอยจะมีลักษณะแบบตาดำเขาจะลอยขึ้น แล้วเห็นตาขาว 3 ด้าน คือ มุมซ้าย มุมขวา แล้วก็ด้านล่าง เหมือนกับตาดำลอยอยู่ข้างบน ซึ่งคนตาแบบนี้บ่งบอกได้ว่า เป็นคนที่ไม่มีน้ำใจ ทำดีแค่ไหน ถ้าคุณทำผิดแค่ครั้งเดียว เขาไม่เอาคุณเลย และจะเป็นเรื่องของการตายแบบตายร้าย บางคนก็กระโดดตึกตาย ฆ่าตัวตาย”
อ.แนะติดตลกแต่จริงว่า หากเวลาไปเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ เจอคนตาลอยอยู่ในกรุ๊ปทัวร์ จงเลี่ยงไม่ไปเลยดีกว่า เพราะเดี๋ยวเจออุบัติเหตุร่วมเคราะห์ไปด้วย หุหุ
ตาสามเหลี่ยม คนที่ตาสามเหลี่ยม เป็นชั้นขึ้นมา เป็นลักษณะ 3 เหลี่ยม คนแบบนี้ถือว่าเป็นคนฉลาด เก่ง มองการณ์ไกล สุขุม รอบคอบ แต่ต้องระวัง ..ถ้าตาสามเหลี่ยมแล้ว มีคิ้วสามเหลี่ยมด้วย ประกอบกับแววตาก็มีเลศนัยอีก แบบนี้ อ.สุวิมลบอกว่า คบลำบากค่ะ เพราะจะเป็นพวกคนมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ เราอาจตามไม่ทัน โดนเขาหลอกได้ง่ายๆ
ตาเหยี่ยว เช่นกันค่ะ ตาเหยี่ยวแล้วเฉียงสูงขึ้น เป็นลักษณะของตาคนที่ไม่ค่อยมีความจริงใจให้ใคร และมักเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเสมอ แต่เดี๋ยวค่ะ! อย่าเพิ่งมองคนตาเหยี่ยวในแง่ร้ายเสมอไปค่ะ เพราะอ.สุวิมลย้ำว่า สิ่งสำคัญในการมองตาคนก็คือ ดูแววตาเป็นส่วนประกอบ ถ้าเพื่อนซี้ หรือคนใกล้ตัวคุณ มีตาเหมือนเหยี่ยว แต่แววตาอ่อนโยน เป็นประกายสดใส ...ยกเว้นได้ค่ะ
ทว่าหากตาเหมือนเหยี่ยว แถมแววตาดุร้ายสุดๆ ต้องระวังม้ากมากเลยค่ะ
เมื่อหลายคนนำเรื่องการดูโหงวเฮ้ง มาใช้ประโยชน์กันซะขนาดนี้ เรามารู้กันค่ะว่า แท้จริงแล้ว โหงวเฮ้ง คืออะไร นำมาทำนายอะไรได้บ้าง และที่สำคัญ โหงวเฮ้งที่ดีสำหรับผู้หญิงเราเป็นยังไงน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวาสนาความรัก งานเงิน ตลอดจนครอบครัวสามี-ลูก-หลาน ทว่าเรื่องนี้ต้องกาดอกจันทร์ไว้ก่อนว่า *เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
เราได้รับเกียรติจาก อ.สุวิมล พันธุ์วิชาติกุล ผู้อำนวยการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิต ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์โหงวเฮ้ง (ภรรยาของอ.ภานุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดังผู้เชี่ยวชาญการดูฮวงจุ้ย) คุยกับเราในประเด็นนี้อย่างละเอียดเลยค่ะ เกริ่นนำให้เรารู้จักถึงความหมายของโหงวเฮ้ง
“โหงวเฮ้ง เป็นศาสตร์ที่มหัศจรรย์ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการดูหน้าคน แล้วบอกได้ว่า คนนี้หน้าตาดี หน้าตาสวย หน้าตามีเสน่ห์ แต่มันบ่งบอกได้ถึงความสุขสบายในชีวิตของคนนั้นๆ ด้วย”
อ.สุวิมลบอกว่า หากแปลตามความหมายจริงๆ การดูโหงวเฮ้ง ก็คือ การดูส่วนประกอบบนใบหน้า 5 จุด ซึ่งประกอบด้วย หู ตา จมูก ปาก และหน้าผาก แต่แท้จริงแล้ว หากเราจะทำนาย ทายทักบุคคลในเรื่องของโหงวเฮ้งนั้น ส่วนอื่นๆ ก็สามารถนำมาประกอบได้ ทั้งคิ้ว คาง เสียง ผิวพรรณ รวมถึงนิ้วมือด้วยค่ะ และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ สามารถนำไปสำรวจโหวงเฮ้งของตัวเอง และคนข้างได้ เราแยกย่อยมาเป็นส่วนๆ ดังนี้จ้า
ตำแหน่งที่1 : หู
ต้องเป็นขอบชีส ติ่งหูใหญ่ ลูกหลานเชื่อฟัง
หู คือ อวัยวะส่วนแรกของการดูโหงวเฮ้งค่ะ ซึ่งหมอดูโหวงเฮ้งของเราบอกว่า ต้องขอบหูใหญ่ๆ หนาๆ เหมือนขอบชีสของพิซซ่า ถึงจะดี ซึ่งหูนี้บอกได้ถึงเรื่องชีวิตในวัยเด็กว่าเป็นอย่างไร ขณะที่ติ่งหู จะเป็นการทำนายได้ว่าลูกหลานจะกตัญญูหรือไม่
“อันดับแรกของการดูโหงวเฮ้งก็คือ ต้องดูหูก่อน คนไหนถ้าขอบหูหนาๆ ใหญ่ๆ ให้นึกถึงพิซซ่าขอบชีส ซึ่งบ่งบอกว่าคนๆ นั้นมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าขอบหูบางๆ ไม่มีขอบ เมื่อวัยเด็กจะมีปัญหาอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ สุขภาพอาจจะไม่ค่อยแข็งแรงในวัยเด็ก อาจจะป่วยไม่สบายบ่อย, อาจต้องพลัดพรากจากบ้านเกิด, และความรักจากพ่อแม่ก็อาจจะมีจำกัด เช่น พ่อแม่อาจรับราชการ แต่ตัวเองต้องไปอยู่กับญาติ พี่ป้า น้าอา
แต่คนไหนถ้าขอบหูด้านใน หรือกระดูกอ่อนด้านข้างหู พลิกออกมา จะเป็นคนพูดจาตรงๆ ขวานผ่าซาก บางทีพูดจาแบบฉันไม่สนใจ ฉันพูดเรื่องจริง แต่บางครั้งพอพูดไปแล้ว ก็มานั่งคิดว่า ไม่น่าพูดคำนั้นออกไปเลยนะ
ส่วนคนไหนที่มีติ่งหูยาวสวย (คล้ายติ่งหูพระพุทธรูป) แบบนี้ลูกจะรักจะเชื่อฟัง ลูกหลานจะกตัญญู เพราะว่าหูก็คือดึงลูกเข้ามาใกล้ชิดในบั้นปลายชีวิต แต่บางคนติ่งหูไม่ค่อยมี ก็จะบอกได้ว่า หนึ่ง-มีลูกยาก สอง-ถึงแม้มีลูก ลูกก็จะไม่ใกล้ชิดมาก ถ้าไม่ค่อยมีติ่งหูแบบนี้ต้องเลี้ยงลูกแบบเพื่อน”
ตำแหน่งที่2 : หน้าผาก และขมับ
สามีเลี้ยงดูปูเสื่อดีแค่ไหน ดูกันตรงนี้
“หน้าผากสูงๆ เป็นคนที่ขวนขวายหาความรู้ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การยอมรับ เรียกได้ว่าคนแบบนี้ส่วนใหญ่ปริญญาใบเดียวไม่พอ แต่หากมีหน้าผากกว้าง แสดงว่าการเลี้ยงดูจากครอบครัวคุณดี อุดมสมบูรณ์” อ.สุวิมล อธิบายต่อในส่วนของขมับว่า เป็นส่วนที่บอกได้ว่าคู่ครองจะดูแลเราดีแค่ไหน โดยแบ่งได้ 3 ระดับของการดูแลคือ แบบค็อกเทล แบบบุฟเฟ่ต์ และแบบโต๊ะจีน อ.เปรียบเทียบซะเก๋เชียว แถมได้ความหมายชัดเจนด้วยค่ะ
หน้าผาก แคบ และบุบ สาวๆ ที่มีหน้าผากแบบนี้ถ้าได้สามีเลี้ยงแบบ “ค็อกเทล” นั่นคือ โต๊ะให้นั่งก็ไม่มี ต้องลุกไปจิ้มกินเอง หากินเอง เรียกได้ว่า หากคิดจะอิ่มท้องอยู่สบาย ก็ต้องพึ่งลำแข้งตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่
ขมับกว้าง แต่บุบเข้าไปบ้าง ถ้ามีหน้าผากแบบนี้ จะได้รับการเลี้ยงดูแบบ “บุฟเฟ่ต์” แบบนี้จะดีกว่าคอกเทลนะคะ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีโต๊ะให้นั่ง มีของให้กินเยอะกว่า อันนี้ประมาณว่า สามีดูแลดีระดับปานกลางค่ะ อาจไม่หรูหรา แต่ก็กินอิ่มนอนหลับ
หน้าผากเต็ม กว้าง อิ่มเอิบ บรรดาสาวหน้าใหญ่ที่มักบ่นว่า ตัวเองหน้ากลม หน้าผากกว้าง ได้มีเฮ ก็คราวนี้เพราะตามหลักโหวงเฮ้งแล้ว หน้าผากแบบนี้ (แบบที่เหมือนอาซ้อร้านทองทั่วไปเป็น) เค้าเรียกว่าสามีจะเลี้ยงแบบ “โต๊ะจีน” มีมาเสิร์ฟถึงที่ กินได้อุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่า สามีเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เอาอกเอาใจเป็นที่สุด … น่าอิจฉาซะ!
อะฮ้า สาวๆ เจ้าของหน้าผากแคบ อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจในวาสนานะคะ อ.ฝากบอกว่า ถ้ารู้ว่าอะไรไม่ ก็ทำใจ และเตรียมปรับตัวดีกว่าค่ะ
“พอเรารู้แบบนี้ เราจะได้ไม่ต้องเครียดมานั่งคิดว่า ทำไมสามีไม่ค่อยดูแล เขามีคนอื่นมั้ย ไม่ใช่ค่ะ แต่เป็นเพราะว่าขมับของเราแคบ ไม่สามารถดึงให้เขามาเอาใจเราได้ ดังนั้นเราต้องยอมรับ แล้วด้วยนิสัยของบางคน ก็อาจจะเป็นคนเก่ง ชอบดูแลตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาเจ๊าะแจ๊ะดูแลมากมายอยู่แล้ว ถ้าสามีไม่มาวอแวมาก อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ”
อ.ยังแนะให้ทำผมเปิดหน้าผากด้วยค่ะ
“เรื่องการทำผม ที่ว่าต้องพยายามเปิดหน้าผาก อันนั้นเรื่องจริงค่ะ เพราะหน้าผากเราก็เหมือนฟ้า คนจีนแมนจู กร้อนผมไปครึ่งกระหม่อมเลย อย่างนั้นเขาเรียกว่าฟ้าเปิด ตามหลักลูกหลานคนจีนมักจะให้เปิดผม เพื่อเปิดฟ้า เปิดความสว่างให้ชีวิต”
ตำแหน่งที่3 : ตา
ตาโปนอาภัพคู่ ตาเล็กเฉียงขึ้นได้สามีดีนักเชียว
“ดวงตา เป็นหน้าต่างของดวงใจ ตาขาวต้องขาวสดใส ตาดำต้องดำเป็นนิล ถึงแม้เป็นฝรั่งตาน้ำข้าว จะตาสีฟ้า ก็ต้องฟ้าใส ต้องดูสดใส และรูปลักษณ์ในดวงตาก็บ่งบอกถึงชีวิตคู่ได้ ผู้หญิงคนไหน ถ้าตาโตๆ โปนเหมือนปลาทอง จะเป็นคนที่อาภัพความรัก ได้คู่ก็ไม่ได้คู่ที่ทำให้สบายใจ”
แต่แม่สาวตาปลาทองทั้งหลาย อย่าเพิ่งเศร้าไปค่ะ เพราะ อ.แม่ของเราบอกว่าแก้ไขได้ ทว่าต้องจำหลัก 3 ประการไว้ให้มั่น นั่นคือ แต่งงานอายุ 30 อัพ /แต่งกับพ่อหม้าย /แต่งกับหนุ่มอายุห่างจากเราเกิน 1 รอบ
“คนตาโปนถ้าอยากมีคู่ดี วิธีแก้ก็คือ หนึ่ง-ต้องแต่งงานให้ถูกหลักการ หมายถึงต้องแต่งงานหลังอายุ 30 ไปแล้ว สอง-แต่งงานกับผู้ชายที่อายุแก่กว่าเรา 1 รอบ สาม-แต่งงานกับผู้ชายที่เป็นพ่อหม้ายก็ได้
อย่าง "คุณกบ" ปภัสรา เตชะไพบูลย์ ถึงเขาจะมีตาโปน แต่เขาแต่งงานถูกหลักการ เขาได้สามีอายุเยอะ เป็นพ่อหม้าย ตอนนี้ก็กลายเป็นคุณนายกบไปแล้ว หรือ "คุณปุ๋ย" พรทิพย์ นาคหิรัญกนก ตอนได้คนที่อายุไล่เลี่ยกัน ก็เลิกลากันไป แต่พอไปได้สามีอายุ 60 เดี๋ยวนี้คุณปุ๋ยสบายเลย ดังนั้นถ้าคุณตาโปน คุณต้องยึดหลัก 3 อย่างนี้ไว้ แต่ถ้าคุณตาโปน แล้วคุณไปแต่งงานกับผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกัน พูดได้เลย 99% ไม่จากเป็น ก็จากตาย”
แล้วตาแบบไหนที่เรียกว่าดีล่ะคะ?
“รูปนัยน์ตาต้องเฉียงขึ้น หางตาเฉียงขึ้นมา แต่บางคนเฉียงขึ้นแล้วโปน ก็ไม่ได้ ต้องเฉียงขึ้นแล้วตาเล็กๆ ด้วย ตาลูกคนจีนดีที่สุด อาหมวยนี่แหล่ะดีที่สุด ส่วนตาชั้นเดียวหรือสองชั้นไม่จำเป็น ขอแค่รูปนัยน์ตาเรียวเล็ก และแววตาต้องมีประกายสดใสด้วย และหากเราไปมองตาใคร แล้วเราต้องหลบตาเขา แสดงว่าดวงตาของคนนั้นมีอำนาจ มีพลังแห่งชีวิต ถือเป็นโหวงเฮ้งที่ดี
อีกอย่างคือ ตามีเสน่ห์ ซึ่งอันนี้ไม่ใช่อยู่ที่นัยน์ตา แต่อยู่ที่แววตาค่ะ ผู้หญิงที่แววตามีเสน่ห์ จะมีผู้ชายเข้ามาพัวพันเจ๊าะแจ๊ะตลอด หนีไม่พ้น แต่มาแล้วก็ผ่านไป ซึ่งตาผู้หญิงที่มีเสน่ห์ ก็จะหยาดเยิ้ม เหมือนอย่าง "คุณพลอย" เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ น่ะค่ะ ตาเธอจะหวานเยิ้ม มีเสน่ห์”
*TIPS ตาแบบไหน ต้องระวัง หลีกให้ไกล!
ตาลอย อ.สุวิมลอธิบายคนลักษณะตาลอยว่า
“คนตาลอยจะมีลักษณะแบบตาดำเขาจะลอยขึ้น แล้วเห็นตาขาว 3 ด้าน คือ มุมซ้าย มุมขวา แล้วก็ด้านล่าง เหมือนกับตาดำลอยอยู่ข้างบน ซึ่งคนตาแบบนี้บ่งบอกได้ว่า เป็นคนที่ไม่มีน้ำใจ ทำดีแค่ไหน ถ้าคุณทำผิดแค่ครั้งเดียว เขาไม่เอาคุณเลย และจะเป็นเรื่องของการตายแบบตายร้าย บางคนก็กระโดดตึกตาย ฆ่าตัวตาย”
อ.แนะติดตลกแต่จริงว่า หากเวลาไปเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ เจอคนตาลอยอยู่ในกรุ๊ปทัวร์ จงเลี่ยงไม่ไปเลยดีกว่า เพราะเดี๋ยวเจออุบัติเหตุร่วมเคราะห์ไปด้วย หุหุ
ตาสามเหลี่ยม คนที่ตาสามเหลี่ยม เป็นชั้นขึ้นมา เป็นลักษณะ 3 เหลี่ยม คนแบบนี้ถือว่าเป็นคนฉลาด เก่ง มองการณ์ไกล สุขุม รอบคอบ แต่ต้องระวัง ..ถ้าตาสามเหลี่ยมแล้ว มีคิ้วสามเหลี่ยมด้วย ประกอบกับแววตาก็มีเลศนัยอีก แบบนี้ อ.สุวิมลบอกว่า คบลำบากค่ะ เพราะจะเป็นพวกคนมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ เราอาจตามไม่ทัน โดนเขาหลอกได้ง่ายๆ
ตาเหยี่ยว เช่นกันค่ะ ตาเหยี่ยวแล้วเฉียงสูงขึ้น เป็นลักษณะของตาคนที่ไม่ค่อยมีความจริงใจให้ใคร และมักเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเสมอ แต่เดี๋ยวค่ะ! อย่าเพิ่งมองคนตาเหยี่ยวในแง่ร้ายเสมอไปค่ะ เพราะอ.สุวิมลย้ำว่า สิ่งสำคัญในการมองตาคนก็คือ ดูแววตาเป็นส่วนประกอบ ถ้าเพื่อนซี้ หรือคนใกล้ตัวคุณ มีตาเหมือนเหยี่ยว แต่แววตาอ่อนโยน เป็นประกายสดใส ...ยกเว้นได้ค่ะ
ทว่าหากตาเหมือนเหยี่ยว แถมแววตาดุร้ายสุดๆ ต้องระวังม้ากมากเลยค่ะ
ทายนิสัยจากลักษณะสีหน้า
ทายนิสัยจากลักษณะสีหน้า
เพื่อนๆ เคยสังเกตตัวเองไหมว่า ท่าเอกลักษณ์ประจำตัวในเวลาตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน หรือช่วงดึกๆ ที่ต้องส่องกระจกเสริมสวยก่อนเข้านอนนั้นเป็นอย่างไร แต่ละคน แต่ละบุคลิก จะมีอากัปกริยาแตกต่างกันไปเมื่อโผล่หน้าเข้ากระจก ลองดูคำทำนายต่อไปดูสิ ว่าจะตรงกับตัวเองมากแค่ไหน
ถ้าคุณชอบทำหน้าทะเล้นใส่
บอก ได้เลยว่าคุณเป็นคนขี้เล่นไม่หยอก มีชีวิตสนุกสนาน สดใสซาบซ่าตลอดเวลา เพราะคุณเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี เพื่อนฝูงมากมาย แถมยังห้าวหาญ ไม่กลัวใครง่ายๆ และกล้าเผชิญปัญหาทุกรูปแบบ
แต่ถ้าใครคิดจะมาออกคำสั่งบังคับให้คุณทำโน่นทำนี่ ก็ฝันไปเถอะ เพราะคุณคงไม่ยอมแน่ๆ ความเป็นตัวของตัวเองของคุณสูงเสียเหลือเกินนี่นา
ถ้าคุณชอบส่งยิ้มให้ตัวเอง
นิสัยของคุณน่ารักไม่หยอกเลยเชียว คุณเป็นเสมือนแม่พระในหมู่เพื่อนฝูงและคนรอบข้าง ที่คอยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อย่างไม่มีอั้น
และคอยเป็นห่วงเป็นใยไม่มีขาด คุณเป็นคนรักเพื่อนมนุษย์ และพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กับทุกคนอยู่เสมอ
ถ้าคุณมักชอบตีหน้าเครียด
ขอ แนะนำว่าให้คุณผ่อนคลายความรู้สึกหนักๆ ลงไปบ้าง ชีวิตของคุณไม่ได้ซีเรียสอย่างที่คิด แต่คุณก็เป็นคนเอาการเอางานทีเดียว จริงจังกับชีวิต
แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก คุณเป็นคนที่ไม่ชอบปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ จะพยายามหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่ง แต่คุณจะไม่ยอมทำถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ได้ทำให้ชีวิตของคุณ ดีขึ้นแต่ประการใด
ถ้าคุณชอบแอบปลื้มตัวเองในกระจก
คุณ เป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปินพุ่งปรี๊ด เพราะนอกจากคุณจะเป็นคนช่างคิด ช่างฝัน ช่างจินตนาการแล้ว ยังเป็นคนที่มีอารมณ์ไม่อยู่กะร่องกะรอย ขึ้นๆ ลงๆ ได้เร็วพอๆ กับตลาดหุ้นเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณกลับเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงเหมือนกัน เมื่อคุณตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็จะมุมานะให้ไปถึงจุดหมายนั้นๆ จนได้
ถ้าคุณชอบเขินอาย ไม่สบตาตัวเองในกระจก
แน่ นอนว่าคุณเป็นคนขี้อายไม่ใช่เล่น แต่กลับยึดมั่นในความคิดของตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ คุณเป็นคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ อ่อนโยน มีความเป็นตัวของตัวเอง ขยันหมั่นเพียร
แต่ก็เป็นพวกหัวรุนแรงอยู่ไม่น้อยนี่สิ ต้องพึงระวังเอาไว้ให้ดีเชียว
ถ้าคุณชอบทำหน้าตาเหม่อลอย
ท่า ทางคุณจะตกอยู่ในโลกแห่งความฝันนานไปหน่อยแล้วล่ะ อย่ามัวแต่หลงอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างมากเกินไปนัก จงจำไว้ว่า ชีวิตจริงของคุณกำลังเดินไปข้างหน้า
คุณควรตั้งเป้าหมาย ที่เป็นไปได้ให้เพื่อตัวของคุณเองและอนาคต ปกติดูคุณเป็นคนเนิบๆ เนือยๆ แต่อย่างไรเสีย คุณก็เป็นคนเงียบๆ ที่รักสงบ และไม่ขอบหาเรื่องใคร
ถ้าคุณชอบสำรวจตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว
ไม่ ต้องบอกก็รู้ว่าคุณเป็นคนรักสวยรักงาม และพยายามเอาใจใส่ตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ คุณเป็นคนรักความก้าวหน้า มีไฟแรงพอที่จะผลักดันตัวเองให้ไต่ขึ้นไปในจุดที่สูงสุดอย่างที่ต้องการ
คุณเป็นคนคล่องแคล่ว และมักจะไม่ค่อยยอมอยู่ว่างๆ แต่จะหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา
เพื่อนๆ เคยสังเกตตัวเองไหมว่า ท่าเอกลักษณ์ประจำตัวในเวลาตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน หรือช่วงดึกๆ ที่ต้องส่องกระจกเสริมสวยก่อนเข้านอนนั้นเป็นอย่างไร แต่ละคน แต่ละบุคลิก จะมีอากัปกริยาแตกต่างกันไปเมื่อโผล่หน้าเข้ากระจก ลองดูคำทำนายต่อไปดูสิ ว่าจะตรงกับตัวเองมากแค่ไหน
ถ้าคุณชอบทำหน้าทะเล้นใส่
บอก ได้เลยว่าคุณเป็นคนขี้เล่นไม่หยอก มีชีวิตสนุกสนาน สดใสซาบซ่าตลอดเวลา เพราะคุณเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี เพื่อนฝูงมากมาย แถมยังห้าวหาญ ไม่กลัวใครง่ายๆ และกล้าเผชิญปัญหาทุกรูปแบบ
แต่ถ้าใครคิดจะมาออกคำสั่งบังคับให้คุณทำโน่นทำนี่ ก็ฝันไปเถอะ เพราะคุณคงไม่ยอมแน่ๆ ความเป็นตัวของตัวเองของคุณสูงเสียเหลือเกินนี่นา
ถ้าคุณชอบส่งยิ้มให้ตัวเอง
นิสัยของคุณน่ารักไม่หยอกเลยเชียว คุณเป็นเสมือนแม่พระในหมู่เพื่อนฝูงและคนรอบข้าง ที่คอยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อย่างไม่มีอั้น
และคอยเป็นห่วงเป็นใยไม่มีขาด คุณเป็นคนรักเพื่อนมนุษย์ และพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กับทุกคนอยู่เสมอ
ถ้าคุณมักชอบตีหน้าเครียด
ขอ แนะนำว่าให้คุณผ่อนคลายความรู้สึกหนักๆ ลงไปบ้าง ชีวิตของคุณไม่ได้ซีเรียสอย่างที่คิด แต่คุณก็เป็นคนเอาการเอางานทีเดียว จริงจังกับชีวิต
แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก คุณเป็นคนที่ไม่ชอบปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ จะพยายามหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่ง แต่คุณจะไม่ยอมทำถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ได้ทำให้ชีวิตของคุณ ดีขึ้นแต่ประการใด
ถ้าคุณชอบแอบปลื้มตัวเองในกระจก
คุณ เป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปินพุ่งปรี๊ด เพราะนอกจากคุณจะเป็นคนช่างคิด ช่างฝัน ช่างจินตนาการแล้ว ยังเป็นคนที่มีอารมณ์ไม่อยู่กะร่องกะรอย ขึ้นๆ ลงๆ ได้เร็วพอๆ กับตลาดหุ้นเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณกลับเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงเหมือนกัน เมื่อคุณตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็จะมุมานะให้ไปถึงจุดหมายนั้นๆ จนได้
ถ้าคุณชอบเขินอาย ไม่สบตาตัวเองในกระจก
แน่ นอนว่าคุณเป็นคนขี้อายไม่ใช่เล่น แต่กลับยึดมั่นในความคิดของตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ คุณเป็นคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ อ่อนโยน มีความเป็นตัวของตัวเอง ขยันหมั่นเพียร
แต่ก็เป็นพวกหัวรุนแรงอยู่ไม่น้อยนี่สิ ต้องพึงระวังเอาไว้ให้ดีเชียว
ถ้าคุณชอบทำหน้าตาเหม่อลอย
ท่า ทางคุณจะตกอยู่ในโลกแห่งความฝันนานไปหน่อยแล้วล่ะ อย่ามัวแต่หลงอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างมากเกินไปนัก จงจำไว้ว่า ชีวิตจริงของคุณกำลังเดินไปข้างหน้า
คุณควรตั้งเป้าหมาย ที่เป็นไปได้ให้เพื่อตัวของคุณเองและอนาคต ปกติดูคุณเป็นคนเนิบๆ เนือยๆ แต่อย่างไรเสีย คุณก็เป็นคนเงียบๆ ที่รักสงบ และไม่ขอบหาเรื่องใคร
ถ้าคุณชอบสำรวจตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว
ไม่ ต้องบอกก็รู้ว่าคุณเป็นคนรักสวยรักงาม และพยายามเอาใจใส่ตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ คุณเป็นคนรักความก้าวหน้า มีไฟแรงพอที่จะผลักดันตัวเองให้ไต่ขึ้นไปในจุดที่สูงสุดอย่างที่ต้องการ
คุณเป็นคนคล่องแคล่ว และมักจะไม่ค่อยยอมอยู่ว่างๆ แต่จะหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา
นิสัยคุณเป็นแบบไหน
ทายนิสัย มาให้เล่นอีกแล้วจ้า
เราจะลองทายลักษณะนิสัย ของเพื่อนๆดู ว่าเป็นคนเช่นไร ด้วยวิธีการง่ายๆ
ด้วยคำถาม 1 ข้อค่ะ :)
โปรดตอบคำถามข้อนี้
หากพรุ่งนี้จะเป็นวันที่โลกแตก จะไม่มีใครสามารถ รอดไปได้จากโลกนี้
แต่เนื่องจาก คุณเป็นคนดีมาตลอด พระเจ้าทรงประทานพรให้คุณ
สามารถมีชีวิตอยู่ได้ บนดินแดนที่พระองค์ได้จัดทำขึ้น และให้คุณสามารถ
เลือกสิ่งมีชีวิต ไปกับคุณ1 เท่านั้น คุณจะเลือก...
1. สิงห์โตที่ประกาศตัวยอมเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ต่อคุณ
2. กระต่ายป่าตัวน้อยช่างพูดที่อ้อนวอนขอให้คุณช่วยชีวิตไว้
3. มังกรพ่นไฟได้ที่พร้อมจะรับใช้คุณตลอดเวลา
4. นกวิเศษที่สามารถร้องเพลงได้ทุกเพลงที่เคยมีมาบนโลก
5. ลูกเจี๊ยบตัวน้อย ที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อขอให้คุณเลือกแม่ไก่ของเจ้าลูกเจี๊ยบไปแทน
6. แมวน้อยพูดได้ที่แสนซื่อสัตย์ที่ขออยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดไ
7. เสือแข็งแรงกำยำที่ยอมเป็นทั้งพาหนะและผู้จะคอยหาอาหารให้คุณ
มาดูคำตอบกันนะ
1. คุณเป็นคนใจร้อนอารมณ์ร้ายค่ะ
คุณออกจะมุทะลุและขี้โมโห แต่เป็นคนที่มีบุคลิกโดดเด่น ต้องตาผู้คน
ไม่ว่าหนุ่มหรือสาว ต่างก็ชอบแต่งตัวเด่น ทันสมัย รสนิยมเลิศเลอ
ชอบเฮฮาปาร์ตี้ ในระดับไม่ธรรมดา ใจกว้างและกล้าเสี่ยง กล้าทุ่มเท
ค่อนข้างหยิ่งยโส ไม่ค่อยยอมอ่อนข้อใคร ยึดมั่นในชื่อเสียงเกียรติยศมาก
เป็นคนเด็ดขาดไม่โลเล เป็นผู้นำได้ดี มีสติปัญญา มีความรักง่ายหลายใจ
รักเพื่อนๆ และชอบมีอิสระเสรีค่ะ :)
2. คุณเป็นคนน่ารักนุ่มนวล
คุณมักจะมีหน้าตาท่าทางมีเสน่ห์มาก มีจิตใจอ่อนโยน
ช่างคิดฝันแบบศิลปินทุกแขนง ใจคอไม่เฉียบขาดหนักแน่น
นิสัยพาลเกเรขึ้งอน เหมือนเด็ก ช่างหึงหวงร้ายกาจ ใจอ่อนโมโหง่าย
แต่ก็หายเร็ว เจ้าชู้หลายใจ ขี้กลัวและเสียขวัญง่าย
ถ้าโกรธก็อารมณ์ร้าย พร่ำบ่นเอาเรื่อง แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียร
บางครั้งกล้าหาญ อย่างน่าทึ่ง อาจต้องระวังเรื่อง ถูกหักหลังได้ค่ะ
และบั้นปลายชีวิตจะมีความสุขมากค่ะ :)
3. คุณเป็นคนใจแกร่ง
คุณชอบเรื่องต่อยตีอย่างเจ้าพ่อ ติดนิสัยดื่มกิน
เที่ยวแต่ก็เลิกได้ง่ายค่ะ ถ้าทำดีกับใครไม่ค่อยมีผลดีตอบคืน
เป็นคนเจ้าชู้ ฟุ่มเฟือย ใช้เงินเก่ง มักมีนิสัยปลื้มคำชมเชย
มีเพื่อนมาก อารมณ์ร้าย ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด ทั้งดื้อดึงใจเด็ด
ขี้ใจน้อย แต่ก็ใจร้อนมาก เป็นคนไม่อ่อนแอ และมุ่งมั่นมาก
ทำอะไรจะทำสุดตัว ให้เสร็จให้ได้ถึงจะพัก ชอบทำอะไรให้เสร็จเร็วๆ
หากหมดไฟขยันก็จะไม่แตะต้องอะไรเลยค่ะ :)
4. คุณเป็นคนที่ตื่นเต้นง่าย
คุณชอบเฮฮาปาร์ตี้ดื่มกิน ร้องรำทำเพลง พูดจาเป็นเสน่ห์
รู้จักวาทะศิลป์ เอาชนะใจคนได้ดี มีความนุ่มนวล มีมนุษยสัมพันธ์
เป็นคนรู้จักกาลเทศะ และรู้จักวางตัวดีมาก ไม่หุนหันพลันแล่น
จะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเสมอ เป็นคนช่างจำ ช่างเก็บข้อมูล คารมดี
บางครั้งก็ฉวยโอกาสคนอื่นได้ เพราะเป็นคนไม่ค่อยมักน้อย
แต่ไม่มีความก้าวร้าว ไม่หยาบกระด้างค่ะ :)
5. คุณเป็นคนหน้าตาดี
คุณมีบุคลิกสวยสง่าน่าชื่นชม สนใจใฝ่รู้เรื่องลี้ลับ และวิชาการทุกแขนง
มักจะเป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่เกเร ไม่ทำผิดคิดร้ายกับใครๆ
รักความถูกต้อง ความดีงาม ใจอ่อนขี้สงสาร มีน้ำใจกับคนอื่นๆ
แต่ไม่ได้ชอบไปวุ่นวายกับใคร มีความละเอียดอ่อน ไม่ชอบเรื่องเหลวไหล
ไร้สาระ มักจะทุ่มเทใจ ให้เรื่องมีประโยชน์ ตลอดเวลาค่ะ :)
6. คุณเป็นคนที่มีจิตใจดี บริสุทธิ์
คุณไม่คิดร้ายกับใคร ชอบสิ่งที่งดงาม น่าดู แต่ตัวเองไม่ได้ชอบแต่งตัว
หรือเที่ยวเฮฮาปาร์ตี้มากนัก ค่อนข้างชอบสันโดษ เกลียดความอึกทึก
วุ่นวาย มีใจคิดฝันเรื่องความรัก มีความเด่นด้านการพูดจา เข้าสังคม
พูดเพราะและมีจิตวิทยาสูง ใจกว้าง ไม่ขี้เหนียว เก่งในเชิงศิลปะ
ชอบสนุกกับดนตรี มุ่งมั่นฝันไกล เก็บเงินได้ถ้าตั้งใจเก็บออม
มีนิสัยชอบทำบุญทำกุศล แต่บางครั้งก็เป็นคนที่
คนอื่นเดาใจยากเหมือนกันค่ะ :)
7. คุณมีจิตใจช่างอาฆาตแค้น
คุณเป็นคนเด็ดขาดมาก ไม่ชอบอ้อมค้อม ไม่ลืมอะไรง่ายๆ
บางครั้งก็มีเล่ห์เหลี่ยม มีสติปัญญาดี มุมานะไม่ย่อท้อ ไม่ค่อยเชื่อ
หรือไว้ใจใครจริงจังนัก เป็นคนที่ ไม่หาประโยชน์จากคนอื่น
แต่ก็ไม่ยอมเสียเปรียบใคร ดื้อแบบไม่ยอมรับผิด ชอบโต้แย้งถกเถียง
ติดจะมีนิสัยนักเลง กล้าชนกล้าเสี่ยง ขี้หึงโมโห ไม่ค่อยช่างพูด
ช่างคุย ถือในเกียรติศักดิ์ศรีเป็นใหญ่ มักเกเร จองหอง ไม่ลงให้ใคร
มีแฟนหลายคน แม้หน้าตาไม่เด่นนัก เป็นคนดุ แต่ไม่หาเรื่องใครค่ะ :)
ขอบคุณที่ช่วยอ่านจนจบนะ : )
เราจะลองทายลักษณะนิสัย ของเพื่อนๆดู ว่าเป็นคนเช่นไร ด้วยวิธีการง่ายๆ
ด้วยคำถาม 1 ข้อค่ะ :)
โปรดตอบคำถามข้อนี้
หากพรุ่งนี้จะเป็นวันที่โลกแตก จะไม่มีใครสามารถ รอดไปได้จากโลกนี้
แต่เนื่องจาก คุณเป็นคนดีมาตลอด พระเจ้าทรงประทานพรให้คุณ
สามารถมีชีวิตอยู่ได้ บนดินแดนที่พระองค์ได้จัดทำขึ้น และให้คุณสามารถ
เลือกสิ่งมีชีวิต ไปกับคุณ1 เท่านั้น คุณจะเลือก...
1. สิงห์โตที่ประกาศตัวยอมเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ต่อคุณ
2. กระต่ายป่าตัวน้อยช่างพูดที่อ้อนวอนขอให้คุณช่วยชีวิตไว้
3. มังกรพ่นไฟได้ที่พร้อมจะรับใช้คุณตลอดเวลา
4. นกวิเศษที่สามารถร้องเพลงได้ทุกเพลงที่เคยมีมาบนโลก
5. ลูกเจี๊ยบตัวน้อย ที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อขอให้คุณเลือกแม่ไก่ของเจ้าลูกเจี๊ยบไปแทน
6. แมวน้อยพูดได้ที่แสนซื่อสัตย์ที่ขออยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดไ
7. เสือแข็งแรงกำยำที่ยอมเป็นทั้งพาหนะและผู้จะคอยหาอาหารให้คุณ
มาดูคำตอบกันนะ
1. คุณเป็นคนใจร้อนอารมณ์ร้ายค่ะ
คุณออกจะมุทะลุและขี้โมโห แต่เป็นคนที่มีบุคลิกโดดเด่น ต้องตาผู้คน
ไม่ว่าหนุ่มหรือสาว ต่างก็ชอบแต่งตัวเด่น ทันสมัย รสนิยมเลิศเลอ
ชอบเฮฮาปาร์ตี้ ในระดับไม่ธรรมดา ใจกว้างและกล้าเสี่ยง กล้าทุ่มเท
ค่อนข้างหยิ่งยโส ไม่ค่อยยอมอ่อนข้อใคร ยึดมั่นในชื่อเสียงเกียรติยศมาก
เป็นคนเด็ดขาดไม่โลเล เป็นผู้นำได้ดี มีสติปัญญา มีความรักง่ายหลายใจ
รักเพื่อนๆ และชอบมีอิสระเสรีค่ะ :)
2. คุณเป็นคนน่ารักนุ่มนวล
คุณมักจะมีหน้าตาท่าทางมีเสน่ห์มาก มีจิตใจอ่อนโยน
ช่างคิดฝันแบบศิลปินทุกแขนง ใจคอไม่เฉียบขาดหนักแน่น
นิสัยพาลเกเรขึ้งอน เหมือนเด็ก ช่างหึงหวงร้ายกาจ ใจอ่อนโมโหง่าย
แต่ก็หายเร็ว เจ้าชู้หลายใจ ขี้กลัวและเสียขวัญง่าย
ถ้าโกรธก็อารมณ์ร้าย พร่ำบ่นเอาเรื่อง แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียร
บางครั้งกล้าหาญ อย่างน่าทึ่ง อาจต้องระวังเรื่อง ถูกหักหลังได้ค่ะ
และบั้นปลายชีวิตจะมีความสุขมากค่ะ :)
3. คุณเป็นคนใจแกร่ง
คุณชอบเรื่องต่อยตีอย่างเจ้าพ่อ ติดนิสัยดื่มกิน
เที่ยวแต่ก็เลิกได้ง่ายค่ะ ถ้าทำดีกับใครไม่ค่อยมีผลดีตอบคืน
เป็นคนเจ้าชู้ ฟุ่มเฟือย ใช้เงินเก่ง มักมีนิสัยปลื้มคำชมเชย
มีเพื่อนมาก อารมณ์ร้าย ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด ทั้งดื้อดึงใจเด็ด
ขี้ใจน้อย แต่ก็ใจร้อนมาก เป็นคนไม่อ่อนแอ และมุ่งมั่นมาก
ทำอะไรจะทำสุดตัว ให้เสร็จให้ได้ถึงจะพัก ชอบทำอะไรให้เสร็จเร็วๆ
หากหมดไฟขยันก็จะไม่แตะต้องอะไรเลยค่ะ :)
4. คุณเป็นคนที่ตื่นเต้นง่าย
คุณชอบเฮฮาปาร์ตี้ดื่มกิน ร้องรำทำเพลง พูดจาเป็นเสน่ห์
รู้จักวาทะศิลป์ เอาชนะใจคนได้ดี มีความนุ่มนวล มีมนุษยสัมพันธ์
เป็นคนรู้จักกาลเทศะ และรู้จักวางตัวดีมาก ไม่หุนหันพลันแล่น
จะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเสมอ เป็นคนช่างจำ ช่างเก็บข้อมูล คารมดี
บางครั้งก็ฉวยโอกาสคนอื่นได้ เพราะเป็นคนไม่ค่อยมักน้อย
แต่ไม่มีความก้าวร้าว ไม่หยาบกระด้างค่ะ :)
5. คุณเป็นคนหน้าตาดี
คุณมีบุคลิกสวยสง่าน่าชื่นชม สนใจใฝ่รู้เรื่องลี้ลับ และวิชาการทุกแขนง
มักจะเป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่เกเร ไม่ทำผิดคิดร้ายกับใครๆ
รักความถูกต้อง ความดีงาม ใจอ่อนขี้สงสาร มีน้ำใจกับคนอื่นๆ
แต่ไม่ได้ชอบไปวุ่นวายกับใคร มีความละเอียดอ่อน ไม่ชอบเรื่องเหลวไหล
ไร้สาระ มักจะทุ่มเทใจ ให้เรื่องมีประโยชน์ ตลอดเวลาค่ะ :)
6. คุณเป็นคนที่มีจิตใจดี บริสุทธิ์
คุณไม่คิดร้ายกับใคร ชอบสิ่งที่งดงาม น่าดู แต่ตัวเองไม่ได้ชอบแต่งตัว
หรือเที่ยวเฮฮาปาร์ตี้มากนัก ค่อนข้างชอบสันโดษ เกลียดความอึกทึก
วุ่นวาย มีใจคิดฝันเรื่องความรัก มีความเด่นด้านการพูดจา เข้าสังคม
พูดเพราะและมีจิตวิทยาสูง ใจกว้าง ไม่ขี้เหนียว เก่งในเชิงศิลปะ
ชอบสนุกกับดนตรี มุ่งมั่นฝันไกล เก็บเงินได้ถ้าตั้งใจเก็บออม
มีนิสัยชอบทำบุญทำกุศล แต่บางครั้งก็เป็นคนที่
คนอื่นเดาใจยากเหมือนกันค่ะ :)
7. คุณมีจิตใจช่างอาฆาตแค้น
คุณเป็นคนเด็ดขาดมาก ไม่ชอบอ้อมค้อม ไม่ลืมอะไรง่ายๆ
บางครั้งก็มีเล่ห์เหลี่ยม มีสติปัญญาดี มุมานะไม่ย่อท้อ ไม่ค่อยเชื่อ
หรือไว้ใจใครจริงจังนัก เป็นคนที่ ไม่หาประโยชน์จากคนอื่น
แต่ก็ไม่ยอมเสียเปรียบใคร ดื้อแบบไม่ยอมรับผิด ชอบโต้แย้งถกเถียง
ติดจะมีนิสัยนักเลง กล้าชนกล้าเสี่ยง ขี้หึงโมโห ไม่ค่อยช่างพูด
ช่างคุย ถือในเกียรติศักดิ์ศรีเป็นใหญ่ มักเกเร จองหอง ไม่ลงให้ใคร
มีแฟนหลายคน แม้หน้าตาไม่เด่นนัก เป็นคนดุ แต่ไม่หาเรื่องใครค่ะ :)
ขอบคุณที่ช่วยอ่านจนจบนะ : )
วิ่งตามอะไรกัน (ในชีวิต)
วิ่งตามอะไรกันในชีวิต
มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...
จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...
ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...
หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...
หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมาจากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...
มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...
อยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...
ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...
ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...
เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...
ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม...
คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...
ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวน....ความโง่...ของตัวเอง
มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...
จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...
ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...
หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...
หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมาจากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...
มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...
อยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...
ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...
ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...
เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...
ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม...
คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...
ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวน....ความโง่...ของตัวเอง
14 ก.ย. 2553
ความรู้จากแพทย์จีน
อาจารย์ท่านแนะนำเคล็ดลับไว้ 12 ข้อดังต่อไปนี้...
1. หวีผมบ่อยๆ:
หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)
2. ถูใบหน้าบ่อยๆ:
ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถูหน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง
3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ:
ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้องอะไรนานๆโดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง
4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ:
การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย(ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว
5. ขบฟันบ่อยๆ:
ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรงและกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ:
การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย
7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:
การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร
8.. หมั่นขับของเสีย:
หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย
9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ:
ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น
10. ขมิบก้นบ่อยๆ:
การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก
11. เคลื่อนไหวทุกข้อ:
การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ
12. ถูผิวหนังบ่อยๆ:
ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้เลือดและพลังไหล เวียนดี
เชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไปนานๆ ครับ...
อาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล
อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน
แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า
อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกินนำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดยใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...
อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...
1. ไข่เยี่ยวม้า:
ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋:
กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย
3. เนื้อย่าง:
กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง:
ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิด สารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู:
ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง(อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง:
ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป:
บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้
8. เมล็ดทานตะวัน:
เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า... การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น
9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้:
กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย...
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
10. ผงชูรส:
คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา...การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีอาหารปลอดภัย และมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
1. หวีผมบ่อยๆ:
หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)
2. ถูใบหน้าบ่อยๆ:
ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถูหน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง
3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ:
ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้องอะไรนานๆโดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง
4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ:
การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย(ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว
5. ขบฟันบ่อยๆ:
ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรงและกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ:
การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย
7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:
การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร
8.. หมั่นขับของเสีย:
หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย
9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ:
ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น
10. ขมิบก้นบ่อยๆ:
การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก
11. เคลื่อนไหวทุกข้อ:
การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ
12. ถูผิวหนังบ่อยๆ:
ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้เลือดและพลังไหล เวียนดี
เชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไปนานๆ ครับ...
อาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ (วิทวัส) วัณนาวิบูล
อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน
แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า
อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกินนำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดยใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...
อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...
1. ไข่เยี่ยวม้า:
ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋:
กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย
3. เนื้อย่าง:
กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง:
ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิด สารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู:
ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง(อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง:
ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป:
บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้
8. เมล็ดทานตะวัน:
เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า... การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น
9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้:
กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย...
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
10. ผงชูรส:
คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา...การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีอาหารปลอดภัย และมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
8 คำถามที่นายจ้างในสหรัฐไม่มีสิทธิสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน
*คำ ถามแรกคือคำถามว่าอายุเท่าไหร่?
เพราะสหรัฐมีกฎหมายปกป้องไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานสำหรับลูกจ้าง
อายุเกิน 40 ปีในกรณีที่นายจ้างต้องการพนักงานอายุน้อย แต่ในทางกลับกัน
ยังไม่มีกฎหมายปกป้องลูกจ้างอายุต่ำกว่า 40 ปีในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม
นายจ้างสามารถตั้งคำถามได้ว่าผู้ถูกสัมภาษณ์นั้นอายุเกิน 18 ปีหรือยัง*
คำถามต้องห้ามข้อที่ 2 คือ แต่งงานหรือยัง?
หรือคำถามอื่นๆเพื่อสืบทราบสถานะภาพของผู้ถูกสัมภาษณ์
เพราะอาจถูกมองได้ว่านายจ้างเลือกปฏิบัติเพราะต้องการลูกจ้างที่ยังโสด
ไม่มีพันธะทางครอบครัว แม้กระทั่งคำถามที่ดูไม่มีอะไรอย่าง
"คุณต้องการให้เรียกว่านางหรือนางสาว" ก็ถือเป็นคำถามต้องห้ามในอเมริกาเช่นกัน
คำถามว่า "คุณตั้งครรภ์อยู่หรือเปล่า" ก็เป็นคำถามที่ห้ามสัมภาษณ์นะครับ
เพราะตามกฎหมายชี้ชัดว่า
นายจ้างไม่สามารถปฏิเสธการจ้างงานเนื่องด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์
หรือเพราะเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าไม่พอใจ
คำถามต่อมาคือคำถามเกี่ยวกับสถานะความเป็นพลเมือง เช่น
"คุณเป็นพลเมืองสหรัฐหรือเปล่า" เพราะตามกฏหมายกำหนดไว้ว่า
สถานะความเป็นพลเมืองหรือคนต่างด้าวไม่สามารถนำมาใช้พิจารณาระหว่างกระบวน
การจ้างงานได้
คำถามถึงเชื้อชาติของผู้ถูกสัมภาษณ์ก็ถือเป็นคำถามต้องห้ามเช่นกัน
กฎหมายสหรัฐระบุว่านายจ้างมิอาจเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างตามเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา
เพศหรือประเทศที่ถือกำเนิด
โดยนายจ้างสามารถขอให้ลูกจ้างเปิดเผยเชื้อชาติได้ตามความสมัครใจของตัว
ลูกจ้างเองเพื่อจุดประสงค์ในการรับรองความถูกต้องเท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน คำถามว่า "คุณนับถือศาสนาอะไร"
ก็เป็นสิ่งที่นายจ้างไม่มีสิทธิสัมภาษณ์เพราะถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
นายจ้างอาจสงสัยได้ถึงตารางวันหยุดทางศาสนาของผู้ที่ตนจะจ้าง
หรืออาจอยากทราบว่าผู้สมัครนั้นมาทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ได้หรือไม่ด้วย
เหตุผลทางศาสนา
แต่ไม่มีสิทธิใช้ข้ออ้างด้านศาสนานี้ในการกีดกันผู้สมัครงานบางคนอย่างจงใจ
โดยกฎหมายกำหนดให้นายจ้างให้ความร่วมมือกับลูกจ้างในการปฏิบัติตามความเชื่อ
ทางศาสนาของลูกจ้างผู้นั้นด้วย
คำถามต้องห้ามคำถามที่ 7 คือ "คุณผิดปกติหรือทุพพลภาพด้านไหนหรือเปล่า"
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำถามสำคัญเพื่อตัดสินว่าผู้ถูกสัมภาษณ์นั้นจะปฏิบัติงาน
ได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่
แต่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่านายจ้างไม่สามารถปฏิเสธการจ้างงานด้วยเหตุผลที่
ผู้สมัครผู้นั้นผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจ นอกจากนี้
นายจ้างยังไม่มีสิทธิถามถึงความเจ็บป่วยหรือการผ่าตัดในอดีตอีกด้วย
และก็มาถึงคำถามต้องห้ามคำถามสุดท้ายสำหรับนายจ้างในอเมริกา นั่นคือคำถามว่า
"คุณใช้ยาหรือสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าหรือไม่"
ซึ่งที่จริงแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ
การทำงานและค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบริษัท
แต่หากนายจ้างตั้งคำถามนี้อย่างไม่พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบอาจทำให้เกิด
ปัญหาทางกฎหมายขึ้นมาได้
โดยนายจ้างสามารถถามอย่างตรงไปตรงมาว่าใช้ยาเสพติดผิดกฎหมายหรือไม่
แต่ไม่มีสิทธิถามว่าใช้ยาชนิดใดตามใบสั่งจากแพทย์อยู่หรือไม่
เพราะสหรัฐมีกฎหมายปกป้องไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานสำหรับลูกจ้าง
อายุเกิน 40 ปีในกรณีที่นายจ้างต้องการพนักงานอายุน้อย แต่ในทางกลับกัน
ยังไม่มีกฎหมายปกป้องลูกจ้างอายุต่ำกว่า 40 ปีในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม
นายจ้างสามารถตั้งคำถามได้ว่าผู้ถูกสัมภาษณ์นั้นอายุเกิน 18 ปีหรือยัง*
คำถามต้องห้ามข้อที่ 2 คือ แต่งงานหรือยัง?
หรือคำถามอื่นๆเพื่อสืบทราบสถานะภาพของผู้ถูกสัมภาษณ์
เพราะอาจถูกมองได้ว่านายจ้างเลือกปฏิบัติเพราะต้องการลูกจ้างที่ยังโสด
ไม่มีพันธะทางครอบครัว แม้กระทั่งคำถามที่ดูไม่มีอะไรอย่าง
"คุณต้องการให้เรียกว่านางหรือนางสาว" ก็ถือเป็นคำถามต้องห้ามในอเมริกาเช่นกัน
คำถามว่า "คุณตั้งครรภ์อยู่หรือเปล่า" ก็เป็นคำถามที่ห้ามสัมภาษณ์นะครับ
เพราะตามกฎหมายชี้ชัดว่า
นายจ้างไม่สามารถปฏิเสธการจ้างงานเนื่องด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์
หรือเพราะเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าไม่พอใจ
คำถามต่อมาคือคำถามเกี่ยวกับสถานะความเป็นพลเมือง เช่น
"คุณเป็นพลเมืองสหรัฐหรือเปล่า" เพราะตามกฏหมายกำหนดไว้ว่า
สถานะความเป็นพลเมืองหรือคนต่างด้าวไม่สามารถนำมาใช้พิจารณาระหว่างกระบวน
การจ้างงานได้
คำถามถึงเชื้อชาติของผู้ถูกสัมภาษณ์ก็ถือเป็นคำถามต้องห้ามเช่นกัน
กฎหมายสหรัฐระบุว่านายจ้างมิอาจเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างตามเชื้อชาติ สีผิว ศาสนา
เพศหรือประเทศที่ถือกำเนิด
โดยนายจ้างสามารถขอให้ลูกจ้างเปิดเผยเชื้อชาติได้ตามความสมัครใจของตัว
ลูกจ้างเองเพื่อจุดประสงค์ในการรับรองความถูกต้องเท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน คำถามว่า "คุณนับถือศาสนาอะไร"
ก็เป็นสิ่งที่นายจ้างไม่มีสิทธิสัมภาษณ์เพราะถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
นายจ้างอาจสงสัยได้ถึงตารางวันหยุดทางศาสนาของผู้ที่ตนจะจ้าง
หรืออาจอยากทราบว่าผู้สมัครนั้นมาทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ได้หรือไม่ด้วย
เหตุผลทางศาสนา
แต่ไม่มีสิทธิใช้ข้ออ้างด้านศาสนานี้ในการกีดกันผู้สมัครงานบางคนอย่างจงใจ
โดยกฎหมายกำหนดให้นายจ้างให้ความร่วมมือกับลูกจ้างในการปฏิบัติตามความเชื่อ
ทางศาสนาของลูกจ้างผู้นั้นด้วย
คำถามต้องห้ามคำถามที่ 7 คือ "คุณผิดปกติหรือทุพพลภาพด้านไหนหรือเปล่า"
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำถามสำคัญเพื่อตัดสินว่าผู้ถูกสัมภาษณ์นั้นจะปฏิบัติงาน
ได้ตามที่กำหนดไว้หรือไม่
แต่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่านายจ้างไม่สามารถปฏิเสธการจ้างงานด้วยเหตุผลที่
ผู้สมัครผู้นั้นผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจ นอกจากนี้
นายจ้างยังไม่มีสิทธิถามถึงความเจ็บป่วยหรือการผ่าตัดในอดีตอีกด้วย
และก็มาถึงคำถามต้องห้ามคำถามสุดท้ายสำหรับนายจ้างในอเมริกา นั่นคือคำถามว่า
"คุณใช้ยาหรือสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าหรือไม่"
ซึ่งที่จริงแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ
การทำงานและค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบริษัท
แต่หากนายจ้างตั้งคำถามนี้อย่างไม่พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบอาจทำให้เกิด
ปัญหาทางกฎหมายขึ้นมาได้
โดยนายจ้างสามารถถามอย่างตรงไปตรงมาว่าใช้ยาเสพติดผิดกฎหมายหรือไม่
แต่ไม่มีสิทธิถามว่าใช้ยาชนิดใดตามใบสั่งจากแพทย์อยู่หรือไม่
คำแสลงของชาวคุก
พอดีสงสัยว่า ผ่าเบนซ์ คืออะไร
รู้แล้วแทบอ้วก........
------------------
หมวดบุคคล
นาย - ผู้คุม
ขาใหญ่ - ผู้ต้องขังที่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้ต้องขังอื่น
โตชิบา - ผู้ต้องขังที่รับจ้างซักผ้าให้ผู้ต้องขังอื่น
หมวดเพศแบบปกติ
เหนี่ยว/สาว/สไลด์/ขึ้นบล็อก/เข้าบล็อก - การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
หนังสือเที่ยว/หนังสือเหนี่ยว - หนังสือโป๊
เช่าน้อง - เช่าหนังสือโป๊เพื่อสำเร็จความใคร่
หมวดเพศแบบเบี่ยงเบน
เสือเหลือง/พวกติดเหลือง - บุคคลที่มีพฤติกรรมทางเพศแบบเบี่ยงเบน
จุ่ม/ทอยโซ้ก/ลอดช่อง/ขอสองอ้วก - ลักษณะการมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ
เลื้อย - การเข้าหาผู้ต้องขังอื่นขณะหลับเพื่อจะมีเพศสัมพันธ์
เลี้ยงน้อง/เลี้ยงหน้าอ่อน - การหาเลี้ยงผู้ต้องขังชายที่อยู่กันฉันสามีภรรยา
หวานล่อ - การนำขนมหวานไปให้ผู้ต้องขังที่ปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย
หมวดตัดแต่งอวัยวะเพศ
เบนซ์ - การผ่าอวัยวะเพศชายบริเวณหนังหุ้มปลายเป็น 3 แฉก
เบนซ์ล้อมมุก/เบนซ์ประตูฝังมุก - การผ่าเบนซ์พร้อมกับฝังมุก
โฟล์ก - การผ่าหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเป็น 2 แฉก
ยกช่อ/ยกดอก - การตัดแต่งอวัยวะเพศชายให้เป็นปุ่มโดยรอบ
ฝังแคป - การนำเศษก้นขวดมาฝนให้เป็นรูปทรงแคปซูลแล้วฝังลงในอวัยวะเพศชาย
หมวดคำบอกอารมณ์ความรู้สึก
ดึ๋งดั๋ง/สด/ปี๊ดป๊าด - รู้สึกกระชุ่มกระชวยหรือมีอารมณ์ทางเพศ
เบิร์ดเบิร์ด - ไม่กังวลใดๆ
ขึ้น - โกรธ
หนอแหน - รู้สึกท้อแท้
สิ้นหวิน - สิ้นหวัง
หมวดกลอุบาย
บิดแดน - แสร้งทำเป็นวิกลจริต เพื่อที่จะได้ถูกย้ายแดน
เดินหัว - การใช้กลอุบายยุแหย่ให้เกิดความแตกแยก
ใส่เบาท์/บุ๊ยบุ่ย - แสร้งเป็นไม่ได้ยิน หรือทำเป็นไม่รู้เรื่อง
โดยเฉพาะกรณีได้ของเยี่ยมจากญาติ เพราะเกรงว่าเพื่อนจะแบ่งของเยี่ยม
หมวดล้อเลียน/เย้ยหยัน
ลื่น/เล่นสเก๊ต/เหยียบเปลือกกล้วย/เล่นสกีน้ำแข็ง -
ใช้เย้ยหยันผู้ต้องขังที่ภรรยาไปแต่งงานใหม่
มีตัว - ใช้ล้อเลียนผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศแต่ปกปิดไว้
หมวดเครื่องนอน
ตึก/คอนโด/บ้านเดี่ยว - ที่นอนที่นำผ้ามาเย็บติดกันเป็นฟูกสูง
กระต๊อบ/สลัม - ผ้าเก่าๆ ที่ใช้ปูนอน
หมวดเครื่องพันธนาการ
ราโด/โรเล็กซ์ - กุญแจมือ
ใส่สร้อย/กระพรวนตีน - การตีตรวน
หมวดการพบญาติ
รอรถ - การออกไปรอพบญาติ
ตกรถ - ญาติไม่มาพบตามนัด
หมวดการพ้นโทษ
ถึงป้าย - ถึงกำหนดพ้นโทษ
แบกป้ายออก/ออกตามป้าย - กำหนดพ้นโทษโดยไม่ได้รับการลดหย่อน
หมวดอาหาร
แกงจืดส้นคอมแบต - แกงจืดหัวไชเท้า
แกงปาระเบิด - แกงที่เนื้อสัตว์และผักเปื่อยยุ่ย
ข้าวมันไก่ - รับประทานข้าวแดงกับน้ำซุปมันต้มใส่เนื้อไก่
ชุบทอง - ชะอมชุบไข่ทอด
เดียวดาย - ลูกอม
ฆ่าแล้วเผา - ข้าวเหนียวปิ้ง
หมวดลักลอบทำผิดกฎเรือนจำ
ขี่สิงห์,ขี่จักรยาน - ให้ผู้คุมนำสิ่งผิดกฎเข้ามาในเรือนจำ
ดูเร - การดูต้นทางเมื่อทำสิ่งที่ผิดกฎเรือนจำ
ทะเลมีคลื่น - ยังไม่มีโอกาสที่จะทำผิดกฎเรือนจำ
เซฟเซียร์ - การซ่อนยาเสพติดเข้ามาทางทวารหนัก
แมวร้อง - การลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้ามาในเรือนจำ
หมวดสิ่งเสพติด
ของ-สิ่งเสพติดโดยทั่วไป
แป๊ะ/บัวหิมะ/ลูกสาวขุนส่า/บอส - เฮโรอีน
อำพล/อาชา/ม้าเหล็ก/หมากหอม/เป็ด/จ๊อกกี้ - สิ่งเสพติดที่ผสมสารแอมเฟตามีน
จี่/เจียว/ทอดไข่ - การเสพสารเสพติดที่มีสารแอมเฟตามีน
--
รู้แล้วแทบอ้วก........
------------------
หมวดบุคคล
นาย - ผู้คุม
ขาใหญ่ - ผู้ต้องขังที่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้ต้องขังอื่น
โตชิบา - ผู้ต้องขังที่รับจ้างซักผ้าให้ผู้ต้องขังอื่น
หมวดเพศแบบปกติ
เหนี่ยว/สาว/สไลด์/ขึ้นบล็อก/เข้าบล็อก - การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
หนังสือเที่ยว/หนังสือเหนี่ยว - หนังสือโป๊
เช่าน้อง - เช่าหนังสือโป๊เพื่อสำเร็จความใคร่
หมวดเพศแบบเบี่ยงเบน
เสือเหลือง/พวกติดเหลือง - บุคคลที่มีพฤติกรรมทางเพศแบบเบี่ยงเบน
จุ่ม/ทอยโซ้ก/ลอดช่อง/ขอสองอ้วก - ลักษณะการมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ
เลื้อย - การเข้าหาผู้ต้องขังอื่นขณะหลับเพื่อจะมีเพศสัมพันธ์
เลี้ยงน้อง/เลี้ยงหน้าอ่อน - การหาเลี้ยงผู้ต้องขังชายที่อยู่กันฉันสามีภรรยา
หวานล่อ - การนำขนมหวานไปให้ผู้ต้องขังที่ปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย
หมวดตัดแต่งอวัยวะเพศ
เบนซ์ - การผ่าอวัยวะเพศชายบริเวณหนังหุ้มปลายเป็น 3 แฉก
เบนซ์ล้อมมุก/เบนซ์ประตูฝังมุก - การผ่าเบนซ์พร้อมกับฝังมุก
โฟล์ก - การผ่าหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเป็น 2 แฉก
ยกช่อ/ยกดอก - การตัดแต่งอวัยวะเพศชายให้เป็นปุ่มโดยรอบ
ฝังแคป - การนำเศษก้นขวดมาฝนให้เป็นรูปทรงแคปซูลแล้วฝังลงในอวัยวะเพศชาย
หมวดคำบอกอารมณ์ความรู้สึก
ดึ๋งดั๋ง/สด/ปี๊ดป๊าด - รู้สึกกระชุ่มกระชวยหรือมีอารมณ์ทางเพศ
เบิร์ดเบิร์ด - ไม่กังวลใดๆ
ขึ้น - โกรธ
หนอแหน - รู้สึกท้อแท้
สิ้นหวิน - สิ้นหวัง
หมวดกลอุบาย
บิดแดน - แสร้งทำเป็นวิกลจริต เพื่อที่จะได้ถูกย้ายแดน
เดินหัว - การใช้กลอุบายยุแหย่ให้เกิดความแตกแยก
ใส่เบาท์/บุ๊ยบุ่ย - แสร้งเป็นไม่ได้ยิน หรือทำเป็นไม่รู้เรื่อง
โดยเฉพาะกรณีได้ของเยี่ยมจากญาติ เพราะเกรงว่าเพื่อนจะแบ่งของเยี่ยม
หมวดล้อเลียน/เย้ยหยัน
ลื่น/เล่นสเก๊ต/เหยียบเปลือกกล้วย/เล่นสกีน้ำแข็ง -
ใช้เย้ยหยันผู้ต้องขังที่ภรรยาไปแต่งงานใหม่
มีตัว - ใช้ล้อเลียนผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศแต่ปกปิดไว้
หมวดเครื่องนอน
ตึก/คอนโด/บ้านเดี่ยว - ที่นอนที่นำผ้ามาเย็บติดกันเป็นฟูกสูง
กระต๊อบ/สลัม - ผ้าเก่าๆ ที่ใช้ปูนอน
หมวดเครื่องพันธนาการ
ราโด/โรเล็กซ์ - กุญแจมือ
ใส่สร้อย/กระพรวนตีน - การตีตรวน
หมวดการพบญาติ
รอรถ - การออกไปรอพบญาติ
ตกรถ - ญาติไม่มาพบตามนัด
หมวดการพ้นโทษ
ถึงป้าย - ถึงกำหนดพ้นโทษ
แบกป้ายออก/ออกตามป้าย - กำหนดพ้นโทษโดยไม่ได้รับการลดหย่อน
หมวดอาหาร
แกงจืดส้นคอมแบต - แกงจืดหัวไชเท้า
แกงปาระเบิด - แกงที่เนื้อสัตว์และผักเปื่อยยุ่ย
ข้าวมันไก่ - รับประทานข้าวแดงกับน้ำซุปมันต้มใส่เนื้อไก่
ชุบทอง - ชะอมชุบไข่ทอด
เดียวดาย - ลูกอม
ฆ่าแล้วเผา - ข้าวเหนียวปิ้ง
หมวดลักลอบทำผิดกฎเรือนจำ
ขี่สิงห์,ขี่จักรยาน - ให้ผู้คุมนำสิ่งผิดกฎเข้ามาในเรือนจำ
ดูเร - การดูต้นทางเมื่อทำสิ่งที่ผิดกฎเรือนจำ
ทะเลมีคลื่น - ยังไม่มีโอกาสที่จะทำผิดกฎเรือนจำ
เซฟเซียร์ - การซ่อนยาเสพติดเข้ามาทางทวารหนัก
แมวร้อง - การลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้ามาในเรือนจำ
หมวดสิ่งเสพติด
ของ-สิ่งเสพติดโดยทั่วไป
แป๊ะ/บัวหิมะ/ลูกสาวขุนส่า/บอส - เฮโรอีน
อำพล/อาชา/ม้าเหล็ก/หมากหอม/เป็ด/จ๊อกกี้ - สิ่งเสพติดที่ผสมสารแอมเฟตามีน
จี่/เจียว/ทอดไข่ - การเสพสารเสพติดที่มีสารแอมเฟตามีน
--
สำนวนแมว แมว
ที่เท่าแมวดิ้นตาย
มีที่มาจากนิทานพื้นบ้าน เรื่อง "ศรีธนญชัย"
ตอนที่ศรีธนญชัยกราบทูลขอที่ดินจากพระเจ้าแผ่นดิน
ขอเพียงที่เท่าแมวดิ้นตายเท่านั้น
พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าเป็นที่ดินเพียงเล็กน้อย จึงทรงอนุญาต
ศรีธนญชัยได้ทีจึงเอาแมวตัวหนึ่งมาผูกเชือกที่คอ แล้วเฆี่ยนให้แมวดิ้นไปเรื่อย
ๆ กว่าแมวตัวนั้นจะตายก็กินพื้นที่เป็นอาณาบริเวณกว้าง
จากนิทานเรื่อง ศรีธนญชัย "ที่เท่าแมวดิ้นตาย" จะหมายถึง
ที่ดินจำนวนมาก แต่ในการใช้เป็นสำนวน จะหมายถึง ที่ดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แมวไม่อยู่ หนูละเลิง
อย่าคิดว่า เขียนผิด หรือสะกดผิดนะคะ คำว่า ละเลิง
เป็นคำเก่าที่มีความหมายว่า เหลิงจนลืมตัว ลำพอง หรือคึกคะนอง
แต่ในปัจจุบันมักจะใช้ "แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง"
สำนวนนี้หมายถึง เวลาที่ผู้ให่ไม่อยู่ผู้น้อยก็เล่นกันคึกคะนอง
ลำพองตน ที่ว่าสำนวนนี้น่าสนใจก็เพราะว่า
การเอาธรรมชาติของหนูที่กลัวแมวมาเปรียบเทียบ โดยเปรียบแมวเป็นผู้ใหญ่
เปรียบหนูเป็นผู้น้อยนั่นเอง
และบางโอกาสสำนวนนี้ก็จะมีคำต่อท้ายสำนวนด้วย คือ "แมวไม่อยู่
หนูร่าเริง แมวมาหลังคาเปิง" นั่นคือเวลาผู้ใหญ่ไม่อยู่
ผู้น้อยก็เล่นกันอย่างเมามัน สนุกสนาน ครั้นผู้ใหญ่กลับมาก็ลนลาน
รีบเก็บกวาดข้าวของและสถานที่ให้อยู่ในสภาพปกติ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฝากเนื้อไว้กับเสือ ฝากปลาย่างไว้กับแมว
มีที่มาจากบทเสภาหลวงเรื่อง "ขุนช้าง-ขุนแผน"
ตอนที่ขุนแผนทิ้งนางวันทองไว้กับขุนช้าง แล้วขุนแผนก็คิดว่า
"เราฝากวันทองไว้กับขุนช้างเหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว"เพราะขุนช้างก็รักนางวันทองเช่นกัน
ดังคำประพันธ์จากบทเสภาหลวงเรื่อง
ขุนช้าง-ขุนแผน ดังนี้
เนื้อตกถึงเสือหรือจะงด อร่อยรสค่อยกินเป็นภักษา
ทิ้งไว้ให้มันสองเวลา เจ้าแก้วตานี้จะเป็นประการใด
สำนวนนี้บางทีอาจใช้ว่า "ฝากอ้อยไว้กับช้าง ฝากปลาย่างไว้กับแมว"
ก็ได้ทั้งสองแบบ เพราะทั้งสองแบบมีความหมายเหมือนกันคือ
ฝากสิ่งใดไว้กับผู้ที่ชอบสิ่งนั้น ย่อมสูญเสียให้กับผู้นั้นไป
หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว
มีความหมายว่า การทำประชดหรือแดกดันที่ผู้ทำรังแต่จะเสียประโยชน์
ตัวอย่างเช่น คุณยกสมบัติให้เขาไปแบบนี้ เหมือนหุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว
เขายิ่งชอบใจ เอาไปถลุงใช้เพลินไปเลย เป็นต้น
สำนวนนี้มีที่มาจากความจริงที่ว่า โดยทั่วไปแล้ว หมาชอบข้าว
และแมวก็ชอบกินปลา ดังนั้น เมื่อหุงข้าวหรือปิ้งปลาให้
ทั้งหมาและแมวก็กินเสียเพลิน มีความสุข แต่คนหุงคนปิ้งกลับเสียของเอง
เปรียบเหมือนเราโกรธใครแล้วให้ในสิ่งที่ผู้นั้นขอเพื่อเป็นการประชดแดกดัน
ก็เท่ากับเข้าทางเขา และผู้ที่เสียประโยชน์ก็คือตัวเราเอง
เพราะไหนจะไม่หายโกรธแล้ว ยังต้องเสียของไปอีก
เรียกว่าเป็นการประชดแดกดันอย่างไม่ถูกทาง และทำให้เสียหายเพิ่มขึ้น
ดังเช่นคำประพันธ์จากสุภาษิตคำโคลงของสำนวน "หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว"
ดังนี้
ประชดหมายเรียกร้อง เห็นใจ
จึงทุ่มเทกลับไป เฉกแสร้ง
เขารอรับเร็วไว ทุกสิ่ง เสนอนา
เกิดก่อประโยชน์แล้ง ต่างล้วนคือสูญ
ย้อมแมวขาย
เป็นสำนวนที่เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ ในหมู่ของนักธุรกิจผู้ทำการค้า
ในสมัยโบราณคนมักนิยมเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา
และเพื่อนก็มักต้องการให้เพื่อนดูดี สวยงาม คนสมัยโบราณจึงใช้ขมิ้นบ้าง ปูนบ้าง
มาย้อมสีขนของแมวให้มีสีสันที่สดใสสวยงามเป็นที่สะดุดตา จึงเป็นที่มาของสำนวน
--
มีที่มาจากนิทานพื้นบ้าน เรื่อง "ศรีธนญชัย"
ตอนที่ศรีธนญชัยกราบทูลขอที่ดินจากพระเจ้าแผ่นดิน
ขอเพียงที่เท่าแมวดิ้นตายเท่านั้น
พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าเป็นที่ดินเพียงเล็กน้อย จึงทรงอนุญาต
ศรีธนญชัยได้ทีจึงเอาแมวตัวหนึ่งมาผูกเชือกที่คอ แล้วเฆี่ยนให้แมวดิ้นไปเรื่อย
ๆ กว่าแมวตัวนั้นจะตายก็กินพื้นที่เป็นอาณาบริเวณกว้าง
จากนิทานเรื่อง ศรีธนญชัย "ที่เท่าแมวดิ้นตาย" จะหมายถึง
ที่ดินจำนวนมาก แต่ในการใช้เป็นสำนวน จะหมายถึง ที่ดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แมวไม่อยู่ หนูละเลิง
อย่าคิดว่า เขียนผิด หรือสะกดผิดนะคะ คำว่า ละเลิง
เป็นคำเก่าที่มีความหมายว่า เหลิงจนลืมตัว ลำพอง หรือคึกคะนอง
แต่ในปัจจุบันมักจะใช้ "แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง"
สำนวนนี้หมายถึง เวลาที่ผู้ให่ไม่อยู่ผู้น้อยก็เล่นกันคึกคะนอง
ลำพองตน ที่ว่าสำนวนนี้น่าสนใจก็เพราะว่า
การเอาธรรมชาติของหนูที่กลัวแมวมาเปรียบเทียบ โดยเปรียบแมวเป็นผู้ใหญ่
เปรียบหนูเป็นผู้น้อยนั่นเอง
และบางโอกาสสำนวนนี้ก็จะมีคำต่อท้ายสำนวนด้วย คือ "แมวไม่อยู่
หนูร่าเริง แมวมาหลังคาเปิง" นั่นคือเวลาผู้ใหญ่ไม่อยู่
ผู้น้อยก็เล่นกันอย่างเมามัน สนุกสนาน ครั้นผู้ใหญ่กลับมาก็ลนลาน
รีบเก็บกวาดข้าวของและสถานที่ให้อยู่ในสภาพปกติ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฝากเนื้อไว้กับเสือ ฝากปลาย่างไว้กับแมว
มีที่มาจากบทเสภาหลวงเรื่อง "ขุนช้าง-ขุนแผน"
ตอนที่ขุนแผนทิ้งนางวันทองไว้กับขุนช้าง แล้วขุนแผนก็คิดว่า
"เราฝากวันทองไว้กับขุนช้างเหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว"เพราะขุนช้างก็รักนางวันทองเช่นกัน
ดังคำประพันธ์จากบทเสภาหลวงเรื่อง
ขุนช้าง-ขุนแผน ดังนี้
เนื้อตกถึงเสือหรือจะงด อร่อยรสค่อยกินเป็นภักษา
ทิ้งไว้ให้มันสองเวลา เจ้าแก้วตานี้จะเป็นประการใด
สำนวนนี้บางทีอาจใช้ว่า "ฝากอ้อยไว้กับช้าง ฝากปลาย่างไว้กับแมว"
ก็ได้ทั้งสองแบบ เพราะทั้งสองแบบมีความหมายเหมือนกันคือ
ฝากสิ่งใดไว้กับผู้ที่ชอบสิ่งนั้น ย่อมสูญเสียให้กับผู้นั้นไป
หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว
มีความหมายว่า การทำประชดหรือแดกดันที่ผู้ทำรังแต่จะเสียประโยชน์
ตัวอย่างเช่น คุณยกสมบัติให้เขาไปแบบนี้ เหมือนหุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว
เขายิ่งชอบใจ เอาไปถลุงใช้เพลินไปเลย เป็นต้น
สำนวนนี้มีที่มาจากความจริงที่ว่า โดยทั่วไปแล้ว หมาชอบข้าว
และแมวก็ชอบกินปลา ดังนั้น เมื่อหุงข้าวหรือปิ้งปลาให้
ทั้งหมาและแมวก็กินเสียเพลิน มีความสุข แต่คนหุงคนปิ้งกลับเสียของเอง
เปรียบเหมือนเราโกรธใครแล้วให้ในสิ่งที่ผู้นั้นขอเพื่อเป็นการประชดแดกดัน
ก็เท่ากับเข้าทางเขา และผู้ที่เสียประโยชน์ก็คือตัวเราเอง
เพราะไหนจะไม่หายโกรธแล้ว ยังต้องเสียของไปอีก
เรียกว่าเป็นการประชดแดกดันอย่างไม่ถูกทาง และทำให้เสียหายเพิ่มขึ้น
ดังเช่นคำประพันธ์จากสุภาษิตคำโคลงของสำนวน "หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว"
ดังนี้
ประชดหมายเรียกร้อง เห็นใจ
จึงทุ่มเทกลับไป เฉกแสร้ง
เขารอรับเร็วไว ทุกสิ่ง เสนอนา
เกิดก่อประโยชน์แล้ง ต่างล้วนคือสูญ
ย้อมแมวขาย
เป็นสำนวนที่เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ ในหมู่ของนักธุรกิจผู้ทำการค้า
ในสมัยโบราณคนมักนิยมเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา
และเพื่อนก็มักต้องการให้เพื่อนดูดี สวยงาม คนสมัยโบราณจึงใช้ขมิ้นบ้าง ปูนบ้าง
มาย้อมสีขนของแมวให้มีสีสันที่สดใสสวยงามเป็นที่สะดุดตา จึงเป็นที่มาของสำนวน
--
อย่าไว้ใจ...ไม้จิ้มฟัน
*หลายคนคงจะเคยประสบกับปัญหามีเศษอาหารติดอยู่ตามซอกฟันหลังการรับประทานอาหาร
ซึ่งแต่ละคนก็คงจะมีวิธีแก้ไขต่างๆ กันไป แต่วิธีที่ง่าย สะดวกที่สุด
อีกทั้งมีอุปกรณ์ไว้คอยบริการอยู่ตามร้านอาหารทั่วไป ก็คือ การใช้ไม้จิ้มฟัน
ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะคะว่า ไม้จิ้มฟัน ดังนั้นหน้าที่ของมันก็คือ
ใช้จิ้มฟันเขี่ยเศษอาหารที่ติดอยู่บริเวณซอกฟันออก*
*การใช้ไม้จิ้มฟันอย่างถูกวิธี* คือ
ใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยเศษอาหารจากเหงือกไปตามซี่ฟัน ไม่ควรทิ่มเข้าไปในซอกฟัน
หรือทิ่มจากด้านหน้าฟันทะลุไปถึงหลังฟัน
*แต่คงมีหลายคนที่ใช้ไม้จิ้มฟันผิดวิธี
คือใช้ไม้จิ้มฟันทิ่มเข้าไปในซอกฟัน*เพราะความเรียวเล็กที่ปลายและค่อยๆ
ใหญ่ขึ้นถึงโคน
เมื่อทิ่มเลยเข้าไปในซอกฟันมากๆ เข้า
ขนาดของไม้จิ้มฟันก็จะไปเบียดให้ยอดเหงือกถูกกดต่ำลง เมื่อใช้บ่อยๆ
เข้ายอดเหงือกที่เคย แหลมปิดซอกฟันก็จะถูกเบียดให้ต่ำลง
และทำให้ยิ่งมีช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นส่งผลให้เศษอาหารยิ่งเข้าไปติดง่ายขึ้น
อีกทั้งเมื่อเกิด ช่องว่างระหว่างฟันทำให้ขาดความสวยงามด้วย
*
นอกจากนี้เรื่องความสะอาดของไม้จิ้มฟันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด
* ไม้จิ้มฟันตามร้านอาหารชั้นนำอาจมีรูปแบบการบรรจุแยกชิ้น
ซึ่งก็จะมีความสะอาดในระดับหนึ่ง
แต่ไม้จิ้มฟันที่เราเห็นกันอยู่ตามร้านอาหารทั่วไปมักใส่กล่องไว้เฉยๆ
บางร้านมีฝาปิดบางร้านไม่มี ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรค และ
ฝุ่นละอองได้ทั้งสิ้น ถ้าเราใช้ไม้จิ้มฟันอย่างไม่ระวัง
โอกาสที่จะทำให้มีการติดเชื้อก็เป็นไปได้ง่ายโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเหงือก
อักเสบอยู่แล้ว
บางคนมีความเคยชินที่จะต้องใช้ไม้จิ้มฟันหลังอาหารทั้งๆที่ไม่มีเศษอาหารติด ฟัน
คือขอเพียงแค่เอาไม้จิ้มฟันไปกัดไว้เล่นๆ
ซึ่งก็เป็นการเพิ่มโอกาสที่จะนำเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปากของเราโดยไม่จำเป็น
*วิธีการทำความสะอาดซอกฟันที่ทันตแพทย์แนะนำให้ใช้ ได้แก่ การใช้ไหมขัดฟัน*
ไหม ขัดฟันเป็นใยไนลอนที่ใช้ทำความสะอาดซอกฟันและสามารถขจัดคราบอาหารหรือเศษ
อาหารชิ้นโตๆได้เป็นอย่างดี รวมทั้งไม่เป็นอันตรายต่อ
เหงือกและไม่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟัน
แต่ข้อจำกัดของการใช้ไหมขัดฟันคือการใช้เวลาค่อนข้างมากในการทำความสะอาด
ซอกฟันให้ครบทุกซี่
*จะเห็นได้ว่าการขจัดเศษอาหารออกจากซอก ฟันมีวิธีการหลายวิธี
ดังนั้นเราควรเลือกวิธีการที่มีประสิทธิภาพและไม่ส่งผล
เสียต่อเหงือกและฟันของเรานะคะ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องใช้ไม้จิ้มฟัน
ก็ควรใช้อย่างถูกวิธีและพิจารณาความสะอาดของไม้จิ้มฟันก่อนที่จะนำเข้าปาก
ทุกครั้ง
ซึ่งแต่ละคนก็คงจะมีวิธีแก้ไขต่างๆ กันไป แต่วิธีที่ง่าย สะดวกที่สุด
อีกทั้งมีอุปกรณ์ไว้คอยบริการอยู่ตามร้านอาหารทั่วไป ก็คือ การใช้ไม้จิ้มฟัน
ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะคะว่า ไม้จิ้มฟัน ดังนั้นหน้าที่ของมันก็คือ
ใช้จิ้มฟันเขี่ยเศษอาหารที่ติดอยู่บริเวณซอกฟันออก*
*การใช้ไม้จิ้มฟันอย่างถูกวิธี* คือ
ใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยเศษอาหารจากเหงือกไปตามซี่ฟัน ไม่ควรทิ่มเข้าไปในซอกฟัน
หรือทิ่มจากด้านหน้าฟันทะลุไปถึงหลังฟัน
*แต่คงมีหลายคนที่ใช้ไม้จิ้มฟันผิดวิธี
คือใช้ไม้จิ้มฟันทิ่มเข้าไปในซอกฟัน*เพราะความเรียวเล็กที่ปลายและค่อยๆ
ใหญ่ขึ้นถึงโคน
เมื่อทิ่มเลยเข้าไปในซอกฟันมากๆ เข้า
ขนาดของไม้จิ้มฟันก็จะไปเบียดให้ยอดเหงือกถูกกดต่ำลง เมื่อใช้บ่อยๆ
เข้ายอดเหงือกที่เคย แหลมปิดซอกฟันก็จะถูกเบียดให้ต่ำลง
และทำให้ยิ่งมีช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นส่งผลให้เศษอาหารยิ่งเข้าไปติดง่ายขึ้น
อีกทั้งเมื่อเกิด ช่องว่างระหว่างฟันทำให้ขาดความสวยงามด้วย
*
นอกจากนี้เรื่องความสะอาดของไม้จิ้มฟันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด
* ไม้จิ้มฟันตามร้านอาหารชั้นนำอาจมีรูปแบบการบรรจุแยกชิ้น
ซึ่งก็จะมีความสะอาดในระดับหนึ่ง
แต่ไม้จิ้มฟันที่เราเห็นกันอยู่ตามร้านอาหารทั่วไปมักใส่กล่องไว้เฉยๆ
บางร้านมีฝาปิดบางร้านไม่มี ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรค และ
ฝุ่นละอองได้ทั้งสิ้น ถ้าเราใช้ไม้จิ้มฟันอย่างไม่ระวัง
โอกาสที่จะทำให้มีการติดเชื้อก็เป็นไปได้ง่ายโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเหงือก
อักเสบอยู่แล้ว
บางคนมีความเคยชินที่จะต้องใช้ไม้จิ้มฟันหลังอาหารทั้งๆที่ไม่มีเศษอาหารติด ฟัน
คือขอเพียงแค่เอาไม้จิ้มฟันไปกัดไว้เล่นๆ
ซึ่งก็เป็นการเพิ่มโอกาสที่จะนำเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปากของเราโดยไม่จำเป็น
*วิธีการทำความสะอาดซอกฟันที่ทันตแพทย์แนะนำให้ใช้ ได้แก่ การใช้ไหมขัดฟัน*
ไหม ขัดฟันเป็นใยไนลอนที่ใช้ทำความสะอาดซอกฟันและสามารถขจัดคราบอาหารหรือเศษ
อาหารชิ้นโตๆได้เป็นอย่างดี รวมทั้งไม่เป็นอันตรายต่อ
เหงือกและไม่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟัน
แต่ข้อจำกัดของการใช้ไหมขัดฟันคือการใช้เวลาค่อนข้างมากในการทำความสะอาด
ซอกฟันให้ครบทุกซี่
*จะเห็นได้ว่าการขจัดเศษอาหารออกจากซอก ฟันมีวิธีการหลายวิธี
ดังนั้นเราควรเลือกวิธีการที่มีประสิทธิภาพและไม่ส่งผล
เสียต่อเหงือกและฟันของเรานะคะ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องใช้ไม้จิ้มฟัน
ก็ควรใช้อย่างถูกวิธีและพิจารณาความสะอาดของไม้จิ้มฟันก่อนที่จะนำเข้าปาก
ทุกครั้ง
จงขจัดตัว "ว" ออกจากชีวิต
*ถ้า คุณสังเกตจะแปลกใจว่า คำไทยแท้ที่ออกเสียง "ว"
เกือบทั้งสิ้นล้วนแสดงลักษณะทางลบของคุณภาพ, บุคลิกภาพ, อุปนิสัย, ความรู้สึก
ฯลฯ หาความ "ดี" หรือความ "งาม" ไม่พบ
ซ้ำร้ายยังทำให้สุขภาพจิตของผู้เป็นเจ้าของคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ นั้นๆ
เสื่อมอีกด้วย*
ไม่ มีใครมีความสุขและสุขภาพจิตก็คงเสื่อมถ้าเขาผู้นั้น จมูกโหว่ ปากแหว่ง
สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เป็นหวัด หวุดหวิดจะถูกรถชน เป็นแผลเหวอะหวะ
เกิดอาการวิงเวียนใจหวิว ถูกไฟไหม้วอดจนใจหายวาบ แทบจะหัวใจวาย
นอก จากคำที่ออกเสียง "ว"
เหล่านั้นจะทำให้เจ้าของลักษณะหรืออาการนั้นสุขภาพจิตเสื่อมแล้ว
ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง "ว" หลายคำที่ทำให้ใครๆ ไม่รักและไม่อยากคบอีกด้วย
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คน "มือไว"
ผู้ชายที่มีรสนิยมแห่งเพศตรงข้ามสูงย่อมรังเกียจผู้หญิง "ไวไฟ"
*ลองวาดภาพผู้หญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะบุคลิกภาพล้วนบรรยายด้วยอักษร
"ว" ทั้งสิ้น ดังนี้*
*เป็น คนโวยวาย โว้เว้ ส่งเสียงโหวกเหวก อ้าปากหวอ อารมณ์วู่วาม
และหวั่นไหวง่าย ชอบคุยโว จิตใจว้าวุ่น มักวอแว หวาดหวั่น วอกแวก
มีชีวิตอยู่อย่างว้าเหว่ ขาดเพื่อน และไวไฟกับผู้ชาย*
คนสติดีที่ไหนเล่าจะรักผู้หญิงชนิดนี้ แม้เธอจะมีรูปโฉมระดับนางงามจักรวาล
*คน โวยวาย* เป็นคนประเภทขาดความอดทน เมื่อไม่ได้ดังใจ
หรือเกิดความคับข้องใจแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งคนอื่นส่วนมากทนได้
เขาจะทนไม่ได้และเก็บไว้ในใจไม่อยู่ ต้องแสดงความไม่พอใจ, บ่น, ด่า
หรือคร่ำครวญให้ผู้อื่นฟังไม่เลือกหน้า
จึงทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่ายรำคาญไม่อยากเข้าใกล้
แต่ คนที่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ไม่ระบายออกเสียบ้างเลย คือ
ไม่เคยโวยวายเลยไม่ว่าความทุกข์นั้นใหญ่หลวงสักปานใด ก็เป็นคนสุขภาพจิตเสื่อม
จนอาจถึงกับเป็นโรคไซโคโซมาติคหรือโรคประสาทบางชนิดได้
โปรด อย่าเข้าใจผิดว่า คนเงียบเก็บความรู้สึกทุกอย่าง เป็นคน "ดี"
กับคนอื่นไม่เลือกหน้าและตลอดเวลา อย่างที่เราชอบพูดกันติดปากว่า "nice"
เหลือเกิน (ไม่ใช่ "nice" เฉยๆ) นั้น เนื้อแท้จะเป็นคนน่ารัก และน่าคบทุกคนไป
คน เงียบเกินไปและเก็บความรู้สึกเกินไปไม่น่าเข้าใกล้เท่าใดนัก
เพราะไม่สามารถหยั่งอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้
ไม่มีใครชอบชายคนชาเย็นและลึกลับ เพราะไม่ทราบว่าเขาซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ที่ใดบ้าง
คนอบอุ่นและเปิดเผยน่าคบกว่า เพราะสื่อนำความรู้สึกและอารมณ์ต่อกันได้ดีกว่า
ถ้าต้องใช้ชีวิตผูกพันกับคนเงียบเกินไป
คุณจะอึดอัดเมื่อมีความขัดแย้งหรือความขุ่นข้องเขาจะนิ่ง
คุณจึงลำบากใจและหนักอก แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
ส่วนคนที่ดีเกินไป หรือ *"nice"* เกินไป นั้น ดูผิวเผินช่างมีเสน่ห์น่ารัก
เพราะไม่เคยโกรธใคร, ไม่เคยขัดใจใคร, ไม่เคยโวยวายแม้เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ
ฯลฯ แท้จริงในจิตไร้สำนึก เขาอาจมีความก้าวร้าว และความไม่เป็นมิตรอยู่มากมาย
จึงต้องใช้จิตกลไกลชนิดทำตรงกันข้าม หรือเขาอาจเป็นคนขาดความรักมาแต่วัยเด็ก
จึงต้องใฝ่หาความรักจากผู้อื่นไม่รู้จักพอ ด้วยการเป็นคนดีเกินปกติ
เพราะฉะนั้น จงเป็นคน "ดี" แต่พอดี ถ้าดีเกินพอดีอาจจะกลายเป็นไม่ดี
คน ไม่โวยวายเมื่อควรโวยวาย คือ
เมื่อความทุกข์เกินขีดความอดทนต้องฆ่าตัวตายมาแล้วหลายราย แต่คนที่ทั้งโวยวาย
และวู่วามไม่เลือกกาลเทศะก็ถูกฆ่าตายมาแล้วหลายรายเช่นกัน
ฉะนั้น เมื่อเผชิญปัญหาชีวิตหนักหน่วง
มีความทุกข์หรือความเดือดร้อนมากเกินขีดความอดทน ก็จงโวยวายออกมาเสียบ้าง
แต่ต้องรู้จักเลือกคนรับฟังและรับอารมณ์ของคุณได้ และอย่าโวยวายพร่ำเพรื่อ
แล้วคุณจะทั้งสุขภาพจิตดีทั้งเป็นที่รักของใครๆ
*คนวู่วาม *คือ คนวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ขาดความยับยั้ง
และขาดความสามารถควบคุมอารมณ์ จึงเหมือนทารก
หรืออาจเป็นพวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดที่เรียกว่า "Explosive Personality"
ซึ่งถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งให้โทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
ความวู่วามโกรธง่ายทำลายบุคลิกภาพที่ดีงาม ทำให้ผู้อื่นเสื่อมความนิยม
ทำให้แก่เร็ว และทำให้ตนเองและผู้เข้าใกล้สุขภาพจิตเสื่อม
ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนวู่วามต้องรีบแก้ไข แม้จะไม่ง่ายนัก
แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยากเกินไป
ถ้าเกินกำลังจะแก้ไขเองต้องขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ เพราะถ้าทิ้งไว้ไม่แก้
วันใดวันหนึ่งคุณอาจจะเคราะห์ร้ายไปวู่วามผิดคน ผิดจังหวะเข้า
ก็อาจถึงกับวางวายได้
*คนโว *คือ คนขี้โมโห, ขี้คุย, ขี้อวด, ขาดความถ่อมตัว
ไปที่ใดจึงมีแต่คนรำคาญหรือหมั่นไส้ และไม่น่ารักในสายตาของใครสักคนเดียว
เนื้อแท้ของคนประเภทนี้คือ เป็นคนมีปมด้อย เช่น บางคนฉลาดแต่ขี้เหร่,
บางคนสวยแต่โง่, บางคนร่ำรวยแต่มีต้นตระกูลยากไร้และต่ำต้อย
บางคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ จึงต้องใช้จิตกลไกชนิดชดเชย เพื่อลบล้างปมด้อย
ปม ด้อยของเราสามารถชดเชยได้ทางอื่นที่ไม่ใช่การโว โดยใช้จิตกลไกอันเดียวกันนี้
แต่อย่าถูกทาง อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ยากจนอาศัยแสงเทียนไข
อ่านกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ใช้ห่อของ
ได้กลายเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา
และเป็นบุรุษแห่งประวัติศาสตร์คนหนึ่งของโลก
*คนวอกแวก* คือ คนขาดสมาธิ, จิตใจไม่สงบ โดยมากเกิดจากความวิตกกังวล
ซึ่งถ้ามีมากเกินไปหรือหาทางออกไม่ได้ อาจกลายเป็นโรคประสาท
ถ้ารู้ตัวว่าจิตใจวอกแวกมากจนรบกวนการทำงานหรือการเรียน ควรปรึกษาจิตแพทย์
*คนหวาดหวั่น *อาการ หวาดหวั่นรุนแรง
มีความกลัวหรือความพรั่นพรึงเป็นเจ้าเรือนตลอดเวลา มักพบในโรคประสาท
หรือโรคจิตบางชนิด ถ้าหวาดหวั่นกระวนกระวายและซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วยในวัยต่อ
คือวัยประมาณ 45-55 ปีในหญิง และ 50-60 ปีในชาย
ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคจิตซึมเศร้าในวัยต่อ
*คนหวั่นไหวง่าย *อาจ หมายถึง อารมณ์หวั่นไหวง่าย
หรืออารมณ์ไม่คงเส้นคงวาเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมได้ง่าย และยอมให้สิ่งเร้าต่างๆ
เป็นนายของอารมณ์หรือาจหมายความว่าหวั่นไหวง่ายต่อคำติชมของผู้อื่น
เพราะต้องการการค้ำจุนใจจากผู้อื่นมาก จึงเป็นคนไม่มีความสุข
เหมือนเอาชีวิตของตนไปผูกแขวนไว้กับท่าทีและถ้อยคำของคนอื่นเป็นลักษณะของคน
ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความมั่นคงทางใจ
เป็นผลจากภูมิหลังของบุคลิกภาพแต่เยาว์วัย ถ้าเราเชื่อว่า
เราได้ตัดสินใจทำสิ่งใดอย่างรอบคอบถูกต้อง
และอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว จงพอใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
และถือว่าคำวิจารณ์ที่ตามมานั้นหาใช่ธุระกงการอะไรของเราไม่
*คนวอแว *คำ ว่า "วอแว" พจนานุกรมแปลว่า รบกวน, เซ้าซี้ เพราะฉะนั้น
คงไม่ต้องอธิบายว่าเหตุใดคนวอแวจึงทำให้สุขภาพจิตของคนอื่นเสื่อม
และทำให้ไม่มีใครรัก
*คนโว้เว้ *คำ ว่า "โว้เว้" พจนานุกรม แปลว่า พูดหาเรื่อง, พูดเหลวไหล
ทำเหลวไหล คนมีปัญญาที่ไหนเล่าจะรักคนโว้เว้ และแน่นอนเหลือเกินว่า
คนโว้เว้เข้าใกล้ใครรังแต่จะบั่นทอนสุขภาพจิตของผู้นั้น
นอก จากนั้น ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง "ว" อีกสองคำ
ซึ่งเป็นประเภทดาบสองคมสุดแต่คุณจะเลือกใช้คือ ถ้าคุณเลือก เว้าวอน
เฉพาะกับคนที่คุณมีสิทธิตามกฎหมายและศีลธรรมให้ เขาวาบหวาม จะด้วยสายตา, วาจา
หรือ การสัมผัสของคุณก็ตาม ทั้งคุณและเขาจะมีสุขภาพจิตดีขึ้น
แต่ถ้าคุณเผอิญไปเว้าวอนเอาคนที่คุณไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
หรือศีลธรรมเข้าจนเขาวาบหวาม ผลที่ได้รับอาจกลับหน้ามือเป็นหลังมือ คือ
สุขภาพจิตทั้งของคุณและของเขา จะเสื่อมอย่างร้ายกาจ
เพราะชีวิตของคุณจะพบแต่ความวุ่นวาย จิตใจก็จะมีแต่ความหวาดหวั่น
มิหนำซ้ำคุณยังได้ชื่อว่าทำลายสุขภาพจิตของบุคคลที่สามอย่างไร้ศีลธรรมอีก ด้วย
ซ้ำร้ายถ้าบุคคลที่สามคือคู่หมั้น หรือภรรยาของเขาวู่วามถึงขีด
คุณก็อาจถึงกับเหวอะหวะจนหวุดหวิดจะวางวายได้
มี คำไทยแท้ออกเสียง "ว" เพียงสองคำเท่านั้นที่นอกจากจะไร้ "พิษ" และ ปลอด
"ภัย" ต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตเป็นอย่างดียิ่ง
สองคำนั้นคือ "ความหวัง" กับ "ความหวาน"
จง หว่านเพาะความหวังและความหวาน แล้วหมั่นรดน้ำพรวนดินด้วยน้ำใจ,
ไมตรีจิตและความจริงใจ ให้มันงอกงาม ผลิดอกออกช่อบานสะพรั่งเต็มหัวใจของคุณ
แล้วแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาสดชื่นร่มเย็นแก่ชีวิตของผู้อื่นด้วย
ถ้า คุณสามารถฝึกจิตใจให้บรรจุแต่ความหวังและความหวาน
แล้วยังสามารถปลุกผู้อื่นให้เกิดความหวัง
และเจือจานความหวานแห่งชีวิตให้แก่เขาด้วย คุณย่อมจะมีแต่ความสุข
ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ความสุขแก่ผู้อื่นอีกโสดหนึ่ง
แถมได้รับผลพลอยได้ที่ปุถุชนจิตใจปกติทุกคนย่อมอยากได้คือ
ได้เป็นที่รักของทุกคนที่เข้าใกล้คุณ
*
ที่ มาของข้อมูล: จากบทความเพื่อสุขภาพจิต ของ แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ
อยุธยา สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
*
เกือบทั้งสิ้นล้วนแสดงลักษณะทางลบของคุณภาพ, บุคลิกภาพ, อุปนิสัย, ความรู้สึก
ฯลฯ หาความ "ดี" หรือความ "งาม" ไม่พบ
ซ้ำร้ายยังทำให้สุขภาพจิตของผู้เป็นเจ้าของคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ นั้นๆ
เสื่อมอีกด้วย*
ไม่ มีใครมีความสุขและสุขภาพจิตก็คงเสื่อมถ้าเขาผู้นั้น จมูกโหว่ ปากแหว่ง
สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เป็นหวัด หวุดหวิดจะถูกรถชน เป็นแผลเหวอะหวะ
เกิดอาการวิงเวียนใจหวิว ถูกไฟไหม้วอดจนใจหายวาบ แทบจะหัวใจวาย
นอก จากคำที่ออกเสียง "ว"
เหล่านั้นจะทำให้เจ้าของลักษณะหรืออาการนั้นสุขภาพจิตเสื่อมแล้ว
ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง "ว" หลายคำที่ทำให้ใครๆ ไม่รักและไม่อยากคบอีกด้วย
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คน "มือไว"
ผู้ชายที่มีรสนิยมแห่งเพศตรงข้ามสูงย่อมรังเกียจผู้หญิง "ไวไฟ"
*ลองวาดภาพผู้หญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะบุคลิกภาพล้วนบรรยายด้วยอักษร
"ว" ทั้งสิ้น ดังนี้*
*เป็น คนโวยวาย โว้เว้ ส่งเสียงโหวกเหวก อ้าปากหวอ อารมณ์วู่วาม
และหวั่นไหวง่าย ชอบคุยโว จิตใจว้าวุ่น มักวอแว หวาดหวั่น วอกแวก
มีชีวิตอยู่อย่างว้าเหว่ ขาดเพื่อน และไวไฟกับผู้ชาย*
คนสติดีที่ไหนเล่าจะรักผู้หญิงชนิดนี้ แม้เธอจะมีรูปโฉมระดับนางงามจักรวาล
*คน โวยวาย* เป็นคนประเภทขาดความอดทน เมื่อไม่ได้ดังใจ
หรือเกิดความคับข้องใจแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งคนอื่นส่วนมากทนได้
เขาจะทนไม่ได้และเก็บไว้ในใจไม่อยู่ ต้องแสดงความไม่พอใจ, บ่น, ด่า
หรือคร่ำครวญให้ผู้อื่นฟังไม่เลือกหน้า
จึงทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่ายรำคาญไม่อยากเข้าใกล้
แต่ คนที่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ไม่ระบายออกเสียบ้างเลย คือ
ไม่เคยโวยวายเลยไม่ว่าความทุกข์นั้นใหญ่หลวงสักปานใด ก็เป็นคนสุขภาพจิตเสื่อม
จนอาจถึงกับเป็นโรคไซโคโซมาติคหรือโรคประสาทบางชนิดได้
โปรด อย่าเข้าใจผิดว่า คนเงียบเก็บความรู้สึกทุกอย่าง เป็นคน "ดี"
กับคนอื่นไม่เลือกหน้าและตลอดเวลา อย่างที่เราชอบพูดกันติดปากว่า "nice"
เหลือเกิน (ไม่ใช่ "nice" เฉยๆ) นั้น เนื้อแท้จะเป็นคนน่ารัก และน่าคบทุกคนไป
คน เงียบเกินไปและเก็บความรู้สึกเกินไปไม่น่าเข้าใกล้เท่าใดนัก
เพราะไม่สามารถหยั่งอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้
ไม่มีใครชอบชายคนชาเย็นและลึกลับ เพราะไม่ทราบว่าเขาซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ที่ใดบ้าง
คนอบอุ่นและเปิดเผยน่าคบกว่า เพราะสื่อนำความรู้สึกและอารมณ์ต่อกันได้ดีกว่า
ถ้าต้องใช้ชีวิตผูกพันกับคนเงียบเกินไป
คุณจะอึดอัดเมื่อมีความขัดแย้งหรือความขุ่นข้องเขาจะนิ่ง
คุณจึงลำบากใจและหนักอก แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
ส่วนคนที่ดีเกินไป หรือ *"nice"* เกินไป นั้น ดูผิวเผินช่างมีเสน่ห์น่ารัก
เพราะไม่เคยโกรธใคร, ไม่เคยขัดใจใคร, ไม่เคยโวยวายแม้เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ
ฯลฯ แท้จริงในจิตไร้สำนึก เขาอาจมีความก้าวร้าว และความไม่เป็นมิตรอยู่มากมาย
จึงต้องใช้จิตกลไกลชนิดทำตรงกันข้าม หรือเขาอาจเป็นคนขาดความรักมาแต่วัยเด็ก
จึงต้องใฝ่หาความรักจากผู้อื่นไม่รู้จักพอ ด้วยการเป็นคนดีเกินปกติ
เพราะฉะนั้น จงเป็นคน "ดี" แต่พอดี ถ้าดีเกินพอดีอาจจะกลายเป็นไม่ดี
คน ไม่โวยวายเมื่อควรโวยวาย คือ
เมื่อความทุกข์เกินขีดความอดทนต้องฆ่าตัวตายมาแล้วหลายราย แต่คนที่ทั้งโวยวาย
และวู่วามไม่เลือกกาลเทศะก็ถูกฆ่าตายมาแล้วหลายรายเช่นกัน
ฉะนั้น เมื่อเผชิญปัญหาชีวิตหนักหน่วง
มีความทุกข์หรือความเดือดร้อนมากเกินขีดความอดทน ก็จงโวยวายออกมาเสียบ้าง
แต่ต้องรู้จักเลือกคนรับฟังและรับอารมณ์ของคุณได้ และอย่าโวยวายพร่ำเพรื่อ
แล้วคุณจะทั้งสุขภาพจิตดีทั้งเป็นที่รักของใครๆ
*คนวู่วาม *คือ คนวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ขาดความยับยั้ง
และขาดความสามารถควบคุมอารมณ์ จึงเหมือนทารก
หรืออาจเป็นพวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดที่เรียกว่า "Explosive Personality"
ซึ่งถือว่าเป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งให้โทษทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
ความวู่วามโกรธง่ายทำลายบุคลิกภาพที่ดีงาม ทำให้ผู้อื่นเสื่อมความนิยม
ทำให้แก่เร็ว และทำให้ตนเองและผู้เข้าใกล้สุขภาพจิตเสื่อม
ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนวู่วามต้องรีบแก้ไข แม้จะไม่ง่ายนัก
แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยากเกินไป
ถ้าเกินกำลังจะแก้ไขเองต้องขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ เพราะถ้าทิ้งไว้ไม่แก้
วันใดวันหนึ่งคุณอาจจะเคราะห์ร้ายไปวู่วามผิดคน ผิดจังหวะเข้า
ก็อาจถึงกับวางวายได้
*คนโว *คือ คนขี้โมโห, ขี้คุย, ขี้อวด, ขาดความถ่อมตัว
ไปที่ใดจึงมีแต่คนรำคาญหรือหมั่นไส้ และไม่น่ารักในสายตาของใครสักคนเดียว
เนื้อแท้ของคนประเภทนี้คือ เป็นคนมีปมด้อย เช่น บางคนฉลาดแต่ขี้เหร่,
บางคนสวยแต่โง่, บางคนร่ำรวยแต่มีต้นตระกูลยากไร้และต่ำต้อย
บางคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ฯลฯ จึงต้องใช้จิตกลไกชนิดชดเชย เพื่อลบล้างปมด้อย
ปม ด้อยของเราสามารถชดเชยได้ทางอื่นที่ไม่ใช่การโว โดยใช้จิตกลไกอันเดียวกันนี้
แต่อย่าถูกทาง อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ยากจนอาศัยแสงเทียนไข
อ่านกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ใช้ห่อของ
ได้กลายเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา
และเป็นบุรุษแห่งประวัติศาสตร์คนหนึ่งของโลก
*คนวอกแวก* คือ คนขาดสมาธิ, จิตใจไม่สงบ โดยมากเกิดจากความวิตกกังวล
ซึ่งถ้ามีมากเกินไปหรือหาทางออกไม่ได้ อาจกลายเป็นโรคประสาท
ถ้ารู้ตัวว่าจิตใจวอกแวกมากจนรบกวนการทำงานหรือการเรียน ควรปรึกษาจิตแพทย์
*คนหวาดหวั่น *อาการ หวาดหวั่นรุนแรง
มีความกลัวหรือความพรั่นพรึงเป็นเจ้าเรือนตลอดเวลา มักพบในโรคประสาท
หรือโรคจิตบางชนิด ถ้าหวาดหวั่นกระวนกระวายและซึมเศร้าอย่างมากร่วมด้วยในวัยต่อ
คือวัยประมาณ 45-55 ปีในหญิง และ 50-60 ปีในชาย
ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคจิตซึมเศร้าในวัยต่อ
*คนหวั่นไหวง่าย *อาจ หมายถึง อารมณ์หวั่นไหวง่าย
หรืออารมณ์ไม่คงเส้นคงวาเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมได้ง่าย และยอมให้สิ่งเร้าต่างๆ
เป็นนายของอารมณ์หรือาจหมายความว่าหวั่นไหวง่ายต่อคำติชมของผู้อื่น
เพราะต้องการการค้ำจุนใจจากผู้อื่นมาก จึงเป็นคนไม่มีความสุข
เหมือนเอาชีวิตของตนไปผูกแขวนไว้กับท่าทีและถ้อยคำของคนอื่นเป็นลักษณะของคน
ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความมั่นคงทางใจ
เป็นผลจากภูมิหลังของบุคลิกภาพแต่เยาว์วัย ถ้าเราเชื่อว่า
เราได้ตัดสินใจทำสิ่งใดอย่างรอบคอบถูกต้อง
และอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว จงพอใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
และถือว่าคำวิจารณ์ที่ตามมานั้นหาใช่ธุระกงการอะไรของเราไม่
*คนวอแว *คำ ว่า "วอแว" พจนานุกรมแปลว่า รบกวน, เซ้าซี้ เพราะฉะนั้น
คงไม่ต้องอธิบายว่าเหตุใดคนวอแวจึงทำให้สุขภาพจิตของคนอื่นเสื่อม
และทำให้ไม่มีใครรัก
*คนโว้เว้ *คำ ว่า "โว้เว้" พจนานุกรม แปลว่า พูดหาเรื่อง, พูดเหลวไหล
ทำเหลวไหล คนมีปัญญาที่ไหนเล่าจะรักคนโว้เว้ และแน่นอนเหลือเกินว่า
คนโว้เว้เข้าใกล้ใครรังแต่จะบั่นทอนสุขภาพจิตของผู้นั้น
นอก จากนั้น ยังมีคำไทยแท้ออกเสียง "ว" อีกสองคำ
ซึ่งเป็นประเภทดาบสองคมสุดแต่คุณจะเลือกใช้คือ ถ้าคุณเลือก เว้าวอน
เฉพาะกับคนที่คุณมีสิทธิตามกฎหมายและศีลธรรมให้ เขาวาบหวาม จะด้วยสายตา, วาจา
หรือ การสัมผัสของคุณก็ตาม ทั้งคุณและเขาจะมีสุขภาพจิตดีขึ้น
แต่ถ้าคุณเผอิญไปเว้าวอนเอาคนที่คุณไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
หรือศีลธรรมเข้าจนเขาวาบหวาม ผลที่ได้รับอาจกลับหน้ามือเป็นหลังมือ คือ
สุขภาพจิตทั้งของคุณและของเขา จะเสื่อมอย่างร้ายกาจ
เพราะชีวิตของคุณจะพบแต่ความวุ่นวาย จิตใจก็จะมีแต่ความหวาดหวั่น
มิหนำซ้ำคุณยังได้ชื่อว่าทำลายสุขภาพจิตของบุคคลที่สามอย่างไร้ศีลธรรมอีก ด้วย
ซ้ำร้ายถ้าบุคคลที่สามคือคู่หมั้น หรือภรรยาของเขาวู่วามถึงขีด
คุณก็อาจถึงกับเหวอะหวะจนหวุดหวิดจะวางวายได้
มี คำไทยแท้ออกเสียง "ว" เพียงสองคำเท่านั้นที่นอกจากจะไร้ "พิษ" และ ปลอด
"ภัย" ต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตเป็นอย่างดียิ่ง
สองคำนั้นคือ "ความหวัง" กับ "ความหวาน"
จง หว่านเพาะความหวังและความหวาน แล้วหมั่นรดน้ำพรวนดินด้วยน้ำใจ,
ไมตรีจิตและความจริงใจ ให้มันงอกงาม ผลิดอกออกช่อบานสะพรั่งเต็มหัวใจของคุณ
แล้วแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาสดชื่นร่มเย็นแก่ชีวิตของผู้อื่นด้วย
ถ้า คุณสามารถฝึกจิตใจให้บรรจุแต่ความหวังและความหวาน
แล้วยังสามารถปลุกผู้อื่นให้เกิดความหวัง
และเจือจานความหวานแห่งชีวิตให้แก่เขาด้วย คุณย่อมจะมีแต่ความสุข
ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ความสุขแก่ผู้อื่นอีกโสดหนึ่ง
แถมได้รับผลพลอยได้ที่ปุถุชนจิตใจปกติทุกคนย่อมอยากได้คือ
ได้เป็นที่รักของทุกคนที่เข้าใกล้คุณ
*
ที่ มาของข้อมูล: จากบทความเพื่อสุขภาพจิต ของ แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ
อยุธยา สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
*
13 ก.ย. 2553
เตือนภัย "แมลงด้วงน้ำมัน"
โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดีมีใน กทม. แล้วด้วย
เรียก อีกอย่างว่า แมลงก้นกระดกค่ะ ที่กำแพงแสนมีจนจะเรียกได้ว่า เป็น 1 ในกลุ่มประชากรแล้ว
เพราะมี คณะเกษตรภาคพืชไร่ปลูก ต้นอะไรสักอย่างที่แมลงชนิดนี้ชอบ
อีกอย่างที่ต้องระวังคือ ถ้าเจอ ห้ามตบ ห้ามตี เพราะถ้าตัวมันแตก สารที่ไหลออกมา
จะเป็นตัวเรียกเพื่อนมันมาค่ะ ให้ใช้เทปแปะให้มันอยู่กับที่แล้วตายไปเอง
จะบอกว่า ไบกอน ฆ่าไม่ตาย เป็นแมลงวิวัฒนาการสูง
โปรดทราบ และ ระวังด้วย
ชื่อทางการของมัน "แมลงด้วงน้ำมัน"
ถ้าโดนแล้วห้ามเกาเด็ดขาด เพราะมันจะลามไปเรื่อยๆ เลย หนองหรือน้ำเหลืองของเรา
จะทำให้ลามจากอีกจุดเพิ่มเป็นอีกจุดลาม เป็นแผล ใหญ่
และที่สำคัญตอนนี้แมลงนี้มีอยู่ใน กทม. แล้ว ด้วย
โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดี คนหลายคนถูกแมลงชนิดนี้ทำร้ายหลายรายแล้ว
หากโดน กรุณาพบแพทย์โดยด่วนมิฉะนั้นแผลจะลุกลามไปรวดเร็วมาก
แมลง ชนิดนี้จะไม่กัดหรือต่อย แต่ฉี่ของมันมีความเป็นกรดสูงมากและเป็นสาเหตุให้
เกิดแผล ซึ่งหาก เกิดเป็นแผลแล้วเอา มือไปถูกแผลนั้นให้รีบล้างมือโดยเร็ว
มิฉะนั้นจะเกิดแผลลุกลามไปยังที่ๆ เอามือไปสัมผัสต่อไปอีก
เรียก อีกอย่างว่า แมลงก้นกระดกค่ะ ที่กำแพงแสนมีจนจะเรียกได้ว่า เป็น 1 ในกลุ่มประชากรแล้ว
เพราะมี คณะเกษตรภาคพืชไร่ปลูก ต้นอะไรสักอย่างที่แมลงชนิดนี้ชอบ
อีกอย่างที่ต้องระวังคือ ถ้าเจอ ห้ามตบ ห้ามตี เพราะถ้าตัวมันแตก สารที่ไหลออกมา
จะเป็นตัวเรียกเพื่อนมันมาค่ะ ให้ใช้เทปแปะให้มันอยู่กับที่แล้วตายไปเอง
จะบอกว่า ไบกอน ฆ่าไม่ตาย เป็นแมลงวิวัฒนาการสูง
โปรดทราบ และ ระวังด้วย
ชื่อทางการของมัน "แมลงด้วงน้ำมัน"
ถ้าโดนแล้วห้ามเกาเด็ดขาด เพราะมันจะลามไปเรื่อยๆ เลย หนองหรือน้ำเหลืองของเรา
จะทำให้ลามจากอีกจุดเพิ่มเป็นอีกจุดลาม เป็นแผล ใหญ่
และที่สำคัญตอนนี้แมลงนี้มีอยู่ใน กทม. แล้ว ด้วย
โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดี คนหลายคนถูกแมลงชนิดนี้ทำร้ายหลายรายแล้ว
หากโดน กรุณาพบแพทย์โดยด่วนมิฉะนั้นแผลจะลุกลามไปรวดเร็วมาก
แมลง ชนิดนี้จะไม่กัดหรือต่อย แต่ฉี่ของมันมีความเป็นกรดสูงมากและเป็นสาเหตุให้
เกิดแผล ซึ่งหาก เกิดเป็นแผลแล้วเอา มือไปถูกแผลนั้นให้รีบล้างมือโดยเร็ว
มิฉะนั้นจะเกิดแผลลุกลามไปยังที่ๆ เอามือไปสัมผัสต่อไปอีก
ข้อมูลเปรียบเทียบอัตราเร่ง,ระยะเบรก,เสียงรบกวน และอัตราสิ้นเปลือง รถ hatchback เมืองไทย
ข้อมูลเปรียบเทียบอัตราเร่ง,ระยะหยุดกระทันหัน,เสียงรบกวน,ความคลาดเคลื่อนของมาตรวัดความเร็ว และอัตราสิ้นเปลือง รถ hatchback เมืองไทยจากนิตยสารฟอร์มูล่าฉบับเดือน ก.ย. 2553 ประกอบด้วย นิสสันมาร์ช, ซูซูกิสวิฟท์, โตโยต้ายาริส, ฮอนด้าแจ๊ส, มาสด้า 2
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มัยแอสทีเนีย กราวิส
โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส หรือ โรคเอ็มจี
พลันที่ดาราสาว โอ๋ ภัคจีรา ออกมาเปิดเผยว่า เธอกำลังทนทุกข์กับ โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส หรือ โรคเอ็มจี ซึ่งเป็น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ประเภทหนึ่ง ก็ทำให้คนทั่วไปสงสัยกันมากขึ้นว่า โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส หรือ โรคเอ็มจี นี้คือโรคอะไรกันแน่ แล้วมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง รักษาได้หรือไม่ วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบมาบอกกันค่ะ
สำหรับ โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี ที่ฟังดูชื่อแปลก ๆ เพราะเป็นชื่อภาษากรีกและละติน มีความหมายว่า "grave muscular weakness" ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ประเภทหนึ่ง มักเกิดกับกล้ามเนื้อเล็ก ๆ บริเวณใบหน้า โดยมีการทำงานสื่อสารกันระหว่างเส้นประสาท และกล้ามเนื้อลายผิดปกติ ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ทั้งนี้ โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ไม่ใช่โรคใหม่ แต่เป็นโรคที่มีมานานแล้ว โดยมีการบันทึกว่าพบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มาตั้งแต่ 300 ปีก่อน
มักพบโรคโรคมัยแอสทีเนีย กราวิสในกลุ่มใด
โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มักเกิดกับผู้ใหญ่ และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แต่หากอาการของโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส เริ่มเป็นหลังอายุ 40 ปี จะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
อาการของโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส
ผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส จะมีอาการหนังตาตก ตาพร่ามัว พูดไม่ชัด เคี้ยวและกลืนลำบาก เพราะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า
แต่หากเป็นมากก็อาจทำให้กล้ามเนื้อทั้งตัว เช่น กล้ามเนื้อแขนและขาอ่อนแรงลงได้ รวมทั้งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับระบบหายใจ ทำให้หายใจลำบาก ไอไม่ได้ หรือหากรุนแรงมาก ๆ สามารถทำให้ระบบหายใจล้มเหลวได้เลยทีเดียว แต่สำหรับกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อเรียบต่าง ๆ ในร่างกายจะไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย
โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส หรือ โรคเอ็มจี
โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส จัดเป็นโรคเรื้อรัง อาการต่าง ๆ มักเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดเวลา และอาการจะดีขึ้นเองหลังจากหยุดพักใช้งาน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้อาการโรคนี้รุนแรงขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อ เป็นไข้ ร้อนหรือเย็นเกินไป เครียด ออกแรงมากเกินไป มีประจำเดือน ตั้งครรภ์ โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ และการทานยาบางชนิด
ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิสส่วนใหญ่ จะมีอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้เวลาเป็นสัปดาห์จนถึงเดือน แต่ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงฉับพลันได้ เช่น มีภาวะหัวใจล้มเหลว โดยมักมีอาการเปลี่ยนแปลงได้มากในช่วง 4 ปีแรก และมีอาการรุนแรงมากในช่วง 3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นอาการจะคงที่ และค่อย ๆ ดีขึ้น โดยใช้เวลาเป็นปี ๆ หากได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ในเด็กบางคนที่เป็นโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ตั้งแต่เกิด จะมีอาการแขนขาอ่อนแรง และขยับได้น้อย ส่วนเด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคนี้ จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงตั้งแต่แรกคลอด และเป็นอยู่ราว 2 สัปดาห์ ก่อนจะหายได้เอง
สาเหตุของโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส
มีสาเหตุ 4 ประการที่ทำให้เกิดโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ได้ คือ
1.ร่างกายผู้ป่วยสร้างแอนติบอดี้ต่อโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับสารอะซิติลโคลีน โดยมักพบว่า ในตัวผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส จะมีโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนน้อยกว่าคนปกติถึงหนึ่งในสาม เพราะร่างกายสร้างแอนติบอดี้มากำจัดโปรตีนชนิดนี้ไปเกือบหมด
2.สารอะซิติลโคลีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถทำงานได้ แม้ร่างกายจะหลั่งสารนี้ออกมาอย่างปกติ เนื่องจากโปรตีนตัวรับถูกทำลายโดยแอนติบอดี้ที่ร่างกายสร้างขึ้น
3.กรรมพันธุ์ พบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส บางรายมีญาติพี่น้องป่วยเป็นโรคเดียวกันนี้เช่นกัน แม้ส่วนใหญ่จะพบว่า โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มักเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็ตาม
4. ความผิดปกติของต่อมไธมัส ทำให้เกิดโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ได้เช่นกัน โดยพบว่า เกิดจากเนื้องอกถึงร้อยละ 10 และเกิดจากต่อมไธมัสโตผิดปกติมากถึงร้อยละ 70 ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างแอนติบอดีต่อโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนในปริมาณสูง จึงส่งผลต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อตามมา ดังนั้น จึงมักพบผู้ป่วยที่อายุระหว่าง 30-60 ปี ราวร้อยละ 20 มีอาการเนื้องอกที่ต่อมไธมัสด้วย
การวินิจฉัย โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส
แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักถามประวัติอย่างละเอียด และตรวจร่างกายระบบต่าง ๆ รวมทั้งระบบประสาท และทดสอบด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่า เป็นโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส หรือไม่
การรักษา โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส
มักพบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มีอาการร่วมกับโรคลูปัส (โรคเอสแอลอี หรือโรคพุ่มพวง) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคเบาหวานประเภทที่หนึ่ง โดยในสมัยก่อนผู้ป่วยโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก แต่เมื่อค้นพบยารักษาโรคได้ จึงทำให้อัตรายการตายของผู้ป่วยโรคนี้ลดลง
โดยโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วย
การให้ยาต้านฤทธิ์ของเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ทำให้สารอะซิติลโคลีนไม่ถูกทำลาย และการที่มีสารนี้อยู่นานขึ้น ก็สามารถจับกับตัวรับได้มากขึ้น ช่วยให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
การให้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ ช่วยให้อาการดีขึ้นหรืออาการหายขาดได้มากถึงร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด
การให้ยากดภูมิคุ้มกัน
การให้ยาอิมมูโนโกลบูลินชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด
การผ่าตัดต่อมไธมัส
การเปลี่ยนถ่ายพลาสมา
การรักษาทางกายภาพบำบัดในการป้องกันปัญหาข้อติดและช่วยฝึกการหายใจ
โดยสรุปแล้ว โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส เป็นโรคที่เกิดการความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเราคงไม่สามารถป้องกันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากใครเป็นโรคนี้แล้ว ก็สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าได้รับคำแนะนำ และการรักษาจากแพทย์อย่างถูกวิธี
ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิสส่วนใหญ่ จะมีอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้เวลาเป็นสัปดาห์จนถึงเดือน แต่ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงฉับพลันได้ เช่น มีภาวะหัวใจล้มเหลว โดยมักมีอาการเปลี่ยนแปลงได้มากในช่วง 4 ปีแรก และมีอาการรุนแรงมากในช่วง 3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นอาการจะคงที่ และค่อย ๆ ดีขึ้น โดยใช้เวลาเป็นปี ๆ หากได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ในเด็กบางคนที่เป็นโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ตั้งแต่เกิด จะมีอาการแขนขาอ่อนแรง และขยับได้น้อย ส่วนเด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคนี้ จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงตั้งแต่แรกคลอด และเป็นอยู่ราว 2 สัปดาห์ ก่อนจะหายได้เอง
สาเหตุของโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส
มีสาเหตุ 4 ประการที่ทำให้เกิดโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ได้ คือ
1.ร่างกายผู้ป่วยสร้างแอนติบอดี้ต่อโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับสารอะซิติลโคลีน โดยมักพบว่า ในตัวผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส จะมีโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนน้อยกว่าคนปกติถึงหนึ่งในสาม เพราะร่างกายสร้างแอนติบอดี้มากำจัดโปรตีนชนิดนี้ไปเกือบหมด
2.สารอะซิติลโคลีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถทำงานได้ แม้ร่างกายจะหลั่งสารนี้ออกมาอย่างปกติ เนื่องจากโปรตีนตัวรับถูกทำลายโดยแอนติบอดี้ที่ร่างกายสร้างขึ้น
3.กรรมพันธุ์ พบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส บางรายมีญาติพี่น้องป่วยเป็นโรคเดียวกันนี้เช่นกัน แม้ส่วนใหญ่จะพบว่า โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มักเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็ตาม
4. ความผิดปกติของต่อมไธมัส ทำให้เกิดโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส ได้เช่นกัน โดยพบว่า เกิดจากเนื้องอกถึงร้อยละ 10 และเกิดจากต่อมไธมัสโตผิดปกติมากถึงร้อยละ 70 ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างแอนติบอดีต่อโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนในปริมาณสูง จึงส่งผลต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อตามมา ดังนั้น จึงมักพบผู้ป่วยที่อายุระหว่าง 30-60 ปี ราวร้อยละ 20 มีอาการเนื้องอกที่ต่อมไธมัสด้วย
การวินิจฉัย โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส
แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักถามประวัติอย่างละเอียด และตรวจร่างกายระบบต่าง ๆ รวมทั้งระบบประสาท และทดสอบด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่า เป็นโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส หรือไม่
การรักษา โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส
มักพบผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนีย กราวิส มีอาการร่วมกับโรคลูปัส (โรคเอสแอลอี หรือโรคพุ่มพวง) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคเบาหวานประเภทที่หนึ่ง โดยในสมัยก่อนผู้ป่วยโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก แต่เมื่อค้นพบยารักษาโรคได้ จึงทำให้อัตรายการตายของผู้ป่วยโรคนี้ลดลง
โดยโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วย
การให้ยาต้านฤทธิ์ของเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ทำให้สารอะซิติลโคลีนไม่ถูกทำลาย และการที่มีสารนี้อยู่นานขึ้น ก็สามารถจับกับตัวรับได้มากขึ้น ช่วยให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
การให้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ ช่วยให้อาการดีขึ้นหรืออาการหายขาดได้มากถึงร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด
การให้ยากดภูมิคุ้มกัน
การให้ยาอิมมูโนโกลบูลินชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด
การผ่าตัดต่อมไธมัส
การเปลี่ยนถ่ายพลาสมา
การรักษาทางกายภาพบำบัดในการป้องกันปัญหาข้อติดและช่วยฝึกการหายใจ
โดยสรุปแล้ว โรคมัยแอสทีเนีย กราวิส เป็นโรคที่เกิดการความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเราคงไม่สามารถป้องกันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากใครเป็นโรคนี้แล้ว ก็สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าได้รับคำแนะนำ และการรักษาจากแพทย์อย่างถูกวิธี
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ 2009
การตรวจด้วยความสมัครใจของผู้ต้องการตรวจหาเชื้อสามารถทำได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบ หรืออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ (แพทย์ต้องเป็นผู้ส่งตรวจ) ซึ่งสามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลรัฐบาล และเอกชนทั่วไป (บางโรงพยาบาลไม่รับตรวจ ควรโทรศัพท์สอบถามโดยตรง)
ราคากลางของการตรวจสอบจะอยู่ที่ 3,500 – 4,000 บาท (สำหรับโรงพยาบาลของรัฐบาล) ส่วนเอกชนอาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติม ( ควรสอบถามโดยตรงจากโรงพยาบาลก่อนเข้ารับบริการเพราะแต่ละที่ไม่ยืนยันตัวเลข และอาจมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทางการแพทย์เพิ่มเติมอีก)
วิธีการตรวจจะใช้ สารคัดหลั่ง ของผู้ป่วย เพื่อการตรวจหาเชื้อ (ไม่ใช้การเจาะเลือด) สำลีพันปลายไม้ (cotton bud) พันเข้าไปในโพรงจมูก และนำสารที่ติดมาไปตรวจหาเชื้อต่อไป
ทุกโรงพยาบาลที่รับตรวจ สุดท้ายจะส่งผลมายัง “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์” อยู่ดี เพราะที่นี่เป็นศูนย์กลางของการตรวจเชื้อ, ผลที่ได้จะถูกส่งกลับไปยังโรงพยาบาล และแพทย์แจ้งผลกับผู้ต้องการตรวจอีกครั้งหนึ่ง
ระยะเวลาการรอผลปัจจุบันอยู่ที่ 3-4 วัน เนื่องจากในแต่ละวัน ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ต้องทำการตรวจเชื้อถึงวันละ 4,000 ราย (โดยประมาณ) … (โดยปกติที่เรื่องนี้ยังไม่บูม 24 ช.ม. ก็ทราบผล)
ขั้นตอนของการตรวจหาเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ 2009 จะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ
ระดับแรก คือ แรพพิด (Rapid) หรือ การตรวจหาเชื้อในโพรงจมูกและช่องคอ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สาย A หรือไม่, ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่ตรวจขั้น 2 ต่อ ถ้าใช่ต้องตรวจเพื่อยืนยันเชื้อ H1N1 ต่อไป
ระดับที่ 2 คือ การตรวจเพื่อยืนยันเชื้อ H1N1 ราคา 3,000 บาท ซึ่งหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้ป่วยจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับกระทรวงสาธารณสุข
รายชื่อสถานพยาบาลที่รับตรวจหาเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ 2009
ราคากลางของการตรวจสอบจะอยู่ที่ 3,500 – 4,000 บาท (สำหรับโรงพยาบาลของรัฐบาล) ส่วนเอกชนอาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติม ( ควรสอบถามโดยตรงจากโรงพยาบาลก่อนเข้ารับบริการเพราะแต่ละที่ไม่ยืนยันตัวเลข และอาจมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทางการแพทย์เพิ่มเติมอีก)
วิธีการตรวจจะใช้ สารคัดหลั่ง ของผู้ป่วย เพื่อการตรวจหาเชื้อ (ไม่ใช้การเจาะเลือด) สำลีพันปลายไม้ (cotton bud) พันเข้าไปในโพรงจมูก และนำสารที่ติดมาไปตรวจหาเชื้อต่อไป
ทุกโรงพยาบาลที่รับตรวจ สุดท้ายจะส่งผลมายัง “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์” อยู่ดี เพราะที่นี่เป็นศูนย์กลางของการตรวจเชื้อ, ผลที่ได้จะถูกส่งกลับไปยังโรงพยาบาล และแพทย์แจ้งผลกับผู้ต้องการตรวจอีกครั้งหนึ่ง
ระยะเวลาการรอผลปัจจุบันอยู่ที่ 3-4 วัน เนื่องจากในแต่ละวัน ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ต้องทำการตรวจเชื้อถึงวันละ 4,000 ราย (โดยประมาณ) … (โดยปกติที่เรื่องนี้ยังไม่บูม 24 ช.ม. ก็ทราบผล)
ขั้นตอนของการตรวจหาเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ 2009 จะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ
ระดับแรก คือ แรพพิด (Rapid) หรือ การตรวจหาเชื้อในโพรงจมูกและช่องคอ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สาย A หรือไม่, ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่ตรวจขั้น 2 ต่อ ถ้าใช่ต้องตรวจเพื่อยืนยันเชื้อ H1N1 ต่อไป
ระดับที่ 2 คือ การตรวจเพื่อยืนยันเชื้อ H1N1 ราคา 3,000 บาท ซึ่งหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้ป่วยจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับกระทรวงสาธารณสุข
รายชื่อสถานพยาบาลที่รับตรวจหาเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ 2009
12 ก.ย. 2553
ยืดอายุรถด้วยการจอดให้ถูกวิธี
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การจอดรถดี ๆ จะสามารถช่วยคุณเซฟค่าใช้จ่าย และช่วยชะลอการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย เรามีเกร็ดน่ารู้เรื่องการจอดรถมาฝากค่ะ
ก่อนนำรถเข้าจอดในโรงเก็บ ให้สังเกตอุณหภูมิรถว่าร้อนในระดับไหน ถ้าวิ่งมาในช่วงสั้นเครื่องไม่ร้อน ก็จอดได้เลย แต่ถ้าขับมาไกล เครื่องอาจร้อนจัด ให้จอดพักในที่โล่ง และเปิดฝากระโปรงหน้าทิ้งไว้เพื่อระบายอากาศ จากนั้นรอจนเครื่องเย็นลงจึงค่อยนำเก็บ หากไม่มีการพักเครื่อง แล้วนำรถเข้าจอดเลย เครื่องยนต์จะเสื่อมสภาพไว ความร้อนที่ระบายออกมายังส่งผลให้สีรถหม่นลงได้ รวมทั้งภายในห้องโดยสารก็จะหมดสภาพไปด้วย
อย่าจอดรถกลางแจ้ง หากหาที่จอดในร่มไม่ได้ ให้ใช้ผ้าคลุมที่พอดีกับรถ เพื่อกันสิ่งสกปรก แล้วยังช่วยไม่ให้สีรถเสื่อมสภาพเร็วด้วย ทั้งกันแดดไม่ให้ส่องเข้าไปภายใน ยืดอายุเบาะ คอนโซล แผงหน้าปัดได้
รถที่ไม่ค่อยได้ใช้ เมื่อจอดทิ้งไว้นาน ๆ ต้องหมั่นสตาร์ทสัปดาห์ละครั้ง โดยติดเครื่องเดินเบา 5 นาที จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ 1,500-2,000 รอบ อีกประมาณ 5 นาที แล้วขยับรถเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิมครึ่งเมตร เพื่อให้น้ำหนักของรถที่กดลงบนยางเปลี่ยนตำแหน่งบ้าง
สำหรับรถที่จอดทิ้งเป็นปี ควรมีขาตั้งรองรับรถไว้ เพื่อลดแรงกดดันที่ส่งผลต่อช่วงล่างและส่วนอื่น ๆ หรือถอดล้อออก แล้วลดความดันลมยางเล็กน้อย เก็บไว้ในที่ร่ม ถ้าไม่สามารถใช้ขาตั้งรองรับรถยนต์ ก็ให้เพิ่มความดันลมในยางเข้าไปอีก 10-15 ปอนด์/ตารางนิ้ว (ควรถอดแบตเตอรี่ออกหรือให้เพื่อนไป หากทิ้งไว้จะเสื่อมสภาพ)
อ้อ! อย่าลืมเช็กความสะอาดก่อนจอดเก็บ อย่างน้อยปัดเศษฝุ่นออกด้วยไม้ขนไก่ก็ยังดี ถ้ามีขี้นกตกใส่ให้รีบเช็ดโดยเร็วที่สุด (มีฤทธิ์เป็นกรดจะกัดสีรถ) ป้องกันไม่ให้สีรถเป็นด่างเป็นดวง เดี๋ยวจะดูไม่งาม
เหตุผลที่ผู้ชายควรรู้
ทำไม..? ผู้ชายถึงห้ามไม่ให้ผู้หญิงไปเที่ยวกับเพื่อนได้
..เพราะรัก..ผู้หญิงจึงทำตาม
ทำไม..? ผู้หญิงถึงไม่เคยห้ามเวลาที่ผู้ชายอยากไปเที่ยวกับเพื่อน
..เพราะรัก...ถึงเข้าใจ
ทำไม...? ผู้หญิงถึงให้อภัยผู้ชายทุกครั้งที่ทำให้เสียใจ
...เพราะรัก...ถึงให้อภัย แล้วลืมมันไป
ทำไม..? วันนี้ผู้หญิงถึงไปจากชีวิตผู้ชายคน
..เพราะ..ที่ผ่านมา ผู้ชายไม่เคย รัก เข้าใจ เห็นใจ
และเห็นคุณค่าในตัวแฟนเค้าเลย
วันนี้ผู้หญิงหลายคนอยากที่จะขอความรัก ความหวังดี ทุกอย่างที่ให้ไปคืนกลับมา
เพราะพวกเค้าอยากเก็บสิ่งที่มีค่านี้ไว้
สำหรับ คนที่เค้าเห็นคุณค่าค่าของมันจริง ๆ
คุณผู้ชายทั้งหลายที่มีแฟนที่ดีอยู่แล้ว
แต่ไม่เคยเห็นคุณค่าของความรักที่มีอยู่ในมือ
ไม่เคยเห็นความสำคัญของคนที่รักคุณ
คิดว่าผู้หญิงเหมือน.... ปลาทูนอนตายในเข่ง....
... แต่ให้รู้ไว้ ว่าคุณคิดผิด...!!!
เพราะแท้จริงแล้ว เธอเพียงแค่
หยุดนิ่ง เพื่อคนที่เธอรัก
ยอมทุกอย่าง เพื่อคนที่เธอรัก
ไม่คิดออกไปนอกกรอบ
เหมือนปลาทูที่ไม่เคยออกไปจากเข่ง
แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่พวกเธอรู้สึกว่า
ถูกลืมไป ไม่มีคุณค่าแล้ว
เธออาจกลายเป็นปลาที่มีชีวิต
แล้วกระโดดลงน้ำ ว่ายหนีไปจากคุณ
อย่าให้หมดคำถาม
เพราะถ้าไม่มีคำถาม
นั้นหมายความว่า
มันจะมีแค่คำตอบเดียว...คือเธอไม่รักคุณแล้ว
จะต้องถอนใจ อีกสักเท่าไร
โลกแห่งความเป็นจริง ไม่เคยเป็นอย่างใจ
วันและคืนเปลี่ยนหมุน ให้เราวิ่งตามเรื่อยไป
โตแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไป
การเป็นผู้ใหญ่ มันไม่ง่ายเลย
มันไม่คุ้นไม่เคย ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ
ไม่มีเวลาเหลือ ไว้ฟังไว้คิดถึงใคร
โตแล้ว ต้องทำอย่างไร
เมื่อนาฬิกาในชีวิตหมุนเร็วกว่าใจ
จนตัวเราเองอาจหล่นหาย
เมื่อเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในใจ เขาไปไหน
ทำไมวันนี้เขาหายไปจากเรา
..เพราะรัก..ผู้หญิงจึงทำตาม
ทำไม..? ผู้หญิงถึงไม่เคยห้ามเวลาที่ผู้ชายอยากไปเที่ยวกับเพื่อน
..เพราะรัก...ถึงเข้าใจ
ทำไม...? ผู้หญิงถึงให้อภัยผู้ชายทุกครั้งที่ทำให้เสียใจ
...เพราะรัก...ถึงให้อภัย แล้วลืมมันไป
ทำไม..? วันนี้ผู้หญิงถึงไปจากชีวิตผู้ชายคน
..เพราะ..ที่ผ่านมา ผู้ชายไม่เคย รัก เข้าใจ เห็นใจ
และเห็นคุณค่าในตัวแฟนเค้าเลย
วันนี้ผู้หญิงหลายคนอยากที่จะขอความรัก ความหวังดี ทุกอย่างที่ให้ไปคืนกลับมา
เพราะพวกเค้าอยากเก็บสิ่งที่มีค่านี้ไว้
สำหรับ คนที่เค้าเห็นคุณค่าค่าของมันจริง ๆ
คุณผู้ชายทั้งหลายที่มีแฟนที่ดีอยู่แล้ว
แต่ไม่เคยเห็นคุณค่าของความรักที่มีอยู่ในมือ
ไม่เคยเห็นความสำคัญของคนที่รักคุณ
คิดว่าผู้หญิงเหมือน.... ปลาทูนอนตายในเข่ง....
... แต่ให้รู้ไว้ ว่าคุณคิดผิด...!!!
เพราะแท้จริงแล้ว เธอเพียงแค่
หยุดนิ่ง เพื่อคนที่เธอรัก
ยอมทุกอย่าง เพื่อคนที่เธอรัก
ไม่คิดออกไปนอกกรอบ
เหมือนปลาทูที่ไม่เคยออกไปจากเข่ง
แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่พวกเธอรู้สึกว่า
ถูกลืมไป ไม่มีคุณค่าแล้ว
เธออาจกลายเป็นปลาที่มีชีวิต
แล้วกระโดดลงน้ำ ว่ายหนีไปจากคุณ
อย่าให้หมดคำถาม
เพราะถ้าไม่มีคำถาม
นั้นหมายความว่า
มันจะมีแค่คำตอบเดียว...คือเธอไม่รักคุณแล้ว
จะต้องถอนใจ อีกสักเท่าไร
โลกแห่งความเป็นจริง ไม่เคยเป็นอย่างใจ
วันและคืนเปลี่ยนหมุน ให้เราวิ่งตามเรื่อยไป
โตแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไป
การเป็นผู้ใหญ่ มันไม่ง่ายเลย
มันไม่คุ้นไม่เคย ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ
ไม่มีเวลาเหลือ ไว้ฟังไว้คิดถึงใคร
โตแล้ว ต้องทำอย่างไร
เมื่อนาฬิกาในชีวิตหมุนเร็วกว่าใจ
จนตัวเราเองอาจหล่นหาย
เมื่อเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในใจ เขาไปไหน
ทำไมวันนี้เขาหายไปจากเรา
วิธีเดาขนาดของสาวๆ จากใบหน้า (หนุกหนานๆ)
เอ๊า ..... ก้อว่ากันไป
*วิธีเดาขนาดของสาวๆ จากใบหน้า*
ความยาว
วัดจากตรีศูนย์(แสกหน้า)ถึงปลายจมูก
ได้เท่าไรจะเท่ากับความยาวตั้งแต่รอยผ่าบนเนินถึงปลายสุดฝีเย็บตรงก้นขาดเกินไม่ถึง
1หุน(ประมาณ3.03มม.)
ความกว้าง ของเนินสามเหลี่ยม
วัดจากปลายคางขึ้นไปตรงกระดูกปุ่มโหนกแก้มเป็นสามเหลี่ยมซ้ายขวาพื้นที่จะเท่ากันสนิทไม่ขาดไม่เกินกลีบแคมนอก
ความสมบูรณ์อวบอิ่ม
จะวัดได้จากริมฝีปากทั้งล่างบนเป็นจุดที่พ้องกัน ริมฝีปาก เล็ก ลีบ
แคมนอกก็เล็กลีบ ริมฝีปากอวบอิ่มสมบูรณ์เพียงใด ข้างล่างก็เหมือนกัน
ความสูง(เนินนูน)
ให้ดูกระดูกหน้าผากเป็นเกณท์กระดูกหน้าฝากงอกโหนก
โคกเนินข้างล่างก็นูนเนินตามกันเป็นการแปรผันตรงเลย
กระดูกหน้าผากลีบเล็กเสมอปานใด บ้านน้องข้างล่างก็สมกันปานนั้น
สี
สีหัวนมและปานนมจะสดกว่าริมฝีปากที่ไม่ทาลิปติกเล็กน้อย
ส่วนสีในกลีบแคมในจะสดกว่าสีหัวนมเล็กน้อย ทั้งนี้(ที่ไม่ได้ตกแต่งทางเคมี)
สีปกติของทั้งสามส่วนต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ยกเว้นสาวชำนาญเชิงหรือคลอดลูกแบบธรรมชาติ
หรือให้นมลูกเองจะแก่คล้ำขึ้นตามการใช้งาน
ขน
ขนในที่ลับของสาวใดๆก็จะละม้ายขนจมูก สีของขนเดิมๆ
จะเท่ากันเป๊ะกับขนคิ้วทั้งความอ่อนแข็งวัดได้เลย (
ไม่ให้วัดจากผมเพราะผมอาจได้รับการตกแต่งจนเสียความเป็นธรรมชาติ)
เนื้อ
ความนุ่มนวล แข็งแรง หรือรัดรึงของอวัยวะภายใน ให้วัดจากแก้ม ถ้าแก้มสาวใด
เนื้อละเอียด เนียน นุ่ม หยุ่นปานใด
ภายในจิ๊มิสาวนั้นจะมีเนื้อที่ละเอียดเนียนปานกัน
สาวเนื้อระเอียดกว่าจะรัดรึงและยืดหยุ่นได้ดีกว่า สาวเนื้อหยาบแข็งกระด้าง
ขนาดช่องคลอด
ที่ยังไม่ขยายตัวจะแปรผันตรงกับ ความกว้างของช่องปากของสาวคนนั้น
ถ้าสาวใดปากกว้างมากๆ ในระยะยาวจิ๊อาจหลวมง่ายกว่าสาวปากเล็กก็ได้
แต่ต้องดูอย่างอื่นประกอบกัน
*หมายเหตุ* : ไม่ใช่ตำราโปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูล
*วิธีเดาขนาดของสาวๆ จากใบหน้า*
ความยาว
วัดจากตรีศูนย์(แสกหน้า)ถึงปลายจมูก
ได้เท่าไรจะเท่ากับความยาวตั้งแต่รอยผ่าบนเนินถึงปลายสุดฝีเย็บตรงก้นขาดเกินไม่ถึง
1หุน(ประมาณ3.03มม.)
ความกว้าง ของเนินสามเหลี่ยม
วัดจากปลายคางขึ้นไปตรงกระดูกปุ่มโหนกแก้มเป็นสามเหลี่ยมซ้ายขวาพื้นที่จะเท่ากันสนิทไม่ขาดไม่เกินกลีบแคมนอก
ความสมบูรณ์อวบอิ่ม
จะวัดได้จากริมฝีปากทั้งล่างบนเป็นจุดที่พ้องกัน ริมฝีปาก เล็ก ลีบ
แคมนอกก็เล็กลีบ ริมฝีปากอวบอิ่มสมบูรณ์เพียงใด ข้างล่างก็เหมือนกัน
ความสูง(เนินนูน)
ให้ดูกระดูกหน้าผากเป็นเกณท์กระดูกหน้าฝากงอกโหนก
โคกเนินข้างล่างก็นูนเนินตามกันเป็นการแปรผันตรงเลย
กระดูกหน้าผากลีบเล็กเสมอปานใด บ้านน้องข้างล่างก็สมกันปานนั้น
สี
สีหัวนมและปานนมจะสดกว่าริมฝีปากที่ไม่ทาลิปติกเล็กน้อย
ส่วนสีในกลีบแคมในจะสดกว่าสีหัวนมเล็กน้อย ทั้งนี้(ที่ไม่ได้ตกแต่งทางเคมี)
สีปกติของทั้งสามส่วนต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ยกเว้นสาวชำนาญเชิงหรือคลอดลูกแบบธรรมชาติ
หรือให้นมลูกเองจะแก่คล้ำขึ้นตามการใช้งาน
ขน
ขนในที่ลับของสาวใดๆก็จะละม้ายขนจมูก สีของขนเดิมๆ
จะเท่ากันเป๊ะกับขนคิ้วทั้งความอ่อนแข็งวัดได้เลย (
ไม่ให้วัดจากผมเพราะผมอาจได้รับการตกแต่งจนเสียความเป็นธรรมชาติ)
เนื้อ
ความนุ่มนวล แข็งแรง หรือรัดรึงของอวัยวะภายใน ให้วัดจากแก้ม ถ้าแก้มสาวใด
เนื้อละเอียด เนียน นุ่ม หยุ่นปานใด
ภายในจิ๊มิสาวนั้นจะมีเนื้อที่ละเอียดเนียนปานกัน
สาวเนื้อระเอียดกว่าจะรัดรึงและยืดหยุ่นได้ดีกว่า สาวเนื้อหยาบแข็งกระด้าง
ขนาดช่องคลอด
ที่ยังไม่ขยายตัวจะแปรผันตรงกับ ความกว้างของช่องปากของสาวคนนั้น
ถ้าสาวใดปากกว้างมากๆ ในระยะยาวจิ๊อาจหลวมง่ายกว่าสาวปากเล็กก็ได้
แต่ต้องดูอย่างอื่นประกอบกัน
*หมายเหตุ* : ไม่ใช่ตำราโปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูล
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)