11 ก.ย. 2553

"อาบช็อคโกแลต" ช่วยบำรุงผิวจริงหรือ ?

*มี เครื่องสำอางบางยี่ห้อ ได้นำช็อคโกแลตมาเป็นครีมนวดตัว
ครีมขัดผิวและบำรุงผิว
แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าช็อคโกแลตเป็นสินค้าที่มีราคาแพง
ดังนั้นการนำมาเป็นครีมบำรุงผิวคงจะยิ่งแพงเข้าไปใหญ่เพราะต้องใช้กับ
พื้นที่ผิวทั่วตัวในปริมาณมาก

* *ช็อคโกแลต* ทำมาจากเมล็ดโกโก้ของต้นโกโก้
เป็นพืชที่ขึ้นในแถบอเมริกาใต้
มีองค์ประกอบหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกายจากการรับประทาน เช่น
สารคาเทชิน (CATECHINS) เป็นสารต้านอนุมูลอิสสระ
มีรายงานทางการแพทย์พบว่าสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและมะเร็งได้

สำหรับผู้ที่รับประทานช็อคโกแลต พบว่า
มักจะมีอารมณ์ดีขึ้นช่วยคลายเครียด เนื่องจากช็อคโกแลต
ช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเอ็นโดฟินในสมอง ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบของคาเฟอีน เช่นเดียวกับในเมล็ดกาแฟ
องค์ประกอบหลักในผงโกโก้ จะประกอบด้วยส่วนที่เป็นไขมันคือ สเตียลิคแอซิด 34%
โอลิอิคแอซิด 34% และปาล์มิติคแอซิด 25%
ที่เหลือประกอบด้วยสารอาหารอย่างละเล็กน้อยตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ดังนั้นจะพบว่าผู้ที่รับประทานช็อคโกแลตมาก ๆ
มักจะอ้วนเร็วเพราะมีไขมันมากนั่นเอง

*การนำช็อคโกแลตมาบำรุงผิวหนังทั่วร่างกาย*หากจะได้ประโยชน์บ้างก็คงจะเป็นส่วนของวิตามินอีเล็กน้อย
และส่วนของไขมัน
ที่จะช่วยทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นให้ผิวหนังชุ่มชื้นนุ่มนวล
แต่ทั้งวิตามินอีที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยและไขมันที่เป็นองค์ประกอบหลักใน
ช็อคโกแลตก็สามารถหาได้จากทั่วไปในราคาที่ถูกกว่ามาก ทั้งจากพืชชนิดอื่น ๆ
หรือจากสารสังเคราะห์ ดังนั้นการนำช็อคโกแลตมานวดตัว ขัดตัว หรือบำรุงผิว
จึงเป็นการใช้สินค้าไม่คุ้มค่าเงินและไม่จำเป็น

มีนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามนำช็อคโกแลต
มาผ่านขบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อสกัดกลิ่นและสีให้หมดไป
และนำสารสกัดช็อคโกแลคมาเป็นองค์ประกอบในเครื่องสำอางบำรุงผิว
แต่พบว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรมากต่อผิวหนังนอกเหนือจากไขมันหรือน้ำมัน
ที่มีประโยชน์ในการบำรุงผิวทั่วไป เช่นเดียวกับน้ำมันจากพืชชนิดอื่น ๆ เช่น
น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันงา เป็นต้น ซึ่งน้ำมันจากพืชเหล่านี้
ก็มีองค์ประกอบของวิตามินอีเพียงเล็กน้อยเช่นกัน

*การ นำช็อคโกแลตมานวดตัวขัดตัวและบำรุงผิว
จึงเป็นเพียงการพยายามนำเสนอสิ่งแปลกใหม่สู่วงการเครื่องสำอาง
เพื่อให้ผู้บริโภคที่ชอบของแปลกใหม่ตื่นเต้น และคงต้องเสียเงินแพงเท่านั้น*



*ที่มา ... มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค*

ไม่มีความคิดเห็น: