3 ต.ค. 2553

ว่ายน้ำใน “สระคลอรีน” เสี่ยงเป็นมะเร็ง

คน ที่ชอบออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำอาจต้องคิดทบทวนใหม่ เมื่อผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์สเปนระบุว่า “น้ำในสระ” ที่ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน มีส่วนทำให้ยีนถูกทำลาย และทำให้คนที่แข็งแรงเสี่ยงต่อโรคมะเร็งสูงขึ้นได้


ทีมนักวิจัยจากศูนย์วิจัยระบาดวิทยาสิ่งแวดล้อม (Centre of Research in Environmental Epidemiology : CREAL) และสถาบันวิจัย โรงพยาบาล เดล มาร์ (Research Institute Hospital del Mar) ในประเทศสเปน ได้รายงานผลการศึกษาผลต่อสุขภาพของน้ำในสระว่ายน้ำที่ใส่สารฆ่าเชื้อโรคใน วารสารอีเอชพี (Environmental Health Perspectives : EHP) ฉบับเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา

ในรายงานระบุว่าการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำที่มีส่วนผสมของคลอรีน อาจชักนำให้เกิดภาวะความเป็นพิษต่อยีน (genotoxicity) ซึ่ง เป็นผลให้ดีเอ็นเอถูกทำลายและอาจกลายเป็นบ่อเกิดของโรคมะเร็งได้เท่ากับการ หายใจเข้าไป ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาถึงสารตกค้างจากการฆ่าเชื้อโรค หรือดีบีพี (disinfection by-products : DBPs) ในสระว่ายน้ำ อย่างครอบคลุม และเป็นครั้งแรกที่ศึกษาถึงภาวะความเป็นพิษต่อยีนของนักว่ายน้ำที่ได้รับสาร เคมีนี้จากการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำที่ใส่คลอรีนด้วย ดังที่ระบุในไซน์เดลี

ดีบีพีที่พบในน้ำจากสระว่ายน้ำนั้น เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสารฆ่าเชื้อโรค เช่น คลอรีน กับอินทรีย์วัตถุ (organic matter) ทั้ง ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือมาจากผู้ที่ลงไปว่ายน้ำ อาทิ เหงื่อ เซลล์ผิวหนัง และน้ำปัสสาวะ ซึ่งการศึกษาทางด้านระบาดวิทยาก่อนหน้านี้พบว่า ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะสัมพันธ์กับการได้รับดีบีพีในน้ำ ดื่ม และอีกการศึกษาหนึ่งพบว่า ความสัมพันธ์นี้ยังรวมไปถึงการได้รับสารดีบีพีเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังหรือ หายใจเข้าไปด้วย เช่น ในระหว่างอาบน้ำฝักบัว นอนแช่ในอ่างน้ำ หรือการว่ายน้ำ

ส่วนในรายงานการศึกษาล่าสุดนั้น ทีมวิจัยได้ศึกษาหาปริมาณของดีบีพีและการก่อการกลายพันธุ์ (mutagenicity) ใน ตัวอย่างน้ำจากสระว่ายน้ำในร่ม 2 แห่ง แห่งหนึ่งใช้คลอรีนเป็นสารฆ่าเชื้อโรค และอีกแห่งหนึ่งใช้โบรมีนแทน พร้อมทั้งศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นของตัวบ่งชี้การก่อกลายพันธุ์ และผลจากการหายใจเอาสารนี้เข้าไป โดยศึกษาในผู้ที่ว่ายน้ำในสระว่ายน้ำที่ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการศึกษาที่รวมการพิสูจน์ฤทธิ์การก่อกลายพันธุ์ ของน้ำในสระว่ายน้ำ ลักษณะของสารเคมีในน้ำ และผลกระทบเมื่อเข้าสู่ร่างกายคนเราเข้ามาด้วยกัน

ทีม วิจัยพบหลักฐานที่แสดงถึงการเกิดความเป็นพิษต่อยีนในผู้คนกลุ่มตัวอย่างที่ เป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 49 คน หลังจากพวกเขาว่ายน้ำในสระว่ายน้ำที่ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนเป็นเวลา 40 นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิจัยพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarker) 2 ชนิด ที่บอกให้รู้ว่ามีความเป็นพิษต่อยีนเกิดขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับความเข้มข้นของดีบีพีชนิดที่พบทั่วไปในลมหายใจออกของผู้ที่ ว่ายน้ำ

โดยตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่เพิ่มขึ้นนั้น ชนิดหนึ่งเป็นไมโครนิวคลีไอ (micronuclei, ส่วนของโครโมโซมที่ขาดมารวมตัวกันเกิดเป็นนิวเคลียสเล็กๆ อยู่ในไซโทพลาสซึม) ในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocyte) ซึ่ง มีส่วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ ส่วนอีกชนิดเป็นสารที่มีฤทธิ์การก่อการกลายพันธุ์ในปัสสาวะ ซึ่งแสดงการถึงการได้รับสารที่ก่อความเป็นพิษต่อยีน

ทีมวิจัยยังได้วัดปริมาณสารดีบีพี พวกไตรฮาโลมีเทน (trihalomethanes) ที่ ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศบริเวณรอบๆ สระว่ายน้ำ และที่อยู่ในลมหายใจออกของผู้ที่ว่ายน้ำทั้งก่อนและหลังว่ายน้ำด้วย โดยการวัดปริมาณของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพหลายชนิดในลมหายใจของอาสาสมัครกลุ่ม ตัวอย่าง หลังจากว่ายน้ำแล้ว พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพเพียงตัวเดียว คือ ซีรัม ซีซี16 (serum CC16) ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็บ่งชี้ว่าสารดีบีพีมีการซึมผ่านเยื่อบุผิวปอดของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายโดยการว่ายน้ำนั้น ทำให้ผู้ที่ว่ายน้ำได้รับดีบีพีเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง

นอก จากนี้ นักวิจัยยังสามารถแยกสารดีบีพีจากน้ำในสระว่ายน้ำตัวอย่างได้มากกว่า 100 ชนิด ซึ่งบางชนิดยังไม่เคยมีรายงานว่ามีอยู่ในสระว่ายน้ำหรือในน้ำดื่มที่ฆ่า เชื้อด้วยคลอรีนมาก่อนด้วย และจากการวิเคราะห์ในหลอดทดลองแสดงให้เห็นว่า น้ำจากสระว่ายน้ำตัวอย่างมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์ในระดับใกล้เคียงกับน้ำ ดื่มที่ฆ่าเชื้อด้วยวิธีดังกล่าว แต่มีความเป็นพิษต่อเซลล์มากกว่า

อย่าง ไรก็ดี ผลการวิจัยดังกล่าวเป็นการศึกษาผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้น ซึ่งทีมวิจัยจะทำการศึกษาต่อไปถึงผลระยะยาวที่เกิดจากการได้รับสารดีบีพีจาก การว่ายน้ำในสระที่ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน รวมถึงเสนอให้มีวิจัยที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อจัดอันดับสระว่ายน้ำภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ในการบำรุงรักษาและการใช้งาน รวมทั้งประเมินผลกระทบจากการได้รับสารชนิดต่างๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในสระว่ายน้ำด้วย

มาโนลิส โกเกบีนาส (Manolis Kogevinas) นัก วิจัยจากศูนย์วิจัยระบาดวิทยาสิ่งแวดล้อม ระบุว่าผลการศึกษานี้ไม่ได้มีเจตนาทำให้ผู้คนเลิกที่จะว่ายน้ำในสระว่ายน้ำ โดยเราสามารถทำให้การว่ายน้ำในสระส่งผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยลดปริมาณการใช้สารเคมีฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ

“ไม่ มีกรณีไหนที่เราต้องการหยุดให้มีการว่ายน้ำ แต่เราต้องการผลักดันให้ลดการใส่สารเคมีลงในสระว่ายน้ำต่างหาก” โกเกบีนาส กล่าวในเอเอฟพี และระบุด้วยว่า การลดการใส่สารฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำนั้น สามารถช่วยได้ หากทุกคนที่มาว่ายน้ำในสระสาธารณะได้ล้างตัวก่อนลงสระ สวมหมวกว่ายน้ำ และไม่ถ่ายปัสสะวะลงในสระน้ำ

ไม่มีความคิดเห็น: